Global Trend – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 03 Jan 2025 05:15:45 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ‘BYD’ ฟันยอดขายปี 2024 ทะลุ 4 ล้านคัน โต 41% สวนทาง ‘Tesla’ ยอดขายลดลง 1.1% https://positioningmag.com/1505317 Fri, 03 Jan 2025 05:15:31 +0000 https://positioningmag.com/?p=1505317 แย่งกันเบียดเป็น เบอร์ 1 ในตลาดรถยนต์ไฟฟ้ามาตลอดปี สำหรับ เทสลา (Tesla) และ บีวายดี (Tesla) โดยภาพรวมตลอดปี 2024 นี้ และถ้านับรวมรถ ปลั๊กอินไฮบริด (Plug-in Hybrid) จะทำให้บีวายดีโตแบบก้าวกระโดด แต่ถ้าเป็นรถยนต์ไฟฟ้าล้วน ดูเหมือนเทสลาจะยังคงเป็นเบอร์ 1 

ภาพรวมปี 2024 ของ บีวายดี มียอดขายทั้งสิ้น 4.27 ล้านคัน เติบโต +41% เมื่อเทียบกับปี 2023 โดยแบ่งเป็น รถยนต์ไฟฟ้าล้วน (BEV) 1.76 ล้านคัน เติบโต +12% ส่วน รถปลั๊กอินไฮบริดอยู่ที่ 2.49 ล้านคัน เติบโตก้าวกระโดด +73% เนื่องจากช่วยลดความกังวลเกี่ยวกับระยะการเดินทางของรถยนต์ไฟฟ้าล้วน 

ด้านคู่แข่งคนสำคัญอย่าง เทสลา มียอดขายประมาณ 1.79 ล้านคัน ลดลงราว -1.1% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ดังนั้นจะเห็นว่า หากวัดกันเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้าล้วน เทสลายังทำได้ดีกว่าบีวายดี แต่ก็เพียง เล็กน้อย เท่านั้น

สำหรับปัจจัยที่ทำให้บีวายดียังเติบโตได้ดีมาจาก ตลาดต่างประเทศ ที่เติบโตประมาณ +8% โดยปัจจุบัน ตลาดต่างประเทศของบีวานดีมีสัดส่วนประมาณ 10% ของยอดขายทั้งหมด ขณะที่ตลาดในประเทศก็ได้การสนับสนุนจาก รัฐบาลจีน ที่ต้องการกระตุ้นให้ผู้บริโภคเปลี่ยนรถเก่าเป็นรถยนต์พลังงานใหม่ เช่น รถยนต์ไฟฟ้าและ Plug-in Hybrid

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่แค่บีวายดีที่ได้อานิสงค์จากการสนับสนุนของรัฐบาลจีน แต่เทสลา ที่แม้ว่ายอดขายรวมปีที่ผ่านมาจะหดตัว แต่ในตลาดจีนก็มีการเติบโตเป็นประวัติการณ์ถึง +8.8% มียอดขาย กว่า 657,000 คัน สวนทางกับ ตลาดยุโรป ที่ตลาด 10 เดือน ยอดจดทะเบียนรถเทสลาลดลงถึง -24%

แม้ว่าปี 2024 จะเป็นปีที่ดีของบีวายดี แต่กับปี 2025 อาจต้องเหนื่อย เพราะทั้ง ยุโรปและสหรัฐอเมริกา เตรียม ขึ้นภาษี รถอีวีจากจีน และตามมาด้วยการห้ามซอฟต์แวร์รถยนต์บางประเภทที่มีต้นกำเนิดในจีน ซึ่งนโยบายต่าง ๆ เหล่านี้ย่อมส่งผลกระทบต่อบีวายดีและค่ายรถจากจีนแน่นอน  

ส่วนเทสลาก็เตรียมเปิดตัวโมเดลใหม่ ๆ รวมถึงรุ่นที่มีราคาไม่แพงในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 เพื่อแก้เกม ก็คงต้องรอดูว่าใครจะชิงความได้เปรียบเพื่อขึ้นเป็นเบอร์ 1 ในตลาดอีวี 2025 กัน 

]]>
1505317
‘ตลาดอนิเมะ’ ทำยอดขายเกิน 3 ล้านล้านเยน สูงสุดเป็นประวัติการณ์ จากแรงหนุนตลาดในต่างประเทศ https://positioningmag.com/1505012 Thu, 26 Dec 2024 05:48:25 +0000 https://positioningmag.com/?p=1505012 รายงานของสมาคมแอนิเมชันแห่งประเทศญี่ปุ่น (Association of Japanese Animations) ที่เผยแพร่ในเดือนธันวาคมนี้ระบุ รายได้ของอุตสาหกรรมอนิเมะในปี 2023 มียอดขายเกิน 3.3 ล้านล้านเยน หรืออยู่ที่ประมาณ 21,000 ล้านดอลลาร์ สูงกว่าสถิติเดิมที่ทำไว้ในปี 2022 กว่า14 % และเป็น ‘ครั้งแรก’ ที่อุตสาหกรรมดังกล่าวทำเงินได้สูงเกิน 3 ล้านล้านเยน

 

เหตุผลทำให้รายได้ของอุตสาหกรรมอนิเมะทำรายได้สูงสุดได้ ทางสมาคมระบุว่า จากแหล่งที่มาของรายได้ทั้ง 9 หมวดในผลสำรวจนี้ ‘ยอดขายในต่างประเทศ’ ที่รวมถึงสัญญาการจัดจำหน่ายและสินค้าที่เกี่ยวข้อง เป็นแหล่งที่ทำรายได้ในอันดับสูงสุด มียอดรวมประมาณ 11,000 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 18% จากปีก่อน

 

ส่วนยอดขายจาก ‘การจัดจำหน่ายออนไลน์’ เติบโตขึ้นถึง 50% โดยมีรายได้อยู่ที่ประมาณ 1,600 ล้านดอลลาร์, ยอดขาย ‘สินค้า’ อยู่ที่ประมาณ 4,500 ล้านดอลลาร์ และรายได้จาก ‘การแสดงสด’ อยู่ที่ประมาณ 700 ล้านดอลลาร์

