Strategic Move – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Mon, 27 Jan 2025 04:06:04 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 เมื่อ ‘สงครามแย่งคนเก่ง’ เดือด แล้วอะไรที่คนทำงานเลือกจะ ‘อยู่’ หรือ ‘ไป’ และองค์กรจะปรับตัวอย่างไร? https://positioningmag.com/1508175 Mon, 27 Jan 2025 04:04:28 +0000 https://positioningmag.com/?p=1508175 แม้ช่วงที่ผ่านมาเราจะได้เห็นข่าวคราวการเลิกจ้างงานออกมาเป็นระยะ ๆ แต่ ‘จีรวัฒน์ ตั้งบวรพิเชฐ’ ที่ปรึกษาอาวุโสด้านการสร้างแบรนด์องค์กรนายจ้าง WorkVenture ยืนยันว่า ยุคนี้เป็นยุคแรงงานขาดแคลน และ Talent War หรือ ‘สงครามแย่งคนเก่ง’ ยังคงรุนแรง

 

เหตุผลที่เป็นเช่นนั้น  เพราะอัตราการเกิดของประเทศไทยน้อยลง ทำให้คนที่จะเข้าสู่วัยแรงงานลดลงไปด้วย บวกกับตอนนี้ตลาดแรงงานเดินหน้าสู่ ‘ยุคผลัดใบ’ อย่างชัดเจน โดย Baby Boomer กลุ่มที่เคยมีส่วนสำคัญในตลาดนี้ได้เกษียณอายุไปเกือบหมด และกลุ่ม Gen X, Gen Y รวมถึง Gen Z ได้ก้าวมามีบทบาทในการขับเคลื่อนตลาดแรงงานมากขึ้น

 

ภาพดังกล่าว ทำให้ปัจจัยในการตัดสินใจจะเข้าทำงานหรือเลือกเติบโตต่อกับองค์กรใดองค์กรหนึ่งของคนทำงานเปลี่ยนแปลงไป และแต่ละเจนก็มีความต้องการในเรื่องนี้แตกต่างกัน ซึ่งองค์กรต้องปรับตัวตามเทรนด์ที่เกิดขึ้นให้ทัน หากทำไม่ได้ นั่นหมายถึงอาจเสียโอกาสในการจะดึงดูดคนเก่งเข้ามาร่วมงาน และต้องเผชิญกับความท้าทายในยุคที่พนักงานเลือกงานมากขึ้น

 

“ยุคก่อนคนส่วนใหญ่จะมองเรื่องเงินเดือนดี สวัสดิการเด่น เทรนนิ่งเยี่ยม แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้วยังมีคุณภาพชีวิตอื่น ๆ ที่ต้องตอบโจทย์คนทำงานยุคปัจจุบัน ซึ่งเรื่องเหล่านี้ไม่ใช่แค่ดึงคนเก่งเข้ามาในองค์กรเท่านั้น ยังหมายรวมถึงการรักษาคนเก่งให้อยู่กับองค์กรในระยะยาวด้วย”

 

การสำรวจของ WorkVenture พบว่า 10 อันดับเหตุผลที่ก่อนจะตัดสินใจไปร่วมงานกับองค์กรใดองค์กรหนึ่งก็ตามในปี 2025 ได้แก่

 

อันดับ 1 เงินเดือน : 74%

อันดับ 2 สวัสดิการ : 63%

อันดับ 3 ความก้าวหน้าในสายอาชีพ : 59%  

อันดับ 4 ความมั่นคงในการจ้างงาน : 56%

อันดับ 5 Work Life balance : 55%

อันดับ 6 Office / Workplace : 50%

อันดับ 7 ทีมเวิร์ค/ความร่วมมือกัน : 44%

อันดับ 8 ความเป็นมืออาชีพ : 43%

อันดับ 9 การเคารพให้เกียรติ/การเข้าอกเข้าใจต่อกัน : 42%

อันดับ 10 วัฒนธรรมองค์กร : 41%

เมื่อมาอยู่ในองค์กรแล้ว เหตุผลที่เลือก ‘อยู่ต่อ’ หรือ ‘โบกมือลาไปหางานใหม่’ ของพนักงาน 10 อันดับแรก ได้แก่

 

อันดับ 1 เงินเดือน : 61%

อันดับ 2 สวัสดิการ : 57%

อันดับ 3 Office / Workplace : 55%

อันดับ 4 ความก้าวหน้าในสายอาชีพ : 54%

อันดับ 5 Work Life balance : 54%

อันดับ 6 ความมั่นคงในการจ้างงาน : 52%

อันดับ 7 ทีมเวิร์ค/ความร่วมมือกัน : 49%

อันดับ 8 การเคารพให้เกียรติ/การเข้าอกเข้าใจต่อกัน : 47%

อันดับ 9 สภาพแวดล้อมที่สร้างสรรค์และคล่องตัวสูง (เป็นเหตุผลใหม่ที่เกิดขึ้นในปีนี้) : 41%

อันดับ 10 การสื่อสาร  : 39%

จีรวัฒน์ ย้ำว่า แม้เงินเดือนและสวัสดิการยังคงเป็นปัจจัยหลักในการเลือกจะทำงานกับองค์กรใด แต่จะเห็นว่า การให้ความสำคัญกับเรื่องอื่น ๆ มีมากขึ้นตาม Generation ในตลาดแรงงานที่เปลี่ยนไป

 

อย่าง Gen Z จะมีการคาดหวัง ‘ความก้าวหน้า’ ในสายอาชีพไม่เหมือนคนยุคก่อน โดยพวกเขาต้องการความชัดเจน เช่น ภายใน 3 ปี จะโตหรือไม่ และโตอย่างไร ? 

 

หากองค์กรตอบไม่ได้ พวกเขาก็พร้อมโบกมือลาทันที 

 

น่าสนใจไปกว่านั้น คือ ความก้าวหน้าที่ Gen Z คาดหวังไม่จำเป็นต้องได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็น ‘หัวหน้า’ แต่หมายถึงการได้รับการมอบหมายให้ดูแลโปรเจ็คใหญ่ การได้พัฒนาสกิลมากขึ้น และเป็นกลุ่มคนที่ให้ความสำคัญกับ Work Life balance มากกว่าเจนอื่น

ขณะที่สิ่งที่ ‘นายจ้าง’ หรือ ‘องค์กร’ มีความคาดหวังจากคนทำงาน นอกเหนือจาก ‘ทักษะที่สอดคล้องกับงานหรือตำแหน่งที่ทำ’ หลัก ๆ คือ

1.‘การเข้ากันได้กับวัฒนธรรมองค์กร’ เพราะไม่ว่าจะเก่ง หรือเจ๋งมาจากไหน แต่ถ้าไม่สามารถเข้ากับวัฒนธีรรมองค์กรได้ ก็ไปไม่รอด 2. ‘การเอนเกจกับองค์กร’ หรือการมีส่วนร่วม พร้อมลุยกับการทำงานไปด้วยกัน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้

 

3.‘ทัศนคติต่อการเปลี่ยนแปลง’ 4. ‘การทันต่อเทคโนโลยี’ เนื่องจากองค์กรมองคนรุ่นใหม่ เป็น Generation of Tomorrow ที่มาพร้อมเทคโนโลยี และ 5. ‘มาแล้วสามารถทำงานได้เลย ไม่ต้องเทรนนิ่ง’

 

จากการได้ศึกษาการสร้างแบรนด์นายจ้างจากองค์กรชั้นนำทั้งในประเทศและต่างประเทศในหลายอุตสาหกรรม พบว่า เทรนด์การสร้างแบรนด์นายจ้างในปี 2568 เทรนด์ที่กำลังมาแรงในไทย ได้แก่

 

เทรนด์ที่ 1 การผสาน ESG เข้ากับการสร้างแบรนด์นายจ้าง

 

การผสานแนวคิด ESG (Environmental, Social, Governance) ในการสร้างแบรนด์นายจ้างมีความสำคัญมากขึ้นในปีนี้ เนื่องจากคนรุ่นใหม่ เช่น Millennials และ Gen Z ให้ความสำคัญกับคุณค่าที่องค์กรยึดถือ โดยเฉพาะเรื่อง ‘ความยั่งยืนและจริยธรรม’ ซึ่งทำให้องค์กรที่มีการดำเนินงานตามหลัก ESG จะกลายเป็น ‘Employer of Choice’ สามารถดึงดูดพนักงานรุ่นใหม่ได้มากขึ้น

 

เทรนด์ที่ 2 สื่อสารผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล

 

ในปี 2568 แพลตฟอร์มอย่าง Facebook, Instagram, YouTube และ TikTok จะกลายเป็นเครื่องมือหลักที่องค์กรไทยใช้ในการสร้างแบรนด์นายจ้าง เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายโดยเฉพาะในกลุ่มพนักงานรุ่นใหม่ที่ใช้โซเชียลมีเดียค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับองค์กรและวัฒนธรรมการทำงาน โดยส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นสร้างเนื้อหาที่น่าสนใจและตรงกับกลุ่มเป้าหมาย เช่น

-การเล่าเรื่องราวของพนักงาน (Employee Storytelling) สะท้อนความเป็นจริงในองค์กร และสร้างการเชื่อมโยงแบบเข้าถึงง่าย

– วิดีโอสั้นที่สนุกและทันสมัย เช่น TikTok หรือ Reels จะมีบทบาทในการนำเสนอวัฒนธรรมองค์กร

– ดึงพนักงานเข้ามาทำหน้าที่ แบรนด์แอมบาสเดอร์ ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือ และสะท้อนความโปร่งใส

 

เทรนด์ที่ 3 ต้องมีการพัฒนา EVP

 

