Strategic Move – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 12 Dec 2025 10:21:59 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 S&P ตลาดไก่ทอดครั้งแรก ส่ง “Wingstop” เจาะ Gen Z เป้ารายได้ 100 ล้านบาท ใน 1 ปี https://positioningmag.com/1550998 Fri, 12 Dec 2025 09:41:31 +0000 https://positioningmag.com/?p=1550998 จากร้านเบเกอรีชื่อดัง วันนี้ S&P เตรียมสยายปีกเข้าสู่ตลาดไก่ทอดครั้งแรก ผ่านการซื้อมาสเตอร์แฟรนไชส์ “Wingstop” ร้านไก่ทอดจุ่มซอสชื่อดัง สัญชาติอเมริกัน

”ปราการ ไรวา“ หรือ เนม Getsunova นั่งแท่นผู้บริหารแบรนด์วิงสต๊อปประเทศไทย (Wingstop) ภายใต้ บริษัท เอส แอนด์ พี วิงส์ จำกัด กล่าวว่า ตลาดไก่ทอดในประเทศไทย มีมูลค่าราว 30,000 ล้านบาท เติบโตเฉลี่ย 8-10% แม้สมรภูมิจะดุเดือด (Red Ocean) จากผู้เล่นรายใหญ่ แต่ยังมีโอกาสสำหรับแบรนด์ที่แตกต่าง

ทั้งนี้ การนำเข้าแบรนด์ Wingstop เนื่องจากแบรนด์ไก่ทอดที่ประสบความสำเร็จระดับโลก จากการเปิดสาขา 3,000 แห่ง ใน 18 ประเทศทั่วโลก และมีฐานลูกค้าขนาดใหญ่

“ผู้บริโภคในไทย เคยมีกระแสเรียกร้องอยากให้แบรนด์ Wingstop มาเปิดในไทย ตั้งแต่แบรนด์ยังไม่เปิดบริการด้วยซ้ำ ขณะที่ S&P อยู่ในตลาดฟู้ดมานาน และมีระบบหลังบ้านแข็งแรง ซึ่งการทำ Wingstop เป็นหมุดหมายสำคัญ  ในการขยายขยายฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ (New Target) โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z เราใช้เวลาดีลแบรนด์นี้กว่า 2 ปี“

ปราการ ไรวา ผู้บริหารแบรนด์วิงสต๊อปประเทศไทย (Wingstop) ภายใต้ บริษัท เอส แอนด์ พี วิงส์ จำกัด

ลงทุน 30 ล้านบาท จ่อขยายเพิ่ม 5-6 สาขาในกรุงเทพฯ เป้ารายได้ 100 ล้านบาท

เบื้องต้น ได้ก่อตั้ง บริษัท เอส แอนด์ พี วิงส์ จำกัด ทุนจดทะเบียนเริ่มต้น 30 ล้านบาท เปิดตัว Wingstop สาขาแรกที่ศูนย์การค้าเอ็มบีเค (MBK) ขนาด 208 ตร.ม. ใช้งบลงทุนประมาณ 11 ล้านบาท เตรียมให้บริการเต็มรูปแบบวันที่ 13 ธ.ค. 68 เวลา 10.00 – 02.00 น.

ยุทธศาสตร์ ปี 2569 เตรียมขยายสาขาเพิ่มอีก 5-6 สาขา เน้นทำเลในกรุงเทพฯ ก่อน โดยใช้กลยุทธ์ทำเลที่มีทราฟฟิกสูง และต้องเป็นพื้นที่ที่มองเห็นร้านได้ ไม่ว่าจากบนถนน รถไฟฟ้า หรือทางเท้า

ส่วนขนาดพื้นที่ร้านมองไว้ 150 – 250 ตร.ม. ใช้งบลงทุนประมาณ 6 – 11 ล้านบาท/สาขา แล้วแต่ขนาดและทำเล

โดยตั้งเป้าหมายรายได้ในปี 2569 อยู่ที่ 100 ล้านบาท ส่วนงบการตลาดวางไว้ 4-5% ของยอดขาย ซึ่งในปีแรก ๆ จะเน้นหนักไปที่การทำตลาดผ่านเกมและดนตรี เพื่อเข้าถึงผู้บริโภครุ่นใหม่นั่นเอง

“แม้ตลาดไก่ทอด ปี 2569 ยังมีความท้าทายสูงจากกำลังซื้อชะลอตัว แต่ด้วยระดับราคาของ Wingstop อยู่ที่ 159 – 369 บาท จึงไม่ได้รับผลกระทบ”

Wingstop สาขาเอ็มบีเค

4 กลยุทธ์พา Wingstop เจาะตลาดไทย Gen Z แรงขับเคลื่อนสำคัญ

สำหรับการวางทาร์เก็ต ลูกค้าหลัก คือ กลุ่มคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะ Gen Z ที่เป็นกลุ่มกำลังซื้อใหญ่ และผู้นำเทรนด์ต่าง ๆ ในไทย ผ่านกลยุทธ์แบบ “Consumer Centric + Culture Centric” ประกอบด้วย 4 แกนหลัก ดังนี้

1.เจาะอินไซต์ลึก ๆ ของคนรุ่นใหม่ (ConZmer Centric)

Wingstop เริ่มจากการทำความเข้าใจคนรุ่นใหม่แบบเจาะลึก โดยจับมือกับนักศึกษาธรรมศาสตร์กว่า 80 คน เพื่อเจาะอินไซต์ “ชีวิตจริง + มุมมอง + คัลเจอร์” ของ Gen Z เพื่อสร้างแบรนด์จากคนรุ่นใหม่จริง ๆ

2.ผู้นำด้านรสชาติ (Flavour Pioneers)

Wingstop ไม่ได้ขายไก่ แต่ขาย “รสชาติ“ ทำให้การแตก Product หลากหลาย มีไก่ให้เลือกถึง 9 รสชาติ อาทิ การ์ลิก พาร์เมซาน, เท็กซัส บัฟฟาโล, เลมอน เปปเปอร์

แบ่งความเผ็ดเป็น 3 ระดับ คือ ไม่เผ็ด (No Heat), เผ็ดเล็กน้อย (Some Heat) และเผ็ดมาก (All the Heat) โดยมีไก่ 3 รสชาติ ระดับเผ็ดสุด ที่วางขายเฉพาะที่ไทยและอินโดนีเซีย อาทิ อินเฟอร์โน, อะตอมมิค บลาสต์ เพื่อรับอินไซต์การกินรสจัด

ไก่ทอด Wingstop

3.ระบบปฏิบัติการมาตรฐานโลก (Process & Operation : Global Standardized)

ให้ความสำคัญกับระบบหลังบ้าน เพื่อให้ได้รสชาติและการบริการแบบเดียวกันในทุกสาขาทั่วโลก

4.การทำแบรนด์และการตลาด (Strenthening Brand & Marketing)

Wingstop มองการเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม Gen Z ไทย โดยแบรนด์มอง Gen Z ไม่ใช่แค่กลุ่มอายุ แต่มองว่าเป็น “คัลเจอร์ที่กำลังก่อตัว”

กลยุทธ์การเข้าถึง คือ ทำแคมเปญที่ Unique, Bold, Real ที่สะท้อนตัวตนคนรุ่นใหม่และซับคัลเจอร์ที่หลากหลาย รวมไปถึงการยึดผู้บริโภคเป็นศูนย์กลาง รับฟังและนำอินไซต์มาพัฒนาตลาดต่อไป

ไก่ทอด Wingstop
]]>
1550998
“นารา กรุ๊ป” ดัน “โค ลิมิเต็ด” โกอินเตอร์ บุกเกาะเซบู รุกตลาดไทยพรีเมียมสตรีทฟู้ด ตั้งเป้าโต 100% ปี 2569 https://positioningmag.com/1551110 Thu, 11 Dec 2025 07:13:58 +0000 https://positioningmag.com/?p=1551110 นารา กรุ๊ป (NARA GROUP) ผู้นำธุรกิจเครือร้านอาหารไทยพรีเมียม เดินหน้ารุกขยายตลาดโลก ส่งร้านอาหารไทยพรีเมียมสตรีทฟู้ด แบรนด์ โค ลิมิเต็ด (CO LIMITED )ลุยเปิดแฟรนไชส์ต่างประเทศแห่งแรกที่เกาะเซบู ประเทศฟิลิปปินส์ พร้อมตั้งเป้าขยายสาขาทั้งในไทย และต่างประเทศ ผลักดันยอดขายรวมโตทะลุ 100% ภายในปี 2569  พร้อมปั้นแบรนด์ โค ลิมิเต็ด สู่การเป็น “Leader of eat local go global”

‘โค ลิมิเต็ด’ แบรนด์ร้านอาหารในเครือ NARA GROUP ภายใต้การบริหารของสองผู้ร่วมก่อตั้ง นราวดี ศรีกาญจนา และ สิริโสภา จุลเสวก เจ้าของร้านอาหารไทยพรีเมียมอย่าง นาราไทย คูซีน  โดยร้านอาหาร ‘โค ลิมิเต็ด’ เป็นการร่วมลงทุนกับ พลพัฒน์ อัศวะประภา (หมู ASAVA) ดีไซเนอร์ชั้นนำ ภายใต้บริษัทโค รุ่งเรือง เพื่อสร้างมิติใหม่แห่งสีสันให้กับร้านอาหารสตรีทฟู้ดของไทย ภายใต้คอนเซ็ปท์ “Thai Premium Street Food Destination”  