 

‘มาซูดะ ฮิโรมิจิ’ หัวหน้าบรรณาธิการการจัดทำรายงานอุตสาหกรรมอานิเมะ กล่าวว่า อุตสาหกรรมอนิเมะกำลังเติบโตได้อย่างรวดเร็วในตลาดต่างประเทศ เนื่องจากการจัดจำหน่ายทางอินเทอร์เน็ตมีความแข็งแกร่ง ขณะเดียวกันกระแสอนิเมะของญี่ปุ่นยังคงได้รับความนิยมภายในประเทศ และเมื่อรวมกับแฟน ๆ จากทั่วโลกที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้อุตสาหกรรมอนิเมะมีแรงสนับสนุนให้เติบโตยิ่งขึ้นไปอีก

 

สำหรับแนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรมดังกล่าวมีการคาดการณ์ไว้ว่า ตั้งแต่ปี 2024 จนถึงปี 2030 จะมีการเติบโตเฉลี่ยอยู่ราว ๆ 9.8% ซึ่งสาเหตุของการเติบโตมาจากความต้องการและความนิยมในการขายที่เพิ่มมากขึ้น  ของอนิเมะญี่ปุ่น โดยการจัดจำหน่ายบนอินเทอร์เน็ตและแอปพลิเคชันเกม ถือเป็นส่วนสำคัญของยอดขายในตลาดต่างประเทศของอนิเมะญี่ปุ่น

 

นอกจากนี้ ยังมาจากความร่วมมือของผู้เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็น ผู้วาดหรือผู้สร้างสรรค์ ศิลปิน ผู้จัดพิมพ์ และนักพัฒนาต่าง ๆ ที่จับมือกัน เพื่อพัฒนาและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับอุตสาหกรรมนี้มากขึ้น

 

อ้างอิง

 

https://www3.nhk.or.jp/nhkworld/en/news/20241222_01/

https://www.grandviewresearch.com/industry-analysis/anime-market

]]>
1505012
ญี่ปุ่น ออกนโยบาย “ทำงาน 4 วัน” แก้วิกฤตคนมีลูกน้อย ทางรอดระบบเศรษฐกิจ https://positioningmag.com/1504354 Thu, 19 Dec 2024 11:20:33 +0000 https://positioningmag.com/?p=1504354 รัฐบาลญี่ปุ่น ประกาศเตรียมนำระบบทำงาน 4 วัน มาใช้ในระบบราชการของญี่ปุ่น เพื่อกระตุ้นอัตราการเกิดใหม่ของเด็ก นำร่องเดือนเมษายน ปี 2568

ขณะเดียวกัน ยังมีนโยบายยืดหยุ่นเวลาทำงาน สำหรับกลุ่มชาย-หญิง ที่มีลูกเรียนในชั้นประถมศึกษา ปีที่ 1-3 สามารถแลกเงินเดือนบางส่วน กับการเลิกงานก่อนเวลา เพื่อไปดูแลลูกได้

“เรากำลังทบทวนรูปแบบการทำงานที่ยืดหยุ่น เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่มีใครต้องละทิ้งอาชีพ เพราะการคลอดลูก หรือการดูแลเด็ก และขณะนี้เราต้องยกระดับเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของประชาชนในช่วงเวลาที่ท้าทายที่สุดของประเทศ” ยูริโกะ โคอิเกะ ผู้ว่าการกรุงโตเกียว กล่าวในช่วงแถลงนโยบายในวานนี้ (18 ธ.ค. 67)

อย่างไรก็ดี อัตราการเจริญพันธุ์ของญี่ปุ่นลดลงอย่างรวดเร็วในหลายปี โดยปี 2566 มีจำนวนเด็กเกิดใหม่เพียง 727,277 คน และลดลงต่ำสุดในช่วงเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา เหลือ 1.2

ซึ่งอัตราการเจริญพันธุ์เพียงพอที่จะพยุงเสถียรภาพประชากรและเศรษฐกิจได้ ต้องอยู่ที่ระดับ 2.1

การทำงานหนัก-ค่าครองชีพสูง กดดันหนุ่มสาวญี่ปุ่น

นักสังคมวิทยารายหลายมองว่า อัตราการเกิดลดลงของญี่ปุ่น มีหลายปัจจัย อาทิ

  • วัฒนธรรมการทำงานไม่ยืดหยุ่น
  • ค่าครองชีพสูงขึ้น
  • ชั่วโมงการทำงานที่หนักหน่วง และเป็นปัญหากัดกินสังคมญี่ปุ่นมานาน บางรายมีปัญหาสุขภาพ หรือกระทั่งเสียชีวิตจากการทำงาน

ทั้งนี้ นโยบายทำงาน 4 วัน/สัปดาห์ เริ่มเกิดมากขึ้นในประเทศฝั่งตะวันตก บางบริษัทได้เปิดให้ทำงานในเวลาที่สั้นลง เพื่อดึงดูดคนเก่ง ที่อยากได้สมดุลชีวิตแบบ work-life balance

การศึกษาบางส่วน พบว่า การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และความเป็นอยู่ของพนักงาน

ทว่าสำหรับญี่ปุ่นที่ยึดคติการทำงานถวายหัว เพื่อแสดงความภักดีต่อองค์กร มองว่า นโยบายทำงาน 4 วัน/สัปดาห์ “สุดโต่ง” เกินไป

อัตราเกิดต่ำ 50 ปี ขนาดเศรษฐกิจโดนแซงต่อเนื่อง

ที่ผ่านมา “ญี่ปุ่น” เผชิญกับอัตราการเกิดใหม่ที่ลดลงต่อเนื่อง 50 ปี และส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ

โดยข้อมูลจาก IMF เมื่อปี 2566 พบว่า ญี่ปุ่น ตกมาอยู่อันดับ 4 ประเทศขนาดเศรษฐกิจใหญ่สุดในโลก (เดิมอันดับ 3) ซึ่งถูกเยอรมนีแซงขึ้นไป หลังตามหลังญี่ปุ่นมาตั้งแต่ปี 2513 แม้ปีก่อนเศรษฐกิจเยอรมนีจะไม่เติบโตเลยก็ตาม!

