Advertorial – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 04 Dec 2025 04:37:39 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 KBank, Orbix Tech, StraitsX ร่วมเปิดโครงการ Seamless Travel Payments on Chain จ่ายเงินข้ามพรมแดน สะดวกปลอดภัยแบบไร้รอยต่อด้วยบล็อกเชน https://positioningmag.com/1548880 Wed, 03 Dec 2025 10:52:14 +0000 https://positioningmag.com/?p=1548880

ปัจจุบันการท่องเที่ยวต่างประเทศถือเป็นการให้รางวัลชีวิตอย่างหนึ่ง บางคนเป็นการเที่ยวเพื่อตอบแทนในการทำงานอย่างหนักมาตลอดทั้งปี หรือเป็นการเปิดประสบการณ์ใหม่ในชีวิต ซึ่งการท่องเที่ยวต่างประเทศในยุคนี้ก็สะดวกสบายมากขึ้น สามารถใช้จ่ายได้ทั้งเงินสด และผ่านบัตร Travel Card


ใช้จ่ายข้ามประเทศแบบไร้รอยต่อ

ซึ่งตอนนี้ยิ่งสะดวกมาขึ้นไปอีก เพราะมีนวัตกรรมที่สามารถชำระเงินข้ามพรมแดนแบบเรียลไทม์ เสมือน “สแกนจ่าย” ในประเทศ ล่าสุดธนาคารกสิกรไทย ร่วมกับ บริษัท ออร์บิกซ์ เทคโนโลยี แอนด์ อินโนเวชัน จำกัด (Orbix Technology) และ StraitsX ชั้นโครงสร้างการชำระดุลด้วย Stablecoin สัญชาติสิงคโปร์ ได้ร่วมเปิดตัว “Seamless Travel Payments on Chain” นวัตกรรมการชำระเงินข้ามพรมแดนไทย–สิงคโปร์ด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชน ภายใต้โครงการ BLOOM ซึ่งเป็นความร่วมมือระดับนานาชาติที่นำโดยธนาคารกลางสิงคโปร์ (MAS)

โดยได้ประกาศความร่วมมือครั้งแรกในงานมหกรรมฟินเทคระดับโลก Singapore FinTech Festival 2025 เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2568 ที่ผ่านมา เพื่อเป็นต้นแบบการชำระเงินยุคใหม่บนเทคโนโลยีบล็อกเชนที่โปร่งใส และปลอดภัย ด้วยเงินอิเล็กทรอนิกส์ (E-money) ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อปูทางสู่โครงสร้างพื้นฐานการเงินดิจิทัลระดับภูมิภาค

การประกาศความร่วมมือครั้งนี้มีผู้บริหารระดับสูงจากภาครัฐและเอกชนเข้าร่วมเป็นสักขีพยาน ได้แก่

  • คุณขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย
  • ดร.กรินทร์ บุญเลิศวณิชย์ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย
  • Mr. Tianwei Liu, Co-Founder & CEO, StraitsX
  • ดร.รุ่ง โปษยานนท์ มัลลิกะมาส รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย
  • Mr. Leong Sing Chiong, Deputy Managing Director – Markets & Development, MAS
  • คุณจิรัชณา บุญธรรม Head of Marketing & Community, Orbix Technology
  • Mr. Justin Kim, Head of Asia, Ava Labs

โครงการนี้มุ่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการชำระเงินข้ามพรมแดนยุคใหม่ที่เชื่อมโยงระบบการชำระเงินดิจิทัลภายใต้การกำกับดูแลของแต่ละประเทศให้ทำงานร่วมกัน ผ่านเทคโนโลยีบล็อกเชน และสร้างเครือข่ายการชำระเงินระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชียให้เป็นหนึ่งเดียว

ดร.กรินทร์ บุญเลิศวณิชย์ รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า

“Seamless Travel Payments on Chain” คือโครงการต้นแบบที่มีวัตถุประสงค์เพื่อเชื่อมโยงระบบการชำระเงินดิจิทัลระหว่างประเทศ ให้ทำงานร่วมกันได้อย่างไร้รอยต่อ ผ่านเทคโนโลยีบล็อกเชนที่ปลอดภัย โปร่งใส และตรวจสอบได้ ทำให้นักท่องเที่ยวทั้งไทยและสิงคโปร์สามารถจ่ายเงินได้แบบเรียลไทม์เหมือนอยู่ประเทศตัวเอง

โดยสามารถรองรับการชำระเงินผ่าน QR Code โดยใช้ Regulated E-money คือ Q-money (เงินอิเล็กทรอนิกส์บนบล็อกเชนของธนาคารกสิกรไทย)  และ XSGD (สกุลเงินดิจิทัลของสิงคโปร์ที่มีมูลค่าเสถียรของ StraitsX) ในการชำระเงินค่าสินค้าและบริการที่ร้านค้า ซึ่งจะช่วยลดขั้นตอนในการแปลงสกุลเงินระหว่างประเทศได้