นราวดี ศรีกาญจนา ประธานกรรมการบริหารนารา กรุ๊ป กล่าวว่า สำหรับ ‘โค ลิมิเต็ด’ เปิดบริการมา 6 ปี ตั้งแต่ปี 2563 มีผลประกอบการเติบโตต่อเนื่อง และได้รับกระแสตอบรับอย่างดีในกรุงเทพฯ จนกลายเป็นหนึ่งในร้านอาหารแบรนด์ไทยพรีเมียมสตรีทฟู้ดชั้นนำ ทำรายได้รวมคิดเป็นกว่า 30% ของยอดรวมทั้งเครือ NARA GROUP ในปี 2567 

สำหรับ โค ลิมิเต็ด เป็นแบรนด์ร้านอาหารไทย แบรนด์ที่ 4 ในเครือนารากรุ๊ป ที่ไปเปิดสาขาต่างประเทศต่อจาก นาราไทย คูซีน เลดี้ นารา อภินารา โดยประเดิมสาขาแห่งแรกที่ เกาะเซบู ประเทศฟิลิปปินส์ เมืองท่องเที่ยวที่มีผู้เยือนกว่า 5.2 ล้านคนต่อปี พร้อมวางแผนขยายสาขาอีก 4 แห่งในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ด้วยโมเดลทั้ง Full-Scale และ Compact Scale เพื่อเข้าถึงกลุ่ม Gen Y และ Gen Z ซึ่งเป็นกำลังหลักของตลาดอาหารยุคใหม่ รวมถึงการแตกแบรนด์ใหม่เพื่อขยายฐานกลุ่มลูกค้าในปีหน้า

ด้าน คุณหมู-พลพัฒน์ กล่าวว่า โค ลิมิเต็ด เป็นการยกระดับอาหารสตรีทฟู้ดของไทยที่มีความแตกต่างและโดดเด่นเจ้าแรก ด้วยการเน้นคัดสรรวัตถุดิบคุณภาพพรีเมียม แต่คงรสชาติอาหารพื้นถิ่นจัดจ้าน บริการแบบมืออาชีพ  สร้างประสบการณ์ใหม่ให้สนุก ตอบโจทย์พฤติกรรมและไลฟ์สไตล์ผู้บริโภครุ่นใหม่ในยุคปัจจุบัน ที่สำคัญคือการยกบรรยากาศริมทางที่คุ้นตามาตกแต่งร้านซึ่งตั้งอยู่ในศูนย์การค้า โดยมีสาขาแรกอยู่ที่โครงการเวลา หลังสวน  ซึ่งปัจจุบันร้านโค ลิมิเต็ด กลายเป็น Destination ร้านอาหารไทยพรีเมียมสตรีทฟู้ดเป็นที่รู้จักทั้งคนไทยและต่างชาติ 

สำหรับเมนูซิกเนเจอร์ของร้าน ได้แก่  เนื้อย่างพรีเมียมเสิร์ฟแจ่วอีสาน  ลิ้นวัวย่างไข่แดงดอง และซีรีส์สุดฮอต ‘Baked Seafood Claypot หรือ อบวุ้นเส้นไข่ปูในหม้อทองเหลืองพ่นไฟ ถือเป็นเมนูไฮไลท์ที่ครองใจลูกค้า ภายใน 2 ปี  ทำยอดขายรวมกว่า 60 ล้านบาท 

“โค ลิมิเต็ด” ไม่เพียงสร้างประสบการณ์การกินอย่างสนุก ในบรรยากาศร้านที่มีสไตล์เปี่ยมด้วยสีสัน แต่ยังพร้อมก้าวสู่การเป็น “Leader of eat local go global” เพื่อตอกย้ำภาพลักษณ์ของ NARA GROUP ในฐานะผู้นำแบรนด์ร้านอาหารไทยพรีเมียม มุ่งต่อยอดความสำเร็จในระดับสากล และร่วมผลักดันครัวไทยสู่ครัวโลก หนึ่งใน ‘Soft Power’ อันทรงพลังเพื่อให้คนไทยได้ภาคภูมิใจร่วมกัน   

ปัจจุบัน ‘นารา กรุ๊ป’ มีแบรนด์ร้านอาหารชั้นนำในเครือ รวม 10 แบรนด์ ได้แก่ นาราไทย คูซีน อภินารา เลดี้นารา อั้งม๊อ โคลิมิเต็ด บ้านนอกเข้ากรุง มาดามแม่ El Mecado แอนคั่วไก่  และหมี่บ้านเอง มีสาขาทั้งหมดกว่า 68 สาขาทั่วโลก ใน 8 ประเทศ  ได้แก่ ไทย ไต้หวัน ฮ่องกง ศรีลังกา ฟิลิปปินส์ เมียนมา อินเดีย และ ดูไบ   

]]>
1551110
จากธุรกิจร้านกาแฟ ทาง ‘พันธุ์ไทย’ เห็นโอกาสอะไร? ถึงประกาศลุย ‘สตรีท ฟู้ดส์’ https://positioningmag.com/1551056 Thu, 11 Dec 2025 04:26:59 +0000 https://positioningmag.com/?p=1551056 เมื่อ 8 ปีก่อน ‘พันธุ์ไทย’ คือธุรกิจร้านกาแฟที่เกือบปิดกิจการเพราะขาดทุนต่อเนื่อง แต่สามารถพลิกเกมมากำไรได้ในปีที่ 9 มีการเติบโตแบบก้าวกระโดด กลายเป็นผู้เล่นที่ถูกจับตามอง และมาถึงวันนี้กำลังจะสร้างเครื่องยนต์ขับเคลื่อนการเติบโตรอบใหม่ที่ใหญ่กว่าธุรกิจร้านกาแฟหลายเท่าตัว นั่นคือการประกาศเดินหน้าลุย ‘ธุรกิจสตรีท ฟู้ดส์’ อย่างจริงจัง

 

แล้วอะไรที่ทำให้พันธุ์ไทยกล้ากระโดดเข้ามาธุรกิจนี้ ?

 

เพราะแม้ธุรกิจสตรีท ฟู้ดส์ จะมีการเติบโตน่าสนใจ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินไว้ว่า ร้านอาหารสตรีท ฟู้ดส์ที่มีหน้าร้านจะมีมูลค่าอยู่ที่ 261,000 ล้านบาท โต 4.7% จากปีก่อน ซึ่งเป็นแนวโน้มเติบโตที่ดีกว่าร้านอาหารทุกกลุ่ม ขณะเดียวกัน ก็มีการแข่งขันสูง เนื่องจาก ‘มีตัวเลือกหลากหลาย’ และ ‘คู่แข่งมีมากมาย’

 

“เรามองว่า เทรนด์ปัจจุบันคนไทยไม่ทำอาหารกินเอง และชอบกินอาหารง่าย ๆ ซึ่งสตรีท ฟู้ดส์ตอบโจทย์ เห็นได้จากการเติบโตที่ดี ทำให้พันธุ์ไทยสนใจ และกำลังพิจารณาว่าจะไปในทิศทางไหน มีการขยายอย่างไร เพื่อให้ใช้ทรัพยากร และ eco-system ที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด” สุขวสา ภูชัชวนิชกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท กาแฟพันธุ์ไทย จำกัด กล่าวกับ Positioning

พลังที่จะเป็นแรงส่งกันและกัน

 

เมื่อดู Customer Journey ของลูกค้าจะพบว่า คนส่วนใหญ่เมื่อเข้าร้านกาแฟจะไม่ได้ดื่มกาแฟเพียงอย่างเดียว แต่ยังต้องการความหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น เบเกอรี่ และอาหาร ฯลฯ การเพิ่มตัวเลือกเหล่านี้ จึงเป็นการโอกาสใหม่ในการเพิ่มรายได้ และเป็นการนำแบรนด์พันธุ์ไทยเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากกว่า ‘คอกาแฟ’

 

สำหรับการรุกเข้าสู่ธุรกิจสตรีท ฟู้ดส์ ของพันธุ์ไทย จะดำเนินภายใต้กลยุทธ์ Brand Extension นำชื่อเสียงและการเป็นที่รู้จักของแบรนด์พันธุ์ไทยมาใช้ให้เป็นประโยชน์ ด้วยการนำสตรีท ฟู้ดส์ของไทยมาพัฒนาให้มี ‘ความครีเอทีฟ’ ภายใต้ Brand Idea ของพันธุ์ไทย นั่นคือ Creative Thai Taste ‘พันธุ์ไทยอะไรก็เป็นไปได้’ การนำเสนอความคิดสร้างสรรค์ที่ยังคงเอกลักษณ์ความเป็นไทย 

 

ขณะเดียวกัน ก็พยายามเชื่อมโยงให้ทั้งสองธุรกิจเป็น ‘แรงส่งซึ่งกันและกัน’ ผ่าน eco-system ที่อยู่ภายใต้เครือ PTG โดยเฉพาะบัตรสมาชิก Max Card ซึ่งมีฐานสมาชิกประมาณ 25 ล้านคนมาเพื่อช่วยขยายฐานลูกค้าใหม่ และกระตุ้นยอดขายของทั้งสองธุรกิจไปพร้อมกัน

