Global Trend – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 25 Nov 2025 08:30:01 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ไม่ได้สักแต่ใช้เงิน! ผลสำรวจชี้ ‘คนรวย’ เริ่มหันไปหาแบรนด์ราคา ‘สมเหตุสมผล’ เหตุแบรนด์เนมขึ้นราคาจน ‘แพงเวอร์’ สวนทางคุณภาพ https://positioningmag.com/1548431 Mon, 24 Nov 2025 12:05:36 +0000 https://positioningmag.com/?p=1548431 จากผลการศึกษาล่าสุดโดยบริษัทที่ปรึกษา Bain & Co คาดการณ์ว่ายอดขายสินค้าฟุ่มเฟือยส่วนบุคคลทั่วโลกจะหดตัวลงเป็นปีที่สองติดต่อกัน เนื่องจากผู้บริโภคที่มีฐานะดีเริ่มต่อต้านการขึ้นราคาที่สูงเกินจริงสำหรับแบรนด์เนมที่สินค้าดูธรรมดา 

Bain & Co คาดว่า ยอดขายสินค้าลักชูรี่ปีนี้จะ ลดลง -2% สู่ระดับ 3.58 แสนล้านยูโร (ประมาณ 412 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) จาก 3.64 แสนล้านยูโรในปี 2024 ซึ่งนับเป็นการ ชะลอตัวสองปีซ้อน นับตั้งแต่วิกฤตการเงินโลกในปี 2008-2009

โดยสถานการณ์ตลาดในปีนี้ คาดว่าจะมีเพียง ตะวันออกกลาง ที่เติบโตราว 4-6% คิดเป็นมูลค่าราว 2.3 หมื่นล้านยูโร ขณะที่ตลาดสำคัญอื่น ๆ หดตัวทั้งหมด อาทิ

  • สหรัฐอเมริกา: คาดว่าจะทรงตัวที่ประมาณ 1.01 แสนล้านยูโร
  • ยุโรป: ตกอยู่ภายใต้แรงกดดัน และคาดว่าจะหดตัวเล็กน้อยสู่ 1.08 แสนล้านยูโร
  • จีนและญี่ปุ่น: คาดว่าจะชะลอตัวลงมากถึง 8% สู่ 4.2 หมื่นล้านยูโร และ 3.1 หมื่นล้านยูโร ตามลำดับ

Claudia D’Arpizio หุ้นส่วนของ Bain และผู้ร่วมเขียนงานวิจัย ระบุว่า หมวดหมู่ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ รองเท้า และกระเป๋าถือ ซึ่งเป็นสินค้าที่มีการ ขึ้นราคาสูงที่สุด และการขึ้นราคาของแบรนด์เนม บวกกับวิกฤตด้านความคิดสร้างสรรค์ของสินค้า ทำให้ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา แบรนด์ต่าง ๆ สูญเสียลูกค้าไป 60-70 ล้านราย หรือคิดเป็นประมาณ 18% ของฐานลูกค้าที่ลดลง เหลือ 330 ล้านคน

เนื่องจากผู้บริโภคกำลัง ลดระดับไปหาแบรนด์ที่เข้าถึงได้ ซึ่งไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่มีเงิน แต่เป็นเพราะพวกเขา ให้ความสำคัญกับคุณค่ามากขึ้น โดยที่ไม่ได้มองแค่เพียงชื่อแบรนด์ 

นอกจากนี้ ภาวะขั้วสุดขีดในตลาด หรือการที่กลุ่มบุคคลที่มีความมั่งคั่งสูงมาก (Ultra-high-net-worth individuals) ที่ยังคงมีความสามารถในการซื้อสูงที่สุด กำลังทำให้ลูกค้าส่วนที่เหลือรู้สึก แปลกแยก เพราะแบรนด์มุ่งเน้นไปที่ลูกค้ากลุ่มนี้มากเกินไป จนทำให้ประสบการณ์ของลูกค้า ถูกออกแบบมาสำหรับคนเพียงไม่กี่คน

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าตลาดจะหดตัว 2 ปีติดต่อกันเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 20 ปี แต่ตลาดโดยรวมยังคงใหญ่กว่าปี 2019 ที่ยังไม่มีการระบาดของ COVID-19 ประมาณ 25% โดยตลาดเคยเติบโตสูงสุดถึง 3.69 แสนล้านยูโร ในปี 2023

ทั้งนี้ Bain คาดการณ์ว่า ในปีหน้าตลาดอาจจะฟื้นตัว 3-5% สู่ระดับ 3.65-3.75 แสนล้านยูโร 

Source

]]>
1548431
จีน-ญี่ปุ่น ตึงเครียดหนัก! ล่าสุด ลามถึงอนิเมะถูก ‘ห้ามฉาย’ และสั่ง ‘ยกเลิกทริป’ ไปญี่ปุ่น https://positioningmag.com/1547766 Wed, 19 Nov 2025 02:56:06 +0000 https://positioningmag.com/?p=1547766 หลายคนน่าจะรู้ว่า จีน และ ไต้หวัน เป็น 2 ประเทศที่มีประเด็นความขัดแย้งกันอยู่ เนื่องจากจีนอ้างความเป็นเจ้าของเกาะไต้หวัน ซึ่งที่ผ่านมา ญี่ปุ่น เองก็พยายามหลีกเลี่ยงไม่พูดถึงสถานการณ์ระหว่างจีนกับไต้หวัน เพื่อไม่ให้เป็นการยั่วยุจีน

จนกระทั่งการมาของ ซานาเอะ ทาคาอิจิ (Sanae Takaichi) นายกรัฐมนตรีหญิงของญี่ปุ่น ที่​​กล่าวต่อสมาชิกรัฐสภาญี่ปุ่นเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาว่า “หากจีนโจมตีไต้หวัน จนคุกคามต่อความอยู่รอดของญี่ปุ่น ก็อาจกระตุ้นให้ประเทศของเธอมีการตอบสนองทางทหาร” และความเห็นนี้เองที่เป็นชนวนสำคัญของความขัดแย้งระหว่างจีนและญี่ปุ่น

ล่าสุด แหล่งข่าวในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเปิดเผยว่า บริษัทนำเที่ยวรายใหญ่หลายแห่งของจีนได้ หยุดขายแพ็กเกจทัวร์ไปญี่ปุ่น หลังจากที่ รัฐบาลจีนเรียกร้องให้พลเมืองไม่เดินทางไปประเทศเพื่อนบ้าน เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ส่งผลให้โรงแรมบางแห่งในญี่ปุ่นเริ่มมีการยกเลิกการจองจากนักท่องเที่ยวจีน

ไม่เพียงแต่อุตสาหกรรมท่องเที่ยวเท่านั้น แต่ผลกระทบดังกล่าวได้ลุกลามไปถึง อุตสาหกรรมบันเทิง โดยมีการเลื่อนการฉายภาพยนตร์ญี่ปุ่นในจีน เช่น Crayon Shin-chan the Movie: Super Hot! Scorching Kasukabe Dancers หรือ Cells at Work

