Strategic Move – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 04 Dec 2025 10:46:26 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ไทย ลุยดึง “นักท่องเที่ยวจีน“ ตั้งเป้า 2 ล้านคน ช่วงไฮซีซั่นปลายปี https://positioningmag.com/1550346 Thu, 04 Dec 2025 10:46:00 +0000 https://positioningmag.com/?p=1550346 อรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า ปัจจุบันกระทรวงฯ ได้เปิดเกมรุก “Quick Win” หวังพลิกภาพการท่องเที่ยวไทยช่วงไฮซีซั่น

โดยตั้งเป้าดึงนักท่องเที่ยวจีนกลับมาอย่างน้อย 2 ล้านคนใน 3 เดือน พร้อมเปิด “เส้นทางท่องเที่ยววิถีใหม่” เพื่อชิงกระแสจากพฤติกรรมนักท่องเที่ยวจีนที่เปลี่ยนไปหลังโควิด

จับ 6 เทรนด์ท่องเที่ยวคนจีน

ทั้งนี้ กระทรวงท่องเที่ยวฯ จับเทรนด์นักท่องเที่ยวจีนรุ่นใหม่ที่ต้องการประสบการณ์มากกว่าการช้อปปิ้งแบบเดิม โดยแตกไลน์เป็น 6 กลุ่มใหญ่ ได้แก่

1. สำรวจเส้นทางวัฒนธรรม: เน้นการเที่ยวชุมชน วัดวาอาราม เพื่อสัมผัสเสน่ห์ดั้งเดิมของไทย

2. กินดื่มเที่ยวชิล ๆ: ปักหมุดร้านอาหารท้องถิ่น สร้างโอกาสให้ชุมชนเข้าถึงกลุ่มนักท่องเที่ยว

3. การท่องเที่ยวเชิงกิจกรรมกีฬา: เช่น ปีนผา, ขี่จักรยาน, และการเรียนรู้ศิลปะป้องกันตัว อย่าง มวยไทย

4. ชมเส้นทางชมธรรมชาติ: นำเสนอแหล่งท่องเที่ยว Unseen เช่น ทะเลหมอกในพะเยา, แพะเมืองผี (แกรนแคนยอนเมืองไทย)

5. นำเที่ยวแบบครอบครัว: ออกแบบกิจกรรมที่หลากหลาย ปลอดภัย และได้ความรู้สำหรับทุกวัยในครอบครัว

6. โรดทริป (Road Trip): เจาะกลุ่มนักขับรถด้วยเส้นทางเชื่อมต่อ ไทย-จีน-ลาว ที่ปลอดภัยและได้รับความนิยม

อรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา

กลยุทธ์การสื่อสารรูปแบบใหม่: สร้างกระแสผ่าน Super App และคอนเทนต์คุณภาพ

แผน Quick Win เน้นการใช้การสื่อสารที่ทันสมัยและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างชัดเจน โดยร่วมมือกับแพลตฟอร์มชั้นนำของจีน อาทิ

  • Dianping/Meituan : ปักหมุดร้าน-สถานที่เที่ยวให้ติดอันดับค้นหา
  • Xiaohongshu : ใช้ Influencer + แฮชแท็ก #泰好了放假游 เพื่อปลุกภาพลักษณ์ “ไทย = เที่ยวง่าย ปลอดภัย ถ่ายรูปสวย”
  • WeTV : เปิดพื้นที่ให้รายการจีนที่มาถ่ายในไทย หวังปั่นยอดเข้าถึงหลักร้อยล้านวิว

ทั้งหมดคือกลยุทธ์ตีตลาด “Generation Z และ Young Travelers” ของจีน ซึ่งกลุ่มนี้ตัดสินใจจากคอนเทนต์สั้น + รีวิวบนโซเชียลเป็นหลัก

เซ็น MOU กับ 2 มณฑล 6 เมืองของจีน

ขณะเดียวกัน ไทยจับมือเซ็น MOU กับ 2 มณฑล รวม 6 เมืองเที่ยวตัวท็อปของจีนอย่าง ซานย่า ไหโข่ว หนานจิง ซูโจว และหางโจว

เพื่อเปิดเส้นทางแลกเปลี่ยนนักท่องเที่ยวโดยตรง แบบไม่ต้องรอแคมเปญใหญ่จากส่วนกลาง เป็นการเจาะตลาดแบบ “เมืองถึงเมือง” ซึ่งมาแรงมากในจีนตอนนี้

ปิดจุดอ่อน ไทยทำ Green Zones ย้ำความปลอดภัย

ทั้งนี้ ที่ผ่านมาไทยรู้ดีว่าความกังวลเรื่อง “ความปลอดภัย” เป็น Pain Point อันดับหนึ่งของนักท่องเที่ยวจีน จึงทำระบบ SOS แจ้งเหตุฉุกเฉินแบบเรียลไทม์ ร่วมกับแพลตฟอร์ม Wei! Taiguo

  • แจ้งเหตุได้จากมือถือ
  • ดูสถานะความช่วยเหลือได้ทันที
  • เริ่มใช้ใน 27 เมืองท่องเที่ยวหลัก

“การดำเนินการทั้งหมดนี้ มีเป้าหมายสูงสุดคือการสร้างแคมเปญสื่อสารคุณภาพ ที่จะดึงเสน่ห์ดั้งเดิมของไทย ทั้งความงดงาม รอยยิ้ม น้ำใจ และการต้อนรับแบบไทย กลับคืนสู่สายตานักท่องเที่ยวชาวจีน และบรรลุเป้าหมาย 2 ล้านคน ตามที่ตั้งไว้”

]]>
1550346
กู้ไม่ผ่าน ทำอสังหา ปี 69 เข้าสู่ “ยุคทองการเช่า” เสนาฯ ลุยเพิ่มพอร์ตเช่า 2 พันยูนิต https://positioningmag.com/1550297 Thu, 04 Dec 2025 09:27:11 +0000 https://positioningmag.com/?p=1550297 รีเจ็กต์เรตที่อยู่อาศัยพุ่ง 50-80%

ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA เปิดเผยว่า ปี 2568 ตลาดอสังหาริมทรัพย์เผชิญความท้าทายสูงจากแผ่นดินไหว และกำลังซื้อหดตัวจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว และหนี้ครัวเรือนสูง ซึ่งยังไม่รวมถึงหนี้นอกระบบ

ส่งผลให้ อัตราปฏิเสธสินเชื่อ (รีเจ็กต์ เรต) กลุ่มที่อยู่อาศัยของเสนาฯ เพิ่มขึ้น ดังนี้

  • คอนโดมิเนียม (แบบพร้อมอยู่) รีเจ็กต์ เรต 50%
  • โครงการแนวราบ อาทิ ทาวน์เฮ้าส์ ระดับราคา 2.5 ล้านบาท ทำเลบางใหญ่ นนทบุรี รีเจ็กต์ เรต ทะลุ 80%

“พิษหนี้ครัวเรือนและหนี้นอกระบบ กดดันลิมิตการใช้จ่ายผู้บริโภคอย่างหนัก แม้ลดราคาสินค้าบ้าน-คอนโดลง 10% ยังช่วยกระตุ้นยอดขายไม่ได้เลย ถ้าสุดท้ายไม่มี Consumer spending”

ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA

ปีทองแห่งการเช่า เสนา จ่อเพิ่มพอร์ตฯ 30 โครงการ 2 พันยูนิต

จากปัจจัยข้างต้น สร้างอานิสงส์ให้ ‘ตลาดเช่า’ สะท้อนจาก ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เสนาฯ ทำโครงการ เช่าออมบ้าน หรือ LivNext ช่วยผู้ซื้อปรับโครงสร้างทางการเงิน ผ่านการผ่อนตรงกับบริษัทฯ และเมื่อสร้างเครดิตทางการเงินได้แล้ว (ภายใน 3 ปี) จึงสามารถกู้ซื้อบ้านได้

โดยเงินที่เช่ากับเสนา สามารถนำมาหักเป็นค่าบ้านได้ทั้งหมด (ยกเว้นเงินค่าดอกเบี้ยที่เสีย 1.8%) เช่น บ้านราคา 1 ล้านบาท ผ่อนกับเสนา 5,000 บาท/เดือน รวมเป็น 60,000 บาท/ปี เมื่อถึงเวลากู้ธนาคารก็จะใช้งบเพียง 940,000 บาท เป็นต้น

ปัจจุบันมีผู้เข้าร่วมโครงการเช่าออมบ้านกว่า 1,000 ยูนิต ช่วยเพิ่มยอดขาย คล้าย ๆ แบคลอคในอนาคตให้บริษัทกว่า 2,300 ล้านบาท (รอลูกค้ากู้ผ่านใน 3 ปี) ขณะเดียวกันดึงกระแสเงินสดจากการเช่าได้ 80-100 ล้านบาท

“ตอนนี้เช่าออมบ้านไม่ถึง 3 ปี มีลูกค้าออกจากโครงการ เพราะสามารถกู้ธนาคารได้แล้วราว 100 ยูนิต ดังนั้น โมเดลนี้จึงไม่ใช่แค่การขายบ้าน แต่เป็นทางออกใหม่ของตลาด Real Demand ในยุคที่ราคาทรัพย์และรายได้ประชาชนสวนทางกัน”