ขณะที่ก่อนหน้านี้เมื่อปี 2553 ญี่ปุ่น ก็ถูกจีนแซงขึ้นไปเป็นอันดับ 2 แทนเช่นกัน “ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงขนาดเศรษฐกิจที่น่าสนใจ และสะท้อนว่า เศรษฐกิจญี่ปุ่นถดถอยอย่างต่อเนื่อง“

คงต้องจับตาดูว่านโยบายใหม่นี้ของญี่ปุ่น จะช่วยเพิ่มความหวังทางรอดเศรษฐกิจให้ญี่ปุ่นได้หรือไม่ หรือจะเป็นเพียงนโยบายที่ใช้ไม่ได้ผลเหมือนที่ผ่านมา

]]>
1504354
ยอดใช้จ่ายบนแอป-เกมมือถือทั่วโลก ปี 67 ทะลัก 4.4 ล้านล้านบาท เพิ่ม 15% “Temu-TikTok” จับมือโต https://positioningmag.com/1504240 Thu, 19 Dec 2024 08:04:18 +0000 https://positioningmag.com/?p=1504240 ภาพรวมเศรษฐกิจโลกจะอยู่ในช่วงค่อย ๆ ฟื้นตัว แต่ยอดการใช้จ่ายผ่านแอปพลิเคชันและเกมมือถือทั่วโลก กลับเติบโตต่อเนื่อง!

“Appfigures” ระบุ การใช้จ่ายทั่วโลกผ่านแอปฯ-เกมมือถือ ปี 2567 ทั้งใน App Store และ Google Play มีมูลค่า 127,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 4.4 ล้านล้านบาท เติบโต 15% เมื่อเทียบกับปีก่อน (YoY) แบ่งเป็น

  • รายได้จาก App Store 91,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ประมาณ 3.2 ล้านล้านบาท เติบโต 24% (YoY)
  • รายได้จาก Google Play 35,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ประมาณ 1.2 ล้านล้านบาท ลดลง 1.5% (YoY)

TikTok แอปที่ผู้บริโภคใช้จ่ายสูงสุดในโลก

เมื่อพิจารณาจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค “TikTok” เป็นแอปที่ครองส่วนแบ่งการตลาดสูงสุดทั่วโลก

โดยมีมูลค่าการใช้จ่ายใน iOS และ Android (ไม่นับรวม App Store ในจีน) ประมาณ 2,500 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 8.75 หมื่นล้านบาท

นอกจากนี้ TikTok ยังเป็นแอปที่ครองส่วนแบ่งการตลาดสูงสุดในสหรัฐอเมริกา ทำยอดใช้จ่ายได้เกือบ 1,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 4.55 หมื่นล้านบาท

ยอดดาวน์โหลดแอปทั่วโลก ลดลง 2.3%

ทว่ายอดการดาวน์โหลดแอปฯ โดยรวมอยู่ในช่วงขาลง จากระบบนิเวศของแอปพลิเคชันเริ่มถึงจุดอิ่มตัว ซึ่งมียอดดาวน์โหลดเกือบ 110,000 ล้านครั้ง ลดลง 2.3% (YoY) แบ่งเป็น

  • ยอดดาวน์โหลดระบบ iOS 28,300 ล้านครั้ง ลดลง 1.1% (YoY)
  • ยอดดาวน์โหลดระบบ Android 81,400 ล้านครั้ง ลดลง 2.6% (YoY)

“ยอดดาวน์โหลดที่หายไปมาจากการปราบปรามแอปฯ สแปมและคุณภาพต่ำออกไป ส่งผลให้การเปิดตัวแอปใหม่ จาก Google Play ลดลง 60%“

Instagram ยอดดาวน์โหลดสูงสุด แต่ TEMU เบอร์ 1 ตลาดอเมริกา

ส่วนแอปพลิเคชันยอดนิยม อันดับหนึ่งเป็นของ Instagram ทำยอดดาวน์โหลดสูงเกือบ 640 ล้านครั้ง ขณะที่แอปโซเชียลมีเดียอื่น ๆ อาทิ Snapchat, Facebook และ TikTok ก็มียอดค้นหาสูงเช่นกัน

ที่น่าจับตา คือ แอปช้อปสินค้าสัญชาติจีน  TEMU” เป็นแอปพลิเคชันที่มียอดดาวน์โหลดสูงสุดในสหรัฐอเมริกา ที่จำนวน 48 ล้านครั้ง

สอดคล้องกับรายงานก่อนหน้านี้ของ Appfigures ที่ระบุว่า Gen Z ที่ครองสัดส่วนในตลาดมือถือของอเมริกาเกือบ 40% โหลดแอป TEMU มากสุด โดยมีจำนวนสูงถึง 41.98 ล้านครั้ง รองลงเป็น TikTok 33.23 ล้านครั้ง และ Threads 32.32 ล้านครั้ง

]]>
1504240
ทำไมยักษ์ใหญ่น้ำอัดลม Coca-Cola ถึงส่ง ‘ชเวปส์ มิกซ์’ ชิงตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในไทย https://positioningmag.com/1504241 Thu, 19 Dec 2024 08:04:12 +0000 https://positioningmag.com/?p=1504241 เป็นเรื่องที่น่าจับตา เมื่อ ‘โคคา-โคล่า’ ยักษ์ใหญ่ธุรกิจเครื่องดื่ม โดยเฉพาะน้ำอัดลม ตัดสินใจเปิดตัว ‘ชเวปส์ มิกซ์’ ชิงมาร์เก็ตแชร์ตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์พร้อมดื่ม (ARTD) และน่าสนใจไปกว่านั้น คือ การเลือก ‘ประเทศไทย’ เป็น 1 ใน 5 ประเทศจากทั่วโลก และเป็นประเทศแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีการเปิดตัวโปรดักต์ตัวนี้