Employer Value Proposition หรือ EVP คือ ‘คำมั่นสัญญาขององค์กร’ ที่สะท้อนถึงคุณค่าและประสบการณ์ที่พนักงานจะได้รับ ซึ่ง EVP ที่ชัดเจนและโดดเด่นไม่เพียงแต่จะดึงดูดผู้สมัครที่มีศักยภาพ แต่ยังช่วยสร้างความผูกพันกับพนักงานในระยะยาว และเป็นปัจจัยสำคัญในตลาดแรงงานที่มีการแข่งขันสูง โดยเฉพาะในประเทศไทยที่องค์กรต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทั้งโครงสร้างองค์กร และวิสัยทัศน์องค์กร เช่น การเปลี่ยนผู้นำหรือการรีแบรนด์ ฯลฯ

 

ทั้งหมด เป็นสิ่งที่องค์กรจะต้องนำมาวางกลยุทธ์และยกระดับพัฒนาประสบการณ์การทำงานให้กลายเป็นจุดขายสำหรับสร้างแบรนด์องค์กรในฐานะนายจ้างให้สามารถสู้ได้ในยุคตลาดแรงงานผลัดใบ และมีการแข่งขันรุนแรงมากยิ่งขึ้นในปี 2025

]]>
1508175
เฟรเซอร์ส หนี EEC แข่งดุ ขยายลงทุนอาเซียน-ตั้งอาณาจักรอุตสาหกรรมย่านบางนา 4,600 ไร่ https://positioningmag.com/1508110 Sat, 25 Jan 2025 02:15:41 +0000 https://positioningmag.com/?p=1508110 ที่ผ่านมา ประเทศไทย มีการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ปี 2567 จำนวน 2,050 โครงการ เพิ่ม 51% คิดเป็นมูลค่า 832,114 ล้านบาท เพิ่ม 25% เมื่อเทียบกับปีก่อน (YoY) โดยสัดส่วนการลงทุนกว่า 68% กระจุกตัวพื้นที่ภาคตะวันออก หรือ EEC (อ้างอิงข้อมูลบีโอไอ)

นายพีระพัฒน์ ศรีสุคนธ์ รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ อินดัสเทรียล (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า คลังสินค้าและโรงงานให้เช่า เติบโตขึ้นจากการย้ายฐานการผลิตในต่างประเทศมายังไทย และอาเซียน สะท้อนจากอัตราการเช่ารวมของพอร์ตฯ อยู่ที่ 88%

ผู้บริหารเฟรเซอร์ส
(คนขวาสุด) นายพีระพัฒน์ ศรีสุคนธ์ รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ อินดัสเทรียล (ประเทศไทย)

จากปัจจุบันมีพื้นที่เช่ารวม 3.66 ล้านตร.ม. ในไทยประมาณ 3.3 ล้านตร.ม. และอีก 3.6 แสนตร.ม. อยู่ในเวียดนาม และอินโดนีเซีย

โดยปี 2568 มีแผนขยายพื้นที่อสังหาอุตสาหกรรมเพิ่มกว่า 150,000 ตร.ม. ภายใต้งบประมาณ 3,000 ล้านบาท แบ่งเป็น

  • ประเทศไทย จำนวน 100,000 ตร.ม.
  • ประเทศเวียดนาม 30,000 ตร.ม.
  • ประเทศอินโด 25,000 ตร.ม.

“อัตราการเช่าโรงงานและคลังสินค้าของเฟรเซอร์ส ในไทย 88% เวียดนาม 100% และอินโดนีเซีย 100% สะท้อนดีมานด์ของกลุ่มทุนที่ไหลเข้ามาในอาเซียน และปี 2568 เตรียมลุยประเทศในอาเซียนใหม่ ๆ เพิ่มอีก แต่ขอดูจาก FDI ของแต่ละพื้นที่ก่อน”

สำหรับในไทย ปีนี้เน้นขยายพื้นที่บางพลี เพราะใกล้สนามบินและ กทม. ส่วนพื้นที่ EEC คงไม่มีการเปิดเพิ่มตอนนี้ เพราะมีผู้เล่นรายใหญ่และโลคอลเข้ามาจำนวนมาก ส่งผลให้แข่งขันดุเดือด ทำให้เกิดสงครามราคา เพื่อแย่งผู้เช่า ตัดราคาประมาณ 10 บาท/ตร.ม./เดือน เช่น

  • ค่าเช่าโรงงาน ตามปกติราคา 180-220 บาท/ตร.ม./เดือน มีการตัดราคากันจนราคาลงไป 170-210 บาท/ตร.ม./เดือน
  • คลังสินค้า ตามปกติราคา 145-165 บาท/ตร.ม./เดือน ลดลงเหลือ 135-155 บาท/ตร.ม./เดือน

“การขยับราคาในพื้นที่แข่งขันสูงลำบาก และเฟรเซอร์สฯ ไม่เล่นสงครามราคา มีบ้างที่ลูกค้าไปหาเจ้าที่ถูกกว่า แต่สุดท้ายก็กลับมาที่เราเพราะตอบโจทย์มากกว่า ทำให้อัตราการต่อสัญญาลูกค้าเดิมของบริษัทฯ สูงถึง 80%”

นอกจากนี้ บริษัทจะเข้าไปร่วมพัฒนาโครงการ Industrial Township พื้นที่ 4,600 ไร่ ตั้งอยู่บริเวณ ถ.บางนา -ตราด กม.32 ในรูปแบบการร่วมทุน (JV) ซึ่งพร้อมเปิดตัวโครงการในเดือน ก.พ. 2568

“ปีนี้บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้รวม 16,000 ล้านบาท เติบโต 11% (YoY) ในจำนวนนี้เป็นรายได้ของอสังหาอุตสาหกรรมสัดส่วน 20-25%”

]]>
1508110
การตลาดผ่าน “ซองทิชชู” ฉบับ A money ทำไมสินเชื่อต้องแจกทิชชูแทนใบปลิว? https://positioningmag.com/1508018 Fri, 24 Jan 2025 07:34:18 +0000 https://positioningmag.com/?p=1508018
  • ธุรกิจสินเชื่อในไทยที่มีบริษัทแม่เป็นบริษัทญี่ปุ่นมักใช้ “ทิชชู” เป็นเครื่องมือการตลาดควบคู่ใบปลิว เพื่อใช้โปรโมต 
  • เหตุผลที่ใช้ทิชชูเพราะดึงดูดลูกค้ามากกว่า เอาไปใช้งานต่อได้ ถ้าเทียบกับใบปลิวที่รับแล้วอาจจะทิ้งเลย
  • ยอดการสมัครสินเชื่อมาจากทิชชูเป็นอันดับหนึ่ง ถือว่าเป็นวิธีที่ได้ผล
  • ไอเดียจากประเทศญี่ปุ่น

    หลายคนอาจจะเคยเห็น หรือเคยได้รับ “ซองทิชชู” แจกฟรีจากบริษัทสินเชื่อส่วนบุคคล หรือบัตรกดเงินสดตามสถานที่ต่างๆ ซึ่งเป็นการแจกซองทิชชูเหมือนแจกใบปลิวเลย หลายคนต้องแวะรับ ถ้าใครเดินผ่านก็ยังต้องเดินกลับมารับเลยก็มี เพราะสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง ต่างจากใบปลิวที่ถ้าได้รับมาก็คงหย่อนลงถังขยะในทันที หรือเลือกที่จะไม่รับเลยตั้งแต่แรก

    กลยุทธ์นี้ได้เริ่มต้นจากบริษัทสินเชื่อใหญ่ๆ อย่าง Umay+ และ A money ที่มีบริษัทแม่เป็นบริษัทญี่ปุ่น ได้นำไอเดียนี้ที่ใช้ในญี่ปุ่นแล้วประสบความสำเร็จมาใช้ในประเทศไทย กลายเป็นกลยุทธ์หลักในการสื่อสารกับลูกค้าที่ใช้ควบคู่กับสื่ออื่นๆ

    สมพร บุญเกิด ผู้อำนวยการฝ่ายวางแผนและกลยุทธ์การตลาด บริษัท ไอร่า แอนด์ ไอฟุล จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการสินเชื่อ A money ได้เริ่มเล่าว่า

    “จริงๆ การใช้ซองทิชชู่ไม่ได้เป็นสิ่งใหม่ ต้นฉบับมาจากญี่ปุ่น เป็นเครื่องมือหลักในการทำประชาสัมพันธ์ที่ดีที่สุด ถ้าไปแจกใบปลิวลูกค้าไม่เข้าหา พอใช้ทิชชู่ลูกค้าจะเข้าหา Win-Win ทั้ง 2 ฝ่าย ได้ PR โลโก้บริษัท และมีทิชชูใช้ และมีการ Remind ซ้ำๆ เพราะไม่ได้ใช้หมดในครั้งเดียว ต้องมีการหยิบมาใช้เรื่อยๆ”

    โดยธุรกิจสินเชื่อมีการโฆษณาผ่านช่องทางออฟไลน์เป็นหลัก ทาง A money ได้ใช้ซองทิชชูควบคู่กับการแจกใบปลิว เป็นการผนึกกำลังกันเสียมากกว่า ซองทิชชูได้ในแง่ของการสร้างการรับรู้ การเข้าถึงลูกค้า แต่ใบปลิวจะได้ในการโปรโมตแคมเปญ ได้ใส่รายละเอียดทุกอย่าง เพราะซองทิชชูไม่สามารถใส่รายละเอียดของแคมเปญได้หมด 

    โดยในระบบหลังบ้านจะมีข้อมูลอยู่ว่าลูกค้ามาสมัครสินเชื่อจากช่องทางไหน ถ้าการสมัครที่สาขา ซองทิชชูยังเป็นสื่ออันดับหนึ่งที่ช่วยดึงลูกค้าใหม่ๆ ได้  