โดยต้นปี 2568 ทางพันธุ์ไทยได้เริ่มทดลองเข้าสู่ธุรกิจสตรีท ฟู้ดส์ ผ่าน ‘ก๋วยเตี๋ยวเรือพันธุ์ไทย’ เปิดสาขาแรก ณ รังสิตคลอง 3 ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี และมีความชัดเจนมากขึ้นด้วยการจัดตั้งบริษัทย่อย ‘บริษัท ก๋วยเตี๋ยวเรือพันธุ์ไทย จำกัด’ เพื่อบุกธุรกิจนี้เต็มกำลัง ด้วยโมเดล ‘ครบจบในที่เดียว’

 

ตามแผนสิ้นปีนี้จะมีการเปิดร้านก๋วยเตี๋ยวเรือพันธุ์ไทยให้ครบ 5 สาขา และในปี 2569 จะเพิ่มเป็น 50 สาขา ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล แบ่งเป็นสาขาในและนอกปั๊มอย่างละ 50% โดยสาขานอกปั๊มจะเน้นแหล่งชุมชนเมือง ออฟฟิศ และย่านศูนย์กลางธุรกิจ

 

พร้อมสู้ในศึกธุรกิจร้านกาแฟ

 

ขณะที่ในส่วนธุรกิจร้านกาแฟ ทางพันธุ์ไทย ยังเดินหน้าขยายต่อไป โดย ณ สิ้นปี 2568 จะมีสาขา 2,600 แห่ง  และปี 2569 จะขยายเพิ่มอีก 1,000 สาขา เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการมีสาขา 5,000 แห่งภายในปี 2571

 

สุขวสา บอกว่า แม้เศรษฐกิจไม่ดี แต่ภาพรวมของธุรกิจร้านกาแฟในไทยยังไปได้ดี อย่างตอนนี้มีมูลค่าราว 65,000 ล้านบาท โต 8-9% และปีหน้าโตต่อ ส่วนเรื่องการแข่งขันเป็นเรื่องปกติของธุรกิจ

 

“เราคุยกับคนในแวดวง Mass coffee เหมือนกันเรื่องมีรายใหม่เข้ามา เพราะตอนแรกเราก็กังวล แต่สรุปยอดขายไม่ตกแถมโตด้วย แสดงว่ามีดีมานด์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะการดื่มกาแฟกลายเป็นชีวิตประจำของคนไปแล้ว เช่นเมื่อก่อนคนไทยดื่มกาแฟ 180 แก้ว/คน/ปี ตอนนี้เพิ่มเป็น 340 แก้ว อนาคตอาจเป็น 400-500 แก้วก็ได้ เหมือนญี่ปุ่นหรือเกาหลีที่ดื่มกาแฟแทนน้ำ”

สำหรับเทรนด์น่าสนใจของธุรกิจร้านกาแฟ คือ การพัฒนาของตลาดจากการที่ผู้บริโภคมีความรู้เกี่ยวกับกาแฟเพิ่มขึ้น จะเห็นได้จากการมาแรงของเซ็กเมนต์ Specialty Coffee และ Premium mass รวมถึงการเข้ามาของแบรนด์ต่างประเทศมากขึ้น 

 

ประเด็นนี้ สุขวสา บอกว่า มีผลต่อให้แข่งขันในธุรกิจนี้เปลี่ยนแปลงไป โดยผู้บริโภคต้องการ ‘ของดีมีคุณภาพ’ และมาใน ‘ราคาจับต้องได้’ ซึ่งทำให้ผู้เล่นในตลาดต้องแข่งกันพัฒนา  

 

“กาแฟแก้วมากกว่า 100 บาทน่าจะอยู่ยาก เพราะตอนนี้ผู้บริโภคมีทางเลือกมาก สำหรับเราเองการรับมือเรื่องนี้ คือ การเปิดตัว ‘ไทยริกาโน’ กาแฟพิเศษสายพันธุ์อาราบิก้า 100% จากแหล่งปลูกที่ดีที่สุดในแม่ฮ่องสอน วางขายแก้วละ 65 บาท ซึ่งผลตอบรับดี และเรากำลังจะเพิ่มเมนูใหม่สำหรับเพิ่มความหลากหลาย เช่น เมนูผสมนม เพราะคนไม่ได้ดื่มกาแฟดำอย่างเดียว”

อีกเทรนด์หนึ่งที่น่าจับตา คือ กลุ่มคนดื่มกาแฟมีอายุ ‘น้อยลง’ โดยเฉพาะกลุ่ม Gen z สำหรับอินไซต์ของคน กลุ่มนี้ชอบความแปลกใหม่ เมนูถ่ายรูปสวย โดยพันธุ์ไทยได้ตอบโจทย์ของคนกลุ่มนี้ด้วยเมนูใหม่ เช่น กาแฟส้ม    มะปี๊ด, ทิงซ่าโดดกำแพง เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของ สปาร์คกิ้งโซดา มะนาวสด และกระทิงแดงครึ่งขวด ส่วนหนึ่งของโปรเจกต์ ‘ดีดศาสตร์’ ที่พันธุไทยร่วมมือกับกระทิงแดง เป็นต้น

 

รวมถึงเปิดโมเดลร้านใหม่ อย่าง ‘ร้านกาแฟพันธุ์ไทย 24 ชั่วโมง’ ที่เปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง เพื่อช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงลูกค้าได้ทุกช่วงเวลา สามารถสร้างยอดขายได้ตลอดทั้งวันและขยายฐานลูกค้าใหม่จากกลุ่มที่มักใช้ร้านสำหรับทำงานหรือพักผ่อนในเวลากลางคืน เริ่มต้นนำร่อง 6 สาขา

 

แน่นอนว่า ความเคลื่อนไหวทั้งหมด พันธุ์ไทยต้องการเพิ่มแรงส่งให้ธุรกิจเติบโต และสร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์ โดยใช้กลยุทธ์ Brand Extension และ eco-system ที่อยู่ภายใต้เครือ PTG มาสร้างความได้เปรียบ 

 

ส่วนการเข้าสู่ธุรกิจสตรีท ฟู้ดส์ เกิดจากการเห็นโอกาสที่จะสร้างให้เป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนการเติบโตรอบใหม่ที่ ‘ใหญ่กว่า’ ธุรกิจร้านกาแฟ ซึ่งน่าสนใจว่า นอกจากจะมีแบรนด์ก๋วยเตี๋ยวเรือพันธุ์ไทยเป็นหักหอกแล้ว จะมีการขยายต่อไปอย่างไร

]]>
1551056
IICOMBINED ลงทุน 100 ล้าน ปั้น HAUS NOWHERE กรุงเทพ แห่งแรกในอาเซียน จ่อขยายสาขา GENTLE MONSTER-ดึงแบรนด์ใหม่เข้าไทย เป้ารายได้ 1 พันล้านใน 5 ปี https://positioningmag.com/1550993 Tue, 09 Dec 2025 11:38:28 +0000 https://positioningmag.com/?p=1550993 HAUS NOWHERE ปักหมุดไทยแห่งที่ 5 ของโลก รุกขยายเพิ่ม GENTLE MONSTER-TAMBURINS ดึงแบรนด์ใหม่เข้าไทย ดันรายได้แตะ 1,000 ล้านใน 5 ปี

ปี 2568 ตลาดลักซูรีไทยถูกเขย่าครั้งใหญ่ จากยักษ์แฟชั่นอาร์ตเกาหลีใต้ IICOMBINED’ บุกประเทศไทย ประกาศเปิดตัว HAUS NOWHERE” รีเทลอาร์ต ในกรุงเทพ ที่ไอคอนสยาม เป็นแห่งที่ 5 ของโลก และแห่งแรกในอาเซียน

ลงทุน 100 ล้านบาท ดัน HAUS NOWHERE ท็อปเดสติเนชั่นไทย

สลิล สุญาณเศรษฐกร ประธานกรรมการ บริษัท ไอไอคอมบายนด์ (ไทยแลนด์) จำกัด ผู้นำเข้าแบรนด์ GENTLE MONSTER เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้ลงทุน 100 กว่าล้านบาท เนรมิต HAUS NOWHERE พื้นที่รีเทลอาร์ต ในประเทศไทย ที่รวมแบรนด์จากเครือ IICOMBINED ในพื้นที่เดียวกัน 1,000 ตารางเมตร จำนวน 2 ชั้น ตั้งอยู่บน M ไอคอนสยาม

โดยภายใน HAUS NOWHERE กรุงเทพ ประกอบด้วย 2 แบรนด์หลัก คือ

  • GENTLE MONSTER ร้านแว่นตาลักซูรี
  • TAMBURINS ร้านน้ำหอมสุดฮิตที่คนไทยบินไปซื้อไกลถึงต่างประเทศ