 

นั่นนำมาสู่คำถามที่ว่า ทำไม โคคา-โคล่า ถึงสนใจประเทศไทย และเลือกเป็นหนึ่งในหมุดหมายสำหรับก้าวสำคัญของการขยายพอร์ตที่เดิมทีแข็งแกร่งในกลุ่มนอน-แอลกอฮอล์  สู่กลุ่มแอลกอฮอล์

 

‘ริชา ซิงห์’ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายปฏิบัติการธุรกิจ โคคา-โคล่า ประจำประเทศไทย และลาว ให้คำตอบว่า นั่นเพราะประเทศไทยเป็นตลาดที่ ‘สดใส’ และเป็น ‘อนาคต’ ด้วยเหตุผลจากการศึกษาตลาดแอลกอฮอล์และพฤติกรรม ผู้บริโภคมานาน ทำให้พบประเด็นน่าสนใจ ได้แก่

 

ประเด็นแรก คนไทยมีปริมาณการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สูงสุด ติด Top 20 ของโลก (ซึ่งริชา ซิงห์ไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดว่า ปริมาณการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของคนไทยอยู่ที่เท่าไร)

ประเด็นถัดมา ตลาดในประเทศไทยมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มการเติบโตไปในทิศทางบวก

และประเด็นที่ 3 พฤติกรรมของผู้บริโภคในประเทศไทย เป็นกลุ่มที่พร้อมเปิดรับกับสิ่งใหม่ ๆ และพยายามมองหาโปรดักต์ที่ตอบโจทย์ความต้องการนี้ เพื่อสร้างความตื่นเต้นและความแปลกใหม่ให้กับตัวเองอยู่เสมอ

 

ส่วนสาเหตุที่เลือกชเวปส์ มาบุกตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์พร้อมดื่มในไทย เพราะเป็นแบรนด์ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานมากว่า 200 ปี อีกทั้งเป็นแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จและเป็น Brand love ในใจผู้บริโภคในระดับโลก รวมถึงในไทยด้วย

 

นอกจากนี้ ชเวปส์เองยังมีไลน์โปรดักต์ใน ‘กลุ่มมิกเซอร์’ อยู่แล้ว จึงมองเป็นโอกาส โดยชเวปส์ มิกซ์ จะเจาะกลุ่มเป้าหมายอายุระหว่าง 20-49 ปี นำเสนอภายใต้คอนเซ็ปต์ Thank Goodness It’s Thursday เติมเต็มวันพฤหัสบดีอย่างมีเอกลักษณ์แบบไม่ต้องรอให้ถึงวันศุกร์ และพยายามเชื่อมโยงและสร้างประสบการณ์ให้กับผู้คน ผ่านแพลตฟอร์ม Schweppes Mixed Social Club

 

“เทรนด์โลกมาแรง คือ คนต้องการหาประสบการณ์ใหม่ ๆ ไม่จำเจ ส่วนอีกเทรนด์ที่ชัดเจน เป็นเรื่องของคนรุ่นใหม่ที่อาจเจอเรื่องเครียด ๆ เลยต้องการฉลองกันในช่วงกลางสัปดาห์ ไม่ต้องรอให้ถึงวันศุกร์ ซึ่งเราเชื่อว่า ด้วยตัวโปรดักต์ และคอนเซ็ปต์ของชเวปส์ มิกซ์จะตอบโจทย์ความต้องการเหล่านี้ได้”

 

เบื้องต้นชเวปส์ มิกซ์ จะมีด้วยกัน 2 รสชาติ ได้แก่ ชเวปส์ มิกซ์ วอดก้า ซิตรัส และชเวปส์ มิกซ์ วอดก้า โกลเด้น มะนาว จำหน่ายในราคา 49 บาท ส่วนช่องทางการขายนั้นจะวางจำหน่ายในร้านอาหาร โรงแรม ร้านสะดวกซื้อ และโมเดิร์นเทรด

 

อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นแบรนด์ที่แข็งแกร่งมีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 200 ปี แต่สำหรับตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แล้ว ชเวปส์ก็ถือเป็น ‘น้องใหม่’ เมื่อรวมกับประเทศไทยมีกฎหมายห้ามโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่อาจเป็นข้อจำกัดต่อการทำธุรกิจ ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นประเด็นที่ท้าทายสำหรับโคคา-โคล่าไม่น้อย

 

ริชา ซิงห์ บอกว่า โคคา-โคล่า รู้ถึงกฎต่าง ๆ เหล่านี้เป็นอย่างดีและพร้อมปฏิบัติตาม เพราะมองประเทศไทยเต็มไปด้วยโอกาส ส่วนยอดขายหรือเรื่องมาร์เก็ตแชร์ อยากให้มองเป็นภาพในระยะยาว แต่มั่นใจว่า ชเวปส์ มิกซ์ จะได้รับการตอบโจทย์ที่ดี เนื่องจากตอบสนองเทรนด์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ในปัจจุบัน และอนาคตจะมีโปรดักต์ใหม่ออกมาอีก

 

อย่างไรก็ตาม ชเวปส์ มิกซ์ ไม่ใช่โปรดักต์ตัวแรกของโคคา-โคล่า ที่ได้ส่งโปรดักต์เข้ามาชิมลางในตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์พร้อมดื่ม

 

เพราะเมื่อปี 2018 ได้มีการเปิดตัว ‘เลมอน-โด’ ในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นครั้งแรกที่โคคา-โคล่า ก้าวเข้าสู่ตลาดแอลกอฮอล์ โดยเลมอน-โด เป็นเครื่องดื่มประเภท chu-hi หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แบบกระป๋องยอดนิยมชนิดหนึ่งของญี่ปุ่นที่ผลิตมาจากแอลกอฮอล์กลั่น ‘โชชู’ (shochu) ผสมกับโซดาและแต่งกลิ่นต่าง ๆ โดยเฉพาะกลิ่นผลไม้

