Global Trend – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 03 Dec 2024 12:30:36 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ‘ญี่ปุ่น’ ปักเป้าผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์ 20 กิกะวัตต์ เทียบเท่าการใช้ปฏิกรณ์นิวเคลียร์ 20 เครื่อง https://positioningmag.com/1501813 Tue, 03 Dec 2024 10:01:55 +0000 https://positioningmag.com/?p=1501813 นับตั้งแต่ปี 2554 ที่ ญี่ปุ่น เจอกับภัยพิบัตินิวเคลียร์ที่เกิดจากแผ่นดินไหว และสึนามิ ซึ่งส่งผลให้ญี่ปุ่นต้องนำเข้าพลังงาน 90% ทำให้ญี่ปุ่นเริ่มมุ่งเน้นไปที่การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ด้วยนวัตกรรมใหม่ เพอร์รอฟสไกต์

ล่าสุด รัฐบาลญี่ปุ่น วางแผนที่จะ ผลิตไฟฟ้าประมาณ 20 กิกะวัตต์ ภายในปี 2583 ซึ่งเทียบเท่ากับผลผลิตของ เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ 20 เครื่อง ผ่านเซลล์แสงอาทิตย์ชนิด เพอร์รอฟสไกต์ (perovskite solar cell) ซึ่งมีจุดเด่นที่ความเบาบาง ยืดหยุ่นมากกว่าเมื่อเทียบกับเซลล์แสงอาทิตย์ทั่วไป

เนื่องจากญี่ปุ่นมีส่วนแบ่งที่ใหญ่เป็นอันดับสองรองจากชิลีในการผลิต ไอโอดีน ซึ่งเป็นวัสดุหลักสําหรับการผลิตเซลล์แสงอาทิตย์เพอร์อฟสไกต์ ทำให้รัฐบาลญี่ปุ่นมองว่า เซลล์แสงอาทิตย์ชนิด เพอร์รอฟสไกต์รุ่นต่อไปจะเป็นกุญแจสําคัญในการขยายการผลิตพลังงานหมุนเวียนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการปล่อยมลพิษสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593 

สำหรับเซลล์แสงอาทิตย์ชนิดเพอร์รอฟสไกต์ ถือเป็นเซลล์แสงอาทิตย์ที่กำลังได้รับความสนใจเป็นอย่างมากในขณะนี้ เนื่องจากมีกระบวนการผลิตที่ง่าย ไม่จำเป็นต้องอาศัยเทคโนโลยีขั้นสูงในการผลิต และมีประสิทธิภาพการแปลงพลังงานไฟฟ้าที่สูงเทียบเท่าเซลล์แสงอาทิตย์ชนิดซิลิคอน

อีกข้อดีของเซลล์แสงอาทิตย์ประเภทเพอรอฟสไกต์คือ ด้วยความบางเบาและยืดหยุ่น ทำให้มีศักยภาพในการติดตั้งที่ยืดหยุ่นกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นผนังและหน้าต่างของอาคาร รถยนต์ เครื่องบินและโดรน เซ็นเซอร์ IoT รวมถึงสมาร์ทโฟน ฯลฯ 

ทั้งนี้ บริษัทอย่าง Sekisui Chemical Co กําลังทํางานเกี่ยวกับการนําเซลล์แสงอาทิตย์ perovskite ไปขายในเชิงพาณิชย์ โดยคาดว่าจะเปิดตัวเทคโนโลยีตัวเต็มภายในปี 2573 เนื่องจากเทคโนโลยีดังกล่าวยังมีความท้าทายหลายอย่างที่ยังคงต้องเอาชนะ เช่น อายุการใช้งานที่สั้น เนื่องจากความทนทานของเซลล์ที่ไม่ดีและการลดต้นทุน

ปัจจุบัน การผลิตแผงเซลล์แสงอาทิตย์ของญี่ปุ่นมีสัดส่วนไม่ถึง 1% ของภาพรวมทั่วโลก ซึ่งลดลงจากประมาณ 50% ในปี 2547 เนื่องจาก จีน ได้ขึ้นแท่นเป็น ผู้ผลิตแผงเซลล์แสงอาทิตย์ที่ใหญ่ที่สุดของโลก อย่างไรก็ตาม รัฐบาลญี่ปุ่นมีแผนจะส่งออกเซลล์แสงอาทิตย์ perovskite ในอนาคต หลังจากส่งเสริมเทคโนโลยีในฐานะพลังงานหมุนเวียนที่สําคัญในประเทศ

Source

]]>
1501813
‘ยูนิโคล่’ เสี่ยงโดน ‘จีน’ แบน! หลัง CEO หลุดว่าไม่ได้ใช้ ‘ฝ้ายซินเจียง’ https://positioningmag.com/1501626 Mon, 02 Dec 2024 12:49:38 +0000 https://positioningmag.com/?p=1501626 ฝ้ายซินเจียง ถือเป็นหนึ่งในผ้าที่ดีที่สุดของโลก และถือเป็นประเด็นแสนละเอียดอ่อนของ จีน ที่ทำให้แบรนด์เสื้อผ้าแฟชั่นจากฝั่งตะวันตกหลายรายต้องปลิวออกนอกประเทศ เนื่องจากมีการกล่าวหาว่ารัฐบาลจีนบังคับใช้แรงงานชาว อุยกูร์ ในการผลิตผ้า

ล่าสุด แบรนด์ฟาสต์แฟชั่นรายใหญ่ของโลกอย่าง ยูนิโคล่ (Uniqlo) ก็สุ่มเสี่ยงจะโดนลูกค้าในจีนคว่ำบาตร เนื่องจาก ทาดาชิ ยาไน (Tadashi Yanai) ซีอีโอของ Fast Retailing ได้แสดงความคิดเห็นระหว่างการสัมภาษณ์กับ BBC ว่า บริษัทไม่ได้ใช้ผ้าฝ้ายซินเจียง แม้ว่าในท้ายที่สุดเขาจะ ไม่ยืนยันหรือปฏิเสธว่า ผ้าฝ้ายซินเจียงถูกใช้ในเสื้อผ้าของยูนิโคลหรือไม่ พร้อมทั้งระบุว่า เขาต้องการ เป็นกลางระหว่างสหรัฐฯ และจีน

อย่างไรก็ตาม บทสัมภาษณ์ดังกล่าวได้ทำให้เกิดเป็นไวรัลใน Weibo โซเชียลมีเดียชื่อดังของจีน โดยผู้ใช้หลายคนออกมาแสดงความเห็นประณามและบอกว่าจะ ไม่ซื้อผลิตภัณฑ์ของบริษัท

แม้ว่า Uniqlo จะขยายตัวอย่างรวดเร็วในยุโรปและสหรัฐอเมริกา แต่ตัวซีอีโอบอกเองว่า “ยูนิโคล่ไม่ใช่แบรนด์ที่เป็นที่รู้จักทั่วโลก” และเอเชียยังคงเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุด และตลาดจีนเป็นตลาดต่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดของ Fast Retailing โดยเมื่อรวมตลาดไต้หวันและฮ่องกงแล้ว จะคิดเป็นสัดส่วนรายได้กว่า 20% เลยทีเดียว

ขณะที่จำนวนสาขาในจีนแผ่นดินใหญ่ของยูนิโคล่ปัจจุบันมีประมาณ 900-1,000 แห่ง แต่ทางซีอีโอเชื่อมั่นว่ามีโอกาสขยายได้ถึง 3,000 แห่ง นอกจากนี้ จีนยังเป็นศูนย์กลางการผลิตที่สําคัญของบริษัทอีกด้วย