นับตั้งแต่เดือนมกราคม-กันยายนปีนี้ ญี่ปุ่นต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติถึง 31.65 ล้านคน โดยประมาณ 7.49 ล้านคนมาจากจีน เพิ่มขึ้น 42.7% จากปีก่อน และนับเป็นประเทศที่มีการเดินทางมาญี่ปุ่นมากที่สุด โดยในช่วงเดือนกรกฎาคม-กันยายน การบริโภคของนักท่องเที่ยวชาวจีนในญี่ปุ่นมีมูลค่าประมาณ 590,000 ล้านเยน ซึ่งเป็นตัวเลขสูงสุดเมื่อเทียบกับนักท่องเที่ยวทุกประเทศ

อย่างไรก็ตาม ทางหัวหน้าสมาพันธ์ธุรกิจ 3 แห่งในญี่ปุ่นได้พบ มาซาอากิ คานาอิ (Masaaki Kanai) อธิบดีกรมเอเชียและโอเชียเนีย กระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น เพื่อเรียกร้องให้มีการเจรจากับจีนเพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดทางการทูต

ก่อนหน้านี้ มีรายงานว่า มาซาอากิ คานาอิ จะเดินทางไปเจรจากับ หลิวจินซง (Liu Jinsong) รองอธิบดีกรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศจีนในสัปดาห์นี้ แต่ปรากฏว่า เมื่อวานนี้ (18 พฤศจิกายน) กระทรวงการต่างประเทศจีนเปิดเผยว่า หลี่เฉียงไม่มีแผนพบทาคาอิจิในการประชุม G20 ที่ประเทศแอฟริกาใต้

]]>
1547766
มหาศาล! ผลสำรวจพบ ‘เว็บมังงะเถื่อน’ ทำ ‘เจ้าของลิขสิทธิ์’ สูญเงินปีละ 1.8 ล้านล้านบาท https://positioningmag.com/1547016 Fri, 14 Nov 2025 05:02:12 +0000 https://positioningmag.com/?p=1547016 มังงะ หรือ หนังสือการ์ตูน ถือเป็นอีกสินค้าที่สำคัญต่อเศรษฐกิจของญี่ปุ่น เพราะถือเป็นซอฟต์เพาเวอร์ที่ทำให้ญี่ปุ่นสามารถเผยแพร่วัฒนธรรมของประเทศ รวมถึงสร้างรายได้ไปในหลายอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็น อนิเมะ และ สินค้าเมอร์ชานไดซ์ อย่างไรก็ตาม ปัญหา การละเมิดลิขสิทธิ์ ยังคงเป็นปัญหาใหญ่ของอุตสาหกรรม

ในปีที่ผ่านมา เฉพาะยอดขาย มังงะ ในญี่ปุ่นคาดว่าจะมีมูลค่าสูงถึง 7 แสนล้านเยน (ราว 158,000 ล้านบาท) เติบโตขึ้น +1.5% เมื่อเทียบกับปี 2023 ซึ่งถือเป็นการเติบโต 5 ปีติดต่อกัน โดยมังงะคิดเป็น 44.8% ของตลาดสิ่งพิมพ์ของประเทศ

ด้านตลาด มังงะโลก ในปี 2024 มีการประเมินว่ามีมูลค่าอยู่ที่ 8,826.4 ล้านเหรียญสหรัฐ และคาดว่าจะถึง 23,994.6 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2030 โดยมีอัตราการเติบโตที่ CAGR 18.7% มีการคาดการณ์ว่า ตั้งแต่ปี 2025 – 2030 ความต้องการมังงะดิจิทัลที่เพิ่มขึ้นกำลังปรับเปลี่ยนตลาด เนื่องจากผู้อ่านจำนวนมากขึ้นต้องการความสะดวกและการเข้าถึงแพลตฟอร์มดิจิทัล 

อย่างไรก็ตาม มูลค่าตลาดมังงะและสื่อสิ่งพิมพ์ของญี่ปุ่นมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก แต่ต้องการการสูญเสียรายได้ทั่วโลกจากการรับชมมังงะและสิ่งพิมพ์อื่น ๆ ของญี่ปุ่นอย่างผิดกฎหมายผ่านช่องทางออนไลน์ โดยจากการประเมินของ กลุ่มต่อต้านการละเมิดลิขสิทธิ์ (ABJ) คาดว่า เว็บไซต์ละเมิดลิขสิทธิ์สร้างให้กับเจ้าของสิทธิ์ถึงปีละ 8.5 ล้านล้านเยน หรือราว 1.8 ล้านล้านบาท

โดยทาง ABJ ได้ทำการตรวจสอบจำนวนการเข้าถึงและเวลาในการรับชมของเว็บไซต์ 913 แห่ง ตลอดเดือนมิถุนายน โดยพบว่า เว็บไซต์ที่ให้บริการการเข้าถึงการ์ตูน นวนิยาย และโฟโต้บุ๊กของญี่ปุ่นโดยไม่ได้รับอนุญาต ได้รับการเข้าชมประมาณ 2.8 พันล้านครั้ง มีเวลาในการรับชมรวมกันสูงถึงประมาณ 700 ล้านชั่วโมง จากผู้ใช้งานใน 123 ประเทศ

ประเทศประเทศที่มีสัดส่วนการรับชมสูงสุด

  1. อินโดนีเซีย: 12.8%
  2. ญี่ปุ่น: 12.4%
  3. สหรัฐอเมริกา: 11.2%

ภาษาที่พบบ่อยที่สุดในเว็บไซต์ละเมิดลิขสิทธิ์

  1. อังกฤษ: 51%
  2. ญี่ปุ่น: 16%
  3. จีนและเวียดนาม: เท่ากันที่ 6%

ทั้งนี้ ประเด็นเรื่องเว็บไซต์ละเมิดลิขสิทธิ์เป็นปัญหาสำคัญที่สร้างความปวดหัวให้กับสำนักพิมพ์ ศิลปิน และนักเขียนชาวญี่ปุ่นมาเป็นเวลานาน เนื่องจากยังมีเว็บไซต์ใหม่ ๆ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และหลายแห่งมักเปลี่ยนโดเมนเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับ

ส่งผลให้ สำนักกิจการวัฒนธรรมญี่ปุ่น (Agency for Cultural Affairs) ได้จัดสรรงบประมาณ 300 ล้านเยน (ประมาณ 63 ล้านบาท) เพื่อพัฒนา ระบบตรวจจับด้วย AI ที่จะเรียนรู้รูปแบบ (เช่น เลย์เอาต์และโฆษณา) ของเว็บไซต์ละเมิดลิขสิทธิ์ เพื่อช่วยให้เจ้าของสิทธิ์ดำเนินการลบเนื้อหาได้รวดเร็วขึ้น เนื่องจากกำลังคนไม่เพียงพอต่อการรับมือ

japantimes / grandviewresearch

]]>
1547016
หรือ ‘วันคนโสด’ ในจีนจะสิ้นมนต์ขลัง หลังผู้บริโภค ‘เบื่อ’ เพราะโปรฯ ไม่ดึงดูด แถมเงื่อนไขซับซ้อน https://positioningmag.com/1546720 Thu, 13 Nov 2025 02:00:20 +0000 https://positioningmag.com/?p=1546720 หลายคนน่าจะคุ้นชินกับเทศกาล 11.11 หรือ วันคนโสด (Single Day) ที่ อาลีบาบา (Alibaba) อีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ของจีนเป็นผู้ริเริ่ม จนปัจจุบัน 11.11 ได้กลายเป็นเทศกาล ช้อปปิ้งของบรรดาแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซและแบรนด์ต่าง ๆ ไปโดยปริยาย

