Infographic – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 28 Jan 2025 06:56:54 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 เส้นทางพันล้าน “ลัคกี้สุกี้” ม้ามืดของวงการ ที่โตเร็วเทียบชั้น “สุกี้ตี๋น้อย” https://positioningmag.com/1508439 Tue, 28 Jan 2025 06:36:08 +0000 https://positioningmag.com/?p=1508439 หากกล่าวถึง สุกี้ราคาเข้าถึงง่าย ชื่อของ “สุกี้ตี๋น้อย” คงติดอันดับแรก ๆ ที่ผู้คนนึกถึง แต่ตอนนี้บัลลังก์สุกี้ตลาดแมสคงสั่นสะเทือนมิใช่น้อย เมื่อ “ลัคกี้สุกี้” แบรนด์น้องใหม่ อายุ 3 ปี เข้ามาชิงตลาด

ลัคกี้สุกี้ น้องใหม่ที่โตเร็วพอ ๆ กับ สุกี้ตี๋น้อย

สิ่งที่น่าสนใจ คือ ลัคกี้สุกี้ เริ่มต้นธุรกิจเพียง 3 ปี แต่ทำรายได้ทะลุ 1,000 ล้านบาท มีการเติบโตทั้งรายได้และกำไรค่อนข้างเร็วพอ ๆ กับสุกี้ตี๋น้อย

ผลประกอบการลัคกี้สุกี้ (นับตั้งแต่เริ่มมีการรายงานรายได้-กำไร)

  • ปี 2565 รายได้ 79 ล้านบาท กำไรสุทธิ 2.6 ล้านบาท
  • ปี 2566 รายได้ 409 ล้านบาท เติบโต 413% กำไรสุทธิ 46 ล้านบาท เติบโต 1,635%
  • ปี 2567 รายได้ 1,000 ล้านบาท เติบโต 148% กำไรสุทธิ N/A
ลัคกี้สุกี้ สาขาแม็คโครจรัญฯ
ลัคกี้สุกี้ สาขาแม็คโครจรัญฯ

ผลประกอบการสุกี้ตี๋น้อย (นับตั้งแต่เริ่มมีการรายงานรายได้-กำไร)

  • ปี 2562 รายได้ 499 ล้านบาท กำไรสุทธิ 15 ล้านบาท
  • ปี 2563 รายได้ 1,223 ล้านบาท เติบโต 144% กำไรสุทธิ 140 ล้านบาท เติบโต 808%
  • ปี 2564 รายได้ 1,572 ล้านบาท เติบโต 28% กำไรสุทธิ 147 ล้านบาท เติบโต 5.49%
  • ปี 2565 รายได้ 3,976 ล้านบาท เติบโต 152% กำไรสุทธิ 591 ล้านบาท เติบโต 299%
  • ปี 2566 รายได้ 5,262 ล้านบาท เติบโต 32% กำไรสุทธิ 907 ล้านบาท เติบโต 53%

และ ช่วง 9 เดือนแรก ปี 2567 สามารถทำกำไรได้ราว ๆ 890 ล้านบาท (อ้างอิงส่วนแบ่งกำไรของ JMART ที่ถือหุ้น 30% ใน บริษัท บี เอ็น เอ็น เรสเตอรองท์ กรุ๊ป จำกัด เจ้าของ สุกี้ตี๋น้อย)

“หากคิดอัตราการเติบโตเฉลี่ยของรายได้ของทั้ง 2 แบรนด์ ลัคกี้สุกี้อยู่ที่ 280.5% ต่อปี ส่วนของตี๋น้อยอยู่ที่ 89% ต่อปี นั่นแปลว่าการเติบโตของลัคกี้สุกี้สูงเทียบเคียงกับเจ้าตลาดอย่างสุกี้ตี๋น้อยได้เลย”

**การคำนวณใช้สูตร AAGR โดยของลัคกี้สุกี้ไม่นับปี 2565 ส่วนของสุกี้ตี๋น้อย ไม่นับปี 2562 ซึ่งเป็นปีฐาน เนื่องจาก ไม่มีข้อมูลตัวเลขการเติบโตเปรียบเทียบ

เส้นทางเติบโต “ความเหมือนในความต่าง”

สำหรับ ลัคกี้สุกี้ และ สุกี้ตี๋น้อย มีจุดร่วมคล้ายกันหลายประการ ตั้งแต่การนำทัพด้วยผู้บริหารหญิงคนรุ่นใหม่ คือ

  • คุณแอน รสรินทร์ ติยะวราพรรณ (ลัคกี้สุกี้) มีประสบการณ์การทำร้านกาแฟเจ้าดัง “Rolling Roasters”
  • คุณเฟิร์น นัทธมน พิศาลกิจ (สุกี้ตี๋น้อย) สั่งสมประสบการณ์การทำธุรกิจสวนอาหาร “เรือนปั้นหยา” จากครอบครัว
(ซ้าย) คุณแอน รสรินทร์ ติยะวราพรรณ ผู้บริหารลัคกี้สุกี้ และ (ขวา) คุณเฟิร์น นัทธมน พิศาลกิจ ผู้บริหารสุกี้ตี๋น้อย
(ซ้าย) คุณแอน รสรินทร์ ติยะวราพรรณ ผู้บริหารลัคกี้สุกี้ และ (ขวา) คุณเฟิร์น นัทธมน พิศาลกิจ ผู้บริหารสุกี้ตี๋น้อย

ขณะที่เส้นทางการสร้างแบรนด์ก็วาง Positioning ของลัคกี้สุกี้ และสุกี้ตี๋น้อย มีทั้งความเหมือนและความต่าง อาทิ

1.รูปแบบบุฟเฟ่ต์ ที่วางกลยุทธ์ด้านราคาคุ้มค่า

ทั้ง 2 แบรนด์ ตั้งราคาเท่ากัน เริ่มต้น 219 บาท/คน (ไม่รวมรีฟิลน้ำ และ VAT 7%) ด้วย “ราคาเข้าถึงง่าย” แต่มีเมนูหลากหลาย ทำให้ผู้บริโภคเปิดใจทดลองทานได้ง่าย จนทำให้มีลูกค้าต่อคิวยาวเหยียด และประสบความสำเร็จตั้งแต่เริ่มต้นไม่นาน

2.เวลาเปิดยาวยันดึก

เวลาเปิด-ปิด เป็นหนึ่งปัจจัยสร้างความได้เปรียบของ 2 แบรนด์นี้ จากเดิมสุกี้ในตำนานร้านดัง ๆ มักเปิดในศูนย์การค้ามีเวลาเข้าใช้บริการอย่างจำกัด ตั้งแต่ 10.00-22.00 น.

