Strategic Move – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 25 Apr 2024 11:32:49 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 “ซับเวย์” เปลี่ยนสู่มือ “พีทีจี” ตั้งเป้าขยาย 500 สาขาใน 10 ปี เปิดโมเดล “ไดรฟ์ทรู” ที่ปั๊มพีที นครชัยศรี https://positioningmag.com/1471172 Thu, 25 Apr 2024 10:41:05 +0000 https://positioningmag.com/?p=1471172
  • “ซับเวย์” (Subway) ในไทยเปลี่ยนมืออีกครั้งหลัง “โกลัค” ได้สิทธิบริหารมาสเตอร์แฟรนไชส์ โดยบริษัทนี้เป็นการร่วมทุนระหว่างยักษ์พลังงาน “พีทีจี” กับ “เพชรัตน์ อุทัยสาง”​ ผู้บริหารมือเก๋าในวงการ QSR
  • ปัจจุบันซับเวย์ในไทยมีอยู่ 148 สาขา โกลัคจะลงทุนเพิ่มปีละ 50 สาขา รวม 10 ปี 500 สาขา และจะเป็น Top 3 ในธุรกิจ QSR เมืองไทยภายใน 3 ปี
  • โมเดลร้านแบบใหม่จะเปิดร้านแบบ “ไดรฟ์ทรู” ที่ปั๊มพีที นครชัยศรี ภายในไตรมาส 4
  • “บริษัท โกลัค จำกัด” ประกาศได้สิทธิมาสเตอร์แฟรนไชส์แต่เพียงผู้เดียวของแบรนด์ร้าน “ซับเวย์” (Subway) ในไทยตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2567 โดยบริษัทนี้เป็นบริษัทร่วมทุนของยักษ์ใหญ่พลังงานอย่าง “บมจ.พีทีจี เอ็นเนอยี” (PTG) ถือหุ้น 70% กับ “เพชรัตน์ อุทัยสาง” ถือหุ้น 30% (รวมทั้งในนามบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล)

    (ซ้าย) “พิทักษ์ รัชกิจประการ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.พีทีจี เอ็นเนอยี และ (ขวา) “เพชรัตน์ อุทัยสาง” กรรมการผู้จัดการ บริษัท โกลัค จำกัด

    “พิทักษ์ รัชกิจประการ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.พีทีจี เอ็นเนอยี กล่าวว่าธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม (F&B) คือ 1 ใน 8 ธุรกิจหลักที่บริษัทจะเข้าลงทุนตามแผนการกระจายพอร์ตโฟลิโอ (Diversify) โดยพีทีจีมี F&B ที่เป็นเรือธงอยู่แล้วอย่าง “กาแฟพันธุ์ไทย” ที่ขยายไปกว่า 800 สาขาทั่วประเทศ การได้สิทธิร้าน “ซับเวย์” เข้ามาในพอร์ตจะเป็นจุดเริ่มต้นความเปลี่ยนแปลงในการขยายพอร์ตธุรกิจนี้ให้กว้างขึ้น โดยจะใช้โกลัคเป็นบริษัทที่คว้าสิทธิการบริหาร F&B แบรนด์อื่นๆ เข้ามาอีกในอนาคต

    ปัจจุบันธุรกิจกลุ่มที่ไม่ใช่น้ำมัน (Non-Oil) คิดเป็นสัดส่วนกว่า 20% ในรายได้รวมของพีทีจี พิทักษ์กล่าวว่า บริษัทมีเป้าหมายจะทำให้สัดส่วนกลุ่มนี้ขึ้นไปแตะ 40-50% ภายในปี 2570

     

    โหมขยาย 500 สาขา “ซับเวย์” ภายใน 10 ปี

    “เพชรัตน์ อุทัยสาง” กรรมการผู้จัดการ บริษัท โกลัค จำกัด กล่าวต่อถึงเป้าหมายของ “ซับเวย์” ในไทยภายใต้การบริหารของโกลัค จะมีการขยายสาขารวม 500 สาขาภายใน 10 ปี หรือเฉลี่ยปีละ 50 สาขา โดยใช้งบลงทุนเฉลี่ยสาขาละ 4-5 ล้านบาท

    จากเป้าหมายดังกล่าว เชื่อว่าซับเวย์จะได้ขึ้นเป็น Top 3 ร้านอาหารประเภทจานด่วน หรือ QSR (Quick Service Restaurant) ในไทยภายใน 3 ปี โดยวัดทั้งจากด้านรายได้และจำนวนสาขา

    หากวัดจากจำนวนสาขา Positioning พบว่าถ้าซับเวย์ขยายได้ตามเป้า อนาคตจะเป็นรองแค่เพียง “KFC” ที่เปิดไปมากกว่า 1,000 สาขา (*รวมสิทธิแฟรนไชส์ของทุกบริษัท) และ “แมคโดนัลด์” ซึ่งมีกว่า 220 สาขาในปัจจุบัน

    ซับเวย์
    ตัวอย่างเมนูแซนด์วิชของซับเวย์

    เพชรัตน์กล่าวต่อว่า แผนการเปิดสาขาจะมีการขยายไปทุกจุดที่มีโอกาส ไม่ว่าจะเป็นศูนย์การค้า คอมมูนิตี้มอลล์ โรงพยาบาล สนามบิน ตึกสำนักงาน และสถานีน้ำมัน ซึ่งกรณีสาขาในปั๊มน้ำมันจะไม่มีการจำกัดโอกาสเรื่องที่ตั้ง สามารถเปิดในปั๊มน้ำมันได้ทุกแบรนด์

    นอกจากสถานที่ตั้งแล้ว เพชรัตน์มองว่าซับเวย์จะต้องเจาะตลาดต่างจังหวัดให้มากกว่าเดิม โดยวางเป้าจะบุกตลาดเมืองท่องเที่ยวและหัวเมืองการศึกษาเป็นหลัก เช่น ภูเก็ต เมืองพัทยา ขอนแก่น เชียงใหม่

    ซับเวย์ ภายใต้โกลัคจะเริ่มเปิดสาขาแรกเดือนมิถุนายนนี้ และจะมีโมเดลใหม่เกิดขึ้นช่วงไตรมาส 4 เป็นร้านแบบ “ไดรฟ์ทรู” ครั้งแรกในไทยของซับเวย์ ซึ่งจะเปิดทำการที่ “ปั๊มพีที นครชัยศรี”

    สำหรับสาขาเดิมของซับเวย์ในไทยมีทั้งหมด 148 สาขา ซึ่งโกลัคจะได้สิทธิเฉพาะการเก็บค่าบริหารแฟรนไชส์ ขณะที่รายได้เต็มจากยอดขายอาหารจะมาจากสาขาใหม่ที่โกลัคเป็นผู้ลงทุนเปิดเองเท่านั้น ซึ่งคาดว่าจะทำรายได้เฉลี่ยปีละ 10 ล้านบาทต่อสาขา (*สำหรับสาขาขนาดมาตรฐาน 50 ตร.ม.)

     

    อยู่มานาน 2 ทศวรรษแต่ยังไม่ปัง

    ประวัติการโลดแล่นของ “ซับเวย์” ในประเทศไทยผ่านความเปลี่ยนแปลงมามาก เพราะแบรนด์นี้เข้ามาเปิดในไทยตั้งแต่ปี 2546 แต่ช่วงเริ่มต้น Subway International บริษัทแม่ของซับเวย์ในสหรัฐฯ เลือกบริหารโดยให้สิทธิแฟรนไชส์ในไทยแยกเป็นหลายบริษัท รวมแล้วเคยมีผู้ได้รับสิทธิพร้อมกันกว่า 20 บริษัท ต่างคนต่างบริหารสาขาในมือตามเขตที่ได้รับสิทธิมา

    ด้วยเหตุที่เคยมีหลายบริษัทถือสิทธิ ซับเวย์จึงไม่ค่อยได้ทำการตลาดเพราะไม่มี ‘เจ้ามือ’ ที่แน่ชัด ทำให้กลุ่มลูกค้าหลักมักจะเป็นชาวต่างชาติที่รู้จักแบรนด์นี้อยู่แล้วมากกว่าคนไทย

    จนกระทั่งปี 2562 มี “บริษัท อะเบาท์ แพสชั่น กรุ๊ป จำกัด” ที่ร้องขอจนได้รับโอกาสจากบริษัทแม่ให้ถือสิทธิมาสเตอร์แฟรนไชส์ในไทย ทำให้ซับเวย์มีการทำการตลาดถึงคนไทยมากขึ้น และมีการขยายสาขาเข้าพื้นที่คนไทย เช่น ปั๊มน้ำมัน

    แต่เมื่อต้นปี 2567 นี้เอง “เพชรัตน์” ระบุว่า ทาง Subway International มีการเปิดเฟ้นหาผู้รับสิทธิมาสเตอร์แฟรนไชส์รายใหม่ในไทย จึงทำให้ “โกลัค” เห็นโอกาสเข้าไปเสนอแผนและสิทธิได้เปลี่ยนมือมาสู่กลุ่มพีทีจี

     

    ยังต้องแก้โจทย์เดิมคือ “สั่งยาก” – “ราคาสูง”

    เพชรัตน์มองว่า ที่จริงแล้วซับเวย์มีจุดแข็งที่ชัดเจน คือการเป็น QSR ที่เหมาะกับ “สุขภาพ” มากที่สุด ด้วยเมนูอาหารมีผักสดให้เลือกหลากหลาย และใช้ขนมปังอบสดใหม่ในร้าน

    ซับเวย์

    เพียงแต่ว่าจุดอ่อนก็มีไม่น้อย จากการวิจัยผู้บริโภคพบว่าส่วนใหญ่รู้สึกว่าร้านซับเวย์ “สั่งยาก” จากการที่ต้องเลือกทั้งชนิดขนมปัง เลือกไส้ เลือกผัก เลือกซอส รวมถึงผู้บริโภคมองว่า “ราคา” ยังแพงกว่าถ้าเทียบกับ QSR แบรนด์อื่น

    ทั้งหมดคือโจทย์ที่ซับเวย์ในไทยจะต้องแก้โจทย์ต่อไป โดยเพชรัตน์วางแผนแก้ไขเรื่องการสั่งอาหารด้วยการจัด “เมนูยอดฮิต” ให้ลูกค้าสั่งได้โดยไม่ต้องเลือกส่วนประกอบต่างๆ เพราะซับเวย์จัดไว้ให้แล้ว รวมถึงจะเริ่มลงระบบ “สั่งอาหารด้วยตนเอง” (Self-Order) ไม่ว่าจะสั่งผ่าน Kiosk หรือผ่าน QR CODE บนมือถือ เพื่อให้ลูกค้าสบายใจขึ้นในการใช้เวลาเลือกและไม่ต้องห่วงว่าจะอ่านออกเสียงชื่อเมนูหรือซอสต่างๆ ผิด

    ส่วนปัญหา “ราคา” เพชรัตน์กล่าวว่าจะแก้โจทย์นี้แน่นอน ขณะนี้กำลังพิจารณาแนวทางต่างๆ เช่น ลดไซส์ เพื่อให้ลูกค้าเข้ามาชิมง่ายขึ้น หรือ พัฒนาเมนูที่ต้นทุนต่ำลง เพื่อทำราคาให้แข่งขันกับ QSR อื่นได้