ที่ผ่านมา ประเด็นผ้าฝ้ายซินเจียงถือเป็นประเด็นสุดอ่อนไหวในจีน เนื่องจากในปี 2022 ฝั่งสหรัฐฯ มีการแบนใช้ผ้าฝ้ายซินเจียง เนื่องจากสงสัยว่าใช้แรงงานชาวอุยกูร์ ส่งผลให้แบรนด์แฟชั่นหลายแบรนด์ได้เลิกใช้ผ้าฝ้ายซินเจียง อาทิ H&M จนเป็นผลให้ผู้บริโภคชาวจีนร่วมกันแบนจนร้านถูกถอดออกจากแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซรายใหญ่ ขณะที่หน้าร้านบางแห่งก็ถูกสั่งปิดไม่มีกำหนด

ปัจจุบัน ยูนิโคล่ต้องเจอกับการแข่งขันที่สูงในตลาดฟาสต์แฟชั่น เนื่องจากการมาของแบรนด์อย่าง Shein และ Temu ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มของจีนที่เน้นขายของราคาถูก 

Source

]]>
1501626
“ญี่ปุ่น” ใกล้วิกฤต! อัตราการเกิดในปี 2024 ลดลงต่ำกว่า 700,000 เป็นครั้งแรก https://positioningmag.com/1501389 Fri, 29 Nov 2024 09:02:47 +0000 https://positioningmag.com/?p=1501389 ข้อมูลขอตามข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่น เผยจํานวนการเกิดในญี่ปุ่น ครึ่งปีแรกของ 2024 ลดลง 6.3% จากปีก่อนเป็น 329,998 และคาดว่าภายในปี 2024 จะมีแนวโน้มลดลงต่ำกว่า 700,000 เป็นครั้งแรก

โดยตัวเลขจํานวนการเกิดในครึ่งปีแรกยังไม่รวมจํานวนการเกิดของเด็กจากพ่อหรือแม่ที่เป็นชาวต่างชาติ สะท้อนให้เห็นถึงอัตราการเกิดที่ยังคงลดต่ำอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เนื่องจากผู้คนจํานวนมากเลือกที่จะไม่แต่งงานหรือเลื่อนการแต่งงานและมีลูก จนกว่าจะรู้สึกถึงช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต

นอกจากอัตราการเกิดที่ลดต่ำลงอย่างต่อเนื่องแล้ว ญี่ปุ่นยังมีจํานวนผู้เสียชีวิตในช่วงครึ่งแรกของปี 2024 ที่มีตัวเลขเพิ่มขึ้น 1.8% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วเป็น 800,274 ราย หักลบจากจํานวนการเกิดของประชากรอยู่ที่ 470,276

ด้วยจํานวนประชากรที่ลดลงเป็นปีที่ 15 ติดต่อกันในปี 2023 ญี่ปุ่นต้องเผชิญกับการขาดแคลนแรงงานที่คุกคามความยั่งยืนของระบบประกันสังคม เช่น การดูแลสุขภาพและเงินบํานาญ รวมถึงการบริการของหน่วยงานท้องถิ่นที่ได้รับผลกระทบไปด้วย

ที่ผ่านมา รัฐบาลญี่ปุ่นมีความพยายามในการเพิ่มอัตราการเกิด ด้วยการขยายเบี้ยเลี้ยงเด็กและการลาเพื่อเลี้ยงดูบุตร รวมถึงมาตรการอื่นๆ เนื่องจากมีการคาดการณ์ว่าภายในต้นทศวรรษ 2030 อาจเป็นโอกาสสุดท้ายของญี่ปุ่นที่จะแก้วิกฤตประชากรในประเทศ

โดยจํานวนการเกิดที่เทียบเคียงได้ในช่วงครึ่งแรกของปี 2023 คือ 352,240 คน โดยมียอดรวมทั้งปีอยู่ที่ 727,277 คนเท่านั้น

ทั้งนี้ ข้อมูลดังกล่าวเผยแพร่โดยกระทรวงฯ ในเดือนสิงหาคมแสดงให้เห็นว่า จํานวนเด็กที่เกิดในญี่ปุ่น รวมถึงชาวต่างชาติและพลเมืองญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ในต่างประเทศ ลดลง 5.7% จากปีก่อนเป็น 350,074 ในช่วงเดือนมกราคม-มิถุนายน

ที่มา : KYODO NEWS

]]>
1501389
คนเกาหลีใต้รุ่นใหม่จํานวนมาก สนับสนุนการมีลูกโดยไม่ต้องแต่งงาน มีบุตรนอกสมรสสูงขึ้นมากสุดในประวัติการณ์ https://positioningmag.com/1501286 Thu, 28 Nov 2024 10:14:58 +0000 https://positioningmag.com/?p=1501286 จากผลการศึกษาของรัฐบาลเกาหลีใต้ เปิดเผยว่า หนุ่มสาวเกาหลีใต้รุ่นใหม่จํานวนมาก มีความคิดเห็นที่ท้าทายมุมมองสังคมแบบเดิมๆ เกี่ยวกับการแต่งงานและการเป็นพ่อแม่คน โดยหนุ่มสาวในวัย 20 ปี จำนวน 2 ใน 5 คนแสดงการสนับสนุนการมีลูกโดยไม่จำเป็นต้องแต่งงานกัน 

โดยข้อมูลจากการเก็บสถิติประจําปีเกี่ยวกับสังคมเกาหลีใต้ เผยว่า 42.8% ของคนรุ่นใหม่ชาวเกาหลีใต้มีความคิดว่า การมีลูกโดยไม่แต่งงานเป็นเรื่องที่สามารถยอมรับได้ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงทัศนคติและความคิดแบบเดิม โดยมีเพียง 30.3% เท่านั้นที่ยังมีมุมมองของการมีลูกแล้วยังต้องแต่งงานกันอยู่

ทำให้การสนับสนุนการมีลูกโดยไม่ต้องแต่งงานในปัจจุบันของเกาหลีใต้มีมากขึ้นเนื่องจากสัดส่วนของผู้ตอบแบบสอบถามที่สนับสนุนแนวคิดดังล่าวมีเพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่า จากเดิมมี 5.7% ในปี 2014 เป็น 14.2% ในปี 2024 ในทางกลับกัน ฝ่ายค้านแนวคิดการมีลูกโดยไม่ต้องแต่งงานก็มีอัตราลดลงจาก 34.9% เป็น 22.2% ในช่วงเวลาเดียวกัน

จากผลการศึกษาวิจัยดังกล่าวสะท้อนให้เห็นในแนวโน้มภาวะการเจริญพันธุ์ของชาวเกาหลีใต้ โดยในปี 2023 มีอัตราการเกิดของเด็กทารกกว่า 10,900 คนสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ โดยกว่า 4.7% ของการคลอดบุตร ทั้งหมดเป็นบุตรที่เกิดนอกสมรส ซึ่งเป็นอัตราที่สูงกว่าปีก่อนหน้า 0.8% และเป็นตัวเลขสูงสุดนับตั้งแต่มีการเริ่มเก็บบันทึกในปี 1981

อีกทั้งมีจํานวนคู่รักจํานวนมากขึ้นไม่ได้แต่งงานหรืออยู่ด้วยกัน ทำให้ทารกที่เกิดจากพ่อแม่ที่เป็นโสด (Single Dad & Single Mom) มีอัตราเพิ่มขึ้นทุกปี โดยในปี 2020 มีทารกที่เกิดจากพ่อแม่ที่เป็นโสด 6,900 คน ในปี 2021 จำนวน 7,700 คน และในปี 2022 จำนวน 9,800 คน 

อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ทัศนคติของสังคมต่อการมีลูกโดยไม่แต่งงานกําลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่รัฐบาลฯ กลับไม่มีนโยบายการสนับสนุนเหล่า Single Dad และ Single Mom แต่อย่างใด โดยนโยบายที่สนับสนุนการคลอดบุตรและการดูแลเด็กส่วนใหญ่ในเกาหลีใต้ถูกการออกแบบตามกรอบของคู่สมรสเท่านั้น ทำให้เด็กที่เกิดจากพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยวหรือคู่สมรสที่ยังไม่แต่งงานมีความเสี่ยงที่จะเผชิญกับการเลือกปฏิบัติหรือตกอยู่ในจุดบอดของนโยบายเป็นอย่างมาก

อาทิ เมื่อประมาณเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา คณะกรรมการสังคมภาวะเจริญพันธุ์ต่ำและผู้สูงอายุของรัฐบาลเกาหลีใต้ ได้เปิดเผยมาตรการที่ครอบคลุมการจัดการอัตราการเกิดที่ลดลง โดยกล่าวถึงความสมดุลระหว่างชีวิตการทํางาน การดูแลเด็ก และที่อยู่อาศัย แต่ไม่ได้ครอบคลุมรวมบทบัญญัติสําหรับการสนับสนุนเด็กที่เกิดจากพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยวหรือพ่อแม่ที่ยังไม่แต่งงานกัน

ทั้งนี้ มีผู้เชี่ยวชาญแสดงความเห็นว่า การสร้างระบบสนับสนุนสถาบันครอบครัวสําหรับการมีลูกโดยไม่คํานึงถึงสถานภาพสมรส อาจเป็นทางออกสําหรับวิกฤตอัตราการเกิดต่ำของเกาหลีใต้

จากข้อมูลขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ระบุว่า สัดส่วนของเด็กที่เกิดนอกสมรสทั่วโลกในปี 2020 สูงขึ้นอย่างมีนัยสําคัญ โดยในประเทศต่าง ๆ เช่น ฝรั่งเศสมีสัดส่วนของเด็กที่เกิดนอกสมรสกว่า 62.2% สหราชอาณาจักร 49% และสหรัฐอเมริกา 41.2 % เมื่อเทียบกับเกาหลีใต้

ที่มา : Asia News

]]>
1501286
“โฟล์คสวาเกน” ประกาศขายโรงงานรถยนต์ในซินเจียงเพื่อลดต้นทุน เซ่นพิษตลาดรถยนต์เดือด https://positioningmag.com/1501220 Thu, 28 Nov 2024 08:38:58 +0000 https://positioningmag.com/?p=1501220 โฟล์คสวาเกน (Volkswagen AG) ผู้ผลิตรถยนต์ใหญ่ที่สุดในเยอรมนีและยุโรป ได้ประกาศขายโรงงานในซินเจียงซึ่งเป็นภูมิภาคทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน เนื่องจากเหตุผลทางเศรษฐกิจ อีกทั้งแรงกดดันจากการกล่าวหาเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชน 

บริษัทฯระบุว่า โฟล์คสวาเกนได้ผลิตรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปมาจนถึงปี 2019 และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก็ดําเนินการในฐานะศูนย์กระจายสินค้าที่ผลิตในโรงงานอื่น ๆ

โฆษกฯ กล่าวว่า เนื่องจากรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปมีความต้องการที่ลดลง ทำให้บริษัทฯ เผชิญหน้ากับแรงกดดันอย่างมาก บริษัทฯ จึงจําเป็นต้องเร่งพัฒนาและเปลี่ยนแปลงกระบวนการการผลิตใหม่ อีกทั้งกระแสรถยนต์ไฟฟ้าที่ได้รับความนิยมอย่างมากในไม่กี่ปีที่ผ่านมา 

ตามรายงานของสํานักงานพลังงานระหว่างประเทศ ระบุว่า ยอดขายรถ EV มีอัตราเพิ่มขึ้นในหลายประเทศ รวมถึงในประเทศจีนที่คิดเป็น 45% ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมดในปีนี้ ทำให้โฟล์คสวาเกนตัดสินใจประกาศขายโรงงานในซินเจียง ซึ่งเป็นการร่วมทุนกับ SAIC Motor ของเซี่ยงไฮ้ 

นอกจากบริษัทฯ ต้องเผชิญหน้ากับการแข่งขันในตลาดรถยนต์ที่ทวีความรุนแรงขึ้น การขายดังกล่าว ยังมีปัจจัยในเรื่องของการวิพากษ์วิจารณ์ของรัฐบาลสหรัฐฯ และกลุ่มสิทธิมนุษยชน ที่กล่าวหาว่ามีการบังคับใช้แรงงานและกระทําการล่วงละเมิดอื่นๆ เป็นเวลาหลายปี เช่น การกักขังกลุ่มชนกลุ่มน้อยมุสลิมอุยกูร์จํานวนมากในซินเจียง 

ซึ่งจีนก็ได้ออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหาเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนในภูมิภาคนี้มาแล้วหลายครั้ง

ย้อนกลับไปในปี 2022 นักสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติได้เผยแพร่รายงานว่า จีนได้กระทําการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงต่อชาวมุสลิมอุยกูร์ในซินเจียง ซึ่งอาจเท่ากับการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ

และในปี 2018 เจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวหาว่าจีนกักขังชาวอุยกูร์อย่างน้อย 800,000 คนและสมาชิกของชนกลุ่มน้อยมุสลิมอื่นๆ ที่อาจรวมกันได้มากกว่า 2 ล้านคนในศูนย์กักกันในซินเจียง 

ทำให้จีนออกมาอธิบายว่าศูนย์ดังกล่าวเป็นเพียงศูนย์ฝึกอาชีพให้กับคนและกล่าวว่าจะปิดศูนย์ดังกล่าวในปี 2019 

ตั้งแต่นั้นมาโฟล์คสวาเกนต้องเผชิญกับการวิพากษ์วิจารณ์จากนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิในการเป็นเจ้าของโรงงานในซินเจียง ต่อมาในในเดือนกุมภาพันธ์ 2023 ผู้บริหารของโฟล์คสวาเกนได้ออกมาโต้ว่าไม่มีการบังคับใช้แรงงานในโรงงานแต่อย่างใด 

อย่างไรก็ตาม Financial Times รายงานว่าในเดือนกันยายน มีพบว่าการตรวจสอบดังกล่าว ไม่เป็นไปตามมาตรฐานสากล

เมื่อถูกขอให้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับบทความของ Financial Times โฆษกของโฟล์คสวาเกน กล่าวว่า บริษัทฯได้ปฏิบัติตามข้อกําหนดทางกฎหมายในการตรวจสอบและดำเนินกิจการมาเสมอ ไม่มีครั้งใดที่นักลงทุนหรือประชาชนถูกหลอกลวงจากคำแถลงการณ์ของบริษัทฯ

บริษัทฯ ยังต่อสู้กับการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นในประเทศจีน ซึ่งเป็นตลาดรถยนต์นั่งที่ใหญ่ที่สุดในโลก เนื่องจากผู้ผลิตรถยนต์ในท้องถิ่นได้เพิ่มการผลิตและการขายรถยนต์ไฟฟ้า