ร้านสุกี้ตี๋น้อย (ภาพจาก เพจเฟซบุ๊ก สุกี้ตี๋น้อย)
ร้านสุกี้ตี๋น้อย (ภาพจาก เพจเฟซบุ๊ก สุกี้ตี๋น้อย)

แต่สุกี้ตี๋น้อย เป็นเจ้าแรก ๆ ที่ทำร้านรูปแบบกินโต้รุ่ง เปิดเวลา 11.00-05.00 น. ด้วยข้อได้เปรียบจากการเป็นสาขา Stand Alone

ส่วน ลัคกี้สุกี้ ก็เปิดประมาณ 10.30 – 02.00 น. แม้จะเปิดสาขาตามโมเดิร์นเทรดและคอมมูนิตี้มอลล์ แต่ก็เลือกสถานที่ที่ยืดหยุ่นด้านเวลาที่สามารถเปิดยันดึกได้ จึงเป็นจุดแข็งของแบรนด์ฯ

สิ่งที่อาจบอกได้ว่า 2 แบรนด์นี้แตกต่างกัน คือ โมเดลร้านค้า ที่ “สุกี้ตี๋น้อย” เน้นพื้นที่ Stand Alone มีที่จอดรถจำนวนมาก ใกล้แหล่งชุมชนหรือสถานศึกษา ส่วน “ลัคกี้สุกี้” มองตัวเองเป็นแบรนด์น้องใหม่ การเริ่มต้นเปิดไปกับห้าง/คอมมูนิตี้มอลล์ อาจจะเหมาะกว่า เพื่อให้ผู้บริโภคเห็นแบรนด์มากขึ้น และค่อย ๆ สร้างการรับรู้แบรนด์ในวงกว้าง

อย่างไรก็ตาม ปี 2568 ลัคกี้สุกี้ วางงบประมาณ 300 ล้านบาท ขยายสาขาเพิ่มทั้งลัคกี้สุกี้และลัคกี้บาร์บีคิว จำนวน 16-20 สาขา ตั้งเป้ารายได้ 2,000 ล้านบาท เติบโต 100% (YoY)

น่าสนใจว่า การเข้ามาท้าชิงของแบรนด์หน้าใหม่อย่าง “ลัคกี้สุกี้” ครั้งนี้ คงสร้างความร้อนแรงให้กับตลาดสุกี้ในไทย ที่มีมูลค่า 23,000-25,000 ล้านบาท ด้วยกำลังซื้อที่มีจำกัด และการแข่งขันของตลาดสุกี้ที่เป็นเรดโอเชี่ยนในขณะนี้…

]]>
1508439
จับกระแส ‘ตลาดอีคอมเมิร์ซไทย’ ปี 2025 มีอะไรเปลี่ยนแปลงและน่าสนใจแค่ไหน? https://positioningmag.com/1507743 Thu, 23 Jan 2025 06:27:59 +0000 https://positioningmag.com/?p=1507743 ช่วงที่ผ่านมาตลาดอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยมีการเติบโตและความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจ โดยปีที่ผ่านมามีมูลค่า 1 ล้านล้านบาท สูงเป็นอันดับ 2 เป็นรองแค่อินโดนีเซีย ส่วนในปีนี้ตลาดอีคอมเมิร์ซในบ้านเราก็ยังเป็นสนามแข่งขันที่ดุเดือด ซึ่งทาง Priceza ได้สรุปทั้งมูลค่าและประเมินเทรนด์ต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในปีนี้ไว้อย่างน่าสนใจ

มูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซในประเทศไทย

ปี 2024 มูลค่า 1 ล้านล้านบาท เติบโต 9%

ปี 2025 มูลค่า 1.07 ล้านล้านบาท เติบโต 7%

ปี 2030 มูลค่า 2 ล้านล้านบาท

สำหรับช่องทางออนไลน์ที่คนไทยซื้อสินค้าออนไลน์

• 50% ซื้อผ่าน Marketplace เช่น shopee, Lazada, Konvy ฯลฯ

• 20% ซื้อผ่าน Video Commerce เช่น TikTok, Facebook, IG, YouTube ซึ่งช่องทางนี้เป็นช่องทางใหม่และกำลังมาแรง

• 18% ซื้อผ่าน Social Commerce เช่น Facebook, Line, IG, X  ฯลฯ

• 8% ซื้อผ่าน Quick Commerce & Grocery เช่น Grab, Lineman, 7-Eleven delivery, Big c ฯลฯ

• 4% E-Tailers และ Brand.com เช่น Powerbuy Boots Banana ฯลฯ

5 เทรนด์อีคอมเมิร์ซ ปี 2025

เทรนด์ที่ 1 The Rise of Affiliate Commerce : อีคอมเมิร์ซพันธุ์ใหม่จะขับเคลื่อนการเติบโตของอีคอมเมิร์ซในปี 2025 โดยแบรนด์ต่างๆ ได้นำกลยุทธ์ Affiliate Commerce ไปใช้กับการขายสินค้าด้วยการหลอมรวมในทุกช่องทางอีคอมเมิร์ซ โดยธุรกิจควรจับมือร่วมกับ Content creator เพื่อผลลัพธ์ทางการตลาดและยอดขายที่ดีมากขึ้น เพราะจากผลสำรวจพบว่า 83% ของคนไทย เลือกซื้อสินค้าตาม Influencer แนะนำ

สำหรับสิ่งที่จะขับเคลื่อน Affiliate Commerce เติบโต ได้แก่ 3C ประกอบด้วย Creators (ผู้สร้างสรรค์), Content (คอนเทนต์ เนื้อหาของสื่อ) และ Commerce (การค้าขาย) หมายความว่า ผู้บริโภคชอบคอนเทนต์ที่ดี และจากคอนเทนต์ที่ดี จะนำไปสู่การสร้างยอดขายให้กับแบรนด์ และสามารถวัดผลได้

เทรนด์ที่ 2 Competition in Thailand E-Commerce is Heating Up : ตลาดอีคอมเมิร์ซไทยเปิดทางให้เกิดการแข่งขันแบบเสรีขั้นสุดจากผู้ขายทั่วโลก

ปี 2025 จะเป็นปีแห่งการแข่งขันที่หนักหน่วงของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ เนื่องจากผู้ค้าออนไลน์ หลีกเลี่ยงการแข่งขันไม่ได้อีกต่อไป ซึ่งทาง Priceza ประเมินว่า ใน 3 แพลตฟอร์มใหญ่อย่าง Shopee, Lazada, TikTok มีผู้ขายรวมกันมากถึง 3 ล้านราย มีสินค้ากว่า 300 ล้านรายการ

สำหรับเหตุผลที่ผู้บริโภคจะตัดสินใจซื้อผ่านแพลตฟอร์มใด ขึ้นอยู่กับ

54% คูปองและส่วนลด

51.8% การจัดส่งฟรี

40.4% บริการเก็บเงินปลายทาง

30.7% คืนสินค้าง่าย

27.4% รีวิวจากลูกค้า

จากภาพดังกล่าว ทำให้แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซต่าง ๆ จึงพยายามทำให้เกิดการแย่งกันสร้างสินค้าและตั้งราคาถูกมาก ด้วยการดึงผู้ขายทั้งรายย่อย รายใหญ่ แบรนด์ต่าง ๆ รวมถึงโรงงานจีนและผู้ขายจากต่างประเทศให้เข้ามาเปิดช้อปบนแพลตฟอร์มของตัวเอง เพราะเมื่อมีผู้ขายเยอะ ยิ่งมีการแข่งขันและตั้งราคาให้ถูกลง ซึ่งจะดึงดูดให้ผู้บริโภคมาซื้อสินค้าบนออนไลน์มากขึ้น

