Advertorial – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 16 Dec 2025 12:25:57 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 กสิกรไทยร่วมประชุม COP30 พร้อมเปิดตัว Carbon Credit Tokenization ย้ำบทบาท Bank of Sustainability มอบบริการ Total Climate Solution ทุกมิติ https://positioningmag.com/1551899 Tue, 16 Dec 2025 09:25:33 +0000 https://positioningmag.com/?p=1551899

ธนาคารกสิกรไทย ตอกย้ำบทบาทผู้นำภูมิภาค Bank of Sustainability ธนาคารสีเขียวที่จริงจังด้านความยั่งยืนมากที่สุด สะท้อนผ่านบริการทางการเงินเพื่อสิ่งแวดล้อม ล่าสุดได้เข้าร่วมประชุม COP30 พร้อมเปิดตัว Carbon Credit Tokenization บนเวทีโลก ในการแปลงคาร์บอนเครดิตเป็นโทเคนดิจิทัล โดยใช้เทคโนโลยี Blockchain ที่โปร่งใส และปลอดภัย


ฉายวิสัยทัศน์ Climate Finance บนเวทีโลก

ธนาคารกสิกรไทยได้เข้าร่วมการประชุมสมัชชาภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติ ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 30 หรือ Conference of the Parties 30 (COP30) จัดขึ้นเมื่อวันที่ 10–21 พฤศจิกายน 2568 ที่ผ่านมา ณ เมืองเบเลง สหพันธรัฐบราซิล 

การประชุมดังกล่างมีเป้าหมายสำคัญคือการบังคับใช้เป้าหมายลดโลกร้อน 1.5°C การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด และปกป้องป่าแอมะซอน ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการควบคุมภูมิอากาศโลก

ในปีนี้กสิกรไทยได้เข้าร่วมติดต่อกันเป็นปีที่ 3 แล้ว โดยผู้บริหารธนาคารได้ร่วมถ่ายทอดวิสัยทัศน์ มุมมอง และประสบการณ์ด้านการเงินเพื่อสภาพภูมิอากาศ (Climate Finance) รวมถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของตลาดคาร์บอนยุคใหม่ บนเวที Thai Pavilion ครอบคลุม 3 ประเด็นสำคัญ ได้แก่ การประยุกต์ใช้เทคโนโลยี Blockchain ในการออกคาร์บอนเครดิตโทเคน เพื่อพัฒนาตลาดคาร์บอนเครดิต การขับเคลื่อนเศรษฐกิจสีเขียวผ่านความร่วมมือภาครัฐ–เอกชน และการจัดทำบัญชีคาร์บอน 2.0 

ต้องบอกว่ากสิกรไทยเป็นธนาคารที่มียุทธศาสตร์ด้านความชัดเจนมากเป็นอันดับต้นๆ ในไทย โดยที่มีนโยบายด้านความยั่งยืนในทุกมิติ เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมาได้ปรับยุทธศาสตร์ความยั่งยืน จากแกน ESG สู่การจัดการประเด็นสำคัญแบบองค์รวมเชื่อมโยงทุกด้านที่เกี่ยวข้อง กำหนด ความมุ่งหมายสำคัญเป็นแกนการจัดการ (Issue-based strategy) 3 เรื่อง ได้แก่ การเป็นธนาคารที่ทุกคนเชื่อมั่น การเสริมความยืดหยุ่นพร้อมก้าวสู่อนาคตร่วมกัน และการสร้างการเติบโตที่ครอบคลุมและทั่วถึง

โดยเตรียมพร้อมให้บริการลูกค้าในทุกๆ ด้าน ไม่ได้มีแค่บริการด้านการเงินเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีบริการด้านบริหารความเสี่ยง โปรแกรมเสริมสร้างความรู้ให้ลูกค้า ไปจนถึงบริการที่ช่วยให้ลูกค้าเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำได้


มอบบริการ Total Climate Solution ทุกมิติ

ดร.กรินทร์ บุญเลิศวณิชย์ รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย ร่วมเสวนาในหัวข้อ “Tokenization: Decentralizing Carbon Markets การใช้โทเคนเพื่อกระจายอำนาจในตลาดคาร์บอน” โดยนำเสนอโครงการนำร่องการแปลงคาร์บอนเครดิตเป็นโทเคนดิจิทัล ที่นำเทคโนโลยี Blockchain มาช่วยประสิทธิภาพและความโปร่งใสในกระบวนการซื้อขายและชดเชยคาร์บอนเครดิต ลดต้นทุนในการทำธุรกรรม อีกทั้งยังช่วยเพิ่มโอกาสให้ภาคประชาชนสามารถเข้าถึงการซื้อขายคาร์บอนเครดิต เพื่อเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่จะรองรับการทำธุรกรรมของตลาดคาร์บอนเครดิตภาคบังคับที่จะเกิดขึ้นในอนาคต พรอ้มผลักดันผลักดันให้ประเทศไทยสามารถเป็นศูนย์กลางการซื้อขายคาร์บอนเครดิตในระดับภูมิภาค

และยังร่วมเสวนาในหัวข้อ “Driving Systems Change through Climate Public-Private Partnerships (PPP) ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบผ่านความร่วมมือภาครัฐ–เอกชน” ซึ่งสะท้อนถึงความจำเป็นของความร่วมมือเชิงระบบ (Systems Change) ระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม เพื่อขับเคลื่อน Climate Action อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งจากมุมมองระดับโลกของ UNFCCC ด้านการระดมทรัพยากร ไปจนถึงตัวอย่างความร่วมมือในประเทศไทยที่ธนาคารกสิกรไทยมีบทบาทสำคัญ เช่น โครงการ Thailand Climate Business Network (Thai CBN) เครือข่ายภาคธุรกิจ 34 องค์กร จาก 4 ภาคส่วน ได้แก่ ภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ ภาคเอกชน ภาคการศึกษา และภาคการเงินและการธนาคาร ซึ่งร่วมกันผลักดันการจัดการสภาพภูมิอากาศแบบบูรณาการ รวมถึง โครงการ Net Zero CEO หลักสูตรสำหรับผู้บริหารระดับสูงที่ธนาคารกสิกรไทยร่วมพัฒนากับสถาบันคาร์บอนเพื่อความยั่งยืน (CBiS) เพื่อเสริมศักยภาพผู้นำองค์กรในการขับเคลื่อนธุรกิจสู่การปล่อยคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน

ดร.กรินทร์ กล่าวในต้อนท้ายว่า การเข้าร่วม COP30 สะท้อนความมุ่งมั่นของธนาคารกสิกรไทยในการยกระดับระบบการเงินไทยสู่ความยั่งยืนผ่าน Climate Solution และการผลักดันนวัตกรรมด้านสภาพภูมิอากาศ พร้อมสร้างความร่วมมือเชิงระบบกับหน่วยงานทั้งในและต่างประเทศ ภายใต้เป้าหมายในการเป็น “The Most Comprehensive Climate Solution Provider – ผู้ให้บริการโซลูชันด้านสภาพภูมิอากาศที่ครอบคลุมที่สุด” ที่จะก้าวไป “เหนือกว่าการให้การสนับสนุนทางการเงิน” เพื่อช่วยยกระดับศักยภาพการแข่งขันทางธุรกิจของลูกค้าในระยะยาวอย่างยั่งยืน และสนับสนุนประเทศไทยสู่เป้าหมาย Net Zero อย่างมั่นคงและเป็นรูปธรรม

ในขณะที่ ดร. วิชัย ณรงค์วณิชย์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย ได้ร่วมเสวนาในหัวข้อ “Carbon Accounting 2.0: Accelerating Transparency and Trust on the Road to Net Zero 2050 การจัดทำบัญชีคาร์บอน 2.0: เร่งความโปร่งใสและความเชื่อมั่นบนเส้นทาง Net Zero 2050” โดยนำเสนอแนวทางการบูรณาการนโยบาย โครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูล เทคโนโลยีทางธุรกิจ และการขับเคลื่อนเพื่อสังคม เพื่อพัฒนา “ระบบ Carbon Accounting รุ่นใหม่” ที่ช่วยยกระดับความน่าเชื่อถือ โปร่งใส และเพิ่มการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน ตลอดจนเป็นรากฐานสำคัญในการผลักดันประเทศไทยสู่เป้าหมาย Net Zero 2050 อย่างมีคุณภาพและยั่งยืน 

สำหรับตัวอย่างจากภาคการเงินนั้น ดร.วิชัย ได้กล่าวถึงยุทธศาสตร์ความยั่งยืนปี 2568 ของธนาคารกสิกรไทย ซึ่งมุ่งพัฒนาระบบการปล่อยสินเชื่อและการลงทุนอย่างรับผิดชอบ ผ่านการบริหารความเสี่ยงเชิงรุก การประเมินด้าน ESG อย่างครบถ้วน พร้อมทั้งผลักดันสินเชื่อและเงินลงทุนด้านความยั่งยืนให้บรรลุเป้าหมาย 4–5 แสนล้านบาทภายในปี 2573 

นอกจากนี้ ธนาคารยังให้การสนับสนุนลูกค้าในการเปลี่ยนผ่านสู่ธุรกิจคาร์บอนต่ำ ผ่านโซลูชันทางการเงิน องค์ความรู้ และนวัตกรรมรูปแบบใหม่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องอาศัยข้อมูลที่โปร่งใส เพื่อประกอบการตัดสินใจด้านความเสี่ยงและการปล่อยสินเชื่อเชิงรับผิดชอบ ดังนั้นการพัฒนาแพลตฟอร์มข้อมูลและโครงสร้างพื้นฐานด้าน Carbon Accounting จึงเป็นหัวใจสำคัญในการสนับสนุนทั้งภาคธุรกิจและระบบการเงินไทยให้ก้าวสู่ เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ อย่างมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว


เผยโปรเจ็คต์ Carbon Credit Tokenization

จากที่ ดร.กรินทร์ ได้ร่วมเสวนาในหัวข้อ “Tokenization: Decentralizing Carbon Markets การใช้โทเคนเพื่อกระจายอำนาจในตลาดคาร์บอน” และได้นำเสนอโครงการนำร่องการแปลงคาร์บอนเครดิตเป็นโทเคนดิจิทัลเป้นครั้งแรกในเวทีโลก

โดยที่โปรเจคต์นี้กสิกรไทย ได้ร่วมมือกับ มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ อบก. Kubix และ Orbix Technology เปิดตัวโครงการนำร่องทดสอบการแปลงคาร์บอนเครดิตเป็นโทเคนดิจิทัล (Carbon Credit Tokenization Pilot Program) ภายใต้กรอบ Regulatory Sandbox ของธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อยกระดับการซื้อขาย และชดเชยคาร์บอนเครดิตด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชน เพิ่มความโปร่งใสและประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกรรมสู่เป้าหมาย Net Zero 

โครงการนำร่องดังกล่าว ธนาคารกสิกรไทยจะเดินหน้าส่งเสริมการนำคาร์บอนเครดิตจากป่าในโครงการพัฒนาดอยตุงฯ มาใช้ในระบบดิจิทัลอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมี Kubix ทำหน้าที่เป็นผู้ให้บริการระบบและเทคโนโลยีในการบริหารจัดการกระบวนการแปลงคาร์บอนเครดิตเป็นโทเคนดิจิทัล สามารถแบ่งเป็นหน่วยย่อยในระดับกิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (kgCO2e) 

ความร่วมมือครั้งนี้ยังครอบคลุมถึงกระบวนการเสนอขาย การถือครอง การแปลงกลับเป็นคาร์บอนเครดิต และการชดเชยคาร์บอนเครดิต ซึ่งทั้งหมดดำเนินการบนบล็อกเชน Quarix ที่พัฒนาโดย Orbix Technology ที่ออกแบบมาเพื่อเสริมสร้างความโปร่งใส ความน่าเชื่อถือ และความสามารถในการตรวจสอบย้อนกลับของข้อมูลคาร์บอนเครดิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

โครงการนี้ไม่ใช่เพียงการทดลองเทคโนโลยีใหม่เท่านั้น แต่เป็นการวางรากฐานสำคัญในการพัฒนาตลาดคาร์บอนภาคสมัครใจของประเทศไทยให้มีความโปร่งใสและน่าเชื่อถือ พร้อมทั้งเตรียมความพร้อมสำหรับการเปลี่ยนผ่านสู่ตลาดคาร์บอนภาคบังคับในอนาคต รวมถึงผลักดันให้ประเทศไทยสามารถเป็นศูนย์กลางการซื้อขายคาร์บอนเครดิตในระดับภูมิภาค 

โครงการ Carbon Credit Tokenization จึงถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการขับเคลื่อน “Future of Finance” สู่เศรษฐกิจสีเขียว และสนับสนุนเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-Zero Emissions) ของประเทศไทยอย่างเป็นรูปธรรม ตอกย้ำพันธกิจหลักของธนาคารในการดำเนินธุรกิจบนหลักการธนาคารแห่งความยั่งยืนมาอย่างต่อเนื่อง และเป็นหนึ่งในฟันเฟืองในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสีเขียวของประเทศไทยอย่างเป็นรูปธรรม

]]>
1551899
บีคอน วีซี หนุนขับเคลื่อนความยั่งยืนผ่านกองทุน Beacon Impact Fund ลงทุนสตาร์ทอัพด้าน ESG หวังสร้างผลกระทบเชิงบวกในระดับภูมิภาค https://positioningmag.com/1550491 Tue, 16 Dec 2025 03:08:29 +0000 https://positioningmag.com/?p=1550491

เมื่อประเด็นความยั่งยืนกลายเป็นยุทธศาสตร์ที่หลายแบรนด์ให้ความสำคัญ ซึ่งธนาคารกสิกรไทยเองได้ประกาศจุดยืนด้านความยั่งยืนอย่างแข็งแกร่งผ่านหลายโครงการ หนึ่งในนั้นคือการลงทุนผ่านกองทุน ที่มีการลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพต่อ ตอกย้ำจุดยืนการเป็น Bank of Sustainability

โดยที่มี บีคอน เวนเจอร์ แคปิทัล (บีคอน วีซี) บริษัทเงินร่วมทุนของธนาคารกสิกรไทย มีพันธกิจในการลงทุนเชิงกลยุทธ์เพื่อสนับสนุนการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีที่สอดคล้องกับทิศทางธุรกิจของธนาคาร รวมถึงการเสริมสร้างขีดความสามารถทางเทคโนโลยีให้แก่พันธมิตรในระบบนิเวศทางธุรกิจ

บีคอน วีซี เดินหน้าอย่างต่อเนื่องเพื่อขับเคลื่อนความยั่งยืนผ่านกองทุน Beacon Impact Fund ประกาศการลงทุนเชิงกลยุทธ์ในบริษัทสตาร์ทอัพ และกองทุนร่วมลงทุนที่พัฒนาโซลูชันด้าน ESG ซึ่งสามารถวัดผล และขยายผลได้จริงเพิ่มเติมใน 3 โครงการ ได้แก่