โครงการนี้จะแบ่งเป็น 3 เฟสด้วยกัน 

เฟส 1 : นักท่องเที่ยวไทยที่เดินทางไปสิงคโปร์จะสามารถใช้แอปพลิเคชัน Q Wallet by KBank ที่มี Q-money ชำระค่าสินค้า และบริการที่ร้านค้าที่รองรับ GrabPay และบางร้านค้าที่รองรับ PayNow ได้ ด้วยการการสแกน QR Code โดยเงินจะถูกแปลงเป็น XSGD แบบเรียลไทม์ ซึ่งร้านค้าสิงคโปร์จะได้รับเงินเป็น SGD ในทันที ทำให้ประสบการณ์ใช้งานของนักท่องเที่ยวราบรื่นเหมือนกับการสแกนจ่ายเงินในไทย ส่วนร้านค้าจะได้รับยอดชำระทันทีโดยไม่ต้องผ่านขั้นตอนการแลกเปลี่ยนสกุลเงิน ช่วยเพิ่มความสะดวก รวดเร็ว

เฟส 2 : ขยายการใช้งานให้นักท่องเที่ยวสิงคโปร์ที่มาประเทศไทยสามารถใช้กระเป๋าเงินดิจิทัลจากประเทศบ้านเกิดของตนที่มี XSGD ชำระเงินผ่านการสแกน QR Code ของร้านค้าในไทยได้โดยตรง ร้านค้าไทยก็จะได้รับเงินบาท โดยไม่ต้องไปแปลงสกุลเงินให้ยุ่งยาก

เทคโนโลยีเบื้องหลังที่ขับเคลื่อนการทำงานของ Q-money ถูกขับเคลื่อนโดย Quarix บล็อกเชนของ Orbix Technologyและยังทำหน้าที่ในการเชื่อมต่อกับระบบของ StraitsX ผ่านเครือข่าย Avalanche ซึ่งเป็นเครือข่ายที่รองรับการทำงานของ XSGD อยู่แล้ว ซึ่งมีความสามารถในการสร้าง Permissioned Custom Chain ให้สอดคล้องกับการกำกับดูแล รวมทั้งมีระบบการควบคุมและความเป็นส่วนตัวที่จำเป็น การทำงานร่วมกันของเทคโนโลยีเหล่านี้ทำให้การชำระเงินระหว่าง Q-money และ XSGD สามารถดำเนินการแบบ Real-time Settlement

เฟส 3 : เพิ่มระบบ Cross-Border KYC Verification เพื่อให้การตรวจสอบ และยืนยันตัวตนผู้ใช้งานระหว่างประเทศมีความปลอดภัย โปร่งใส และสอดคล้องกับข้อกำหนดของหน่วยงานกำกับดูแลทั้งสองประเทศ ซึ่งจะเป็นการวางรากฐานสำคัญของการสร้างระบบการเงินดิจิทัลที่เชื่อมโยงกันได้อย่างไร้รอยต่อในระดับภูมิภาค

จุดเด่นที่สำคัญของโครงการนี้ที่น่าจะเป็นประโยชน์มากๆ แก่นักท่องเที่ยวก็คือ สามารถชำระเงินระหว่างประเทศได้สะดวก โดยไม่จำเป็นต้องเปิดบัญชีใหม่ในแต่ละประเทศ ช่วยลดความซับซ้อนของการแลกเปลี่ยนสกุลเงิน เพิ่มความโปร่งใสและความปลอดภัยของระบบการเงิน ด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชนที่ทำให้ทุกธุรกรรมเกิดขึ้นแบบเรียลไทม์

อีกทั้งยังเป็นการสนับสนุนระบบเศรษฐกิจดิจิทัล และการท่องเที่ยวของภูมิภาค ผ่านการใช้โครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีบล็อกเชนที่เชื่อมโยงกันได้ เพื่อวางรากฐานสู่โครงสร้างพื้นฐานการเงินดิจิทัลระดับภูมิภาค ที่พร้อมรองรับการขยายผลในระดับสากลในอนาคต

ทั้งนี้การดำเนินโครงการในเฟส 1 ได้อยู่ภายใต้การทดสอบใน Regulatory Sandbox ของธนาคารแห่งประเทศไทยแล้ว และมีแผนเปิดให้บริการภายในไตรมาส 2 ปี 2569 ส่วนเฟสที่ 2 และเฟสที่ 3 เตรียมเข้าสู่กระบวนการขออนุญาตจากหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้อง ในช่วงครึ่งแรกของปี 2569 เพื่อให้การดำเนินโครงการเป็นไปตามกฎหมายและมาตรฐานที่กำหนด

]]>
1548880
“ผ้าห่มผืนเขียว” สัญลักษณ์ของรอยยิ้ม และความอบอุ่น สู่สังคมแห่งการ “ให้” ที่ยั่งยืน https://positioningmag.com/1549944 Wed, 03 Dec 2025 10:00:06 +0000 https://positioningmag.com/?p=1549944

ส่งท้ายการเดินทางของคาราวาน “ผ้าห่มผืนเขียว” โครงการ “ไทยเบฟ…รวมใจต้านภัยหนาว” ปีที่ 26 ที่ได้ออกเดินทางส่งมอบรอยยิ้ม และความอบอุ่นครอบคลุมพื้นที่ 15 จังหวัดภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมถึงพื้นที่ในจังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากภัยหนาวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่หุบเขา ยอดดอยสูงซึ่งมีความห่างไกลเดินทางเข้าถึงยาก และทุรกันดารต่าง ๆ ให้ถึงมือพี่น้องผู้ประสบภัยหนาว โดยเฉพาะผู้สูงอายุ เด็ก และผู้ป่วย ที่ต้องดำรงชีพท่ามกลางสภาพอากาศที่หนาวเย็นตามครัวเรือนในจังหวัดต่าง ๆ ได้แก่ จังหวัดยโสธร อำนาจเจริญ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์นครราชสีมา ชัยภูมิ พิจิตร กำแพงเพชร ลำพูน ลำปาง พะเยา เชียงราย และจังหวัดเชียงใหม่