วิธีนี้ แม้ผู้บริโภคจะได้ผลประโยชน์จากสินค้าราคาถูกลง ขณะเดียวกันก็ส่งผลกระทบต่อธุรกิจเล็ก ๆ ในประเทศ เพราะสินค้าราคาถูกจากจีนจะไหลเข้ามามากขึ้น โดยตอนนี้สินค้าจีนราคาไม่เกิน 1,500 บาท ได้รับการยกเว้นภาษีศุลากร ดังนั้นผู้ประกอบการไทยจำเป็นต้องมีการปรับตัว

เทรนด์ที่ 3 E-commerce Listening : ช่วยเปิดทางทำธุรกิจออนไลน์แบบ ‘รู้เขา รู้เรา’ เสริมแกร่งธุรกิจไทยแข่งขันในตลาดอีคอมเมิร์ซที่การแข่งขันสูง

จากการแข่งขันอย่างดุเดือดในธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ทำให้ปัจจุบันหลายแบรนด์ได้นำ E-commerce Listening เข้ามาใช้ เป้าหมายไม่ใช่แค่ทำความรู้จักและเข้าใจ ‘ลูกค้า’ เท่านั้น แต่ยังเป็นการเข้าใจ ‘คู่แข่ง’ ให้มากขึ้นด้วยเช่นกัน

สำหรับ E-commerce Listening ที่หลายแบรนด์นำมาใช้ จะประกอบด้วย 3C ได้แก่ Consumer (ลูกค้า) , Company (บริษัทของเรา) และ Compactors (คู่แข่ง) โดยต้องเจาะข้อมูลเชิงลึกในการจะเข้าใจว่าลูกค้าซื้ออะไรจากคู่แข่ง วิธีการขายหรือจำนวนชิ้นที่คู่แข่งขายได้ เพื่อให้รู้จักคู่แข่งได้ดีเท่ากับรู้จักลูกค้า สำหรับนำมาวางกลยุทธ์ได้อย่างถูกต้องและแม่นยำมากที่สุด

เทรนด์ที่ 4 E-Commerce Business Model Evolution : จากตลาดอีคอมเมิร์ซที่แข่งขันดุเดือด ทำให้ผู้เล่นต้องปรับเปลี่ยนให้เกิดโมเดลธุรกิจใหม่ ๆ โดยธุรกิจค้าปลีกรายใหญ่ของไทยได้ปรับโมเดลสู่การเน้นขายผ่านบ้านหลักของตัวเองมากขึ้นในปี 2025 ได้แก่

Consignment Model หรือระบบการฝากขาย ที่เน้นสินค้าราคาถูก และแพลตฟอร์มจะเป็นผู้ทำตลาดให้เอง ซึ่งในปีนี้จะเห็นหลายแพลตฟอร์มขยับมาสู่โมเดลนี้กันมากขึ้น

Vertical Marketplace แพลตฟอร์มที่ขายสินค้าเฉพาะเจาะจง เช่น Home Pro , Konvy, NocNoc เป็นต้น จะทำให้ผู้บริโภครู้สึกว่า เป็นมาร์เก็ตเพลสที่สามารถตอบโจทย์สินค้าเฉพาะกลุ่มได้มากกว่า

Refocus on Own Retail Channel ปีนี้แพลตฟอร์มอย่าง Shopee Lazada จะมีการขยับราคาค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ข้อมูลลูกค้าที่ขายผ่านทางมาร์เก็ตเพลส จะอยู่กับแพลตฟอร์ม ทำให้ให้บรรดาแบรนด์ และรีเทลต่าง ๆ หันมาให้ความสำคัญกับช่องทางขายของตัวเองมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์หรือแอปฯ

เทรนด์ที่ 5 Fast Delivery Like a Devil : ปีแห่งการส่งของไวเป็นปีศาจ ผู้บริโภคยุคใหม่ไม่อดทนรอสินค้าได้นาน หากผู้ขายรายใหม่สามารถส่งสินค้าภายในวันที่สั่งของได้ ผู้บริโภคก็พร้อมย้ายเจ้า และการส่งด่วนจากแพลตฟอร์มหรือร้านค้าต่าง ๆ นี่เองมีส่วนส่งเสริมให้ตลาด Quick Commerce เติบโตต่อเนื่องราว ๆ 20-30%  ต่อปี

 

]]>
1507743
เปิด ’10 อาชีพมาแรง’ ที่ไม่ตกยุคและตลาดต้องการตัวเป็นอย่างมาก https://positioningmag.com/1505503 Mon, 06 Jan 2025 09:24:58 +0000 https://positioningmag.com/?p=1505503 ยุคนี้เป็นยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากมายและเป็นไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการเข้ามาดิสรัปต์ของเทคโนโลยีในหลากหลายวงการ ไม่เว้นกระทั่ง ‘โลกของการทำงาน’ อย่างที่จะเห็นได้ว่า ทักษะและความรู้ด้านเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทกับการทำงานไม่น้อย รวมถึงเปลี่ยนภูมิทัศน์ของตลาดแรงงาน จากอาชีพที่เคยโดดเด่นเป็นที่ต้องการของตลาด แต่ตอนนี้อาจจะไม่ใช่เช่นนั้นอีกต่อไป 

 

บทความนี้เราจึงอยากพาไปดูว่า จากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ส่งผลให้สายงานอาชีพใดมาแรง กลายเป็น ‘อาชีพแห่งอนาคต’ ซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานบ้าง

 

10 อาชีพมาแรงในอนาคต ประกอบด้วย 

 

1.Software Developer

 

เมื่อเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญมากขึ้น แน่นอนว่า Software Developer จึงเป็นอาชีพที่ตลาดต้องการเป็นอันดับต้น ๆ เพราะธุรกิจหรือองค์กรส่วนใหญ่จำเป็นต้องมีเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันของตัวเอง เพื่อเป็นช่องทางสื่อสาร ตลอดจนเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่จะถูกนำมาใช้สร้างความสะดวกสบายให้กับลูกค้าของตนเอง 

 

สำหรับทักษะที่อาชีพนี้ต้องมีติดตัวไว้ อย่างเช่น Coding Language, Machine Learning, Analytical Skills และ Mathematics และ Statics เมื่อทำงานไปสักระยะ Software Developer อาจต่อยอดไปสู่สายงานอย่าง Programmer Analysts ได้เช่นกัน

 

ฐานเงินเดือนโดยประมาณ : 25,000-140,000 บาท/เดือน

 

2.AI & Machine Learning Engineer

 

หากพูดถึงโลกอนาคต ณ เวลานี้คงหนีไม้พ้นเรื่องของ AI ที่เริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้น และเป็นผลให้ AI Engineer และ Machine Learning Engineer เป็นอาชีพมาแรงที่ตลาดแรงงานในอนาคตต้องการตัวสูง โดยอาชีพนี้ จะอาศัยความเชี่ยวชาญในการด้านการผลิตและการเรียนรู้เครื่องจักรกล เพื่อเป็นการร่วมกันผลิตผลงานโดยมนุษย์และ A​I ให้ออกมามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