Quantified Energy (QE) สตาร์ทอัพจากสิงคโปร์ผู้นำด้านเทคโนโลยีตรวจสอบแผงโซลาร์สำหรับ Utility-scale Solar Farm ด้วยโดรนอัตโนมัติแบบ Electroluminescence (EL) Mapping Solution ซึ่งมีความแม่นยำในการวัดการสูญเสียพลังงานและความรวดเร็วในการตรวจสอบที่เหนือกว่าเทคโนโลยีปัจจุบันอย่างชัดเจน โซลูชันของ QE ถูกใช้อย่างกว้างขวางในเอเชีย ยุโรป โอเชียเนีย และตะวันออกกลาง พร้อมทำสถิติโลกด้วยการตรวจสอบแผงโซลาร์กว่า 1 ล้านแผงภายใน 3 สัปดาห์ ทำให้ภาคธุรกิจสามารถวัดการสูญเสียพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Arkadiah Technology สตาร์ทอัพจากสิงคโปร์ที่ให้บริการพัฒนาโครงการปลูกป่าเพื่อลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์แบบครบวงจร ตั้งแต่การศึกษาความเป็นไปได้ ไปจนถึงการลงทะเบียนคาร์บอนเครดิตกับองค์กรมาตรฐานระดับโลก เช่น Verra และ Gold Standard รวมถึงการจำหน่ายผ่านเครือข่ายพันธมิตร จุดเด่นสำคัญของ Arkadiah คือการให้บริการ Digital Monitoring, Reporting, and Verification (dMRV) ที่มีความแม่นยำสูงเป็นพิเศษ ด้วยการใช้เทคโนโลยี ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่บริษัทพัฒนาขึ้นเอง เพื่อประมวลผลและผสานข้อมูลภาพถ่ายจากดาวเทียมและ LiDAR ได้อย่างแม่นยำ ทำให้การติดตามและวัดคาร์บอนเครดิตมีความถูกต้องและมีประสิทธิภาพสูง ช่วยเพิ่มผลตอบแทนทางการเงินของโครงการ และสนับสนุนให้เกิดโครงการปลูกป่าใหม่ในอนาคต

Raisewell Ventures กองทุนเพื่อสังคม (Impact Fund) จากซิลิคอนแวลลีย์ ที่มุ่งลงทุนในสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีเชิงลึก (Deep Tech) ในสหรัฐอเมริกาและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยให้ความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์กับประเทศไทย กองทุนมุ่งลงทุนในบริษัทช่วงเริ่มต้นถึงระยะกลาง (Early- to Mid-Stage) ในสามกลุ่มหลัก ได้แก่ เทคโนโลยีด้านสภาพภูมิอากาศ (Climate Tech), การผลิตและซัพพลายเชน (Supply Chain Manufacturing), และ เทคโนโลยีด้านสุขภาพ (Health Tech) โดยมีเป้าหมายเพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และทรัพยากรระหว่างภูมิภาค ส่งเสริมการพัฒนาและต่อยอดนวัตกรรมและธุรกิจให้เติบโตในระดับภูมิภาค การร่วมมือกันครั้งนี้จึงเปรียบเสมือนการส่งตรงองค์ความรู้ ทรัพยากร และเครือข่ายจากสหรัฐอเมริกามาสู่ Ecosystem ของไทย เป็นการช่วยเร่งสปีดให้สตาร์ทอัพไทยเข้าถึงเทคโนโลยีระดับโลกได้เร็วยิ่งขึ้น

นายธนพงษ์ ณ ระนอง กรรมการผู้จัดการ บริษัท บีคอน เวนเจอร์ แคปิทัล จำกัด (บีคอน วีซี) เปิดเผยว่า

“ในฐานะบริษัทเงินร่วมทุนของธนาคารกสิกรไทย บีคอน วีซี ยึดมั่นพันธกิจในการขับเคลื่อนนวัตกรรมที่สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม เพื่อมุ่งสู่อนาคตที่ยั่งยืนของประเทศไทย ผ่านการดำเนินงานของกองทุน Beacon Impact Fund ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการลงทุนเพื่อความยั่งยืนของธนาคารกสิกรไทย โดยเน้นการลงทุนโดยตรงในบริษัทสตาร์ทอัพ หรือผ่านกองทุนเงินร่วมลงทุนทั่วโลก ที่พัฒนาโซลูชัน นวัตกรรม และเทคโนโลยีที่ช่วยแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) เป็นหลัก สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ความยั่งยืนของธนาคารกสิกรไทยในการเป็นธนาคารที่ทุกคนเชื่อมั่น เสริมความพร้อมก้าวสู่อนาคตที่ยั่งยืนร่วมกัน และการสร้างการเติบโตที่ครอบคลุมและทั่วถึง”

ปัจจุบันกองทุน Beacon Impact Fund ได้ส่งมอบเงินลงทุนไปแล้วรวมทั้งสิ้น 17 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 600 ล้านบาท โดยมุ่งสร้างผลกระทบเชิงบวกในมิติต่างๆ ของ ESG ที่สามารถวัดผลได้และมีศักยภาพในการขยายผลในวงกว้าง ตอกย้ำความมุ่งมั่นของกองทุน Beacon Impact Fund ในการส่งเสริมความยั่งยืนและสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ครอบคลุมทั้งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และและภูมิภาคอื่นทั่วโลก

นายธนพงษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า บีคอน วีซี ยังคงมองหาโอกาสลงทุนในสตาร์ทอัพและกองทุนร่วมลงทุนที่สามารถยกระดับศักยภาพและต่อยอดเทคโนโลยีในทุกมิติของ ESG ครอบคลุมทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สภาพภูมิอากาศ สังคม และธรรมาภิบาล ทั้งนี้ บริษัทพร้อมทำหน้าที่เป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์และผู้เชื่อมโยงโอกาส โดยนำประสบการณ์การลงทุน องค์ความรู้ และเครือข่ายพันธมิตรระดับโลก มาช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้แก่ระบบนิเวศสตาร์ทอัพไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างเต็มที่ เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงทรัพยากรที่จำเป็นในการเติบโตอย่างยั่งยืน และสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจและสังคมทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลกต่อไปในอนาคต

]]>
1550491
Still On My Mind ในดวงใจนิรันดร์ https://positioningmag.com/1551578 Mon, 15 Dec 2025 11:34:04 +0000 https://positioningmag.com/?p=1551578 Still On My Mind ในดวงใจนิรันดร์

กลุ่ม ปตท. ขอเชิญร่วมน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้

ของ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

ผ่านบรรยากาศอบอุ่นของความรัก ความเมตตา และสายใยแห่งพระบารมี

ที่จารึกอยู่ในหัวใจคนไทยตราบนิรันดร์

✨ พบกับ

🎭 ละครเพลง “Still On My Mind ในดวงใจนิรันดร์”

การแสดงละครเพลงน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงที่ถ่ายทอดพระราชประวัติ พระราชจริยวัตร

ด้วยบทเพลง การแสดงบัลเลต์ แสง สี และ Projection Mapping

ท่ามกลางธรรมชาติยามเย็น ณ ใจกลางสวนเปรมประชาวนารักษ์

🖼 นิทรรศการ “ชลวิถีธีรพัฒน์”

เรื่องราวการพัฒนาสายน้ำและสิ่งแวดล้อม

ตามโครงการพระราชดำริ เพื่อคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างยั่งยืน

👐เวิร์กช็อปของที่ระลึกทำมือ
แรงบันดาลใจจากพระราชปณิธานด้านผ้าไหมไทย ดอกไม้ ป่าไม้ และการดูแลสิ่งแวดล้อม

🛍 เลือกซื้อผลิตภัณฑ์จากมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ

งานหัตถศิลป์ไทยอันทรงคุณค่า จากชุมชนสู่สายตาชาวโลก

📍 เข้าชมฟรี

🗓 19–21 ธันวาคม 2568

และ 10–11, 17–18, 24–25 มกราคม 2569

⏰ เวลา 16.00–21.00 น.

📌 ณ สวนเปรมประชาวนารักษ์

📝 ขั้นตอนการลงทะเบียนเข้าร่วมงาน

แสดงหลักฐานการลงทะเบียนล่วงหน้า หรือสามารถลงทะเบียนหน้างาน

 

  •  การเดินทางมาร่วมงาน

การเดินทาง

🚘รถส่วนตัว

  •  สวนเปรมประชาวนารักษ์ (เขตหลักสี่) เดินทางสะดวกจาก

– ถนนกำแพงเพชร 6 (เลียบรถไฟฟ้าสายสีแดง)

 

🅿 ที่จอดรถ (ไม่เสียค่าใช้จ่าย)

– ลานจอดสวนเปรมประชาวนารักษ์ (มีบริการรถตู้รับ-ส่งภายในงาน)

🚘 รถยนต์ 220 คัน | 🏍 มอเตอร์ไซค์ 150 คัน

– อาคาร EnCo Terminal (EnTer) (มีรถตู้รับ–ส่ง)

🚘 อาคารจอดรถ 400 คัน | ลานจอดนอกอาคาร 200 คัน

 

  • รถไฟฟ้า

– รถไฟฟ้าสายสีแดงเข้ม สถานีทุ่งสองห้อง ทางออก 1

 

  •  รถโดยสารประจำทาง

– ขาออกเมือง (จตุจักร–รังสิต) : สาย 510, 52

ลงป้ายตรงข้าม ม.เกษตร ประตูวิภาวดี (เดินประมาณ 300 ม.)

– ขาเข้าเมือง (รังสิต–จตุจักร) : สาย 510, 187 (ไม่ขึ้นโทลล์เวย์), 114

ลงป้ายหน้าบริษัท ยาคูลท์ (ประเทศไทย) จำกัด และเดินไปยังสถานีทุ่งสองห้อง ทางออก 1

 

  • รถตู้บริการรับ-ส่ง (ไม่มีค่าใช้จ่าย)

รถตู้ขาไป (ระหว่างเวลา 15.00น. – 22.00 น.)

จุดที่ 1 สถานีห้าแยกลาดพร้าว (BTS สายสีเขียว) ทางออก 1– สวนเปรมประชาวนารักษ์

จุดที่ 2 อาคาร EnCo Terminal (EnTer) – สวนเปรมประชา วนารักษ์

รถตู้ขากลับ (ระหว่างเวลา 15.30 น. – 22.00 น.)

จุดที่ 1 สวนเปรมประชาวนารักษ์ – สถานีห้าแยกลาดพร้าว (BTS สายสีเขียว) ทางออก 1

จุดที่ 2 สวนเปรมประชาวนารักษ์ –  อาคาร EnCo Terminal (EnTer)

 

ให้บริการจุดละ 3 คัน

.

ร่วมเก็บความทรงจำอันงดงาม

ในสวนยามเย็นที่อบอวลด้วยความรักและความผูกพัน

ที่ยังคงอยู่… Still On My Mind

 

#StillOnMyMind

#สวนเปรมประชาวนารักษ์

#PTT

#ในดวงใจนิรันดร์

]]>
1551578
เบื้องหลังแนวคิด NEXTOPIA เมืองต้นแบบแห่งโลกอนาคต ของ “สยามพิวรรธน์” ออกแบบเพื่อความยั่งยืนทุกมิติ ผสานการเชื่อมโยงคน และธรรมชาติ https://positioningmag.com/1551180 Fri, 12 Dec 2025 03:44:24 +0000 https://positioningmag.com/?p=1551180

หลังจากที่สยามพิวรรธน์ได้เคยเปรยๆ ถึงการเปิดตัว World-Class Attraction แห่งใหม่ให้กับศูนย์การค้า เพื่อเติมเต็มประสบการณ์ให้ดีมากยิ่งขึ้น ล่าสุดได้เปิดตัว NEXTOPIA หนึ่งในหมุดหมาย World-Class Attraction ใหม่ของสยามพารากอนเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2568 ที่ผ่านมา 

การเปิด NEXTOPIA คือก้าวสำคัญสู่ทศวรรษใหม่ของสยามพารากอน เพื่อเติมเต็มการรีโนเวทครั้งใหญ่ที่สุดในโอกาสเปิดดำเนินการครบรอบ 20 ปี พร้อมกับ MELAND สวนสนุกในร่มระดับโลก และเป็นแฟลกชิปโกลบอลแลนด์มาร์คนอกประเทศจีนแห่งแรกในไทย รวมถึง “EATELIER” Dining Entertainment จุดแฮงค์เอาท์ใหม่ล่าสุดใจกลางสยาม เรียกได้ว่าในปีนี้ทุกคนจะได้เห็นอะไรใหม่ๆ ที่สยามพารากอนได้รวมสุดยอดประสบการณ์เหนือความคาดหมายในที่เดียว สะท้อนวิสัยทัศน์ของสยามพิวรรธน์ในการเป็นผู้ปฏิวัติวงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้าปลีกอย่างแท้จริง


เมืองต้นแบบแห่งโลกอนาคต ร่วมสร้างโลกที่ดีกว่า

“สยามพารากอน” ขึ้นชื่อว่าเป็นโกลบอลแลนด์มาร์คที่มีผู้คนจากทั่วโลกมาเยือนมากที่สุดแห่งหนึ่ง และครองตำแหน่ง Top of Mind ในฐานะหมุดหมายสำคัญที่มอบประสบการณ์เหนือความคาดหมายทุกครั้งที่มาเยือน ตลอดสองทศวรรษที่ผ่านมา สยามพารากอนมุ่งมั่นบุกเบิก นำเสนอโปรโตไทป์ใหม่ให้โลกธุรกิจรีเทล และได้สร้างปรากฏการณ์ความสำเร็จอย่างไม่หยุดยั้ง

 ล่าสุดเปิดตัว NEXTOPIA เมืองต้นแบบแห่งโลกอนาคตที่เกิดจากการผนึกกำลังศักยภาพของสยามพิวรรธน์และพันธมิตรระดับโลก ทั้งองค์กรนวัตกรรม คู่ค้า คอมมูนิตี้ ชุมชน และ Friends of NEXTOPIA เป็นบทพิสูจน์ความสำเร็จอีกครั้งหนึ่งของสยามพิวรรธน์  ซึ่งเป็นเจ้าของคอนเซปต์ในการพัฒนา Global Destination และเป็น Game Changer ที่แสดงให้โลกเห็นชัดเจนว่าศักยภาพและความคิดสร้างสรรค์ของคนไทยอยู่บนเวทีโลกได้อย่างแข็งแกร่ง

สยามพิวรรน์ใช้งบลงทุนกว่า 850 ล้านบาท ในการเนรมิต NEXTOPIA รังสรรค์ภายใต้ Revolutionary Concept เพื่อเป็นแพลตฟอร์มของการผนึกกำลังครั้งยิ่งใหญ่ในการร่วมสร้างโลกที่ดีกว่า (Co-creating Communities for a Better World) บนพื้นที่กว่า 15,000 ตารางเมตร บริเวณชั้น 5 และ 5A 