อย่างไรก็ตาม เทศกาล 11.11 ในจีน ซึ่งเป็นประเทศต้นกำเนิดดูเหมือนจะเริ่มเสื่อมมนต์ขลัง ไร้พลังดึงดูดต่างจากอดีต สังเกตได้จากยักษ์ใหญ่อีคอมเมิร์ซของจีน ไม่ว่าจะเป็น อาลีบาบา หรือ ⁦JD.com⁩ ต่างก็ เลิกประกาศสถิติยอดซื้อในวัน 11.11 ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่ต้องแข่งกันประกาศยอดขาย

โดยรายงายจาก AFP ที่ถามความเห็นของผู้บริโภคชาวจีนเกี่ยวกับวันคนโสด โดยนักช้อปส่วนใหญ่เริ่มแสดงอาการ เบื่อ กับแคมเปญ 11.11 โดยมองว่า โปรโมชั่นไม่ดึงดูด เหมือนในอดีตที่ผ่านมา นอกจากนี้ ยังรู้สึกว่าไม่ต้องรอ 11.11 พวกเขาก็ถูก กระหน่ำด้วยโปรโมชั่นแทบตลอดเวลา เนื่องจากรัฐบาลจีนกำลังพยายามกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ

นอกจากนี้ หลายคนยังมองว่า เงื่อนไขการใช้โปรโมชั่นซับซ้อนขึ้นเรื่อย ๆ เช่น ต้องเก็บคูปองหลายใบ หรือต้องซื้อให้ถึงขั้นต่ำ เป็นต้น

“ฉันไม่ซื้ออะไรเลยใน 11.11 ปีนี้ เพราะส่วนลดต่างๆ ไม่ได้น่าสนใจเหมือนเมื่อก่อน และฉันไม่เคยเข้าร่วมกฎที่ซับซ้อนพวกนี้เพื่อให้ได้ส่วนลดเลยแม้แต่ครั้งเดียว” Zhang Jing วัย 29 ปี จากเซี่ยงไฮ้ กล่าวกับสำนักข่าว AFP

ปี 2020 Alibaba เคยรายงานยอดขายในวัน 11.11 อย่างยิ่งใหญ่

ขณะเดียวกัน ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้คนไม่กล้าจับจ่าย โดย Shi Xuebin วัย 42 ปี เจ้าของร้านเสื้อผ้าบูติก บอกว่า แม้วัน 11.11 เธอจะซื้อ iPhone เครื่องใหม่ก็จริง แต่เพราะเธอตั้งใจจะซื้อโทรศัพท์ใหม่อยู่แล้ว โดยถ้าเทียบกับปีก่อน ๆ เธอ ซื้อสินค้าในวันคนโสดลดลง เนื่องจากรู้สึกว่า เศรษฐกิจไม่ดี

“ฉันรู้สึกว่าเศรษฐกิจโดยรวมปีนี้ไม่ค่อยดี และผู้คนหลีกเลี่ยงการซื้อของที่ไม่จำเป็นอย่างยิ่ง เมื่อก่อนถ้าชอบอะไรก็จะซื้อโดยไม่คิดมาก แต่ตอนนี้มีความรู้สึกของการลดระดับการบริโภคอย่างชัดเจน”

Source

]]>
1546720
ปวดใจแค่ไหน ต่อไปรู้ได้แล้วนะ! ‘ญี่ปุ่น’ พัฒนาระบบ ‘วัดความเจ็บ’ แล้วแสดงเป็นตัวเลข เจ็บกาย-เจ็บใจก็วัดได้ https://positioningmag.com/1546485 Tue, 11 Nov 2025 13:13:20 +0000 https://positioningmag.com/?p=1546485 เพราะเจ็บของคนเราไม่เท่ากัน! บริษัท NTT Docomo Inc. ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือรายใหญ่ของญี่ปุ่น เลยได้พัฒนาระบบที่สามารถ วัดระดับความเจ็บปวด ทั้งทางร่างกายและจิตใจออกมาเป็นตัวเลข และสามารถแชร์ข้อมูลให้ผู้อื่นรับรู้ได้ด้วย จะได้บอกได้ว่าความเจ็บปวดที่เผชิญมากน้อยแค่ไหน

NTT Docomo กล่าวว่า เทคโนโลยีนี้เป็น ครั้งแรกของโลก ที่เปลี่ยนระดับความเจ็บปวดที่ยากจะอธิบายเป็นคำพูด ให้เป็นค่าที่ตรงกับความรู้สึกของผู้รับผ่านการ วิเคราะห์คลื่นสมอง ของแต่ละบุคคล โดยประเภทของความเจ็บปวดที่สามารถวัดและแบ่งปันได้นั้น ครอบคลุมตั้งแต่อาการปวดท้องและการบาดเจ็บ ไปจนถึงความรู้สึกต่าง ๆ เช่น ความเผ็ดร้อน และความหนาวเย็น รวมถึงความเสียหายทางอารมณ์ที่เกิดจากการ ถูกต่อว่า

NTT Docomo อธิบายว่า ตัวอย่างเช่น ระบบที่พัฒนาร่วมกับบริษัทสตาร์ทอัพญี่ปุ่นชื่อ Pamela Inc. จะช่วยให้ผู้รับสามารถเข้าใจได้ว่า ระดับความเจ็บปวด 50 นั้นมีความหมายมากน้อยแค่ไหนสำหรับบุคคลอื่น นอกจากนี้ ผู้รับยังสามารถ สัมผัสประสบการณ์ความเจ็บปวดของบุคคลนั้น ผ่านอุปกรณ์บางอย่างได้ด้วย

โดยบริษัทคาดการณ์ว่า เทคโนโลยีนี้มีศักยภาพมหาศาลในการนำไปประยุกต์ใช้ เช่น การสนับสนุนการวินิจฉัยทางการแพทย์, การฟื้นฟูสมรรถภาพในสถานสงเคราะห์ และการยกระดับประสบการณ์ที่สมจริงในวิดีโอเกม เป็นต้น นอกจากนี้ ระบบนี้ยังสามารถนำมาใช้ จัดการกับความเสียหายทางจิตใจ ที่ยากต่อการมองเห็นเป็นภาพได้ เช่น กรณีที่พนักงานถูกลูกค้าแสดงพฤติกรรมก้าวร้าว หรือบุคคลที่ได้รับความเสียหายจากการถูกใส่ร้ายในโซเชียลมีเดีย

เจ้าหน้าที่ของ NTT Docomo กล่าวว่า พวกเขาหวังที่จะนำแพลตฟอร์มนี้มาใช้จริงในช่วงเวลาที่จะมีการเปิดตัว เครือข่ายโทรศัพท์ 6G ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงปี 2030

Source

]]>
1546485
‘Amazon’ เตรียมปลดพนักงาน 30,000 ตำแหน่ง นับเป็นการลดคนครั้งใหญ่สุดในรอบ 3 ปี! https://positioningmag.com/1544372 Tue, 28 Oct 2025 00:17:10 +0000 https://positioningmag.com/?p=1544372 Amazon บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ กำลังวางแผนที่จะลดจำนวนพนักงานในส่วนงานองค์กร (corporate jobs) มากถึง 30,000 ตำแหน่ง โดยเริ่มตั้งแต่เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา เพื่อลดค่าใช้จ่าย และโละพนักงานส่วนเกินที่ถูกจ้างเพิ่มในช่วงการระบาดใหญ่ของ COVID-19