 

ขณะที่ทักษะที่อาชีพนี้จำเป็นต้องมี เช่น Coding และ Computer Skill, Marketing Skill, Machine Learning หรือ Mathematics และ Statics ฯลฯ ส่วนเส้นทางการต่อยอดในสายอาชีพนั้น สามารถเติบโตไปสู่การเป็น Machine Learning Engineer หรือ Data Engineer ได้ในอนาคต

 

ฐานเงินเดือนโดยประมาณ : 60,000-80,000 บาท/เดือน

 

3.Data Analysts

 

ยุคปัจจุบัน เป็นโลกของ Big Data ที่เป็นตัวขับเคลื่อนให้การทำการตลาด หรือการทำธุรกิจเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะช่วยวางแผนในการดำเนินด้านกลยุทธ์ได้อย่างแม่นยำและชนะคู่แข่ง จึงไม่น่าแปลกใจที่อาชีพ Data Analysts จะเป็นที่ต้องการในตลาดแรงงาน

 

สำหรับหน้าที่ของ Data Analyst คือต้องวิเคราะห์ข้อมูลที่เป็น Insights เพื่อตอบรับเรื่องของการวางกลยุทธ์ วิเคราะห์เรื่องยอดขาย ผสานกับการดูแลเรื่องต้นทุนในธุรกิจของบริษัท รวมไปถึงรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ ที่มี เพื่อนำมาใช้ส่งเสริมการทำงานของฝ่ายการตลาด ฝ่ายจัดการธุรกิจ หรือแผนกที่เกี่ยวข้องกับซัพพลายเออร์ 

 

ทักษะของสายอาชีพนี้ที่ต้องมี ได้แก่ Mathematics และ สถิติ, Analytical Skill, Communication Skill, Storytelling, Microsoft Excel และ SQL รวมไปถึงการเข้าใจเรื่องของกระบวนการธุรกิจ ในอนาคตหากอยากเติบโตสายอาชีพนี้ก็สามารถพัฒนาไปยังตำแหน่ง Business Development หรือ Static Analysis ได้เช่นกัน

 

ฐานเงินเดือนโดยประมาณ : 40,000-80,000 บาท/เดือน

 

4.Data Scientists

 

อีกหนึ่งอาชีพที่มาแรง ได้แก่ Data Scientists ที่มองเผิน ๆ อาจคล้ายกับ Data Analyst แต่ความจริงมีความแตกต่างกันอยู่ โดย Data Scientists จะเปรียบเหมือน ‘นักวิทยาศาสตร์ที่ทำหน้าที่วิเคราะห์ข้อมูล’ ก่อนจะนำข้อมูลไปสรุปผลออกมาเป็นรายงานที่แม่นยำและมีประสิทธิภาพ เพื่อนำไปต่อยอดในส่วนต่าง ๆ ของธุรกิจ ทั้งการทำตลาด หรือการวางแผนธุรกิจ

 

หลัก ๆ อาชีพนี้จะทำหน้าที่ 2 ส่วน คือ การวิเคราะห์ผสานโมเดลการทำนายผล และวิเคราะห์เพื่อพัฒนากระบวนการทำงานให้มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น ตลอดจนให้คำปรึกษาและข้อมูลที่แม่นยำแก่ทุกฝ่ายสำหรับนำไปต่อยอดในการกระตุ้นยอดขาย หรือสร้างแคมเปญโปรโมตสินค้าและบริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ คุ้มค่าเม็ดเงินที่ลงทุนไปมากที่สุด

 

ทักษะที่ Data Scientists ต้องมีคือ Mathematics และ Statics, Machine Learning, Software Engineering, Data Analysis, Data Visualizations รวมไปถึงการเข้าใจด้านการดำเนินธุรกิจ เป็นต้น ส่วนการต่อยอดในอาชีพสามารถพัฒนาไปยังอาชีพ Data Engineer หรือ Programmer 

 

ฐานเงินเดือนโดยประมาณ : 35,000-80,000 บาท/เดือน

 

5.Digital Marketing

 

อาชีพ Digital Marketing เข้ามาบทบาทมากในทำการตลาดในโลกยุคดิจิทัล โดยผู้ที่ทำอาชีพนี้ จะต้องมีความรู้ด้าน Digital Marketing รวมไปถึงสามารถวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้นได้ เพื่อนำไปใช้ต่อยอดหรือโปรโมตธุรกิจให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายผ่านช่องทางต่าง ๆ ได้มากขึ้น อีกทั้งยังต้องทำหน้าที่ในการคิดคอนเทนต์ หรือเนื้อหาต่าง ๆ ให้โดนใจกลุ่มเป้าหมาย และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีให้ลูกค้าผ่านช่องทางดิจิทัลต่าง ๆ ได้ด้วย

 

อาชีพนี้ จึงต้องมีทักษะ เช่น Marketing Skill, Technical Skill, Creative Data Analytic Skill, Digital Presentation Skill, Content Creator Skill, E-Commerce, SEO/SEM, Graphic Designer รวมไปถึงความรู้ในการใช้ Tools หรือเครื่องมือออนไลน์ต่าง ๆ เพื่อโปรโมตและดึงข้อมูลด้านการตลาดออนไลน์ เป็นต้น

 

ฐานเงินเดือนโดยประมาณ : 30,000-80,000 บาท/เดือน

 

6.Digital Marketing Analyst

 

Digital Marketing Analyst จะเป็นอาชีพที่ผสมผสานระหว่าง Data Analyst และ Digital Marketing เข้าไว้ด้วยกัน โดยหน้าที่หลักคือ จะต้องหาข้อมูล Insight เกี่ยวกับตัวผู้บริโภคและลูกค้าของธุรกิจ รวมถึงทำรีเสิร์ชเกี่ยวกับเทรนด์การตลาดในธุรกิจที่ดูแล และนำข้อมูลเหล่านั้นมาวิเคราะห์ ก่อนการทำการตลาดออนไลน์ และทำหน้าที่เสนอแผนงานให้ฝ่าย Sales & Marketing หรือ ฝ่าย Business Development ของบริษัทเพื่อร่วมกันพัฒนาธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น

 

สำหรับทักษะที่ Digital Marketing Analyst ควรมี ได้แก่ Data Analytical Skill, Data Visualization, Marketing Skill, Communication Skill, Presentation Skill ตลอดจนการใช้ ​Tools ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ Digital Marketing

 

ฐานเงินเดือนโดยประมาณ : 50,000-80,000 บาท/เดือน

 

7.Business Operations

 

อาชีพ Business Operations จะเน้นการสื่อสารและพัฒนาภายในองค์กรเป็นหลัก โดยจะทำหน้าที่ในการดูแลระบบการทำงานภายในองค์กร คอยจัดการขั้นตอนการทำงานต่าง ๆ ให้เป็นไปอย่างราบรื่นมีประสิทธิภาพมากที่สุด และป้องกันการเกิดปัญหาภายในองค์กรให้น้อยที่สุด เพราะหากภายในบริษัทมีระบบรากฐานที่ดี ก็จะช่วยให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และทำให้อาชีพนี้มาแรง เป็นที่ต้องการของตลาด