RentNext มาแรง ปล่อยเช่าได้ 70-80 ยูนิต/เดือน

นอกจากพอร์ตเช่าออมบ้านแล้ว เสนาได้ทำผลิตภัณฑ์ RentNext ขึ้นมา สำหรับปล่อยเช่าโดยเฉพาะ

แต่อนาคตหากลูกค้าอยากเป็นเจ้าของห้องที่เช่าขึ้นมา สามารถเปลี่ยนสัญญาเป็นซื้อได้ และเงินที่เช่าก็หักเป็นเงินต้นคอนโดได้ทั้งหมด ยกเว้นเปลี่ยนห้องไปยังโครงการอื่น ๆ ของเสนา จะถูกหักค่าเช่า 50% ที่เหลือสามารถนำไปเป็นเงินต้นได้เช่นกัน

“ปี 2568 เสนาตั้งเป้ายอดขาย 10,000 ล้านบาท ยอดโอนกรรมสิทธิ์ 4,000-5,000 ล้านบาท ไม่รวมพอร์ตเช่าออมบ้านที่เปรียบเสมือนแบคลอคลอย ๆ อีก 2,000 ล้านบาท”

ขณะที่ ปี 2569 เสนามองว่าจะเป็น ‘ยุคทองแห่งการเช่า’ ซึ่งตลาดที่อยู่อาศัยให้เช่าใน กทม. แพงสุดในโลก สูงกว่าฮ่องกง *เมื่อคำนวณค่าเช่าเทียบกับรายได้ประชากร และตลาดยังคงขยายตัวทำให้มีความน่าสนใจมาก

ทำให้ในปีหน้า บริษัทฯ เตรียมขยายโครงการบ้านและคอนโดที่เข้าร่วมกับ LivNext และ RentNext 30 โครงการ เพิ่มขึ้น 2,000-3,000 ยูนิต จากปัจจุบันมีอยู่ 25 โครงการ ประมาณ 2,000 ยูนิต ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มราคา 2 ล้านบาท

ทำเลที่ไปได้ดี คือ บางนา พระรามเก้า และรังสิต มีราคาเช่าตั้งแต่ 3,000-10,000 บาท/เดือน คิดเป็นยีลด์ 7% ต่อปี และหากคิดเป็นกำไรขั้นต้นจากการเช่าจะอยู่ที่ 15% สูงกว่าการขายที่อยู่อาศัย

เสนา คอนโด

ชะลอลงทุนใหม่ โฟกัสพอร์ตฯ Affordable

สำหรับปี 2569 เสนายังไม่มีแผนลงทุนใหม่ เพื่อรอให้ซัพพลายในตลาดอสังหาเข้าสู่การฟื้นตัว แต่ยังมีแผนเปิดตัวโครงการเดิมที่เลื่อนไปจากปี 2568 ประมาณ 5 โครงการ โดยยังคงเน้นพอร์ต Affordable ราคา 1-2.5 ล้านบาท/ยูนิต ที่เสนาเป็นเจ้าตลาดครองมาร์เก็ตแชร์กว่า 21%

ทั้งนี้ ปัจจุบันเสนาฯ มีโครงการในมือรวมอยู่ระหว่างสร้างและสร้างเสร็จพร้อมอยู่ (Inventory Supply) ประมาณ 10,000 ยูนิต มูลค่ารวม 20,000 – 30,000 ล้านบาท

ส่วนโครงการพร้อมอยู่มีจำนวน 5,000 ยูนิต มูลค่า 10,000 ล้านบาท เป็นโครงการแนวราบ 20% และแนวสูง 80% ซึ่งเสนาฯ จะโฟกัสโครงการที่มีอยู่เสียก่อน โดยอาจพัฒนาใหม่ อาทิ ปรับแปลนห้องให้ดีขึ้น หรือเปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์ให้ตอบโจทย์ลูกค้ามากขึ้น

“เรามองว่า ‘ยุคทองอสังหาฯ จบลงแล้ว’ ตลาดเข้าสู่เฟสเติบโตเชิงประสิทธิภาพ ไม่ใช่เชิงปริมาณ แต่ทุกไซเคิลย่อมมีขาขึ้น เมื่อเศรษฐกิจกลับมาดี และซัพพลายยังจำกัดแบบปัจจุบัน การดีดตัวรอบใหม่จะชัดเจนยิ่งกว่าเดิม ปัจจุบันแม้ยอดโอนลด แต่กำไรยังคงมี จากการบริหารสต็อกและต้นทุนอย่างรัดกุม”

]]>
1550297
‘เจ้านาง’ รีแบรนด์ใหญ่เจาะ Gen Z ตั้งเป้า 3 ปี รายได้แตะ 1 พันล้านบาท https://positioningmag.com/1550307 Tue, 02 Dec 2025 10:00:08 +0000 https://positioningmag.com/?p=1550307 สิทธา สมควรดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ้านาง (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันข้อมูลจาก Custom Market Insight พบว่า ตลาดความงามไทย มีมูลค่า 170,000 ล้านบาท เติบโตเฉลี่ยปีละ 5% แบ่งออกเป็น

  • ตลาดสกินแคร์ 120,000 – 130,000 ล้านบาท
  • ตลาดคอสเมติก 40,000 – 50,000 ล้านบาท

โดยทั้ง 2 กลุ่มหลัก มีโอกาสขยายตัวอีกมาก จากดีมานด์ความต้องการเครื่องสำอางและสกินแคร์สูงขึ้น

ขณะที่ จำนวนผู้เล่นในตลาด ก็เพิ่มขึ้น 16.9% ต่อปี ผลักดัน “การแข่งขัน“ ในตลาดความงามดุเดือดขึ้น ส่งผลให้แบรนด์ ”เจ้านาง“ ต้องปรับยุทธศาสตร์การตลาดครั้งใหญ่ เพื่อจับใจผู้บริโภครุ่นใหม่อย่างต่อเนื่อง

สิทธา สมควรดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ้านาง (ไทยแลนด์) จำกัด

เจ้านาง รีแบรนด์ใหญ่ ปรับตัวให้เด็กลง เจาะกำลังซื้อ Gen Z

โดยแผนใหญ่ปี 2568 – 2569 คือ การเจาะกลุ่มลูกค้า Gen Z ที่ครอบคลุมตั้งแต่เด็กวัยเรียนไปจนถึง First Jobber

อย่างไรก็ดี เจ้านาง ติดภาพจำในกลุ่มคนรุ่นใหม่ว่า เข้าถึงยาก และดูมีอายุ ทำให้บริษัทฯ ตัดสินใจ รีแบรนด์ใหญ่ โดยปรับโลโก้ใหม่ เป็นผู้หญิงมีมงกุฎ แต่ดูอ่อนเยาว์ขึ้น รวมถึงเปลี่ยนแพ็กเกจจิ้งให้ดูลักซูรีขึ้น ตามเสียงเรียกร้องของผู้บริโภค

รวมไปถึง การแตกไลน์สินค้าตามอินไซด์ของคนรุ่นใหม่ อาทิ คุชชั่นและแป้งสำหรับผิวเป็นสิว บลัชออนและลิปสติก (จากเดิมเน้นแป้งเป็นหลัก)

ตลอดจน สินค้าไซซ์เล็กลง เช่น คุชชั่นแบบซอง แป้งพัฟทูโกขนาดเล็ก 10 กรัม เพื่อเข้าถึงกลุ่มวัยเรียนที่มีกำลังซื้อจำกัด โดยเจ้านางมีราคาตั้งแต่ 59 – 599 บาท

“การทำสินค้ารูปแบบซอง สอดรับกับกำลังซื้อวัยเรียน และเปิดการเข้าถึงฐานลูกค้าใหญ่ขึ้น ที่อยากทดลองใช้สินค้าเจ้านาง โดยเฉพาะในผู้บริโภคยุคใหม่ที่มีแบรนด์รอยัลตี้ต่ำลง และชอบทดลองใช้สินค้าใหม่ ๆ หากกลุ่มนี้ใช้สินค้าเราแล้วดี ท้ายสุดก็จะเกิดแบรนด์รอยัลตี้ตามมาได้”

เจ้านาง โลโก้และแพ็กเกจจิ้งแบบใหม่

ทั้งนี้ ปัจจุบันเจ้านางมี โปรดักส์ฮีโร่ขายดีสุด คือ กลุ่มรองพื้น คุชชั่น และแป้ง อาทิ เจ้านางแอรี่คุชชั่น เพิ่งเปิดตัว 2 เดือน ยอดขายทะลุ 1 ล้านชิ้น

แต่โดยเฉลี่ยเจ้านางทำยอดขายเฉลี่ยต่อบิลอยู่ที่ 350 บาท เพิ่มขึ้น 10-15% เมื่อเทียบกับปีก่อน (YoY) จากการขยายไลน์สินค้า และมุ่งทำการตลาดออนไลน์ ส่งผลให้สัดส่วนยอดขายระหว่างออนไลน์กับออฟไลน์อยู่ที่ 50 : 50

ปี 2568 เราตั้งเป้ารายได้ 400 ล้านบาท ครองมาร์เก็ตแชร์ตลาดเครื่องสำอาง 1% ที่มีมูลค่าประมาณ 4-5 หมื่นล้านบาท ก่อนที่ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ที่ลอนช์สินค้ามากขึ้น จะมีมาร์เก็ตแชร์เป็น 3-5%