 

ถัดมาในปี 2022 โคคา-โคล่า ได้จับมือกับ Brown-Forman เปิดตัวค็อกเทลพร้อมดื่มแบรนด์ Jack & Coke หรือ Jack Daniel’s Tennessee Whiskey and Coca-Cola

]]>
1504241
แบรนด์ ‘ลักชูรี่’ เริ่มรับชำระสินค้าด้วย ‘Bitcoin’ หวังเข้าถึงกลุ่ม ‘เศรษฐีนิวเจน’ พร้อมลบภาพแบรนด์เก่าน่าเบื่อ! https://positioningmag.com/1504160 Wed, 18 Dec 2024 12:22:47 +0000 https://positioningmag.com/?p=1504160 แม้ว่าสกุลเงินดิจิทัล เช่น Bitcoin เป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงและมีการใช้งานในโลกแห่งความเป็นจริงได้จำกัด เนื่องจากความผันผวนสูง จึงเป็นอีกอุปสรรคหนึ่งต่อการนำมาใช้เป็นวิธีการชำระเงินอย่างแพร่หลาย แต่จากมูลค่าที่พุ่งขึ้นต่อเนื่อง และเป็นการลงทุนที่คนรุ่นใหม่เลือกลงทุน ทำให้ แบรนด์สินค้าลักชูรี่ จึงเลือกที่จะเปิดรับชำระสินค้าด้วยคริปโตฯ เพื่อหวังเข้าหาเศรษฐีรุ่นใหม่ มากขึ้น

เนื่องจากนโยบายของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ ที่จะวางกฎระเบียบที่เป็นมิตรกับสกุลเงินดิจิทัลมากขึ้น ส่งผลให้ราคา Bitcoin พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ทะลุ 107,000 ดอลลาร์ ซึ่งสวนทางกับอุตสาหกรรม สินค้าฟุ่มเฟือย ที่กำลังเผชิญกับภาวะตกต่ำครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายปีและกำลังมองหาแหล่งที่มาใหม่สำหรับการเติบโต

ด้วยมูลค่าที่พุ่งสูงขึ้นของ Bitcoin ก็ดึงดูดความสนใจของแบรนด์แฟชั่นระดับลักชูรี่ชื่อดังอย่าง เครือ LVMH, นาฬิกา Hublot และ Tag Heuer รวมถึงแบรนด์แฟชั่น Gucci และ Balenciaga ได้ทดลอง รับชำระสินค้าด้วยสกุลเงินดิจิทัล เพื่อ เข้าถึงแหล่งความมั่งคั่งใหม่ ๆ และสร้างความ ลอยัลตี้กับนักลงทุนในสกุลเงินดิจิทัล

นอกจากนี้ ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา Printemps ห้างสรรพสินค้าหรูของฝรั่งเศสได้ประกาศว่ากำลังร่วมมือกับ Binance ซึ่งเป็นศูนย์แลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในโลก และ Lyzi ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีทางการเงินของฝรั่งเศส เพื่อยอมรับสกุลเงินดิจิทัลต่าง ๆ รวมถึง Bitcoin และ Ethereum ในร้านค้าของ Printemps ในฝรั่งเศส ซึ่งถือเป็น ห้างสรรพสินค้าแห่งแรกในยุโรป ที่รับชำระโดยสกุลเงินดิจิทัล และห้างฯ กำลังดำเนินการขยายบริการไปยังนิวยอร์กซิตี้ ในย่านวอลล์สตรีทภายในเดือนมีนาคม

ที่ผ่านมา แบรนด์สินค้าหรูหราพยายามตอบสนองความต้องการของผู้ซื้อที่มีฐานะจากอุตสาหกรรมเทคโนโลยีมานาน โดยเปิดร้านค้าในห้างสรรพสินค้าหรูในซิลิคอนวัลเลย์และออกผลิตภัณฑ์พรีเมียมเพื่อจับลูกค้ากลุ่มนี้โดยเฉพาะ เช่น สาย apple watch Hermes เป็นต้น ซึ่งการยอมรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ ถือเป็น กุญแจสำคัญในการเข้าถึงลูกค้ากลุ่มคนรุ่นใหม่และชาวเอเชีย

“การเสนอชำระเงินด้วยสกุลเงินดิจิทัลอาจเป็นช่องทางให้บริษัทต่าง ๆ สร้างภาพให้แบรนด์ตัวเอง ไม่เป็นแบรนด์เก่าที่น่าเบื่อ และขายเฉพาะให้กับกลุ่ม Baby Boomer เท่านั้น” Andrew O’Neill นักวิเคราะห์ชั้นนำด้านสินทรัพย์ดิจิทัลจาก S&P Global Ratings กล่าว

อย่างไรก็ตาม สำหรับนักลงทุน Bitcoin ที่เห็นว่ามูลค่าการลงทุนของตนเพิ่มขึ้นอย่างมาก สินค้าฟุ่มเฟือย เช่น กระเป๋าดีไซเนอร์หรือนาฬิกาไฮเอนด์ ถือเป็นตัวเลือกที่ชัดเจนในการ กระจายพอร์ตการลงทุน นักวิเคราะห์กล่าว

]]>
1504160
11.11 ก็ช่วยไม่ไหว! ยอด ‘ค้าปลีก’ ในจีนโตเพียง 3% เนื่องจากความเชื่อมั่นผู้บริโภคต่ำจากพิษเศรษฐกิจ https://positioningmag.com/1503838 Wed, 18 Dec 2024 02:45:47 +0000 https://positioningmag.com/?p=1503838 ดูเหมือนว่าปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำของ จีน จะหนักหนาสาหัส เพราะขนาดมหกรรมช้อปปิ้งแห่งปีอย่าง วันคนโสด หรือ 11.11 ก็ยังดันให้ยอดค้าปลีกของประเทศกระเตื้องขึ้นมาได้นิดเดียวเท่านั้น และที่เติบโตส่วนใหญ่ก็มาจากมาตรการสนับสนุนของภาครัฐ