Reuters รายงานว่า Amazon เตรียมปรับลดจำนวนพนักงานลง 10% หรือราว 30,000 ตำแหน่ง จากพนักงานในองค์กรทั้งหมด 350,000 คน โดยการปลดพนักงานในครั้งนี้ นับเป็นการปลดครั้งใหญ่สุด นับตั้งแต่ปลายปี 2022 ที่บริษัทได้ปรับลดคนไปราว 27,000 ตำแหน่ง

โดยการปรับลดครั้งใหม่นี้คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อหลากหลายแผนก อาทิ ทรัพยากรบุคคล (Human Resources), ฝ่ายปฏิบัติการ (Operations), แผนกอุปกรณ์และบริการ (Devices and services) และแผนก Amazon Web Services (AWS) โดยบริษัทได้มีการแจ้งให้ผู้จัดการของทีมที่ได้รับผลกระทบเข้ารับการฝึกอบรมในวันจันทร์ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการสื่อสารกับพนักงาน หลังจากอีเมลแจ้งเตือนจะเริ่มถูกส่งออกไปในเช้าวันอังคาร

ตามข้อมูลจากแหล่งข่าว 3 ราย เปิดเผยกับ Reuters  ว่า การปลดพนักงานครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการ ปรับลดค่าใช้จ่าย และการแก้ไขปัญหา การจ้างงานเกินความจำ เป็นในช่วงที่ความต้องการสูงที่สุดของการแพร่ระบาดของ COVID-19

อีกทั้ง การปรับลดคนระลอกใหญ่ของบริษัทครั้งนี้ ถือเป็นการเดินตามนโยบายของ Andy Jassy ซีอีโอของ Amazon ที่ต้องการลดสิ่งที่เขาเรียกว่า ระบบส่วนเกิน (excess of bureaucracy) ที่นำไปสู่การลดจำนวนผู้จัดการลง เพื่อลดขั้นตอนในการทำงาน นอกจากนี้ AI ถือเป็นอีกส่วนที่นำไปสู่การลดจำนวนพนักงานลงอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการทำงานอัตโนมัติในงานที่ซ้ำซาก

Andy Jassy ซีอีโอของ Amazon (Photo by Spencer Platt/Getty Images)

Sky Canaves นักวิเคราะห์จาก eMarketer มองว่า การเคลื่อนไหวล่าสุดนี้บ่งชี้ว่า Amazon น่าจะตระหนักถึงการเพิ่มผลผลิตที่ขับเคลื่อนด้วย AI ภายในทีมองค์กรมากพอที่จะสนับสนุนการลดกำลังคนจำนวนมาก และ Amazon กำลังอยู่ภายใต้ความกดดันที่จะต้อง ชดเชยการลงทุนระยะยาวในการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI ด้วย

ทั้งนี้ Amazon เคยออกนโยบายให้พนักงานกลับเข้าทำงานในสำนักงาน 5 วันต่อสัปดาห์ เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายที่เข้มงวดที่สุดในบรรดาบริษัทเทคโนโลยี จนหลายคนมองว่า นโยบายดังกล่าวต้องการ บีบให้พนักงานลาออก อย่างไรก็ตาม นโยบายดังกล่าวไม่สามารถสร้างการลาออกได้มากตามที่คาดไว้ ทำให้เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่นำไปสู่การเลิกจ้างครั้งใหญ่นี้

]]>
1544372
Strava เจ้าพ่อแอปสถิติวิ่ง 2,000 ล้าน จากเส้นทางนักกีฬา สู่ “Instagram แห่งการออกกำลังกาย” https://positioningmag.com/1544014 Mon, 27 Oct 2025 05:10:48 +0000 https://positioningmag.com/?p=1544014 Strava ไม่ได้เป็นเพียงแอปพลิเคชัน แต่คืออาณาจักรเสมือนจริงของนักวิ่ง นักปั่น และนักผจญภัยทั่วโลก ด้วยการผสมผสานการติดตามข้อมูลสถิติ (Tracking) เข้ากับฟีเจอร์เชิงสังคมที่เปิดให้แชร์ต่อหรือแข่งขันกับเพื่อน (Social Features) ทำให้แอปฯ ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2009 นี้ กลายเป็นเครื่องมือ “ที่ต้องมี” สำหรับผู้ที่ต้องการอวดผลงานการออกกำลังกายให้โลกได้รับรู้ จนถูกยกให้เป็น “Instagram แห่งการออกกำลังกาย”

แอปพลิเคชันจากซานฟรานซิสโกนี้อนุญาตให้ผู้ใช้หรือ “นักกีฬา” (athletes) สามารถบันทึกและแบ่งปันกิจกรรมการออกกำลังกายได้หลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นการวิ่ง, การปั่นจักรยาน, การเดินป่า, การว่ายน้ำ และกิจกรรมอื่นๆ มากกว่า 40 ชนิด ซึ่งที่ผ่านมา กระแสความนิยมของ Strava พุ่งสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดดในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 เนื่องจากผู้คนหันมาออกกำลังกายนอกบ้านมากขึ้น ความสำเร็จนี้ทำให้ Strava กลายเป็นศูนย์รวมของอินฟลูเอนเซอร์ด้านฟิตเนส สร้างวัฒนธรรมในหมู่นักวิ่งและนักปั่นให้พร้อมใจมาอยู่บน Strava

ล่าสุดในเดือนพฤษภาคม 2025 ดาวรุ่งอย่าง Strava ประสบความสำเร็จในการระดมทุนรอบใหม่ ส่งผลให้มูลค่าบริษัทพุ่งสูงถึง 2.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 6.5 หมื่นล้านบาท) ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมากจากมูลค่า 1.5 พันล้านดอลลาร์ในปี 2020 ซึ่งซีอีโอ Mike Martin เปิดเผยว่าบริษัทกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่องและมีแนวโน้มที่จะทำรายได้ประจำปีแตะ 500 ล้านดอลลาร์ในไม่กี่อึดใจ โดยในปี 2024 ที่ผ่านมา Strava มีการเติบโตของผู้ใช้ใหม่มากกว่า 50% และปัจจุบันมีผู้ลงทะเบียนใช้งานทั่วโลกแล้วกว่า 150 ล้านคน

กำเนิดเวทมนตร์ Strava

ทุกเรื่องราวยิ่งใหญ่เริ่มจากจุดเล็กๆ และสำหรับ Strava อาณาจักร 2 พันล้านดอลล์เกิดได้เพราะการพบกันของ 2 เพื่อนทีมพายเรือของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดในช่วงยุค 80 โดยมาร์ก เกนีย์ (Mark Gainey) และไมเคิล ฮอร์วาธ (Michael Horvath) กลับมาพบกันหลังเรียนจบ เมื่อเกนีย์กลายเป็นนักลงทุนรุ่นเยาว์ ขณะที่ฮอร์วาธไป  สอนที่สแตนฟอร์ด