“ประเทศไทยมีข้อจำกัด การหาพื้นที่ใหญ่ที่เหมาะสมยาก HAUS NOWHERE จึงมาจบที่ไอคอนสยามด้วยเป็นพื้นที่ทราฟฟิกนักท่องเที่ยวสูง ประกอบกับ HAUS NOWHERE ต้องการครีเอตตนเองไปสู่โกลบอลเดสติเนชั่น ฉะนั้นใน 1 เมืองจะมีเพียง 1 แห่งเท่านั้น”

 

HAUS NOWHERE ไอคอนสยาม

คอนเซ็ปต์ร้าน HAUS NOWHERE กรุงเทพ วางไว้ให้เป็นเสมือนการจัดแสดงงานศิลปะ (Art Exhibition) เป็นรีเทลที่ไม่เคยมีมาก่อน IICOMBINED จึงให้ความสำคัญกับการดีไซน์สโตร์ให้แตกต่างกันในแต่ละที่

สำหรับของไทยจะมีไฮไลต์ อาทิ
  • HAUS NOWHERE กรุงเทพ รูปแบบคล้ายรีเทลซ้อนรีเทล การออกแบบเน้นกระจก ให้ความรู้สึกโปร่ง โล่ง สบายตา ต่างจากสาขาในเกาหลีใต้ และจีน ที่เป็น Stand Alone แม้มีหลายชั้นแต่เป็นตึกทึบ
  • ไอคอนิก “น้องหมาดัชชุนยักษ์” แม้คล้ายกับที่โซล เกาหลีใต้ แต่เหนือกว่าด้วยมีความเหมือนจริง สามารถกระดิกหู และหายใจเหมือนมีชีวิตจริง
  • AI Photo Booth ตู้ถ่ายรูปคู่กับน้องหมาดัชชุน ที่สามารถเจนภาพเอไอให้น้องหมาสามารถใส่ชุดเดียวกับผู้ถ่ายรูปได้
  • สินค้าลิมิเต็ด เฉพาะประเทศไทย อาทิ EGG Perfoum แพ็กเกจจิ้งตกแต่งด้วยดอกลีลาวดี และที่ใส่ขวดทดลองน้ำหอมรูปดัชชุนสีขาว

ขณะที่ในอนาคตเตรียมนำงานศิลปะจากศิลปินชื่อดังและศิลปินท้องถิ่น จัดแสดงใน HAUS NOWHERE กรุงเทพ และจะสลับหมุนเวียนไปเรื่อย ๆ

สินค้าลิมิเต็ดเฉพาะในไทยของร้านน้ำหอม TAMBURINS ใน HAUS NOWHERE ไอคอนสยาม

ขยายสาขา GENTLE MONSTER ต่างจังหวัด-ดึง NUDAKE คาเฟ่ครัวซองส์สายอาร์ตเปิดในไทย

ทั้งนี้ ในปี 2569 มีแผนขยายสาขา GENTLE MONSTER อีก 1 สาขา ในหัวเมืองใหญ่ คือ ภูเก็ต ปัจจุบันอยู่ระหว่างดีลพื้นที่ และมองการขยายสาขา TAMBURINS เพิ่มเติมอีก 3 สาขา

ควบคู่กับการพิจารณานำแบรนด์อื่น ๆ ในเครือ IICOMBINED เปิดตัวในไทย อาทิ
  • NUDAKE คาเฟ่ครัวซองส์สำหรับสายอาร์ต ที่ทำคิวยาวในโซลและเซี่ยงไฮ้มาแล้ว เพื่อรองรับพฤติกรรมคนไทยที่ชอบเข้าคาเฟ่ และเชื่อว่าจะเป็นแม่เหล็กดึงดูดลูกค้าเข้าสู่ HAUS NOWHERE กรุงเทพได้มากขึ้น
  • ATiiSSU ร้านหมวกดีไซน์ล้ำ ที่คนดังเลือกใส่ อาทิ ลิซ่า แบล็กพิงก์ เคยใส่ขึ้นคอนเสิร์ตมาแล้ว
NUDAKE สาขาเซี่ยงไฮ้ คาเฟ่ครัวซองส์สายอาร์ต

ตั้งเป้า 5 ปี รายได้ขยับแตะ 1,000 ล้านบาท

อย่างไรก็ดี ตลาดลักซูรีในไทย แม้ผู้บริโภคยังพอมีกำลังใช้จ่าย แต่ก็เผชิญความท้าทายสูงจากผู้เล่นหน้าใหม่ในตลาด ทำให้ฐานตลาดกว้างขึ้น ผู้ประกอบการสินค้าลักซูรีจึงต้องปรับตัวให้รวดเร็ว เช่น การคอแลบส์กับแบรนด์อื่น ๆ การแตกไลน์ทำคาเฟ่ เป็นต้น

สำหรับปี 2568 บริษัทฯ คาดว่าจะทำรายได้ราว 250 ล้านบาท และในปี 2569 ตั้งเป้ารายได้ 100 ล้านบาท เติบโต 100%

ก่อนที่ภายใน 5 ปีข้างหน้า หลังขยายสาขาเพิ่มและเปิดแบรนด์ใหม่ ๆ ในไทย ตั้งเป้ารายได้ 1,000 ล้านบาท

]]>
1550993
‘เซ็นทรัล ทำ’ ต่อยอดคุณค่าข้าวไทยพื้นเมือง ร่วมสร้าง New Rice Economy https://positioningmag.com/1550881 Tue, 09 Dec 2025 07:02:28 +0000 https://positioningmag.com/?p=1550881 ตอนนี้ New Rice Economy การปรับโครงสร้างของข้าวไทยจากเดิมที่เน้น Volume หรือ ‘ปริมาณการผลิต’ มาสู่ Value การให้ความสำคัญกับ ‘คุณค่า’ ไม่ว่าจะเป็นคุณภาพ การสร้างอัตลักษณ์ และเรื่องราว กำลังถูกหยิบยกมาพูดถึงเพื่อให้ข้าวไทยพ้นกับดักการใช้ ‘ราคา’ เป็นตัวแข่งขัน และโดดเด่นกว่าคู่แข่งบนเวทีโลก   

 

สำหรับ ‘เซ็นทรัล ทำ’ โครงการด้านความยั่งยืนดำเนินการโดยกลุ่มเซ็นทรัล ก็ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เช่นกัน เพราะมองว่า ข้าวไทย โดยเฉพาะข้าวพื้นเมือง ซึ่งถือเป็นมรดกของชาติที่สะท้อนอัตลักษณ์ วิถีชีวิต และภูมิปัญญาท้องถิ่นในแต่ละภูมิภาคมายาวนาน 

 

โดยที่ผ่านมา เซ็นทรัล ทำ ได้ลงไปมีส่วนร่วมในการฟื้นฟูสายพันธุ์ข้าวพื้นบ้านและสอนให้เกษตรกรหันมาปลูกข้าวเชิงคุณภาพ เพื่อให้ได้คุณภาพของข้าวที่ดี รวมไปถึงการต่อยอดคุณค่าข้าวไทย เพื่อเพิ่มมูลค่าและกระจายความเสี่ยงหากราคาข้าวตก

 

เพราะเป้าหมายไม่เพียงเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากให้ชุมชนเติบโตอย่างยั่งยืน แต่เป็นการกระตุ้นให้คนตระหนักรู้ถึงความหลากหลายของสายพันธุ์ข้าวไทย ทั้งพันธุ์คุณค่าสูงและพันธุ์หายากที่ใกล้สูญหาย

พิชัย จิราธิวัฒน์ กรรมการบริหาร กลุ่มเซ็นทรัล กล่าวว่า ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เซ็นทรัล ทำ เชื่อมั่นในพลังของการลงมือทำร่วมกัน ระหว่างภาคธุรกิจ ชุมชน และเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของสังคมไทย ขณะเดียวกันก็เชื่อว่าการพัฒนาที่แท้จริงต้องเริ่มต้นจากต้นน้ำ และเดินหน้าไปพร้อมกันอย่างเป็นระบบ เพื่อให้ชุมชนสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน 

 

อย่างในงาน Thailand Rice Fest 2025 ทางเซ็นทรัล ทำได้รวบรวมข้าวพื้นเมือง 10 สายพันธุ์ จาก 7 จังหวัด 8 ชุมชนทั่วประเทศ และมูลนิธิชัยพัฒนา นำมาจัดแสดงและจัดจำหน่าย ภายใน ‘เซ็นทรัล ทำ พาวิลเลียน’ เปิดพื้นที่ให้ผู้คนได้สัมผัสคุณค่าของข้าวไทยทั้งในเชิงรสชาติ คุณค่าทางโภชนาการ ตลอดจนเรื่องราวที่เชื่อมโยงผู้คนกับผืนดินและวัฒนธรรมไทย

สำหรับข้าวไทยพื้นเมืองที่ถูกนำมาจัดแสดงและจำหน่ายภายในงานดังกล่าว เป็นสายพันธุ์พื้นเมืองเด่นจากทั่วประเทศ อาทิ