ในปีนี้ จีน พยายามออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมาหลายรอบเพื่อกระตุ้นการจับจ่ายของคนในประเทศ แต่ผู้บริโภคเองก็ยังรัดเข็มขัดแน่น โดยวัดได้จาก ยอดค้าปลีก ซึ่งเป็นตัวชี้วัดการบริโภคในเดือนพฤศจิกายนที่เติบโตเพียง +3% ซึ่งถือว่าต่ำกว่าในเดือนตุลาคมที่มีการขยายตัว +4.8% 

ซึ่งการเติบโตในเดือนพฤศจิกายนไม่ควรจะน้อยกว่าเดือนตุลาคม เนื่องจากจีนมีแคมเปญใหญ่อย่าง วันคนโสด หรือ 11.11 โดย Lynn Song หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ ING มองว่า นี่เป็นความผิดหวังครั้งใหญ่ของเดือน เนื่องจากยอดค้าปลีกล้มเหลวในการสร้างโมเมนตัม ในขณะที่ สํานักสถิติของจีน อธิบายว่า ความต้องการภายในประเทศนั้น ไม่เพียงพอ อีกต่อไป

อย่างไรก็ตาม มีสินค้าบางกลุ่มที่เติบโตอย่าง เครื่องใช้ในครัวเรือน ที่ยอดขายเติบโตถึง +22% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว อีกกลุ่มก็คือ รถยนต์ ที่เติบโต +6.6% ซึ่งถือเป็นการเติบโตสูงสุดในรอบ 9 เดือน แต่ก็อาจไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ เพราะสินค้าทั้ง 2 ประเภทได้รับการสนับสนุนจากโครงการแลกเปลี่ยนของรัฐบาล

ขณะที่สินค้าในกลุ่มอื่น ๆ นั้นหดตัวอย่างชัดเจน อาทิ ยอดขาย เครื่องสําอาง ลดลง -26% จากปีที่แล้ว ยอดขายแอปพลิเคชันการสื่อสารลดลง -7.7% ทองคําและเครื่องประดับลดลง -5.9% หรือแม้แต่ภาค กิน ดื่ม เล่น ที่เป็นสินค้าเชิงประสบการณ์ก็เริ่ม หดตัว หลังจากที่เติบโตมั่นคงเกือบทั้งปี

ปัจจุบัน จีนกําลังติดอยู่ในวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ครั้งใหญ่ เนื่องจากประมาณ 70% ของความมั่งคั่งของจีนติดอยู่ในทรัพย์สินอสังหาฯ ดังนั้น วิกฤตอสังหาริมทรัพย์จึงทําลายจิตใจของผู้บริโภคด้วย

ไม่เพียงแค่วิกฤตของผู้บริโภคในประเทศ  แต่จีนกำลังเจอปัญหาจากการเข้ารับตําแหน่งของประธานาธิบดีของ    โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งเขาให้คํามั่นว่าจะ กําหนดภาษี 60% สําหรับสินค้าจีนทั้งหมด เขายังขู่ว่าจะเรียกเก็บภาษี เพิ่มเติม 10% สําหรับสินค้านําเข้าของจีน

Source

]]>
1503838
เปิดโผประเทศในฝันที่คน ‘อยากย้าย’ ไปทำงานมากที่สุด https://positioningmag.com/1503820 Tue, 17 Dec 2024 12:46:32 +0000 https://positioningmag.com/?p=1503820 แม้ช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีหลายบริษัทจะให้พนักงานเข้าทำงานที่ออฟฟิศเป็นบางวัน ทว่าคนทำงานทั้งหลายยังคงแสวงหาความยืดหยุ่นในการทำงานจากที่ไหนก็ได้และการสร้างบาลานช์ให้ชีวิตมีคุณภาพดี ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลให้คนกว่า 800 ล้านคนทั่วโลกกำลังมองหางานในต่างประเทศ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของตัวเอง

 

CNBC Make It ได้รายงานถึงผลสำรวจล่าสุดของ Jobseeker ในการจัดอันดับประเทศที่ผู้คนทั่วโลกต้องการย้ายไปทำงานมากที่สุด พบว่า ประเทศที่ผู้หางานต้องการย้ายไปทำงานมากที่สุด ได้แก่

อันดับ 1     แคนาดา

อันดับ 2     ออสเตรเลีย

อันดับ 3     สหรัฐอเมริกา และสวิตเซอร์แลนด์

อันดับ 4     เดนมาร์ก, สิงคโปร์, ซาอุดีอาระเบีย และสหราชอาณาจักร

อันดับ 5     ญี่ปุ่น, กาตาร์, เยอรมนี, สเปนและนิวซีแลนด์

 

Reyhaneh Mansouri ผู้เชี่ยวชาญด้านอาชีพของ Jobseeker กล่าวว่า เหตุผลที่ ‘แคนนาดา’ เป็นประเทศที่ผู้คนปรารถนาอยากย้ายไปทำงานมากที่สุด โดยเฉพาะกลุ่มผู้หางานจากคอสตาริกา เยอรมนี อินเดีย ญี่ปุ่น เม็กซิโก แอฟริกาใต้ ซาอุดีอาระเบีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เป็นเพราะว่า แคนนาดาเป็นประเทศที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก และเป็นประเทศที่เปิดรับผู้คนที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม

 

นอกจากนี้ยังมาจากเรื่องของภาษา และกระบวนการตรวจคนเข้าเมือง ตลอดจนการขอใบอนุญาตทำงานที่ดำเนินการอย่างรวดเร็ว เมื่อเทียบกับประเทศในสหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา และสหราชอาณาจักร

 