 

ผู้ที่ต้องการก้าวสู่สายอาชีพนี้ ต้องมีทักษะ เช่น Business Development, Project Management, Communication Skill หรือ Presentation Skill ฯลฯ และในอนาคต Business Operations ยังสามารถต่อยอดด้านอาชีพไปเป็น Project Manager และ Business Development ได้ด้วย

 

ฐานเงินเดือนโดยประมาณ : 30,000-50,000 บาท/เดือน

 

8.Organization Development

 

แม้ AI จะเข้ามามีบทบาทในโลกการทำงานมากขึ้น แต่เรื่องของการบริหารมนุษย์นั้น ยังไงมนุษย์ด้วยกันเองก็สามารถทำหน้าที่ได้ดีกว่า AI แน่นอน ดังนั้นสายงานด้าน Organization Development จึงไม่มีทางตกเทรนด์ และเป็นอาชีพที่ต้องการในอนาคตต่อไป

 

สำหรับทักษะที่จำเป็นต้องมีหากอยากจะอยู่ในสายอาชีพนี้ ก็คือ Human Resources, Project Management, Communication Skill, Training Skill หรือ Business Development ฯลฯ

 

ฐานเงินเดือนโดยประมาณ : 40,000-60,000 บาท/เดือน

 

9.Cybersecurity

 

ยุคนี้โลกของเราไม่เพียงต้องเจอการระบาดของโรคภัยแล้ว แต่ยังต้องเผชิญกับการระบาดของมิจฉาชีพออนไลน์หรือแก๊งคอลเซ็นเตอร์อีกด้วย Cybersecurity จึงเป็นอีกอาชีพที่มาแรง แถมในตอนนี้ยังขาดแคลนในตลาดแรงงานทั่วโลกอีกด้วย 

 

โดยทักษะที่จำเป็นที่ต้องมีสำหรับอาชีพ Cybersecurity ได้แก่ ทักษะ Programming หรือ Coding ความรู้ด้านระบบอินเทอร์เน็ต วิศวกรคอมพิวเตอร์ ทักษะด้านซอฟต์แวร์และการใช้เครื่องมือ Cybersecurity ทักษะการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ฯลฯ

 

ฐานเงินเดือนโดยประมาณ : 60,000-100,000/เดือน 

 

10.Content Creator

 

Content Creator เป็น ‘อาชีพมาแรงแห่งยุค’ เพราะจะเห็นได้ว่า เป็นอาชีพที่คนต้องการทำและมีจำนวนเพิ่มขึ้นมากมายในปัจจุบัน ทั้งคนที่ทำอาชีพนี้กันอย่างจริงจัง หรือทำเป็นอาชีพเสริม ซึ่งหากทำแล้วปัง ก็สามารถหารายได้แบบเป็นกอบเป็นกำได้ไม่ยาก

 

สำหรับทักษะหลัก ๆ ที่ Content Creatorจำเป็นต้องมี ได้แก่ Writing Skill, Copywriting Skill, การพูด, การดำเนินรายการ, การทำกราฟิก, การตัดต่อวิดีโอ, Motion Effect, Marketing Skill, Communication Skill ฯลฯ ซึ่งอาชีพนี้สามารถต่อยอดหรือเติบโตไปเป็น Content Manager, Content Marketing หรือ Creative Director ได้ในอนาคต

 

ฐานเงินเดือนโดยประมาณ : 25,000-50,000 บาท/เดือน

 

ที่มา : Jobsb

 

]]>
1505503
วัดชีพจรธุรกิจไทย ปี 68 ธุรกิจไหนติดอันดับ ‘ดาวรุ่ง-ดาวร่วง’ บ้าง? https://positioningmag.com/1504612 Mon, 23 Dec 2024 08:48:40 +0000 https://positioningmag.com/?p=1504612 ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้เปิดเผยถึง ‘ธุรกิจดาวรุ่ง-ดาวร่วง ประจำปี 2568’ ซึ่งสะท้อนภาพมาจากเทรนด์ของตลาด บวกกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว

 

ประเด็นน่าสนใจธุรกิจติดอันดับดาวรุ่งเป็นครั้งแรก ได้แก่ ‘ธุรกิจแอลกอฮอล์’ ในอันดับ 4, ธุรกิจให้บริการผ่านแพลตฟอร์ม เช่น แม่บ้าน ในอันดับ 6 รวมถึง ‘ธุรกิจคลินิกกายภาพ’ และ ‘ธุรกิจให้บริการสถานีชาร์จรถ EV’ ในอันดับ 7 สำหรับ 10 ธุรกิจดาวรุ่ง ปี 2568 ทั้งหมด ประกอบด้วย

 

1.ธุรกิจการแพทย์และความงาม/ธุรกิจ Cloud Service/ธุรกิจ Cyber Security – ธุรกิจนี้เติบโตและโดดเด่นตามเทรนด์โลก รวมถึงสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่มีผลต่อพฤติกรรมของผู้บริโภค

 

2.ธุรกิจจัดทำคอนเทนต์/Social Media/YouTuber/Influencer – เป็นธุรกิจที่มีการเติบโตน่าสนใจความต้องการและดีมานด์ของตลาดที่มีอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ถือเป็นธุรกิจนี้ถือว่า มีคู่แข่งเพิ่มขึ้นมากด้วยเช่นกัน

 

3.ธุรกิจ Soft Power ไทย โดยเฉพาะซีรีส์ หนัง โฆษณา และสื่อออนไลน์ – เทรนด์การเติบโตก็มาจากความต้องการของตลาดที่สูงขึ้น และมีการขยายไปวงกว้างค่อนข้างมาก แม้ต้นทุนในการผลิตจะยังคงสูงก็ตาม

 

4.ธุรกิจคอนเสิร์ต อีเวนต์/เครื่องดื่มแอลกอฮอล์/ธุรกิจความเชื่อ (สายมู, หมอดู, ฮวงจุ้ย) – ในส่วนของ ‘ธุรกิจคอนเสิร์ตและอีเวนต์’ มีผลมาจากภาครัฐและเอกชนมีการจัดงานต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น เพื่อกระตุ้นการใช้จ่าย ขณะที่ ‘ธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์’ มาจากความต้องการของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น ทำให้มีความโดดเด่นทั้งด้านยอดขาย และกำไร

 

ส่วน ‘ธุรกิจความเชื่อ’ เป็นธุรกิจที่อยู่ในกระแส ปัจจัยหนึ่งมาจากมี Influencer หรือผู้มีชื่อเสียงด้านนี้ สร้างความน่าเชื่อถือสร้างประสบการณ์ร่วมด้านอารมณ์กับลูกค้า บวกกับความไม่สนใจของสถานการณ์ต่าง ๆ เช่น เศรษฐกิจ ฯลฯ ส่งผลให้คนหาที่ ‘พึ่งทางใจ’ กันมากขึ้น ทำให้ธุรกิจความเชื่อมีโอกาสเติบโตต่อไป

 