  • ข้าวหอมมะลิ จ.สุรินทร์ : เมล็ดเรียวยาว มีกลิ่นหอมใบเตยเด่น เป็นข้าว GI ที่ขึ้นชื่อด้านรสชาติและสารต้านอนุมูลอิสระ
  • ข้าวผกาอำปึล จ.สุรินทร์ : ข้าวพื้นถิ่นสุรินทร์ที่มีกลิ่นคล้ายข้าวโพดข้าวเหนียว เหนียวนุ่ม ดัชนีน้ำตาลต่ำ
  • ข้าวหอมมะลิแดง จ.สุรินทร์ : กลิ่นหอมชัด โดดเด่นเรื่องวิตามินบีและการบำรุงเลือด
  • ข้าวฮางหอมมะลิ และข้าวฮางข้าวเหนียว จ.สกลนคร : ข้าวฮางที่ช่วยดึงสารอาหารสูง โดยเฉพาะ GABA ที่ดีต่อสมอง
  • ข้าวสังข์หยด จ.พัทลุง : ข้าวไทยพันธุ์แรกที่ได้ GI หุงนุ่มมากและอุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ
  • ข้าวเบายอดม่วง จ.ตรัง :ข้าวเพื่อสุขภาพที่รักษาพันธุ์มากว่า 100 ปี โปรตีนสูง คาร์โบไฮเดรตต่ำ
  • ข้าวไร่ดอกข่า จ.พังงา : ข้าวพื้นเมืองกว่า 100 ปี กลิ่นหอมคล้ายใบเตย อุดมด้วยโอเมก้า 9 และสารต้านอนุมูลอิสระ
  • ข้าวกล้องดอยพื้นเมือง (บือซอมี) จ.เชียงใหม่ : ข้าวของชนเผ่าปกาเกอะญอ มีกลิ่นหอม ใยอาหารสูง
  • ข้าวหอมปทุมธานี 1 จ.ปทุมธานี : ข้าวหอมคุณภาพสูงที่มุ่งสู่มาตรฐานคาร์บอนต่ำ

การต่อยอดในเรื่อง Value เซ็นทรัล ทำ ไม่ได้ให้ความสำคัญเฉพาะเรื่องคุณภาพและความหลากหลายของพันธุ์ข้าวเท่านั้น ยังโฟกัสการเพิ่มมูลค่าในด้านอื่น ๆ อาทิ การดีไซน์แพ็กเกจจิ้ง ให้มีความสวยงาม ทันสมัย และมีเอกลักษณ์ด้วยสินค้าชุมชน เช่น กระเป๋าสาน ตะกร้าถัก ฯลฯ เพื่อให้เกิดความสวยงาม มีความทันสมัย สำหรับให้คนสามารถเลือกซื้อไปเป็นของฝากหรือของขวัญได้ 

 

ขณะเดียวกัน ก็พยายามสนับสนุนในเรื่องการหาตลาดและช่องทางขาย เช่น จับมือกับไปรษณีย์ไทย เพื่อให้ซื้อข้าวไปแจกเป็นของขวัญช่วงปีใหม่รวมมูลค่าที่ขายได้กว่า 2 ล้านบาท เป็นต้น และในอนาคตอาจมองไปถึงการส่งออก

]]>
1550881
Wingstop แบรนด์ดังจากสหรัฐฯ ขอเป็นน้องใหม่ ชิงตลาดกว่า 2.7 หมื่นล้าน https://positioningmag.com/1550604 Mon, 08 Dec 2025 05:31:30 +0000 https://positioningmag.com/?p=1550604 ทำความรู้จัก Wingstop ร้านไก่ทอดแบรนด์ดังจากสหรัฐอเมริกา ที่จุดขาย คือ มีซอสให้เลือกกว่า 11 รสชาติ    ซึ่งกำลังจะเป็น ‘น้องใหม่’ เพื่อเข้ามาชิงตลาดไก่ทอดในไทย โดยเตรียมเปิดสาขาแรกอย่างเป็นทางการในวันที่ 13 ธันวาคม 2568 ณ ชั้น 2 MBK Center

 

‘ไก่ทอด’ ถือเป็นเซ็กเมนต์ใหญ่สุดของธุรกิจ ‘อาหารจานด่วน’ หรือ QSR ในบ้านเรา โดยปัจจุบันมีมูลค่าประมาณ  27,600 ล้านบาท และโตเฉลี่ย 8% ต่อปี ทำให้ตลาดนี้เป็นที่สนใจ มีแบรนด์ดังระดับโลกและแบรนด์เกิดใหม่เข้ามาในตลาดกันอย่างคึกคัก

 

รวมถึง Wingstop ร้านไก่ทอดแบรนด์ดังสัญชาติอเมริกัน ซึ่งเริ่มต้นธุรกิจในปี 1994 จากการก่อตั้งของ Antonio Swad และ Bernadette Fiaschetti ที่หลงใหลในการกินปีกไก่ และอยากพัฒนาซอสสูตรต่างๆ ไว้กินคู่กัน โดยเปิดสาขาแรก ณ เมืองการ์แลนด์ รัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา

 

สำหรับจุดขายของ Wingstop นอกจากไก่ทอดที่มีรสชาติเป็นเอกลักษณ์แล้ว ก็คือ การมี ‘ซอสซิกเนเจอร์’ ให้เลือกได้ตามใจถึง 11 รสชาติ ไม่ว่าจะเป็น Hickory Smoked BBQ, Lemon Pepper Teriyaki และ Atomic ซอสรสเผ็ดจัดจ้านแสบทรวง รวมถึงมีซอส Dips ให้จุ่มเพิ่ม เช่น ซอสแรนช์, ซอส Bleu Cheese, ซอส Honey Mustard และซอส Cheese เป็นต้น

 

ปัจจุบัน Wingstop มีสาขากว่า 2,800 แห่ง หลัก ๆ จะอยู่ในสหรัฐอเมริกา และมีสาขานอกประเทศ เช่น อังกฤษ, เม็กซิโก, อินโดนีเซีย และสิงคโปร์ ฯลฯ

 

ส่วนการเข้ามาปักหมุดธุรกิจในไทย ทาง Wingstop เตรียมเปิดสาขาแรกอย่างเป็นทางการในวันที่ 13 ธันวาคม 2568 ณ บริเวณชั้น 2 MBK Center ซึ่งน่าสนใจเป็นอย่างมากว่า แบรนด์ดังแบรนด์นี้ จะสามารถเข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาดไก่ทอดในไทย ที่ถือเป็น ‘ทะเลเลือด’ ได้มากน้อยแค่ไหน

 

เพราะเจ้าตลาดอย่าง KFC ที่มีสาขากว่า 1,052 แห่งก็มีความแข็งแกร่ง ขณะที่แบรนด์อื่น ๆ ทั้งสัญชาติไทยและต่างชาติ โดยเฉพาะเกาหลี เช่น Bonchon, BHC Chicken, Choongman chicken, Pelicana ฯลฯ ก็รุกตลาดไม่หยุด

 

จนก่อนหน้านี้แบรนด์ดังสัญชาติอเมริกันที่มาจากรัฐเดียวกันอย่าง Texas Chicken จำเป็นต้องถอยออกจากตลาดไปเป็นที่เรียบร้อย 

 

อ้างอิง

https://ir.wingstop.com/

]]>
1550604
‘ปางขอน-ผาลั้ง’ ต้นแบบกาแฟยั่งยืน โมเดลที่ OR ตั้งใจปั้นเพื่อพลิกชีวิตชุมชน https://positioningmag.com/1550597 Mon, 08 Dec 2025 05:25:05 +0000 https://positioningmag.com/?p=1550597 ถอดรหัสการปั้นต้นแบบกาแฟยั่งยืนในไทยของ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR กับสองชุมชนบนดอยจากเชียงราย ‘ปางขอน’ และ ‘ผาลั้ง’ ซึ่งไม่เพียงพัฒนาอุตสาหกรรมกาแฟ แต่เปลี่ยนชีวิตของคน ในชุมชนให้มีรายได้มั่นคง จากต่อครอบครัวมีรายได้หลัก ‘หมื่นบาท’ ต่อปี มาเป็น ‘แสนบาท’ ต่อปี  

 

ช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมา OR ใช้ความเชี่ยวชาญของทีม Café Amazon เดินหน้าทำงานร่วมกับเกษตรกรในหลายพื้นที่ทั้งเชียงราย เชียงใหม่ น่าน และชุมพร ในรูปแบบ ‘พัฒนาไปด้วยกัน’ ตั้งแต่ให้ความรู้ การพัฒนาคุณภาพผลผลิต การรับซื้ออย่างเป็นธรรม และได้ส่งต่อกาแฟคุณภาพไปสู่ร้าน Café Amazon กว่า 4,500 สาขาทั่วประเทศ ซึ่งเสิร์ฟกาแฟรวมกันกว่า 400 ล้านแก้วทั่วโลกต่อปี

 

ความร่วมมือรูปแบบนี้ เป้าหมายไม่เพียงทำให้คุณภาพกาแฟดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ยังต้องการยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกร และทำให้กาแฟเป็นอาชีพที่มั่นคงในระยะยาวจริง ๆ ควบคู่ไปกับการรักษาสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ชุมชน สังคม สิ่งแวดล้อมเติบโตไปพร้อมกัน

โมเดลนี้สร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างไร? 