รวมถึงมีค่าเฉลี่ยที่ดีทั้งรายได้ การศึกษา สุขภาพ คุณภาพสิ่งแวดล้อม ความสัมพันธ์ทางสังคม และความพึงพอใจในชีวิต ตามดัชนี OECD Better Life โดย 70% ของประชากรในประเทศที่มีอายุ 16-64 ปี เป็นผู้มีงานทำ และคนอายุ 25-64 ปีถึง 92% สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ทำให้แรงงานส่วนใหญ่ของประเทศมีคุณภาพและมีส่วนสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ

 

ขณะที่ ‘ออสเตรเลีย’ เป็นประเทศที่มีคนต้องการย้ายไปทำงานมากที่สุดเป็นอันดับ 2 เพราะออสเตรเลียเป็นตลาดงานที่แข็งแกร่งแห่งหนึ่งของโลก รวมถึงเป็นประเทศที่มีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และมีคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่งการย้ายไปทำงานออสเตรเลีย จะเน้นคนทำงานที่มีทักษะ และมีประสบการณ์ในอาชีพ

 

นอกจากนี้ ออสเตรเลียได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในประเทศที่มีความสุขที่สุดจากรายงาน World Happiness Report 2024 โดยประชากรประมาณ 73% อายุระหว่าง 15-64 ปีในออสเตรเลียมีงานทำ และมีรายได้สุทธิต่อหัวเฉลี่ยอยู่ที่ 37,433 ดอลลาร์ต่อปี เป็นไปตามดัชนี OECD Better Life

 

ส่วน ‘สวิตเซอร์แลนด์’ เป็นประเทศที่ผู้คนปรารถนาย้ายไปทำงานมากที่สุดเป็นอันดับ 3 อันเนื่องมาจากพนักงานได้รับประโยชน์จากชั่วโมงการทำงานที่น้อยลง มีนโยบายวันหยุดพักร้อนที่น่าสนใจ รวมถึงมีวัฒนธรรมให้ความสำคัญกับความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน ซึ่งเป็นแรงดึงดูดหลักให้ผู้คนต้องการย้ายไปทำงานที่นั่น

อ้างอิง

https://www.cnbc.com/2024/12/11/jobseeker-most-desirable-countries-relocation.html

https://www.jobseeker.com/en/resume/articles/where-the-world-wants-to-work

]]>
1503820
ชื่อทรัมป์ทำพิษ! ฉุดส่งออก ‘จีน’ ชะลอตัวลง นักวิเคราะห์เชื่อ ผลกระทบจะยิ่งชัดในเดือนธ.ค.-ม.ค https://positioningmag.com/1502693 Wed, 11 Dec 2024 01:55:42 +0000 https://positioningmag.com/?p=1502693 การส่งออกของ จีน ในเดือนพ.ย. เติบโตในอัตราที่ชะลอลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า ขณะที่การนำเข้าหดตัวกว่าที่คาด ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่น่ากังวลสำหรับเศรษฐกิจอันดับ 2 ของโลก หลังจากที่โดนัลด์ ทรัมป์จะกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอีกครั้งในเร็ว ๆ นี้ ที่นำมาซึ่งความเสี่ยงทางการค้าใหม่

ข้อมูล ศุลกากรจีน แสดงให้เห็นว่า การส่งออกของประเทศในเดือนพ.ย. เติบโตเพียง +6.7% ซึ่งน้อยกว่าการสำรวจจากนักเศรษฐศาสตร์ของ Reuters ที่ระบุว่า เพิ่มขึ้น +8.5% และน้อยกว่าในเดือนตุลาคมซึ่งเพิ่มขึ้น +12.7%

ที่น่ากังวลกว่านั้นคือ ปริมาณ การนำเข้าหดตัว 3.9% ซึ่งถือเป็นผลงานที่แย่ที่สุดในรอบ 9 เดือน และต่ำกว่าที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.3% ส่งผลให้มีการเรียกร้องให้มีการสนับสนุนนโยบายเพิ่มเติมเพื่อพยุงอุปสงค์ในประเทศอย่างต่อเนื่อง

โดยผลการส่งออกที่ลดลง ได้เกิดขึ้นหลังจากที่ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯ ให้คำมั่นว่าจะจัดเก็บภาษีสินค้าจีนเพิ่มอีก 10% เพื่อกดดันให้รัฐบาลจีน หยุดยั้งการค้าสารเคมีที่ใช้ในการผลิตเฟนทานิล และก่อนหน้านี้ ทรัมป์เคยกล่าวไว้ว่า จะเรียกเก็บภาษีสินค้าจีนเกิน 60%

ในขณะเดียวกัน จีนยังไม่สามารถจัดกับความตึงเครียดกับสหภาพยุโรปกรณีภาษีนำเข้าสูงถึง 45.3% สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในจีน ถือเป็นภัยคุกคามที่จะเปิดแนวร่วมที่สองในการทำสงครามการค้าระหว่างจีนกับฝ่ายตะวันตก ดังนั้น การขึ้นภาษีของสหรัฐฯ ก่อให้เกิดภัยคุกคามต่อจีนมากขึ้น เนื่องจากการส่งออกของเศรษฐกิจจีนที่มีมูลค่า 19 ล้านล้านดอลลาร์ เป็นแรงกระตุ้นการเติบโตหลักประการหนึ่ง ในขณะที่ความเชื่อมั่นของครัวเรือนและธุรกิจ ลดลงจากวิกฤตอสังหาริมทรัพย์

“สัญญาณเริ่มแรกของการเร่งรัดการค้าเพื่อเตรียมรับมือภาษีของทรัมป์ในปีหน้าเริ่มปรากฏให้เห็นแล้ว แต่ผลกระทบเต็มที่จะไม่ปรากฏให้เห็นจนกว่าจะถึงเดือนต่อ ๆ ไป โดยเฉพาะเดือนธันวาคมและมกราคม” Xu Tianchen นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสจาก Economist Intelligence Unit กล่าว