คำจำกัดความของ NEXTOPIA คือ เมืองต้นแบบแห่งโลกอนาคต ที่รวมพลังผู้นำอุตสาหกรรม นวัตกร และผู้ใส่ใจสิ่งแวดล้อม นำเสนอหนึ่งในโชว์เคสนวัตกรรมด้านความยั่งยืนที่ครบครันที่สุดแห่งหนึ่ง ทุกประสบการณ์ใน NEXTOPIA ถูกออกแบบให้ยกระดับวิถีชีวิตอย่างสร้างสรรค์ ตั้งแต่สถาปัตยกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พื้นที่กิจกรรมรักษ์โลกตลอด 365 วัน ร้านค้ารักษ์โลก และร้านอาหารที่ยึดความยั่งยืนเป็นหัวใจสำคัญทุกก้าวที่ NEXTOPIA คือการผสานความยั่งยืนเข้ากับชีวิตประจำวันอย่างเป็นรูปธรรม 


ผนึกกำลังพันธมิตรครั้งยิ่งใหญ่ 

NEXTOPIA ใช้แนวคิด Co-creation ร่วมกับพันธมิตรที่มีวิสัยทัศน์เดียวกัน และสร้างการมีส่วนร่วมในการนำเสนอประสบการณ์ (Experimental Engagement) ที่สนุก และสร้างผลกระทบเชิงบวกที่นำไปสู่ความยั่งยืน ประกอบด้วย 3 องค์ประกอบหลัก ได้แก่

  1. Cutting-edge Infrastructure : รากฐานสำคัญที่เกิดจากการ Co-create ของ 50 องค์กรพันธมิตรชั้นนำ จากหลากหลายอุตสาหกรรม ผสานความเชี่ยวชาญหลายแขนงเพื่อร่วมออกแบบเมืองเพื่อโลกอนาคตอย่างมีศิลปะ
  2. Communities พลังคอมมูนิตี้เพื่อโลกที่ยั่งยืน : การรวมพลังของกลุ่มผู้ขับเคลื่อนด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนกว่า 30 คอมมูนิตี้ พร้อม Friends of NEXTOPIA 
  3. Retailers ผู้สร้างมาตรฐานใหม่ของโลกค้าปลีก : กลุ่มร้านค้าและผู้ประกอบการที่นำเสนอสินค้าและบริการด้วยคุณค่าด้าน Sustainability, Equality และ Inclusivity รวมกว่า 40 ร้านค้า และผู้ประกอบการ SMEs มากกว่า 300 ราย ที่ร่วมเป็นกำลังสำคัญของระบบนิเวศนี้

สยามพิวรรธน์ ไม่ได้เป็นเพียงผู้พัฒนาศูนย์การค้า แต่เป็นองค์กรที่ร่วมสร้างการเติบโตไปด้วยกันกับทุกภาคส่วน ซึ่ง NEXTOPIA เป็นอีกโครงการที่เกิดจากพันธมิตรที่มีวิสัยทัศน์เดียวกันร่วมขับเคลื่อนความยั่งยืนในมิติต่างๆ สยามพารากอน และ NEXTOPIA ร่วมมือกับ องค์การสหประชาชาติ (UN) และองค์กรระหว่างประเทศ ต่างๆ อาทิ UN Global Compact Network Thailand, UN World Food Programme, UNDP BIOFIN, UNICEF ,WWF และอีก กว่า 50 องค์กรชั้นนำ สะท้อนภาพความร่วมมือระดับโลกที่จะเกิดขึ้นในประเทศไทย พร้อมการมีส่วนร่วมจากนานาประเทศทั่วโลก


เบื้องหลังแนวคิด สร้างความยั่งยืนทุกมิติ

สยามพิวรรธน์ เป็นองค์กรที่มุ่งดำเนินงานภายใต้แนวคิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนมาอย่างยาวนาน ดังนั้นทุกการดำเนินการงานจะถูกหล่อหลอมเข้าสู่ทุกกระบวนการทางธุรกิจอย่างเป็นระบบ ด้วยการเป็น ‘แพลตฟอร์มแห่งโอกาส’ เพื่อสร้างพื้นที่แห่งการเติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืน 

NEXTOPIA คือก้าวสำคัญที่ยกระดับการขับเคลื่อนด้าน Sustainability ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ในพื้นที่ถาวร โดยมี 3 แนวความคิดหลัก คือ Sustainability, Inclusivity และ Experimental Engagement เริ่มต้นจากการเห็นว่าต้องสร้างเมืองที่มีความหมายต่อการใช้ชีวิตในปัจจุบันที่ดีต่อคนและโลก และต้องทำให้เรื่องความยั่งยืนเป็นเรื่องสนุก เป็นพื้นที่ที่สามารถเปิดโอกาสอย่างเท่าเทียมให้ทุกคนได้มีส่วนร่วมกัน  และที่สำคัญต้อง Co-create กับพาร์ตเนอร์ตัวจริง เพื่อสร้างประสบการณ์ที่เป็นธรรมชาติอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน ซึ่งสิ่งนี้ได้ผสานหลักการดังกล่าวให้เข้ากับทุกมิติเพื่อสร้างโครงการที่เป็นประโยชน์กับสังคมและโลก สู่การเป็น Future of Retail และทำให้สยามพารากอนเป็นจุดหมายปลายทางระดับโลกอย่างยั่งยืน

ภายใน NEXTOPIA ล้วนได้รวบรวมนวัตกรรมล่าสุดเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน และนำมาประยุกต์ใช้จริงอย่างครอบคลุม ตั้งแต่การออกแบบโครงสร้างพื้นฐานที่ใส่ใจทุกรายละเอียด ไปจนถึงโชว์เคสเทคโนโลยีที่ผสานการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า พร้อมสร้างพลังงานรูปแบบใหม่ที่ใช้ได้ทันที นี่คือครั้งแรกที่โลกธุรกิจรีเทลและศูนย์การค้ารวมสุดยอดนวัตกรรม ความคิดสร้างสรรค์ และความยั่งยืนไว้อย่างครบวงจร พร้อมพัฒนาต่อยอดกับทุกคนอย่างไม่หยุดหย่อน

นวัตกรรมเพื่อความยั่งยืนและพลังงานสะอาด

  • The Kinetic Floor (พื้นผลิตพลังงาน)

นวัตกรรมพื้นผลิตพลังงานที่เปลี่ยนพลังงานจลน์จากทุกย่างก้าวให้กลายเป็นไฟฟ้า สะท้อนแนวคิดว่าทุกคนสามารถสร้างพลังงานสะอาดได้ง่ายเพียงแค่เดิน โครงการนี้เกิดจากความร่วมมือระหว่าง Bangkok Cable และนักศึกษาจาก มหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง เป็นตัวอย่างการผสานเทคโนโลยีและความคิดสร้างสรรค์เพื่อโลกอนาคตที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง

  • The Clean Energy 

ผนึกกำลังกับ B.Grimm ติดตั้งโซลาร์รูฟขนาดใหญ่เหนือพื้นที่โครงการ เพื่อเปลี่ยนพลังงานแสงอาทิตย์ให้เป็นพลังงานสะอาด ลดการพึ่งพาพลังงานจากแหล่งเดิมอย่างเป็นรูปธรรม ตอกย้ำวิสัยทัศน์ว่านวัตกรรมด้านพลังงานคือกุญแจสำคัญในการสร้างโลกที่ยั่งยืนกว่าเดิม


นวัตกรรมเพื่อคุณภาพอากาศและเพื่อสุขภาวะที่ดี

  • Floor Radiant Cooling (ระบบความเย็นแผ่รังสี)

สัมผัสความเย็นสบายอย่างเป็นธรรมชาติด้วยระบบทำความเย็นแผ่รังสีจากพื้น ที่ให้อุณหภูมิเย็นสม่ำเสมอโดยไม่ใช้การเป่าลม (Forced Air) ลดการฟุ้งกระจายของฝุ่น สารก่อภูมิแพ้ และเชื้อโรค เพื่ออากาศสะอาด ปลอดภัย พร้อมช่วยประหยัดพลังงานและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดย Casa Tech

  • The Cooling Waterfall (น้ำตกทำความเย็น)

ดื่มด่ำความสดชื่นจากน้ำตกสูง 16 เมตร เชื่อมต่อ 3 ชั้น เปรียบเสมือนเครื่องปรับอากาศธรรมชาติขนาดมหึมา ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและไม่เปลืองพลังงานในการสร้างภาวะน่าสบาย

  • DAS & DOAS (ระบบเติมอากาศมาตรฐานคลีนรูม)

 

ยกระดับคุณภาพอากาศด้วยเทคโนโลยีจาก Daikin ติดตั้งระบบปรับอากาศขั้นสูง Displacement Air System (DAS) ผสาน Dedicated Outdoor Air System (DOAS) เลียนแบบกลไกห้องปลอดเชื้อ แยกและกำจัดอากาศเก่า สารปนเปื้อน และเชื้อโรคอย่างต่อเนื่อง มอบอากาศบริสุทธิ์ สะอาด และเย็นสบาย

  • Healthy Building Materials and Paints (วัสดุก่อสร้างและสี สารประกอบอินทรีย์ระเหยต่ำ) 

พื้นที่ NEXTOPIA เลือกใช้สีพิเศษจาก TOA ปลอดสารปรอทและตะกั่ว ปล่อยสารระเหยต่ำมาก (Ultra Low VOCs) เพื่อสุขอนามัยที่ดีเยี่ยมและสอดคล้องมาตรฐานอาคารเขียวระดับสากล

นอกจากนี้ TPI Polene, Vanachai Group, และ Saint Goban ได้นำเสนอวัสุดก่อสร้างที่คิดค้นโดยลดการปล่อยก๊าซเคมีอันตรายสู่อากาศ และลดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม นำมาใช้ในพื้นที่ NEXTOPIA

  • Recycle Building Materials (วัสดุก่อสร้างเพื่อโลกยั่งยืน)

เมทัลชีท โดย BlueScope วัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมโดยสามารถเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลในระดับสูง การใช้วัสดุรีไซเคิลที่มีโครงสร้างที่ทนทาน ช่วยลดการใช้ทรัพยากรอย่างเป็นรูปธรรม

นอกจากอากาศบริสุทธิ์ที่ควบคุมทั้งอุณหภูมิและคุณภาพตลอด 365 วัน NEXTOPIA ยังรายล้อมด้วยงานศิลปะ สถาปัตยกรรม และอินทีเรียดีไซน์ที่งดงามและมีความหมาย มีไฮไลท์สำคัญอาทิ The Tree of Life จุดต้อนรับที่นำทุกคนเข้าสู่เมืองต้นแบบแห่งโลกอนาคต, The Spiral บันไดโถงเชื่อมพื้นที่ชั้น 4, 5 และ 5A ออกแบบด้วยแนวคิด Nature Inspired เชื่อมโยงมนุษย์กับธรรมชาติอย่างมีศิลปะ พร้อมใส่ความยั่งยืนด้วยงานศิลป์จากวัสดุเหลือใช้, The Forest Canopy และ The Ocean Canopy อินทีเรียดีไซน์สุดล้ำที่สร้างจากวัสดุรีไซเคิลและขยะทะเล กลายเป็นงานศิลป์ที่ทุกคนต้องตื่นตาตื่นใจ ในพื้นที่ NEXTOPIA ยังมีกลิ่นสนที่สร้างสรรค์ขึ้นมาเป็นพิเศษเพื่อการผ่อนคลายโดย JOURNAL


ตอกย้ำผู้นำ Global Destination ระดับโลก

การเปิด NEXTOPIA ในครั้งนี้ สะท้อนบทบาทของสยามพิวรรธน์ในการเป็นผู้นำแห่ง Global Destination ที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกต่างต้องมาเยือน โดยไม่เคยหยุดนิ่งในการพัฒนาสิ่งใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ผู้ใช้บริการ และสร้างสีสันให้กับวงการรีเทล

นอกจากนี้ ทุกคนยังสามารถสัมผัสประสบการณ์แปลกใหม่ร่วมกับ NEXTOPIA ได้อย่างง่ายๆ ในทุกที่ทุกเวลา  ผ่าน NEXTOPIA World บน ONESIAM SuperApp โดยผู้ใช้งานสามารถรับรู้เรื่องราวและข้อมูลเกี่ยวกับจุดต่างๆ ติดตามกิจกรรมที่น่าสนใจ และมีส่วนร่วมในการ Co-creating Communities for a Better World ไปกับ NEXTOPIA และมีสิทธิได้รับสิทธิประโยชน์อีกมากมายจาก Green Points

NEXTOPIA เปิดพื้นที่สำหรับการมีส่วนร่วมเชิงสร้างสรรค์ ชวนทุกคนเข้ามาร่วมกิจกรรม สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อโลกและสังคม ผ่าน ECO-workshops, Exhibitions และ Talks พร้อมโชว์เคสจากพันธมิตรระดับโลก โดยมี Community Room พื้นที่ Co-working Space ใจกลางกรุงเทพฯ เปิดให้ทุกคนมาทำงาน ค้นหาแรงบันดาลใจ และเป็นศูนย์กลางกิจกรรมคอมมูนิตี้เพื่อคุณและโลกที่ดีขึ้น ตลอด 365 วัน

ทุกคนสามารถมาร่วม Join us in the Making of a Better World ร่วมตระหนักรู้และขับเคลื่อนประเด็นสำคัญระดับโลก ทั้งด้านสังคม สิ่งแวดล้อม และมนุษยธรรม ภายใต้แนวคิด Global Awareness  ได้เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกอย่างยั่งยืน และยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนในระดับโลก

นอกจากนี้ NEXTOPIA ยังเป็นพื้นที่ Pet Welcome ที่เปิดโลกใหม่ให้คุณและเพื่อนสัตว์เลี้ยง พร้อม Club Pawrents by Arak ที่คัดสรรสินค้าเหมาะสำหรับสัตว์เลี้ยง และบริการจากโรงพยาบาลสัตว์อารักษ์ ทีมสัตวแพทย์มืออาชีพดูแลครบครัน และยังมี Pawtopia ดินแดนแห่งความสุขของคนรักสัตว์ รวมแบรนด์คุณภาพและสินค้าน่ารักให้เลือกสรรอย่างจุใจ

ทั้งหมดนี้เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จครั้งใหญ่ของสยามพิวรรธน์ที่ยังคงมุ่งมั่นมอบประสบการณ์เหนือความคาดหมายอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ตอกย้ำการเป็น ‘Game Changer ตัวจริง’  ที่สร้างปรากฏการณ์ทางธุรกิจและการเติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่ง NEXTOPIA ถือเป็นบทพิสูจน์ศักยภาพของสยามพิวรรธน์อีกครั้ง ในการกำหนดมาตรฐานใหม่ของการสร้างแพลตฟอร์มระดับโลก ด้วยการเชื่อมโยงพันธมิตรชั้นนำ นวัตกรรม และคอมมูนิตี้เข้าด้วยกัน เพื่อสร้างโลกที่ดียิ่งขึ้นในอนาคตพร้อมจุดประกายแรงบันดาลใจให้กับผู้คนทั่วโลกอีกครั้ง

]]>
1551180
พูนทรัพย์รังสิต: Strategic Location พื้นที่สีม่วงบนทำเลพหลโยธิน พร้อมโครงสร้างพื้นฐานที่ ‘น้ำไม่เคยท่วม’ ตลอด 19 ปี https://positioningmag.com/1550527 Fri, 12 Dec 2025 03:08:04 +0000 https://positioningmag.com/?p=1550527