    การเปลี่ยนมือครั้งนี้ของสิทธิแฟรนไชส์ “ซับเวย์” เป็นการย้ายเข้ามาอยู่ใต้ร่มหลังคาบ้านขนาดใหญ่ จากเครือข่ายของพีทีจีที่มีสมาชิกบัตร PT Max Card มากกว่า 21 ล้านสมาชิก และมีเครือข่ายสถานีน้ำมันมากกว่า 2,000 สาขาทั่วประเทศ น่าจะช่วยให้ซับเวย์มีแต้มต่อมากขึ้นในการเป็น QSR ในดวงใจของคนไทย

    ]]>
    1471172
    Levi’s ขายตรง! อัปเดตเกมเดนิมพันล้าน ผ่านฝีมือนายหญิง “มิเชลล์ แกส” https://positioningmag.com/1470592 Thu, 25 Apr 2024 06:59:32 +0000 https://positioningmag.com/?p=1470592 ต้องบันทึกว่าเมษายน 2567 เป็นช่วงเวลาที่บริษัท Levi Strauss บริษัทแม่ของ Levi’s กลายเป็นข่าวทอล์กออฟเดอะทาวน์มากกว่า 3 เรื่อง ซึ่งทุกเรื่องสะท้อนความเป็นไปในสมรภูมิเดนิมโลกอย่างที่ไม่ได้เห็นกันง่าย ๆ ในรอบหลายปี

    เรื่องแรกคือมูลค่าหุ้นบริษัทแม่ Levi’s นั้นพุ่งพรวด 18% หลังจากประกาศยอดขายเพิ่มขึ้นบนกระแสยีนส์ทรงหลวมที่ทำให้ผู้คนพร้อมใจควักกระเป๋าซื้อกางเกงใหม่แทนกางเกงสกินนี่ขาเล็กที่มีในตู้ ขณะที่เรื่องที่ 2 คือบริษัทยีนส์แห่งนี้สามารถเปลี่ยนสัดส่วนการขายเดนิมจากที่เคยเป็นในช่วงหลายปีก่อน ด้วยการสร้างรายได้เกือบครึ่งหนึ่งของการขายตรงถึงผู้บริโภคผ่านตลาดออนไลน์และหน้าร้านของตัวเอง เป็นการพลิกจากที่ยอดส่วนใหญ่มาจากการซื้อส่งเป็นล็อตใหญ่ โดยห้างสรรพสินค้าที่เคยเป็นตัวกลางขายปลีกให้ผู้บริโภค

    และเรื่องสุดท้าย คือการได้แรงกระตุ้นแบรนด์ครั้งใหญ่ในรอบ 171 ปีด้วยพลังจากศิลปินสาวตัวแม่อย่าง Beyoncé ซึ่งนำชื่อแบรนด์ Levi’s มาเติม i เพิ่มอีกตัว มาตั้งเป็นชื่อเพลง “LEVII’S JEANS” ในอัลบัมใหม่ “Cowboy Carter” ที่เพิ่งถูกปล่อยออกมาเมื่อวันที่ 29 มีนาคม

    Levi Strauss
    (Photo by Spencer Platt/Getty Images)

    เมื่อถูกกล่าวถึงหลายเรื่องเช่นนี้ สปอตไลท์ธุรกิจยีนส์โลกจึงไปอยู่ที่ต้นสังกัดอย่าง Levi Strauss โดย มิเชลล์ แกส (Michelle Gass) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Levi Strauss กล่าวระหว่างการแถลงผลประกอบการของบริษัทว่าวันนี้ Levi’s มีร้านค้าของตัวเองประมาณ 500 แห่งทั่วโลก ซึ่งกำลังรองรับชาวเดนิมที่เริ่มซื้อยีนส์โดยตรงจาก Levi’s

    Levi’s ลุยโมเดล DTC

    CEO นายหญิง Levi’s ระบุว่าเห็นความแข็งแกร่งในธุรกิจขายตรงถึงผู้บริโภคหรือ DTC (Direct to Consumer) เนื่องจากยอดขาย DTC นั้นเพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มของบริษัท ซึ่งเฉพาะ Levi’s นั้นกำลังทำยอดขาย DTC เกือบครึ่งหนึ่ง (48%) ผ่านทางตลาดออนไลน์และหน้าร้านของตัวเอง

    ข้อมูลนี้สะท้อนว่า Levi’s กำลังได้ประโยชน์จากช่องทาง DTC ซึ่งสวนทางกับการต้องพึ่งพาผู้ซื้อเหมาสินค้าเพื่อนำไปจำหน่ายปลีก เช่นห้าง Macy’s และ Kohl’s ที่เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจของหลายแบรนด์ในสหรัฐฯ โดยสัดส่วน 48% นั้นเพิ่มขึ้นจาก 42% ที่ Levi’s เคยทำได้ในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และสูงขึ้น 25% เมื่อเทียบเป็นรายปี

    สำหรับปี 2024 ข้อมูลล่าสุดจากธุรกิจ DTC แสดงให้ Levi’s เห็นเทรนด์ที่ผู้หญิงกำลังซื้อกระโปรงยีนส์ จั๊มสูท และกางเกงยีนส์เอวต่ำ-ทรงบูทคัทเพิ่มมากขึ้น ในขณะที่ฝั่งผู้ชายก็ซื้อกางเกงยีนส์ทรงหลวมมากขึ้นเช่นกัน ซึ่งแม้ Gass จะไม่ได้ยืนยันว่าเพลงใหม่ของ Beyonce อย่าง “Levii’s Jeans” จะฮิตจนทำให้แบรนด์ Levi’s ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอีก แต่ทั้งหมดสะท้อนว่าผู้ผลิตยีนส์รายใหญ่ก็ทำได้ดีกว่าความคาดหมาย โดย Levi’s รายงานยอดขายรวมไตรมาสล่าสุด 1,560 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 0.26 เซนต์ต่อหุ้น ซึ่งเป็นตัวเลขที่ดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะสร้างรายได้ 1,540 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 0.21 เซนต์ต่อหุ้น

    Levi Strauss

    ก่อนหน้านี้ Levi’s รายงานผลประกอบการขาดทุน 10.6 ล้านดอลลาร์ในไตรมาสแรก ปีงบประมาณก่อนหน้า ส่วนหนึ่งเกิดจากการยุติแบรนด์ลูกอย่าง Denizen และการลดจำนวนพนักงาน 10%-15% เพื่อแก้ไขโครงสร้างต้นทุน ทำให้ Levi’s มีค่าใช้จ่ายการปรับโครงสร้างที่เกี่ยวข้องกับค่าชดเชยพนักงาน อย่างไรก็ตาม Levi’s มองแนวโน้มปีงบประมาณ 2024 ว่าการใช้จ่ายของผู้บริโภคอาจลดลงเพราะอัตราเงินเฟ้อ แต่คาดว่ายอดขายทั้งปีของบริษัทจะเพิ่มขึ้นระหว่าง 1%-3% โดยผลกำไรมีโอกาสเพิ่มขึ้นเป็น 1.17-1.27 ดอลลาร์ต่อหุ้น ซึ่งนอกเหนือจากปัจจุบันที่
    Levi’s มีร้านค้าประมาณ 500 แห่งทั่วโลก บริษัทวางแผนที่จะเปิดร้านค้าใหม่ในเอเชีย รวมถึงร้านเรือธงแห่งใหม่ในปารีส เพื่อต้อนรับมหกรรมโอลิมปิกฤดูร้อนปี 2024

    นายหญิงถูกจับตา

    จริงอยู่ที่การเปลี่ยนมาทำรายได้จากการขายตรงมากขึ้นนั้นเป็นประโยชน์ต่อผลกำไรของ Levi’s แต่ก็ทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของ Levi’s กับคู่ค้าขายส่ง รวมถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับคู่ค้าเหล่านั้น ภาวะนี้ทำให้ซีอีโอ Michelle Gass ถูกตั้งคำถามถึงนโยบายในอนาคต ว่า Levi’s จะเลือกเดินในทางที่ให้ผลดีกับตัวเองมากขึ้นหรือไม่ เพราะการเปลี่ยนนี้ทำให้ Levi’s สามารถควบคุมชะตากรรมของตัวเองได้มากขึ้นในวันที่จำนวนห้างสรรพสินค้าเปิดใหม่กำลังหดตัวต่อเนื่อง ท่ามกลางอนาคตเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนในสหรัฐอเมริกา

    ตัวอย่างที่ชัดเจนคือช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ Macy’s ซึ่งเป็นพันธมิตรค้าส่งรายใหญ่ของ Levi’s ได้ประกาศแผนปิดร้านค้า 150 แห่ง เนื่องจากนักลงทุนมีแผนลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เป็นหลักแทนการดำเนินธุรกิจค้าปลีก จุดนี้ Michelle Gass ซึ่งเพิ่งดำรงตำแหน่งผู้บริหารให้ Levi’s ราว 2 เดือน นั้นยืนยันว่าการขายส่งยังคงเป็นส่วนสำคัญของกลยุทธ์ของ Levi’s ขณะที่โมเดลขายตรงไปยังผู้บริโภคนั้นเป็นเพียงส่วนชดเชยความเสียหายจากการปิดร้านของห้างในสหรัฐฯ เท่านั้น

    เบื้องต้น Michelle Gass หยอดคำหวานว่าได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับพันธมิตรในธุรกิจค้าส่งซึ่งเป็น “ลูกค้าคนสำคัญ” ของ Levi’s โดยเชื่อว่า Levi’s มีความสำคัญต่อผู้ค้า และผู้ค้าก็มีความสำคัญต่อ Levi’s เช่นกัน ทั้งหมดนี้ Gass ย้ำว่าในเชิงกลยุทธ์แล้ว การขายส่งสินค้าล็อตใหญ่ให้ผู้ค้าปลีกถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับ Levi’s ในการขยายการเข้าถึงผู้บริโภค โดยบอกว่าแม้จะมีแรงกดดัน แต่ผู้ค้าเหล่านี้ให้บริการผู้บริโภคหลายล้านคน ดังนั้นจึงยังมีโอกาสอีกมากที่จะขับเคลื่อนส่วนแบ่งการตลาดภายในช่องทางนี้

    Levi Strauss

    สิ่งที่ Gass กล่าวนั้นสวนทางกับที่ก่อนหน้านี้ Levi’s เคยประกาศนโยบายดันให้ยอดขายตรงถึงผู้บริโภคคิดเป็น 55% ของยอดขายรวม โดยหากตัวเลขดังกล่าวสามารถสูงขึ้นได้อีก บริษัทก็จะเดินหน้าเต็มที่ อย่างไรก็ตาม Gass กล่าวว่า Levi’s กำลังทำงานอย่างใกล้ชิด กับลูกค้าขายส่งรายสำคัญเพื่อให้แน่ใจว่าแบรนด์จะปรากฏตัวในช่องทางและวิธีที่ดีที่สุด

    มุมมองของ Gass ในการบริหาร Levi’s นั้นน่าจับตา เพราะประวัติการทำงาน 30 ปีในวงการรีเทลที่ไม่ธรรมดาของ Gass ซึ่งถือว่ามีความเชี่ยวชาญงานในอุตสากรรมสินค้าคอนซูเมอร์สูง ก่อนหน้านี้ Gass เคยร่ายมนต์การตลาดจน Frappuccino ฮิตติดลมบนมาแล้วที่ Starbucks จากนั้นก็เคยมีบทบาทขยายอาณาจักรห้าง Kohl’s ให้เป็นผู้ค้า Omnichannel โดยคว้าดีลระยะยาวกับเชนค้าปลีกสินค้าบิวตี้อย่าง Sephora ซึ่งเป็นหนึ่งในดีลสร้างชื่อของ Kohl’s ในช่วงเวลาที่ Gass รับหน้าที่เป็น CEO