    ทิชชูแดงรับตรุษจีน

    แม้ในปีนี้ทิศทางตลาดจะเริ่มเปลี่ยนเล็กน้อย มีการเน้นสื่อออนไลน์มากขึ้น เพราะต้องอาศัยความเร็วในการสมัคร และการอนุมัติสินเชื่อ แต่ซองทิชชูก็ยังคงต้องใช้อย่างต่อเนื่อง เพียงแต่ปีนี้มีกิมมิคอยู่ที่ใช้ “ซองทิชชูสีแดง” สร้างสีสันใหม่ๆ เพื่อรับกับเทศกาลปีใหม่ และตรุษจีน

    “เราเริ่มใช้ซองทิชชูแดงตั้งแต่ช่วงเทศกาลคริสต์มาสเมื่อปลายปีที่แล้ว เพื่อรับกับช่วงเทศกาลปีใหม่ และตรุษจีน ใช้ทิชชูสีแดงเพื่อสร้างสีสันใหม่ๆ กระตุ้นให้ลูกค้าอยากใช้มากขึ้น อีกทั้งสีแดงยังเป็นสีประจำบริษัท เป็นการกระตุ้นการรับรู้แบรนด์ได้ด้วย”

    ในแต่ละปีมีการผลิตซองทิชชูประมาณ 100,000 ชิ้น ในปีนี้ก็ผลิตในจำนวน 100,000 ชิ้นเช่นเดียวกัน 

    ถามว่าในอนาคตจะได้เห็นซองทิชชูรับกับเทศกาลอื่นๆ อีกหรือไม่ สมพรบอกว่าต้องรอดูผลตอบรับจากแคมเปญนี้ก่อน 

    สินเชื่อแข่งดุ ชิงความเร็ว ต้องเป็น 1 ใน 3

    A money เป็นหนึ่งในผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดสินเชื่อส่วนบุคคลกลุ่ม Non-bank ในไทย บริหารโดย บริษัท ไอร่า แอนด์ ไอฟุล จำกัด (มหาชน) ก่อตั้งเมื่อปี 2557 ด้วยทุนจดทะเบียน 1,000 ล้านบาท เป็นการร่วมทุนระหว่าง บริษัท ไอร่า แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) และบริษัท ไอฟุล คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้ให้บริการธุรกิจการเงินจากประเทศญี่ปุ่น

    มีบริการหลักก็คือ สินเชื่อส่วนบุคคล และนาโนไฟแนนซ์ แต่รายได้หลักมาจากสินเชื่อส่วนบุคคล 80-90% ลูกค้าหลักเป็นกลุ่มพนักงานประจำ อายุตั้งแต่ 25 ปีขึ้นไป รายได้ตั้งแต่ 5,000 บาท แต่ไม่เกิน 30,000 บาท ส่วนนาโนไฟแนนซ์เน้นที่บุคคลที่ไม่มีรายได้ประจำ ไม่มีสลิปเงินเดือน เช่น กลุ่มฟรีแลนซ์ พ่อค้าแม่ค้าต่างๆ

    สมพร เสริมอีกว่า ตลาดสินเชื่อในปัจจุบันมีการแข่งขันสูงมาก เพราะผู้เล่นธนาคารก็ลงมาจับตลาดนี้ และกฎเกณฑ์ของแบงก์ชาติที่กำหนดให้บุคคลเดียวสามารถสมัครสินเชื่อได้แค่ 3 บริษัทเท่านั้น ทำให้บริษัทต้องเน้นที่ “ความเร็ว” เป็นหลัก ทั้งเร็วเรื่องการเข้าถึง และอนุมัติเร็ว ต้องทำให้ตัวเองเป็น 1 ใน 3 ให้ได้ 

    “ตอนนี้การแข่งขันเน้นที่การอนุมัติเร็ว ใครเร็วใครได้ ใครๆ ก็อยากเป็น 1 ใน 3 เลยต้องเน้นระบบออนไลน์ สมัครผ่านมือถือ ผ่าน e-KYC อยู่บ้านก็สมัครได้ไม่ต้องไปที่สาขา”  

    ปัจจุบัน A money มีฐานลูกค้ารวมกว่า 500,000 ราย ยังเน้นการเติบโตตามเป้า จะโฟกัสที่ช่องทางออนไลน์เป็นหลัก

    ]]>
    1508018
    “เวิ้งนครเกษม” แลนด์มาร์กไชน่าทาวน์ใหญ่สุดในโลก เปิดเฟสแรกไตรมาส 4 ปี 69 https://positioningmag.com/1507901 Thu, 23 Jan 2025 11:57:55 +0000 https://positioningmag.com/?p=1507901 “เวิ้งนครเกษม” ลงเสาเอกแล้ววันนี้ หลังกลุ่มทีซีซีของ “เจ้าสัวเจริญ” ซื้อที่ดินขนาด 14 ไร่ จาก “ราชสกุลบริพัตร” มูลค่าเกือบ 5 พันล้านบาท ตั้งแต่ปี 2555 และปัจจุบันกลุ่ม AWC จะใช้เวลาราว 5 ปี (พ.ศ. 2568 – 2572) ในการพัฒนาโครงการขึ้น เชื่อมการท่องเที่ยวเยาวราชไว้ด้วยกัน

    “วัลลภา ไตรโสรัส” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. แอสเสทเวิรด์ คอร์ป (AWC) เปิดเผยว่า เวิ้งนครเกษม เยาวราช ใช้งบลงทุน 16,000 ล้านบาท ขึ้นแท่นมิกซ์ยูสของบริษัทที่ใหญ่ที่สุด และมีมูลค่าสูงสุดในปัจจุบัน

    เวิ้งนครเกษม

    ตั้งอยู่ใจกลางเยาวราช บนที่ดิน 14 ไร่ หนึ่งในย่านการค้าเก่าแก่ เพื่อเชื่อมโยงการท่องเที่ยวเชิงไลฟ์สไตล์ไว้กับวัฒนธรรมไทย-จีน

    “จุดเด่น เวิ้งนครเกษม จะคงสถาปัตยกรรมเดิมที่เป็นเสน่ห์ไว้ เพื่อเป็นแลนด์มาร์กการท่องเที่ยวไชน่าทาวน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย”

    แผนที่ตั้ง เวิ้งนครเกษม

    สำหรับเวิ้งนครเกษม ตั้งอยู่บนยุทธศาสตร์ติดถนน 3 เส้นทาง คือ ถนนเยาวราช ถนนเจริญกรุง และถนนจักรวรรดิ

    โดยมีพื้นที่ใช้สอยรวม 135,000 ตร.ม. ห้อมล้อมด้วยตึกแถวที่อนุรักษ์ไว้ พื้นที่ข้างในจะเป็นส่วนทำกิจกรรม และตัวตึกจำนวน 2 ตึก เป็นตึก 10 ชั้น พ่วงด้วยชั้นใต้ดินอีก 5 ชั้น เป็นรีเทล 2 ชั้น และลานจอดรถ 3 ชั้น

    เวิ้งนครเกษม ด้านติดถนนเยาวราช
    เวิ้งนครเกษม ด้านติดถนนเยาวราช มีตึกแถวทรงดั้งเดิมล้อมรอบ

    การพัฒนาแบ่งออกเป็น 3 เฟสใหญ่ ดังนี้

    • เฟส 1 ส่วนย่านการค้า (ตึกแถว) จำนวน 5 บล็อก เปิดไตรมาส 4 ปี 2569
    • เฟส 2 ค้าปลีก ชั้นใต้ดิน ขนาด 68,000 ตร.ม. (ยังไม่ระบุช่วงเวลา)
    • เฟส 3 โรงแรม รวมห้องพัก 500 ห้อง คือ โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล จำนวน 300 ห้องพัก และโรงแรมคิมป์ตัน จำนวน 200 ห้อง

    “โดยโครงการตั้งเป้าเปิดตัวเต็มรูปแบบในปี 2572 ซึ่งจะเป็นการเชื่อมต่อการท่องเที่ยวทั้งย่านเยาวราช ซึ่งจะมีการสร้างรถรางไฟฟ้า พาท่องเที่ยวอย่างทั่วถึงอีกด้วย”

    ตัวอย่างภาพเวิ้งนครเกษม

    ]]>
    1507901
    จับกระแส ‘ตลาดอีคอมเมิร์ซไทย’ ปี 2025 มีอะไรเปลี่ยนแปลงและน่าสนใจแค่ไหน? https://positioningmag.com/1507743 Thu, 23 Jan 2025 06:27:59 +0000 https://positioningmag.com/?p=1507743 ช่วงที่ผ่านมาตลาดอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยมีการเติบโตและความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจ โดยปีที่ผ่านมามีมูลค่า 1 ล้านล้านบาท สูงเป็นอันดับ 2 เป็นรองแค่อินโดนีเซีย ส่วนในปีนี้ตลาดอีคอมเมิร์ซในบ้านเราก็ยังเป็นสนามแข่งขันที่ดุเดือด ซึ่งทาง Priceza ได้สรุปทั้งมูลค่าและประเมินเทรนด์ต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในปีนี้ไว้อย่างน่าสนใจ

    มูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซในประเทศไทย

    ปี 2024 มูลค่า 1 ล้านล้านบาท เติบโต 9%

    ปี 2025 มูลค่า 1.07 ล้านล้านบาท เติบโต 7%

    ปี 2030 มูลค่า 2 ล้านล้านบาท

    สำหรับช่องทางออนไลน์ที่คนไทยซื้อสินค้าออนไลน์

    • 50% ซื้อผ่าน Marketplace เช่น shopee, Lazada, Konvy ฯลฯ

    • 20% ซื้อผ่าน Video Commerce เช่น TikTok, Facebook, IG, YouTube ซึ่งช่องทางนี้เป็นช่องทางใหม่และกำลังมาแรง