จาก Landlord สู่ Strategic Partner บนทำเลศักยภาพ กว่า 19 ปีบนถนนพหลโยธิน “พูนทรัพย์รังสิต” ภายใต้การนำของคุณภรณ์ทิพย์ อัคควิบูลย์ (ทิป) CEO ผู้มุ่งมั่น ไม่ได้ทำหน้าที่เพียงผู้ปล่อยเช่าพื้นที่ (Landlord) แต่ดำเนินธุรกิจด้วยแนวคิด “Partnership” ที่พร้อมเติบโตไปกับลูกค้า ด้วยพอร์ตโฟลิโอพื้นที่กว่า 300 ไร่ ครอบคลุม 4 จังหวัด และเงินทุนบริหารจัดการด้วยตนเอง 100% (Zero Debt) สะท้อนถึงความมั่นคงทางการเงินที่พร้อมรองรับทุกสถานการณ์

ทำไมแบรนด์ใหญ่ถึงเลือกปักหลักที่นี่? ปัจจุบัน พูนทรัพย์รังสิตได้รับความไว้วางใจจากแบรนด์ชั้นนำในหลากหลายอุตสาหกรรม ทั้งกลุ่ม Automotive (เช่น Omoda, Jaecoo), Logistics (เช่น Transpo) และ Manufacturing (เช่น Bangkok Cookies) ความสำเร็จนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากโชค แต่มาจาก “ความพร้อมทางวิศวกรรมและทำเล” ได้แก่:

  1. The Rare “Purple Zone” Advantage (ความได้เปรียบพื้นที่สีม่วง) จุดแข็งสำคัญของพูนทรัพย์รังสิต คือการตั้งอยู่บน “พื้นที่สีม่วง” ติดถนนพหลโยธิน ซึ่งเป็นทำเลที่หาได้ยากและมีความได้เปรียบสูง ความพิเศษนี้เอื้อให้ผู้เช่าสามารถ ยื่นขอใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน (รง.) ได้ถูกต้อง เหมาะสำหรับธุรกิจ Manufacturing ที่ต้องการความถูกต้องตามกฎหมายและลดความเสี่ยงในระยะยาว
  2. Engineering for Risk Management (วิศวกรรมเพื่อลดความเสี่ยง) สำหรับธุรกิจที่มีสินค้าคงคลังหรือเครื่องจักรมูลค่าสูง “น้ำท่วม” คือความเสี่ยงที่ยอมรับไม่ได้ พูนทรัพย์รังสิตพิสูจน์ความแข็งแกร่งด้วยสถิติ “น้ำไม่เคยท่วมตลอด 19 ปี”

ความสำเร็จนี้เกิดจากการวางแผนโครงสร้างพื้นฐานอย่างรัดกุม โดย คุณสมปอง มังคละวิรัช เจ้าของโครงการและวิศวกรผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารจัดการน้ำ ซึ่งนำประสบการณ์การวางระบบป้องกันน้ำท่วมในระดับประเทศ เข้ามาดูแลการออกแบบระดับดินและถนนภายในโครงการด้วยตนเอง

  • Engineering Design: ออกแบบระดับความสูงของถนนและพื้นที่ให้พ้นระยะปลอดภัย และมีพื้นที่สำหรับติดตั้งเครื่องสูบน้ำเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ฉุกเฉิน
  • Infrastructure: ถนนโครงการกว้าง 12 เมตร และระบบไฟฟ้า 3 เฟส รองรับการขนส่งและเครื่องจักรอุตสาหกรรมหนัก
  1. Real Growth Metric: วัดผลความสำเร็จด้วย “การขยายพื้นที่” เราไม่ได้วัดความสำเร็จที่จำนวนผู้เช่า แต่วัดที่การเติบโตของพวกเขา ที่ผ่านมา ผู้เช่ากว่า 70% ตัดสินใจต่อสัญญาหรือขอขยายพื้นที่เพิ่ม ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม ปัจจุบันลูกค้าหลักประกอบด้วย 3 กลุ่มธุรกิจศักยภาพ:

  • Automotive: โชว์รูม Omoda, Jaecoo, Chery และโรงเรียนสอนขับรถ iDrive

  • Logistics: Transpo Logistic และ ศูนย์กระจายสินค้านพรัตน์ 20 บาท
  • Manufacturing: Bangkok Cookies และโรงงานตู้คอนเทนเนอร์ A789

ปี 2569: Optimize & Stabilize เพื่อ Speed to Market ทิศทางในปีหน้า พูนทรัพย์รังสิตมุ่งเน้นกลยุทธ์ “Optimize & Stabilize” คือการปรับปรุงพื้นที่เดิมให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อตอบโจทย์เทรนด์ธุรกิจยุคใหม่ที่ต้องการ “ความเร็ว” (Speed to Market) พื้นที่ของเราจึงถูกเตรียมความพร้อมทั้งระบบน้ำ-ไฟ ให้ลูกค้าสามารถปิดดีลและเริ่มดำเนินธุรกิจได้ภายใน 2 สัปดาห์ พร้อมสัญญาเช่าระยะสั้น (1-3 ปี) ที่ยืดหยุ่น

บทสรุป: ความมั่นคงคือหัวใจ “ดิฉันเชื่อว่าการเติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไปด้วยเงินทุนของตนเอง (Zero Debt) อาจดูช้าแต่มั่นคง และพร้อมรับมือกับวิกฤตได้ทุกรูปแบบ เราพร้อมเป็นฐานที่มั่นคงให้ธุรกิจของผู้เช่าทุกราย” คุณภรณ์ทิพย์ อัคควิบูลย์ CEO พูนทรัพย์รังสิต กล่าวทิ้งท้าย

พื้นที่ว่างพร้อมให้เช่า (Available Space)

  • แปลง Commercial: 2.5 งาน ติดถนนพหลโยธิน-รังสิต หน้ากว้าง 20 เมตร
  • แปลง Comercial: 1ไร่2งาน เข้ามาจากถนนใหญ่ไม่เกิน 100 เมตร ปรับถมแล้ว
  • แปลง Industrial/Warehouse: 3 ไร่ (แบ่งเช่าขั้นต่ำ 2 งาน) ปรับถมแล้ว พร้อมสาธารณูปโภค

สนใจเข้าชมพื้นที่ หรือปรึกษาเรื่องทำเลธุรกิจ:

]]>
1550527
สภาอุตฯ–TDRI ชี้เศรษฐกิจไทยติดหล่ม 2% แนะเร่งยกเครื่องสู่ Next Gen Industry https://positioningmag.com/1551085 Thu, 11 Dec 2025 05:45:25 +0000 https://positioningmag.com/?p=1551085

ท่ามกลางตัวเลขเศรษฐกิจไทยที่ดูเหมือน “ไปได้” แต่ไม่ “ไปไกล” ทั้งจีดีพีที่ครึ่งปีแรกยังโตได้ราว 2% กว่า และการส่งออกที่เพิ่มขึ้นแต่ไม่ใช่ “สินค้าไทยแท้” ในเชิงมูลค่าเพิ่ม ผนวกกับแรงกดดันใหม่ทั้งหนี้ภาครัฐที่ถีบตัวสูง สังคมผู้สูงวัย ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และวิกฤตสิ่งแวดล้อมที่รุนแรงขึ้น งานสัมมนา iBusiness Forum : Thailand Future Signal 2026 – จับสัญญาณอนาคต ก้าวใหม่เศรษฐกิจไทย จึงถูกใช้เป็นเวที “เช็กสัญญาณใหญ่” ของทั้งโลกและเศรษฐกิจไทย ว่าเรากำลังยืนอยู่ตรงไหนของเกมอำนาจใหม่ และยังมีโอกาสดึง “รถติดหล่มเศรษฐกิจไทย” ขึ้นสู่เส้นทาง Next Gen Industry ได้ทันเวลาหรือไม่

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เปิดเผยภายในงานสัมมนา iBusiness Forum : Thailand Future Signal 2026 จับสัญญาณอนาคต ก้าวใหม่เศรษฐกิจไทยว่า แม้ตัวเลขเศรษฐกิจไทยในช่วงที่ผ่านมา เช่น ไตรมาสที่ 1 ขยายตัวราว 3.2% และไตรมาสที่ 2 ประมาณ 2.8% ทำให้ครึ่งปี 2568 ยังดู “ไปได้” แต่เมื่อมองไปข้างหน้าโดยเฉพาะไตรมาสที่ 3 กลับพบสัญญาณน่ากังวลว่าอัตราการเติบโตอาจเหลือเพียงราว 1.3% ซึ่งหากปล่อยให้ทั้งปีจบลงด้วยภาวะ “รถติดหล่ม” การจะดึงเศรษฐกิจขึ้นจากหล่มจำเป็นต้องใช้ “พลังและงบประมาณมหาศาล” และอาจต้องใช้เวลานานกว่าที่คาด


รัฐบาลใหม่–ครม. เศรษฐกิจ เดินหน้า 4 มาตรการเร่งด่วน หวังค่อย ๆ ดันรถขึ้นจากหล่ม

อย่างไรก็ตามฝ่ายนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดปัจจุบัน ที่มีนายอนุทิน ชาญวีรกูล และทีมเศรษฐกิจนำโดยนายเอกนิติ ได้หารือกับภาคเอกชนร่วมกันว่าต้อง “ไม่ยอมให้รถจมหล่ม” และต้องช่วยกันดึงขึ้นมาให้ได้ โดยนายกรัฐมนตรีได้ประกาศวิสัยทัศน์ชัดเจนใน 5 มิติหลัก ได้แก่ การสร้างรายได้ การลดรายจ่าย การเพิ่ม

การใช้จ่ายของประชาชน การแก้ปัญหาหนี้และเพิ่มสภาพคล่อง และการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันและการท่องเที่ยว ทั้งนี้หลังจากภาคเอกชนที่ได้เข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ (ครม. เศรษฐกิจ) ระบุว่า ในช่วงเพียง 4 สัปดาห์ มีมาตรการเศรษฐกิจออกมาแล้ว 4 เรื่อง พร้อมทั้งมีแดชบอร์ดติดตามงานทำให้สามารถเห็นสถานะ (Status) ความคืบหน้าแต่ละมาตรการ ซึ่งต่างจากในอดีตที่ประชุมจบแล้วไม่รู้ว่าเรื่องคืบหน้าไปถึงไหน อย่างไรก็ดี เส้นทางต่อจากนี้ยังต้องใช้เวลาในการแก้ปัญหาหนี้ การปล่อยสินเชื่อ การกระตุ้นเศรษฐกิจ และการรับมือผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงและถี่ขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ


ส่งออกโตแต่ไม่ใช่ “สินค้าจริงของไทย”

นายเกรียงไกร กล่าวอีกว่า การประเมินล่าสุดของคณะทำงานร่วมระหว่างภาครัฐและเอกชนยังคงคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะเติบโตในกรอบเดิม คือ 1.8–2.2% โดยค่ากลางอยู่ราว 2.0% แม้ตัวเลข

มูลค่าการส่งออกถูกปรับขึ้นจากเดิมที่คาดว่าจะโตเพียง 2–3% มาเป็น 9-10.5% แต่เมื่อ “แกะตัวเลข” ลึกลงไปกลับพบว่าสินค้าส่งออกที่เพิ่มขึ้นจำนวนมากเป็นการนำเข้าชิ้นส่วนจากต่างประเทศ (โดยเฉพาะจีน) เพิ่มขึ้นกว่า 30% ขณะที่ดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรม (MPI) ขยายตัวเพียงเล็กน้อย ไม่สอดคล้องกับตัวเลขส่งออก “ตัวเลขที่ออกมาสะท้อนว่าการส่งออกที่ดูดีขึ้น “ไม่ใช่สินค้าไทยแท้” ในเชิงมูลค่าเพิ่ม จึงไม่เพียงพอให้ปรับประมาณการจีดีพีขึ้น”


ไทยต้องปรับตัวเลิกรับจ้างผลิตสู่ “อุตสาหกรรมแห่งอนาคต”

นายเกรียงไกร กล่าวอีกว่า จากแรงกดดันทั้งในและนอกประเทศ ภาคอุตสาหกรรมไทยจึงต้องเร่ง “หนีออกจากวงล้อเดิม” ที่พึ่งพาอุตสาหกรรมดั้งเดิม (First Industry) แบบ OEM ใช้แรงงานเข้มข้น ไปสู่ “อุตสาหกรรมแห่งอนาคต” ที่สร้างมูลค่าเพิ่มสูง เพื่อตอบโจทย์นี้ จึงมีการออกแบบนโยบายขับเคลื่อนอุตสาหกรรมชุดใหญ่ ภายใต้แนวคิด “4GO” ทั้งในด้านดิจิทัล–เอไอ, นวัตกรรม, ตลาดใหม่, อุตสาหกรรมสีเขียว

1. GO Digital & AI ดิจิทัลและเอไอ

ดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์จะเป็น “เงื่อนไขบังคับ” ของทุกประเทศ รวมถึงไทย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรมนุษย์ ในสังคมที่เข้าสู่สังคมสูงวัย เด็กเกิดใหม่ลดลงต่อเนื่อง สภาอุตสาหกรรมฯ จึงจับมือกับกระทรวง อว. เดินโครงการ AFTI เพื่อยกระดับสมาชิกกว่า 16,000 บริษัท ให้สามารถนำดิจิทัลและเอไอมาใช้ในกระบวนการผลิตและบริหารจัดการอย่างจริงจัง

2. Go Innovation – นวัตกรรม

ในยุคที่ “ไม่มีใครแข่งผลิตของถูกกว่าจีนได้” การเอาตัวรอดของไทยต้องอยู่บนฐาน “นวัตกรรม” เท่านั้น ต้อง “จิ๋วแต่แจ๋ว” สภาอุตสาหกรรมฯ จึงร่วมกับกระทรวง อว. ตั้งกองทุน “Innovation One” เพื่อแมตช์สตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีกับสมาชิกภาคอุตสาหกรรม กองทุนนี้ใช้รูปแบบ Matching Fund ข้างละ 1,000 ล้านบาท รวม 2,000 ล้านบาท และมีแผนจะขยายเพิ่มเติมหลังจากประสบความสำเร็จในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา

3. GO Global หาตลาดใหม่ ลดพึ่งพาตลาดเดิม

โมเดลการกระจายความเสี่ยงของจีนเป็นตัวอย่างสำคัญ จากเดิมที่พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ กว่า 20% ของการส่งออก ปัจจุบันลดลงเหลือเพียงระดับ “สิบกว่าเปอร์เซ็นต์” และตั้งเป้าไม่ให้เกิน 10% เพื่อไม่ให้สหรัฐฯ ใช้การกดดันทางการค้าเป็น “คอขวด” ได้อีก ประเทศไทยจึงต้อง “GO Global” ออกไปหาตลาดใหม่ กระจายความเสี่ยง ไม่ยึดติดตลาดเดิมเพียงไม่กี่ประเทศ

4. Go Green – กติกาโลกสีเขียวและพลังงานสะอาด

โลกกำลังก้าวสู่กติกาใหม่ที่ “ผลิตถูกอย่างเดียวไม่พอ” แต่ต้องเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ลดการปล่อยคาร์บอน และใช้พลังงานสะอาด การเข้าสู่มาตรฐานสีเขียวจึงเป็นทั้งเงื่อนไขการค้าและโอกาสสร้างมูลค่าเพิ่ม มุ่ง Next Gen Industry, S-Curve, BCG และ “ไบโอ” ในฐานะแรร์เอิร์ธสีเขียวของไทย