จากจุดเริ่มต้นของโครงการ “ไทยเบฟ…รวมใจต้านภัยหนาว” ของ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ที่ได้ผสานความร่วมมือกับ กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พร้อมด้วยภาคีเครือข่าย ทุกภาคส่วนเพื่อร่วมสานต่อปณิธานแห่งการ “ให้” ของคุณเจริญ และคุณหญิงวรรณา สิริวัฒนาภักดี ที่ได้กล่าวไว้ว่า “คนไทย ให้กันได้” อันเปี่ยมไปด้วยความห่วงใยที่มีต่อพี่น้องประชาชนจำนวนมากที่ได้รับความเดือดร้อน และผลกระทบอย่างรุนแรงจากภัยพิบัติหนาวในพื้นที่ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมถึงในอีกหลาย ๆ พื้นที่ของประเทศไทยที่มีความห่างไกล ทุรกันดาร ที่ต้องดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางสภาพอากาศที่หนาวเย็นจัด และยิ่งทบทวีคูณยิ่งขึ้นในช่วงเวลากลางคืนของฤดูหนาว ที่วันนี้นับเป็นเวลา 26 ปี ของคาราวานผ้าห่มผืนเขียว ที่ได้ออกเดินทางส่งมอบรอยยิ้ม และความอบอุ่นภายใต้ “ผ้าห่มผืนเขียว” ให้ทุกคนได้บรรเทาความหนาวเย็น ปีละจำนวน 200,000 ผืน นับตั้งแต่ปี 2543 เป็นต้นมา จำนวนกว่า 5,200,000 ผืน พร้อมกับมอบโอกาสในการเข้าถึงความช่วยเหลือด้านต่าง ๆ มาอย่างต่อเนื่อง ทั้งอาหาร น้ำดื่ม ข้าวของเครื่องใช้ในการดำรงชีพที่มีความจำเป็น รวมถึงแผนการดูแลที่ครอบคลุมทั้งเรื่องสุขภาพ การส่งเสริมทางด้านการศึกษา และกีฬา การส่งเสริมในด้านการสร้างอาชีพเพื่อให้เกิดรายได้ให้กับชุมชนอย่างยั่งยืน

นายฐาปน สิริวัฒนภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) เผยว่า “ขอเป็นตัวแทนท่านประธาน เจริญ สิริวัฒนภักดี ในนาม บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) รู้สึกความภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่โครงการ “ไทยเบฟ…รวมใจต้านภัยหนาว” ได้ดำเนินการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยหนาวเคียงข้างพี่น้องคนไทย ได้ร่วมแบ่งปันรอยยิ้ม ภายใต้ไออุ่นของคาราวานผ้าห่มผืนเขียวมาอย่างยาวนาน โครงการ “ไทยเบฟ…รวมใจต้านภัยหนาว” ได้ริเริ่มขึ้นในปี 2543 จากปณิธานแห่งการ “ให้” ของ คุณเจริญ และคุณหญิงวรรณา ที่ท่านได้กล่าวไว้ว่า “คนไทย ให้กันได้” ด้วยความห่วงใยที่มีต่อพี่น้องชาวไทยทุกคนที่ได้รับความเดือดร้อนจากภัยหนาวในตั้งแต่ครั้งนั้นเป็นต้นมา พร้อมมุ่งมั่นดำเนินงานตามแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยในปี 2563 ได้เริ่มผลิต “ผ้าห่มผืนเขียวรักษ์โลก” จากขวดพลาสติกที่ทำจากเม็ดพลาสติกรีไซเคิล หรือ rPET ภายใต้ “โครงการ เก็บกลับ–รีไซเคิล” ของ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ รีไซเคิล จำกัด ที่ยังคงคุณภาพความนุ่ม และความอบอุ่นของผ้าห่มเหมือนเช่นเคย โดยปัจจุบันสามารถเก็บกลับคืนขวดพลาสติกสู่ระบบรีไซเคิลได้แล้วกว่า 45 ล้านขวด พร้อมกับส่งมอบผ้าห่มผืนเขียวรักษ์โลกไปแล้ว จำนวน 1,200,000 ผืน โดยผ้าห่ม 1 ผืน เทียบเท่ากับการรีไซเคิลขวดพลาสติกจำนวน 38 ขวด วันนี้ คาราวานผ้าห่มผืนเขียว ของเราได้เดินทางมาถึง อำเภอแม่แตง แห่งนี้ ด้วยหัวใจอันเต็มเปี่ยมที่จะมอบความอบอุ่น ความห่วงใย ให้กับพี่น้องจังหวัดเชียงใหม่ “ผ้าห่มผืนเขียวรักษ์โลก” จำนวน 15,000 ผืน ผ่านท่านผู้ว่าราชการจังหวัด โดยที่ยังได้รับความร่วมมือจากพันธมิตรจากหลายภาคส่วนที่ร่วมนำกิจกรรมสันทนาการ อาทิ กิจกรรมแยกขยะจากไทยเบฟเวอเรจ รีไซเคิล / กิจกรรมการนำของเหลือทิ้งมาประยุกต์ให้เกิดประโยชน์จากน้อง ๆ Beta Young /กิจกรรมส่งเสริมด้านการกีฬา Chang Mobile Football Clinic / หน่วยแพทย์เคลื่อนที่จากมูลนิธิโรงพยาบาลสวนดอกที่มาให้บริการพี่น้องชาวอำเภอแม่แตง / มูลนิธิผืนป่าในใจเราที่นำต้นกล้าไม้มามอบให้ / รวมถึงอาหาร และขนมอีกมากมายจากโรงแรมเครือข่ายพันธมิตรที่นำมามอบให้ทุกคนในวันนี้