    • 18% ซื้อผ่าน Social Commerce เช่น Facebook, Line, IG, X  ฯลฯ

    • 8% ซื้อผ่าน Quick Commerce & Grocery เช่น Grab, Lineman, 7-Eleven delivery, Big c ฯลฯ

    • 4% E-Tailers และ Brand.com เช่น Powerbuy Boots Banana ฯลฯ

    5 เทรนด์อีคอมเมิร์ซ ปี 2025

    เทรนด์ที่ 1 The Rise of Affiliate Commerce : อีคอมเมิร์ซพันธุ์ใหม่จะขับเคลื่อนการเติบโตของอีคอมเมิร์ซในปี 2025 โดยแบรนด์ต่างๆ ได้นำกลยุทธ์ Affiliate Commerce ไปใช้กับการขายสินค้าด้วยการหลอมรวมในทุกช่องทางอีคอมเมิร์ซ โดยธุรกิจควรจับมือร่วมกับ Content creator เพื่อผลลัพธ์ทางการตลาดและยอดขายที่ดีมากขึ้น เพราะจากผลสำรวจพบว่า 83% ของคนไทย เลือกซื้อสินค้าตาม Influencer แนะนำ

    สำหรับสิ่งที่จะขับเคลื่อน Affiliate Commerce เติบโต ได้แก่ 3C ประกอบด้วย Creators (ผู้สร้างสรรค์), Content (คอนเทนต์ เนื้อหาของสื่อ) และ Commerce (การค้าขาย) หมายความว่า ผู้บริโภคชอบคอนเทนต์ที่ดี และจากคอนเทนต์ที่ดี จะนำไปสู่การสร้างยอดขายให้กับแบรนด์ และสามารถวัดผลได้

    เทรนด์ที่ 2 Competition in Thailand E-Commerce is Heating Up : ตลาดอีคอมเมิร์ซไทยเปิดทางให้เกิดการแข่งขันแบบเสรีขั้นสุดจากผู้ขายทั่วโลก

    ปี 2025 จะเป็นปีแห่งการแข่งขันที่หนักหน่วงของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ เนื่องจากผู้ค้าออนไลน์ หลีกเลี่ยงการแข่งขันไม่ได้อีกต่อไป ซึ่งทาง Priceza ประเมินว่า ใน 3 แพลตฟอร์มใหญ่อย่าง Shopee, Lazada, TikTok มีผู้ขายรวมกันมากถึง 3 ล้านราย มีสินค้ากว่า 300 ล้านรายการ

    สำหรับเหตุผลที่ผู้บริโภคจะตัดสินใจซื้อผ่านแพลตฟอร์มใด ขึ้นอยู่กับ

    54% คูปองและส่วนลด

    51.8% การจัดส่งฟรี

    40.4% บริการเก็บเงินปลายทาง

    30.7% คืนสินค้าง่าย

    27.4% รีวิวจากลูกค้า

    จากภาพดังกล่าว ทำให้แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซต่าง ๆ จึงพยายามทำให้เกิดการแย่งกันสร้างสินค้าและตั้งราคาถูกมาก ด้วยการดึงผู้ขายทั้งรายย่อย รายใหญ่ แบรนด์ต่าง ๆ รวมถึงโรงงานจีนและผู้ขายจากต่างประเทศให้เข้ามาเปิดช้อปบนแพลตฟอร์มของตัวเอง เพราะเมื่อมีผู้ขายเยอะ ยิ่งมีการแข่งขันและตั้งราคาให้ถูกลง ซึ่งจะดึงดูดให้ผู้บริโภคมาซื้อสินค้าบนออนไลน์มากขึ้น

    วิธีนี้ แม้ผู้บริโภคจะได้ผลประโยชน์จากสินค้าราคาถูกลง ขณะเดียวกันก็ส่งผลกระทบต่อธุรกิจเล็ก ๆ ในประเทศ เพราะสินค้าราคาถูกจากจีนจะไหลเข้ามามากขึ้น โดยตอนนี้สินค้าจีนราคาไม่เกิน 1,500 บาท ได้รับการยกเว้นภาษีศุลากร ดังนั้นผู้ประกอบการไทยจำเป็นต้องมีการปรับตัว

    เทรนด์ที่ 3 E-commerce Listening : ช่วยเปิดทางทำธุรกิจออนไลน์แบบ ‘รู้เขา รู้เรา’ เสริมแกร่งธุรกิจไทยแข่งขันในตลาดอีคอมเมิร์ซที่การแข่งขันสูง

    จากการแข่งขันอย่างดุเดือดในธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ทำให้ปัจจุบันหลายแบรนด์ได้นำ E-commerce Listening เข้ามาใช้ เป้าหมายไม่ใช่แค่ทำความรู้จักและเข้าใจ ‘ลูกค้า’ เท่านั้น แต่ยังเป็นการเข้าใจ ‘คู่แข่ง’ ให้มากขึ้นด้วยเช่นกัน

    สำหรับ E-commerce Listening ที่หลายแบรนด์นำมาใช้ จะประกอบด้วย 3C ได้แก่ Consumer (ลูกค้า) , Company (บริษัทของเรา) และ Compactors (คู่แข่ง) โดยต้องเจาะข้อมูลเชิงลึกในการจะเข้าใจว่าลูกค้าซื้ออะไรจากคู่แข่ง วิธีการขายหรือจำนวนชิ้นที่คู่แข่งขายได้ เพื่อให้รู้จักคู่แข่งได้ดีเท่ากับรู้จักลูกค้า สำหรับนำมาวางกลยุทธ์ได้อย่างถูกต้องและแม่นยำมากที่สุด

    เทรนด์ที่ 4 E-Commerce Business Model Evolution : จากตลาดอีคอมเมิร์ซที่แข่งขันดุเดือด ทำให้ผู้เล่นต้องปรับเปลี่ยนให้เกิดโมเดลธุรกิจใหม่ ๆ โดยธุรกิจค้าปลีกรายใหญ่ของไทยได้ปรับโมเดลสู่การเน้นขายผ่านบ้านหลักของตัวเองมากขึ้นในปี 2025 ได้แก่

    Consignment Model หรือระบบการฝากขาย ที่เน้นสินค้าราคาถูก และแพลตฟอร์มจะเป็นผู้ทำตลาดให้เอง ซึ่งในปีนี้จะเห็นหลายแพลตฟอร์มขยับมาสู่โมเดลนี้กันมากขึ้น

    Vertical Marketplace แพลตฟอร์มที่ขายสินค้าเฉพาะเจาะจง เช่น Home Pro , Konvy, NocNoc เป็นต้น จะทำให้ผู้บริโภครู้สึกว่า เป็นมาร์เก็ตเพลสที่สามารถตอบโจทย์สินค้าเฉพาะกลุ่มได้มากกว่า

    Refocus on Own Retail Channel ปีนี้แพลตฟอร์มอย่าง Shopee Lazada จะมีการขยับราคาค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ข้อมูลลูกค้าที่ขายผ่านทางมาร์เก็ตเพลส จะอยู่กับแพลตฟอร์ม ทำให้ให้บรรดาแบรนด์ และรีเทลต่าง ๆ หันมาให้ความสำคัญกับช่องทางขายของตัวเองมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์หรือแอปฯ

    เทรนด์ที่ 5 Fast Delivery Like a Devil : ปีแห่งการส่งของไวเป็นปีศาจ ผู้บริโภคยุคใหม่ไม่อดทนรอสินค้าได้นาน หากผู้ขายรายใหม่สามารถส่งสินค้าภายในวันที่สั่งของได้ ผู้บริโภคก็พร้อมย้ายเจ้า และการส่งด่วนจากแพลตฟอร์มหรือร้านค้าต่าง ๆ นี่เองมีส่วนส่งเสริมให้ตลาด Quick Commerce เติบโตต่อเนื่องราว ๆ 20-30%  ต่อปี

     

    ]]>
    1507743
    แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เปิดตัวโครงการใหม่ ปี 68 ลดลง 64% น้อยสุดในรอบ 20 ปี https://positioningmag.com/1507698 Wed, 22 Jan 2025 14:24:13 +0000 https://positioningmag.com/?p=1507698 อสังหาฯ ซึมยาว? พี่ใหญ่ “แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์” ปรับแผนปี 68 เปิดตัว 4 โครงการ มูลค่า 1.1 หมื่นล้าน ลดลง 64% ต่ำสุดรอบ 20 ปี ปีนี้ขอเน้นธุรกิจโรงแรม โละขายอะพาร์ตเมนต์ในอเมริกา

    นายวัชริน กสิณฤกษ์ กรรมการผู้จัดการสายงานปฏิบัติการ โครงการบ้านจัดสรร บมจ. แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LH) เปิดเผยว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ ปี 2568 เผชิญแรงกดดัน จากยอดคงค้างหนี้เสีย (NPL) ของกลุ่มบ้าน

    นายวัชริน กสิณฤกษ์ กรรมการผู้จัดการสายงานปฏิบัติการ โครงการบ้านจัดสรร บมจ. แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LH)
    นายวัชริน กสิณฤกษ์ กรรมการผู้จัดการสายงานปฏิบัติการ โครงการบ้านจัดสรร บมจ. แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LH)

    สะท้อนจากข้อมูลของ REIC ระบุ ยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัย กทม. และปริมณฑล ช่วง 10 เดือนแรกของปี 2567 ลดลง 10% (YoY) โดยยอดโอนฯ บ้านแนวราบหดตัว 22% (YoY) ส่วนคอนโดทรงตัวใกล้เคียงปีที่ผ่านมา