ขณะเดียวกัน เรามีแผนใช้งบการตลาด 10-20% จากยอดขาย เพื่อทำการสื่อสารถึงคนรุ่นใหม่ให้หนักขึ้น โดยตอนนี้อยู่ระหว่างการศึกษาหาพรีเซ็นเตอร์หลายราย เจาะกลุ่ม Gen Z ครอบคลุมทั้งกลุ่มนักแสดงและอินฟลูเอนเซอร์

แตกไลน์บุกสกินแคร์-เพอร์ชันนอลแคร์ ครั้งแรก

ธัญญ์ฐิตา ทรัพยศิรินารากุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ้านาง (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวเสริมว่า ในปี 2569 บริษัทฯ เตรียมลอนช์สินค้าเครื่องสำอางเพิ่มอีก 8 ชิ้น รวมถึงการแตกไลน์สินค้า ทำสกินแคร์ครั้งแรก นำร่อง เซรั่ม และ ครีม ในรูปแบบซอง

ขณะที่อีก 2-3 ปีข้างหน้า (พ.ศ. 2570-2571) เจ้านาง มองไปถึงการนำแบรนด์เข้าไปมีส่วนร่วมกับผู้บริโภคตั้งแต่หัวจรดเท้า ผ่านการขยายสินค้าสู่ Personal Care อาทิ ยาสระผม สบู่

ตลาดสกินแคร์ และตลาด Personal care มีขนาดใหญ่กว่าตลาดเครื่องสำอาง ถือเป็นโอกาสการเติบโตของเจ้านางในการขยายตลาดให้กว้างขึ้น

ธัญญ์ฐิตา ทรัพยศิรินารากุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ้านาง (ไทยแลนด์) จำกัด

เบื้องต้น ในปี 2568 เจ้านางเริ่มเปิดโรงงานผลิต ที่จังหวัดขอนแก่น มูลค่า 100 ล้านบาท เพื่อเดินเครื่องการผลิตในส่วนเครื่องสำอาง อาทิ ลิปสติก บลัชออน และอนาคตอาจเพิ่มการผลิตไลน์สกินแคร์ จากปัจจุบันมีการผลิตสินค้าเอง สัดส่วน 10% และอีก 90% เป็นการจ้างผลิต (OEM) ในจีนและเกาหลีใต้

จากแผนข้างต้น เจ้านาง ตั้งเป้าการเติบโตรายได้ ดังนี้

  • ปี 2568 รายได้ 400 ล้านบาท เพิ่มขึ้นราว 67% จากปีก่อนที่ทำได้ 239 ล้านบาท
  • ปี 2569 ตั้งเป้ารายได้ 800 ล้านบาท เติบโต 100%
  • ปี 2570-2571 ตั้งเป้ารายได้ 1,000 ล้านบาท

“แผนใหญ่ของเจ้านาง คือ การตั้งเป้านำแบรนด์ไทยบิวตี้ไปสู่ระดับโลก ขณะนี้ได้เริ่มขยายไปยังประเทศจีน สปป.ลาว และเมียนมา อนาคตมองการบุกประเทศอื่น ๆ ที่มีอินไซด์ผู้บริโภคคล้ายคนไทย เช่น เวียดนาม และมาเลเซีย เป็นต้น”

]]>
1550307
TripBuilder สตาร์ทอัพที่เกิดขึ้นเพราะอยากให้การเดินทางเป็นเรื่องสนุก https://positioningmag.com/1549877 Tue, 02 Dec 2025 07:36:36 +0000 https://positioningmag.com/?p=1549877 ทำความรู้จัก TripBuilder สตาร์ทอัพด้าน AI Travel Assistant จากเกาหลีที่เตรียมบุกตลาดไทย ซึ่งเริ่มต้นจากต้องการแก้ pain point ให้สามารถจัดการทริปได้ง่ายขึ้นแบบ one stop service เพื่อให้การเดินทางเป็นเรื่องสนุก

 

จากสถิติพบว่า มูลค่าการจองท่องเที่ยวออนไลน์ในอาเซียนเกิน 59,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และในระยะอันใกล้อัตราการใช้บริการออนไลน์อาจแตะ 74% ขณะที่ตลาดเทคโนโลยีการท่องเที่ยวทั่วโลกมีมูลค่าราว 11,100 ล้านดอลลาร์ และอาจขยายสู่ระดับ 18,700 ล้านดอลลาร์ ตามการเติบโตของบริการเชิงประสบการณ์

 

การเติบโตดังกล่าวถือเป็นโอกาสทางธุรกิจที่มหาศาล จึงทำให้เกิดสตาร์ทอัพเพื่อให้บริการท่องเที่ยวออนไลน์มากขึ้น รวมถึง TripBuilder สตาร์ทอัพด้าน AI Travel Assistant จากเกาหลีที่เตรียมตัวมาเปิดตลาดในประเทศไทย เนื่องจากมองเห็นศักยภาพการเป็นศูนย์กลางการเดินทางและท่องเที่ยวในบ้านเรา

 

ฮูเยน Marketer ของ TripBuilder เล่าว่า จุดเริ่มต้นของสตาร์ทอัพแห่งนี้ บริษัทฯ มาจาก ‘คิม มยองจุน’ ซึ่งเป็น    ผู้ก่อตั้งขึ้นและก่อตั้ง TripBuilder ชอบท่องเที่ยว แต่การไปทริปแต่ละครั้งต้องพบกับไม่สะดวกมากมายทั้งตั๋ว    เครื่องบิน โรงแรม การเดินทางในเมือง และกิจกรรมที่กระจัดกระจายอยู่หลายที่ ผู้ใช้ต้องเปรียบเทียบและตัดสินใจ ซ้ำไปซ้ำมา

 

TripBuilder จึงเริ่มต้นขึ้นมา เพื่ออยากแก้ปัญหาความยุ่งยากดังกล่าว ด้วยการใช้เทคโนโลยี โดยเฉพาะ AI เข้ามาช่วยแก้ปัญหา ภายใต้จุดเด่น คือ การใช้ Data วิเคราะห์ตั้งแต่เที่ยวบิน โรงแรม การเดินทางภายในพื้นที่ กิจกรรมท้องถิ่น รูปแบบการเดินทาง

 

โดยดูจากงบประมาณ เวลาที่มี รูปแบบการเดินทาง ความชอบส่วนตัว ไปจนถึงพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้ใช้แต่ละคน และสามารถปรับแผนได้ตลอดเวลา เช่น ถ้าฝนตก ร้านปิด คนแน่น หรือเวลาไม่พอ AI จะเสนอทางเลือกใหม่ที่เหมาะกับสถานการณ์นั้นทันที

 

เป้าหมาย เพื่อให้สามารถนำเสนอทริปการเดินทางที่ดีที่สุดให้กับผู้ใช้ในช่วงเวลานั้นจริง ๆ ไม่ใช่แค่โชว์ข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นการจองไฟลท์บินและโรงแรม แนะนำร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว และกิจกรรมต่าง ๆ แบบ one stop service ให้ผู้ใช้ควบคุมทุกขั้นตอนของการเดินทางได้ในหน้าจอเดียวจริง ๆ

 

OTA หรือ แพลตฟอร์มจองท่องเที่ยวแบบเดิม ทำแค่แสดงข้อมูลให้เลือก แต่ AI ของเราจะเข้าใจสถานการณ์และความต้องการของผู้ใช้ แล้วคัดตัวเลือกที่เหมาะที่สุดให้ทันที ดังนั้น AI ในวันนี้ไม่ได้เป็นแค่ตัวช่วยเสริม แต่เป็นหัวใจหลักของการวางแผนท่องเที่ยวยุคใหม่ ทำให้บทบาทของนักท่องเที่ยวเปลี่ยนจากการหาข้อมูล มาเป็นการใช้เวลาไปกับการเดินทางจริง ๆ มากขึ้น”

 

ไทยประเทศแห่งโอกาส

 

ฮูเยน กล่าวว่า สำหรับ TripBuilder แล้ว ประเทศไทยเป็นประเทศแห่งโอกาส เพราะเป็นหนึ่งในปลายทางที่ได้รับความนิยมสูงจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ และเป็นตลาดที่เปิดโอกาสให้เกิดความร่วมมือหลากหลายด้านเทคโนโลยีการเดินทาง

 

ดังนั้น จึงต้องการร่วมสร้าง ecosystem ด้านการท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ร่วมกับพาร์ทเนอร์ท้องถิ่น ทั้งด้านการคมนาคม โรงแรม กิจกรรมท่องเที่ยว ประกันภัย และการชำระเงิน โดยจะเห็นความเคลื่อนไหวในปี 2026

 

“เราไม่ใช่แค่การเป็นเพียงแพลตฟอร์มเท่านั้น แต่เราตั้งใจจะเป็นบริษัทที่สร้างมาตรฐาน AI ด้านการเดินทางระดับโลก นักท่องเที่ยวในอนาคตจะไม่ต้องค้นหาเอง เพราะ AI จะเตรียมให้ล่วงหน้า เข้าใจบริบท และเสนอเส้นทางที่ดีที่สุด”