ทั้งคู่เคยร่วมก่อตั้ง Kana Communications สตาร์ทอัปด้านโฆษณาออนไลน์ที่ประสบความสำเร็จอย่างงดงามในยุคจุดเริ่มต้นของอินเทอร์เน็ต จนกระทั่งไอเดียตั้งต้นของ Strava ถูกจุดประกายในปี 1996 เมื่อทั้งคู่คุยกันถึงโอกาสในโลกอินเทอร์เน็ตที่กำลังบูม ผ่านปัญหาใหญ่ที่ว่านักกีฬาหลายคน ต้องออกกำลังกายคนเดียว การเข้าถึงเป้าหมายจึงเป็นเรื่องโหดหิน และขาดแรงจูงใจ

จนกระทั่งปี 2009 ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจโลก ทั้ง 2 หนุ่มตัดสินใจลุยเต็มตัว ก่อตั้ง Strava ในซานฟรานซิสโก ด้วยวิสัยทัศน์ชัดเจนว่าจะสร้างแพลตฟอร์มที่ไม่ใช่แค่บันทึกข้อมูล แต่เป็นพื้นที่สังคมสำหรับนักวิ่ง นักปั่น และนักกีฬาทุกประเภท ชื่อ “Strava” มาจากภาษาสวีเดนแปลว่า “strive” หรือ “พยายามอย่างสุดตัว” ซึ่งสะท้อนปรัชญาของแอปตั้งแต่แรกเริ่ม ว่าไม่ใช่แค่การแข่งขัน แต่คือการเติบโตไปด้วยกัน

ในยุคแรก Strava เริ่มต้นแบบเรียบง่าย คือผู้ใช้บันทึกเส้นทาง เปรียบเทียบเวลา และแบ่งปันเรื่องราว แต่สิ่งที่ทำให้ Strava แตกต่างคือ “เซ็กเมนต์” (segments) ฟีเจอร์นี้ช่วยให้นักกีฬาสามารถติดตามเวลาที่ทำได้ในส่วนใดส่วนหนึ่งของเส้นทางที่วิ่งหรือปั่น และนำไปเปรียบเทียบกับผู้ใช้คนอื่น ๆ ซึ่งกระตุ้นให้ผู้ใช้จำนวนมากหมกมุ่นอยู่กับการทำเวลาในเซ็กเมนต์ให้เร็วที่สุด

Strava ไม่ได้เติบโตแบบข้ามคืน แต่ด้วยกลยุทธ์ที่ชาญฉลาด ทำให้ Strava กลายเป็น “ทีมกีฬาใหญ่ที่สุดในโลก” ภายในไม่กี่ปี เพราะฟีเจอร์อย่าง leaderboards (อันดับคะแนน) และ challenges (ความท้าทายรายเดือน) ทำให้ผู้ใช้เกาะติดด้วยอารมณ์เหมือนเกมที่ให้รางวัลเป็นภาพป้ายและถ้วยรางวัลเมื่อทำสถิติใหม่ได้ เช่น วิ่งครบ 1,000 กิโลเมตร หรือปั่นขึ้นเนินชันสุดโหด การทำ gamification นี้ไม่ใช่แค่สนุก แต่เพิ่ม engagement สูงลิ่ว  ผู้ใช้กลับมาเปิดแอปทุกวันเพื่อเช็กสถิติและดีใจกับชัยชนะเล็กๆ ที่ทำได้

ปี 2016 คือจุดพลิกผัน เมื่อ Strava เปิดตัว Summit subscription แพ็กเกจพรีเมียมที่เพิ่มงานวิเคราะห์ขั้นสูง ทำให้รายได้พุ่งจากโฆษณาและพันธมิตรอย่าง Garmin หรือ Nike ตั้งแต่ปี 2020 ฐานผู้ใช้ Strava จึงโตก้าวกระโดดท่ามกลางโควิดที่ทำให้ทุกคนหันมาออกกำลังกายกลางแจ้งมากขึ้น Strava กลายเป็น “Instagram ของนักกีฬา” ที่ไม่ใช่แค่โพสต์รูป แต่โชว์ข้อมูลจริง เช่น ความเร็วเฉลี่ย หรือตัวเลขแคลอรี่ที่เผาผลาญได้

ล่าสุดในปี 2025 นี้ Strava ก้าวสู่จุดสูงสุดใหม่ คือผู้ใช้รายเดือนพุ่งแตะ 50 ล้านคน ขับเคลื่อนโดยกลุ่มคนรุ่นใหม่ Gen Z ที่ทิ้งแอปนัดเดทหาคู่ เพื่อหาเพื่อนผ่านกลุ่มวิ่ง เกิดเป็นเทรนด์ฮิต “วิ่งด้วยกัน แล้วค่อยปัดขวา” ซึ่งไม่เพียงมูลค่าบริษัทที่ทะลุ 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ CEO อย่างไมเคิล มาร์ติน (Michael Martin) ยังประกาศแผน IPO พา Strava เข้าตลาดหุ้นในอนาคตอันใกล้ เพื่อขยายสู่ตลาดเอเชียและเพิ่มฟีเจอร์ AI สำหรับแผนฝึกซ้อมส่วนตัว

ดราม่า Garmin

การประกาศ IPO ของ Strava นั้นถูกส่งสัญญาณชัดเจนในช่วงตุลาคม 2568 ซึ่งเป็นเดือนที่ Strava สร้างความตื่นเต้นให้วงการฟิตเนส ด้วยการฟ้อง Garmin ผู้ผลิตนาฬิกากีฬายักษ์ใหญ่ ฐานละเมิดสิทธิบัตรเรื่อง “Strava Segments” ที่เป็นหัวใจของแอป

Strava กล่าวหาว่า Garmin ละเมิดสิทธิบัตรสำคัญของ Strava ได้แก่ Segments และ Heat Maps และยังละเมิดข้อตกลงความร่วมมือหลักที่ทั้งสองบริษัทเคยทำไว้ โดย Heat Maps หรือแผนที่ความร้อนนั้นเป็นคุณสมบัตินี้ทำให้ผู้ใช้สามารถเห็นเส้นทางออกกำลังกายที่เป็นที่นิยมทั่วโลก ซึ่งช่วยในการค้นหาสถานที่ใหม่ให้นักวิ่งได้เปิดประสบการณ์ร่วมกัน

การฟ้องนี้น่าแปลกใจเพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า Strava และ Garmin มีความร่วมมืออันดีมานานหลายปี โดย Strava อนุญาตให้ผู้ใช้นาฬิกาติดตามฟิตเนสของ Garmin สามารถบันทึกข้อมูลการออกกำลังกายลงในแอป Strava ผ่านแพลตฟอร์ม Garmin Connect ได้ อย่างไรก็ตาม Strava ต้องการแก้ไขประเด็นที่ Garmin ออกคำสั่งให้ Strava ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดใหม่ในการติดลายน้ำ (watermarking) ข้อมูลการออกกำลังกายที่โพสต์บน Strava ด้วยข้อมูลอุปกรณ์ Garmin ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายนเป็นต้นไป

ล่าสุด ชุมชนนักกีฬาไม่ต้องแตกตื่นว่าจะเกิดสงครามเย็นระหว่างแอปกับ gadget อย่างที่กังวล เพราะ Strava ถอยทัพประกาศยอมปฏิบัติตามเงื่อนไข API ใหม่ของ Garmin โดยเพิ่มโลโก้ Garmin ในข้อมูลที่ sync จากนาฬิกา Garmin เพื่อให้ข้อมูลผู้ใช้ยังคงไหลลื่นปกติ และ Strava ยินยอมอัปเดตระบบให้แสดง attribution (เครดิต) ชัดเจนยิ่งขึ้น