 

ต้นแบบความสำเร็จที่เป็นรูปธรรมของโมเดลดังกล่าว เห็นชัดจาก ‘ปางขอน’ และ ‘ผาลั้ง’ สองชุมชนบนดอย จังหวัดเชียงราย โดย OR ได้นำโครงการพัฒนาการปลูกกาแฟยั่งยืน มาสร้างจุดเปลี่ยนสำคัญ

 

เดิมทีปางขอนปลูกกาแฟมาตั้งแต่รุ่นพ่อรุ่นแม่ แต่เป็นการปลูกแบบปล่อยให้ธรรมชาติดูแล ขาดความรู้และขาดตลาดรับซื้อที่มั่นคง ทำให้กาแฟเป็นเพียง ‘รายได้เสริม’ แบบพึ่งพาโชคชะตาของคนในพื้นที่เท่านั้น

 

กระทั่งปี 2560 ทาง OR ได้ทำบันทึกความร่วมมือ (MOU) กับชุมชน นำองค์ความรู้ และเริ่มรับซื้อกาแฟควบคู่กับการพัฒนาชุมชนและสิ่งแวดล้อมจากปางขอนเป็นครั้งแรก ซึ่งเริ่มต้นปางขอนมีไม่กี่สิบครัวเรือนที่ปลูกกาแฟเป็นอาชีพเสริม แต่วันนี้จำนวนครอบครัวผู้ปลูกกาแฟเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 100 ครัวเรือน และมีรายได้ต่อครอบครัวจาก 10,000-20,000 ต่อปี เพิ่มเป็นกว่าแสนบาทต่อปี

เช่นเดียวกับผาลั้ง ที่อดีตจะพึ่งพารายได้จากการปลูกลิ้นจี่ ซึ่งมีผลผลิตและการรับซื้อไม่แน่นอน หลังจากปี 2561 ได้ร่วมโครงการกับ OR โดย Café Amazon ปัจจุบันผาลั้งปลูกกาแฟกัน 100% กว่า 200 ครัวเรือน และมีรายได้เฉลี่ยหลักแสนบาทต่อปีต่อครัวเรือนเฉพาะจากการขายเมล็ดกาแฟ

 

ที่สำคัญ ด้วยการปลูกกาแฟ ต้องอาศัยร่มเงา ความชุ่มชื้นและระบบนิเวศที่สมบูรณ์ในการเติบโต ทำให้เกษตรกรต้องดูแลป่าไปโดยอัตโนมัติ ทั้งรักษาต้นไม้ใหญ่ ปลูกไม้ร่มเงาเพิ่มและไม่ทำการเผาป่า ส่งผลให้ป่าของทั้งสองชุมชนมีความอุดมสมบูรณ์ เป็นการรักษาสิ่งแวดล้อมและเพิ่มพื้นที่ป่าไปในตัว

 

ในอนาคต OR พยายามขยายความร่วมมือกับชุมชนให้มีจำนวนมากขึ้น ซึ่งจะมีรูปแบบแตกต่างกันไปตามบริบทของแต่ละชุมชน และจะพัฒนาภายใต้ Café Amazon Standard ที่ครอบคลุมทั้งการพัฒนาคุณภาพ การอนุรักษ์และฟื้นฟูสภาพแวดล้อมและการสร้างรายได้ที่มั่นคงให้เป็นมาตรฐานกลางที่ยกระดับกาแฟไทยทั้งระบบ ตั้งแต่ต้นทางของการปลูกไปจนถึงปลายทาง

 

  • ต้นน้ำ: ใส่ใจตั้งแต่การคัดเมล็ดเชอรี่ การจัดร่มเงา การดูแลต้นกาแฟ ไปจนถึงการเก็บเกี่ยวอย่างถูกวิธี ช่วยให้ได้ผลผลิตที่ดีตั้งแต่ต้นทาง
  • กลางน้ำ: กระบวนการแปรรูป ควบคุมความชื้น คัดเกรด และคั่วภายใต้มาตรฐานเดียวกันที่ศูนย์ OASYS ก่อนต่อ ยอดเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น เมล็ดกาแฟคั่วสำเร็จ กาแฟกลุ่ม Home Used เช่น ดริปและแคปซูล
  • ปลายน้ำ: การส่งต่อประสบการณ์ผ่านกาแฟคุณภาพสู่ผู้บริโภคผ่านกว่า 4,500 สาขาของ Café Amazon พร้อมการสื่อสารที่จริงใจ ทำให้ผู้ดื่มมองเห็นความเชื่อมโยงระหว่างกาแฟในแก้วกับชีวิตของเกษตรกรบนดอยจริง ๆ

มาตรฐานนี้จะทำให้เกษตรกรขายผลผลิตได้ในราคาที่สะท้อนคุณภาพจริง ผู้บริโภคได้กาแฟที่ดีขึ้น และระบบกาแฟไทยสามารถเดินหน้าอย่างยั่งยืนในทุกขั้นตอน สอดคล้องกับแนวทางของ Café Amazon นั่นคือ ‘กาแฟที่แฟร์กับคนทั้งโลก’  

 

โดยความสำเร็จของปางขอนและผาลั้ง ถือเป็นโมเดลต้นแบบกาแฟยั่งยืนที่พิสูจน์ให้เห็นว่า เมื่อเกษตรกรมีความรู้ โอกาส และตลาดที่เป็นธรรม ไม่เพียงจะเป็นก้าวสำคัญของอุตสาหกรรมกาแฟไทย ทว่ายังสามารถ ‘พลิกชีวิต’ และสร้าง ‘ความยั่งยืน’ ให้กับผู้คนและชุมชนได้จริง

]]>
1550597
Hungry Hub สตาร์ทอัพไทยที่เกือบล้มละลาย แต่พลิกเกมได้เพราะ ‘พาทีมไปกินข้าว’ https://positioningmag.com/1550589 Mon, 08 Dec 2025 05:15:42 +0000 https://positioningmag.com/?p=1550589 จากสตาร์ทอัพสัญชาติไทยที่เคยเกือบล้มละลาย ปัจจุบัน Hungry Hub กลายเป็นแพลตฟอร์มจองร้านอาหารที่เติบโต รวมถึงสามารถสร้างยอดขายให้ร้านค้ารวมกว่า 4,000 ล้านบาท และได้ขยายธุรกิจสู่ต่างประเทศไปยังสิงคโปร์, มาเลเซีย และในปี 2026 จะเพิ่มอีก 2-3 ประเทศ เพื่อก้าวสู่โจทย์ใหญ่ นั่นคือ การเป็น OTA (Online Travel Agent) ด้านร้านอาหารระดับโลก

 

 อะไรทำให้ Hungry Hub พลิกสถานการณ์และเดินหน้าธุรกิจต่อได้?

 

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2014 Hungry Hub ถือกำเนิดขึ้นมาในปี 2014 เพื่อเป็นแพลตฟอร์มให้บริการระบบจองโต๊ะร้านอาหาร แต่ไม่ประสบความสำเร็จนัก โดยสาเหตุที่เป็นเช่นนั้น ‘สุรสิทธิ์ สัจจะเดว์’ ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ Hungry Hub เล่าว่า มาจากเขามองเป้าหมายไม่ตรงกับร้านอาหาร

 

“ทุกร้านที่มาใช้บริการเรามีประเด็นเดียวกัน คืออยากได้ลูกค้ามากขึ้น แต่เรากำลังให้บริการซอฟต์แวร์เพื่อให้จองโต๊ะได้ง่ายขึ้น และเมื่อก่อนการดึงลูกค้าส่วนใหญ่ของแพลตฟอร์มจะให้ส่วนลด ซึ่งดีต่อผู้บริโภค แต่ไม่ดีกับร้านอาหารเพราะไม่เหลือมาร์จิน ทำให้แพลตฟอร์มพวกนี้กระแสดีมากสำหรับผู้บริโภค แต่ไปเร็วมากสำหรับร้านอาหาร”

 

ทางสุรสิทธิ์เองก็พยายามแก้ pain point ที่เกิดขึ้น และได้เห็นอีกโอกาสหนึ่งในมุมของผู้บริโภคเมื่อพาทีมงานไปกินข้าว โดยปัญหาที่พบเจอทุกครั้ง คือ ‘การคุมงบ’ 

 

สาเหตุที่เป็นเช่นนั้น ก็เนื่องจาก ‘โครงสร้างราคา’ ของร้านอาหารในไทย ถูกสร้างมาสำหรับพฤติกรรมการกินของคนยุโรปหรือสหรัฐฯ ซึ่งแต่ละคน เห็นราคา สั่งเอง กินเอง จ่ายเอง และไม่ได้สร้างขึ้นมาสำหรับแชร์ริ่ง หรือเลี้ยง ทำให้การจ่ายแต่ละมื้อสูงกว่าที่คิด

 

เมื่อเห็นโอกาส ทำให้เขาปรับโมเดลธุรกิจของ Hungry Hub ใหม่ในปี 2017 ด้วยการร่วมมือกับร้านอาหารสร้างแพ็กเกจเปลี่ยนจาก A la carte เป็นบุฟเฟต์เฉพาะลูกค้าที่จองผ่าน Hungry Hub แบ่งระดับเป็นเทียร์

 

ปรากฏว่า โมเดลนี้เวิร์กได้รับการตอบรับที่ดี ทำให้บริษัทสามารถพลิกสถานการณ์จากกำลังจะล้มละลายกลับมามีกำไร และในปี 2018 มีการระดมทุน เพื่อมีแผนขยายต่างประเทศ แต่ปี 2020 ต้องหยุดชะงักไปจากวิกฤตโควิด และได้เริ่มดำเนินการอีกครั้งเมื่อปลายปี 2024 กับการขยายธุรกิจไปยังสิงคโปร์

 

Hungry Hub โตน่าสนใจแค่ไหน?