    ปัจจุบัน Michelle Gass กำลังรับหน้าที่ “งานในฝัน” ของเธอในฐานะ CEO ของ Levi Strauss ผู้ผลิตยีนส์อายุ 171 ปีที่มอบกางเกงยีนส์ริมแดง 501 ให้โลกได้สวมใส่ อย่างไรก็ตาม การบ้านชิ้นโตของ Gass คือการพา Levi’s ให้อยู่รอดท่ามกลางรายได้จากการขายส่งยีนส์ทั่วโลกของ Levi’s ที่ลดลง 9% ผลจากความผันผวนในยุโรปซึ่ง Gass ยอมรับว่าเป็นปัญหาที่ทำให้ Levi’s ในไตรมาสนี้อยู่ในภาวะ “ยากลำบาก”

    ในภาพรวม Gass ไม่ได้ท้อ แต่มั่นใจว่าการขายส่งในยุโรปช่วงครึ่งปีหลังจะดีขึ้นเพราะนวัตกรรมและแฟชั่นที่ Levi’s นำเสนอ จุดนี้สะท้อนได้ว่า Levi’s กำลังอยู่ในกระบวนการเปลี่ยนตัวเองเป็นผู้ค้าปลีกที่ทำสิ่งอื่นได้มากกว่าการขายกางเกงยีนส์ ทั้งการนำเสนอกระโปรง ชุดเดรส และเสื้อให้มากขึ้น

    ที่สุดแล้ว โลกกำลังรอลุ้นว่า Gass จะปฎิวัติให้ Levi’s ขึ้นเป็นธุรกิจไลฟ์สไตล์ด้านเดนิม เหมือนอย่างที่ตั้งใจไว้ได้สำเร็จหรือไม่? ซึ่งหาก Levi’s ทิ้งภาพการเป็นแค่บริษัทบลูยีนส์ไปได้ เกมเดนิมพันล้านของ Levi’s จะส่งแรงสะเทือน ตลาดค้าปลีกครั้งใหญ่แน่นอน.

    ที่มา: Cnbc 1, Cnbc 2, Defenseworld, Fox Business

    ]]>
    1470592
    มองเทรนด์ ‘Affiliate Marketing’ ที่อาจหมดพลังในเร็ววัน เพราะแบรนด์ได้ยอด แต่ ‘อินฟลูฯ’ อาจหมดความน่าเชื่อถือ https://positioningmag.com/1471006 Wed, 24 Apr 2024 12:07:30 +0000 https://positioningmag.com/?p=1471006 ปฏิเสธไม่ได้ว่าเทรนด์ Affiliate Marketing ที่เปิดให้คนทั่วไปสามารถแปะลิงก์สินค้าจะมาแรงในช่วงนี้ เพราะถือเป็นกลยุทธ์ที่ Win-Win กับทั้งคนแปะลิงก์และแบรนด์ เพราะใช้ต้นทุนไม่มาก เพราะจ่ายเมื่อมียอดขาย ส่วนคนแปะลิงก์ก็ได้ส่วนแบ่งไม่ต้องลงทุนอะไร ยิ่งเป็น Influencers ที่มีผู้ติดตามมาก ก็ยิ่งเพิ่มโอกาสในการขายไปอีก

    KOLs + Affiliate = Full Funnel

    ในยุคที่เศรษฐกิจไม่ค่อยจะดีนัก แบรนด์ต่าง ๆ ก็ต้องยิ่งแข่งขันกันหนักหน่วง ดังนั้น ทุกคนต่างก็ต้องการยอดขาย และหนึ่งในกลยุทธ์ทางการตลาดที่ตอบโจทย์ตั้งแต่ต้นจนจบก็คือ การใช้ KOLs/ Influencers กับ Affiliate Marketing เพราะใช้ได้ตั้งแต่การ ป้ายยา ไปจนถึงสามารถ ปิดการขาย ด้วยตัวเอง ยิ่งขายได้เยอะอินฟลูฯ ก็ยิ่งได้ค่าคอมมิชชั่น แบรนด์ก็วัดผลเป็นยอดขายได้ทันที และต้นทุนก็มีเพียงค่าคอมมิชชั่น ถ้าขายไม่ได้แบรนด์ก็ไม่ต้องเสียเงิน

    ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่หลายแบรนด์หันมาใช้ Affiliate Marketing ไม่ว่าจะเป็น 7-Eleven หรือแม้แต่ แสนสิริ ที่ให้ค่าคอมมิชชั่นสูงสุดถึง 1 ล้านบาท! ล่าสุด เฮียฮ้อ สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ แห่ง อาร์เอส กรุ๊ป ก็ดึงศิลปิน-ดาราในสังกัดกว่า 120 ชีวิต ที่มียอดผู้ติดตามมากกว่า 20 ล้านบัญชี ทำ Affiliate Marketing

    “เมื่อก่อนแบรนด์ใหญ่มีเงินใช้ทีวี ใช้สื่อหลัก แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แล้ว สื่อพวกนี้ไม่มีพลังแล้ว” ภวัต เรืองเดชวรชัย ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มีเดียอินเทลลิเจนซ์กรุ๊ป จำกัด กล่าว

    Affiliate ยิ่งสร้าง Influencers

    ปัจจุบัน แบรนด์ใช้เม็ดเงินโฆษณาไปกับ Influencers ประมาณ 20-25% ของงบการตลาด และ Affiliate Marketing กลายเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนการเติบโตของจำนวน KOLs/ Influencers โดย ภวัต คาดว่าปัจจุบัน จำนวนของ KOLs/ Influencers ในไทยมีมากกว่า 2 ล้านราย และยังเติบโตได้อีก เนื่องจากแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่มีมากขึ้น และหลายคนก็ต้องการสร้างตัวตนบนโลกโซเชียลมากขึ้น และ Affiliate Marketing ก็เป็นอีกตัวช่วยในการหารายได้เสริม

    เนื่องจากความนิยมและความร้อนแรงอย่างต่อเนื่องของ Influencers ที่นักการตลาด และผู้ประกอบการนิยมใช้งานมากขึ้น ทำให้กลายเป็นปัจจัยหลักที่ดันให้ เม็ดเงินสื่อดิจิทัลเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในปีที่แล้วเติบโต +14% และคาดการณ์โตต่อเนื่อง +8% ในปี 2024 นี้ (ข้อมูลจาก DAAT)

    Affiliate เป็นดาบ 2 คมของ Influencers

    แม้ว่าตอนนี้การทำ Affiliate Marketing ตอนนี้จะทวีความนิยม แต่เนื่องจากแบรนด์ที่ทำมากขึ้น เหล่า KOLs/ Influencers  มีการแปะลิงก์มากขึ้น อาจทำให้ผู้บริโภค ชินหรือเบื่อ นอกจากนี้ การแปะลิงก์ขายสินค้าของยังทำให้ KOLs/ Influencers สูญเสียความน่าเชื่อถือ และสักวัน Affiliate Marketing ก็จะเริ่มหมดพลังไป

    “การทำ Affiliate Marketing มันไม่ส่งผลกับภาพแบรนด์ เพราะเขามองว่ามันก็เหมือนโฆษณาแบบหนึ่ง แต่ตัว Influencers จะได้รับผลกระทบ เพราะถูกมองว่าเสียตัวตนไปแล้ว เพราะบทบาทของ Influencers ที่ผู้บริโภคมองคือ ตัวช่วยตัดสินใจ ดังนั้น กระแส Affiliate ปีหน้าอาจจะเสื่อมความนิยมลง”

    รู้จัก KOLs/ Influencers 5 กลุ่ม ได้แก่

    • Mega – Celeb : > 1,000,000 followers ค่าตัว 200,000 – 1,00,000+ บาท
    • Macro : 500,000-1,000,000 followers ค่าตัว 80,000 – 200,000 บาท
    • Mid tier : 100,000-500,000 followers ค่าตัว 30,000 – 150,000 บาท
    • Micro : 10,000-100,000 followers ค่าตัว 10,000 – 30,000 บาท
    • Nano : 1,000-10,000 followers ค่าตัว 3,000 – 15,000 บาท

    โดย Influencer พบว่าแบรนด์ส่วนใหญ่นิยมใช้มากที่สุดคือ กลุ่ม Micro และ Nano เนื่องจากผู้บริโภคมองว่า น่าเชื่อถือมากกว่า

    ]]>
    1471006
    “ซีคอน” หันมารับโปรเจ็กต์ก่อสร้าง “หมู่บ้านจัดสรร” ดันยอดขายไตรมาส 1/2567 โต 15% https://positioningmag.com/1470879 Wed, 24 Apr 2024 07:44:33 +0000 https://positioningmag.com/?p=1470879
  • บริษัทรับสร้างบ้าน “ซีคอน” เปิดไตรมาสแรกปี 2567 กวาดยอดขาย 570 ล้านบาท เติบโต 15% อานิสงส์รับโปรเจ็กต์ก่อสร้าง “หมู่บ้านจัดสรร” ให้ดีเวลอปเปอร์อสังหาฯ 2 รายคือ “สิงห์ เอสเตท” และ “เนอวานา”
  • แผนการตลาดกับลูกค้าบุคคลปีนี้ลงทุน “มิวสิก มาร์เก็ตติ้ง” หยิบเพลง “LIVE and LEARN” มาโปรดิวซ์และขับร้องใหม่ผ่านฝีมือ “บอย โกสิยพงษ์” และ “ปั่นไพบูลย์เกียรติ เขียวแก้ว” ประกอบโฆษณาครบรอบ 63 ปีซีคอน
  • “มนู ตระกูลวัฒนกิจ” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีคอน จำกัด เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2567 ของบริษัท กวาดยอดขายไปแล้ว 570 ล้านบาท เติบโต 15% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน

    ปัจจัยหลักที่ทำให้บริษัทเติบโตได้ดี เกิดจากการรับงานรับเหมาก่อสร้างให้กับบริษัทผู้พัฒนาจัดสรรเสริมเข้ามา จากเดิมธุรกิจหลักคือการรับสร้างบ้านบนที่ดินส่วนตัวรายบุคคล ซึ่งปีนี้บริษัทได้เซ็นสัญญาก่อสร้างแล้ว 2 โครงการ คือ “เนอวานา คอลเล็กชัน กรุงเทพกรีฑา” บ้านระดับอัลตราลักชัวรีราคา 70-150 ล้านบาทของ บมจ.เนอวานา ดีเวลลอปเม้นท์ และ “SHAWN วงแหวน-จตุโชติ” บ้านระดับไฮเอนด์ราคา 20-30 ล้านบาทของ บมจ.สิงห์ เอสเตท

    “มนู ตระกูลวัฒนกิจ” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีคอน จำกัด

    “ตอนนี้ปัญหาของภาคอสังหาฯ คือขาดแคลนแรงงานก่อสร้าง ทำให้เราเข้าไปเป็นตัวเลือกในการจ้างงาน” มนูกล่าว โดยนอกจากซีคอนจะมีแรงงานแล้ว ยังมีโรงงานผลิตชิ้นส่วนเสา-คานกึ่งสำเร็จรูปของตนเอง 2 แห่งที่อ่อนนุชและลำลูกกา มีกำลังผลิตรวมสูงสุดเทียบเท่าการผลิตบ้านได้ 1,000 หลังต่อปี ซีคอนจึงสามารถตอบโจทย์ใช้เทคโนโลยีการผลิตแบบพรีคาสท์ช่วยสร้างบ้านให้กับลูกค้ากลุ่มบริษัทพัฒนาจัดสรรได้