ทำให้โฟล์คสวาเกนได้ประกาศการปรับแผนการดำเนินการบริษัทฯ เมื่อเดือนที่แล้วว่าจะมีการปิดโรงงานผลิตรถยนต์อย่างน้อย 3 แห่งในเยอรมนีและจะเลิกจ้างพนักงานหลายหมื่นคน ถือเป็นการปิดกิจการในประเทศครั้งแรกในรอบ 87 ปีของบริษัท

ที่มา : CNN 

]]>
1501220
เมืองแห่งคอนเทนต์! “ไทย” มีครีเอเตอร์เยอะเป็นอันดับ 2 ในอาเซียน รองอินโดฯ  https://positioningmag.com/1501198 Thu, 28 Nov 2024 05:57:08 +0000 https://positioningmag.com/?p=1501198 จากข้อมูลของ DAAT (สมาคมโฆษณาดิจิทัล (ประเทศไทย) หรือ Digital Advertising Association (Thailand) เผยว่า การเติบโตของสื่อโซเชียลมีเดียที่มีการรวมการทำคอนเทนต์และการใช้อินฟลูเอนเซอร์เพิ่มขึ้นกว่า 3.3% หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 2,686 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา

ทำให้ คอนเทนต์ กลายเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจที่เหล่านักการตลาดและเจ้าของธุรกิจต้องให้ความสนใจและมีการพัฒนาไอเดียทำคอนเทนต์ใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง

ปัทมวรรณ สถาพร ประธานกรรมการบริหาร กรุ๊ปเอ็ม ประเทศไทย (GroupM)

“ไทย” มีครีเอเตอร์เยอะเป็นอันดับ 2 รองจากอินโดฯ 

ปัทมวรรณ สถาพร ประธานกรรมการบริหาร กรุ๊ปเอ็ม ประเทศไทย (GroupM) กล่าวว่า ปัจจุบันผู้บริโภคที่พฤติกรรมการเสพสื่อที่เปลี่ยนแปลงไป โดยให้ความสำคัญกับสื่อที่มีความ Authentic หรือสื่อที่มีความน่าเชื่อถือมากขึ้น การทำคอนเทนต์ผ่านครีเอเตอร์และอินฟลูเอนเซอร์รวมทั้งการใช้ข้อมูลที่น่าเชื่อถือต่างๆ มาประกอบคอนเทนต์ กลายเป็นอาวุธสำคัญในการสื่อสารและเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากจะเชื่อมโยงการสื่อสารทางการตลาดไปสู่ผู้คนทั่วโลกได้แล้ว ยังสามารถดึงดูดให้ผู้คนเข้ามามีส่วนร่วมกับแบรนด์ผ่านครีเอเตอร์หรืออินฟลูเอนเซอร์นั้นๆ ทำให้ต่อยอดไปสู่การสร้างยอดขายได้จริงผ่าน Content Commerce (การทำคอนเทนต์ในเชิงพาณิชย์) ซึ่งจากการเก็บข้อมูลพบว่า 1 ใน 2 หรือคิดเป็น 30% ของผู้บริโภค มักถูกใจและมั่นใจในคอนเทนต์ที่มาจากครีเอเตอร์หรืออินฟลูเอนเซอร์ รวมถึงผู้ที่เกี่ยวข้องในคอมมูนิตี้หรือเรื่องนั้นๆ เช่น บิวตี้ หรือ เกม มากกว่าคอนเทนต์ที่มาจากแบรนด์โดยตรง

ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนครีเอเตอร์ที่เกิดขึ้นทุกๆ ชั่วโมงทั่วโลกกว่า 285 คน โดยประเทศไทยถือเป็นประเทศที่มีจำนวนครีเอเตอร์อยู่เยอะเป็นอันดับ 2 ใน SEA เป็นรองแค่อินโดนีเซียเท่านั้น

เทรนด์คอนเทนต์ปี 2024

WiseSight บริษัทให้บริหารวิเคราะห์ข้อมูล Social Media เผยว่า Theme Content ที่ได้รับความนิยมในปี 2024 มีอยู่ด้วยกัน 6 ประเภท ได้แก่

  • Family & Pet
  • Working & Money 
  • Believe & Mutelu
  • Entertainment (Celeb, Fandom, Music, Game, Sport, การประกวด)
  • Lifestyle (Food, Health, Travel)
  • Social Issue (การเมือง และ ความเท่าเทียม)

นอกจากนั้นยังมีสไตล์ของคอนเทนต์อีก 6 สไตล์ที่ได้รับความนิยมในปี 2024 เช่นกัน อาทิ

  • Meme (มีมตลก)
  • Mentality (จิตวิทยา)
  • Surprise Knowledge (ความรู้ใหม่ๆ ที่น่าประหลาดใจ)
  • Yes, I am (ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมนั้นๆที่เหมือนกันของคน)
  • Game & Challenge 
  • Vlog / Behind The Scene

ครีเอเตอร์เร่งปรับตัว รับพฤติกรรม “ออนดีมานด์”

เมื่อเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทต่อการใช้ชีวิต ส่งผลให้พฤติกรรมของคนเปลี่ยนไป รวมถึงการเสพสื่อความบันเทิงก็มีหลากหลายมากขึ้น ทำให้บริษัทแพลตฟอร์มต่างๆ ต้องเร่งปรับตัว ผลิตคอนเทนต์ออกมาแต่ละชิ้นงานก็ต้องมีความทันสมัยและตอบโจทย์เพื่อมัดใจผู้บริโภคให้ได้มากที่สุด

ณฤทธิ์ ยุวบูรณ์ ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ “ธี่หยด” กล่าวว่า พฤติกรรมของผู้บริโภคในปัจจุบันเป็นพฤติกรรมแบบออนดีมานด์ คือ ต้องการความสะดวกสบาย เข้าถึงง่าย เมื่อพอใจจึงตัดสินใจซื้อและต้องได้ในเวลาอันรวดเร็ว 

ต้องยอมรับว่าส่งผลต่อแวดวงการหนังจอเงินไม่น้อย เพราะเมื่อก่อนเวลาจะดูหนังผู้บริโภคมักจะเดินทางไปที่โรงหนังเพื่อเลือกเวลาฉายและซื้อตั๋วเข้าไปดูหนังในโรง แต่ปัจจุบันผู้บริโภคจะเลือกดูหนังตามกำหนดการของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการเลือกแพลตฟอร์มที่จะดู เวลาที่สะดวกดู ไม่ซีเรียสว่าจะดูจบหรือไม่ 

ซึ่งปัจจุบันผู้บริโภคนิยมจ่ายเงินเพื่อซื้อแพ็กเกจเพื่อดูหนังในแพลตฟอร์มออนไลน์มากขึ้น ทำให้แพลตฟอร์มออนไลน์เป็นอีกปัจจัยที่ช่วยให้หนังหรือคอนเทนต์ประสบความสำเร็จแล้ว ผู้ผลิตคอนเทนต์ต่างๆ หรือผลิตหนังสักหนึ่งเรื่องจะต้องมีการรีเสิร์ชข้อมูลเพื่อมากำหนดตีมคอนเซ็ปต์ของหนังให้มีความสมเหตุสมผล มีความเป็นธรรมชาติ ทำยังไงให้ดึงดูดความสนใจของผู้ชม เรื่องโปรดักชั่นก็ต้องดีและการวางแผนการตลาดที่น่าสนใจด้วยเช่นกัน