    ขณะที่หน่วยที่อยู่อาศัยเปิดตัวใหม่ ปี 2567 (อ้างอิง AREA) ลดลง 40% (YoY) โดยเฉพาะกลุ่มบ้านเดี่ยว ลดลง 20% (YoY) แต่ความต้องการซื้อก็ยังน้อยกว่าซัพพลายใหม่ที่เข้าตลาดอยู่ 50% ส่งผลให้หน่วยเหลือขายบ้านเดี่ยวเพิ่มสูงขึ้น

    ทำให้ LH ซึ่งมีพอร์ตฯ หลักกว่า 80% เป็นบ้านแนวราบ และกว่าครึ่งเป็นราคา 10 ล้านบาท เผชิญการแข่งขันดุเดือด

    ปี 68 เปิดตัว 4 โครงการ ต่ำสุดในรอบ 20 ปี ชี้แม้บ้านแพง แต่รีเจ็กต์เรตสูง 20%

    นายนพร สุนทรจิตต์เจริญ ประธานกรรมการ บมจ. แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LH) กล่าวว่า จากความท้าทายข้างต้น ประกอบกับในอดีตบริษัทฯ ได้เร่งการเปิดตัวโครงการจำนวนมาก ทำให้มีสินค้าในมือสำหรับการขายเพียงพอ

    ปี 2568 จึงเปิดตัวเพียง 4 โครงการ มูลค่ารวม 11,180 ล้านบาท ลดลง 64% (YoY) จากปีก่อนเปิดตัว 12 โครงการ มูลค่า 30,850 ล้านบาท “ถือเป็นการเปิดตัวใหม่น้อยสุดในรอบ 20 ปี นับตั้งแต่ปี 2547”

    นายนพร สุนทรจิตต์เจริญ ประธานกรรมการ บมจ. แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LH)
    นายนพร สุนทรจิตต์เจริญ ประธานกรรมการ บมจ. แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LH)

    โดย 4 โครงการใหม่ จะเป็นบ้านเดี่ยว ระดับกลาง-บนทั้งหมด ในพื้นที่กรุงเทพ 3 โครงการ และภูเก็ต 1 โครงการ แบ่งเป็นกลุ่มราคา 8-15 ล้านบาท คือ แบรนด์สีวลี และกลุ่มราคา 30-80 ล้านบาท คือ แบรนด์นันทวัน และ VIVE

    ส่งผลให้ปีนี้ บริษัทฯ มีโครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการ 75 โครงการ มูลค่า 93,000 ล้านบาท ราคาเฉลี่ย 10.5 ล้านบาท/หลัง

    ”แม้พอร์ตฯ บริษัทเจาะกลุ่มกลาง-บน แต่พบว่า อัตราการปฏิเสธสินเชื่อที่อยู่อาศัย (รีเจ็กต์ เรต) เพิ่มขึ้น 1 เท่าตัว จากเดิม 10% เป็น 20% ส่วนใหญ่เป็นตลาดกลาง ราคา 7-10 ล้านบาท ส่วนลูกค้าระดับบนที่ซื้อเงินสด เมื่อเซนติเมนต์เศรษฐกิจยังไม่ดี เขาจะชะลอการซื้อเช่นกัน“

    โครงการนันทวัน พูลวิลล่า พระรามเก้า
    โครงการนันทวัน พูลวิลล่า พระรามเก้า

    วางงบลงทุน 8,500 ล้านบาท เน้นโรงแรม จ่อขายอะพาร์ตเมนต์สหรัฐ รับเงิน 12,000 ล้านบาท

    นายอาชวิณ อัศวโภคิน รองกรรมการผู้จัดการและผู้บริหารสูงสุดด้านการเงิน บมจ. แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LH) เปิดเผยว่า บริษัทฯ วางงบลงทุนปีนี้ 8,500 ล้านบาท แบ่งเป็น

    • งบซื้อที่ดินสำหรับพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย 4,000 ล้านบาท
    • งบลงทุนอสังหาฯ เพื่อการเช่า อาทิ โรงแรม 4,500 ล้านบาท
    นายอาชวิณ อัศวโภคิน รองกรรมการผู้จัดการและผู้บริหารสูงสุดด้านการเงิน บมจ. แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LH)
    นายอาชวิณ อัศวโภคิน รองกรรมการผู้จัดการและผู้บริหารสูงสุดด้านการเงิน บมจ. แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LH)

    เบื้องต้น จะเน้นกลุ่มธุรกิจโรงแรม ที่ได้รับอานิสงส์เชิงบวกจากการท่องเที่ยวสูง ทั้งโรงแรมในไทย อาทิ กรุงเทพ ที่มีราคาเฉลี่ยห้องพักต่อคืน (ADR) ตั้งแต่ 4,000-7,000 บาท และอัตราการเข้าพัก (OCC) มากกว่า 80% ส่วนในสหรัฐอเมริกา OCC ก็แตะระดับ 85-90% เช่นกัน

    โดยบริษัทฯ อยู่ระหว่างพัฒนาโรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ 3 แห่งใหม่ คือ

    • ลุมพินี (เปิดไตรมาส 2/68)
    • ราชดำริ 2 (เปิดไตรมาส 1/69)
    • พัทยา 3 (เปิดไตรมาส 1/70)

    รวมถึงศึกษาโอกาสในการเข้าซื้อโรงแรมในสหรัฐอเมริกาเพิ่มเติมอีกด้วย

    อย่างไรก็ตาม เตรียมปรับพอร์ตฯ ทยอยขายธุรกิจอะพาร์ตเมนต์ในสหรัฐอเมริกา 3 แห่ง ได้แก่ Parc, Yard และ Revere มูลค่ารวม 381 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1.2 หมื่นล้านบาท) เนื่องจาก ทำอัตราผลตอบแทน (ยีลด์) ต่ำเพียง 3-4% ต่างจากกลุ่มโรงแรมที่มียีลด์สูง 8-9%

    “ปี 2568 บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขาย 23,000 ล้านบาท และยอดโอนกรรมสิทธิ์ 20,000 ล้านบาท รวมไปถึงรายได้จากอสังหาให้เช่า 9,240 ล้านบาท รวมถึงมีแผนลดหนี้สินต่อทุนให้เหลือ 1 เท่า จากเดิม 1.3 เท่า อีกด้วย”

    อะพาร์ตเมนต์ในสหรัฐอเมริกาของ LH
    อะพาร์ตเมนต์ในสหรัฐอเมริกาของ LH
    ]]>
    1507698
    กูร์เมต์ มาร์เก็ต ชูชุดไหว้ครบครัน ดันยอดจับจ่ายตรุษจีน ปีมะเส็ง 2568 https://positioningmag.com/1507477 Wed, 22 Jan 2025 06:36:23 +0000 https://positioningmag.com/?p=1507477 กูร์เมต์ มาร์เก็ต พรีเมียมซูเปอร์มาร์เก็ตระดับเวิลด์คลาส และ กูร์เมต์ อีทส์ ศูนย์รวมความอร่อยที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ โดยเดอะมอลล์ กรุ๊ป จัดแคมเปญ “GOURMET MARKET JOY LUCK LOVE CHINESE NEW YEAR 2025” ต้อนรับตรุษจีน ปีมะเส็ง 2568 เปิดตัว 7 ชุดไหว้มหามงคลโชคลาภหลั่งไหล รุ่งเรืองไม่หยุดยั้งตอกย้ำต้นตำรับชุดไหว้ที่ครบครัน และถูกหลักการไหว้ พร้อมเพิ่มเซกเมนต์ใหม่จัดชุดถุงส้ม และเซตผลไม้มงคลที่หลากหลาย สวยงาม ทันสมัย ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่นิยมมอบส้มและผลไม้มงคลเป็นของขวัญของไหว้ผู้ใหญ่ในวันตรุษจีน เสริมทัพด้วยสินค้าขายดีรวมกว่า 4,000 รายการ เมนูมงคลจากร้านดังระดับตำนานและร้านเทรนดี้สุดฮิตเกาะติดทุกกระแสรวมกว่า 100 เมนู

    คุณศุภวุฒิ ไชยประสิทธิ์กุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริหารสินค้าซูเปอร์มาร์เก็ตและฟู้ด บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด (Mr. Supawut Chaiprasitkul Chief Business Officer – Supermarket & Food, The Mall Group Co.,Ltd.) กล่าวว่า เทศกาลตรุษจีนนับเป็นหนึ่งในเทศกาลสำคัญของตลาดซูเปอร์มาร์เก็ต เนื่องจากมีลูกค้าทั้งชาวไทยและชาวไทยเชื้อสายจีนมาจับจ่ายของไหว้ และของกินของใช้สำหรับเฉลิมฉลองวันขึ้นปีใหม่จีน กูร์เมต์ มาร์เก็ต ในฐานะซูเปอร์มาร์เก็ตไทยมาตรฐานระดับโลก และเป็นต้นตำรับของการจัดชุดไหว้ที่ครบครัน ถูกหลักการไหว้ รวมถึงการคัดสรรสินค้าคุณภาพเยี่ยมตามธรรมเนียมการไหว้ตรุษจีนของชาวจีนที่มักไหว้ของดี มีคุณภาพ เพื่อความเป็นสิริมงคล นอกจากนี้ยังใส่ใจความต้องการของลูกค้าภายใต้หลัก Customer Come First จึงได้จัดแคมเปญ GOURMET MARKET JOY LUCK LOVE CHINESE NEW YEAR 2025” นำเสนอ 7 ชุดไหว้มหามงคล “โชคลาภหลั่งไหล รุ่งเรืองไม่หยุดยั้ง” ที่ปรับให้เข้ากับความต้องการและสภาพเศรษฐกิจในยุคปัจจุบันมากขึ้น