นอกจากการส่งมอบในพื้นที่หลักจังหวัดต่างๆ ในทุกๆ พื้นที่ยังส่งมอบผ้าห่มให้ถึงมือผู้รับถึงครัวเรือนอีกมากมายที่เป็นพ่อเฒ่า แม่แก่ ที่ไม่สามารถจะเดินทางมารับมอบในพื้นที่ที่จัดไว้ได้

คุณยายสมคิด เชิงฉลาด อายุ 77 ปี ชาวอำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ที่อาศัยอยู่คนเดียวเพราะหลานๆ ต้องเดินทางมาทำงานที่กรุงเทพฯ คุณยายป่วยเป็นอัมพฤกษ์ ซึ่งตอนนี้เดินเหินด้วยตัวเองแทบไม่ไหว ทำให้แกไม่ค่อยได้เจอใคร คุณยายเล่าว่าถึงจะเดินไม่คล่องแต่ก็ยังต้องทำอาหารทานเองทุกวัน และไปรับยาประจำตามที่หมอนัดอยู่ตลอด วันนี้พอมีคนมาหาถึงบ้าน และยังนำผ้าห่มนำสิ่งของมามอบให้ ก็รู้สึกดีใจมากจนคุณยายแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหว ท่ามกลางกำลังใจจากทุกคน

แม่อุ้ยแว่น อายุ 87 ปี ชาวอำเภอทุ่งหัวช้าง จังหวัดลำพูน อาศัยอยู่บ้านคนเดียว “ดีใจมาก รู้สึกเหมือนมีลูกหลานมาเยี่ยม เพราะที่ลำพูนช่วงหน้าหนาวอากาศจะเย็นมากตอนเช้าๆ และในตอนกลางคืน ดีใจ และขอบคุณทุกคนที่เอาผ้าห่ม และของกินมาให้ถึงบ้าน”

แม่อุ้ยเอ้ยถา ดวงชื่น อายุ 93 ปี ชาวอำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ คุณยายอาศัยอยู่คนเดียว เพราะลูกหลานต้องแยกย้ายกันไปทำงานกรุงเทพฯ พอเห็นไทยเบฟนำผ้าห่มไปมอบให้ คุณยายยกมือไหว้ด้วยความซาบซึ้งใจที่ได้รับผ้าห่ม เพราะเวลาหนาว เชียงใหม่ก็จะหนาวมากๆ ขอบคุณทุกห่วงใยชาวบ้าน และอวยพรให้โครงการเดินหน้าเข้าถึงพื้นที่ต่างๆ ต่อไป เรียกว่าวันนี้แม่อุ้ยอายุมากที่สุดในพื้นที่ และยังพอเดินเหินมารับมอบผ้าห่มได้ด้วยตนเองด้วยรอยยิ้มแห่งไออุ่น เป็นอีกหนึ่งภาพที่สะท้อนให้เห็นถึงการเป็นผู้รับ และความห่วงใยที่เปี่ยมไปด้วยความตั้งใจของผู้ให้ และยิ้มยิ้มสุขใจของผู้ได้รับ

วันนี้ การเดินทางของคาราวานผ้าห่มผืนเขียว ได้ทำหน้าที่ส่งมอบรอยยิ้ม และความอบอุ่น และยังเป็นสื่อกลางของเครือข่ายความร่วมมือของทุกภาคส่วนที่ได้ร่วมกันดูแลคุณภาพชีวิตด้านต่างๆ ให้กับพี่น้องประชาชนในทุกพื้นที่ทั้งในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมไปถึงพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากภัยหนาวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พร้อมเดินหน้าสานต่อปณิธานแห่งการ “ให้” และการ “แบ่งปัน” ภายใต้ “ผ้าห่มผืนเขียว” สัญลักษณ์ที่เป็น “มากกว่าความอบอุ่น คือสังคมแห่งการให้ที่ยั่งยืน”

 

]]>
1549944
เตือนเศรษฐกิจไทยเสี่ยง “อัมพฤกษ์” ติดหล่มกฎระเบียบซ้ำซ้อน https://positioningmag.com/1549899 Tue, 02 Dec 2025 10:29:38 +0000 https://positioningmag.com/?p=1549899

ประธานหอการค้าไทยส่งสัญญาณแรง ชี้เศรษฐกิจไทยกำลังติดหล่มกฎระเบียบซ้ำซ้อน–ระบบราชการที่ยุ่งยาก ทำให้นักลงทุนต่างชาติ “สับสนและลงทุนยาก” แม้ไทยยังเป็นจุดสนใจในอาเซียน แต่หากไม่เร่งรื้อกฎหมายเก่า ปรับขั้นตอนให้ทันโลก ผลักดันซัพพลายเชน “เมดอินไทยแลนด์” หนุนเศรษฐกิจสีเขียว และปราบคอร์รัปชันอย่างจริงจัง ไทยเสี่ยงเสียโอกาสบนเวทีโลกในระยะยาว