    มูลค่าของโครงการรับเหมาก่อสร้างให้หมู่บ้านจัดสรรที่เซ็นดีลแล้วรวมกว่า 300 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 15% ของเป้ายอดขายรวมปี 2567 ที่ซีคอนตั้งไว้ 2,200 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม มนูระบุว่าบริษัทยังเจรจากับบริษัทอื่นๆ ต่อเนื่องเพราะศักยภาพยังสามารถรับลูกค้ากลุ่มนี้เพิ่มได้

     

    ปัจจัยลบ ‘ข่าว’ เศรษฐกิจฝืดทำมู้ดผู้บริโภคหด

    หากมองในกลุ่มลูกค้าหลักคือบุคคลธรรมดาที่จ้างสร้างบ้านบนที่ดินส่วนตัว มนูมองว่าปีนี้ตลาดน่าจะโตแค่ 3-5% ซึ่งปัจจัยลบมาจาก ‘ข่าว’ เศรษฐกิจฝืดที่แพร่สะพัดตั้งแต่ไตรมาส 4 ปีก่อน ทำให้ลูกค้าไม่มี ‘sentiment’ หรืออารมณ์ความรู้สึกมั่นใจที่จะสั่งสร้างบ้าน

    “คนไทยเราอยู่ด้วย ‘ข่าว’ ค่อนข้างมาก เช่น ถ้ามีข่าวสงครามเกิดขึ้นที่ไหนแม้จะห่างไกลกับเรา แต่ยอดขายบริษัทผมจะตกทันที” มนูกล่าว “อย่างเรื่องเศรษฐกิจผมคิดว่ามันไม่ได้ไม่ดีไปทุกภาคธุรกิจ ธุรกิจท่องเที่ยวตอนนี้ก็ดีมาก ธุรกิจส่งออกก็เริ่มดีขึ้น แต่เพราะภาพรวมข่าวบอกว่าเศรษฐกิจแย่ มันก็ทำให้ sentiment ในตลาดไม่ดีไปด้วย”

    ซีคอน
    ตัวอย่างบ้านจริงที่ซีคอนก่อสร้าง (แบบบ้าน Loft 372)

    เมื่อถามถึงมาตรการรัฐกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งในส่วนธุรกิจรับสร้างบ้านมีมาตรการสนับสนุนคือ ลูกค้าสามารถหักลดหย่อนภาษีได้ 1 หมื่นบาทต่อทุกจำนวนค่าก่อสร้าง 1 ล้านบาท ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่รวมกันแล้วไม่เกิน 1 แสนบาท เริ่มใช้ได้ตั้งแต่วันที่ 9 เมษายน 2567 – 31 ธันวาคม 2568 มนูมองว่าที่ผ่านมากว่า 2 สัปดาห์ยังไม่เห็นผลชัดเจนต่อการตัดสินใจของลูกค้า แต่อาจจะต้องรออีกสักระยะในการประชาสัมพันธ์

     

    “มิวสิก มาร์เก็ตติ้ง” ตอกย้ำการรับรู้แบรนด์

    ด้านการทำการตลาดของ “ซีคอน” ในปีนี้ มีการนำกลยุทธ์ มิวสิก มาร์เก็ตติ้ง มาใช้งาน ด้วยความร่วมมือกับ “บอย โกสิยพงษ์” โปรดิวเซอร์เพลงชื่อดัง นำเพลง “LIVE and LEARN” มา rearrange ใหม่ในสไตล์ดนตรี Drum and Bass ที่ให้ความทันสมัยมากขึ้น และได้รับเกียรติจาก “ปั่น-ไพบูลย์เกียรติ เขียวแก้ว” นักร้องในตำนาน กับ “กลม เดอะวอยซ์” (อรวี พินิจสารภิรมย์) นักร้องคนรุ่นใหม่ มาร่วมกันขับร้องเพลงเวอร์ชันใหม่นี้ ประกอบ MV โฆษณาถ่ายทอดชีวิตของคนในครอบครัวจากรุ่นสู่รุ่น

    โฆษณาและเพลงนี้ต้องการจะสื่อสารแบรนด์ซีคอน ที่เป็นธุรกิจรับสร้างบ้านอายุยาวนาน 63 ปี ก่อตั้งโดย “วิชัย ซอโสตถิกุล” และปัจจุบันส่งไม้ต่อจนมาถึงผู้บริหารรุ่นที่ 3 คือ “ไปรเทพ ซอโสตถิกุล” และ “มนู ตระกูลวัฒนกิจ” ที่สั่งสมประสบการณ์และความเชี่ยวชาญด้านการรับสร้างบ้านต่อเนื่องกันมานาน 6 ทศวรรษ

    ]]>
    1470879
    SCGD ตั้งเป้าโต 2 เท่าภายใน 6 ปี! โหมตลาดกระเบื้อง-สุขภัณฑ์ใน “เวียดนาม” ลุยสร้างโรงงานเพิ่ม https://positioningmag.com/1470826 Tue, 23 Apr 2024 10:05:18 +0000 https://positioningmag.com/?p=1470826
  • ผลการดำเนินงาน SCGD ไตรมาส 1/67 รายได้หด -6.1% แต่กำไรเติบโต 28.4% จากการควบคุมต้นทุน และการขายสินค้ากลุ่มกำไรสูงได้มากขึ้น
  • ปี 2567 เคาะลงทุนไลน์ผลิตกระเบื้องเพิ่มที่โรงงานหนองแค จ.สระบุรี และลงทุนติดตั้งโซลาร์เซลล์เพิ่มเพื่อลดต้นทุนลงอีก
  • แผนระยะยาวต้องการทำรายได้โต 2 เท่า ภายในปี 2573 โดยจะเร่งยอดขายกระเบื้องและสุขภัณฑ์ในอาเซียน โดยเฉพาะ “เวียดนาม” ที่มีแผนจะสร้างโรงงานเพิ่ม
  • “นำพล มลิชัย” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสซีจี เดคคอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGD เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2567 ของ SCGD ว่า บริษัทมีรายได้จากการขาย 6,784 ล้านบาท ลดลงร้อยละ -6.1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ทำกำไรได้ 258 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 28.4 เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน (หากไม่รวมผลกระทบจากการปรับโครงสร้าง และรายการ Non-Recurring อื่นๆ ในปีก่อนหน้า)

    เป็นผลมาจากบริษัทสามารถยืนราคาขายสินค้ากระเบื้องและสุขภัณฑ์ไว้ได้ และยังขายสินค้ากลุ่มที่มีกำไรสูงได้มากขึ้น ประกอบกับมีการลดต้นทุนค่าพลังงานด้วยการติดตั้งโซลาร์เซลล์และโครงการ Hot Air Generator รวมถึงการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตมาก่อนหน้านี้ ทำให้มีต้นทุนที่ลดลงในไตรมาสที่ผ่านมา

    “นำพล มลิชัย” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสซีจี เดคคอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGD

    เมื่อคำนึงถึงสภาวะตลาดรวมของกระเบื้อง วัสดุปิดผิว และสุขภัณฑ์ ทั้งในไทย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นตลาดหลักของ SCGD มีสภาวะที่ยังอยู่ในระยะติดลบ ยังไม่ฟื้นตัว แต่บริษัทสามารถทำกำไรสวนตลาดได้จึงถือเป็นผลการดำเนินงานที่น่าพอใจ

    สำหรับเหตุการณ์ที่น่าจับตาในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้คือเหตุการณ์ความไม่สงบในเมียนมา ซึ่งนำพลระบุว่ามีผลกระทบต่อยอดขายของ SCGD ที่ส่งออกไปเมียนมาอยู่บ้างแต่ไม่ถึงครึ่งหนึ่ง เนื่องจากช่องทางการกระจายสินค้าผ่านทางเมียวดีและแม่สอดถูกปิด ทำให้บริษัทต้องหาทางกระจายสินค้าผ่านด่านอื่นทดแทน

     

    อนุมัติลงทุนโซลาร์เซลล์-ไลน์ผลิตกระเบื้อง

    ด้านความคืบหน้าการลงทุนที่ได้อนุมัติไปก่อนหน้านี้ของ SCGD และคาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ภายในปีนี้ทั้งหมด ได้แก่

    1.โครงการติดตั้ง Hot Air Generator เพื่อลดต้นทุนพลังงานที่โรงงานในประเทศไทยอีก 2 แห่ง ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนพฤษภาคมนี้

    2.โครงการปรับปรุงสายการผลิตกระเบื้องไวนิล SPC (กระเบื้องยางลายไม้) โดยจะเริ่มผลิตกระเบื้องไวนิล SPC สำหรับป้อนตลาดในประเทศไทยได้ตั้งแต่ช่วงปลายไตรมาสที่ 2 ด้วยกำลังการผลิต 1.8 ล้านตารางเมตรต่อปี

    3.โครงการไลน์ผลิตสินค้ากลุ่มกระเบื้องพอร์ซเลน และ กระเบื้องขนาดใหญ่ อีก 2.2 ล้านตารางเมตรต่อปี ในพื้นที่ภาคกลางของประเทศเวียดนาม

    4.โครงการการผลิตกระเบื้องพอร์ซเลน 9.1 ล้านตารางเมตรต่อปี ในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศเวียดนาม คาดว่าจะเริ่มเดินสายการผลิตได้ในช่วงปลายปี 2567

    SCGD
    ตัวอย่างสินค้ากลุ่มกระเบื้องพอร์ซเลนจาก COTTO

    นำพลกล่าวต่อว่า เมื่อไตรมาสที่ 1 ทางบริษัท SCGD มีการอนุมัติการลงทุนมูลค่ารวม 290 ล้านบาท ใน 3 โครงการ เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ดังนี้

    1.โครงการลงทุนติดตั้งโซลาร์เซลล์ 5.5 เมกะวัตต์ เงินลงทุน 140 ล้านบาท คาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณต้นปี 2568

    2.โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารคลังสินค้า เงินลงทุน 70 ล้านบาท โดยการติดตั้งระบบบริหารคลังสินค้าและรถยกระบบอัตโนมัติ

    3.โครงการไลน์การผลิตกระเบื้องขนาดใหญ่ที่หนองแค เงินลงทุน 80 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มเดินสายการผลิตได้ภายในสิ้นปี 2567

     

    แผนระยะยาว ปี 2573 ตั้งเป้ารายได้โต 2 เท่า

    นำพลประเมินตลาดกระเบื้องและสุขภัณฑ์ในอาเซียนว่า ถึงแม้เมื่อไตรมาสที่ 1 จะยังอยู่ในช่วงซบเซา แต่มองว่าในอนาคตภูมิภาคนี้จะมีเศรษฐกิจที่เติบโตแน่นอน และจะทำให้ตลาดกระเบื้องและสุขภัณฑ์โตได้ปีละ 4-5%

    SCGD จึงตั้งเป้าว่าภายในปี 2573 บริษัทจะทำรายได้โต 2 เท่า หรือขึ้นไปแตะปีละ 60,000 ล้านบาท และจะเติบโตด้วย 4 กลยุทธ์ ดังนี้