ปัจจุบัน Strava เดินหน้าขยายพันธมิตรสู่หลากหลายกลุ่ม มีทั้งการปรับดีไซน์ใหม่ให้แอปพลิเคชันบน Apple Watch app ที่เร็วและชัดเจนกว่าเดิม ขณะเดียวกันก็มีบูรณาการกับแว่น Oakley สำหรับนักปั่น รวมถึงมีฟีเจอร์ใหม่สำหรับนักวิ่งและนักปั่น โดยอีกพันธมิตรล่าสุดของ Strava คือ Airbnb ซึ่งจะเอื้อให้เกิด “ทริปวิ่ง” ที่ผสมผสานการท่องเที่ยวกับกีฬาเข้าด้วยกัน

โยงธุรกิจสู่ชุมชน ไปไกลเกินแอป

บทสรุปของการวิเคราะห์เส้นทางความยิ่งใหญ่ของ Strava ต้องบอกว่านี่คือกรณีศึกษาสมบูรณ์แบบสำหรับสตาร์ทอัปยุคใหม่ จากจุดเริ่มที่ความชื่นชอบส่วนตัว แล้วนำใช้เทคโนโลยีมาแก้ปัญหา (ความเหงาของนักกีฬา) สู่การเติบโตด้วย community ที่แข็งแกร่ง

Strava สามารถพิสูจน์ได้ว่าธุรกิจที่ยั่งยืนไม่ใช่แค่ขายสินค้า แต่คือการสร้าง “ทีม” ที่ฐานผู้ใช้ที่เป็นนักกีฬา 50 ล้านต่างผลักดันกันเอง ทั้งหมดนี้ทำได้เมื่อมีหัวใจสำคัญที่ทำให้ Strava แตกต่างซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่ได้รับการคุ้มครองสิทธิบัตร ร่วมกับการขยายอาณาจักรและการเข้าซื้อกิจการ

Strava ได้เข้าซื้อกิจการ Runna ซึ่งเป็นแอปฯ ฝึกซ้อมวิ่งจากลอนดอนเมื่อเมษายน 2025 ซึ่งจะทำให้ Strava มีเทคโนโลยีให้บริการแผนการฝึกส่วนบุคคลสำหรับงานแข่งหรือมาราธอนในอนาคต นอกจากนี้ยังซื้อกิจการ The Breakaway ซึ่งเป็นแอปฯ ฝึกซ้อมสำหรับนักปั่นจักรยาน ในเดือนพฤษภาคมด้วย

อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้เกิดบนภาพของ Strava ที่เริ่มเปลี่ยนไป ล่าสุดมีโพสต์หนึ่งของผู้ใช้ที่ให้ความเห็นว่า Strava กำลังกลายเป็นเหมือน Instagram ไปแล้ว โดยโพสต์ Reddit ชื่อ “Is Strava going to be Instagram” ที่โพสต์โดยผู้ใช้ Velocybirr เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2568 (ค.ศ. 2025) ซึ่งได้รับ upvotes กว่า 520 คะแนนและคอมเมนต์ 61 ความเห็น นั้นวิจารณ์บัญชีสมาชิก Strava ที่ใช้ชื่อโรงแรม Westin เพื่อโปรโมตสินค้า สะท้อนความกังวลว่าอาจนำไปสู่การล้นทะลักของโฆษณาและนักกีฬาซึ่งเน้นการส่งเสริมแบรนด์ ทำให้ Strava อาจจะคล้าย Instagram เข้าไปทุกที

คอมเมนต์บางส่วนยังถกเถียงเรื่องวิวัฒนาการของฟีดโซเชียลใน Strava เช่น การแนะนำบัญชีด้วยอัลกอริทึม (suggested accounts) การโฆษณาผ่าน challenges และการปรับฟีด ให้เป็นเชิงพาณิชย์หรือ commercial มากขึ้น ซึ่งแม้จะไม่มีฟีเจอร์แชร์สตอรี่แบบ Instagram Stories โดยตรง แต่ผู้ใช้บางคนก็รู้สึกว่า Strava ว่าเป็น “Instagram สำหรับนักกีฬา” ไปแล้ว ซึ่งไม่ว่าสถานการณ์นี้จะเป็นความท้าทายหรือโอกาส แต่ Strava จะขยายอาณาจักรพัน-หมื่นล้านต่อไปได้อีกแน่นอน

ที่มา : Wikipedia, Business Insider, DC Rainmaker, Reuters

]]>
1544014
‘ธุรกิจกงสี’ ในญี่ปุ่นกำลังเจอวิกฤต ‘ไร้ผู้สืบทอด’ เพราะเด็กเกิดน้อย-ภาษีมรดกสูงลิ่ว ดัน ‘ไพรเวทอิควิตี้’ บูม https://positioningmag.com/1543781 Tue, 21 Oct 2025 11:35:06 +0000 https://positioningmag.com/?p=1543781 อย่างที่หลายคนรู้กันดีว่า หลายประเทศในเอเชียกำลังเผชิญกับปัญหา อัตราเกิดต่ำ ซึ่งรวมไปถึงประเทศ ญี่ปุ่น ที่ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 มีเด็กเกิดใหม่เพียง 339,280 คน ลดลง -3.1% ซึ่งถือเป็นสถิติต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ และอัตราการเกิดที่ต่ำลงกำลังส่งผลให้ ธุรกิจในญี่ปุ่นไร้ผู้สืบทอด

เจ้าของธุรกิจสูงวัยในญี่ปุ่น กำลังเผชิญกับปัญหา ไร้ทายาทสืบทอดกิจการของครอบครัว รวมไปถึง ทายาทไม่สนใจที่จะสืบทอด เนื่องจากปัญหา ภาษีมรดก โดยญี่ปุ่น ถือเป็นประเทศที่มีอัตราภาษีมรดกที่ สูงที่สุดในโลก

รายงานจาก World Economic Forum คาดการณ์ว่า ภายในปี 2568 เจ้าของ SME ประมาณ 1.27 ล้านราย ที่มีอายุ 70 ปีขึ้นไปจะ ไม่มีผู้สืบทอด ซึ่งคิดเป็นประมาณ 1 ใน 3 ของบริษัทญี่ปุ่นทั้งหมด และจากข้อมูลของ Tax Foundation พบว่า ญี่ปุ่นเรียกเก็บ ภาษีมรดกที่สูงที่สุดในโลก โดยสูงถึง 55% สำหรับกองมรดกขนาดใหญ่

ภาษีที่สูงนี้ทำให้แม้แต่ทายาทก็ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบาก เนื่องจากใบแจ้งหนี้ภาษีจะต้องชำระภายใน 10 เดือนหลังการเสียชีวิต ซึ่งมักจะบีบให้ทายาทต้อง ขายทรัพย์สิน เพื่อระดมเงินสด นี่จึงทำให้การขายให้กับ กองทุนไพรเวทอิควิตี้ (Private Equity) เป็นทางเลือกที่น่าสนใจมากขึ้นเรื่อย ๆ