“ไทย” เตรียมปั้นคอนเทนต์เทียบชั้นเกาหลีใต้

อภิชาติ์ หงษ์หิรัญเรือง รองกรรมการผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า พฤติกรรมการดูคอนเทนต์ของผู้บริโภคเปลี่ยนไป โดยเฉพาะในสมาร์ทโฟนที่รูปแบบการดูสตรีมมิ่งได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน ทำให้เป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมบันเทิงสู่รูปแบบใหม่ที่มีความออนดีมานด์มากขึ้น ซึ่งคลิปสั้นในรูปแบบคอนเทนต์ 1-2 นาที อาทิ มีมข่าว เป็นรูปแบบคอนเทนต์ที่ขับเคลื่อนพฤติกรรมของคนดูและกำลังได้รับความนิยม

จากปัจจัยดังกล่าว ในฐานะผู้ผลิตคอนเทนต์ทาง TV ก็ต้องบอกว่าเรากำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านเพื่อให้คอนเทนต์ละครที่ผลิตออกมา ตอบโจทย์ผู้บริโภค ที่มีอยู่ทุกกลุ่มทุก GEN 

โดยใช้การเก็บข้อมูลผู้ใช้งานที่บริษัทฯ เห็น เช่น ความถี่และช่วงเวลาในการเข้าชม หรือ คอนเทนต์แนวไหนที่กำลังเป็นที่นิยม เมื่อได้ข้อมูลเหล่านี้มาแล้วก็นำมาวิเคราะห์และมีการนำเสนอออกไปยังไงให้เกิดการมีส่วนร่วมของคนดู ให้คนดูหรือผู้บริโภคกลับมาที่แพลตฟอร์มเราอย่างต่อเนื่อง เพราะปัจจุบันมีแพลตฟอร์มให้เลือกเสพมากมายและผู้บริโภคแต่ละคนก็มีแพลตฟอร์มที่ชอบในใจ เช่น บางคนชอบเข้า TikTok บางคนชอบดูผ่านสตรีมมิ่ง เป็นต้น

ทำให้ปัจจุบันบริษัทฯ เน้นผลิตคอนเทนต์แนว Empower Women (หญิงเก่ง หญิงแกร่ง) มากขึ้นเนื่องจากเป็นแนวที่ขับเคลื่อนการเติบโตของแพลตฟอร์ม TV และได้รับความนิยมอย่างมาก หากผู้ผลิตไทยปรับตามดีมานด์และผลิตคอนเทนต์ตอบสนองผู้บริโภคในระดับสากลได้ ก็จะได้ฐานกลุ่มอินเตอร์แฟนจำนวนมาก ผนวกกับมีความร่วมมือภาครัฐและผู้ที่เกี่ยวข้อง ก็จะส่งผลให้ไทยก้าวสู่ประเทศดาวรุ่งต่อจากเกาหลีใต้ได้เลยทีเดียว

คอนเทนต์พากย์ไทยเจาะตลาดสูงวัย ทำซีรีส์จีนโต 27% 

กนกพร ปรัชญาเศรษฐ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาดและการขาย และผู้จัดการ WeTV ประจำประเทศไทย บริษัท เทนเซ็นต์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า WeTV คือ แพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิ่งเพื่อความบันเทิงที่มีคอนเทนต์คุณภาพจากทั่วเอเชีย ทั้งซีรีส์ วาไรตี และอนิเมะ ซึ่งพฤติกรรมของผู้บริโภคในแพลตฟอร์มก็เป็นพฤติกรรมแบบออนดีมานด์เช่นกัน

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาคอนเทนต์ในภูมิภาคเอเชียมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องซึ่งคอนเทนต์จีนมีอัตราการเติบโตสูงกว่า 27% ซึ่งในกลุ่มผู้ใช้งานในเขตเมืองรองนั้นมีอัตราการเติบโตมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มผู้บริโภคที่เป็นกลุ่มผู้สูงอายุจะมีจะนิยมคอนเทนต์พากย์ไทยของทางแพลตฟอร์มกันเป็นส่วนมาก ทำให้ WeTV มีอัตราการเติบโตที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

WeTV มีทั้งการเลือกนำซีรีส์จีนเข้ามาฉายบนแพลตฟอร์ม และผลิตคอนเทนต์ซีรีส์ไทยส่งออกต่างประเทศเช่นกัน สิ่งสำคัญคือการทำให้แพลตฟอร์มมีความสดใหม่อยู่ตลอดเวลา และการสร้างการมีส่วนร่วมของผู้บริโภคก็สำคัญ 

การส่งออกซีรีส์ไทย ทางแพลตฟอร์มก็มีเกณฑ์ในการคัดเลือกที่ค่อนข้างเยอะ แต่ปัจจัยหลักคือการเลือกนวนิยายที่ได้รับความนิยมและมีฐานแฟนคลับอยู่แล้วมาต่อยอดผลิตเป็นซีรีส์ เป็นต้น

ส่วนซีรีส์จีนที่ฉายบน WeTV มีข้อได้เปรียบตรงที่เป็นแพลตฟอร์มในเครือของบริษัท เทนเซ็นต์ ที่เป็นบริษัทไอทีของจีนที่ทำธุรกิจด้านความบันเทิงด้วย  ซึ่งใน 1 ปี บริษัทฯ มีการผลิตซีรีส์จีนกว่า 80 เรื่อง ทำให้สามารถเลือกนำ  ซีรีส์เข้ามาฉายบนแพลตฟอร์มได้หลากหลาย โดยส่วนใหญ่จะเป็นคอนเทนต์ที่ย่อยง่าย 

เช่น เรื่องเกี่ยวกับความรัก ตลก หรือคอนเทนต์ที่เกี่ยวกับความหลากหลายทั้งทางเพศและความคิดสร้างสรรค์ ก็กำลังเป็นที่นิยมมากในแพลตฟอร์ม ฉีกกรอบการดูซีรีส์จีนแบบเดิมๆ ที่เมื่อก่อน มักจะเป็นแนวต่อสู้กำลังภายในเสียส่วนใหญ่ 

]]>
1501198
“เกาหลีใต้” ตรวจพบสารพิษระดับสูงในเสื้อผ้าเด็กที่ขายบน Temu, Shein และ AliExpress   https://positioningmag.com/1500719 Mon, 25 Nov 2024 11:35:39 +0000 https://positioningmag.com/?p=1500719 รัฐบาลกรุงโซล เกาหลีใต้ ระบุว่า ทางการฯ มีการตรวจพบสารพิษในเสื้อผ้าฤดูหนาวสำหรับเด็กที่ขายบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซของจีน อย่าง Temu, Shein และ AliExpress สูงถึง 622 เท่าของระดับที่ทางการเกาหลีใต้กำหนดไว้

ในการตรวจสอบความปลอดภัยล่าสุดจากสินค้าสําหรับเด็ก และทารกจำนวน 26 รายการ ที่จำหน่ายผ่าน 3 แพลตฟอร์มนี้ มีการพบสารเคมีที่เป็นพิษในผลิตภัณฑ์ถึง 7 รายการ อาทิ แจ็คเก็ตที่ขายบน Temu มีพลาสติกไซเซอร์พาทาเลต (สารเคมี phthalate plasticisers ที่ใช้กันมากในผลิตภัณฑ์พลาสติกประเภท PVC ใช้เป็นสารที่ทำให้เกิดความความอ่อนตัวในเนื้อพลาสติก) ซึ่งเป็นสารพิษที่ส่งผลต่อการทํางานของต่อมไร้ท่อ และสุขภาพการเจริญพันธุ์ของเด็ก โดยมีการตรวจพบค่าความเป็นพิษในระดับที่สูงกว่าขีดจํากัดทางกฎหมายในเกาหลีใต้เกือบ 622 เท่า