เศรษฐกิจไทย “อัมพฤกษ์” ติดหล่มกฎระเบียบ–ราชการซ้ำซ้อน

ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยในงานสัมมนา iBusiness Forum : Thailand Future Signal 2026 จับสัญญาณอนาคต ก้าวใหม่เศรษฐกิจไทย ว่า ปัจจุบันเศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญภาวะคล้าย “อัมพฤกษ์” คือร่างกายยังไม่ตาย แต่ขยับตัวลำบาก เพราะเกิดจากการชะงักงันในการทำงาน ไม่มีการขับเคลื่อนจากรัฐบาลและรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง แต่ปัจจุบันเริ่มมีความชัดเจนมากขึ้นแล้ว

ทั้งนี้ เศรษฐกิจโลกกำลังจัดระเบียบใหม่ ทั้งห่วงโซ่อุปทาน การจับคู่ทางการค้า และการเกิดขึ้นของกลุ่มเศรษฐกิจใหม่ ๆ จำนวนมาก ประเทศต่าง ๆ กำลังหาพันธมิตรและฐานการลงทุนใหม่ ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากมาตรการภาษีของสหรัฐ เพื่อตอบโจทย์ปัญหาของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์

อย่างไรก็ตาม สิ่งดีของอาเซียนต่อ “ประเทศไทย” คือการที่เราถือเป็นจุดที่ต่างชาติให้ความสนใจในเรื่องของการค้าและการลงทุน เพราะไม่มีความขัดแย้งรุนแรงกับฝ่ายใด และมีศักยภาพจะเป็นศูนย์กลางในภูมิภาคได้

ต่างชาติสับสนกติกาไทย

สำคัญคือเรื่อง “การเคลื่อนย้ายทุน” ทุกวันนี้เรามีปัญหามากที่ว่า บางครั้งมีการลงทุนจากต่างประเทศมา แต่ไม่ชัดเจนว่าประเทศไทยได้ประโยชน์อะไรบ้าง มีสินค้าทุ่มตลาด แล้วประเทศไทยได้อะไร ตรงนี้ต้องมีการแก้ไข ซึ่งทางหอการค้าไทยได้เข้าไปร่วมช่วยแก้ปัญหากับทางสาธารณรัฐประชาชนจีนแล้วในเบื้องต้น

“เราช่วยกันจัดระเบียบกันมาตั้งแต่กลางปีที่แล้ว จนสุดท้ายได้บริษัทจีนที่ถูกต้องตามเงื่อนไขของบีโอไอ กว่าพันบริษัท และก็เป็นสมาชิกของสมาคมด้วย ในทางกลับกัน เราก็รู้ถึงปัญหาของนักธุรกิจจีนที่มาลงทุนกับเราด้วยว่าเขาติดปัญหาอะไรบ้าง” ดร.พจน์ กล่าว

ดร.พจน์ กล่าวอีกว่า นักลงทุนต่างชาติที่สนใจประเทศไทยจำนวนมาก “สับสน” กับระบบกฎหมายและขั้นตอนของไทย ทั้งด้านภาษี การนำเข้า–ส่งออก และกฎระเบียบเฉพาะอุตสาหกรรม

“ปัญหาคือว่าขั้นตอนข้างในมันเยอะเหลือเกิน กฎระเบียบเยอะเหลือเกิน วิธีปฏิบัติให้ถูกต้องก็มาก ต่างชาติหลายครั้งไม่เข้าใจว่าต้องลงทุนกันอย่างไร ตัวอย่างคือสินค้าบางประเภทที่ไทยมีศักยภาพและเป็นฐานการผลิตใหญ่ แต่ขั้นตอนอนุมัติซ้ำซ้อนและยืดเยื้อ ทำให้ต่างชาติรู้สึกว่ากฎระเบียบไทย ‘ยุ่งยากเกินไป’ เมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่ง”

ทั้งนี้ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ “การมีกฎหมายควบคุม” แต่คือการออกกฎหมายและกฎย่อยจำนวนมาก โดยไม่เคย “รื้อและยกเลิกของเก่า” ให้ทันสมัยและสอดคล้องกัน ทำให้ระบบโดยรวมกลายเป็นภาระต่อการลงทุน


ปั้นซัพพลายเชน “เมดอินไทยแลนด์” ดันไทยเป็นฐานผลิตใหม่ของโลก

ดร.พจน์ ระบุว่า การลงทุนในประเทศไทยต้องมีการพัฒนาและผลักดันให้นักลงทุนต่างชาติมาลงทุน และเกิดวัฏจักรเป็นซัพพลายเชนในประเทศไทย ไม่ใช่แค่ “จะมาประกอบสินค้า” แต่ต้องสร้างจนกลายเป็น “Product of Thailand” ให้ได้

หากไทยสามารถพัฒนาซัพพลายเชนในประเทศให้ครบวงจร ก็จะทำให้เราได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีจากประเทศคู่ค้าอย่างถูกต้อง และลดปัญหาเรื่องสินค้าส่งออกในลักษณะการ “สวมสิทธิ์”