]]>
1549877
นักการตลาดชี้ ปี 2026 คือ ปีแห่งการคัด ‘ตัวจริง’ https://positioningmag.com/1549808 Tue, 02 Dec 2025 04:45:37 +0000 https://positioningmag.com/?p=1549808 เป็นประเด็นขึ้นมาอีกครั้งสำหรับ ‘สถานการณ์เศรษฐกิจ’ ของบ้านเราในปี 2026 ซึ่งนักการตลาดหลายคนมองว่า โหดกว่าปีนี้แน่นอน และจะปีแห่งการวัดการเป็น ‘ตัวจริง’

 

รวิศ หาญอุตสาหะ ซีอีโอ บริษัท ศรีจันทร์สหโอสถ จำกัด เจ้าของเพจและช่อง Mission To The Moon โพสต์บนเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า

 

จากที่ทำงานมา 25 ปีขอทำนายเลยว่าปี 2026 จะเป็นปีที่เศรษฐกิจโหดสุดๆ แน่นอน การค้าขายจะฝืดเคือง กำลังซื้อจะหายไปอีกเยอะ บรรยากาศจะแย่ลงกว่านี้อีกเยอะ งบต่างๆ จะถูกตัดเพียบ ทั้งบริษัทและผู้คนจะรัดเข็มขัดแบบสุดๆ

ตอนนี้กำลังซื้อกระทบมาถึงระดับบนแล้วแบบที่ไม่เคยเจอมาก่อน ตอนโควิดยังเบากว่านี้เยอะ

ปีหน้าจะเป็นปีที่วัดฝีมือผู้บริหารเลยว่าที่ผ่านมาเก่งจริงหรือว่าแค่ฟลุก

ปีหน้าจะเป็นปีที่วัดพลังของแบรนด์เลยว่าของจริงรึเปล่า

ปีหน้าจะเป็นปีทีวัดเลยว่าใครที่มี value ที่แท้จริง หรือใครทีผ่านมาเป็นแค่ free rider

ถ้ามีข่าวดีเข้ามาก็ดีครับ แต่ส่วนตัวคิดว่าปีหน้าข่าวร้ายมากกว่าข่าวดีแน่นอน

 

ความเห็นนี้สอดคล้องกับผลสำรวจ Marketing Trends: 2026 Way Forward ในงาน Thailand Marketing Day 2025: Prompt The Future ซึ่งรวบรวมข้อมูลจาก MAT CMO COUNCIL เครือข่าย Top Management ระดับประเทศ 126 คน พบว่า

 

เศรษฐกิจในปี 2026 ‘โตยากมาก’ นับตั้งแต่ทำการสำรวจมา โดยจะมีการเติบโตเพียง 0.9% จากเดิมคาดว่า จะโต 1.6-3%

 

จากผลสำรวจดังกล่าว 56% ของผู้บริหารมองตรงกันว่า ปีหน้าจะเป็นปีที่ทำการตลาดยากที่สุด และเป็นปีแห่งการ ‘คัดตัวจริง’ ซึ่งใครยังทำงานแบบเดิม และหวังพึ่งงบแบบเยอะๆ อาจจะอยู่ได้ยาก

 

สำหรับปัจจัยลบที่จะทำให้เป็นเช่นนั้น

1.Customer Changes พฤติกรรมของลูกค้ามีการเปลี่ยนแปลงที่ซับซ้อน ทำให้เข้าใจได้ยากขึ้น

2.Politics การเมืองในประเทศที่ยังไม่แน่นอน ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงหลักๆ

3.Digital Technology การเข้ามาดิสรัปต์ของเทคโนโลยีใหม่ๆ

 

ส่วนทางรอดในปี 2026 ทาง ‘ดร.สมชาติ วิศิษฐชัยชาญ’ อุปนายกฝ่ายองค์ความรู้ด้านการตลาด และ ‘ผศ. ดร. เอกก์ ภทรธนกุล’ อุปนายกฝ่ายกิจกรรมการสื่อสารและการตลาดยั่งยืน สมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย แนะนำนักการตลาดว่า

 

A – Analytical Thinking + AI : การคิดแบบวิเคราะห์ โดยอย่าให้ AI คิดแทน แต่ให้ใช้ AI ช่วยวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อให้อ่านเกมได้ขาดและแม่นยำ

B – Balance Budget for Profitability: สร้างสมดุลในการดำเนินกลยุทธ์และการลงทุนแบบรู้จังหวะการบุกและการถอย เพื่อให้ผลลัพธ์สุดท้ายที่ออกมา คือ ‘กำไร’

C – Creativity under Constraints: ยิ่งงบน้อย ยิ่งต้องสร้างสรรค์ และได้งานครีเอทีฟที่มีคุณภาพ ไม่ใช่ Drama Queen หรือคอนเทนต์ดราม่าเรียกเสียงวิจารณ์

D – Data with Purpose: เก็บและใช้ข้อมูลอย่างมีเป้าหมายเพื่อสร้างความยั่งยืน ไม่ใช่เน้นจำนวนแต่ไม่มีคุณภาพ

 

บทสรุปของการตลาดในปี 2026 คือ ต้องปรับตัว มีความยืดหยุ่น และพยายามสร้างสมดุลในการใช้ให้เกิดกำไร เพื่อจะเป็นผู้ชนะในปีที่เศรษฐกิจโตยากที่สุด

]]>
1549808
เจาะลึกวิสัยทัศน์ “Corey Bryant” แม่ทัพแห่ง bpositive กับภารกิจปั้นแบรนด์เฮลท์แคร์ที่ “ขับเคลื่อนด้วยจุดมุ่งหมาย” ในสมรภูมิธุรกิจไทย https://positioningmag.com/1549291 Fri, 28 Nov 2025 10:24:57 +0000 https://positioningmag.com/?p=1549291 ท่ามกลางการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของตลาดเฮลท์แคร์ไทย ตามความเปลี่ยนแปลงด้านพฤติกรรมของผู้บริโภคยุคใหม่ ที่ไม่ได้มองแค่การ “รักษา” แต่เปลี่ยนผ่านสู่การ “ป้องกัน” และเชื่อมโยงวิถีชีวิตเข้ากับสุขภาวะที่ยั่งยืน วันนี้เราพาทุกท่านไปพูดคุยกับ คุณคอรี ไบรอันท์ (Corey Bryant) ผู้ก่อตั้งและ CEO ของ bpositive ผู้เล่นหน้าใหม่ที่น่าจับตามอง ด้วยวิสัยทัศน์ที่แตกต่าง คือการสร้างธุรกิจที่เริ่มต้นจาก “จุดมุ่งหมาย” (Purpose) ก่อน “ผลิตภัณฑ์” โดยเชื่อมั่นว่า ‘ผลกำไรทางธุรกิจ’ และ ‘การสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม’ สามารถเดินเคียงคู่กันได้อย่างสมดุล

buy1help1: โมเดลธุรกิจที่เปลี่ยนการซื้อสินค้าให้เป็นการสร้างพลังบวกที่ทวีคูณ

หัวใจสำคัญที่ขับเคลื่อน bpositive ไม่ใช่เพียงแค่ยอดขาย แต่คือโมเดล “buy1help1” ซึ่งคุณคอรีนิยามว่าเป็น “ระบบนิเวศของพลังบวก” แรงบันดาลใจนี้เกิดขึ้นในช่วงวิกฤตโควิด-19 ช่วงเวลาที่พิสูจน์ให้เห็นว่ามนุษย์เห็นคุณค่าของการช่วยเหลือเกื้อกูลกันมากที่สุด

“แนวคิดของเราเรียบง่ายมาก เมื่อลูกค้าซื้อผลิตภัณฑ์ พวกเขาจะได้รับความรู้สึกดีที่ได้ช่วยเหลือ และผู้รับก็รู้สึกดีกับตัวเองเช่นกัน เมื่อคนหนึ่งช่วยอีกคน ผลลัพธ์จะถูกทวีคูณ พลังบวกนี้ติดต่อกันได้” คุณคอรีกล่าว

โมเดลนี้ไม่ใช่เพียงแคมเปญการตลาดฉาบฉวย แต่เป็นพันธกิจหลัก (Core Mission) ขององค์กร โดยทุกการซื้อในประเทศไทยจะถูกส่งต่อไปยังพันธมิตรอย่าง มูลนิธิสายเด็ก 1387 (Childline Thailand Foundation) เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งทางจิตใจ และ มูลนิธิการศึกษาเพื่อการพัฒนา (EDF) เพื่อมอบโอกาสทางการศึกษาแก่เด็กด้อยโอกาส ช่วยให้พวกเขาหลุดพ้นจากวงจรความยากจน

เจาะลึกตลาดไทย: เมื่อผู้บริโภคมองหา “การป้องกัน” และ “คุณภาพที่จับต้องได้”

คุณคอรีกล่าวถึงการมาเปิดตลาดในประเทศไทยว่า เขามองเห็นจุดเปลี่ยนสำคัญในพฤติกรรมผู้บริโภคไทย ที่ก้าวจากการรักษาไปสู่การดูแลเชิงป้องกัน (Preventive Care) และการใส่ใจสุขภาพระยะยาว (Longevity) ไม่ว่าจะเป็นกระแสอาหารเสริมชะลอวัย (NAD+) การป้องกันผิวจากแสงแดด หรือเทรนด์เครื่องดื่มไร้แอลกอฮอล์เพื่อสุขภาพสมอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) ทำให้ความต้องการผลิตภัณฑ์ฟื้นฟูผิวและดูแลแผลสำหรับกลุ่ม Silver Generation เพิ่มสูงขึ้น