-ปัจจุบัน Hungry Hub มีร้านอาหารและโรงแรมเป็นพันธมิตรกว่า 2,500 ร้าน เพิ่มขึ้นจากปี 2024 ที่มีอยู่ 1,700 ร้าน แบ่งเป็นบุฟเฟต์ 50%, ไฟน์ไดนิ่ง 20% ที่เหลือ เป็นประเภทอื่นๆ

-สร้างยอดขายให้กับร้านค้าได้แล้วกว่า 4 พันล้านบาท

-มีผู้ใช้ 1.2 ล้านคน ตอนนี้เปิดใช้หลายภาษารวม 15 ภาษา

-ค่าใช้จ่ายต่อบิลของคนไทยอยู่ที่ 1,100 บาท/คน/ครั้ง

-ร้านอาหารระดับต้นๆ ที่ทำรายได้สูงบน Hungry Hub สามารถทำรายได้ 1 ล้านบาท/เดือน และทำรายได้ 10 ล้านบาท/เดือน มากกว่า 10 ร้าน

 

สำหรับรายได้ปี 2024 อยู่ที่ 90 ล้านบาท กำไร 10 ล้านบาท ปีนี้ตั้งเป้ารายได้ไว้ 110-120 ล้านบาท กำไร 20 ล้านบาท ส่วนปีหน้าคาดว่า จะเติบโตประมาณ 50-60%

 

เดินหน้าสู่ OTA ร้านอาหารระดับโลก

 

สำหรับกลยุทธ์ในปี 2026 Hungry Hub จะเดินหน้าสู่การเป็น Online Travel Agent (OTA) สำหรับร้านอาหารระดับโลก ซึ่งการขยายตลาดต่างประเทศนั้น นอกจากจะเป็นการสร้าง Network Effect ให้ธุรกิจเติบโตอย่างแข็งแกร่งแล้ว ยังเป็นหนึ่งในก้าวสำคัญของการเติบโตจากบริษัทไทยสู่บริษัทระดับภูมิภาคในอนาคต

 

แผนดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากเมื่อปี 2024 Hungry Hub ประสบความสำเร็จในการขยายตลาดไปยัง ‘สิงคโปร์’ ที่ภายในปีเดียวสามารถมีพาร์ทเนอร์ร้านอาหาร 250 ร้านค้า ส่วนปีนี้คาดว่า จะสามารถสร้างยอดขายให้ร้านอาหารที่สิงคโปร์ได้ 20 ล้านบาท ก่อนจะแตะ 100 ล้านบาทในปีหน้า

 

ขณะที่ช่วงปลายปีนี้ จะเข้าไปขยายตลาดใน ‘มาเลเซีย’ อย่างจริงจัง โดยปัจจุบันมีพันธมิตรร้านค้าประมาณ 50 ร้านค้า พร้อมกับตั้งเป้าไว้ว่า ในปี 2026 จะขยายธุรกิจไปในอีก 2-3 ประเทศ

 

นอกจากขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศแล้ว เพื่อยกระดับประสบการณ์การใช้งานให้ดีขึ้น ทาง Hungry Hub ได้เปิดตัว 2 ฟีเจอร์ใหม่ ได้แก่

 

1) Multi-currency : ฟีเจอร์การแสดงผลหลายสกุลเงิน ช่วยให้นักท่องเที่ยวเห็นราคาในสกุลเงินของตนเอง ซึ่งทำให้การตัดสินใจในการจองสะดวกและง่ายขึ้น โดยไม่ต้องคำนวณอัตราแลกเปลี่ยนเอง 

2) Dynamic Pricing : ฟีเจอร์การตั้งราคาแบบยืดหยุ่น ตามดีมานด์ของลูกค้า ช่วยให้เจ้าของร้านสามารถตั้งราคาได้ตามดีมานด์ของลูกค้า เช่น การตั้งราคาเพิ่มขึ้นตามจำนวนที่นั่ง (เช่น ทุก 10 ที่นั่ง เพิ่ม 5%) หรือการปรับราคาในช่วงเทศกาล

 

นอกจากนี้ยังมีการนำระบบ AI มาช่วยแนะนำการปรับราคา โดยสามารถเลือกได้ว่าจะให้ AI ปรับราคาอัตโนมัติหรือให้เจ้าของร้านเป็นผู้อนุมัติการปรับเปลี่ยนราคาเอง

]]>
1550589
ไทย ลุยดึง “นักท่องเที่ยวจีน“ ตั้งเป้า 2 ล้านคน ช่วงไฮซีซั่นปลายปี https://positioningmag.com/1550346 Thu, 04 Dec 2025 10:46:00 +0000 https://positioningmag.com/?p=1550346 อรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า ปัจจุบันกระทรวงฯ ได้เปิดเกมรุก “Quick Win” หวังพลิกภาพการท่องเที่ยวไทยช่วงไฮซีซั่น

โดยตั้งเป้าดึงนักท่องเที่ยวจีนกลับมาอย่างน้อย 2 ล้านคนใน 3 เดือน พร้อมเปิด “เส้นทางท่องเที่ยววิถีใหม่” เพื่อชิงกระแสจากพฤติกรรมนักท่องเที่ยวจีนที่เปลี่ยนไปหลังโควิด

จับ 6 เทรนด์ท่องเที่ยวคนจีน

ทั้งนี้ กระทรวงท่องเที่ยวฯ จับเทรนด์นักท่องเที่ยวจีนรุ่นใหม่ที่ต้องการประสบการณ์มากกว่าการช้อปปิ้งแบบเดิม โดยแตกไลน์เป็น 6 กลุ่มใหญ่ ได้แก่

1. สำรวจเส้นทางวัฒนธรรม: เน้นการเที่ยวชุมชน วัดวาอาราม เพื่อสัมผัสเสน่ห์ดั้งเดิมของไทย

2. กินดื่มเที่ยวชิล ๆ: ปักหมุดร้านอาหารท้องถิ่น สร้างโอกาสให้ชุมชนเข้าถึงกลุ่มนักท่องเที่ยว

3. การท่องเที่ยวเชิงกิจกรรมกีฬา: เช่น ปีนผา, ขี่จักรยาน, และการเรียนรู้ศิลปะป้องกันตัว อย่าง มวยไทย

4. ชมเส้นทางชมธรรมชาติ: นำเสนอแหล่งท่องเที่ยว Unseen เช่น ทะเลหมอกในพะเยา, แพะเมืองผี (แกรนแคนยอนเมืองไทย)

5. นำเที่ยวแบบครอบครัว: ออกแบบกิจกรรมที่หลากหลาย ปลอดภัย และได้ความรู้สำหรับทุกวัยในครอบครัว

6. โรดทริป (Road Trip): เจาะกลุ่มนักขับรถด้วยเส้นทางเชื่อมต่อ ไทย-จีน-ลาว ที่ปลอดภัยและได้รับความนิยม

อรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา

กลยุทธ์การสื่อสารรูปแบบใหม่: สร้างกระแสผ่าน Super App และคอนเทนต์คุณภาพ

แผน Quick Win เน้นการใช้การสื่อสารที่ทันสมัยและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างชัดเจน โดยร่วมมือกับแพลตฟอร์มชั้นนำของจีน อาทิ

  • Dianping/Meituan : ปักหมุดร้าน-สถานที่เที่ยวให้ติดอันดับค้นหา
  • Xiaohongshu : ใช้ Influencer + แฮชแท็ก #泰好了放假游 เพื่อปลุกภาพลักษณ์ “ไทย = เที่ยวง่าย ปลอดภัย ถ่ายรูปสวย”
  • WeTV : เปิดพื้นที่ให้รายการจีนที่มาถ่ายในไทย หวังปั่นยอดเข้าถึงหลักร้อยล้านวิว

ทั้งหมดคือกลยุทธ์ตีตลาด “Generation Z และ Young Travelers” ของจีน ซึ่งกลุ่มนี้ตัดสินใจจากคอนเทนต์สั้น + รีวิวบนโซเชียลเป็นหลัก

เซ็น MOU กับ 2 มณฑล 6 เมืองของจีน

ขณะเดียวกัน ไทยจับมือเซ็น MOU กับ 2 มณฑล รวม 6 เมืองเที่ยวตัวท็อปของจีนอย่าง ซานย่า ไหโข่ว หนานจิง ซูโจว และหางโจว

เพื่อเปิดเส้นทางแลกเปลี่ยนนักท่องเที่ยวโดยตรง แบบไม่ต้องรอแคมเปญใหญ่จากส่วนกลาง เป็นการเจาะตลาดแบบ “เมืองถึงเมือง” ซึ่งมาแรงมากในจีนตอนนี้