    1.ธุรกิจกระเบื้องและวัสดุปูพื้นและผนัง

    – เตรียมขยายการลงทุนโรงงานในพื้นที่ภาคใต้ของเวียดนาม ซึ่งปัจจุบันบริษัทยังมีส่วนแบ่งตลาดไม่สูงนัก

    – เพิ่มสินค้าประเภทกำไรสูงและมีนวัตกรรมให้มากขึ้น เช่น กระเบื้องยางลายไม้ (SPC), กระเบื้องพอร์ซเลน, กระเบื้องทนแรงขูดขีด (X-Strong), กระเบื้องที่เหมาะกับสัตว์เลี้ยง ลดการเสื่อมของข้อเท้าและการลื่นล้ม (Paw & Play)

    – เพิ่มสินค้าวัสดุตกแต่งพื้นและผนังให้มากขึ้น เช่น วัสดุปิดผิวบันได วัสดุตกแต่งผนัง

    – ขยายเครือข่ายช่องทางจัดจำหน่าย

    สินค้าเก็บงานให้ครบวงจร เช่น คิ้วกระเบื้อง จมูกบันได

    2.ธุรกิจสุขภัณฑ์

    – ตั้งเป้ารายได้ที่มาจากธุรกิจสุขภัณฑ์เติบโต 2 เท่าเป็นปีละ 10,000 ล้านบาท

    – เพิ่มตัวแทนจำหน่ายสุขภัณฑ์ในต่างประเทศ ต่อยอดช่องทางจัดจำหน่าย โดยในเวียดนามจากเดิม 17 รายเป็น 39 ราย ฟิลิปปินส์จากเดิม 78 รายเป็น 85 ราย และอินโดนีเซียจากเดิม 28 ราย เป็น 37 ราย

    SCGD
    QUIL by COTTO แบรนด์สุขภัณฑ์และอุปกรณ์ห้องน้ำระดับพรีเมียม

    3.ขยายธุรกิจสู่ผลิตภัณฑ์และบริการที่เกี่ยวเนื่อง

    SCGD มีการขายสินค้าที่เกี่ยวเนื่องเพื่อตอบโจทย์ให้ครบวงจร เช่น กาวและยาแนว ประตู หน้าต่าง ชุดเฟอร์นิเจอร์ครัว และอื่นๆ ซึ่งปัจจุบันสินค้ากลุ่มนี้สามารถทำยอดขายได้มากกว่าปีละ 300 ล้านบาทแล้ว

    4.M&P (Merger & Partnership) ควบรวมกิจการและสร้างความร่วมมือ

    SCGP มีแนวทางธุรกิจที่จะควบรวมกิจการ หรือสร้างความร่วมมือกับเจ้าของกิจการเดิม ในธุรกิจตกแต่งพื้นผิว ธุรกิจสุขภัณฑ์ และธุรกิจผลิตภัณฑ์และบริการที่เกี่ยวเนื่องทั้งในและต่างประเทศ

    อัตราการทำกำไรของ SCGP เป็นประเด็นที่นักลงทุนจับตา เพราะในปี 2566 อัตรากำไรสุทธิของบริษัทอยู่ที่ 1.64% เท่านั้น แต่จากการลงทุนเพื่อลดต้นทุนด้านพลังงานและปรับปรุงประสิทธิภาพทั้งหมด ทำให้เมื่อไตรมาส 1/67 บริษัทสามารถทำอัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 3.80% ได้แล้ว และนำพลเชื่อว่าจากโครงการลดต้นทุนที่ยังมีต่อเนื่องจะทำให้บริษัทลดต้นทุนได้มากกว่านี้ในอนาคต

    ]]>
    1470826
    กางแผน MR.DIY ทุ่มงบ 2,000 ล้านบาท ในปี 2567 เปิดสาขาใหม่อีก 195 แห่งในไทย https://positioningmag.com/1470822 Tue, 23 Apr 2024 09:10:45 +0000 https://positioningmag.com/?p=1470822 มิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. ผู้นำด้านค้าปลีกสินค้าตกแต่งและซ่อมแซมบ้านที่มีสาขามากที่สุดในประเทศไทยประกาศแผนยุทธศาสตร์ขยายธุรกิจ มุ่งสู่ร้านสะดวกซื้อครบวงจรด้านสินค้าเบ็ดเตล็ดและอุปกรณ์ตกแต่งและปรับปรุงซ่อมแซมบ้านที่ดีที่สุดของประเทศพร้อมเดินหน้าเต็มตัวในปี 2567 ด้วยงบลงทุนกว่า 2,000 ล้านบาทเพื่อเปิดสาขา 195 แห่งในประเทศไทย

    “การขยายธุรกิจในปีนี้ เป็นผลจากความมุ่งมั่นของ มิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย.ที่ต้องการมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าคนไทย ควบคู่ไปกับการสร้างเสริมพลังให้ชุมชนท้องถิ่น” นายแอนดี้ ชิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มิสเตอร์.ดี.ไอ.วาย. ประเทศไทย กล่าว “ความเคลื่อนไหวทางธุรกิจในครั้งนี้สะท้อนถึงความต้องการที่ไม่หยุดนิ่งของผู้บริโภคคนไทย ที่มองหาอุปกรณ์ตกแต่งและปรับปรุงซ่อมแซมบ้าน และสินค้าเบ็ดเตล็ดที่มีคุณภาพหลากหลายประเภท ในราคาประหยัด และด้วยการมุ่งขยายสาขาใหม่เพิ่ม 195 แห่งทั่วประเทศไทยในปี 2567 พร้อมงบลงทุน 2,000 ล้านบาท มิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย.ไม่เพียงแต่เพิ่มช่องทางการเข้าถึงสินค้าให้กับผู้บริโภคเท่านั้น แต่ยังสร้างโอกาสทางการจ้างงานที่สำคัญให้แก่ผู้คนในชุมชน ส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ และสร้างพลังให้ชุมชนท้องถิ่นทั่วประเทศไทยอีกด้วย”

    กลยุทธ์ปี 2567: สร้างการเติบโตและการมีส่วนร่วมของลูกค้า

    กลยุทธ์ปี 2567 ของ มิสเตอร์.ดี.ไอ.วาย.มุ่งเน้นไปที่การเปิดสาขาใหม่ควบคู่กับความมุ่งมั่นในการนำเสนอสินค้าในราคาที่คุ้มค่า และการตอบสนองความพึงพอใจของลูกค้า

    • ขยายเครือข่ายสาขา: มิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. ลงทุนกว่า 2,000 ล้านบาท ในการเปิด 195 สาขาใหม่ทั่วประเทศไทย
    • เสริมความแข็งแกร่งด้านสินค้า: การคัดสรรสินค้าของมิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย.จะเน้นไปที่หมวดหมู่สินค้าหลัก ควบคู่ไปกับสินค้าที่ตอบโจทย์ตามเทศกาลสำคัญต่างๆ รวมถึงสินค้าลิขสิทธิ์ เพื่อให้ มิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. สามารถนำเสนอหลากหลายสินค้าคุณภาพในราคาที่ย่อมเยาและตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของลูกค้าได้อย่างครอบคลุม
    • กลยุทธ์แคมเปญและโปรโมชัน: มิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย.เตรียมเปิดตัวแคมเปญสื่อสารภาพลักษณ์ใหม่ในชื่อ “ช้อปเกินครบ คุ้มเกินคาด” ในเดือนเมษายน 2567 เพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์และคงให้แบรนด์มิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. เป็นที่จดจำของลูกค้าต่อเนื่อง นอกจากนี้ มิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย.ยังมุ่งมั่นสร้างสรรค์ประสบการณ์กับลูกค้าผ่านหลากหลายกิจกรรมของแบรนด์ตลอดทั้งปี โดยจะมีการจัดกิจกรรมทางการตลาดและโปรโมชันตามเทศกาลต่างๆ อย่างต่อเนื่อง
    • ขยายช่องทางจัดจำหน่ายผ่านอีคอมเมิร์ซ: มิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย.เสริมความแข็งแกร่งด้านการจัดจำหน่ายทางออนไลน์ด้วยการเปิดตัวช่องทางขายออนไลน์ใหม่ 2 ช่องทาง ได้แก่ LazMall และ TikTok Shop เพื่อมอบความสะดวกสบายและช่องทางการเข้าถึงสินค้าที่หลากหลายยิ่งขึ้นให้กับลูกค้า
    • กิจกรรมด้านความยั่งยืน (ESG): ด้วยความมุ่งมั่นในด้านความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม มิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. จึงมีแผนการขยายการใช้รถไฟฟ้าในการดำเนินกิจการ รวมถึงการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคาสาขาต่างๆ เพื่อผลิตพลังงานหมุนเวียนและลดการใช้แหล่งพลังงานจากฟอสซิล นอกจากนี้ มิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย.ยังคงให้ความสำคัญกับความยั่งยืนทางสังคม ด้วยการสร้างโอกาสทางการจ้างงาน เพื่อส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจและสร้างพลังให้ชุมชนท้องถิ่นอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน

    มิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย.มั่นใจว่าแผนการขยายธุรกิจในปีนี้ได้ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านค้าปลีกสินค้าตกแต่งและซ่อมแซมบ้านที่มีสาขามากที่สุดและได้รับความนิยมสูงสุดในประเทศไทย มิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย.พร้อมนำเสนอสินค้าคุณภาพในราคาที่คุ้มค่า และส่งมอบประสบการณ์การจับจ่ายสินค้าที่สะดวกสบายผ่านร้านค้ากว่า 770 แห่งทั่วประเทศและช่องทางออนไลน์

    ]]>
    1470822
    คุยกับ “ปัทมาพร นกหงษ์” ผู้พลิกโฉม PASSiONE Shopping Destination สู่ศูนย์การค้าศูนย์กลางการใช้ชีวิตของคน “ระยอง” https://positioningmag.com/1470195 Wed, 17 Apr 2024 05:36:27 +0000 https://positioningmag.com/?p=1470195 ในอดีตถ้าพูดชื่อ “ศูนย์การค้าแหลมทอง” เรียกได้ว่าทั่วจังหวัดระยอง หรือจังหวัดข้างเคียงในโซนภาคตะวันออกแทบจะไม่มีใครไม่รู้จักชื่อนี้ เพราะเป็นศูนย์การค้าในตำนาน ยืนหยัดอยู่คู่ชาวระยองมายาวนานตั้งแต่ปี 2540 

    ปัจจุบันศูนย์การค้าแหลมทองได้ทำการรีโนเวตครั้งใหญ่ไปเมื่อปี 2558 ภายใต้การกุมบังเหียนของ “ปัทมาพร นกหงษ์ ทายาทรุ่นที่ 2 พร้อมเปลี่ยนชื่อเป็น “แพชชั่น ช็อปปิ้ง เดสติเนชั่น” (PASSiONE Shopping Destination) หรือเรียกสั้นๆ ว่าศูนย์การค้าแพชชั่น ระยอง ด้วยงบลงทุนสูงถึง 2,600 ล้านบาท เรียกว่าเป็นการพลิกโฉมครั้งใหญ่ในทุกมิติ เพื่อปรับศูนย์การค้าให้ทันสมัย

    แพชชั่น ระยองอยู่คู่ชาวระยองมากว่า 27 ปี ผ่านร้อนผ่านหนาวมาตั้งแต่วิกฤตต้มยำกุ้ง มาจนถึงวิกฤต COVID-19 สิ่งสำคัญที่ทำให้แพชชั่น ระยองกลายเป็นเดสติเนชั่นของระยองก็คือการเข้าใจคนระยองอย่างแท้จริง และไม่หยุดนิ่งในการพัฒนาสิ่งใหม่ๆ