5.ธุรกิจเงินด่วน/โรงรับจำนำ/ประกันภัยและประกันชีวิต – โดดเด่นตามความต้องการที่มีสูงขึ้น อย่างธุรกิจประกันภัยและประกันชีวิต มีการเติบโตทั้งยอดขายและกำไร ยกตัวอย่างบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มีกำไรสุทธิเฉลี่ยอยู่ที่ 6-7% ต่อเนื่อง

 

6.ธุรกิจให้บริการผ่านแพลตฟอร์ม เช่น แม่บ้าน ฯลฯ/ธุรกิจผับ บาร์ คาราโอเกะ – ‘ธุรกิจให้บริการผ่านแพลตฟอร์ม’ เช่น แม่บ้าน บริการซ่อมต่าง ๆ ฯลฯ เป็นไปตามเทรนด์การใช้ชีวิตของคนยุคปัจจุบันที่ต้องการความสะดวกสบายและรวดเร็ว ส่วน ‘ธุรกิจผับ บาร์ คาราโอเกะ’ ที่เป็นดาวรุ่งก็มาจากดีมานด์ที่สูงขึ้นนั่นเอง

 

7.ธุรกิจคลินิกกายภาพ/ธุรกิจให้บริการสถานีชาร์จรถ EV/ธุรกิจสัตว์เลี้ยง – ธุรกิจเหล่านี้เริ่มมีการเติบโตอย่างโดดเด่นในช่วงปลายปี 2567 และปีหน้าเองมีแนวโน้มขยายตัวมากขึ้น โด ‘ธุรกิจกายภาพ’ จะเป็นการแตกแขนงจากธุรกิจทางการแพทย์และความงาม มี 2 รูปแบบ คือ คลินิกที่เปิดโดยแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์มาทำกายภาพ และเปิดโดยนักกายภาพ เพื่อมารักษาอาการ เช่น ออฟฟิศซินโดรม เป็นต้น

 

ขณะที่ ‘ธุรกิจให้บริการสถานีชาร์จรถ EV’ เนื่องจากมีผู้เล่นในตลาดมากขึ้น และความนิยมของรถ EV เพิ่มขึ้น ทำให้เห็นทิศทางการขยายตัวของรถ EV อย่างเห็นได้ชัด เช่นเดียวกับ ‘ธุรกิจสัตว์เลี้ยง’ เป็นการตอบสนองเทรนด์คนรักสัตว์ และรับสัตว์เลี้ยงเป็นลูกหลานที่มาแรงมาก ณ ตอนนี้

 

8.ธุรกิจโทรคมนาคม/Fintech/ตู้หยอดเหรียญ/ธุรกิจท่องเที่ยวและเกี่ยวเนื่อง – ทั้งหมดเป็นธุรกิจที่ตอบรับกับไลฟ์สไตล์ของคนที่ต้องการความสะดวกสบายและประหยัดเวลามากขึ้น ส่วน ‘ธุรกิจท่องเที่ยวและเกี่ยวเนื่อง’ เห็นชัดว่า รอบปีที่ผ่านมาเป็นปัจจัยบวกที่ส่งผลให้มีนักท่องเที่ยวเข้ามาในไทยสูงขึ้น ทำให้ธุรกิจท่องเที่ยวและเกี่ยวเนื่องมีอัตราการขยายตัวได้ แม้จะมีปัจจัยบั่นทอนอยู่บ้าง แต่ปีหน้าเชื่อว่า ภาครัฐต้องขับเคลื่อนนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวเพื่อให้จำนวนนักท่องเที่ยวเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้

 

9.ธุรกิจเดลิเวอรี่/ทนายความ-ตรวจสอบบัญชี/สตรีทฟู้ดส์/ตลาดนัดกลางคืน/อาหาร-เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ – ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนยุคใหม่ ที่น่าสนใจ คือ ธุรกิจสตรีทฟู้ดส์และตลาดกลางคืน ซึ่งมีการเติบโตน่าสนใจ และตลาดนัดกลางคืน ถือเป็นธุรกิจอีกรูปแบบหนึ่งในการสนับสนุน Soft Power ของไทย

 

10.ธุรกิจพลังงานทดแทน/โรงพยาบาล คลินิกเกี่ยวกับสัตว์

ส่วน 10 ธุรกิจดาวร่วง ปี 2568 ได้แก่

 

1.ธุรกิจจำหน่ายและให้เช่า CD หรือ VDO – เป็นธุรกิจที่ตกลงมาอย่างชัดเจน และมีการล้มหายตายจากไปเรื่อย ๆ ตามพฤติกรรมของคนที่เปลี่ยนแปลงไป

 

2.ธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ที่ไม่มีแพลตฟอร์ม ออนไลน์ – เนื่องจากยุคปัจจุบันเป็นโลกของออนไลน์ สัดส่วนของสิ่งพิมพ์ลดลง ดังนั้น จะเห็นได้ว่า ผู้ประกอบการธุรกิจสิ่งพิมพ์จะมีการทำแพลตฟอร์มออนไลน์ควบคู่กันไป หากไม่มีจะเริ่มหายไปจาก

 

3.ธุรกิจคนกลางผลิตและจำหน่ายที่เก็บข้อมูล เช่น CD DVD Thumb Drive ฯลฯ – เป็นธุรกิจที่ต้องเผชิญการดิสรัปต์จากเทคโนโลยีเช่นเดียวกับธุรกิจสิ่งพิมพ์ โดยปัจจุบันผู้คนจะจัดเก็บข้อมูลต่าง ๆ ในรูปแบบของ Cloud Service ทำให้ธุรกิจ ธุรกิจคนกลางผลิตและจำหน่ายที่เก็บข้อมูล เช่น CD DVD Thumb Drive ฯลฯ เริ่มลดน้อยลงไปอย่างเห็นได้ชัด และปีหน้าเองเรื่อง AI จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ธุรกิจเหล่านี้เริ่มหายไปจากตลาด

 

4.ธุรกิจบริการส่งหนังสือพิมพ์ – เป็นไปตามการเติบโตของธุรกิจสิ่งพิมพ์ที่ลดลง

 

5.ธุรกิจผลิตสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม – แนวโน้มของธุรกิจนี้จะเป็นการนำเข้ามาจากต่างประเทศมากขึ้น เนื่องจากได้กำไรมากกว่า ทำให้ธุรกิจผลิตสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มภายในประเทศปรับตัวลดลง

 

6.ธุรกิจถ่ายเอกสาร – สอดคล้องกับแนวโน้มของพฤติกรรมคนจากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่จะดูเอกสารผ่านออนไลน์หรือมือถือมากขึ้น

 

7.ธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ไม้ดั้งเดิม ไม่มีการออกแบบดีไซน์ – หากผู้ประกอบการยังคงดำเนินธุรกิจในรูปแบบเดิม ไม่มีดีไซน์ จะหายไปจากตลาดที่ปัจจุบันการสร้างสรรค์และดีไซน์มีความสำคัญ

 

8.ธุรกิจรถยนต์มือ 2 – รอบปีที่ผ่านมาจะเห็นบริษัทรถยนต์มือสองหรือเต็นท์ขายรถยนต์มือสองปิดกิจการไปค่อนข้างเยอะ เนื่องจากราคารถยนต์มือหนึ่งทั้งระบบสันดาปและรถ EV มีราคาถูกลง ซึ่งเมื่อเทียบกับรถยนต์มือสองมีราคาแตกต่างไม่มากนัก ทำให้คนหันไปซื้อรถยนต์มือหนึ่งมากขึ้น