จากข้อมูลของ Bain & Co., พบว่า ตลาดไพรเวทอิควิตี้ของญี่ปุ่นมีมูลค่าการทำธุรกรรมสูงกว่า 3 ล้านล้านเยน (6.47 แแสนล้านบาท) ติดต่อกัน 4 ปี และข้อมูลจาก PitchBook พบว่า มูลค่าดีลการเข้าซื้อกิจการในญี่ปุ่นปีนี้เพิ่มขึ้นกว่า 30% เมื่อเทียบกับปีก่อน แตะ 2.91 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (9.56 แสนล้านบาท)

ข้อมูลจาก Neuberger Berman บริษัทจัดการการลงทุนระบุว่า กว่า 90% ของ SME ในญี่ปุ่นเป็นธุรกิจครอบครัว และ กว่า 65% ของข้อตกลงซื้อกิจการ (buyout deals) ในญี่ปุ่นในปัจจุบันมาจากกรณี ขาดผู้สืบ ทอดกิจการ

“การขาดผู้สืบทอด และประชากรสูงวัยของญี่ปุ่น เป็นปัจจัยสำคัญ สำหรับการเติบโตของกองทุนไพรเวทอิควิตี้ในประเทศ ผู้ขายจำนวนมากมองว่า ไพรเวทอิควิตี้เป็นทางเลือกที่เป็นไปได้จริง เพราะมีทางเลือกอื่นน้อยมาก” Kyle Walters กล่าว

อย่างไรก็ตาม แม้ตลาดไพรเวทอิควิตี้ของญี่ปุ่นกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่มูลค่าการลงทุนยังมีสัดส่วนเพียง 0.4% ของ GDP ญี่ปุ่น เมื่อเทียบกับ 1.3% ในสหรัฐอเมริกา และ 1.9% ในยุโรป อย่างไรก็ตาม ปัญหาในการไร้ผู้สืบทอดกิจการ ยังคงเป็นปัญหาที่คงจะไม่หายไปในเร็ว ๆ นี้ ดังนั้น ญี่ปุ่นจะยังคงเป็นตลาดที่มีแนวโน้มการเติบโตของไพรเวทอิควิตี้

Source

]]>
1543781
ไม่ใช่แค่ทองคำ! แต่ราคา ‘ทองแดง’ กำลังพุ่งเพราะปัญหา ‘ขาดแคลน’ สวนทางความต้องการที่เกิดจาก ‘AI’ https://positioningmag.com/1543461 Mon, 20 Oct 2025 07:00:06 +0000 https://positioningmag.com/?p=1543461 ทองแดงกำลังจะกลายเป็น ทองคำใหม่ เพราะความต้องการที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก เพื่อสร้างเทคโนโลยีแห่งอนาคต เช่น AI (ปัญญาประดิษฐ์) และรถยนต์ไฟฟ้า แต่ปัญหาคือ ทองแดงอาจจะไม่พอ เนื่องจากความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน

ทองแดง ไม่ใช่ใช้แค่ในงานก่อสร้างหรือสายไฟอย่างที่หลายคนเคยเข้าใจ แต่ปัจจุบันทองแดงถือเป็นสิ่งจําเป็น    สําหรับเซมิคอนดักเตอร์ สายเคเบิล ระบบอาวุธขั้นสูง และระบบระบายความร้อน ดังนั้น ทองแดงถือเป็นอีกตัวที่ขับเคลื่อนความก้าวหน้าของ AI ให้ได้รับความสนใจมากขึ้น เนื่องจากนักลงทุนยังคงเชื่อมั่นในการเติบโตของ AI

แต่หลังจากที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศ ขึ้นภาษีทองแดง 50% เพื่อที่จะ ดึงการผลิตกลับเข้าประเทศ ส่งผลให้ราคาทองแดงพุ่งขึ้นสูงสุดสู่ระดับ 12,330 ดอลลาร์ต่อเมตริกตัน แม้ปัจจุบันราคาทองแดงมีการซื้อขายอยู่ที่ราว 10,500 – 10,600 ดอลลาร์ต่อตัน หลังจากลงนามคำสั่งภาษีที่ยกเว้นทองแดงบริสุทธิ์บางรายการ อย่างไรก็ตาม มีการคาดการณ์ว่าราคาทองแดงจะพุ่งทะลุสถิติเดิมได้ในไม่ช้า

เนื่องจากตลาดเห็นพ้องต้องกันว่า ความต้องการจะเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอนในระยะกลาง โดยมาจากหลายส่วน ตั้งแต่เรื่องพื้นฐาน เช่น ความต้องการจากกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า, การก่อสร้าง ไปจนถึงเทคโนโลยีล้ำสมัย เช่น AI และการใช้พลังงานไฟฟ้า

อย่างไรก็ตาม ราคาที่เพิ่มขึ้นในปัจจุบันหลัก ๆ มาจากปัญหาฝั่ง อุปทาน รวมถึงการหยุดชะงักหลายครั้ง ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ห่วงโซ่อุปทานเปราะบางมาก ด้านนักวิเคราะห์จาก Wood Mackenzie คาดการณ์ว่า ความต้องการทองแดงทั่วโลกจะเพิ่มขึ้น 24% ใน 10 ปีข้างหน้า หรือเพิ่มขึ้น 8.2 ล้านตันต่อปี รวมเป็น 42.7 ล้านตันต่อปี 

โดยมีปัจจัยมาจาก 4 ปัจจัย ได้แก่ AI และ Data Center, งบประมาณทหารที่เพิ่มขึ้น, การพัฒนาอุตสาหกรรมในอินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้, และการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน (รถ EV และพลังงานหมุนเวียน) จะทำให้ราคาผันผวนและเร่งให้ความต้องการพุ่งสูงขึ้นไปอีก โดยความต้องการอาจ เพิ่มขึ้น 40% ภายในปี 2035

โดย Matt Chamberlain ซีอีโอของตลาดโลหะลอนดอน (LME) กล่าวว่า เหตุการณ์บาดหมางล่าสุดระหว่างสหรัฐฯ กับจีนเรื่องแร่หายาก เป็นบทเรียนสำคัญที่ต้องนำมาใช้กับตลาดทองแดง เพราะอาจ ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการค้า เหมือนที่เคยเกิดขึ้นกับแร่หายาก “จะมั่นใจได้อย่างไรว่ามีแหล่งผลิตที่หลากหลาย?” นี่คือสิ่งที่ทุกประเทศกำลังพิจารณาอยู่

ขณะที่ Charles Cooper ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยทองแดงของ Wood Mackenzie เตือนว่า ทองแดงกำลังกลายเป็น คอขวด ที่ทำให้การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานล่าช้า หากไม่มีการลงทุนเพิ่มในการทำเหมืองและการผลิต อาจทำให้ โลหะแห่งพลังงานไฟฟ้า กลายเป็น โลหะที่หายาก

ส่งผลให้ผู้ผลิตในซีกโลกตะวันตกก็เริ่มหารือกันเรื่องการลงทุนสร้าง โรงถลุงแร่ อีกครั้ง โดยเมื่อเร็ว ๆ นี้ มีข่าวว่า Aurubis ซึ่งเป็นผู้ผลิตทองแดงรายใหญ่ที่สุดในยุโรป กำลังเจรจากับฝ่ายบริหารของทรัมป์เพื่อสร้างโรงถลุงทองแดงแห่งใหม่ในสหรัฐฯ โดยอาจมีรัฐบาลสนับสนุน