อุปกรณ์ตกแต่งเสื้อแจ็คเก็ตอย่างห่วงโซ่หรือสายคล้อง ที่ทางการเกาหลีใต้อนุญาตให้มีความยาวได้เพียง 7.5 ซม. แต่กลับตรวจพบว่าบางแบรนด์มีที่มีความยาวกว่า 11.2 ซม. ซึ่งถือว่าเกินจากเกณฑ์ที่กำหนด ทำให้กังวลในด้านความปลอดภัยของเด็กเช่นกัน

อีกทั้งจั๊มสูทที่ขายใน Temu มีการตรวจพบพลาสติกไซเซอร์พาทาเลต ที่ระดับ 294 เท่าของขีดจํากัดทางกฎหมาย อีกทั้งตรวจพบระดับ pH ของเสื้อผ้าอยู่ที่ 7.8 ซึ่งเกินเกณฑ์ระดับ pH ที่อนุญาตคือ 4.0 ถึง 7.5 รวมถึงรองเท้าเด็กคู่หนึ่งที่ขายบน AliExpress มีการตรวจพบระดับสารตะกั่วกว่า 5 เท่าของระดับที่อนุญาต

นอกจากนั้นชุดบอดี้สูทสําหรับทารกที่วางจำหน่ายบนแพลตฟอร์ม AliExpress ยังตรวจพบว่ามีพลาสติกไซเซอร์พทาเลตเกินเกณฑ์อนุญาตกว่า 3.5 เท่า รวมถึงชุดเสื้อผ้าใส่สบายของเด็กที่มีราคาถูก ก็ตรวจพบสารตะกั่วกว่า 19.12 เท่าของเกณฑ์ที่กำหนดเช่นกัน

ทั้งนี้รัฐบาลเกาหลีใต้กล่าวว่า รัฐบาล มีแผนจะสุ่มทดสอบความปลอดภัยของสินค้าที่จำหน่ายบนแพลตฟอร์มต่างประเทศ ซึ่งเป็นอีกช่องทางที่มีผู้ใช้จํานวนมากในเกาหลีใต้ โดยจะเน้นที่ผลิตภัณฑ์ที่มีความต้องการสูงตามฤดูกาล และในเดือนธันวาคม รัฐบาลฯ วางแผนจะตรวจสอบของตกแต่งคริสต์มาสและของเล่นเด็กเป็นลำดับถัดไป 

ที่มา : The Straits Times

 

]]>
1500719
ราคาข้าวญี่ปุ่นเดือนตุลาคม พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ กระทบหนักผู้ค้าและภาคครัวเรือน https://positioningmag.com/1500460 Fri, 22 Nov 2024 12:54:04 +0000 https://positioningmag.com/?p=1500460 ข้อมูลของรัฐบาลญี่ปุ่น เผยว่า ราคาเฉลี่ยของข้าวญี่ปุ่นที่ขายให้กับผู้ค้าส่งโดยซัพพลายเออร์ในเดือนตุลาคม ทําสถิติราคาพุ่งสูงที่สุด เนื่องจากต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นแม้จะมีการคาดการณ์ว่าราคาจะลดลงหลังจากการเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วง

โดยราคาขายของข้าวญี่ปุ่นแบบไม่ขัดสีที่เก็บเกี่ยวที่พุ่งสูงในปีนี้ ส่งผลต่อราคาขายปลีกที่เพิ่มขึ้น 57 % จากปีก่อนเป็น 23,820 เยนต่อ 60 กิโลกรัม หรือราว 5,339 บาทต่อ 60 กิโลกรัม นับเป็นราคาข้าวที่พุ่งสูงที่สุดนับตั้งแต่ที่กระทรวงเกษตร ป่าไม้ และประมง เริ่มมีการสํารวจและเก็บข้อมูลในปี 2549

อีกทั้งความต้องการอาหารญี่ปุ่นที่เพิ่มขึ้นท่ามกลางการท่องเที่ยวขาเข้าที่เติบโตขึ้น เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ราคาข้าวในประเทศญี่ปุ่นยังคงพุ่งสูงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้สินค้าคงคลังของภาคเอกชนปรับลดลงสู่ระดับต่ำสุดในช่วงฤดูร้อนนี้ 

จากสถานการณ์ราคาข้าวญี่ปุ่นที่พุ่งสูงขึ้น ได้เพิ่มแรงกดดันต่อภาคครัวเรือน เนื่องจากได้รับผลกระทบจากพลังงาน อาหาร และค่าครองชีพอื่นๆ ที่เพิ่มขึ้นนั่นเอง

ที่มา : Japan Today

 

]]>
1500460
“บิบิโก รามยอน” รามยอนน้องใหม่ลูกครึ่งไทย-เกาหลี ใช้จุดแข็งด้วยราคา 39 บาท https://positioningmag.com/1500438 Fri, 22 Nov 2024 09:45:34 +0000 https://positioningmag.com/?p=1500438 วัฒนธรรมการกินเส้นบะหมี่อยู่คู่กับวัฒนธรรมอันหลากหลายของมนุษย์มาเป็นเวลาช้านาน โดยเฉพาะในโซนเอเชียที่มีเพียงชื่อเรียกและหน้าตาเมนูที่ต่างกัน อาทิ ในญี่ปุ่นจะมี อูดง และ ราเมน เวียดนามก็มี เฝอ ส่วนไทยก็มีผัดไทย

และปัจจุบัน “เค-รามยอน (K-Ramyun)” หรือ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของเกาหลี ก็กำลังเติบโตมากขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับ K-Culture อาทิ ซีรีส์เกาหลี, หนังเกาหลี รวมถึงเพลงเกาหลี

ไม่ใช่น้องใหม่ แต่บุกไทยมานานแล้ว

ในปี 2023 ที่ผ่านมา ข้อมูลจากสมาคมบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปโลก มีการประเมินว่า ผู้คนทั่วโลกมีการบริโภคบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปสะสมตลอดทั้งปีอยู่ที่ 120,210 ล้านหน่วยบริโภค ลดลงเมื่อเทียบกับปี 2022 ที่มียอดการบริโภคสะสม จำนวน 121,200 ล้านหน่วย แม้ตลาดโลกมีการบริโภคลดลง แต่ในไทยกลับมีการเติบโต โดยตลาดเส้นบะหมี่ในไทยมีมูลค่ากว่า 26.7 พันล้านบาท และมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 10.7% ต่อปี ในตัวเลขนี้มีสัดส่วนของผลิตภัณฑ์บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปถึง 80.24% เลยทีเดียว

ด้วยตัวเลขแนวโน้มการเติบโตดังกล่าว ทำให้ “ซีเจ ฟู้ดส์” หนึ่งในผู้ผลิตและจำหน่ายอาหารเกาหลีรายใหญ่ ก้าวเข้ามาเป็นผู้เล่นหน้าใหม่ในตลาดบะหมี่กึ่งฯ โดยเลือก “ประเทศไทย” เป็นประเทศแรกในการเปิดตัว “บิบิโก รามยอน” (bibigo Ramyun) บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปพรีเมียมสไตล์เกาหลี