เพื่อตอบโจทย์นี้ bpositive จึงวางแผนเปิดตัวผลิตภัณฑ์กลุ่มดูแลแผล (Wound Care) ในเดือนธันวาคม 2025 ได้แก่ แผ่นปิดแผลชนิดดูดซับ, ผ้าก๊อซ, และพลาสเตอร์ปิดแผลหลากหลายชนิด ตามด้วยกลุ่มผลิตภัณฑ์สุขอนามัย เช่น สำลีชุบแอลกอฮอล์ ถุงมือ และหน้ากากอนามัยในปี 2026

ผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นของ bpositive ผ่านการรับรองมาตรฐานระดับโลก ISO 3485:2016 และถูกออกแบบภายใต้แนวคิด “เรียบง่าย แต่มีประสิทธิภาพ” (Simple & Effective) ทั้งยังมีการสร้างเอกลักษณ์แบรนด์ผ่าน BooBoo Character ตัวการ์ตูนคาแรคเตอร์ที่สร้างภาพลักษณ์ความทันสมัย สนุกสนาน และเข้าถึงง่าย ซึ่งแตกต่างจากภาพจำเดิม ๆ ของสินค้าเวชภัณฑ์

กลยุทธ์การแข่งขัน: คุณภาพที่มาพร้อมความคุ้มค่า

แม้ต้องเผชิญกับความท้าทายในตลาดที่ถูกครอบครองโดยแบรนด์ระดับโลกและธุรกิจ MLM ยักษ์ใหญ่ แต่ bpositive มั่นใจในการสร้างความแตกต่าง ผ่านกลยุทธ์ 3 แกนหลัก: คุณภาพ นวัตกรรม และราคาที่จริงใจ

  1. นวัตกรรมที่ตอบโจทย์ท้องถิ่น (Localization): พัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เหมาะกับสภาพอากาศเมืองไทย เช่น พลาสเตอร์และแผ่นฟิล์มปิดแผลกันน้ำและแบคทีเรียที่ทนต่อความชื้นได้ดีเยี่ยม เป็นการยกระดับสิ่งที่ตลาดมีอยู่แล้วให้ดียิ่งขึ้น
  2. Price Strategy: วางราคาต่ำกว่าคู่แข่งประมาณ 10% เพื่อให้คนไทยเข้าถึงสินค้าคุณภาพสูงได้ง่ายขึ้น
  3. Digital Health Integration: วางตำแหน่งเป็น “โซลูชันในชีวิตจริง” ที่เชื่อมต่อกับบริการปรึกษาแพทย์ออนไลน์ โดยมีแผนพัฒนาระบบจัดส่งสินค้าด่วนภายใน 2 ชั่วโมงหลังได้รับคำแนะนำจากแพทย์

เปิดแผนลงทุนและเป้าหมายรายได้

ในด้านการลงทุน bpositive วางงบประมาณสำหรับการเริ่มต้นบุกตลาดไทยไว้ที่ 10 ล้านบาท แบ่งเป็นการตลาด การประชาสัมพันธ์และดิจิทัลมาร์เก็ตติ้ง 3.75 ล้านบาท การวางระบบ (Set up cost) 2.5 ล้านบาท และการจัดตั้งทีมพัฒนาธุรกิจ 3.75 ล้านบาท โดยเน้นการบริหารแบบ SME ที่คล่องตัวแต่เน้นคอนเซปต์ที่แข็งแรง

คุณคอรีเปิดเผยถึงเป้าหมายทางธุรกิจว่า คาดการณ์รายได้ในปีแรก (2026) ที่ 25 ล้านบาท และตั้งเป้าเติบโตเป็น 2 เท่าในปี 2027 ความมั่นใจนี้ส่วนหนึ่งมาจากความสำเร็จในประเทศมาเลเซีย ที่แบรนด์สามารถชิงส่วนแบ่งการตลาดได้ถึง 46% ในช่องทางร้านขายยาและร้านสะดวกซื้อชั้นนำกว่า 1,800 แห่ง

สำหรับช่องทางการจัดจำหน่ายในไทย จะเริ่มวางจำหน่ายในห้างค้าปลีกชั้นนำอย่าง Tops, Lotus และ Boots  กว่า 200 แห่ง ภายในปี 2026 และกำลังอยู่ระหว่างการเจรจากับ Watsons, 7-Eleven และ Lawson 108 รวมถึงมีแผนขยายสู่ร้านขายยารายย่อยทั่วประเทศผ่านตัวแทนจำหน่ายในปี 2027  รวมถึงมีแผนขยายตลาดไปยังประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค เช่น อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์

ผู้นำยุคใหม่: นำด้วยความจริงใจและจุดมุ่งหมาย

คุณคอรีทิ้งท้ายถึงหลักคิดในการบริหารงานที่ตกผลึกจากประสบการณ์ในองค์กรระดับโลกอย่าง Johnson & Johnson และ Stryker ว่า ผู้นำยุคใหม่ต้อง “Leading with Purpose” ซึ่งเขามองว่าเป็นสิ่งที่มักหายไปในองค์กรข้ามชาติ และเป็นหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ผลักดันให้เขาออกมาสร้างธุรกิจของตัวเอง ซึ่งแนวคิดเหล่านี้ได้กลายเป็นรากฐานของ bpositive ในวันนี้

“การทำธุรกิจด้านเฮลท์แคร์ไม่ควรแสวงหากำไรสูงสุดจากผู้ป่วย แต่ควรสร้างสมดุลระหว่างการเยียวยาผู้คนกับผลประกอบการไปพร้อมกัน สำหรับ bpositive คุณภาพคือสิ่งที่สร้างความน่าเชื่อถือ ความไว้วางใจ และความภักดี – ซึ่งเกิดจากประสบการณ์ของผู้คนและการบอกต่อกันแบบปากต่อปาก ซึ่งทั้งหมดนี้คือการทำการตลาดที่ทรงพลังที่สุด”

ในอนาคต bpositive ยังมองเห็นโอกาสในการขยายสู่ตลาด Lifestyle Healthcare และเปิดกว้างสำหรับการร่วมมือกับ แพทย์แผนไทย (Traditional Thai Medicine) เพื่อนำภูมิปัญญาธรรมชาติมาสู่การดูแลสุขภาพสมัยใหม่ ตอกย้ำความตั้งใจที่จะให้ bpositive เป็นแบรนด์ที่คนไทยรัก ทั้งในแง่คุณภาพและการเป็นผู้ให้ผ่านโครงการ buy1help1

]]>
1549291
เพราะสายมู 70% เชื่อในเบอร์มงคล! ‘ทรู’ เดินเกมรุกคว้า ‘อ.สมเจตน์’ เปิดตัว ‘เบอร์พลังดาว’ ปักเป้าโต 30% https://positioningmag.com/1548916 Thu, 27 Nov 2025 04:18:40 +0000 https://positioningmag.com/?p=1548916 หากพูดถึงเรื่องการ มู (มูเตลู) หรือ สายมู ของไทย น่าจะไม่แพ้ชาติใดในโลก ที่ไหนดี อะไรว่าศักดิ์สิทธิ์ พร้อมจะไปสักการะบูชา และแน่นอนว่า เบอร์มงคล ก็เป็นอีกไอเทมหลักของชาวสาย มู และถือเป็นอีกตลาดที่ยังคง ทำเงิน ให้กับโอเปอเรเตอร์ทุกค่ายรวมถึง ทรู-ดีแทค ที่ล่าสุดคว้า อ.สมเจตน์ ศฤงคารรัตนะ มาเปิดตัว เบอร์พลังดาว เดินหน้ากลยุทธ์ Better มู Gether หวังโกยยอดเปิดเบอร์มงคลโต 30%

สายมู 70% เชื่อในเบอร์มงคล

โอลิเวอร์ กิตติพงษ์ วีระเตชะ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านแบรนด์และมีเดีย บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น เล่าว่า มี 5 ปัจจัย ที่ทำให้ คนไทยสนใจเรื่องมู ได้แก่

  • Avoid Problem: ผู้คนมองหาวิธีประคองใจ ในวันที่ชีวิตเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน
  • Decision Making: ช่วยเพิ่มความมั่นใจในการตัดสินใจต่าง ๆ
  • Bad Situation: การมูหรือการดูดวงทำหน้าที่เป็นที่พึ่งทางใจ ช่วยตั้งหลักรับมือช่วงที่ยากลำบาก
  • Entertainment: เพื่อความสุขในการเพิ่มพลังบวก และสร้างความหวังเล็กๆ
  • The Opportunity: หวังช่วยเปิดทางให้โอกาสใหม่ๆ หรือจังหวะชีวิตที่ดีขึ้น เดิมพลังในการเดินหน้าต่อ