เศรษฐกิจสีเขียว–คาร์บอนเครดิต : โอกาสใหญ่ที่ SME ไทยยังเอื้อมไม่ถึง

ดร.พจน์ กล่าวอีกว่า เศรษฐกิจสีเขียววันนี้เป็นกระแสโลกอย่างชัดเจน ความยั่งยืนกับพลังงานสะอาด ทั้งภาครัฐและเอกชนต่างให้ความสำคัญ แต่ยังมีส่วนที่น่ากังวล คือผู้ประกอบการเอสเอ็มอี (SME) ยังมีข้อจำกัดในการเข้าถึง

ทั้งนี้ มาตรการด้านสิ่งแวดล้อมของโลก เช่น คาร์บอนเครดิต มาตรฐานการปล่อยคาร์บอน และเงื่อนไขด้าน ESG เป็นทั้ง “แรงกดดัน” และ “โอกาส” ของธุรกิจไทย

จุดสำคัญคือ ภาครัฐต้องออกแบบมาตรการให้ภาคเอกชน “เข้าถึงได้จริง” ไม่ใช่เพียงออกกฎบังคับ ขณะที่ภาคเอกชนเองก็ต้องยกระดับมาตรฐานการผลิต การจัดการ และระบบรายงานข้อมูล เพื่อใช้ประโยชน์จากตลาดคาร์บอนเครดิต และป้องกันการถูกกีดกันทางการค้าในอนาคต

ในส่วนของหอการค้าและองค์กรเอกชนถือว่ามีบทบาทเป็น “พี่เลี้ยง” ถ่ายทอดความรู้และเครื่องมือ ทั้งด้านการจัดการ การลดคาร์บอน และการเตรียมตัวให้ธุรกิจขนาดกลางและเล็กสามารถปรับตัวทัน

“เราได้ประสานร่วมมือกับหน่วยงานรัฐ บริษัทขนาดใหญ่ และเครือข่ายพันธมิตรต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีให้สามารถปรับตัวเป็นซัพพลายเชน โดยการส่งเสริมธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ด้วยการจัดตั้งสถาบันวิทยาการเศรษฐกิจหมุนเวียนเพื่อผู้ประกอบการและผู้บริโภคขึ้น” ดร.พจน์ กล่าว


เตือนรัฐออกกฎหมายแรงงานฟังเสียงเอกชน

ดร.พจน์ กล่าวอีกว่า การออกกฎหมายของภาครัฐมีผลกระทบในวงกว้าง จะต้องมีการรับฟังเสียงคนทำธุรกิจจริง ๆ โดยเฉพาะกฎหมายแรงงาน ต้องเป็นกฎหมายที่รับฟังความคิดเห็นอย่างชัดเจนจากผู้ประกอบการหรือนายจ้างจริง ไม่ใช่ออกโดยพรรคการเมืองร่วมกับเอ็นจีโอ แต่ไม่รับฟังความเห็นจากผู้ประกอบการ

แม้เจตนาของกฎหมายอาจดูดีในกระดาษ แต่ในทางปฏิบัติอาจ “ทำไม่ได้จริง” และกระทบทั้งนายจ้างและลูกจ้าง โดยเฉพาะแรงงานรายวัน ภาคเกษตร และเอสเอ็มอี

ยกตัวอย่างเช่น ปัจจุบันแรงงานจำนวนมากทำงาน 6 วัน 48 ชั่วโมง รายได้ยังประคองตัวได้ระดับหนึ่ง หากลดชั่วโมงทำงานลง แต่ไม่มีโครงสร้างค่าจ้างและสวัสดิการรองรับที่เหมาะสม รายได้สุทธิของคนงานอาจลดลง ขณะที่ต้นทุนของผู้ประกอบการสูงขึ้น ทำให้การแข่งขันกับต่างประเทศลำบากกว่าเดิม

ดร.พจน์ ยังมีข้อเสนอถึงภาครัฐในยุคที่ทุนโลกเคลื่อนย้ายเร็ว ว่าภาครัฐควรเร่งผลักดันการลงทุนของต่างประเทศให้ร่วมลงทุนกับภาคเอกชนในไทยมากขึ้น ในโครงการต้นน้ำ–กลางน้ำ–ปลายน้ำ ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน ทักษะดิจิทัล และศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงาน เพราะตอนนี้โลกเปลี่ยนเร็ว แต่ระบบผลิตบุคลากรของไทยยังตามไม่ทัน

ปัญหาการลงทุนของไทยในช่วง 3–4 ปีที่ผ่านมา ไม่ได้เกิดจากประเทศไม่มีศักยภาพ แต่เพราะ “เตรียมคนไม่ทันเกมโลก”

ยกตัวอย่างเช่น การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่ช่วยดึงการลงทุนใหม่ เช่น โลจิสติกส์ และดิจิทัลอินฟราสตรัคเจอร์ รวมถึงการสร้างโปรแกรมสำหรับแรงงานไทย ทั้ง “แรงงานใหม่” และ “แรงงานเดิม” เพื่ออัปสกิลและรีสกิลให้ทันเทคโนโลยีและโมเดลธุรกิจใหม่ โดยใช้ภาคเอกชนเป็นพาร์ตเนอร์หลัก ทั้งในด้านหลักสูตร การฝึกงาน และการประเมินทักษะ