ซึ่ง ซีเจ เชอิลเจดัง จำกัด (CJ Foods) เป็นแบรนด์ผู้ผลิตอาหารรายใหญ่ในประเทศเกาหลี มีธุรกิจในเครือกว่า 22 แบรนด์ โดยมี bibigo, Beksul, Hetbahn, Gourmet เป็น 4 แบรนด์หลัก โดยบริษัทฯ ก็มีการขยายธุรกิจไปใน 15 ประเทศทั่วโลก รวมถึงมีสินค้าจำหน่ายอย่างเป็นทางการในเยอรมนี สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น จีน เวียดนาม และฟิลิปปินส์ 

ต่อมาได้ขยายตลาดมายังประเทศไทย โดยมีการร่วมทุนกับบริษัท เอ-เบสท์ จำกัด (A-BEST) บริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายผักผลไม้ในประเทศไทย แต่เดิมเอ-เบสท์ได้เริ่มนำเข้าอาหารเกาหลีเข้ามาขายในไทยก่อน เมื่อประมาณ 2-3 ปีที่แล้ว รวมไปถึง “กิมจิแบรนด์ bibigo” ของซีเจ เชอิลเจดัง ผลปรากฏว่าแบรนด์นี้ทำยอดขายค่อนข้างดี ทำให้ต้นสังกัดของ bibigo เริ่มสนใจตลาดอาหารเกาหลีในประเทศไทย

จากนั้นในปี 2023 ซีเจ เชอิลเจดังได้เข้ามาซื้อหุ้น 50% ในเอ-เบสท์ และเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท ซีเจ ฟู้ดส์ (ไทยแลนด์) รวมถึงนำเอา bibigo ซึ่งเป็นแบรนด์เรือธงของบริษัทฯ มาบุกตลาดอาหารเกาหลีในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ 

โดยมีการนำเข้า มันดู (เกี๊ยวเกาหลี), กิมจิ, ซอสและน้ำพริกเกาหลี, สาหร่าย, คิมมารี มาจำหน่ายในไทย ทำให้ภาพรวมของตลาดอาหารเกาหลีในไทยโตขึ้นแบบก้าวกระโดด นอกจากจะมีการนำสินค้าจากเกาหลีเข้ามาขายในไทย ซีเจ ฟู้ดส์ได้พัฒนา “รามยอน” ในประเทศไทยเสียเลย ได้เปิดตัว “บิบิโก รามยอน” (bibigo Ramyun) วางจุดยืนเป็นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปพรีเมียมสไตล์เกาหลี อุดช่องวางในตลาดที่รามยอนเกาหลีจะอิมพอร์ตเข้ามา ทำให้มีราคาสูง แต่บิบิโกมีราคาที่ถูกกว่า

คิม ดงฮยอน ผู้จัดการส่วนการตลาด ซีเจ ฟู้ดส์ (ไทยแลนด์)

คนไทย กินบะหมี่กึ่งฯ มากเป็นอันดับ 9 ของโลก 

คิม ดงฮยอน ผู้จัดการส่วนการตลาด ซีเจ ฟู้ดส์ (ไทยแลนด์) กล่าวว่า พฤติกรรมการบริโภคของคนเกาหลีใต้และคนไทยมีความคล้ายคลึงกันอย่างมาก โดยเฉพาะการรับประทานอาหารที่ทั้งในไทยและเกาหลีใต้ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปและกิมจิ ถือเป็นอาหารที่ได้รับความนิยมมาก แน่นอนว่าในแต่ละประเทศก็มีแบรนด์ที่เป็นผู้เล่นรายใหญ่อยู่ก่อนแล้ว และในไทยก็มีแบรนด์บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปทั้งของแบรนด์ไทยและแบรนด์ต่างประเทศอยู่ในตลาดกว่า 30 แบรนด์ แยกออกมาเป็นกลุ่มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปพรีเมี่ยมได้ 10-15 แบรนด์ ซึ่งตลาดบะหมี่กึ่งฯพรีเมี่ยมเพิ่งจะได้รับความนิยมอย่างมากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา 

ซึ่งผู้บริโภคชาวไทย มีอัตราการบริโภคบะหมี่กึ่งฯอยู่ที่ประมาณ 55 ซองต่อปี เป็นอันดับที่ 9 ของโลก โดยอันดับที่ 1 คือ จีนและฮ่องกง มีการบริโภคบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมากที่สุดในโลก ปี 2566 อยู่ที่จำนวน 42,000 ล้านหน่วย

2) อินโดนีเซีย จำนวน 14,500 ล้านหน่วย 

3) อินเดีย จำนวน 8,700 ล้านหน่วย 

4) เวียดนาม จำนวน  8,100 ล้านหน่วย 

5) ญี่ปุ่น จำนวน 5,800 ล้านหน่วย 

6) สหรัฐอเมริกา จำนวน 5,100 ล้านหน่วย

7) ฟิลิปปินส์ จำนวน 4,390 ล้านหน่วย 

8) เกาหลีใต้ จำนวน 4,040 ล้านหน่วย

9) ไทย จำนวน 3,950 ล้านหน่วย (เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า ที่มีจำนวน 3,870 ล้านหน่วย)

10) ไนจีเรีย จำนวน 2,980 ล้านหน่วย

แม้ว่าบิบิโก รามยอนจะเพิ่งเข้ามาเป็นผู้เล่นในตลาด แต่บริษัทฯ ได้ทำการเจาะตลาดอาหารในไทยมาก่อนแล้วทำให้มีความเข้าใจความต้องการของผู้บริโภคและเล็งเห็นว่าตลาดบะหมี่กึ่งฯ ในไทยยังมีช่องว่างในเรื่องของ “ราคา” และ “รสชาติ” ที่ทำให้แบรนด์เติบโตได้อยู่ เพราะปัจจุบันบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในกลุ่มโลคอล จะมีราคาถูกแต่รสชาติไม่หลากหลายนัก ส่วนบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแบบพรีเมียมแม้จะมีรสชาติค่อนข้างหลากหลายแต่มีราคาที่ค่อนข้างแพง 

ซึ่งบิบิโก รามยอนมี 5 รสชาติ ได้แก่ รสต๊อกบกกีเผ็ด,รสต๊อกบกกี,รสกิมจิ,รสไก่เกาหลี และรสไก่รมควันสไตล์เกาหลี ในราคาซองละ 39 บาท และแบบแพ็ก 139 บาท (4 ซอง) ซึ่งถือว่าถูกกว่าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแบบพรีเมี่ยมแบรนด์อื่นๆ ที่มีราคาประมาณ 43-55 บาทต่อซอง และ 185 – 260 บาทต่อแพ็ก (5 ซอง)

“Wootteo” (อูตอ) คาแรคเตอร์สุดน่ารัก

เจาะกลุ่มมนุษย์กลางคืนและผู้ที่ชอบ K-Culture 

ในส่วนแผนการตลาด คิม ดงฮยอน กล่าวว่า แบรนด์ฯจะทำการตลาดและโปรโมทสินค้าผ่านกลุ่มอินฟลูเอนเซอร์ โดยจะเจาะกลุ่มลูกค้าที่นอนดึกและชื่นชอบใน K-Culture เพราะเป็นกลุ่มคนที่มีพฤติกรรมหาอาหารทานไปพร้อมกับการดูหนังดูซีรีส์ 

ซึ่งสอดคล้องกับวัฒนธรรมของเกาหลีที่เรียกว่า 야식 (ยาชิก) ที่เป็นการทานมื้อดึกของคนเกาหลี ที่มักจะสั่ง 목삼겹 (มกซัมกยอบ) หรือคอหมูย่างมากิน รวมไปถึง ไก่ทอด รามยอน ตีนไก่แซ่บ พิซซ่า จัมปง จาจังมยอน ขาหมู มาทานกัน 