ที่น่าสนใจคือ การมูไม่ใช่เรื่องของผู้ใหญ่ แต่จริง ๆ แล้ว Gen Z เป็นเจนเนอเรชั่นที่สนใจเรื่องมูมากที่สุด โดยผลสำรวจพบว่า 50% Engagement ของคอนเทนต์มูเตลูมาจาก Gen Z ตามด้วย Gen Y 26% และ Gen X 14%

นอกจากนี้ ผลสำรวจยังพบว่ากว่า 70% เชื่อในพลังของตัวเลข ทำให้ เบอร์มงคล กลายเป็น ไอเทมเสริมดวงที่นิยมมากที่สุด คิดเป็น 46.3% ของไอเทมมูทั้งหมด นอกจากนี้ คนไทย 3 ใน 4 ใช้ AI ดูดวง

ยิ่งขายเบอร์มงคลได้ = ได้ลูกค้าคุณภาพ

โรจน์ เดโชดมพันธ์ หัวหน้าสายงานโมบายล์ โพสต์เพย์ บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น เปิดเผยว่า ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ทรู-ดีแทคมียอดขายเบอร์มงคล-เบอร์สวยเฉลี่ยเดือนละ 1 หมื่นเลขหมาย ซึ่งทรงตัวในหลักนี้มาตลอด

ที่สำคัญ ลูกค้าเบอร์มงคลจะมียอดใช้งานเฉลี่ย หรือ ARPU (Average Revenue Per User) ที่สูงกว่าลูกค้าโพสต์เพด (ลูกค้ารายเดือน) ปกติเกือบ 2 เท่า อยู่ที่ประมาณ 899 บาท/เดือน จากปกติเฉลี่ย 415 บาท/เดือน นอกจากนี้ จะใช้เบอร์นานเฉลี่ย 2-3 ปี ดังนั้น ลูกค้ากลุ่มนี้จะมีอัตรา Churn Rate หรือยกเลิกการใช้บริการที่ต่ำกว่าปกติ เท่าตัว

โรจน์ เดโชดมพันธ์ หัวหน้าสายงานโมบายล์ โพสต์เพย์ บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น

ดึงอ.สมเจตน์ เสริมทัพ

หนึ่งในกลยุทธ์ที่จะทำให้ยอดขายเบอร์มงคลเติบโตก็คือ อาจารย์ ที่เป็นพาร์ทเนอร์ โดย โรจน์ ยอมรับว่า ชื่อเสียงของอาจารย์มีผลต่อความน่าเชื่อถือ โดยที่ผ่านมา ทางทรูและดีแทคได้จับมือกับ อาจารย์ลักษณ์ โหราธิบดี และ อาจารย์ช้าง ทศพร ศรีตุลา

ล่าสุดได้ดึง อาจารย์สมเจตน์ ศฤงคารรัตนะ เจ้าของเว็บไซต์ เบอร์มงคลสมเจตน์ดอทคอม ที่เปิดมา 16 ปี มีผู้ใช้กว่า 1 ล้านราย และมีการขายเบอร์มงคลกว่า 1 แสนเลขหมาย/ปี พร้อมกับเปิดตัว เบอร์พลังดาว โดยเตรียมเบอร์มงคลล็อตใหม่ 3 แสนเบอร์ คาดว่าจะช่วยดันยอดขายเบอร์มงคล เพิ่ม 30%

“เราเห็นพฤติกรรมว่า บางคนเขาไม่ได้เปลี่ยนแค่ตัวเอง แต่เขาเปลี่ยนทั้งครอบครัว อย่างแม่เปลี่ยนมาใช้เบอร์มงคล เบอร์ลูกก็เปลี่ยนด้วย”

อาจารย์สมเจตน์ ศฤงคารรัตนะ

สายมูก็เป็นอีกแบรนด์ดิ้งทรู

โอลิเวอร์ ทิ้งท้ายว่า กลยุทธ์สายมู หรือ Better มูGetther เป็นอีกทิศทางการทำตลาดของแบรนด์ เพราะตลาดในปัจจุบันไดนามิกมากขึ้น ลูกค้าไม่ได้ต้องการ One size fit all โดยเฉพาะ Gen Z ที่ใช่แค่เอนเตอร์เทนเมนต์ เช่น โซเชียลฯ, เพลง, ซีรีส์, เกม ไม่พออีกต่อไป ต้องมองในเชิงสังคมมนุษยวิทยามากขึ้น อย่างเรื่องมูก็เป็นอีกความเชื่อของ Gen Z

“เราต้องปรับตัวเสมอ เพราะลูกค้าไม่ใช่ของตาย เขาพร้อมจะไปตามเหตุและผล เลือกเบอร์ ช่วยให้มีคอนเทนต์มาร์เก็ตติ้งทันยุคทันสมัยมากขึ้น แต่สุดท้าย เขาจะอยู่กับเรานานหรือไม่ ก็จะวนกลับมาที่คุณภาพ”

]]>
1548916
สรุปแนวทาง ‘ลงทุน’ ปี’69 โดย ‘บล.บัวหลวง’ ในวันที่หุ้นไทยยัง ‘เป็นรอง’ ในภูมิภาค ควรกระจายพอร์ตอย่างไรดี? https://positioningmag.com/1548809 Thu, 27 Nov 2025 04:02:13 +0000 https://positioningmag.com/?p=1548809 หลักทรัพย์บัวหลวง ประเมินทิศทางเศรษฐกิจไทยในปี 2569 ว่าจะเริ่ม ทยอยฟื้นตัว อย่างค่อยเป็นค่อยไป หลังจากที่ตลาดหุ้นไทยได้รับแรงกดดันและปรับตัวลดลงกว่า 8% ในปี 2568 โดยมีปัจจัยบวกสำคัญที่เข้ามาช่วยพยุงเศรษฐกิจ คือ เม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) และการฟื้นตัวของ ภาคการท่องเที่ยว ทำให้คงเป้าหมายดัชนี SET Index ปี 2569 ที่ระดับ 1,440 จุด

ปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยปี 2569

การฟื้นตัวในปีหน้าจะได้รับแรงขับเคลื่อนหลักจาก 3 ปัจจัย ได้แก่

  1. FDI ในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต: การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศจะเริ่มลงทุนจริงต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่ม ดิจิทัล (Data Center) และ อิเล็กทรอนิกส์ (Semiconductor) ซึ่งได้รับอนุมัติจาก BOI ไปแล้ว
  2. ภาคท่องเที่ยวกลับมาคึกคัก: คาดจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 34 ล้านคน โดยเฉพาะตลาดอินเดีย รัสเซีย และยุโรป ส่วนนักท่องเที่ยวจีนเริ่มฟื้นตัวจากฐานที่ต่ำ
  3. ภาคการส่งออกพลิกฟื้น: การส่งออกคาดว่าจะผ่านจุดต่ำสุดในไตรมาส 4 ปี 2568 และมีแนวโน้มจะ ฟื้นตัวในครึ่งหลังของปี 2569

กลยุทธ์การลงทุนที่แนะนำ: Barbell Strategy

บัวหลวงแนะนำให้นักลงทุนใช้ กลยุทธ์ Barbell Strategy เพื่อสร้างสมดุลและลดความผันผวนของพอร์ต โดยแบ่งการลงทุนออกเป็นสองด้าน คือ สินทรัพย์เสี่ยงสูงและเสี่ยงต่ำ:

  • ตลาดหุ้น (60%): เน้นหุ้นคุณภาพสูงหรือหุ้นปันผลสูง แบ่งเป็น หุ้นไทย 10% และ หุ้นต่างประเทศ 50% ผ่าน DR ในธีมสำคัญ เช่น AI ในสหรัฐฯ, เศรษฐกิจดิจิทัลในจีน, รวมถึงอินเดียและเวียดนาม
  • ตราสารหนี้ (30%): ใช้เพื่อสร้างความมั่นคงและลดความเสี่ยงโดยรวมของพอร์ต
  • ทองคำ (10%): ยังคงเป็นสินทรัพย์ที่น่าสนใจ โดยราคามีแนวโน้มแข็งแกร่งจากนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายของธนาคารกลางสหรัฐฯ และการเข้าซื้อของธนาคารกลางทั่วโลก คาดราคาทองคำเข้าสู่ Super Cycle ระยะที่ 3

“นักลงทุนไทยควรเพิ่มสัดส่วนการลงทุนต่างประเทศ ให้มากกว่าปัจจุบันที่อยู่ประมาณ 5−10% เพราะตลาดทุนไทยอาจจะยังไม่โดดเด่นมากนัก เมื่อเทียบกับคู่แข่งในภูมิภาค โดยเฉพาะการเชื่อมโยงกับ AI ซึ่งไทยยังเป็นแค่ Data Center แต่ไม่ได้เป็นบริษัทต้นน้ำ ซึ่งตลาดหลักที่เม็ดเงินจะไป ได้แก่ ไต้หวัน, เกาหลีใต้ และ ญี่ปุ่น” ชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ กรรมการผู้จัดการ กิจการค้าหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) กล่าว

ชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ กรรมการผู้จัดการ กิจการค้าหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน)

4 ธีมหลักกลุ่มหุ้นน่าสนใจ

บัวหลวงเน้นการลงทุนใน 4 ธีมหลักที่คาดว่าจะมีกำไรเติบโตต่อเนื่องและได้รับประโยชน์จากปัจจัยหนุนต่างๆ:

  1. ผู้นำการเติบโตธีม Data Center และ Digital Transformation:
    • การเติบโตของกลุ่มโรงไฟฟ้า-น้ำ (WHAUP, GULF) และสื่อสาร (ADVANC) ที่ได้รับประโยชน์จากความต้องการใช้ไฟฟ้าและน้ำสำหรับ Data Center ที่เร่งตัวขึ้น
  2. กลุ่มเชื่อมโยงการฟื้นตัวเศรษฐกิจโลก:
    • กลุ่มปิโตรเคมี (PTTGC, SCC) ที่มี Valuation ถูกมาก และจะได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของภาคอุตสาหกรรมโลก รวมถึงนโยบาย Anti-involution ที่จำกัดอุปทานส่วนเกิน
    • กลุ่มส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยง (ITC) ที่ความต้องการยังคงแข็งแกร่ง
  3. กลุ่มที่กำไรเติบโตต่อเนื่อง และได้รับประโยชน์จากนโยบายภาครัฐ:
    • มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก เช่น “คนละครึ่ง พลัส” เฟส 2 และ “Easy e-receipt” จะหนุนกลุ่มค้าปลีก, ห้างสรรพสินค้า (CPN, CENTEL, AOT)
    • มาตรการแก้หนี้ครัวเรือนจะส่งผลดีต่อกลุ่มการเงินที่มีคุณภาพสินทรัพย์ดี (MTC, TIDLOR)
  4. กลุ่มปันผลสูง กระแสเงินสดสม่ำเสมอ:
    • ได้รับประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นตลาดทุนใหม่ เช่น โครงการ TISA (Thailand Individual Investment Account) ซึ่งจะหนุนกลุ่มหุ้นพื้นฐานดีอย่างธนาคารและสื่อสาร (KTB, SCB)

หุ้นเด่นภายใต้การลดดอกเบี้ย

การลดดอกเบี้ยหลัก ๆ จะหนุนกลุ่ม Rate Sensitive (อัตราดอกเบี้ยอ่อนไหว) เช่น Finance (การเงิน), Yield Play (ตราสารหนี้ เช่น พันธบัตรรัฐบาล หรือหุ้นกู้เอกชน), และ ICT (กลุ่มที่มีภาระหนี้เยอะ) เนื่องจากได้ประโยชน์จากการลดดอกเบี้ย) และมีฟื้นฐานกำไรที่ยังแข็งแกร่ง แต่ในกลุ่ม Finance ต้องระวังเรื่อง Asset Quality (คุณภาพสินทรัพย์) และการก่อตัวของ NPL Formation (หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้) โดยหุ้นเด่นที่แนะนำ คือ GULF (GPC)

กลุ่มที่ควรหลีกเลี่ยง

หลักทรัพย์บัวหลวงแนะนำให้หลีกเลี่ยงการลงทุนในกลุ่ม อสังหาริมทรัพย์ และ ยานยนต์ เนื่องจากเป็นกลุ่มที่คาดว่าจะฟื้นตัวช้าและได้รับผลกระทบโดยตรงจากภาระ หนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง

]]>
1548809
คุยกับ CEO วีรันดา ‘ไทย’ ยังเป็น Destination ที่มี ‘เสน่ห์’ อยู่หรือไม่ https://positioningmag.com/1548892 Wed, 26 Nov 2025 13:20:15 +0000 https://positioningmag.com/?p=1548892 คุยกับ ‘ภวัฒภ์ องค์วาสิฏฐ์’ CEO บริษัท วีรันดา รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) ถึงมุมมอง ‘ไทย’ ยังเป็น Destination ที่มี ‘เสน่ห์’ อยู่หรือไม่ และอนาคตธุรกิจท่องเที่ยวไทยจะเป็นอย่างไรในวันนี้ที่ต้องเผชิญความท้าทายรอบด้าน รวมถึงวิธีคิดการพาองค์กรเดินหน้าต่อบนเส้นทางที่มีหลายปัจจัยยังไม่แน่นอน

 

ก่อนหน้านี้ธุรกิจท่องเที่ยวไทย ถือเป็นเครื่องยนต์หลักสำหรับขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโต แต่ตอนนี้กำลังอ่อนกำลังลง จากความท้าทายหลายเรื่องทั้งสภาพเศรษฐกิจโลก ความไม่เชื่อมั่นในเรื่องปลอดภัย จากข่าวการลักพาตัวของดาราจีน และเหตุแผ่นดินไหว ส่งผลให้นักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทยลดลงชัดเจน

 

โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน กลุ่มนักท่องเที่ยวหลักของไทยที่หายไปตั้งแต่ช่วงตรุษจีนที่ผ่านมา จนปัจจุบันก็ยังไม่ฟื้นคืนมาอย่างที่ควรจะเป็น เมื่อรวมกับการแข่งขันจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งตอนนี้มีกระแสพูดถึงในประเด็น ประเทศไทยกำลังจะเสียแชมป์ด้านการท่องเที่ยวให้กับ ‘เวียดนาม’

 

ภาพเหล่านี้ล้วนสะท้อนให้เห็นถึงสถานการณ์ของธุรกิจท่องเที่ยวไทยที่ถูกสั่นคลอน

CEO วีรันดา ยืนยันว่า เขายังเชื่อมั่นใน ‘ศักยภาพ’ ของธุรกิจนี้ในบ้านเรา พร้อมยืนยันไทยยังเป็น Destination ที่มี ‘เสน่ห์’ และมี ‘จุดเด่น’ ที่หลากหลายสำหรับดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติให้หลงรักและกลับมาเที่ยวซ้ำ ขณะที่บางประเทศไปครั้งเดียว ไม่ไปซ้ำอีก

 

“แต่ละประเทศมีคาแรกเตอร์ต่างกัน ไทยมี Soft power แข็งแรงและหลากหลาย ทั้งอาหาร, วัฒนธรรม, สิ่งแวดล้อม, เสน่ห์ของคนไทย, Hospitality และช้อปปิ้งมอลล์ ผมไม่คิดว่า ไทยด้อยกว่าที่อื่นตรงไหน ส่วนการที่หลายคนมองไทยจะแพ้เวียดนามเรื่องท่องเที่ยว ผมว่าเป็นการมองที่ไกลไป ต้องมองในเชิงลึก เพราะเวียดนามใกล้กับจีน ทำให้ข้ามพรมแดนได้ง่าย ทำให้มีจำนวนเยอะขึ้น เหมือนกับคนมาเลเซียมาเที่ยวไทยเพิ่ม ก็มีผลมาจากคนข้ามดินแดน”

 

ในฐานะนักลงทุน เขาจึงมองธุรกิจท่องเที่ยวและโรงแรมของไทยยังมีโอกาสอยู่ แค่ใครจะมองเห็นและจับมาเป็นจุดแข็ง เพื่อชิงโอกาสทางธุรกิจได้

 

‘Positioning’ และ ‘จุดแข็ง’ ต้องชัด

 

สำหรับวีรันดาเองวาง Positioning ชัดเจน นั่นคือ การเป็น Lifestyle Destination เน้นเรื่องดีไซน์ และ ‘Instagrammable’ การออกแบบและตกแต่งให้สามารถถ่ายลงอินสตาแกรมได้ รวมถึงให้ความสำคัญกับการส่งมอบประสบการณ์ คุณค่า ในราคาเข้าถึงได้

 

นั่นจึงทำให้วีรันดาเติบโตได้ เห็นได้จากผลประกอบการของบริษัทฯ ช่วง 9 เดือน ปี 2568 ที่มีรายได้รวม 1,103 ล้านบาท เติบโต 14% กำไรสุทธิ 57 ล้านบาท เติบโต 35% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ส่วนแนวโน้มช่วงไตรมาส 4 ซึ่งเป็นไฮซีซันของการท่องเที่ยว ทาง CEO วีรันดาเชื่อว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวจากรัฐบาลช่วงไตรมาสสุดท้าย ปี 2568 จะส่งผลดีต่อผู้ประกอบการในภาคบริการ โดยเฉพาะธุรกิจโรงแรมจากการได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่จากมาตรการ ‘เที่ยวดีมีคืน 2568’ ที่เริ่มตั้งแต่ 29 ต.ค. – 15 ธ.ค. 2568 ให้นำค่าใช้จ่ายจากการเข้าพักในโรงแรมและค่าอาหารมาลดหย่อนภาษีได้ 20,000 บาท

 

นอกจากนี้ การที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ดึง ‘ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล’ หรือ ‘ลิซ่า Blackpink’  มาทำหน้าที่ Amazing Thailand Ambassador จะช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวของไทยได้

 

และแม้ตลาดนักท่องเที่ยวจีนจะชะลอตัว ก็มีตลาดยุโรป อเมริกา และอินเดียที่โตต่อเนื่องโดยเฉพาะอินเดีย ซึ่งเป็นตลาดแห่งความหวังในอนาคตของไทย เนื่องจากจำนวนประชากรกลุ่มระดับกลางมีการขยับเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้มีการเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศเพิ่มขึ้น บวกกับด้วยอินเดียใกล้ไทย เดินทางง่าย ถ้ามีบินไฟลต์ตรงยิ่งจะให้เดินทางมาท่องเที่ยวไทยมากขึ้นอีก