ดร.พจน์ กล่าวทิ้งท้ายว่า อยากให้รัฐบาล “ฟังเอกชนให้มากขึ้น” และเดินหน้าปราบคอร์รัปชันอย่างจริงจัง โดยเสนอว่าประเทศไทยไม่มีทรัพยากรธรรมชาติขนาดใหญ่ให้ขายเหมือนบางประเทศ รายได้หลักของประเทศมาจาก “ภาคเอกชน” เป็นสำคัญ

ดังนั้น ทุกครั้งที่ออกนโยบายหรือกฎหมายใหม่ ควรมีการรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างแท้จริง ไม่ใช่เพียงทำตามขั้นตอนให้ครบ และต้องเร่งทำงานเชิงรุกกับภาคเอกชนเพื่อป้องกันและลดปัญหาคอร์รัปชัน เพราะหากปล่อยไว้จะกระทบความเชื่อมั่นนักลงทุนอย่างรุนแรง และทำให้ไทยเสียโอกาสบนเวทีโลก

สุดท้าย หากประเทศไทยยังไม่สามารถ “ขยับตัว” แก้ปัญหาเชิงโครงสร้างเหล่านี้ได้ เราจะเสียทั้งโอกาสการลงทุนใหม่ และความสามารถในการแข่งขันในอนาคต ซึ่งจะกลายเป็นภาระให้คนไทยรุ่นต่อไปต้องแบกรับแทน

]]>
1549899
“ออร์บิกซ์” ตอกย้ำความสำเร็จในปี 2568 ขึ้นแท่นศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลสัญชาติไทยได้รับมาตรฐานระดับโลก https://positioningmag.com/1549494 Sun, 30 Nov 2025 21:00:19 +0000 https://positioningmag.com/?p=1549494

ปัจจุบันคนไทยให้ความสนใจในเรื่องการลงทุนในหลากหลายรูปแบบมากขึ้น จากเดิมที่นิยมลงทุนเพียงตลาดหุ้นหรือทองคำ วันนี้ “สินทรัพย์ดิจิทัล” กลายเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมนักลงทุนไทยที่เปิดรับเทคโนโลยีการเงินยุคใหม่ และในประเทศไทยเองก็มีแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

หนึ่งในผู้นำที่โดดเด่นในตลาดนี้ก็คือ ออร์บิกซ์ (orbix) หรือ บริษัท ออร์บิกซ์ เทรด จำกัด ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลชั้นนำในประเทศไทย ภายใต้ ออร์บิกซ์ กรุ๊ป  โดยที่ออร์บิกซ์ได้สร้างจุดแข็งด้วยการสร้าง Positioning ตัวเองให้เป็นแพลตฟอร์มที่ใช้งานง่าย และเชื่อถือได้ (Easy & Trustworthy) เพื่อแก้ Pain Point ในตลาดที่ผู้บริโภคมีความลำบากในการเปิดบัญชีการใช้งาน และยังมีความกังวลเรื่องความปลอดภัย


เริ่มอย่างมั่นใจ เริ่มที่ออร์บิกซ์

สำหรับใครที่กำลังเริ่มต้นเข้าสู่โลกของสินทรัพย์ดิจิทัล การมองหาแพลตฟอร์มที่ทั้ง เชื่อถือได้ ใช้งานง่าย และปลอดภัย คือจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุด และนี่คือเหตุผลที่ทำให้ “ออร์บิกซ์ (orbix)” กลายเป็นตัวเลือกแรกของนักลงทุนรุ่นใหม่ ออร์บิกซ์ให้ความสำคัญกับทุกประสบการณ์ของผู้ใช้งานในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเริ่มต้นเปิดบัญชี ไปจนถึงการเทรด และดูแลสินทรัพย์ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าทุกขั้นตอนดำเนินไปตามมาตรฐานสากลนั่นเอง

ออร์บิกซ์ได้เปิดตัวแคมเปญ “เริ่มอย่างมั่นใจ เริ่มที่ออร์บิกซ์” เมื่อช่วงกลางปี 2568 ที่ผ่านมา เพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์ให้นักลงทุนรุ่นใหม่ เพื่อให้ผู้ใช้งานเริ่มต้นลงทุนได้อย่างมั่นใจ ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทยอย่างยั่งยืน

เพราะจุดเริ่มต้นที่สำคัญของการลงทุน ก็คือการ “เริ่ม” หาที่ปลอดภัยให้กับสินทรัพย์เช่นกัน ซึ่งออร์บิกซ์อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงาน ก.ล.ต. ขั้นตอนการเปิดบัญชีก็ง่ายผ่าน 3 ช่องทาง อาทิ ลูกค้าที่มี application KPLUS, บริการยืนยันตัวตนด้วยระบบดิจิทัล NDID, ศูนย์บริการ AIS shop ซึ่งถือว่ามีช่องทางให้ยืนยันตัวตนเยอะเป็นอันดับต้น ๆ เมื่อสมัครสำเร็จสามารถซื้อขายได้ทันที

ยิ่งไปกว่านั้น ออร์บิกซ์ ยังเป็นรายแรกและรายเดียวในไทย ที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO ด้านความปลอดภัยระดับโลกครบ 3 ระบบ ได้แก่ มาตรฐานสากลด้านความปลอดภัยของข้อมูลสารสนเทศ ISO/IEC 27001:2022 มาตรฐานสากลที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมความเป็นส่วนตัวของข้อมูล ISO/IEC 27701:2019 และ มาตรฐานระบบการจัดการความต่อเนื่องทางธุรกิจ  ISO 22301:2019 มาตรฐานเหล่านี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของออร์บิกซ์ในการสร้างความเชื่อมั่นและดูแลสินทรัพย์ของนักลงทุนในทุกมิติอย่างดีที่สุด