    “จากการเก็บข้อมูลลูกค้าที่มาจับจ่ายในช่วงตรุษจีนปีที่แล้ว (พ.ศ.2567) พบว่าสินค้าที่ได้รับความนิยมยังเป็นสินค้ากลุ่มชุดไหว้ ได้แก่ ชุดไหว้เปิดประตูเศรษฐี ชุดกระดาษเงินกระดาษทองสำหรับไหว้ไฉ่ซิงเอี๊ย, ชุดไหว้มงคลมหาโชค หรือผลไม้มงคล 5 อย่าง และชุดซาแซมหาเฮง แต่นอกจากสินค้าประเภทชุดไหว้ซึ่งตอบโจทย์ในเรื่องความรวดเร็วและสะดวกสบาย ยังพบว่าลูกค้านิยมซื้อสินค้าไปจัดชุดเองเพื่อควบคุมขนาดชุดไหว้ให้สอดคล้องกับงบประมาณมากขึ้น รวมไปถึงยอดขายในกลุ่มผลไม้มงคลโดยเฉพาะส้มยังเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ เนื่องจากคนยุคใหม่นิยมเลือกซื้อส้มและผลไม้ที่มีแพ็คเกจจิ้งสวยงาม หรือซื้อแล้วนำไปจัดเป็นเซตหรือกระเช้าสวย ๆ เพื่อมอบให้กับผู้ใหญ่ตามธรรมเนียมในช่วงเทศกาลตรุษจีนมากขึ้น ในปีนี้จึงมีบริการจัดชุดไหว้ และเซตผลไม้มงคลหลายรูปแบบ อีกทั้งลูกค้ายังสามารถเลือกซื้อสินค้ามาให้พนักงานช่วยจัดเซตที่บริเวณ Gift & Wrap ซึ่งมีกระเช้าและถุงส้มมงคลหลากหลายแบบให้เลือกสรรถูกใจทั้งผู้ให้และผู้รับ”

    สำหรับ 7 ชุดไหว้มหามงคล ประกอบด้วย ชุดไหว้ทันใจ ครบ จบ ในชุดเดียว ทั้งซาแซ ผลไม้ ขนมมงคล และกระดาษเงิน-กระดาษทอง, ชุดไหว้ซาแซมหาเฮง รวมเนื้อสัตว์มงคลเอสเพียวและเบทาโกร พร้อมกระเป๋าเก็บความเย็น, ชุดไหว้ซีฟู้ดมหาเศรษฐี รวมอาหารทะเลความหมายมงคล, ชุดไหว้มั่งมีเจริญโชค ชุดผลไม้มงคลเกรดพรีเมียม 9 อย่าง, ชุดไหว้สมบูรณ์พูนสุข รวมขนมเทียน ขนมเข่ง จันอับ ขนมเปี๊ยะ และฮวกก้วย, ชุดไหว้รุ่งเรืองเฟื่องฟู ชุดซิ่วท้อ, ซาลาเปาส้ม, หม่าไลโก๊ว, ขนมถ้วยฟู และขนมกุยฉ่ายรูปใบโพธิ์ และชุดไหว้ซาแซมหาทรัพย์ ไก่ต้มขมิ้น, หมูบะแซ และเป็ดย่าง พร้อมหม้อต้มไฟฟ้า เอ็กซ์คลูซีฟจากเบทาโกรและเอสเพียว มีจำหน่ายเฉพาะที่กูร์เมต์ มาร์เก็ตเท่านั้น โดยลูกค้าที่สนใจชุดไหว้สามารถสั่งจองล่วงหน้าที่กูร์เมต์ มาร์เก็ต ทุกสาขา หรือสั่งผ่านบริการ Call Chat Shop ทางโทรศัพท์หรือแชทไลน์ได้ตั้งแต่วันนี้ – 25 มกราคม 2568 พร้อมส่งถึงบ้าน ตั้งแต่วันที่ 25 27 มกราคม 2568

    ส่วนกูร์เมต์ อีทส์ ศูนย์รวมอร่อยตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ นำธรรมเนียของชาวไทยเชื้อสายจีนที่มักนิยมรับประทานอาหารกันแบบพร้อมหน้าพร้อมตาในวันตรุษจีน เป็นโจทย์ในการรวบรวมเมนูมงคลกว่า 100 เมนูจาก 50 ร้านดัง ครอบคลุมทั้งร้านระดับตำนาน และร้านเทรนดี้ ตอบโจทย์ทุกเพศทุกวัย ในคอนเซ็ปต์ “ปีมะเส็งเฮงมาหา มงคลทุกจานโดนทุกเจน” อาทิ เมนูชุดเซตข้าวมันไก่มั่งมี ร้านโกอ่างข้าวมันไก่ประตูน้ำ, ผอบทองเรียกทรัพย์ ร้านกิน กิน ซีฟู้ด, ติ่มซำ จาก จัมโบ้ ซีฟู้ด, หอยจ๊อปูแม่วรรณา, เป็ดย่างและหมูแดง จาก Kuai Le (ไคว่ เล่อ), ทาร์ตไข่ และพายหมูแดง ร้าน Tasty Congee, โคตรทะเลรวมผัดพริกขี้หนู ร้านเฮียให้ และ เต้าทึงรวมญาติ ร้านน้ำเต้าปูปลา เป็นต้น

    “คาดว่าด้วยกลยุทธ์ต่าง ๆ บวกกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลอย่าง Easy E-Receipt 2.0 ซึ่งสามารถนำยอดการใช้จ่ายระหว่างวันที่ 16 มกราคม – 28 กุมภาพันธ์ 2568 ทั้งในห้างสรรพสินค้า และศูนย์การค้าในเครือเดอะมอลล์ กรุ๊ป สูงสุด 30,000 บาท ไปลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 10,500 บาท รวมถึงโปรโมชั่นจากกูร์เมต์ มาร์เก็ต อาทิ สินค้าราคาพิเศษสำหรับสมาชิก M Card, รับฟรี M Cash Coupon มูลค่า 200 บาท เมื่อช้อปครบ 2,500 บาท รวมไปถึงของพรีเมียมที่มีเพิ่มเติมจากปีที่แล้วคือ ปฏิทินจีนมงคล มูลค่า 499 บาท เมื่อช้อปครบ 2,888 บาทขึ้นไป/ใบเสร็จ นอกจากนี้ยังมีผ้าพันคอลายมงคล และองค์เจ้าแม่กวนอิม ให้ลูกค้านำไปบูชาเสริมความมงคลรับปีมะเส็งด้วย จะช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้าง่ายมากขึ้นคุณศุภวุฒิ กล่าวทิ้งท้าย

    ]]>
    1507477
    “โชรส์เบอรี” เปิดตัว ฮั่นชิง โปรแกรมสองภาษาจีน-อังกฤษ อนาคตขยายคอร์สสอนคนทั่วไป https://positioningmag.com/1507401 Tue, 21 Jan 2025 12:01:24 +0000 https://positioningmag.com/?p=1507401 ปัจจุบัน “ภาษา” เป็นกุญแจเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของไทยในเวทีโลกได้ โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ และจีน ที่กำลังเข้ามามีบทบาทในตลาดโลก และเป็นหนึ่งในคู่ค้าสำคัญของไทย

    ”อแมนดา เดนนิสัน“ ครูใหญ่ และครูผู้บริหารรุ่นก่อตั้ง โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ ซิตี้ แคมปัส กล่าวว่า รร. เตรียมเปิดตัวโปรแกรม ฮั่นชิง เส้นทางเรียนรู้สองภาษา คือ จีนกลาง และอังกฤษ (Hanqing Bilingual Pathway) จากเดิมมีเฉพาะหลักสูตรภาษาอังกฤษ (English Pathway) อย่างเดียว

    อแมนดา เดนนิสัน ครูใหญ่ และครูผู้บริหารรุ่นก่อตั้ง โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ ซิตี้ แคมปัส

    ทั้งนี้ หลักสูตรฮั่นชิง จะเริ่มต้นในปี 2568 กับนักเรียนตั้งแต่ชั้น Early Years 1-2 (อายุประมาณ 3-4 ปี) ซึ่งเนื้อหาการเรียนแบ่งเป็น ภาษาอังกฤษ 45% ภาษาจีน 45% และภาษาไทย 10% โดยครูผู้สอนเป็นเจ้าของภาษามีคุณวุฒิเทียบเท่าใบรับรองการสอนของประเทศอังกฤษ

    “โปรแกรมฮั่นชิงจะปูพื้นฐานวิชาการให้กับเด็กตั้งแต่ยังเล็ก โดยให้มีความสามารถเท่ากับเจ้าของภาษา ซึ่งปัจจุบันภาษาจีนเป็นหนึ่งในภาษาที่มีการใช้แพร่หลายทั่วโลก ส่วนภาษาอังกฤษก็เป็นภาษาสากล เชื่อว่าการได้เรียนรู้ภาษาเพิ่ม แม้เพียง 1 ภาษา ก็เปิดประตูโอกาสให้เด็กได้มากขึ้น”

    คุณครูและนักเรียน รร.นานาชาติโชรส์เบอรี

    ทั้งนี้ หากเข้าร่วมโปรแกรมฮั่นชิงแล้ว จะต้องเรียนไปจนถึง Year 6 (ประมาณ ป.6) เพื่อให้มีความสามารถด้านภาษาจีนระดับ HSK 3-4 และมีความพร้อมเรียนหลักสูตร IGCSE และ A-Level ในหลักสูตรอังกฤษ เพื่อเพิ่มความได้เปรียบในตลาดแรงงานในอนาคต

    เบื้องต้น ผู้ปกครองให้ความสนใจหลักสูตรฮั่นชิงสูงมาก โดยเฉพาะกลุ่มคนไทย เนื่องจากอยากมอบอนาคตที่ดีให้กับลูก และให้ลูกสามารถพูดได้ 3 ภาษา ทั้งไทย จีน และอังกฤษ ส่วนกลุ่มคนจีน ยังสนใจหลักสูตรภาษาอังกฤษล้วนมากกว่า