 

9.ธุรกิจขายเครื่องเล่นเกม – การเป็นดาวร่วงของธุรกิจนี้ มาจากการดิสรัปต์และการเติบโตของธุรกิจเกมออนไลน์

 

10.ธุรกิจผลิตกระดาษ/ธุรกิจโชห่วย – แม้จะมีการใช้กระดาษอยู่ แต่ ‘ธุรกิจผลิตกระดาษ’ ก็ไม่โดดเด่นเหมือนในอดีต และการดำเนินธุรกิจไม่สามารถทำกำไรอย่างที่ผ่านมา ส่วน ‘ธุรกิจโชห่วย’ ได้รับผลกระทบจากการรุกตลาดอย่างหนักของร้านสะดวกซื้อรายใหญ่ บวกกับพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงชัดเจน โดยต้องการความสะดวกสบายและความครบครันมากขึ้นนั่นเอง

 

ส่วนธุรกิจที่เคยโดดเด่น เป็นดาวรุ่งในปี 2567 แต่ในปี 2568 ไม่ได้ติดอันดับ ได้แก่ ธุรกิจ E-Sport Game, ธุรกิจยานยนต์, ธุรกิจอสังหาฯ และก่อสร้าง, ธุรกิจท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ

]]>
1504612
อีกสิบปี ‘กาแฟ RTD’ ในไทยจะมีมูลค่า 6.2 หมื่นล้าน อะไรที่ทำให้ตลาดนี้โตแรง? https://positioningmag.com/1502436 Mon, 09 Dec 2024 04:57:55 +0000 https://positioningmag.com/?p=1502436 ด้วยไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของผู้คนยุคปัจจุบันที่ต้องการความสะดวกสบาย และความรวดเร็ว หากสินค้าหรือบริการใดสามารถตอบสนองเทรนด์นี้ได้ นั่นหมายถึงยอดขายและโอกาสทางธุรกิจที่เพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับ ‘กาแฟพร้อมดื่ม’ หรือ กาแฟ RTD (Ready To Drink) ที่แม้ตอนนี้คนไทยยังมีการบริโภคน้อยอยู่ แต่ในอีกสิปปีข้างหน้ามีการประเมินว่า ตลาดนี้จะโตปีละ 9% มีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 62,033 ล้านบาท

 

นอกจากความสะดวกสบายแล้ว ยังมีปัจจัยอื่นหรือไม่ที่เป็นแรงส่งให้ตลาดกาแฟ RTD มีการเติบโตร้อนแรงเช่นนี้?

 

จากข้อมูลของ Tetra Pak Compass 2023 ได้รายงานถึงปริมาณการบริโภคกาแฟ RTD ของทั่วโลกในปี 2020-2023 อยู่ที่ประมาณ 7,600 ล้านลิตร มีการเติบโต 3.3% เมื่อเทียบกับปีก่อน และจากการบริโภคทั้งหมดเป็นการบริโภคอยู่ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก หรือ APAC ถึง 75%

 

ตลาดกาแฟในไทยน่าสนใจแค่ไหน ?

 

สำหรับประเทศไทยนั้น จากรายงานดังกล่าวระบุว่า มีการบริโภคเครื่องดื่ม (ไม่รวมน้ำดื่ม) อยู่ราว 15,864 ล้านลิตร ในจำนวนนั้นเป็นการบริโภคกาแฟอยู่ในสัดส่วนที่ 11% ซึ่งตลาดกาแฟในภาพรวมมีแนวโน้มการเติบโตเฉลี่ย 3.5% ต่อปีสูงกว่าเครื่องดื่มหลายตัว ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มนมและกลุ่มน้ำผลไม้ เป็นต้น

 

นั่นทำให้กาแฟกลายเป็นอีกหนึ่งเซ็กเมนต์ของตลาดเครื่องดื่มที่มีการเติบโตน่าสนใจ

‘สุภนัฐ รัตนทิพ’ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท เต็ดตรา แพ้ค (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ในบรรดาตลาดกาแฟทั้งหมดเซ็กเมนท์ RTD เป็นตลาดน่าสนใจที่สุด เพราะแม้ปัจจุบันจะมีการบริโภคอยู่ในสัดส่วน 12% จากภาพรวมของตลาดกาแฟ แต่ในอนาคตโตแรงแน่นอน ซึ่งเหตุผลเพราะนอกจากช่องว่างทางการตลาดที่มีอยู่ ยังมาจากปัจจัยหลัก ดังต่อไปนี้

 

ประเด็นแรก ความต้องการของผู้บริโภค โดยเฉพาะกลุ่มวัยทำงาน และกลุ่ม Gen Z มีความคุ้นเคยและดื่มกาแฟมากขึ้น โดยจะมีการบริโภคอย่างน้อย 2 แก้วต่อวัน

 

ประเด็นที่ 2 ด้วยเทรนด์การใช้ชีวิตของผู้บริโภคที่มองหาความสะดวกสบายและความรวดเร็วมากขึ้น ทำให้ผู้บริโภคหันมาบริโภคสินค้าที่ตอบโจทย์ความต้องการนี้เพิ่มขึ้น

 

ประเด็นที่ 3 การมีผู้เล่นรายใหม่เข้ามาในตลาด รวมถึงมีการออกรสชาติและผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง เป็นการขยายกลุ่มเป้าหมายให้กว้างขึ้น

 

ประเด็นที่ 4 มาจากการขยายตัวของช่องทางจัดจำหน่ายที่มากขึ้น โดยเฉพาะร้านสะดวกซื้อ ที่ส่วนใหญ่จะมีสินค้ากลุ่ม RTD วางจำหน่าย ทำให้เป็นเพิ่มโอกาสในการขยายตัวของสินค้ากลุ่มนี้ รวมถึงกาแฟ RTD

 

จากปัจจัยทั้งหมด ทำให้มีการประเมินว่า ในอีกสิบปีข้างหน้าตลาดกาแฟพร้อมดื่มจะมีการเติบโตเฉลี่ยปีละ 9% และมีมูลค่าเพิ่มขึ้น จากปี 2024 มีมูลค่าอยู่ที่ 26,095 ล้านบาท เพิ่มเป็น 62,033 ล้านบาท ในปี 2034 ซึ่งถือเป็นโอกาสน่าสนใจสำหรับทั้งผู้ประกอบการที่ต้องการขยายธุรกิจและผู้เล่นรายใหม่ที่มองหาช่องทางเข้าสู่ตลาดกาแฟ RTD

 

ทั้งนี้ ตลาดกาแฟ RTD ในบ้านเรา จะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ ‘กลุ่มแมส’ เป็นตลาดพื้นฐาน เช่น กาแฟดำ กาแฟใส่นม ฯลฯ ราคาอยู่ประมาณ 10 บาท กับ ‘กลุ่มพรีเมียม’ ใช้เมล็ดกาแฟพิเศษ มีความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ ระดับราคาอยู่ที่ 30 บาทขึ้นไป ซึ่งสุภนัฐบอกว่า การทำตลาดอยากให้โฟกัสในกลุ่มพรีเมียม เพราะกำไรต่อหน่วยสูงกว่า และยังเพิ่มคุณค่าให้กับแบรนด์