นายเกรียงไกร กล่าวอีกว่า เป้าหมายของการปรับโครงสร้างคือการผลักดันไทยไปสู่ “Next Gen Industry – อุตสาหกรรมแห่งอนาคต” ที่ประกอบด้วย กลุ่มอุตสาหกรรม S-Curve และ New S-Curve รวม 12 กลุ่มโมเดล BCG (Bio–Circular–Green) โดยเฉพาะ “Bio” ที่สภาอุตสาหกรรมมองว่าเป็น “แรร์เอิร์ธสีเขียว” ของไทย เพราะไทยมีความหลากหลายทางชีวภาพสูงและมีศักยภาพในการต่อยอดมูลค่า


จี้รัฐบาล รื้อกฎหมาย–เร่ง FTA–บริหารน้ำ–ลงทุนคน

นายเกรียงไกร กล่าวอีกว่า ท้ายที่สุด สภาอุตสาหกรรมฯ สรุปข้อเสนอถึงภาครัฐใน 5 มิติหลักคือ

1. Next Gen Industry รัฐบาลต้องมีนโยบายเชิงรายละเอียดและสนับสนุนอย่างจริงจัง ไม่ใช่เพียงเชิงสัญลักษณ์ โดยดูตัวอย่างจากความสำเร็จของประเทศจีนที่ผลักดันอุตสาหกรรมเป้าหมายอย่างเป็นระบบ

2. กฎหมายล้าสมัยกฎหมายที่มีอยู่กว่าหนึ่งแสนฉบับต้องเร่ง “รื้อและลด” อย่างน้อยครึ่งหนึ่ง เพื่อคลี่คลายความยุ่งยากและซ้ำซ้อน ขณะนี้มีทีมของ ศ.บวรศักดิ์ ร่วมกับภาคเอกชนกำลังเดินหน้าทบทวนอยู่ แต่จำเป็นต้องมีเจตจำนงทางการเมืองที่ชัดเจน

3. BCG Model และการปรับกฎหมายให้สอดคล้องต้องทำ BCG Model ให้ “เต็มรูปแบบ” ไม่ใช่เพียงคำขวัญ พร้อมปรับกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้สอดรับ เพื่อให้ผู้ประกอบการเข้าถึงได้จริง

4. FTA และโครงสร้างพื้นฐาน–น้ำเร่งเจรจาเขตการค้าเสรี (FTA) และ Free Trade/Free Zone ต่าง ๆ เพื่อเพิ่มโอกาสทางการค้าลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ ไม่ใช่เพียงแก้ปัญหาน้ำท่วมหรือน้ำแล้ง แต่ต้องจัดการน้ำให้ “เป็นประโยชน์” ต่อภาคเกษตรและอุตสาหกรรม

และสุดท้าย 5. Human Development – การพัฒนาคนทักษะสูงอุตสาหกรรมแห่งอนาคตต้องการแรงงานทักษะสูง ทักษะแบบเดิมใช้ไม่ได้อีกต่อไป ภาครัฐจึงต้องให้ความสำคัญกับการอัปสกิล–รีสกิลอย่างจริงจัง


TDRI เปิด 6 สัญญาณเขย่าโลก หนี้รัฐล้นระบบสงครามการค้า-เทคโนโลยี

ด้าน ดร. นณริฎ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโส สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เปิดเผยภายในงานสัมมา iBusiness Forum : Thailand Future Signal 2026 จับสัญญาณอนาคต ก้าวใหม่เศรษฐกิจไทยว่า วันนี้เราจะมาดู “ภาพใหญ่ของเศรษฐกิจไทย” และเรื่องการเมืองเล็กน้อย เพื่อจะใช้เป็น

สัญญาณให้เห็นภาพรวมว่าโลกกับเศรษฐกิจไทยกำลังเดินไปทิศทางไหน ซึ่งถ้าเรามองโลกยาวออกไปสัก 5–10 ปีข้างหน้า มันจะมี “สัญญาณสำคัญ 6 ตัว” ที่ต้องจับตา ซึ่งสัญญาณเหล่านี้จะเป็นตัวกำหนดว่าแต่ละประเทศจะโตดีหรือไม่ดี ขึ้นอยู่กับว่าเขาจัดการมันอย่างไร ทั้งนี้ 6 สัญญาณนี้ประกอบด้วย 1. เรื่อง “หนี้ภาครัฐ” 2. “โครงสร้างประชากร” ที่เปลี่ยนไป เข้าสู่สังคมสูงวัย 3. “Internal Order” หรือระเบียบภายในประเทศ 4. “ภัยคุกคามด้านสิ่งแวดล้อม” 5. “ภูมิรัฐศาสตร์” (Geopolitics) ที่เริ่มมีปัญหาและปะทุขึ้นมากขึ้นเรื่อย ๆ และ 6. “โครงสร้างอำนาจของโลก” ว่าปัจจุบันเป็นอย่างไร กำลังเปลี่ยนทิศทางไปแบบไหน

ปัจจัยเหล่านี้เชื่อมโยงและเป็นตัวชี้ว่าประเทศไหนจะเติบโตได้ดีหรือไม่ดี และขึ้นอยู่กับว่าแต่ละประเทศ “จัดการกับปัญหาเหล่านี้ได้ดีแค่ไหน” ประเด็นแรก คือเรื่อง “หนี้ภาครัฐ” หรือบางคนเรียกว่า “หนี้ล้นระบบ” โดยความสำคัญของมัน อาจมองเป็นสองตัวแปรใหญ่ที่เข้ามาชนกัน

ดร. นณริฎ ตัวแปรแรกคือปัญหา “หนี้” ในตัวมันเองโดยปกติ หนี้ก็เป็นหนี้ของใครของมันไป ถ้าเป็นหนี้ครัวเรือนหรือหนี้บริษัท เวลาเป็นหนี้ก็จะใช้จ่ายได้น้อยลงสักพักหนึ่ง จนกว่าจะเคลียร์หนี้ได้ พอใช้หนี้หมด เขาก็กลับมาบริโภคได้ใหม่ แต่ “หนี้ภาครัฐที่สูงมาก” มันไม่เหมือนกัน เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่จัดการได้ง่าย ๆ ด้วยตัวบุคคล หรือด้วยเครื่องมือปกติของธนาคารกลางอย่างเดียว พอหนี้สูงจนถึงระดับหนึ่ง ธนาคารกลางต้องใช้ “มาตรการฝ่ายการคลังและมาตรการเชิงโครงสร้างของภาครัฐ” เข้ามาช่วยจัดการลักษณะหนี้แบบนี้ เราจึงเรียกกันว่าเป็น “หนี้ที่จัดการได้ยาก” หรือหนี้ที่เริ่มเป็นภาระเชิงโครงสร้าง ซึ่งนี่คือสิ่งที่ IMF ออกมาเตือนหลายประเทศทั่วโลก

วันนี้ ถ้าเราดูแผนที่โลกเรื่อง “หนี้ภาครัฐต่อจีดีพี” จะเห็นว่าหลายประเทศ ตัวเลขพุ่งขึ้นไปแถว ๆ 100% ของจีดีพีแล้วความน่ากลัวของมันมีอยู่สองชั้น ชั้นแรกคือ “ความจริงทางเศรษฐกิจ” ว่าหนี้สูงทำให้รัฐมีพื้นที่นโยบายจำกัด เมื่อเกิดวิกฤตใหม่ ๆ ก็ช่วยได้ไม่เต็มที่ ชั้นที่สองคือ “ความกลัวและความคาดหวังของนักลงทุน” เวลา IMF หรือองค์กรระดับโลกออกมาเตือน จะเกิดสิ่งที่เรียกว่า “ช่องทางของความคาดการณ์” หรือ Expectations Channel คือ “ถ้าคนที่เป็นเจ้าหนี้เดิมเคยคิดว่า ลูกหนี้คนนี้แม้จะมีหนี้เยอะ แต่ยังจ่ายได้ทุกปีสม่ำเสมอ เขาก็อาจยังไม่กังวลมากแต่พอมีคนมากระซิบว่า คนนี้มีโอกาสผิดนัดชำระหนี้นะ ระวังหน่อย ความกลัวก็จะค่อย ๆ สะสมสุดท้าย แม้บางประเทศอาจจะยังไม่ถึงจุดวิกฤต แต่ก็อาจถูก “ลดเครดิต” ถูกมองว่ามีความเสี่ยงสูงขึ้น ทำให้ต้นทุนการกู้ยืมพุ่งขึ้น ทั้ง ๆ ที่ฐานะจริงอาจยังไม่เลวร้ายถึงขนาดนั้นเพราะฉะนั้น เรื่องหนี้ภาครัฐจึงเป็นปัจจัยแรกที่เราต้องจับตาว่า “ประเทศไหนหนี้มาก” ก็จะลำบากมากขึ้นในการรับมือวิกฤตข้างหน้า” ผมยกตัวอย่าง “สหรัฐอเมริกา” ให้ดูว่า แม้จะเป็นประเทศที่ดูเข้มแข็ง แต่ก็มีสัญญาณเตือนเรื่องหนี้จากหลายสถาบัน ซึ่งถ้าไม่บริหารจัดการดี ก็จะกลายเป็นปัญหาใหญ่ตามมาได้

ดร. นณริฎ กล่าวอีกว่า ประเด็นต่อมา คือเรื่อง “โครงสร้างประชากร”ถ้าเรามอง “ภาพรวมของโลก” จะพบว่ากลุ่มประเทศที่ “ประชากรยังเพิ่มขึ้นเร็ว” หรือพูดง่าย ๆ ว่า “อัตราการเกิดสูงพอ” จริง ๆ แล้วเหลืออยู่ไม่มาก ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มประเทศในแอฟริกา หรือบางกลุ่มในเอเชียใต้แต่ประเทศเศรษฐกิจหลัก ๆ ทั้งหลาย กำลังเผชิญ “สังคมสูงวัย” และ “อัตราการเกิดต่ำ” ถ้ามองสัดส่วนประชากรวัยแรงงาน คืออายุประมาณ 15–64 ปี เราจะเห็นว่าในช่วงที่ผ่านมา สัดส่วนนี้ของโลกยังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่พอราว ๆ ปี 2010 เป็นต้นมา ประชากรรุ่นใหม่ที่เข้ามาทดแทนแรงงานรุ่นเก่า เริ่มเพิ่มช้าลงและตั้งแต่ราวปี 2013 เป็นต้นมา “จำนวนประชากรวัยแรงงานของโลก” เริ่มมีแนวโน้ม “ลดลง” ซึ่งจะเป็น“คลื่นใหญ่” ที่กำลังอัปเดตโครงสร้างประชากรของโลก และแต่ละประเทศต้องคิดให้ดีว่า จะรับมืออย่างไรในระดับโลก เรากำลังเผชิญ “จุดหักเหใหญ่” ที่วัยแรงงานจะไม่เพิ่มต่อ แต่เริ่มหายไปเรื่อย ๆ ผลก็คือ ระบบเศรษฐกิจที่เคยมีแรงงานจำนวนมากรองรับ ก็จะเริ่มขาดแคลนแรงงาน ขณะที่ภาระด้านสวัสดิการผู้สูงอายุจะเพิ่มสูงขึ้น ถ้าเราดูฝั่งประเทศพัฒนาแล้ว จะเห็นว่า “ญี่ปุ่น” เข้าสู่สังคมสูงวัยก่อนใคร ตามมาด้วย “สหรัฐฯ” และ “สหภาพยุโรป”ส่วน “ประเทศไทย” รูปแบบจะคล้าย ๆ กับ “จีน” คือไทยเคยมีประชากรวัยทำงานเพิ่มขึ้นต่อเนื่องอยู่พักใหญ่แต่ตอนนี้กำลังเข้าสู่ช่วงที่ “เริ่มหักหัวลง” แล้วเช่นกัน อีกฝั่งหนึ่ง ถ้าดูประเทศที่ยังมีประชากรวัยทำงานเพิ่มขึ้น เช่น อินเดีย หรือบางประเทศในแอฟริกา โอกาสในการเติบโตทางเศรษฐกิจก็ยังพอมี แต่ก็ต้องบริหารให้ดี เพราะถ้ารับแรงงานไว้มาก แต่ไม่มีงานให้ทำ ก็จะกลายเป็น “ภาระ” ต่อระบบสวัสดิการและความมั่นคงภายใน

ดร. นณริฎ กล่าวอีกว่า ถัดมาคือระเบียบภายในของการเมืองแต่ละประเทศ” ซึ่งในระดับโลกจะเห็นการเปลี่ยนแปลงทางความเชื่อทางการเมืองอย่างมีนัยสำคัญ “สมัยก่อน เราถูกสอนมาว่า โลกกำลังเดินไปในทิศทาง “เสรีประชาธิปไตย+ตลาดเสรี” อย่างชัดเจน คือ เน้นรัฐสวัสดิการ ใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจการคลัง–การเงินแบบขยายตัว เชื่อในการค้าเสรี เชื่อในเสรีภาพการเคลื่อนย้ายทุนและแรงงาน เชื่อในความเท่าเทียมและสิทธิมนุษยชน แต่พอเวลาผ่านไป หลายประเทศที่เดินเส้นทางนี้กลับเจอ “ผลข้างเคียง” เช่นความเหลื่อมล้ำทางรายได้และโอกาสสูงขึ้น หนี้สาธารณะพุ่ง การรับผู้อพยพที่ทำให้เกิดความตึงเครียดทางวัฒนธรรม” ในหลายประเทศในยุโรป เช่น ฝรั่งเศส เราเห็นความพยายาม “ปรับลด” สวัสดิการบางอย่าง เช่น การปรับอายุเกษียณ ก็เกิดการประท้วง การจลาจล การไม่พอใจของประชาชน ในสหรัฐฯ ก็เห็นการเมืองที่แบ่งขั้วชัดเจนขึ้น มีการชูแนวคิด “ทำเพื่อตัวเองก่อน” มากกว่าการเป็น “ผู้นำโลกเสรีนิยม” แบบในอดีต ในเยอรมนี ญี่ปุ่น และอีกหลายประเทศ เราเห็น “พรรคการเมืองฝั่งขวา–ชาตินิยม” เพิ่มบทบาทมากขึ้น สะท้อนปฏิกิริยาต่อปัญหาภายใน เช่น การอพยพ ประเด็นวัฒนธรรม และความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจทั้งหมดนี้ ทำให้ “ระเบียบทางการเมืองภายในประเทศ” ไม่ได้เรียบง่ายเหมือนในตำราอีกต่อไป แต่เป็นแหล่งความเสี่ยงใหม่ของเศรษฐกิจโลก