โดยบิบิโก รามยอนเริ่มนำร่องจำหน่ายแบบเอ็กซ์คลูซีฟในช่องทาง 7-Eleven และ Lotus’s ซึ่งถือเป็นช่องทางที่มีสาขาครอบคลุมในหลากหลายพื้นที่ ทำให้สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ง่าย โดยบริษัทฯ ได้ตั้งเป้ารายได้ของบิบิโก รามยอนไว้ที่ 100 ล้านบาทภายในสิ้นปี 2025

รวมถึงการคอลแลบกับ “Wootteo” (อูตอ) คาแรกเตอร์สุดน่ารักที่ออกแบบโดย Jin BTS ผ่านการดีไซน์แพ็กเกจจิงที่มีวางจำหน่ายที่ประเทศไทยเท่านั้น

]]>
1500438
ผู้เชี่ยวชาญชี้! EQ เป็นทักษะที่สำคัญอันดับ 1 ในการทำงานยุค AI https://positioningmag.com/1500163 Thu, 21 Nov 2024 09:47:16 +0000 https://positioningmag.com/?p=1500163 จากข้อมูลล่าสุดแสดงให้เห็นว่า มากกว่า 1 ใน 3 ของคนวัยทำงานในสหรัฐอเมริกา มีการทำ “Side Hustle” หรือ การทำงานหารายได้เสริมเพิ่มเติมจากงานประจำ ซึ่งสิ่งหนึ่งที่คนที่สามารถทํารายได้ได้มากที่สุดมีเหมือนกัน คือ “ความฉลาดทางอารมณ์”

อ้างอิงจาก Kyle M.K. ผู้เขียนหนังสือ “The Economics of Emotion” ในปี 2019 อีกทั้งเคยทำงานในฝ่ายบริหารของบริษัทที่ปรึกษาประสบการณ์ลูกค้า The Heart Company เป็นเวลา 8 ปีก่อนจะเข้ามาทำงานเป็นที่ปรึกษากลยุทธ์ความสามารถที่เว็บไซต์ค้นหางาน Indeed กล่าวว่า

ส่วนสำคัญของการทำงานไม่ว่าจะงานประจำหรืองานเสริม ล้วนมีความเกี่ยวข้องกับความฉลาดทางอารมณ์ค่อนข้างมาก เพราะในทุกธุรกิจประกอบด้วยผู้คนและทุกธุรกิจต้องมีการให้บริการแก่บุคคล ดังนั้นหากเราไม่เข้าใจคนอื่นรวมถึงการเข้าใจตัวเอง มันทําให้การทํางานที่หวังไว้ประสบความสำเร็จยากขึ้นมาก

ความฉลาดทางอารมณ์ หรือที่เรียกว่า Emotional Quotient (EQ) เป็นทักษะที่มีประโยชน์สําหรับการพัฒนากลยุทธ์ทางธุรกิจและงานที่ต้องติดต่อกับลูกค้า เพราะยิ่งคุณเข้าใจสิ่งที่คนอื่นต้องการในชีวิตมากเท่าไหร่ คุณก็ยิ่งสามารถสร้างผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณให้เป็นโซลูชันที่มีประโยชน์ได้มากขึ้นเท่านั้น 

โดย Kyle M.K. ได้ตั้งข้อสังเกตว่า การคิดถึงผู้บริโภคในฐานะคนจริงๆ ที่ไม่ใช่เพียงการเก็บข้อมูล สามารถช่วยให้คุณเรียนรู้ว่าพวกเขาชอบซื้อของที่ไหน พวกเขายินดีจ่ายเท่าไหร่ และพวกเขาอาจต้องการซื้ออะไรอีกบ้าง

Kyle M.K. กล่าวว่า การติดต่อกับลูกค้าเป็นการส่วนตัวสามารถช่วยสร้างยอดขายให้ธุรกิจได้เช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น สตรีมเมอร์ Twitch จําเป็นต้องมีการติดต่อหรือสร้างการเชื่อมต่อกับเหล่าผู้ชม เพื่อสร้างรายได้ที่สม่ำเสมอต่อไปในอนาคต หรือ ผู้ขาย Etsy และ Amazon จําเป็นต้องให้บริการลูกค้าที่ยอดเยี่ยม รวมถึงคนขับ Uber จําเป็นต้องวัดระดับความสะดวกสบายของผู้โดยสารในการใช้บริการ เป็นต้น

อาจกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า หากคุณลงทุนในการสร้างประสบการณ์ทางอารมณ์เชิงบวกให้กับลูกค้า จะช่วยให้พวกเขาจะกลับมาใช้สินค้าหรือบริการของบริษัทซ้ำอีก ไม่ว่าธุรกิจจะใหญ่แค่ไหนก็ตาม ซึ่งทำให้ Kyle M.K. มีเชื่อว่า “ความฉลาดทางอารมณ์” จะเป็นปัจจัยสำคัญของการทํางานในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการทำงานในยุคที่มี AI เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการทำงานมากมาย

วิธีฝึกทักษะ EQ 

Emma Seppälä อาจารย์และนักจิตวิทยามหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด กล่าวว่า การพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ อาจมีประโยชน์มากกว่าการทำงานเสริมเพื่อสร้างรายได้เพิ่ม เพราะความฉลาดทางอารมณ์สามารถช่วยให้คุณมีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น สร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น และนําไปสู่ความสําเร็จที่มากขึ้น

ด้าน Jenny Woo นักวิจัยด้าน EQ ที่เคยร่วมงานกับ CNBC Make It กล่าวว่า เพื่อให้เข้าใจได้ดีขึ้นว่าคนอื่นพัฒนา EQ กันอย่างไร ลองถามคําถามที่ขับเคลื่อนด้วยอารมณ์ เช่น “คุณรู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับ…” หรือ “คุณคิดอย่างไรกับ…” หรือถามเฉพาะหัวข้อที่คุณต้องการคําตอบอย่างแท้จริงเท่านั้น เพราะคุณจะไม่เห็นอกเห็นใจผู้อื่นหากคุณไม่ฟังคําตอบของพวกเขา

Claire Hughes Johnson อดีตรองประธาน Google ที่เคยร่วมงานกับ CNBC Make It เมื่อปีที่แล้ว ก็ได้แสดงความเห็นไว้ว่า การปรับปรุงการรับรู้ตนเองก็ช่วยพัฒนา EQ ได้เช่นกัน โดยคุณต้องเข้าใจจุดแข็งและจุดอ่อนของตัวเอง เพื่อประสบความสําเร็จในการทํางานและรักษาความสัมพันธ์กับทุกคน 

นอกจากนั้น Claire Hughes Johnson ยังแนะนําเคล็ดลับ 3 ข้อเพื่อให้ตระหนักถึงการรู้จักตนเองมากขึ้น คือ เขียนค่านิยมและแนวคิดที่ให้พลังบวกแก่คุณ, คิดว่าค่านิยมเหล่านั้นส่งผลต่อทักษะและข้อบกพร่องของคุณอย่างไร และหากคุณติดขัดปัญหาใด ให้ขอความคิดเห็นจากเพื่อนร่วมงานหรือเพื่อนที่น่าเชื่อถือมาพัฒนาตัวเอง

ที่มา : CNBC 

]]>
1500163