    ปัทมาพร นกหงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มาย แพชชั่น แอนด์ อินสไปเรชั่น จำกัด กล่าวว่า 

    “PASSiONE Shopping Destination เป็นศูนย์การค้าที่มีจุดแข็ง และมีคาแรคเตอร์ที่ชัดเจน เราเข้าใจ และเข้าถึงตลาดของคนระยองได้เป็นอย่างดี ทำให้เป็นศูนย์การค้าเป็นศูนย์กลางของคนระยองมาตลอดระยะเวลา 27 ปี เป็น One Stop Service ที่ครบวงจร ไม่ว่าจะชิม ช้อป ชิล ครบจบในที่เดียว อีกทั้งยังตั้งอยู่ในทำเลใจกลางเมืองระยอง ทำให้เดินทางสะดวก ตอบโจทย์คนทุกกลุ่มทั้งคนระยองเอง และนักท่องเที่ยว หรือนักธุรกิจ

    ด้วยพฤติกรรมผู้บริโภคที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่สม่ำเสมอ ทำให้ปี 2566 ที่ผ่านมา ได้มีการ Remerchandising Mix ภายในศูนย์ฯ ให้สอดคล้องกับตลาด และการเติบโตของจังหวัดระยอง โดยมีร้านค้าแม็กเน็ตใหม่ กว่า 15 ร้านค้า อาทิเช่น โอ้กระจู๋ EVEANDBOY, YOU&I, WINE CONNECTION, OOTOYA, SHINKANZEN SUSHI, GA/GA, BOOST JUICE, AFTER YOU, MOLTO และ แบรนด์ล่าสุด คือ BEARHOUSE”

    passione

    แพชชั่น ระยอง ได้ทำการปรับโฉมใหม่อีกครั้งเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ด้วยงบลงทุนกว่า 600 ล้านบาท ถือเป็นการรีโนเวตครั้งใหญ่ในรอบ 9 ปี หลังจากที่ทำการเปลี่ยนชื่อศูนย์ โดยครั้งนี้เป็นการรีโนเวตบริเวณชั้น 3 ใหม่ เรียกว่าเป็นดีไซน์ใหม่ทั้งหมดให้มีความทันสมัย และเพิ่มพื้นที่สีเขียว เพิ่มจุดถ่ายรูปเช็กอินปังๆ สร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับลูกค้า 

    สำหรับพื้นที่ชั้น 3 ที่มีการรีโนเวตโฉมใหม่ จะมาในคอนเซ็ปต์ที่ต้องการเบลนด์พื้นที่ของศูนย์การค้าให้เข้ากับธรรมชาติมากขึ้น มีการออกแบบที่มีความทันสมัย เน้นความโปร่งสบาย มีพื้นที่สีเขียวให้พักผ่อนหย่อนใจทั้งโซน Co-Living Space และพื้นที่ Semi Outdoor ที่สามารถสูดความร่มรื่นได้เต็มปอด พร้อมกับ Rest Area ขนาดใหญ่

    passione

    หลังจากรีโนเวตโฉมใหม่แล้ว พื้นที่ชั้น 3 จะสามารถสร้างประสบการณ์ใหม่ที่ตอบโจทย์ได้ครบทุกกลุ่ม เป็น  Entertainment Hub และแหล่งช้อปปิ้งที่สมบูรณ์แบบที่สุดในจังหวัด ด้วยพันธมิตร 3 รายใหญ่ที่พร้อมปรับโฉมในเวอร์ชั่นใหม่เช่นกัน ได้แก่ SF Cinema โฉมใหม่พร้อมโรงภาพยนตร์ Zigma CineStadium ที่ดีที่สุดอันดับ 1 ของภูมิภาคตะวันออก  

    รวมไปถึงพื้นที่สำหรับครอบครัว อย่าง Kidzoona Let’s Play และ Giga Park สวนสนุก Indoor ขนาดกว่า 1,200 ตร.ม. พร้อมกับไฮไลต์ PASSiONE HALL พื้นที่จัดกิจกรรมที่ใหญ่และครบครันที่สุดในระยอง ด้วยพื้นที่กว่า 1,500 ตารางเมตร รองรับผู้ใช้บริการได้กว่า 2,000 คน ไม่ว่าจะเป็นงานคอนเสิร์ต งานสัมมนา งานแต่งงาน หรืองานแสดงสินค้า

    passione

    แพชชั่น ระยองได้มีการปรับเปลี่ยนตามความต้องการของผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนระยองให้ครบวงจรทั้งชิม ช้อป ชิล และความบันเทิง รวมถึงภาคธุรกิจไทยและชาวต่างชาติ ในโซนชั้น 3 ที่ทำการรีโนเวตใหม่ ได้เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา

    พร้อมกันนี้ยังมีร้านค้าอื่นๆ ที่เตรียมตบเท้าเข้ามาอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี และยังได้เตรียมเปิด Dancing Zone และ Sound Check คาราโอเกะ แบบครบวงจร ทั้ง แสง สี เสียง เพื่อรองรับความบันเทิงแก่กลุ่มวัยรุ่นชาวระยองให้ได้มากที่สุด 

    ซึ่งจะทำให้ปัจจุบัน PASSiONE Shopping Destination เป็นศูนย์ การค้าที่ครบเครื่องที่สุดในจังหวัดระยอง ด้วยพื้นที่กว่า 118,590 ตารางเมตร ครอบคลุม 3 ชั้น ด้วยแบรนด์ชั้นนำกว่า 300 ร้านค้า

    passione

    พร้อมเชื่อมต่อผนึกความแข็งแกร่งด้วยโรงแรม Holiday Inn & Suites Rayong City Centre โรงแรมระดับ 4 ดาว ความสูง 32 ชั้น แห่งเดียวในจังหวัดระยอง ตั้งอยู่ใจกลางเมืองระยอง ไม่ไกลจากนิคมอุตสาหกรรมที่สำคัญหลายแห่งของจังหวัด เช่น นิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ด และนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด เป็นศูนย์กลางแห่งอุตสาหกรรม และการท่องเที่ยวแห่งภาคตะวันออก

    เราอยู่มานาน รู้จักระยองเป็นอย่างดี ใกล้ชิดคนระยอง ทำให้มีการมอนิเตอร์อยู่ตลอด รู้ใจคนระยองว่าต้องการอะไร ทำอย่างไรให้ศูนย์การค้าโดนใจอยู่ตลอด อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญก็คือ เราเป็นความภาคภูมิใจของคนระยอง อยู่มาทุกยุคสมัย ทำให้คนระยองมาใช้ชีวิตที่นี่ได้”

    หลังจากที่ทำการปรับโฉมชั้น 3 ใหม่แล้ว ทำให้แพชชั่น ระยองมีทราฟฟิกผู้ใช้บริการเฉลี่ยวันละ 40,000 คน หรือเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 20% คาดว่าทั้งปีจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 30%

    ]]>
    1470195
    กรุงเทพประกันภัย เตรียมส่ง 5 ผลิตภัณฑ์ประกันตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ลูกค้า ตั้งเป้าเบี้ยประกันปี 2024 ที่ 32,500 ล้านบาท https://positioningmag.com/1470117 Sun, 14 Apr 2024 08:27:06 +0000 https://positioningmag.com/?p=1470117 กรุงเทพประกันภัย ประกาศแผนธุรกิจในปี 2024 โดยเตรียมส่งผล 5 ผลิตภัณฑ์ประกันตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ลูกค้า ขณะเดียวกันคาดว่าเบี้ยประกันในปีนี้จะเติบโตถึง 32,500 ล้านบาท แต่ก็ยังมองว่าการเติบโตเบี้ยประกันของบริษัทนั้นเติบโตมากกว่าตลาดในปีนี้ได้

    อภิสิทธิ์ อนันตนาถรัตน ประธานคณะผู้บริหารและกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ BKI ได้กล่าวถึงแผนธุรกิจในปีที่ผ่านมาว่าบริษัทมีเบี้ยประกันภัยรับรวมเติบโต 12.1% ถือว่าเติบโตเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรม แม้ว่าในปีที่ผ่านมาอุตสาหกรรมจะเติบโตแค่ 4.1% ก็ตาม

    ผลการดำเนินงานของกรุงเทพประกันภัยในปี 2023 ที่ผ่านมา บริษัทมีเบี้ยประกันภัยรับรวม 29,915.7 ล้านบาท และมีผลกำไรสุทธิ 3,043.8 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นกำไรสูงที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทเป็นต้นมา

    สำหรับแนวโน้มของธุรกิจประกันวินาศภัยในปี 2024 สมาคมประกันวินาศภัยไทยประเมินว่าจะมีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงเติบโต 5-6% ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตที่เพิ่มขึ้นจากปี 2023 ที่ผ่านมา

    สาเหตุสำคัญมาจากประกันภัยสุขภาพที่ยังคงเติบโตต่อเนื่อง รวมถึงประกันภัยที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางที่มีแนวโน้มขยายตัวได้ดีตามจำนวนนักท่องเที่ยวที่จะเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นักท่องเที่ยวต่างชาติ และชาวไทยที่เดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศ

    ในส่วนของประกันภัยภาคอสังหาริมทรัพย์ ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ได้เปิดโครงการที่อยู่อาศัยสำหรับกลุ่มเป้าหมายที่มีรายได้สูงมากขึ้น ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีอัตราการถูกปฏิเสธสินเชื่อน้อยกว่า ทำให้มูลค่าที่อยู่อาศัยต่อหน่วยที่เข้าสู่ระบบประกันภัยปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลบวกต่อเนื่องไปยังเบี้ยประกันอัคคีภัย แม้ว่าตลาดอสังหาฯ จะได้รับผลกระทบจากหนี้ครัวเรือนและอัตราดอกเบี้ยที่ยังคงอยู่ในระดับสูงจนส่งผลต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคก็ตาม

    ทางด้านประกันภัยรถยนต์นั้น แม้ยอดจำหน่ายรถยนต์ใหม่โดยรวมจะมีแนวโน้มหดตัวลงต่อเนื่องจากปีที่แล้ว แต่ในส่วนของรถยนต์ไฟฟ้า (EV) คาดว่าจะยังคงเติบโตอย่างก้าวกระโดด ซึ่งรถยนต์ EV มีอัตราเบี้ยประกันภัยโดยเฉลี่ยที่สูงกว่ารถยนต์ใช้เชื้อเพลิง ส่งผลให้ปริมาณเบี้ยประกันภัยรถยนต์โดยรวมน่าจะยังคงเติบโตได้ อย่างไรก็ดีผู้บริหารสูงสุดของ BKI กล่าวว่าเบี้ยประกันภัย EV ของบริษัทยังถือว่าสูงเมื่อเทียบกับเจ้าอื่นๆ

    ขณะที่การเติบโตของเบี้ยประกันภัยของกรุงเทพประกันชีวิตนั้นคาดว่าจะเติบโตได้ 8% ในปีนี้ ประธานคณะผู้บริหารของ BKI ชี้ว่าบริษัทจะต้องคิดเรื่องเติบโตควบคู่กับความสามารถในการทำประกันภัยด้วย และมองว่าเป้าตัวเลขดังกล่าวถือว่าเติบโตพอประมาณ