ปิดจุดอ่อน ไทยทำ Green Zones ย้ำความปลอดภัย

ทั้งนี้ ที่ผ่านมาไทยรู้ดีว่าความกังวลเรื่อง “ความปลอดภัย” เป็น Pain Point อันดับหนึ่งของนักท่องเที่ยวจีน จึงทำระบบ SOS แจ้งเหตุฉุกเฉินแบบเรียลไทม์ ร่วมกับแพลตฟอร์ม Wei! Taiguo

  • แจ้งเหตุได้จากมือถือ
  • ดูสถานะความช่วยเหลือได้ทันที
  • เริ่มใช้ใน 27 เมืองท่องเที่ยวหลัก

“การดำเนินการทั้งหมดนี้ มีเป้าหมายสูงสุดคือการสร้างแคมเปญสื่อสารคุณภาพ ที่จะดึงเสน่ห์ดั้งเดิมของไทย ทั้งความงดงาม รอยยิ้ม น้ำใจ และการต้อนรับแบบไทย กลับคืนสู่สายตานักท่องเที่ยวชาวจีน และบรรลุเป้าหมาย 2 ล้านคน ตามที่ตั้งไว้”

]]>
1550346
กู้ไม่ผ่าน ทำอสังหา ปี 69 เข้าสู่ “ยุคทองการเช่า” เสนาฯ ลุยเพิ่มพอร์ตเช่า 2 พันยูนิต https://positioningmag.com/1550297 Thu, 04 Dec 2025 09:27:11 +0000 https://positioningmag.com/?p=1550297 รีเจ็กต์เรตที่อยู่อาศัยพุ่ง 50-80%

ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA เปิดเผยว่า ปี 2568 ตลาดอสังหาริมทรัพย์เผชิญความท้าทายสูงจากแผ่นดินไหว และกำลังซื้อหดตัวจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว และหนี้ครัวเรือนสูง ซึ่งยังไม่รวมถึงหนี้นอกระบบ

ส่งผลให้ อัตราปฏิเสธสินเชื่อ (รีเจ็กต์ เรต) กลุ่มที่อยู่อาศัยของเสนาฯ เพิ่มขึ้น ดังนี้

  • คอนโดมิเนียม (แบบพร้อมอยู่) รีเจ็กต์ เรต 50%
  • โครงการแนวราบ อาทิ ทาวน์เฮ้าส์ ระดับราคา 2.5 ล้านบาท ทำเลบางใหญ่ นนทบุรี รีเจ็กต์ เรต ทะลุ 80%

“พิษหนี้ครัวเรือนและหนี้นอกระบบ กดดันลิมิตการใช้จ่ายผู้บริโภคอย่างหนัก แม้ลดราคาสินค้าบ้าน-คอนโดลง 10% ยังช่วยกระตุ้นยอดขายไม่ได้เลย ถ้าสุดท้ายไม่มี Consumer spending”

ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA

ปีทองแห่งการเช่า เสนา จ่อเพิ่มพอร์ตฯ 30 โครงการ 2 พันยูนิต

จากปัจจัยข้างต้น สร้างอานิสงส์ให้ ‘ตลาดเช่า’ สะท้อนจาก ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เสนาฯ ทำโครงการ เช่าออมบ้าน หรือ LivNext ช่วยผู้ซื้อปรับโครงสร้างทางการเงิน ผ่านการผ่อนตรงกับบริษัทฯ และเมื่อสร้างเครดิตทางการเงินได้แล้ว (ภายใน 3 ปี) จึงสามารถกู้ซื้อบ้านได้

โดยเงินที่เช่ากับเสนา สามารถนำมาหักเป็นค่าบ้านได้ทั้งหมด (ยกเว้นเงินค่าดอกเบี้ยที่เสีย 1.8%) เช่น บ้านราคา 1 ล้านบาท ผ่อนกับเสนา 5,000 บาท/เดือน รวมเป็น 60,000 บาท/ปี เมื่อถึงเวลากู้ธนาคารก็จะใช้งบเพียง 940,000 บาท เป็นต้น

ปัจจุบันมีผู้เข้าร่วมโครงการเช่าออมบ้านกว่า 1,000 ยูนิต ช่วยเพิ่มยอดขาย คล้าย ๆ แบ็คล็อกในอนาคตให้บริษัทกว่า 2,300 ล้านบาท (รอลูกค้ากู้ผ่านใน 3 ปี) ขณะเดียวกันดึงกระแสเงินสดจากการเช่าได้ 80-100 ล้านบาท

“ตอนนี้เช่าออมบ้านไม่ถึง 3 ปี มีลูกค้าออกจากโครงการ เพราะสามารถกู้ธนาคารได้แล้วราว 100 ยูนิต ดังนั้น โมเดลนี้จึงไม่ใช่แค่การขายบ้าน แต่เป็นทางออกใหม่ของตลาด Real Demand ในยุคที่ราคาทรัพย์และรายได้ประชาชนสวนทางกัน”

RentNext มาแรง ปล่อยเช่าได้ 70-80 ยูนิต/เดือน

นอกจากพอร์ตเช่าออมบ้านแล้ว เสนาได้ทำผลิตภัณฑ์ RentNext ขึ้นมา สำหรับปล่อยเช่าโดยเฉพาะ

แต่อนาคตหากลูกค้าอยากเป็นเจ้าของห้องที่เช่าขึ้นมา สามารถเปลี่ยนสัญญาเป็นซื้อได้ และเงินที่เช่าก็หักเป็นเงินต้นคอนโดได้ทั้งหมด ยกเว้นเปลี่ยนห้องไปยังโครงการอื่น ๆ ของเสนา จะถูกหักค่าเช่า 50% ที่เหลือสามารถนำไปเป็นเงินต้นได้เช่นกัน

“ปี 2568 เสนาตั้งเป้ายอดขาย 10,000 ล้านบาท ยอดโอนกรรมสิทธิ์ 4,000-5,000 ล้านบาท ไม่รวมพอร์ตเช่าออมบ้านที่เปรียบเสมือนแบ็คล็อกลอย ๆ อีก 2,000 ล้านบาท”

ขณะที่ ปี 2569 เสนามองว่าจะเป็น ‘ยุคทองแห่งการเช่า’ ซึ่งตลาดที่อยู่อาศัยให้เช่าใน กทม. แพงสุดในโลก สูงกว่าฮ่องกง *เมื่อคำนวณค่าเช่าเทียบกับรายได้ประชากร และตลาดยังคงขยายตัวทำให้มีความน่าสนใจมาก

ทำให้ในปีหน้า บริษัทฯ เตรียมขยายโครงการบ้านและคอนโดที่เข้าร่วมกับ LivNext และ RentNext 30 โครงการ เพิ่มขึ้น 2,000-3,000 ยูนิต จากปัจจุบันมีอยู่ 25 โครงการ ประมาณ 2,000 ยูนิต ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มราคา 2 ล้านบาท

ทำเลที่ไปได้ดี คือ บางนา พระรามเก้า และรังสิต มีราคาเช่าตั้งแต่ 3,000-10,000 บาท/เดือน คิดเป็นยีลด์ 7% ต่อปี และหากคิดเป็นกำไรขั้นต้นจากการเช่าจะอยู่ที่ 15% สูงกว่าการขายที่อยู่อาศัย

เสนา คอนโด

ชะลอลงทุนใหม่ โฟกัสพอร์ตฯ Affordable

สำหรับปี 2569 เสนายังไม่มีแผนลงทุนใหม่ เพื่อรอให้ซัพพลายในตลาดอสังหาเข้าสู่การฟื้นตัว แต่ยังมีแผนเปิดตัวโครงการเดิมที่เลื่อนไปจากปี 2568 ประมาณ 5 โครงการ โดยยังคงเน้นพอร์ต Affordable ราคา 1-2.5 ล้านบาท/ยูนิต ที่เสนาเป็นเจ้าตลาดครองมาร์เก็ตแชร์กว่า 21%

ทั้งนี้ ปัจจุบันเสนาฯ มีโครงการในมือรวมอยู่ระหว่างสร้างและสร้างเสร็จพร้อมอยู่ (Inventory Supply) ประมาณ 10,000 ยูนิต มูลค่ารวม 20,000 – 30,000 ล้านบาท

ส่วนโครงการพร้อมอยู่มีจำนวน 5,000 ยูนิต มูลค่า 10,000 ล้านบาท เป็นโครงการแนวราบ 20% และแนวสูง 80% ซึ่งเสนาฯ จะโฟกัสโครงการที่มีอยู่เสียก่อน โดยอาจพัฒนาใหม่ อาทิ ปรับแปลนห้องให้ดีขึ้น หรือเปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์ให้ตอบโจทย์ลูกค้ามากขึ้น

“เรามองว่า ‘ยุคทองอสังหาฯ จบลงแล้ว’ ตลาดเข้าสู่เฟสเติบโตเชิงประสิทธิภาพ ไม่ใช่เชิงปริมาณ แต่ทุกไซเคิลย่อมมีขาขึ้น เมื่อเศรษฐกิจกลับมาดี และซัพพลายยังจำกัดแบบปัจจุบัน การดีดตัวรอบใหม่จะชัดเจนยิ่งกว่าเดิม ปัจจุบันแม้ยอดโอนลด แต่กำไรยังคงมี จากการบริหารสต็อกและต้นทุนอย่างรัดกุม”

]]>
1550297