ดร. นณริฎ กล่าวอีกว่า เรื่องต่อไป คือ “ภูมิรัฐศาสตร์” กับคำถามว่า “สงครามการค้าและความขัดแย้งระหว่างประเทศมหาอำนาจ มันเกิดขึ้นได้อย่างไร โดยอย่างแรก เราต้องยอมรับว่า ตอนนี้มีหลักฐานชัดเจนมากขึ้นว่า “มาตรการภาษี การกีดกันทางการค้า” ไม่ได้เป็นแค่ความคิดเฉพาะตัวของผู้นำคนใดคนหนึ่ง แต่เป็น “เครื่องมือ” ที่ถูกใช้ใน “สงครามเชิงโครงสร้างระหว่างสองขั้วอำนาจ” คือ สหรัฐฯ กับจีน เพราะฉะนั้น ถึงแม้ในอนาคต ศาลหรือกลไกต่าง ๆ จะบอกว่า ผู้นำบางคน “ใช้อำนาจเกินขอบเขต” หรือ “ไม่มีอำนาจตามกฎหมาย” มาตรการบางอย่างอาจถูกลดความรุนแรงลงแต่ไม่ได้แปลว่า ความเสี่ยงจะหายไปเพราะสุดท้าย อาจจะมีผู้นำคนใหม่ หรือมีเครื่องมือใหม่ ๆ ถูกคิดขึ้นมาใช้ต่อในสงครามระหว่างประเทศมหาอำนาจอยู่ดีต่อให้ตัวละครเปลี่ยน กติกาบางส่วนเปลี่ยน แต่ “โครงเรื่องใหญ่เรื่องการแย่งชิงอำนาจระหว่างสหรัฐฯ กับจีน” ยังอยู่ และนี่คือบริบทที่ประเทศไทยและประเทศอื่น ๆ ต้องอยู่ร่วมและปรับตัวให้ทันในช่วง 5–10 ปีข้างหน้า การสู้กันของสหรัฐกับจีนรอบนี้ อาจจะไม่ใช่ Geopolitics ในแบบเดิมที่เราเคยคุ้นกัน คือสมัยก่อน Geopolitics จะเป็นเรื่องของ Hard Power เป็นเรื่องของการแย่งดินแดน ใช้การทูต ใช้อำนาจแข็ง ใช้กำลังเข้าไป “ลบล้าง–ห้ำหั่น” กัน แต่ว่ารอบนี้มันจะเป็น Geo-economics แทน Geo-economics คือการใช้ “เครื่องมือทางเศรษฐกิจ–เศรษฐศาสตร์” ในการจัดการเพื่อให้ได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ ตัวอย่างเครื่องมือในสงครามเชิงเศรษฐกิจ เช่นเเราอาจจะเห็น Trade War และ Sanction มากขึ้น การออกมาตรการ “บังคับ/กีดกัน” การลงทุนข้ามประเทศการ “ดัก” หรือสกัดไม่ให้เกิดการลงทุนข้ามแดนในบางอุตสาหกรรม ปัจจุบันจะพบว่าโครงสร้างของสหรัฐ “ไม่ยั่งยืน”หนี้มีแนวโน้ม เพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นมันเป็นเพียง “เรื่องของเวลา” ว่า วันใดวันหนึ่ง หากสหรัฐไม่สามารถเติบโตแบบเดิมได้ ก็จะมีความเสี่ยงสูงที่จะต้อง “หาเครื่องมือใหม่” มาช่วยหนึ่งในเครื่องมือที่ถูกพูดถึงก็คือ Trump Tariff จึงถูกมองว่าเป็นอีกหนึ่ง “เครื่องมือ” ที่จะยังอยู่ต่อในอนาคต ไม่ใช่ของชั่วคราว และสำคัญที่กำลังสู้กันอยู่ และมี Implication กับประเทศไทย คือ 4 เรื่องหลัก 1. สงครามด้าน เทคโนโลยี 2. สงครามด้าน ดาต้า (Data) 3. สงครามด้าน เอนเนอร์จี (Energy) 4. สงครามด้าน ทรัพยากร (Resources) ทั้งหมดจะเป็นหัวใจสำคัญที่จะ Drive ต่อว่าบนเวทีโลก “ใครจะควบคุม Power ได้มากกว่าใคร”

ในธรรมชาติของโลก (Nature) ทุกท่านทราบกันดีว่า มันมีความอันตราย และกำลังจะเข้ามามีผลต่อเศรษฐกิจไทยอย่างชัดเจน ซึ่งเราต้องหาทางจัดการอย่างเร่งด่วนและใน Long-term Shock นี้ เราเห็นภาพชัดเจนว่าในอนาคต ทุกประเทศในโลก หนีเรื่องนี้ไม่พ้น โครงสร้างอำนาจของโลก สุดท้ายในส่วนนี้คือ เทคโนโลยีใครที่ เก่งด้านดิจิทัลใครที่ ปรับตัวกับดิจิทัลได้ดีประเทศนั้นหรือกลุ่มคนนั้น เศรษฐกิจมักจะโตเร็วกว่าคนอื่นส่วนใครที่ตามดิจิทัลไม่ทัน ตกเทรนด์ก็จะแย่ลงAI ก็เช่นเดียวกันเพราะฉะนั้นมันขึ้นอยู่กับว่าแต่ละประเทศนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้ได้มากน้อยแค่ไหน ตัวอย่างในตลาดหุ้น S&P ดัชนีโดยรวมอาจจะทำ New High จริง แต่ถ้าเจาะดูรายตัว จะเห็นว่าหุ้นที่โตจริง ๆ คือหุ้นที่เกี่ยวข้องกับ New Technology ส่วนหุ้นอื่น ๆ ที่เป็น Core Business แบบเดิมกลับแย่ลง นี่สะท้อนให้เห็นว่า เทคโนโลยีกำลัง “แบ่งโลก” ออกเป็นสองฝั่ง อย่างชัดเจนจะเห็นว่าทั้งโลก หันมาพยายามดึงเทคโนโลยีเข้ามาเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโต (Growth Engine) เหมือนกันหมด เมื่อฟังสัญญาณจากทั้งภาคเอกชนและนักวิชาการ สิ่งที่ชัดเจนคือ เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญ “จุดหักเหใหญ่หลายด้าน ทางออกจึงไม่ใช่เพียงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น แต่คือการเร่ง “ยกเครื่องโครงสร้าง” ซึ่งหากรัฐบาล ภาคเอกชน และสังคมไทยสามารถเปลี่ยนสัญญาณเตือนเหล่านี้ให้กลายเป็น “เข็มทิศใหม่” ได้ทันเวลา รถเศรษฐกิจไทยอาจไม่เพียงแค่หลุดจากหล่ม แต่ยังมีโอกาสกลับมาวิ่งบนเลนของประเทศที่ใช้วิกฤตเป็นจุดเริ่มต้นของการเติบโตระยะยาวได้อีกครั้ง

]]>
1551085
“ไทยเบฟ…รวมใจต้านภัยหนาว” มากกว่าความอบอุ่น เติมเต็มพลังใจ เสริมสร้างสุขภาวะที่ยั่งยืนให้กับประชาชนในพื้นที่ห่างไกล https://positioningmag.com/1550901 Tue, 09 Dec 2025 09:58:26 +0000 https://positioningmag.com/?p=1550901

การบริการด้านสาธารสุขที่เพียบพร้อม อาจไม่ได้เข้าถึงกับคนไทยทุกคน โดยเฉพาะกลุ่มคนที่อาศัยอยู่พื้นที่ห่างไกลหรือพื้นที่เข้าถึงยาก แม้กระทั่งการเดินทางไปสถานีอนามัย โรงพยาบาลศูนย์ประจำพื้นที่ล้วน แต่ต้องใช้เวลานานเหล่านี้คือเรื่องที่เป็นไปได้ยากแม้กระทั่งในโลกปัจจุบัน

จากจุดเริ่มต้นของโครงการ “ไทยเบฟ…รวมใจต้านภัยหนาว” ของ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ที่ได้ผสานความร่วมมือกับ กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พร้อมด้วยภาคีเครือข่าย ทุกภาคส่วน เพื่อร่วมสานต่อปณิธานแห่งการ “ให้” ของคุณเจริญ และคุณหญิงวรรณา สิริวัฒนาภักดี ที่ได้กล่าวไว้ว่า “คนไทย ให้กันได้” อันเปี่ยมไปด้วยความห่วงใยที่มีต่อพี่น้องประชาชนจำนวนมากที่ได้รับความเดือดร้อน และผลกระทบอย่างรุนแรงจากภัยพิบัติหนาวในพื้นที่ภาคเหนือ และ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นับเป็นเวลา 26 ปี ของคาราวานผ้าห่มผืนเขียวได้ออกเดินทางส่งมอบรอยยิ้ม และความอบอุ่นภายใต้ “ผ้าห่มผืนเขียว” ให้ทุกคนได้บรรเทาความหนาวเย็น ปีละจำนวน 200,000 ผืน นับตั้งแต่ปี 2543 เป็นต้นมา จำนวนกว่า 5,200,000 ผืน พร้อมกับมอบโอกาสในการเข้าถึงความช่วยเหลือด้านต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง

ไม่เพียงแค่ส่งมอบความอบอุ่นแล้ว ยังได้ขยายความช่วยเหลือในด้านอื่นๆ ที่มีความจำเป็นต่อ การดำรงชีพ ตลอดจนการดูแลเรื่องการศึกษา กีฬา การพัฒนาชุมชนส่งเสริมอาชีพเพื่อสร้างความมั่นคงให้กับชุมชนอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านสุขภาพและสาธารณสุขที่เล็งเห็นถึงปัญหาด้านการเข้าถึงบริการทางสุขภาพของชาวบ้านที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล ร่วมกับ หน่วยงานสาธารณสุขประจำจังหวัด หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ อาทิ ช้างคลินิกเคลื่อนที่ โรงพยาบาลรวมแพทย์ยโสธร มูลนิธิโรงพยาบาลสวนดอก โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ ลงพื้นที่พร้อมกับคาราวานผ้าห่มผืนเขียว เพื่อบริการตรวจสุขภาพให้กับพี่น้อง 15 จังหวัด ตั้งแต่ตรวจวัดโรคทั่วไป วัดความดัน วัดปริมาณน้ำตาลในเลือด โรคผิวหนัง โรคตา ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ตรวจคัดกรองไวรัสตับอักเสบบีและซี ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีบริการฝังเข็มแก้อาการปวด และบริการตัดผมอีกด้วย โดยในปี 2565 โครงการ “ไทยเบฟ รวมใจต้านภัยหนาว” โดย มูลนิธิโรงพยาบาลสวนดอก ได้พบผู้ป่วยคอพอก ที่ อ.เมืองอาย จ.เชียงราย ซึ่งผู้ป่วยมีก้อนบริเวณคอขนาดใหญ่ อันเนื่องจากอาการต่อมไทรอยด์มีขนาดใหญ่ผิดปกติ จากนั้นได้ดำเนินการส่งตัวไปรักษาต่อที่ โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ คณะแพทยศาสตร์ ม.เชียงใหม่ ทำการผ่าตัดรักษาจากทีมแพทย์เฉพาะทางที่เชียวชาญ จนผู้ป่วยได้กลับมาใช้ชีวิตได้ปกติ มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

รศ.นพ.ณัฐพงศ์ โฆชุณหนันท์ รองคณบดีคณะแพทยศาสตร์ และอาจารย์ประจำหน่วยระบบต่อไร้ท่อ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวถึงการรักษาของผู้ป่วยกรณีนี้ว่า “คนไข้มีอาการคอพอกขนาดใหญ่ ซึ่งมีขนาดโตตั้งแต่อายุ 20 ปี ต่อมไทรอยด์จะโตเร็วขึ้นในช่วง 2 ปีหลัง นอกจากนี้มีอาการหายใจติดขัด บางครั้งมีอาการกลืนอาหารลำบาก นอกจากนึ้คนไข้ยังมีปัญหาเรื่องโรคหัวใจด้วย”

ผศ.นพ.เศรษฐพงศ์ บุญศรี รองคณบดีคณะแพทยศาสตร์ และอาจารย์ภาควิชาวิสัญญีวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่กล่าวว่า “ผู้ป่วยรายมีก้อนไทรอยด์ที่โตอาจกดทับทางเดินหายใจ เลยต้องใช้วิธีนำสลบโดยแก๊สนำสลบและใส่ท่อช่วยหายใจผ่านกล้องส่องกล่องเสียงซึ่งได้ผลเป็นอย่างดี นอกจากนี้ผู้ป่วยมีอาการลิ้นหัวใจห้องขวารั่ว ส่งผลทำให้หัวใจห้องขวาบน และหัวใจห้องขวาล่างโต ตลอดการผ่าตัดไม่มีภาวะแทรกซ้อน”

นับเป็นการตอกย้ำปณิธานแห่งการ “ให้” และการ “แบ่งปัน” ภายใต้ “ผ้าห่มผืนเขียว” สัญลักษณ์ที่เป็น “มากกว่าความอบอุ่น คือสังคมแห่งการให้ที่ยั่งยืน”

]]>
1550901
KBank, Orbix Tech, StraitsX ร่วมเปิดโครงการ Seamless Travel Payments on Chain จ่ายเงินข้ามพรมแดน สะดวกปลอดภัยแบบไร้รอยต่อด้วยบล็อกเชน https://positioningmag.com/1548880 Wed, 03 Dec 2025 10:52:14 +0000 https://positioningmag.com/?p=1548880

ปัจจุบันการท่องเที่ยวต่างประเทศถือเป็นการให้รางวัลชีวิตอย่างหนึ่ง บางคนเป็นการเที่ยวเพื่อตอบแทนในการทำงานอย่างหนักมาตลอดทั้งปี หรือเป็นการเปิดประสบการณ์ใหม่ในชีวิต ซึ่งการท่องเที่ยวต่างประเทศในยุคนี้ก็สะดวกสบายมากขึ้น สามารถใช้จ่ายได้ทั้งเงินสด และผ่านบัตร Travel Card


ใช้จ่ายข้ามประเทศแบบไร้รอยต่อ

ซึ่งตอนนี้ยิ่งสะดวกมาขึ้นไปอีก เพราะมีนวัตกรรมที่สามารถชำระเงินข้ามพรมแดนแบบเรียลไทม์ เสมือน “สแกนจ่าย” ในประเทศ ล่าสุดธนาคารกสิกรไทย ร่วมกับ บริษัท ออร์บิกซ์ เทคโนโลยี แอนด์ อินโนเวชัน จำกัด (Orbix Technology) และ StraitsX ชั้นโครงสร้างการชำระดุลด้วย Stablecoin สัญชาติสิงคโปร์ ได้ร่วมเปิดตัว “Seamless Travel Payments on Chain” นวัตกรรมการชำระเงินข้ามพรมแดนไทย–สิงคโปร์ด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชน ภายใต้โครงการ BLOOM ซึ่งเป็นความร่วมมือระดับนานาชาติที่นำโดยธนาคารกลางสิงคโปร์ (MAS)

โดยได้ประกาศความร่วมมือครั้งแรกในงานมหกรรมฟินเทคระดับโลก Singapore FinTech Festival 2025 เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2568 ที่ผ่านมา เพื่อเป็นต้นแบบการชำระเงินยุคใหม่บนเทคโนโลยีบล็อกเชนที่โปร่งใส และปลอดภัย ด้วยเงินอิเล็กทรอนิกส์ (E-money) ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อปูทางสู่โครงสร้างพื้นฐานการเงินดิจิทัลระดับภูมิภาค