อย่างไรก็ตาม เรื่องของ มาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม กำลังเป็นอุปสรรคสำคัญในฝั่งของตะวันตก ดังนั้น การสร้าง ค่าตอบแทนพิเศษด้านความยั่งยืน (Sustainability Premium) จะเป็นประโยชน์ เพื่อให้โรงถลุงในประเทศตะวันตกที่ลงทุนเพื่อความยั่งยืนได้รับค่าตอบแทนที่เหมาะสม

Source

]]>
1543461
ครึ่งปีแรกจำนวน ‘มหาเศรษฐี’ เพิ่มขึ้นกว่า 5 แสนคน และภายใน 15 ปี เศรษฐี ‘อายุน้อย’ จะครอง 1 ใน 3 ความมั่งคั่งทั้งหมด https://positioningmag.com/1541831 Wed, 08 Oct 2025 04:05:34 +0000 https://positioningmag.com/?p=1541831 จากรายงานของบริษัทวิเคราะห์ความมั่งคั่ง Altrata ระบุว่า ช่วงครึ่งปีแรก จำนวนบุคคลที่มีความมั่งคั่งสูงเป็นพิเศษ (Ultra-High-Net-Worth Individuals หรือ UHNWI) ซึ่งหมายถึง ผู้ที่มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิอย่างน้อย 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ได้เพิ่มขึ้นถึง 510,810 คน ทั่วโลก (+5.4%) ที่น่าสนใจคือ กลุ่มเศรษฐีอายุน้อยใน Gen Y และ Gen Z คาดว่าจะมีจำนวนถึง 1 ใน 3 ของมหาเศรษฐีทั้งหมดใน 15 ปีข้างหน้า

ปัจจุบัน กลุ่ม Gen Y และ Gen Z มีสัดส่วนเพียง 8% ของจำนวนมหาเศรษฐีทั้งหมด ซึ่งมีความมั่งคั่งสุทธิรวมกันถึง 59.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่กลุ่ม Baby Boomer ยังคงครองสัดส่วนมากที่สุดที่เกือบ 45% และกลุ่มคนที่เกิดในปี 1945 หรือก่อนหน้านั้นคิดเป็นอีก 22% อย่างไรก็ตาม สัดส่วนนี้กำลังจะเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากปรากฏการณ์การถ่ายโอนความมั่งคั่งครั้งใหญ่ (Great Wealth Transfer)

โดย Altrata ประเมินว่า ภายในปี 2040 สัดส่วนของกลุ่ม Gen Y และ Gen Z จะเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 1 ใน 3 ของประชากรอภิมหาเศรษฐี ทั้งหมด ในขณะที่สัดส่วนของกลุ่ม Baby Boomer และ Silent Generation จะลดลงจากกว่า 2 ใน 3 เหลือเพียง 1 ใน 5 เท่านั้น และกลุ่ม Gen X จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำด้วยสัดส่วน 45%

Maeen Shaban ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและวิเคราะห์ของ Altrata ให้ความเห็นกับ Inside Wealth ว่า ส่วนหนึ่งของการเติบโตอย่างรวดเร็วนี้มาจากการใช้ ทรัสต์ (Trusts) และ สำนักงานครอบครัว (Family Offices) ที่เพิ่มขึ้นในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เพื่อ ถ่ายโอนความมั่งคั่งไปยังทายาทในวัยที่อายุน้อยลง นั่นหมายความว่า คนหนุ่มสาวสามารถเข้าถึงความมั่งคั่งนั้นได้ โดยที่ไม่ต้องรอให้ผู้ก่อตั้งเสียชีวิต

โดย ความแตกต่าง ระหว่าง มหาเศรษฐีรุ่นใหม่และรุ่นใหญ่ คือ ประเภทของ อุตสาหกรรมที่สร้างความมั่งคั่ง โดย 

  • 15% ของมหาเศรษฐีอายุน้อย สร้างความมั่งคั่งจาก อุตสาหกรรมการบริการและความบันเทิง ในขณะที่เศรษฐีรุ่นใหญ่สร้างความมั่งคั่งจากอุตสาหกรรมนี้มีสัดส่วนต่ำกว่า 5%
  • เศรษฐีรุ่นใหม่กือบ 9% ที่สร้างความมั่งคั่งจาก อุตสาหกรรมเทคโนโลยี เป็นอุตสาหกรรมหลัก ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูงกว่ากลุ่ม Baby Boomer ถึง สองเท่า 
  • อุตสาหกรรมการเงิน ยังคงเป็นอุตสาหกรรมที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในทุกช่วงวัย  แต่สำหรับคนรุ่นใหม่ที่สร้างความมั่งคั่งจากอุตสาหกรรมนี้ มีสัดส่วน ไม่ถึง 20% ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยถึง 10%

ความแตกต่างเหล่านี้สะท้อนถึงการที่ บริษัทเทคโนโลยีสร้างเศรษฐีเงินล้าน รวมถึงการเป็น อินฟลูเอนเซอร์และคนดัง สามารถสร้างรายได้จากโซเชียลมีเดีย

Couple women are relaxing,talking and celebrating their success project on yacht boat in the ocean with happiness and cheerful

อีกความแตกต่างก็คือ พฤติกรรมการใช้เงิน โดยคนรุ่นใหม่ ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับงานการกุศล (philanthropy) แต่จะให้ความสำคัญกับ อสังหาฯ และสินทรัพย์หรูหรา ซึ่งคิดเป็นเกือบ 1 ใน 4 ของความมั่งคั่งของพวกเขา ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ มหาเศรษฐีวัยรุ่นเหล่านี้มักจะบริหารธุรกิจที่อาจขาดสภาพคล่อง (Illiquid Assets) ทำให้มีเวลา และเงินสดเหลือน้อยลงที่จะใช้ไปกับงานการกุศล ดังนั้น ในพอร์ตการลงทุนของคนรุ่นใหม่ จะมีสัดส่วนลงทุนภาคอสังหาริมทรัพย์มากกว่า

“พวกเขาอยู่ในช่วงของการซื้อทรัพย์สินมากกว่าคนรุ่นก่อน ๆ พวกเขายังคงซื้อของ สำหรับบางคน พวกเขากำลังซื้อบ้านหลังแรก รถหรูคันแรก บ้านพักตากอากาศหลังแรก หรืออะไรก็ตาม มันเป็นวัฏจักรชีวิตที่แตกต่างกัน”

Maya Imberg หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์และการวิเคราะห์ของ Altrata ระบุว่า การเปลี่ยนแปลงนี้ อาจส่งผลกระทบอย่างมากต่อบริษัทที่ให้บริการกลุ่มอภิมหาเศรษฐี ตั้งแต่ผู้จัดการความมั่งคั่ง ตัวแทนจำหน่ายงานศิลปะ ไปจนถึงองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร เพราะความชอบของคนแต่ละ Gen นั้นไม่เหมือนกัน

“รถที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจะมีความสำคัญขึ้นไหม? Gen Z จะยังอยากได้เรือยอชต์ไหม? ความชอบที่เปลี่ยนไปจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อธุรกิจเหล่านั้น ดังนั้น พวกเขาต้องคิดล่วงหน้า เพราะระยะเวลา 15 ปีนั้นไม่ได้นานเลย” Imberg ทิ้งท้าย

Source

]]>
1541831