    ตัวอย่างห้องเรียนโชรส์เบอรี

    สำหรับโปรแกรมฮั่นชิงเปิดสอนตั้งแต่ระดับ Early Years 1-2 ไปจนถึง Year 1-6 และมีค่าเทอมเทียบเท่ากับหลักสูตรภาษาอังกฤษ ดังนี้

    • EY1 ราคา 662,100 บาท/ปี
    • EY2 ราคา 697,200 บาท/ปี
    • Years 1 – 2 ราคา 783,300 บาท/ปี
    • Years 3 – 4 ราคา 840,300 บาท/ปี
    • Years 5 – 6 ราคา 869,400 บาท/ปี

    “นอกจากสอนเด็กแล้ว ในอนาคตเราอาจทำคอร์สสอนภาษาจีนกับผู้ปกครอง และค่อย ๆ ขยายสู่บุคคลทั่วไปที่สนใจ”

    ]]>
    1507401
    เปลี่ยนชื่อเฉพาะกิจแค่เริ่มต้น!! เปิดเบื้องลึก MK ขยับตัวครั้งใหญ่ในปีนี้ เพื่อสู้ศึกธุรกิจร้านอาหาร https://positioningmag.com/1507206 Mon, 20 Jan 2025 15:02:44 +0000 https://positioningmag.com/?p=1507206 เราคงได้เห็นไวรัลการเปลี่ยนชื่อเฉพาะกิจของ MK มาเป็น MongKol เพื่อรับเทศกาลตรุษจีนกันแล้ว ซึ่งเบื้องลึกเบื้องหลังของแคมเปญนี้มีเป้าหมายใหญ่มากกว่าหวังสร้าง Talk of the town ในช่วงตรุษจีนเท่านั้น แต่จะเป็น ‘จุดสตาร์ทแรก’ สำหรับสร้างแรงกระเพื่อมสำคัญถึงการขยับตัวครั้งใหญ่ตลอดทั้งปี 2568 ของแบรนด์สุกี้ที่อยู่คู่คนไทยมานาน 39 ปีแห่งนี้

     

    ก่อนจะไปถึงจุดนั้น เราขอวกกลับมาที่การเปลี่ยนชื่อร้านของ MK ว่ามีไอเดียและที่มาที่ไปเป็นอย่างไร?

     

    ‘ธมกร รุจกิจยานนท์’ Executive Creative Director บริษัท Sour Bangkok หนึ่งในทีมงานผู้คิดและสร้างสรรค์แคมเปญนี้เล่าให้ Positioning ฟังว่า โจทย์ที่ MK ต้องการคือ ทำอย่างไรก็ได้ให้แคมเปญในช่วงตรุษจีน ‘ปัง’ ซึ่งทางทีมงานได้มีความคิดเกิดขึ้นมาหลากหลายไอเดีย 

     

    หนึ่งในนั้น คือ การเล่นกับความแข็งแรงของแบรนด์ MK ที่อยู่มามายาวนาน 39 ปี และ ใช้ชื่อนี้ไม่เคยเปลี่ยน ด้วยการคิดจะเปลี่ยนชื่อแบรนด์ ภายใต้คอนเซ็ปต์ Take Over ความมงคล โดยนำชื่อแบรนด์มาเชื่อมโยงกับคำว่า ‘มงคล’ ที่เป็นจุดขายในการทำตลาดของทุกแบรนด์ในช่วงตรุษจีน

     

    “ที่ผ่านมา MK มีออกเมนูมงคลอยู่แล้ว ครั้งนี้ก็เช่นกัน แต่อย่างที่บอกด้วยโจทย์ที่ได้มา เราต้องช่วงชิงความมงคลแบบขั้นสุด เพื่อสร้างอิมแพ็คในเรื่องเอนเกจและสร้างประสบการณ์ระหว่างแบรนด์กับลูกค้า โดย MK จะเปลี่ยนชื่อเฉพาะกิจใน 4 สาขา ได้แก่ สาขาสามย่านมิตรทาวน์, เซ็นทรัล เวสต์เกต, เซ็นทรัล พระราม 3 และเซ็นทรัล พระราม 3 ซึ่งต้องขอบคุณลูกค้าด้วยที่กล้าไปกับเรา”

     

    สำหรับแคมเปญตรุษจีนของ MK จะถูกจัดในทุกสาขากว่า 400 แห่งทั่วประเทศ ตั้งแต่ 14 ม.ค. – 2 ก.พ. 2568 โดยในวันที่ 28 ม.ค.นี้ ทางแบรนด์ได้เตรียมเซอร์ไพรส์เป็นอั่งเปาไว้ให้กับลูกค้า (ส่วนสาขาที่เปลี่ยนชื่อแบรนด์จะกลับมาใช้ชื่อเดิมเมื่อแคมเปญนี้สิ้นสุดลง)

     

    แล้วทำไมต้องเล่นใหญ่ขนาดนี้ ?

     

    ธมกร อธิบายว่า เป็นไปตามสูตรการทำโฆษณาทั่วไป โดยถ้าต้องการสร้างอิมแพ็ค และเอนเกจแบบ ‘ดัง’ แล้ว ‘ปัง’ ต้องสามารถดึงกระแสความสนใจและสร้างกระแสการพูดถึงได้ในวงกว้าง บวกกับแคมเปญนี้ เป็นแคมเปญแรกของปี จึงต้อง ‘เล่นใหญ่’ เพื่อสร้างให้เกิด Talk of The Town จุดกระแสให้ผู้บริโภคหันมาฟังและสนใจความเคลื่อนไหวของแบรนด์ที่หลังจากนี้จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและน่าสนใจมากขึ้น

     

    ขณะเดียวกัน MK ยังต้องการให้แคมเปญนี้สร้างความสัมพันธ์ และเพิ่มความเชื่อมโยงระหว่างแบรนด์กับลูกค้า โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ให้มากขึ้นด้วย โดยความได้เปรียบของ MK คือ เป็นแบรนด์ที่เป็นตำนาน และมีความผูกพันกับผู้บริโภคมายาวนาน เมื่อแบรนด์เกิดการเปลี่ยนแปลง ย่อมดึงความสนใจและสร้างการมีส่วนร่วมกับผู้คนได้ดีกว่าแบรนด์ใหม่หรือแบรนด์ที่อยู่ในตลาดมาไม่นาน

     

    “ความท้าทายของแคมเปญนี้ คือ Make it Happen เพราะทุกคนอาจคิดไอเดียแบบเดียวกันได้ แต่ทำให้เกิดขึ้นจริง และทำออกมาให้ดีนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลย ซึ่งหลังจากปล่อยแคมเปญนี้ไปก็ได้รับการตอบรับแบบออร์แกนิกที่ดีทั้งจากเพจสื่อและลูกค้าทั่วไป สเต็ปต่อไปขึ้นอยู่กับว่า เราจะรักษาโมเมนตัมนี้ได้อย่างไร”

     

    อย่างไรก็ตาม เป้าหมายแท้จริงของการเคลื่อนไหวครั้งนี้ MK ไม่ได้หวังแค่จะสร้างกระแสเฉพาะในช่วงตรุษจีนเท่านั้น ทว่ายังเป็นเหมือน ‘กดปุ่มสตาร์ท’ ที่ส่งสัญญาณถึงการขยับตัวครั้งใหญ่ของ MK ที่นับจากนี้จะเห็นความเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง เพื่อฝ่าความท้าทายรอบด้านที่ต้องเผชิญอยู่ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นภาวะเศรษฐกิจที่มีผลต่อกำลังซื้อของผู้คน, การแข่งขันที่ดุเดือดและการรุกหนักของคู่แข่ง โดยเฉพาะ ‘สุกี้ตี๋น้อย’

     

    โดยสิ่งที่เราจะได้เห็นการขยับตัวใหญ่ของ MK จะมีการปรับและพัฒนาในด้านต่าง ๆ ที่จะเห็นตลอดทั้งปี 2568 อาทิ การสื่อสารและทำตลาดในเชิงรุก, การออกสินค้าใหม่ เป็นต้น

     

    ส่วนจะสามารถพลิกสถานการณ์ของ MK ให้กลับมาเติบโตยืนหนึ่งเป็นผู้นำในธุรกิจร้านอาหาร โดยเฉพาะตลาดสุกี้อย่างที่ผ่านมาได้หรือไม่ ต้องคอยติดตามจับตามองความเคลื่อนไหวหลังจากนี้

    ]]>
    1507206
    ผ่าจักรวาลมือถือจีน กับเกม fake competitors หลายแบรนด์ใต้บริษัทเดียว BBK Electronics https://positioningmag.com/1507043 Mon, 20 Jan 2025 10:17:32 +0000 https://positioningmag.com/?p=1507043 ข่าวดราม่าเรื่องการแอบติดตั้งแอปพลิเคชันเงินกู้ในสมาร์ทโฟนแบรนด์จีน ทำให้สปอตไลท์ในโลกธุรกิจส่องไปที่แบรนด์ oppo และ realme ที่กำลังได้รับผลกระทบโดยตรง แต่ความจริงคือปรากฏการณ์นี้อาจไม่ได้ทำให้บริษัทแม่สะเทือนด้วยวิกฤตมากนัก เพราะในขณะที่แบรนด์หนึ่งมีปัญหา แบรนด์อื่นก็ยังคงไปต่อได้ ซึ่งเป็นผลจากกลยุทธ์ fake competitors หรือคู่แข่งกำมะลอ ที่มีบทบาทมากในจักรวาลมือถือจีนตลอดช่วงปีที่ผ่านมา