    โดยบริษัทเตรียมที่จะส่งประกันภัย 5 รูปแบบออกสู่ท้องตลาด ได้แก่

    1. ประกันภัยรถยนต์ ประเภท 1 อุ่นใจวัยเก๋า โดยบริษัทฯ ได้พัฒนาแผนประกันภัยรถยนต์ ประเภท 1 อุ่นใจวัยเก๋า เพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าวัย 55 – 75 ปี ที่ชื่นชอบขับรถด้วยตนเอง นอกจากจะได้รับความคุ้มครองประกันภัยรถยนต์ประเภท 1 แล้ว ยังเพิ่มเติมความคุ้มครองอื่นๆ เช่น เงินชดเชยในกรณีทำกายภาพบำบัด ฯลฯ
    2. ประกันภัยรถยนต์ ประเภท 1 เพิ่มความคุ้มครองสัตว์เลี้ยง (สุนัขและแมว) โดยไม่เพิ่มเบี้ยประกันภัย บริษัทได้เห็นเทรนด์การเลี้ยงสัตว์เลี้ยงเพิ่มมากขึ้น เสมือนเป็นหนึ่งในสมาชิกของครอบครัวที่ต้องทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกันมากขึ้น โดยจะมีความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลของสัตว์เลี้ยง (สุนัขและแมว) ที่อยู่ภายในรถยนต์เมื่อเกิดอุบัติเหตุจากการชน 10,000 บาท/ตัว/ครั้ง และกรณีเสียชีวิตจะได้รับความคุ้มครอง 10,000 บาท/ตัว/ครั้ง
    3. ประกันภัยสุขภาพ (เพิ่มความคุ้มครองจิตเวช) ประกันดังกล่าวจะมีการเพิ่มความคุ้มครอง เช่น การตรวจรักษาอาการหรือโรคที่เกี่ยวเนื่องกับภาวะทางจิตใจ โดยมีแผนประกันที่เหมาะกับความต้องการลูกค้าแต่ละราย โดย ประธานคณะผู้บริหารของ BKI ชี้ว่าปัญหาซึมเศร้าเป็นปัญหาระดับชาติ ส่งผลต่อบุคลากรของประเทศไม่น้อย
    4. ประกันภัยสุขภาพ ผ่าน Telemedicine ในแผนประกันภัยสุขภาพดังกล่าวจะเป็นการปรึกษาแพทย์ทางออนไลน์ ผ่านแอปพลิเคชัน Clicknic ที่รองรับถึง 55 อาการของโรคที่สามารถรับคำปรึกษาจากแพทย์ทางไกลได้ เช่น ปวดท้อง ท้องเสีย มีไข้ เจ็บคอ ผื่นคัน ตาเจ็บ ฯลฯ พร้อมช่วยลดความกังวลด้วยบริการจัดส่งยาให้ถึงบ้านภายใน 1 ชั่วโมงสำหรับในเขตกรุงเทพฯ และจะรองรับถึงอาการหรือโรคที่เกี่ยวเนื่องกับภาวะทางจิตใจในภายหลังด้วย
    5. ประกันภัยสำหรับคอนโด บริษัทได้มองเห็นโอกาสเนื่องจากผู้คนอยู่อาศัยภายในคอนโดมิเนียมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ บริษัทฯ จึงได้พัฒนาแผนประกันภัยสำหรับคอนโดให้ความคุ้มครองความเสียหายต่อทรัพย์สินภายในคอนโดมิเนียมอันมีสาเหตุจากไฟไหม้ ฟ้าผ่า ระเบิด ภัยเนื่องจากน้ำ ภัยจากลมพายุ ลูกเห็บ หรือน้ำท่วม รวมถึงคุ้มครองความสูญเสียหรือความเสียหายต่อ เครื่องใช้ไฟฟ้าที่เกิดเหตุภายในคอนโดมิเนียม และยังครอบคลุมถึง ความรับผิดตามกฎหมายต่อบุคคลภายนอก เช่น กรณีน้ำรั่วซึมไปยังห้องอื่นๆ จนเกิดความเสียหาย ฯลฯ

    อภิสิทธิ์ ได้กล่าวว่าผลิตภัณฑ์ประกันข้างต้นที่จะมีการเปิดตัวในปีนี้นั้นได้พัฒนาจากปัญหาที่เกิดขึ้นของลูกค้าที่มีไลฟ์สไตล์เปลี่ยนไป ขณะเดียวกันในกรณีของธุรกิจประกันภัยนั้นจะมองแต่เรื่องกำไรอย่างเดียวไม่ได้ เพราะความเสี่ยงนั้นเกิดเมื่อไหร่ก็ได้

    สำหรับการปรับโครงสร้างบริษัทไปเป็น ‘โฮลดิ้ง คอมพานี’ นั้นเขามองว่าการขยายไปยังธุรกิจอื่นๆ เพื่อกระจายความเสี่ยง และดูว่าลงทุนอะไรนั้นคุ้มค่าหรือไม่

    เป้าหมายการเติบโตในปี 2024 นี้กรุงเทพประกันภัยวางเป้าเบี้ยประกันอยู่ที่ 32,500 ล้านบาท

    ]]>
    1470117
    SHOUT Together เปิดตัวแพลตฟอร์ม ‘อินฟลู-คอมเมิร์ช’ ครบวงจร มองตลาด Affiliate ยังโตต่อเนื่อง ตั้งเป้า GMV 100 ล้านภายในปีนี้ https://positioningmag.com/1469787 Fri, 12 Apr 2024 09:27:16 +0000 https://positioningmag.com/?p=1469787 เชาท์ ทูเกทเตอร์ (SHOUT Together) เปิดตัว ‘SHOUT’ แพลตฟอร์ม ‘อินฟลู-คอมเมิร์ช’ ครบวงจร โดยชูจุดเด่นในการลดต้นทุนของเอเจนซี่หรือแบรนด์ต่างๆ ในการจ้าง Influencer หรือทำแคมเปญด้านการตลาด เนื่องจากในปัจจุบันตลาด Affiliate ยังโตต่อเนื่อง

    บริษัท เชาท์ ทูเกทเตอร์ จำกัด (SHOUT Together) ประกาศเปิดตัวแพลตฟอร์ม ‘SHOUT’ ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มด้าน ‘อินฟลู-คอมเมิร์ช’ โดยเจาะลูกค้าไม่ว่าจะเป็นเอเจนซี่ หรือแบรนด์ต่างๆ ที่ต้องการหาอินฟลูเอนเซอร์ โดยมองถึงตลาด Affiliate Marketing ยังเติบโตต่อเนื่องในประเทศไทย

    จิรพัฒน์ บุณยะเวชชีวิน Co-founder และ CEO ผู้บริหารของ SHOUT Together ได้กล่าวถึงประสบการณ์ในการทำงานของตัวเขาในสายงานเอเจนซี่ และพบว่าตลาดไลฟ์ขายสินค้านั้นเติบโตมากขึ้น รวมถึงช่องทางที่อาศัยอินฟลูเอนเซอร์ (Influencer) หรือ Key Opinion Leader (KOL) ในการช่วยทำการตลาด หรือที่เรารู้จักกันดีอย่าง Affiliate Marketing นั้นก็กำลังเติบโตอย่างมาก

    CEO ของ SHOUT Together ยังชี้ว่าตลาดของ Affiliate Marketing นั้นจะมีขนาดใหญ่กว่าตลาดของ Influencer ถึง 20 เท่า

    นอกจากนี้เขายังกล่าวว่าลูกค้าที่เป็นแบรนด์ต่างๆ เองนั้นพบกับ 3 ปัญหาใหญ่ ได้แก่ การใช้ Influencer ผิดคน ซึ่งทำให้ไม่ตรงเป้าหมายของลูกค้า ขณะเดียวกันการใช้ Influencer เองนั้นมีค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกันไป อาจทำไปแล้วไม่คุ้มกับการลงทุน รวมถึงการทำแคมเปญการตลาดนั้นมีต้นทุน และอาจมีความเสี่ยงในเรื่องความคุ้มค่าของค่าใช้จ่ายที่ใช้จ่ายลงไป

    สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้จิรพัฒน์และทีมงานได้พัฒนาแพลตฟอร์ม ‘SHOUT’ ขึ้นมาเพื่อที่จะตอบโจทย์ดังกล่าว ซึ่งบริษัทได้รับเม็ดเงินลงทุนเริ่มต้นจาก PinPung รวมถึงนักลงทุนรายอื่นๆ ในปี 2023 ที่ผ่านมาเป็นเงิน 5 ล้านบาท

    เขาได้กล่าวเสริมว่า “ปัจจุบันเทคโนโลยีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Data หรือ Automated Platform สามารถทำให้การทำ Influencer Campaign ต่างๆ สามารถทำได้สะดวก รวดเร็วและตอบโจทย์ธุรกิจได้แม่นยำขึ้น ทั้งจากการใช้ข้อมูลต่างๆ มาคัดเลือกอินฟลูฯ ที่ตรงโจทย์ในราคาที่เหมาะสม สามารถจัดการแคมเปญ ตรวจสอบสถานะการทำงาน อินฟลูฯ อัตโนมัติ และวัดผลยอดขายได้อย่างเป็นระบบ มีรายงานที่สวยงามพร้อมใช้งานในการประเมินผลลัพธ์”

    จิรพัฒน์ บุณยะเวชชีวิน – Co-founder และ CEO ผู้บริหาร บริษัท เชาท์ ทูเกทเตอร์ จำกัด / ภาพจากบริษัท

    สำหรับขั้นตอนในการใช้งานแพลตฟอร์ม SHOUT สำหรับแบรนด์หรือเอเจนซี่ ประกอบไปด้วย

    • สร้างบัญชีผู้ใช้งานนักการตลาด และเข้าสู่ระบบ
    • สร้างแคมเปญ และเลือก Social Media และ Scope งานที่ต้องการทำแคมเปญ เช่น Instagram Reels, Facebook Photo Album, YouTube Tie-in, X (Twitter) Album Post / TikTok Video เป็นต้น
    • ระบุสินค้าหรือบริการที่ต้องการโปรโมต พร้อมช่องทางการขาย และ ค่าตอบแทนที่ต้องการให้อินฟลูฯ
    • เลือกอินฟลูฯ ที่ต้องการ โดยในแพลตฟอร์มสามารถเลือกดูข้อมูลต่างๆ รวมถึงราคา นอกจากนี้ยังสามารถเจรจาต่อรองราคาอินฟลูฯ ได้
    • ระบุรายละเอียดการทำงานแลระยะเวลาทำแคมเปญ
    • เริ่มต้นแคมเปญ จัดการ ตรวจงานอินฟลูฯ ผ่านแพลตฟอร์ม
    • ตรวจสอบผลลัพธ์ด้วยข้อมูลเชิงลึกด้านการตลาดและยอดขาย

    นอกจากนี้ จิรพัฒน์ ยังชี้ว่าแพลตฟอร์ม SHOUT ยังช่วยให้แบรนด์หรือเอเจนซี่ประหยัดต้นทุนได้ถึง 60% โดยเขายกตัวอย่าง ไม่ว่าจะเป็นไม่ต้องติดต่อผ่านโทรศัพท์บ่อยๆ ฯลฯ และลดระยะเวลาการทำงานได้ถึง 95% เช่น เวลาในการทำเอกสาร หรือการโอนเงิน ฯลฯ