การประกาศความร่วมมือครั้งนี้มีผู้บริหารระดับสูงจากภาครัฐและเอกชนเข้าร่วมเป็นสักขีพยาน ได้แก่

  • คุณขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย
  • ดร.กรินทร์ บุญเลิศวณิชย์ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย
  • Mr. Tianwei Liu, Co-Founder & CEO, StraitsX
  • ดร.รุ่ง โปษยานนท์ มัลลิกะมาส รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย
  • Mr. Leong Sing Chiong, Deputy Managing Director – Markets & Development, MAS
  • คุณจิรัชณา บุญธรรม Head of Marketing & Community, Orbix Technology
  • Mr. Justin Kim, Head of Asia, Ava Labs

โครงการนี้มุ่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการชำระเงินข้ามพรมแดนยุคใหม่ที่เชื่อมโยงระบบการชำระเงินดิจิทัลภายใต้การกำกับดูแลของแต่ละประเทศให้ทำงานร่วมกัน ผ่านเทคโนโลยีบล็อกเชน และสร้างเครือข่ายการชำระเงินระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชียให้เป็นหนึ่งเดียว

ดร.กรินทร์ บุญเลิศวณิชย์ รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า

“Seamless Travel Payments on Chain” คือโครงการต้นแบบที่มีวัตถุประสงค์เพื่อเชื่อมโยงระบบการชำระเงินดิจิทัลระหว่างประเทศ ให้ทำงานร่วมกันได้อย่างไร้รอยต่อ ผ่านเทคโนโลยีบล็อกเชนที่ปลอดภัย โปร่งใส และตรวจสอบได้ ทำให้นักท่องเที่ยวทั้งไทยและสิงคโปร์สามารถจ่ายเงินได้แบบเรียลไทม์เหมือนอยู่ประเทศตัวเอง

โดยสามารถรองรับการชำระเงินผ่าน QR Code โดยใช้ Regulated E-money คือ Q-money (เงินอิเล็กทรอนิกส์บนบล็อกเชนของธนาคารกสิกรไทย)  และ XSGD (สกุลเงินดิจิทัลของสิงคโปร์ที่มีมูลค่าเสถียรของ StraitsX) ในการชำระเงินค่าสินค้าและบริการที่ร้านค้า ซึ่งจะช่วยลดขั้นตอนในการแปลงสกุลเงินระหว่างประเทศได้

โครงการนี้จะแบ่งเป็น 3 เฟสด้วยกัน 

เฟส 1 : นักท่องเที่ยวไทยที่เดินทางไปสิงคโปร์จะสามารถใช้แอปพลิเคชัน Q Wallet by KBank ที่มี Q-money ชำระค่าสินค้า และบริการที่ร้านค้าที่รองรับ GrabPay และบางร้านค้าที่รองรับ PayNow ได้ ด้วยการการสแกน QR Code โดยเงินจะถูกแปลงเป็น XSGD แบบเรียลไทม์ ซึ่งร้านค้าสิงคโปร์จะได้รับเงินเป็น SGD ในทันที ทำให้ประสบการณ์ใช้งานของนักท่องเที่ยวราบรื่นเหมือนกับการสแกนจ่ายเงินในไทย ส่วนร้านค้าจะได้รับยอดชำระทันทีโดยไม่ต้องผ่านขั้นตอนการแลกเปลี่ยนสกุลเงิน ช่วยเพิ่มความสะดวก รวดเร็ว

เฟส 2 : ขยายการใช้งานให้นักท่องเที่ยวสิงคโปร์ที่มาประเทศไทยสามารถใช้กระเป๋าเงินดิจิทัลจากประเทศบ้านเกิดของตนที่มี XSGD ชำระเงินผ่านการสแกน QR Code ของร้านค้าในไทยได้โดยตรง ร้านค้าไทยก็จะได้รับเงินบาท โดยไม่ต้องไปแปลงสกุลเงินให้ยุ่งยาก

เทคโนโลยีเบื้องหลังที่ขับเคลื่อนการทำงานของ Q-money ถูกขับเคลื่อนโดย Quarix บล็อกเชนของ Orbix Technologyและยังทำหน้าที่ในการเชื่อมต่อกับระบบของ StraitsX ผ่านเครือข่าย Avalanche ซึ่งเป็นเครือข่ายที่รองรับการทำงานของ XSGD อยู่แล้ว ซึ่งมีความสามารถในการสร้าง Permissioned Custom Chain ให้สอดคล้องกับการกำกับดูแล รวมทั้งมีระบบการควบคุมและความเป็นส่วนตัวที่จำเป็น การทำงานร่วมกันของเทคโนโลยีเหล่านี้ทำให้การชำระเงินระหว่าง Q-money และ XSGD สามารถดำเนินการแบบ Real-time Settlement

เฟส 3 : เพิ่มระบบ Cross-Border KYC Verification เพื่อให้การตรวจสอบ และยืนยันตัวตนผู้ใช้งานระหว่างประเทศมีความปลอดภัย โปร่งใส และสอดคล้องกับข้อกำหนดของหน่วยงานกำกับดูแลทั้งสองประเทศ ซึ่งจะเป็นการวางรากฐานสำคัญของการสร้างระบบการเงินดิจิทัลที่เชื่อมโยงกันได้อย่างไร้รอยต่อในระดับภูมิภาค

จุดเด่นที่สำคัญของโครงการนี้ที่น่าจะเป็นประโยชน์มากๆ แก่นักท่องเที่ยวก็คือ สามารถชำระเงินระหว่างประเทศได้สะดวก โดยไม่จำเป็นต้องเปิดบัญชีใหม่ในแต่ละประเทศ ช่วยลดความซับซ้อนของการแลกเปลี่ยนสกุลเงิน เพิ่มความโปร่งใสและความปลอดภัยของระบบการเงิน ด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชนที่ทำให้ทุกธุรกรรมเกิดขึ้นแบบเรียลไทม์

อีกทั้งยังเป็นการสนับสนุนระบบเศรษฐกิจดิจิทัล และการท่องเที่ยวของภูมิภาค ผ่านการใช้โครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีบล็อกเชนที่เชื่อมโยงกันได้ เพื่อวางรากฐานสู่โครงสร้างพื้นฐานการเงินดิจิทัลระดับภูมิภาค ที่พร้อมรองรับการขยายผลในระดับสากลในอนาคต

ทั้งนี้การดำเนินโครงการในเฟส 1 ได้อยู่ภายใต้การทดสอบใน Regulatory Sandbox ของธนาคารแห่งประเทศไทยแล้ว และมีแผนเปิดให้บริการภายในไตรมาส 2 ปี 2569 ส่วนเฟสที่ 2 และเฟสที่ 3 เตรียมเข้าสู่กระบวนการขออนุญาตจากหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้อง ในช่วงครึ่งแรกของปี 2569 เพื่อให้การดำเนินโครงการเป็นไปตามกฎหมายและมาตรฐานที่กำหนด

]]>
1548880
“ผ้าห่มผืนเขียว” สัญลักษณ์ของรอยยิ้ม และความอบอุ่น สู่สังคมแห่งการ “ให้” ที่ยั่งยืน https://positioningmag.com/1549944 Wed, 03 Dec 2025 10:00:06 +0000 https://positioningmag.com/?p=1549944

ส่งท้ายการเดินทางของคาราวาน “ผ้าห่มผืนเขียว” โครงการ “ไทยเบฟ…รวมใจต้านภัยหนาว” ปีที่ 26 ที่ได้ออกเดินทางส่งมอบรอยยิ้ม และความอบอุ่นครอบคลุมพื้นที่ 15 จังหวัดภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมถึงพื้นที่ในจังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากภัยหนาวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่หุบเขา ยอดดอยสูงซึ่งมีความห่างไกลเดินทางเข้าถึงยาก และทุรกันดารต่าง ๆ ให้ถึงมือพี่น้องผู้ประสบภัยหนาว โดยเฉพาะผู้สูงอายุ เด็ก และผู้ป่วย ที่ต้องดำรงชีพท่ามกลางสภาพอากาศที่หนาวเย็นตามครัวเรือนในจังหวัดต่าง ๆ ได้แก่ จังหวัดยโสธร อำนาจเจริญ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์นครราชสีมา ชัยภูมิ พิจิตร กำแพงเพชร ลำพูน ลำปาง พะเยา เชียงราย และจังหวัดเชียงใหม่

จากจุดเริ่มต้นของโครงการ “ไทยเบฟ…รวมใจต้านภัยหนาว” ของ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ที่ได้ผสานความร่วมมือกับ กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พร้อมด้วยภาคีเครือข่าย ทุกภาคส่วนเพื่อร่วมสานต่อปณิธานแห่งการ “ให้” ของคุณเจริญ และคุณหญิงวรรณา สิริวัฒนาภักดี ที่ได้กล่าวไว้ว่า “คนไทย ให้กันได้” อันเปี่ยมไปด้วยความห่วงใยที่มีต่อพี่น้องประชาชนจำนวนมากที่ได้รับความเดือดร้อน และผลกระทบอย่างรุนแรงจากภัยพิบัติหนาวในพื้นที่ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมถึงในอีกหลาย ๆ พื้นที่ของประเทศไทยที่มีความห่างไกล ทุรกันดาร ที่ต้องดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางสภาพอากาศที่หนาวเย็นจัด และยิ่งทบทวีคูณยิ่งขึ้นในช่วงเวลากลางคืนของฤดูหนาว ที่วันนี้นับเป็นเวลา 26 ปี ของคาราวานผ้าห่มผืนเขียว ที่ได้ออกเดินทางส่งมอบรอยยิ้ม และความอบอุ่นภายใต้ “ผ้าห่มผืนเขียว” ให้ทุกคนได้บรรเทาความหนาวเย็น ปีละจำนวน 200,000 ผืน นับตั้งแต่ปี 2543 เป็นต้นมา จำนวนกว่า 5,200,000 ผืน พร้อมกับมอบโอกาสในการเข้าถึงความช่วยเหลือด้านต่าง ๆ มาอย่างต่อเนื่อง ทั้งอาหาร น้ำดื่ม ข้าวของเครื่องใช้ในการดำรงชีพที่มีความจำเป็น รวมถึงแผนการดูแลที่ครอบคลุมทั้งเรื่องสุขภาพ การส่งเสริมทางด้านการศึกษา และกีฬา การส่งเสริมในด้านการสร้างอาชีพเพื่อให้เกิดรายได้ให้กับชุมชนอย่างยั่งยืน

นายฐาปน สิริวัฒนภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) เผยว่า “ขอเป็นตัวแทนท่านประธาน เจริญ สิริวัฒนภักดี ในนาม บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) รู้สึกความภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่โครงการ “ไทยเบฟ…รวมใจต้านภัยหนาว” ได้ดำเนินการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยหนาวเคียงข้างพี่น้องคนไทย ได้ร่วมแบ่งปันรอยยิ้ม ภายใต้ไออุ่นของคาราวานผ้าห่มผืนเขียวมาอย่างยาวนาน โครงการ “ไทยเบฟ…รวมใจต้านภัยหนาว” ได้ริเริ่มขึ้นในปี 2543 จากปณิธานแห่งการ “ให้” ของ คุณเจริญ และคุณหญิงวรรณา ที่ท่านได้กล่าวไว้ว่า “คนไทย ให้กันได้” ด้วยความห่วงใยที่มีต่อพี่น้องชาวไทยทุกคนที่ได้รับความเดือดร้อนจากภัยหนาวในตั้งแต่ครั้งนั้นเป็นต้นมา พร้อมมุ่งมั่นดำเนินงานตามแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยในปี 2563 ได้เริ่มผลิต “ผ้าห่มผืนเขียวรักษ์โลก” จากขวดพลาสติกที่ทำจากเม็ดพลาสติกรีไซเคิล หรือ rPET ภายใต้ “โครงการ เก็บกลับ–รีไซเคิล” ของ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ รีไซเคิล จำกัด ที่ยังคงคุณภาพความนุ่ม และความอบอุ่นของผ้าห่มเหมือนเช่นเคย โดยปัจจุบันสามารถเก็บกลับคืนขวดพลาสติกสู่ระบบรีไซเคิลได้แล้วกว่า 45 ล้านขวด พร้อมกับส่งมอบผ้าห่มผืนเขียวรักษ์โลกไปแล้ว จำนวน 1,200,000 ผืน โดยผ้าห่ม 1 ผืน เทียบเท่ากับการรีไซเคิลขวดพลาสติกจำนวน 38 ขวด วันนี้ คาราวานผ้าห่มผืนเขียว ของเราได้เดินทางมาถึง อำเภอแม่แตง แห่งนี้ ด้วยหัวใจอันเต็มเปี่ยมที่จะมอบความอบอุ่น ความห่วงใย ให้กับพี่น้องจังหวัดเชียงใหม่ “ผ้าห่มผืนเขียวรักษ์โลก” จำนวน 15,000 ผืน ผ่านท่านผู้ว่าราชการจังหวัด โดยที่ยังได้รับความร่วมมือจากพันธมิตรจากหลายภาคส่วนที่ร่วมนำกิจกรรมสันทนาการ อาทิ กิจกรรมแยกขยะจากไทยเบฟเวอเรจ รีไซเคิล / กิจกรรมการนำของเหลือทิ้งมาประยุกต์ให้เกิดประโยชน์จากน้อง ๆ Beta Young /กิจกรรมส่งเสริมด้านการกีฬา Chang Mobile Football Clinic / หน่วยแพทย์เคลื่อนที่จากมูลนิธิโรงพยาบาลสวนดอกที่มาให้บริการพี่น้องชาวอำเภอแม่แตง / มูลนิธิผืนป่าในใจเราที่นำต้นกล้าไม้มามอบให้ / รวมถึงอาหาร และขนมอีกมากมายจากโรงแรมเครือข่ายพันธมิตรที่นำมามอบให้ทุกคนในวันนี้

นอกจากการส่งมอบในพื้นที่หลักจังหวัดต่างๆ ในทุกๆ พื้นที่ยังส่งมอบผ้าห่มให้ถึงมือผู้รับถึงครัวเรือนอีกมากมายที่เป็นพ่อเฒ่า แม่แก่ ที่ไม่สามารถจะเดินทางมารับมอบในพื้นที่ที่จัดไว้ได้

คุณยายสมคิด เชิงฉลาด อายุ 77 ปี ชาวอำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ที่อาศัยอยู่คนเดียวเพราะหลานๆ ต้องเดินทางมาทำงานที่กรุงเทพฯ คุณยายป่วยเป็นอัมพฤกษ์ ซึ่งตอนนี้เดินเหินด้วยตัวเองแทบไม่ไหว ทำให้แกไม่ค่อยได้เจอใคร คุณยายเล่าว่าถึงจะเดินไม่คล่องแต่ก็ยังต้องทำอาหารทานเองทุกวัน และไปรับยาประจำตามที่หมอนัดอยู่ตลอด วันนี้พอมีคนมาหาถึงบ้าน และยังนำผ้าห่มนำสิ่งของมามอบให้ ก็รู้สึกดีใจมากจนคุณยายแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหว ท่ามกลางกำลังใจจากทุกคน