โดยการทำตลาดในกลุ่มนี้ สามารถต่อยอดความได้เปรียบด้วยการ Value-added ผ่านนวัตกรรมต่าง ๆ เช่น การใช้บรรจุภัณฑ์สำหรับสร้างความแตกต่าง บรรจุภัณฑ์หรูหรา การตลาดแบบเฉพาะเจาะจง หรือการนำเสนอเรื่องราวของแบรนด์

 

รวมไปถึงพัฒนาให้ผลิตภัณฑ์เป็น ‘มากกว่ากาแฟ’ ด้วยการเพิ่มคุณประโยชน์อื่นเข้าไปเพื่อตอบสนองเทรนด์สุขภาพที่มาแรง ยกตัวอย่าง ประเทศเกาหลีที่มีการใส่ High Protein เข้าไป หรือญี่ปุ่น อีกตลาดที่ใหญ่ของกาแฟ ได้มีการออกผลิตภัณฑ์ไซด์ลิตรให้บริโภคที่บ้าน และมีการทำกาแฟ Plant-based ขึ้นมา เป็นต้น

 

“ราคา เป็นปัจจัยหนึ่งในการตัดสินใจซื้อ แต่ถ้าสินค้าสามารถตอบโจทย์ความต้องการเขาได้ผู้บริโภคก็พร้อมจ่าย และต้องทำความเข้าใจลูกค้าแต่ละกลุ่มให้ชัดเจน เพื่อให้รู้ว่า เราจะสู้ด้วยกลยุทธ์อะไร เพราะอย่าลืมว่า ตอนนี้ไม่มีแล้วสำหรับ One size doesn’t fit all”

]]>
1502436
รู้จัก “White Story” ธุรกิจ “ข้าวกล่อง-เบเกอรี” ร้อยล้าน! https://positioningmag.com/1494053 Fri, 11 Oct 2024 09:30:03 +0000 https://positioningmag.com/?p=1494053 1494053 5 Do – 2 Don’t ในการเลือก “อินฟลูเอนเซอร์” โปรโมตแบรนด์/สินค้า https://positioningmag.com/1492580 Wed, 02 Oct 2024 09:54:42 +0000 https://positioningmag.com/?p=1492580
มูลค่าตลาดการโฆษณาโดยใช้อินฟลูเอนเซอร์ (Influencer Marketing) เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วทั่วโลก ในรอบ 7 ปีที่ผ่านมา (2016-2023) มีการเติบโตเฉลี่ยปีละ 66.34%

โดยปี 2023 มูลค่าตลาดสูงถึง 21,100 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่ปี 2024 มีการคาดการณ์ว่าจะโตอีก 13.7% ขึ้นไปแตะ 24,000 ล้านเหรียญสหรัฐ

จากความฮอตของอินฟลูฯ “วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล” (CMMU) จึงออกไกด์ไลน์ให้แบรนด์เพื่อนำไปเลือกใช้ “อินฟลูฯ” ได้อย่างเหมาะสม โดยมี 5 อย่างที่ควรทำ และ 2 อย่างที่ไม่ควรทำ ดังนี้

DO – เลือกอินฟลูฯ ที่มีบุคลิกสอดคล้องกับแบรนด์
DO – เลือกอินฟลูฯ ที่ตัวตนชัดและเป็นธรรมชาติ
DO – ให้อิสระอินฟลูฯ สร้างคอนเทนต์ในแบบตัวเอง
DO – เลือกอินฟลูฯ ที่ผู้บริโภครู้สึกเข้าถึงง่าย
DO – เลือกอินฟลูฯ ที่เป็นที่รัก

DON’T – อย่ามองแค่ตัวเลขผู้ติดตาม
DON’T – อย่าหลงตามกระแส

รายละเอียดแต่ละข้อ ติดตามได้ในอินโฟกราฟิกชุดนี้เลย 👇

อินฟลูเอนเซอร์

#อินฟลูเอนเซอร์ #อินฟลู #การตลาดออนไลน์ #การตลาดดิจิตอล #การตลาด #PositioningOnline
]]>
1492580
2 “อาคารโบราณ” ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ที่จะถูกเนรมิตใหม่เป็น “โรงแรม” สุดหรู https://positioningmag.com/1492020 Fri, 27 Sep 2024 06:46:40 +0000 https://positioningmag.com/?p=1492020
โปรเจ็กต์ที่น่าสนใจอีก 2 แห่งกำลังจะเกิดขึ้นริมแม่น้ำเจ้าพระยาในย่านเจริญกรุง จากอาคารโบราณที่มีคุณค่าทางประวัติศาตร์ จะถูกรีโนเวตกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่เป็น “โรงแรม” สุดหรู

แห่งแรกคือ “อาคารอีสต์เอเชียติก” อาคารอายุ 124 ปีที่เคยเป็นที่ทำการบริษัทเดินเรือขนส่งจากยุโรป ปัจจุบันเจ้าของโครงการคือ AWC ตระกูลสิริวัฒนภักดี กำลังจะเปลี่ยนแปลงมาเป็นโรงแรม “เดอะ พลาซ่า แอทธินี โนบุ โฮเทล แอนด์ สปา แบงคอก”

อีกแห่งหนึ่งคือ “โรงภาษีร้อยชักสาม” อาคารอายุ 140 ปี อดีตศุลกสถานเก็บภาษีนำเข้าส่งออกสินค้า ปัจจุบันเจ้าของโครงการที่ได้สัมปทานคือ “แรบบิท​ โฮลดิ้งส์” (เครือบีทีเอส กรุ๊ป) จะเปลี่ยนอาคารมาเป็นโรงแรม “เดอะ แลงแฮม แบงคอก”

ทั้งสองอาคารจะมีการเก็บอนุรักษ์รูปแบบสถาปัตยกรรมดั้งเดิมเอาไว้ ซึ่งถือเป็นงานที่ยากและต้องใช้เวลา ความประณีตในการทำงานสูงมาก

คาดว่าเราจะได้เห็นทั้ง 2 อาคารกลับมาให้บริการได้ในปี 2569

#อาคารโบราณ #รีโนเวต #ปรุงปรุงอาคาร #โบราณสถาน #อาคารเก่า #เจริญกรุง #ริมน้ำ #PositioningOnline

]]>
1492020
“บ้านแพง ค่าแรงถูก” “ราคาบ้าน” เฉลี่ยในกรุงเทพฯ แพงเกินที่คนทั่วไปจะกู้ได้ถึง 2.6 เท่า! https://positioningmag.com/1491479 Tue, 24 Sep 2024 04:43:53 +0000 https://positioningmag.com/?p=1491479 1491479 เทียบฟอร์ม 4 “ร้านสลัด” ร้านไหนที่ได้ใจคุณ? https://positioningmag.com/1488078 Thu, 29 Aug 2024 13:55:31 +0000 https://positioningmag.com/?p=1488078 1488078