 

“ปีนี้เราตั้งเป้าโต 20% อาจไม่ถึงเป้าเดิมที่วางไว้ 25% แต่ทั้งหมดผมมองเป็นภาพบวกนะ หลังจากนี้จะดีขึ้น”

 

AI อีกตัวแปรสำคัญของธุรกิจ

 

อีกส่วนที่ถือเป็นความท้าทายใหม่ของธุรกิจโรงแรม หนีไม่พ้นเรื่อง AI จากเมื่อก่อนการเข้าถึงลูกค้าจะผ่าน Google search เป็นหลัก แต่ตอนนี้ AI และโซเชียล มีเดียอื่น อาทิ TikTok และ IG ฯลฯ เข้ามามีบทบาทมากขึ้น แถมมีให้เลือกใช้หลายตัว 

 

ดังนั้น จุดที่ต้องทำ คือ ต้องให้ชื่อและเรตติ้งของโรงแรมติดอันดับเมื่อลูกค้าเสิร์ชหาผ่าน AI หรือโซเชียลมีเดียอื่น ๆ ให้ได้มากที่สุด ซึ่งเป็นเรื่องที่ทางวีรันดาศึกษาและให้ความสำคัญมาระยะหนึ่งแล้ว

 

“เรื่อง AI และโซเชียลอื่นสำคัญ เช่นเดียวกับการใช้อินฟลูฯ หลัง ๆ เองเราใช้อินฟลูฯ ที่เป็นต่างชาติเยอะขึ้น เพราะนอกจากคนไทยเห็น คนประเทศเขาก็เห็น และเราทำแล้วเวิร์คด้วย เพราะเน้นโรงแรมที่เป็นดีไซน์ เน้นรูปถ่าย สถานที่สวยคนชอบแชร์อยู่แล้ว

 

“ส่วนสงครามราคา เราเห็นมาตลอด แต่ผู้ประกอบการจะเลือกใช้ให้เหมาะกับตลาดมากขึ้น เช่น ภูเก็ต ไม่มีใครลงราคาให้นะ และเดี๋ยวนี้มี AI มาตั้งราคาให้ด้วย คือ จะเช็กราคาคู่แข่งในตลาดขึ้นราคาแล้ว ถ้าห้องเหลือน้อย AI จะเปลี่ยนราคาขึ้นให้เลย อันนี้เป็นเรื่องน่าจับตามอง”

 

‘มุ่งมั่นอย่ายอมแพ้’ คาถาฝ่าความท้าทาย

 

มาถึงช่วงท้ายของการพูดคุย เราถามภวัฒภ์ว่า มี ‘หลักคิด’ อะไรเมื่อต้องเผชิญกับปัญหาหรือความท้าทาย ซึ่งเขาตอบว่า Perseverance ต้องพากเพียร มุมานะ และอย่ายอมแพ้ เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย

 

เพราะไม่ว่าจะทำอะไร ในช่วงเวลาไหน ปัญหามีเป็นปกติอยู่แล้ว และเขาเชื่อว่า ‘ทุกปัญหามีทางออก’ เพียงต้องพยายามและหาทางไปเรื่อย ๆ แม้จะไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุด แต่จะทำให้ไปต่อไป อย่างช่วงเกิดโควิด-19 ซึ่งกระทบธุรกิจท่องเที่ยวและโรงแรมอย่างหนัก

 

ช่วงนั้นทางวีรันดาหันมาโฟกัสตัวเอง ทำให้องค์กร Lean มีไขมันน้อยที่สุด ขณะเดียวกันก็เตรียมความพร้อม เมื่อสถานการณ์เริ่มคลี่คลายและโอกาสมา ทำให้วีรันดาสามารถวิ่งได้ดีและเร็วกว่าคนอื่น

 

ส่วนผู้นำที่ดี ต้องมีคุณสมบัติอย่างไร? 

 

ทาง CEO วีรันดา ไม่ได้จำกัดความไว้ แต่มองว่าผู้นำที่ปรับตัวตามสถานการณ์ได้ดี ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นและทำให้วีรันดาผ่านวิกฤตมาได้หลายต่อหลายครั้ง 

 

“แต่ละวิกฤตสอนไม่เหมือนกัน แต่บทเรียนที่ได้เรียนรู้หลัก ๆ คือ มาแบบไหนก็ต้องอยู่ได้ ต้องปรับตัวให้เร็ว และทันสถานการณ์ คนต้องรู้จักยืดหยุ่น ทำให้ได้หลายหน้าที่ อีกอย่างที่ผมพยายามถ่ายทอดให้ทีม คือ ความคิดแบบเจ้าของ หรือ Entrepreneur เพราะเมื่อมีจะทำให้เราทุ่มเท มองรอบด้าน และเป็นนักสู้มากขึ้น

 

“อย่างช่วงโควิดผมลงมาดูรายละเอียดทุกอย่างอย่างใกล้ชิด ทั้งค่าใช้จ่าย การจัดการหารายได้ และกลยุทธ์การตลาดหนึ่งในการปรับตัวที่สำคัญคือ เราต้องเน้นลูกค้าชาวไทยมากขึ้น ทำ แพ็กเกจโปรโมชั่นที่เข้าถึงได้ง่าย ทำไลฟ์ขายวอเชอร์โรงแรมเป็นเจ้าแรกๆ และปรับรูปแบบการทำงานของทีมให้สอดคล้องกับสถานการณ์ รวมถึงคำชี้แนะอย่างใกล้ชิดกับทีมงานเพื่อความรวดเร็วในการทำงานและผ่านช่วงที่ท้าทายนี้ไปได้”

]]>
1548892
KFC ประกาศเลิกใช้ Spork กลับมาใช้ช้อนส้อมแบบเดิม หลังลูกค้าบ่น https://positioningmag.com/1548461 Tue, 25 Nov 2025 05:29:20 +0000 https://positioningmag.com/?p=1548461 เป็นประเด็นเรียกร้องมานานพอสมควรกับการอยากให้ ‘KFC’ กลับมาใช้ช้อนส้อมแบบเดิม หลังจากทางแบรนด์เปลี่ยนมาได้ ‘Spork’ หรือ ‘ช้อนผสมส้อม’ ซึ่งล่าสุด KFC ประเทศไทยก็ได้ประกาศยกเลิกการใช้ Spork อย่างเป็นทางการแล้ว

 

สำหรับจุดเริ่มต้นของ Spork เกิดจากทางแบรนด์ตั้งใจจะทำให้ประสบการณ์การรับประทานอาหารของลูกค้าสะดวกมากขึ้นกว่าเดิม แต่เมื่อเปิดตัว Spork ได้ไม่นาน ก็มีผู้บริโภคหลายคนไม่ค่อยถูกใจ Spork เพราะเมื่อใช้งานจริงผลลัพธ์กลับไม่ได้เป็นไปอย่างที่หวัง ด้วยรูปทรงกึ่งช้อนกึ่งส้อมทำให้ไม่สามารถใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพทั้งสองด้าน

 

จนเกิดการพูดถึงอย่างกว้างขวางในโลกโซเชียล ทั้งเรื่อง ‘การตักข้าวไม่ค่อยสะดวก’, ‘ตักซอสก็ไม่ค่อยขึ้น’, ‘จิ้มไก่ที่ลำบากกว่าที่ควร’ จึงเกิดเป็นเสียงเรียกร้องจำนวนมากให้ KFC หันกลับมาใช้ช้อนส้อมแบบเดิมอีกครั้ง และเป็นที่มาของการประกาศเลิกใช้ดังกล่าว

 

แต่ความสนใจคือ KFC ประเทศไทยไม่ได้ประกาศเลิกใช้แบบธรรมดา แต่หยิบมาเป็นแคมเปญที่มีกิมมิก โดยบอกว่าการยกเลิกครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะ ‘ผู้พันแซนเดอร์สมาเข้าฝัน!’ เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงความใส่ใจของแบรนด์ที่ตั้งใจรับฟังผู้บริโภคมาโดยตลอด เนื่องจากจุดเริ่มต้นของเรื่องหลอนหลังร้าน KFC นั้นเกิดจากการหยิบยกเอาคอมเมนต์ของชาวเน็ตท่านหนึ่งที่โพสต์อธิษฐานว่า

 

“ถ้าดวงวิญญาณผู้พันมีจริง ช่วยดลบันดาลให้บอร์ดบริหารยกเลิกส้อน (ส้อม+ช้อน) อันนี้ด้วยเถอะ ไร้ประโยชน์มากกก ตักก็ยาก จิ้มก็ไม่ติด”

 

โพสต์นี้ได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม และเกิดเป็นประเด็นไวรัล ทำให้ KFC หันมาพิจารณาเรื่องนี้อย่างจริงจัง จนตัดสินใจยกเลิกการใช้ Spork อย่างเป็นทางการ แถมจะประกาศเรื่องนี้ และออกมาเล่าเรื่องหลอนหลังร้าน ผ่านรายการ The Ghost Radio ด้วย

 

เรียกได้ว่า เป็นการครีเอทเปลี่ยน ‘จุดอ่อน’ ให้มาเป็น ‘จุดแข็ง’ ได้ดีทีเดียว

]]>
1548461