แม่อุ้ยแว่น อายุ 87 ปี ชาวอำเภอทุ่งหัวช้าง จังหวัดลำพูน อาศัยอยู่บ้านคนเดียว “ดีใจมาก รู้สึกเหมือนมีลูกหลานมาเยี่ยม เพราะที่ลำพูนช่วงหน้าหนาวอากาศจะเย็นมากตอนเช้าๆ และในตอนกลางคืน ดีใจ และขอบคุณทุกคนที่เอาผ้าห่ม และของกินมาให้ถึงบ้าน”

แม่อุ้ยเอ้ยถา ดวงชื่น อายุ 93 ปี ชาวอำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ คุณยายอาศัยอยู่คนเดียว เพราะลูกหลานต้องแยกย้ายกันไปทำงานกรุงเทพฯ พอเห็นไทยเบฟนำผ้าห่มไปมอบให้ คุณยายยกมือไหว้ด้วยความซาบซึ้งใจที่ได้รับผ้าห่ม เพราะเวลาหนาว เชียงใหม่ก็จะหนาวมากๆ ขอบคุณทุกห่วงใยชาวบ้าน และอวยพรให้โครงการเดินหน้าเข้าถึงพื้นที่ต่างๆ ต่อไป เรียกว่าวันนี้แม่อุ้ยอายุมากที่สุดในพื้นที่ และยังพอเดินเหินมารับมอบผ้าห่มได้ด้วยตนเองด้วยรอยยิ้มแห่งไออุ่น เป็นอีกหนึ่งภาพที่สะท้อนให้เห็นถึงการเป็นผู้รับ และความห่วงใยที่เปี่ยมไปด้วยความตั้งใจของผู้ให้ และยิ้มยิ้มสุขใจของผู้ได้รับ

วันนี้ การเดินทางของคาราวานผ้าห่มผืนเขียว ได้ทำหน้าที่ส่งมอบรอยยิ้ม และความอบอุ่น และยังเป็นสื่อกลางของเครือข่ายความร่วมมือของทุกภาคส่วนที่ได้ร่วมกันดูแลคุณภาพชีวิตด้านต่างๆ ให้กับพี่น้องประชาชนในทุกพื้นที่ทั้งในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมไปถึงพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากภัยหนาวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พร้อมเดินหน้าสานต่อปณิธานแห่งการ “ให้” และการ “แบ่งปัน” ภายใต้ “ผ้าห่มผืนเขียว” สัญลักษณ์ที่เป็น “มากกว่าความอบอุ่น คือสังคมแห่งการให้ที่ยั่งยืน”

 

]]>
1549944
เตือนเศรษฐกิจไทยเสี่ยง “อัมพฤกษ์” ติดหล่มกฎระเบียบซ้ำซ้อน https://positioningmag.com/1549899 Tue, 02 Dec 2025 10:29:38 +0000 https://positioningmag.com/?p=1549899

ประธานหอการค้าไทยส่งสัญญาณแรง ชี้เศรษฐกิจไทยกำลังติดหล่มกฎระเบียบซ้ำซ้อน–ระบบราชการที่ยุ่งยาก ทำให้นักลงทุนต่างชาติ “สับสนและลงทุนยาก” แม้ไทยยังเป็นจุดสนใจในอาเซียน แต่หากไม่เร่งรื้อกฎหมายเก่า ปรับขั้นตอนให้ทันโลก ผลักดันซัพพลายเชน “เมดอินไทยแลนด์” หนุนเศรษฐกิจสีเขียว และปราบคอร์รัปชันอย่างจริงจัง ไทยเสี่ยงเสียโอกาสบนเวทีโลกในระยะยาว

เศรษฐกิจไทย “อัมพฤกษ์” ติดหล่มกฎระเบียบ–ราชการซ้ำซ้อน

ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยในงานสัมมนา iBusiness Forum : Thailand Future Signal 2026 จับสัญญาณอนาคต ก้าวใหม่เศรษฐกิจไทย ว่า ปัจจุบันเศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญภาวะคล้าย “อัมพฤกษ์” คือร่างกายยังไม่ตาย แต่ขยับตัวลำบาก เพราะเกิดจากการชะงักงันในการทำงาน ไม่มีการขับเคลื่อนจากรัฐบาลและรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง แต่ปัจจุบันเริ่มมีความชัดเจนมากขึ้นแล้ว

ทั้งนี้ เศรษฐกิจโลกกำลังจัดระเบียบใหม่ ทั้งห่วงโซ่อุปทาน การจับคู่ทางการค้า และการเกิดขึ้นของกลุ่มเศรษฐกิจใหม่ ๆ จำนวนมาก ประเทศต่าง ๆ กำลังหาพันธมิตรและฐานการลงทุนใหม่ ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากมาตรการภาษีของสหรัฐ เพื่อตอบโจทย์ปัญหาของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์

อย่างไรก็ตาม สิ่งดีของอาเซียนต่อ “ประเทศไทย” คือการที่เราถือเป็นจุดที่ต่างชาติให้ความสนใจในเรื่องของการค้าและการลงทุน เพราะไม่มีความขัดแย้งรุนแรงกับฝ่ายใด และมีศักยภาพจะเป็นศูนย์กลางในภูมิภาคได้

ต่างชาติสับสนกติกาไทย

สำคัญคือเรื่อง “การเคลื่อนย้ายทุน” ทุกวันนี้เรามีปัญหามากที่ว่า บางครั้งมีการลงทุนจากต่างประเทศมา แต่ไม่ชัดเจนว่าประเทศไทยได้ประโยชน์อะไรบ้าง มีสินค้าทุ่มตลาด แล้วประเทศไทยได้อะไร ตรงนี้ต้องมีการแก้ไข ซึ่งทางหอการค้าไทยได้เข้าไปร่วมช่วยแก้ปัญหากับทางสาธารณรัฐประชาชนจีนแล้วในเบื้องต้น

“เราช่วยกันจัดระเบียบกันมาตั้งแต่กลางปีที่แล้ว จนสุดท้ายได้บริษัทจีนที่ถูกต้องตามเงื่อนไขของบีโอไอ กว่าพันบริษัท และก็เป็นสมาชิกของสมาคมด้วย ในทางกลับกัน เราก็รู้ถึงปัญหาของนักธุรกิจจีนที่มาลงทุนกับเราด้วยว่าเขาติดปัญหาอะไรบ้าง” ดร.พจน์ กล่าว

ดร.พจน์ กล่าวอีกว่า นักลงทุนต่างชาติที่สนใจประเทศไทยจำนวนมาก “สับสน” กับระบบกฎหมายและขั้นตอนของไทย ทั้งด้านภาษี การนำเข้า–ส่งออก และกฎระเบียบเฉพาะอุตสาหกรรม

“ปัญหาคือว่าขั้นตอนข้างในมันเยอะเหลือเกิน กฎระเบียบเยอะเหลือเกิน วิธีปฏิบัติให้ถูกต้องก็มาก ต่างชาติหลายครั้งไม่เข้าใจว่าต้องลงทุนกันอย่างไร ตัวอย่างคือสินค้าบางประเภทที่ไทยมีศักยภาพและเป็นฐานการผลิตใหญ่ แต่ขั้นตอนอนุมัติซ้ำซ้อนและยืดเยื้อ ทำให้ต่างชาติรู้สึกว่ากฎระเบียบไทย ‘ยุ่งยากเกินไป’ เมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่ง”

ทั้งนี้ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ “การมีกฎหมายควบคุม” แต่คือการออกกฎหมายและกฎย่อยจำนวนมาก โดยไม่เคย “รื้อและยกเลิกของเก่า” ให้ทันสมัยและสอดคล้องกัน ทำให้ระบบโดยรวมกลายเป็นภาระต่อการลงทุน


ปั้นซัพพลายเชน “เมดอินไทยแลนด์” ดันไทยเป็นฐานผลิตใหม่ของโลก

ดร.พจน์ ระบุว่า การลงทุนในประเทศไทยต้องมีการพัฒนาและผลักดันให้นักลงทุนต่างชาติมาลงทุน และเกิดวัฏจักรเป็นซัพพลายเชนในประเทศไทย ไม่ใช่แค่ “จะมาประกอบสินค้า” แต่ต้องสร้างจนกลายเป็น “Product of Thailand” ให้ได้

หากไทยสามารถพัฒนาซัพพลายเชนในประเทศให้ครบวงจร ก็จะทำให้เราได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีจากประเทศคู่ค้าอย่างถูกต้อง และลดปัญหาเรื่องสินค้าส่งออกในลักษณะการ “สวมสิทธิ์”

เศรษฐกิจสีเขียว–คาร์บอนเครดิต : โอกาสใหญ่ที่ SME ไทยยังเอื้อมไม่ถึง

ดร.พจน์ กล่าวอีกว่า เศรษฐกิจสีเขียววันนี้เป็นกระแสโลกอย่างชัดเจน ความยั่งยืนกับพลังงานสะอาด ทั้งภาครัฐและเอกชนต่างให้ความสำคัญ แต่ยังมีส่วนที่น่ากังวล คือผู้ประกอบการเอสเอ็มอี (SME) ยังมีข้อจำกัดในการเข้าถึง

ทั้งนี้ มาตรการด้านสิ่งแวดล้อมของโลก เช่น คาร์บอนเครดิต มาตรฐานการปล่อยคาร์บอน และเงื่อนไขด้าน ESG เป็นทั้ง “แรงกดดัน” และ “โอกาส” ของธุรกิจไทย

จุดสำคัญคือ ภาครัฐต้องออกแบบมาตรการให้ภาคเอกชน “เข้าถึงได้จริง” ไม่ใช่เพียงออกกฎบังคับ ขณะที่ภาคเอกชนเองก็ต้องยกระดับมาตรฐานการผลิต การจัดการ และระบบรายงานข้อมูล เพื่อใช้ประโยชน์จากตลาดคาร์บอนเครดิต และป้องกันการถูกกีดกันทางการค้าในอนาคต

ในส่วนของหอการค้าและองค์กรเอกชนถือว่ามีบทบาทเป็น “พี่เลี้ยง” ถ่ายทอดความรู้และเครื่องมือ ทั้งด้านการจัดการ การลดคาร์บอน และการเตรียมตัวให้ธุรกิจขนาดกลางและเล็กสามารถปรับตัวทัน

“เราได้ประสานร่วมมือกับหน่วยงานรัฐ บริษัทขนาดใหญ่ และเครือข่ายพันธมิตรต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีให้สามารถปรับตัวเป็นซัพพลายเชน โดยการส่งเสริมธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ด้วยการจัดตั้งสถาบันวิทยาการเศรษฐกิจหมุนเวียนเพื่อผู้ประกอบการและผู้บริโภคขึ้น” ดร.พจน์ กล่าว


เตือนรัฐออกกฎหมายแรงงานฟังเสียงเอกชน

ดร.พจน์ กล่าวอีกว่า การออกกฎหมายของภาครัฐมีผลกระทบในวงกว้าง จะต้องมีการรับฟังเสียงคนทำธุรกิจจริง ๆ โดยเฉพาะกฎหมายแรงงาน ต้องเป็นกฎหมายที่รับฟังความคิดเห็นอย่างชัดเจนจากผู้ประกอบการหรือนายจ้างจริง ไม่ใช่ออกโดยพรรคการเมืองร่วมกับเอ็นจีโอ แต่ไม่รับฟังความเห็นจากผู้ประกอบการ

แม้เจตนาของกฎหมายอาจดูดีในกระดาษ แต่ในทางปฏิบัติอาจ “ทำไม่ได้จริง” และกระทบทั้งนายจ้างและลูกจ้าง โดยเฉพาะแรงงานรายวัน ภาคเกษตร และเอสเอ็มอี

ยกตัวอย่างเช่น ปัจจุบันแรงงานจำนวนมากทำงาน 6 วัน 48 ชั่วโมง รายได้ยังประคองตัวได้ระดับหนึ่ง หากลดชั่วโมงทำงานลง แต่ไม่มีโครงสร้างค่าจ้างและสวัสดิการรองรับที่เหมาะสม รายได้สุทธิของคนงานอาจลดลง ขณะที่ต้นทุนของผู้ประกอบการสูงขึ้น ทำให้การแข่งขันกับต่างประเทศลำบากกว่าเดิม

ดร.พจน์ ยังมีข้อเสนอถึงภาครัฐในยุคที่ทุนโลกเคลื่อนย้ายเร็ว ว่าภาครัฐควรเร่งผลักดันการลงทุนของต่างประเทศให้ร่วมลงทุนกับภาคเอกชนในไทยมากขึ้น ในโครงการต้นน้ำ–กลางน้ำ–ปลายน้ำ ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน ทักษะดิจิทัล และศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงาน เพราะตอนนี้โลกเปลี่ยนเร็ว แต่ระบบผลิตบุคลากรของไทยยังตามไม่ทัน

ปัญหาการลงทุนของไทยในช่วง 3–4 ปีที่ผ่านมา ไม่ได้เกิดจากประเทศไม่มีศักยภาพ แต่เพราะ “เตรียมคนไม่ทันเกมโลก”

ยกตัวอย่างเช่น การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่ช่วยดึงการลงทุนใหม่ เช่น โลจิสติกส์ และดิจิทัลอินฟราสตรัคเจอร์ รวมถึงการสร้างโปรแกรมสำหรับแรงงานไทย ทั้ง “แรงงานใหม่” และ “แรงงานเดิม” เพื่ออัปสกิลและรีสกิลให้ทันเทคโนโลยีและโมเดลธุรกิจใหม่ โดยใช้ภาคเอกชนเป็นพาร์ตเนอร์หลัก ทั้งในด้านหลักสูตร การฝึกงาน และการประเมินทักษะ

ดร.พจน์ กล่าวทิ้งท้ายว่า อยากให้รัฐบาล “ฟังเอกชนให้มากขึ้น” และเดินหน้าปราบคอร์รัปชันอย่างจริงจัง โดยเสนอว่าประเทศไทยไม่มีทรัพยากรธรรมชาติขนาดใหญ่ให้ขายเหมือนบางประเทศ รายได้หลักของประเทศมาจาก “ภาคเอกชน” เป็นสำคัญ

ดังนั้น ทุกครั้งที่ออกนโยบายหรือกฎหมายใหม่ ควรมีการรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างแท้จริง ไม่ใช่เพียงทำตามขั้นตอนให้ครบ และต้องเร่งทำงานเชิงรุกกับภาคเอกชนเพื่อป้องกันและลดปัญหาคอร์รัปชัน เพราะหากปล่อยไว้จะกระทบความเชื่อมั่นนักลงทุนอย่างรุนแรง และทำให้ไทยเสียโอกาสบนเวทีโลก

สุดท้าย หากประเทศไทยยังไม่สามารถ “ขยับตัว” แก้ปัญหาเชิงโครงสร้างเหล่านี้ได้ เราจะเสียทั้งโอกาสการลงทุนใหม่ และความสามารถในการแข่งขันในอนาคต ซึ่งจะกลายเป็นภาระให้คนไทยรุ่นต่อไปต้องแบกรับแทน

]]>
1549899