อย่างไรก็ตาม จากการนำเข้าที่ลดลง ส่งผลให้การค้าของจีนเกินดุลเพิ่มขึ้นเป็น 97,440 ล้านดอลลาร์ ในเดือนที่แล้ว จาก 95,720 ล้านดอลลาร์ในเดือนตุลาคม โดยเศรษฐกิจจีนมีสัญญาณการกระตุ้นเศรษฐกิจบ้างเล็กน้อยเมื่อไม่นานนี้ โดยผู้ผลิตรายงานสภาวะการดำเนินธุรกิจที่ดีที่สุดในรอบ 7 เดือนจากการสำรวจโรงงานในเดือนพฤศจิกายน

บริษัทต่าง ๆ กล่าวว่า พวกเขายังคง ได้รับคำสั่งซื้อส่งออกน้อยลง แสดงให้เห็นว่าผู้ซื้อยังคงหายากในภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว และผู้ส่งออกกำลังย้ายสินค้าไปยังคลังสินค้าในต่างประเทศ เนื่องจากคาดว่าความต้องการจะกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง

ขณะที่การส่งออกของเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นตัวชี้วัดสำคัญในการนำเข้าของจีน ชะลอตัวลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 14 เดือนในเดือนพฤศจิกายน และการส่งออกสินค้าของเกาหลีใต้ไปยังจีนลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 8 เดือน ซึ่งบ่งชี้ว่าผู้ผลิตในจีนซื้อส่วนประกอบของเกาหลีใต้น้อยลงเพื่อส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์สำเร็จรูปอีกครั้ง

ทั้งนี้ ที่ปรึกษาของรัฐบาลแนะนำให้ปักกิ่งคงเป้าหมายการเติบโตไว้ที่ประมาณ 5% ในปีหน้า และดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เข้มงวดยิ่งขึ้นเพื่อบรรเทาผลกระทบจากภาษีที่คาดว่าจะเกิดขึ้นของสหรัฐฯ โดยอาศัยตลาดผู้บริโภคภายในประเทศ

]]>
1502693
‘ญี่ปุ่น’ เล็งใช้ AI ตรวจจับเว็บละเมิดลิขสิทธิ์ ‘อนิเมะ-มังงะ’ หลังสร้างความเสียหายปีละกว่าพันล้านเหรียญ https://positioningmag.com/1502108 Wed, 04 Dec 2024 07:39:27 +0000 https://positioningmag.com/?p=1502108 ถือเป็นปัญหาเรื้อรังสำหรับการ ละเมิดลิขสิทธิ์การ์ตูนอนิเมะ-มังงะ ที่ส่งผลให้สื่อความบันเทิงขนาดใหญ่ต้องสูญเสียเงินปีละหลายพันล้านดอลลาร์ แต่อนาคตการละเมิดอาจจะลดลง เพราะญี่ปุ่นเตรียมนำเอา เอไอ มาใช้ตรวจจับการละเมิด เพื่อไม่ให้เสียหายไปมากกว่านี้

ในทุกวันนี้ มีเว็บไซต์อย่างน้อย 1,000 เว็บไซต์ ที่เปิดให้ ดาวน์โหลดอนิเมะ-มังงะฟรี อย่างผิดกฎหมาย ส่งผลให้ตลาดต้องเสียหาย หลายพันล้านดอลลาร์ทุกปี แต่ภายใต้โครงการนําร่องมูลค่า 300 ล้านเยน (ราว 72 ล้านบาท) ของ Tokyo’s cultural agency ที่จะใช้ระบบ AI ตรวจจับภาพและข้อความ เพื่อค้นหาเว็บไซต์ละเมิดลิขสิทธิ์

Keiko Momii เจ้าหน้าที่ของ Tokyo’s cultural agency เปิดเผยว่า ที่ผ่านมา เจ้าของลิขสิทธิ์ต้องใช้ทรัพยากรมนุษย์จํานวนมากในการพยายามตรวจจับเนื้อหาที่ละเมิดลิขสิทธิ์ทางออนไลน์ด้วยตนเอง ซึ่งไม่สามารถตามปิดเนื้อหาที่ละเมิดลิขสิทธิ์ได้ทัน ส่งผลให้ทางหน่วยงานเริ่มมีความคิดที่จะใช้ AI เข้ามาช่วยตรวจจับ และหากใช้ได้ผล ก็จะเริ่มขยายผลไปสู่อุตสาหกรรมอื่น ๆ เช่น ภาพยนตร์, เพลง และเกม

ที่ผ่านมา อุตสาหกรรมอนิเมะและมังงะ ถือเป็นอีกอุตสาหกรรมหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของญี่ปุ่น เทียบเท่ากับอุตสาหกรรม หล็กและเซมิคอนดักเตอร์ โดยในปี 2022 ตลาดเกม อนิเมะ และมังงะของญี่ปุ่นกวาดรายได้จากต่างประเทศถึง 4.7 ล้านล้านเยน (ราว 1 ล้านล้านบาท) ใกล้เคียงกับการส่งออกไมโครชิปที่ 5.7 ล้านล้านเยน

โดยรัฐบาลญี่ปุ่นได้ตั้งเป้าที่จะเพิ่มการส่งออกสินทรัพย์ทางวัฒนธรรมเหล่านี้เป็น 20 ล้านล้านเยน (ราว 4.6 ล้านล้านบาท) ภายในปี 2033 ภายใต้กลยุทธ์ Cool Japan ที่จะผลักดันและส่งเสริมซอฟต์เพาเวอร์ของประเทศไปสู่ตลาดต่างประเทศ

ทั้งนี้ สัดส่วนของเว็บไซต์ละเมิดลิขสิทธิ์ผลงานอนิเมะ-มังงะ ประมาณ 70% ไม่ใช่ภาษาญี่ปุ่น แต่เป็นภาษาต่างประเทศ อาทิ ภาษาอังกฤษ ภาษาจีน และภาษาเวียดนาม

Source

]]>
1502108