    จิรพัฒน์ ยังมองว่าการใช้ KOL เป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญการตลาดนั้นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับแบรนด์ต่างๆ แล้ว และตอนนี้มี Influencer เกิดใหม่เรื่อยๆ สิ่งที่สำคัญสุดคือแบรนด์ต้องการอะไร เป้าหมายคืออะไร แล้วต้องมาดู Influencer ว่าตรงกับเป้าหมายหรือไม่ แล้วก็ต้องดูถึงความครีเอทีฟของ Influencer ว่าจะทำยังไง

    นอกจากนี้เขามองว่าเทรนด์ Influencer จะร่วมทำงานกัน ทั้งในไทยหรือแม้แต่ไทยต่างประเทศ โดยเขายกตัวอย่างกรณีของ แน็ก ชาลี ไตรรัตน์ กับ กามิน ซึ่งเป็น Influencer ชาวเกาหลี หรือกรณีที่แร็ปเปอร์ชาวไทย มาจับมือกับ แร็ปเปอร์ต่างชาติ เป็นต้น

    ผู้บริหารสูงสุดของ SHOUT Together ยังมองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นทำให้วิธีทำแคมเปญการตลาดของแบรนด์ต่างๆ จะต้องคิดมากขึ้น

    ขณะเดียวกันตลาด Affiliate Marketing ที่เติบโตมากขึ้น ทำให้ค่าคอมมิชชั่นถือว่ามีสำคัญ เขายังมองว่าบางแบรนด์อาจเจรจาในเรื่องสัดส่วนคอมมิชชั่น และมองว่าแผนการตลาดหรือการทำแคมเปญจะเป็นระยะยาวมากขึ้นได้ อาจไม่ใช่แคมเปญที่ทำครั้งเดียวแล้วจบ ซึ่ง Influencer นั้นจะมีรายได้เพิ่มขึ้น ขณะที่แบรนด์ก็จะมียอดขายเพิ่มขึ้น

    โมเดลรายได้ของ SHOUT หลังจากนี้นั้น จิรพัฒน์ กล่าวว่าจะเก็บค่าคอมมิชชั่นราวๆ 15% ปัจจุบันมี Influencer อยู่ในแพลตฟอร์มราวๆ 8,000 คน และเขามองว่าการสร้างแพลตฟอร์มของบริษัทขึ้นมาไม่ได้เป็นคู่แข่งกับเอเจนซี่ แต่เป็นเหมือนระบบหลังบ้านที่ทำให้เอเจนซี่หรือแบรนด์ต่างๆ ทำงานได้ง่ายขึ้น

    สำหรับเป้าหมายของ SHOUT Together นั้น CEO รายดังกล่าวได้กล่าวว่า ตอนนี้เริ่มรุกตลาดจริงจัง ตั้งเป้าว่าภายในปี 2024 นี้บริษัทจะมียอดขายสินค้าออนไลน์รวม หรือ GMV ที่ 100 ล้านบาท และมี Influencer บนแพลตฟอร์ม 20,000 ราย และถ้าหากมีการระดมทุนในรอบถัดไปเขาคาดหวังว่ามูลค่าบริษัท 300-500 ล้านบาท

    ]]>
    1469787
    มอง ‘ธุรกิจการแพทย์ความงาม’ 7 หมื่นล้าน ที่กำลังกลายเป็นสมรภูมิของผู้เล่น ‘เจ้าใหญ่’ เต็มตัว https://positioningmag.com/1470057 Fri, 12 Apr 2024 06:11:33 +0000 https://positioningmag.com/?p=1470057 ต้องยอมรับว่ายุคนี้ผู้บริโภคจะเปิดกว้างมากขึ้นต่อการทำศัลยกรรมและเสริมความงาม ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่ประเทศไทยเป็น 1 ในประเทศที่มีการเสริมความงามมากที่สุดในปี 2563 และภาพรวมของอุตสาหกรรมเสริมความงามในประเทศนั้นพบว่ามีการเติบโตขึ้นทุก ๆ ปี

    ตลาด 7 หมื่นล้าน โตเฉลี่ยเกือบ 10%

    จากการศึกษาของ Grand View Research พบว่า ระหว่างปี 2565-2573 จะมีการเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปี (CAGR) ร้อยละ 9.70% โดยในปี 2566 มีมูลค่า 6.4 หมื่นล้านบาท และปี 2567 จะมีมูลค่า 7 หมื่นล้านบาท โดยคาดการณ์จนถึงปี 2573 จะมีมูลค่าเพิ่มเป็น 1.2 แสนล้านบาท

    อย่างไรก็ตาม ตลาดในปัจจุบันเป็นตลาดที่ผู้เล่น รายเล็ก อยู่ยาก (มี 1-3 สาขา) เพราะลูกค้าจะมองที่ แบรนด์ เป็นหลัก เนื่องจากต้องการ ความเชื่อถือ ซึ่งผู้เล่นรายใหญ่ (มีมากกว่า 10 สาขาขึ้นไป) นั้นมีเงินลงทุนมากกว่า มีความน่าเชื่อถือ ซึ่งผู้บริโภคยินดีที่จะจ่ายแพงขึ้นเพื่อแลกกับความสบายใจ ทำให้ต่อไปตลาดจะเป็นของเจ้าใหญ่มากขึ้น

    ปัจจุบัน คลินิกความงามคาดว่ามีประมาณ 5 พันแห่ง ทั่วประเทศไทย แบ่งเป็นกลุ่มไฮเอนด์ พรีเมียม และแมส โดยหากวัดจากราคาและนวัตกรรมที่ใช้ กลุ่มที่ใหญ่ที่สุดคือ พรีเมียมแมส และแมส เป็นหลัก

    “ธุรกิจนี้ไม่ได้เข้ามาง่าย มันมีกำแพงในการเข้ามาระดับหนึ่ง อย่างน้อยต้องมีแพทย์ มีนวัตกรรมที่ดี แน่นอนว่ามีกลุ่มลูกค้าที่มองเรื่องราคา แต่มีลูกค้าที่ยอมจ่ายแพงขึ้น 20% แลกความน่าเชื่อถือ” นายแพทย์อภิรุจ ทองวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เดอะคลีนิกค์ คลินิกเวชกรรม จำกัด (มหาชน) อธิบาย

    คลินิกในต่างจังหวัดกำลังเติบโต

    ในส่วนของตลาดต่างจังหวัด ปัจจุบันมีโอกาสมากขึ้น เพราะมีความ เป็นคนเมืองมากขึ้น เนื่องจากการมาของโซเชียลมีเดีย นอกจากนี้ กำลังซื้อก็ใกล้เคียงกับคนกรุงเทพฯ ทำให้ปัจจุบันเซอร์วิสของคลินิกมีความใกล้เคียงกับกรุงเทพฯ ดังนั้น การขยายสาขาของ เดอะคลีนิกค์ จะแบ่งเป็นกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดอย่างละครึ่ง โดยปีนี้คาดว่าจะขยายสาขารวม 15-20 สาขา ใช้งบลงทุน 300 ล้านบาท เฉลี่ย 25-30 ล้านบาทต่อสาขา

    อย่างไรก็ตาม แบรนด์ที่จะขยายไปต่างจังหวัดจะต้องมีความแข็งแรง น่าเชื่อถือ อีกทั้งต้องคุมคุณภาพให้ได้ ดังนั้น นี่จึงเป็นความท้าทายของการขยายธุรกิจไปต่างจังหวัด

    “ถ้าขยายไปต่างจังหวัดได้ แบรนด์ก็จะยิ่งเป็นที่รู้จัก นอกจากนี้ การขยายไปต่างจังหวัดยังดีกับธุรกิจศัลยกรรม เพราะลูกค้าสามารถไปรับการดูแลที่สาขาใกล้บ้านได้ ไม่ต้องมาอยู่กรุงเทพฯ”

     

    เทรนด์ปีนี้เน้นสวยแบบธรรมชาติ

    ปัจจุบัน ลูกค้าที่ใช้บริการราว 75% เป็นเพศหญิง อีก 25% เป็นเพศชาย จากในอดีตกว่า 90% เป็นเพศพญิง แสดงให้เห็นว่าผู้ชายก็หันมาใช้บริการเสริมความงามมากขึ้น นอกจากนี้ กลุ่มลูกค้าที่ใช้บริการยัง เด็กลงเรื่อย ๆ 

    ขณะที่เทรนด์ตลาดความงามในปีนี้ ในส่วนของการดูแลผิวจะเน้นให้เหมือนดูแลจากภายใน จากเมื่อก่อนฉีดโบท็อกซ์, ฉีดฟีลเลอร์ แต่ตอนนี้เน้นฟื้นฟูจากภายใน และไม่ต้องการให้เปลี่ยนแปลงเยอะจนดูไม่เหมือนเดิม

    “คนต้องการอะไรเป็นธรรมชาติมากขึ้น ไม่ได้ปากฉ่ำแบบดาราฮอลลีวูด ไม่ได้ตะโกนว่าทำมา”

    ปักเป้า 3,000 ล้าน เติบโตเหนือตลาด

    ในปีที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้รวม 2,285 ล้านบาท เติบโต 39% สำหรับปีนี้ตั้งเป้าหมายรายได้ 3,000 ล้านบาท โดยนอกเหนือจากการขยายสาขาเพิ่มแล้ว บริษัทได้วางงบลงทุนอีก 200 ล้านบาท เพื่อซื้อเครื่องมือใหม่ ๆ และเน้นการเข้าถึงลูกค้าแบบ Omnichannel สร้างการรับรู้แบรนด์และ Engagement กับลูกค้า ทั้งไทยและต่างชาติ โดยเฉพาะ จีน และประเทศเพื่อนบ้าน ที่เป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง

    “เรามีสัดส่วนลูกค้าคนไทยประมาณ 90% ต่างชาติ 10% ซึ่งลูกค้าจีนและ CLMV จะชอบมาที่ไทยมากกว่าไปประเทศอื่น ๆ เช่น การดูแลผิวประเทศไทยจะเน้นใช้เทคโนโลยีจากอเมริกากับยุโรป ส่วนเกาหลีจะเน้นจับตลาดบนมาก ราคาต่างจากไทยเท่าตัว”

    ปัจจุบัน เดอะคลีนิกค์มีสาขารวมทั้งหมดกว่า 60 สาขา ทั่วประเทศ แบ่งเป็น 5 แบรนด์ ได้แก่

    • THE KLINIQUE: จับกลุ่มลูกค้า Gen X หรือกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงในระดับ Luxury และ Hi-End
    • L.A.B.X: จับลูกค้ากลุ่มพรีเมืยม
    • L’Clinic: จับกลุ่มลูกค้าอายุน้อยในระดับพรีเมียม แมส
    • THE KLINIQUE SURGERY CENTER: ให้บริการด้านศัลยกรรมเฉพาะทาง 
    • KLINIQ Wellness Spa: ให้บริการด้านเวลเนส ซึ่งถือเป็น Mega Trend สำคัญตอบโจทย์กลุ่มสังคมผู้สูงอายุ ที่ต้องการมีชีวิตยืนยาว อย่างมีสุขภาพดี

    เรามีฐานลูกค้ารวมกว่า 2-3 แสนราย และ 70% เป็นลูกค้าเก่า สะท้อนให้เห็นว่าเขามั่นใจกับแบรนด์ของเรา ซึ่งเราเชื่อว่าเรายังมีโอกาสขึ้นเป็นเบอร์ 1 ในตลาด ด้วยส่วนแบ่งตลาด 5% ภายใน 5 ปี”  นายแพทย์อภิรุจ ทิ้งท้าย

    ]]>
    1470057