    หลายคนรู้จักแบรนด์สมาร์ทโฟนอย่าง oppo และ realme แต่บางคนอาจไม่ทราบว่าแบรนด์เหล่านี้อยู่ภายใต้บริษัทแม่เดียวกัน นั่นคือ BBK Electronics ซึ่งยังเป็นเจ้าของแบรนด์ IQOO, vivo และ oneplus อีกด้วย ที่ผ่านมา BBK Electronics ใช้กลยุทธ์การแข่งขันภายในองค์กรที่น่าสนใจ โดยหากผู้บริโภคไม่พอใจแบรนด์ oppo ก็อาจเลือกแบรนด์ vivo หรือแบรนด์แทน ทำให้ BBK Electronics สามารถรักษายอดขายได้ ไม่ว่าผู้บริโภคจะชอบแบรนด์ใดก็ตาม

    แม้แบรนด์ภายใต้ BBK Electronics จะไม่สามารถแข่งขันโดยตรงกับแบรนด์ระดับพรีเมียมอย่าง Apple แต่จุดแข็งของ BBK Electronics คือการนำเสนอสมาร์ทโฟนที่มีสเปกใกล้เคียงในราคาที่จับต้องได้ ด้วยจุดยืนด้านความคุ้มค่านี้ ทำให้ BBK Electronics ก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในผู้ผลิตสมาร์ทโฟนชั้นนำระดับโลกได้อย่างสบาย

    BBK Electronics ยักษ์ใหญ่ร่ำรวย

    ในไตรมาสแรกของปี 2023 หากรวมยอดขายของ oppo, vivo และ oneplus เข้าด้วยกัน BBK Electronics จะมีส่วนแบ่งการตลาด 15% ทำให้สามารถขึ้นเป็นผู้ผลิตสมาร์ทโฟนรายใหญ่อันดับ 3 ของโลก รองจาก Apple และ Samsung 

    ความสำเร็จที่น่าประทับใจนี้ไม่มีการบอกเล่าเป็นตัวเลขยอดขาย เพราะ BBK Electronics ไม่จำเป็นต้องเปิดเผยรายได้เนื่องจากเป็นบริษัทเอกชน แต่ผู้ก่อตั้งบริษัทอย่างนาย Duan Yongping นั้นมีชื่อเสียงมากเรื่องความร่ำรวยมหาศาล ซึ่งคาดว่าความร่ำรวยนี้มีมาตั้งแต่การซื้อแบรนด์ oneplus ตั้งแต่ปี 2021 

    BBK Electronics

    ล่าสุดมีข่าวว่านักลงทุนอย่าง Yongping ได้ลงทุนในบริษัทแม่ของ Temu (Pinduoduo) ด้วยเงิน 1.65 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ โดย Yongping ใช้เวทีงานประชุมในสำนักวิชาการ Zhejiang University เมื่อวันอาทิตย์ 12 มกราคมที่ผ่านมา กล่าวยกย่องผู้ก่อตั้ง Temu ซึ่งลงทุนโฆษณาในงาน Super Bowl จนทำให้ Temu เป็นที่รู้จักมากขึ้นในสหรัฐอเมริกา ทำให้ Pinduoduo สามารถช่วยให้เกษตรกรจีนขายผลผลิตได้บนฐานผู้ใช้ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว Yongping จึงได้ลงทุนใน PDD ผ่านหน่วยธุรกิจ H&H International Investment ซึ่งมีการลงทุนในบริษัทอื่นๆ เช่น Apple, Alphabet, Alibaba Group Holding และ Berkshire Hathaway รวมถึงหุ้นในบริษัทชั้นนำอื่น ๆ ด้วย

    การลงทุนของ Yongping แสดงถึงความเชื่อมั่นในพลังของแบรนด์ที่หลากหลาย ซึ่งที่ผ่านมา BBK Electronics ไม่ใช่แบรนด์เดียวที่ปักหลักปั้นหลายแบรนด์เพื่อสร้างจักรวาลมือถือจีนขึ้นมา แต่ยังมีบริษัทผู้ผลิตสมาร์ทโฟนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้อย่าง Transsion ก็ใช้กลยุทธ์ลักษณะเดียวกัน โดย Transsion เป็นบริษัทแม่ของแบรนด์อย่าง TECNO, Infinix และ itel ซึ่งเป็นแบรนด์ที่เด่นมากในตลาดแอฟริกาและตะวันออกกลาง โดยในปี 2022 ทั้ง 3 แบรนด์มีส่วนแบ่งการตลาดรวมถึง 32% ทำให้เป็นผู้นำในภูมิภาคดังกล่าว

    ทำไมต้องทำหลายแบรนด์?

    กำไรคือเหตุผลที่ผู้เล่นในจักรวาลมือถือจีนต้องสร้างหลายแบรนด์ในร่มบริษัทเดียว ที่ผ่านมา ความท้าทายสำคัญของผู้ผลิตสมาร์ทโฟนที่ไม่ใช่แบรนด์พรีเมียมคือการรักษาอัตรากำไรให้สูง ซึ่งแม้จะไม่มีรายงานว่า BBK Electronics มีกำไรเท่าใดจากการใช้กลยุทธ์ fake competitors แต่อย่างน้อย บริษัท Transsion ก็มีรายงานว่าสามารถทำอัตรากำไรสุทธิได้ 5%

    ตัวเลข 5% ของ Transsion นั้นไม่ใช่ไก่กา เพราะยังดีกว่าบริษัทน้องเล็กอย่าง Xiaomi ที่มีการคำนวณแล้วว่าทำอัตรากำไรเพียง 1% เท่านั้น โดยเจ้าพ่อแบรนด์พรีเมียมอย่าง Apple นั้นถูกประเมินว่ามีอัตรามาร์จิ้นสูงลิ่วถึง 25% ซึ่งเป็นภาพฝันที่ทำให้ “แบรนด์ไม่พรีเมียม” เหล่านี้ต้องพยายามยกระดับตัวเองสู่ตลาดระดับบน เช่นเดียวกับที่ Samsung เคยทำสำเร็จมาแล้ว และถูกประเมินว่ามีกำไรราว 18%

    แม้จะอยู่ในตลาดที่มีการแข่งขันสูง ทั้ง BBK Electronics และ Transsion ต่างก็สามารถสร้างแบรนด์สมาร์ทโฟนใหม่และคว้าส่วนแบ่งการตลาดที่สำคัญได้ในเวลาอันรวดเร็ว การสร้างแบรนด์ย่อยขึ้นมาแข่งขันกันเองของ BBK Electronics ทำให้บริษัทมีสินค้าที่ครอบคลุมทุกระดับราคา เนื่องจากแต่ละแบรนด์มีกลุ่มเป้าหมายและระดับราคาที่แตกต่างกัน ทำให้ครอบคลุมผู้บริโภคทุกกลุ่ม

    ในอีกด้าน แบรนด์ต่าง ๆ ของ BBK Electronics และ Transsion ยังแข่งขันกันเองเพื่อพัฒนานวัตกรรมและคุณภาพ แต่รายได้ทั้งหมดยังคงอยู่ในมือบริษัทเดียว ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถกระจายความเสี่ยงได้ เพราะหากแบรนด์หนึ่งประสบปัญหา แบรนด์อื่นก็สามารถรองรับส่วนแบ่งตลาดได้ทันที

    เหรียญ 2 ด้าน fake competitors

    การสร้างหลายแบรนด์ขึ้นมาแข่งกันเองทำให้ BBK Electronics ใช้ทรัพยากรได้คุ้มค่ามาก ตั้งแต่การเปิดให้แบรนด์ต่าง ๆ แบ่งปันเทคโนโลยีและทรัพยากรการวิจัย ขณะเดียวกันก็ลดต้นทุนโดยรวมได้จากการใช้ช่องทางจัดจำหน่ายร่วมกัน ซึ่งแต่ละแบรนด์ไม่เพียงมีเครือข่ายการจัดจำหน่ายที่แข็งแกร่ง แต่ยังมีอิสระในการสร้างเอกลักษณ์และกลยุทธ์การตลาดที่แตกต่างกันได้

    กลยุทธ์นี้ส่งผลให้ BBK Electronics กลายเป็นผู้เล่นสำคัญในตลาดสมาร์ทโฟนโลก โดยส่วนแบ่งตลาดรวมของแบรนด์ในมือมีมากกว่า 15% (ข้อมูลจากไตรมาสแรกของปี 2023) ไม่เพียงเป็นผู้ผลิตสมาร์ทโฟนรายใหญ่อันดับ 3 ของโลก แต่ยังสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องในตลาดเกิดใหม่

    บทเรียนที่เราได้จากกรณีศึกษาของ BBK Electronics คือการแข่งขันภายในกระเป๋าเดียวกันสามารถสร้างนวัตกรรมและการเติบโตได้ดีมาก แต่ท่ามกลางกลยุทธ์ที่ชาญฉลาดและการบริหารจัดการแบรนด์ที่ดี สิ่งสำคัญคือต้องระวังด้านจริยธรรมให้มาก ซึ่งล่าสุดมีรายงานว่าแอปเงินกู้ที่เป็นข่าวนั้น ก็อาจมีความเกี่ยวข้องในลักษณะกระเป๋าเงินเดียวกัน ทำให้ผู้บริโภคอาจรู้สึกว่าถูกหลอก เมื่อพบว่าแบรนด์ที่คิดว่าไม่เกี่ยวข้องกันนั้น แท้จริงเป็นเจ้าของเดียวกัน

    ที่สุดแล้ว ไม่ใช่แค่จักรวาลมือถือจีน แบรนด์ใด ๆ ในทุกจักรวาล ย่อมสามารถนำกลยุทธ์ “หลายแบรนด์เจ้าของเดียว” ไปใช้ได้อย่างเสรี เพียงแต่จะต้องมีจุดยืนการดำเนินธุรกิจอย่างมีจริยธรรม และสร้างคุณค่าจริงให้ผู้บริโภค

    Source : Growth Dragons

    อ่านเพิ่มเติม

    ]]>
    1507043