เป็นที่ยอมรับในเวทีสากล

ในปี 2568 นี้ ถือว่าเป็นปีที่ท็อปฟอร์มของออร์บิกซ์อย่างมาก ด้วยมาตรฐานที่ได้รับการพิสูจน์ ความไว้วางใจ และได้รับการยอมรับในระดับประเทศและสากล สามารถคว้า 5 รางวัลใหญ่ที่สะท้อนถึงความน่าเชื่อถือ และมาตรฐานระดับสากลของแพลตฟอร์มจากเวทีระดับนานาชาติประจำปี 2568 ซึ่งมีการประเมินองค์กรธุรกิจชั้นนำ 50 แห่งทั่วโลก ด้วยเกณฑ์การตัดสินที่ครอบคลุมหลายด้าน ได้แก่ ผลการดำเนินงาน การเติบโต ความยั่งยืน การบริหารความเสี่ยง ความโปร่งใสทางธุรกิจ การบริการลูกค้า และการนำนวัตกรรมเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ สะท้อนถึงศักยภาพและความโดดเด่นของออร์บิกซ์ นับเป็นการยกระดับวงการสินทรัพย์ดิจิทัลไทยสู่มาตรฐานสากล

  • รางวัลแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลยอดเยี่ยมของประเทศไทย ประจำปี 2568 (Best in Digital Asset Trading Thailand 2025) จาก Business Award Magazine นิตยสารธุรกิจชั้นนำของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
  • รางวัลศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่น่าเชื่อถือที่สุดในประเทศไทย ประจำปี 2568 (Most Reliable Trading and Exchange Center for Digital Assets Thailand 2025) จาก World Business Outlook นิตยสารธุรกิจที่ระดับนานาชาติของสิงคโปร์
  • รางวัลแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่น่าเชื่อถือที่สุด ประจำปี 2568 (Most Trusted Digital Asset Exchange Platform 2025) และรางวัลความเป็นเลิศด้านการให้บริการลูกค้า ประจำปี 2568 (Client Service Excellence Award 2025) จาก APAC Insider สื่อธุรกิจชั้นนำของประเทศอังกฤษที่นำเสนอข้อมูลเชิงลึกในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
  • รางวัลประสบการณ์ผู้ใช้ยอดเยี่ยมด้านการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทย ประจำปี 2568 (Best User Experience in Digital Trading Thailand 2025) จาก Brand Review Magazine สื่อและเว็บไซต์ข่าวธุรกิจชื่อดังของประเทศอังกฤษ

 

 นางสาวอัศวิณี ศรีสมบูรณานนท์, Managing Director บริษัท ออร์บิกซ์ เทรด จำกัด กล่าวว่า

“ปี 2568 คือปีที่ ออร์บิกซ์ พิสูจน์ให้เห็นว่าเรามุ่งมั่นสร้างความมั่นใจและคุณค่าใหม่ ๆ ให้กับนักลงทุน ผ่านแคมเปญ และนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ทั้งตลาดและผู้ใช้งาน การได้รับทั้ง 5 รางวัลนับเป็นความสำเร็จของออร์บิกซ์ในฐานะแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลแห่งแรกของไทยที่ได้รับรางวัลในปีนี้ ตอกย้ำความน่าเชื่อถือและการยอมรับจากสื่อชั้นนำระดับโลก รวมทั้งสะท้อนถึงความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว”


แพลตฟอร์มไทย ไม่แพ้เจ้าใดในโลก

ออร์บิกซ์เป็นหนึ่งในตัวอย่างที่พิสูจน์ให้เห็นว่า แพลตฟอร์มสัญชาติไทยไม่แพ้ใครในโลก เพราะมีทั้งนวัตกรรม และมีมาตรฐานในระดับสากล ตอบโจทย์ผู้ใช้งานทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนมือใหม่ หรือนักลงทุนอาชีพ สามารถเทรดสินทรัพย์ดิจิทัลในแพลตฟอร์มไทยได้มาตรฐานไม่แพ้สากลเลยทีเดียว ชูจุดเด่นด้วย 3 ฟีเจอร์เด็ดที่ช่วยให้การลงทุนง่ายขึ้นและมั่นใจยิ่งกว่าเดิม ได้แก่ orbix Balance” ระบบช่วยคำนวณต้นทุนเหรียญแบบอัตโนมัติ ช่วยให้เห็นกำไร-ขาดทุนแบบเรียลไทม์ โดยไม่ต้องคำนวณเอง Price Alert” ตั้งเตือนราคาที่ใช่ ไม่ต้องเฝ้าจอ และไม่พลาดทุกโอกาสการซื้อขาย โดยสามารถเลือกเหรียญที่ต้องการให้แจ้งเตือนได้เอง และ “Wallet Lock” ระบบล็อกกระเป๋าสองชั้น เพิ่มความปลอดภัยอีกระดับ ลูกค้าสามารถตั้งค่าเปิด-ปิดได้ด้วยตนเอง

ความสำเร็จที่ได้รับในปีนี้ของออร์บิกซ์ เกิดจากการสร้าง “ความเชื่อมั่น” และ “การรับรู้แบรนด์” อย่างต่อเนื่อง  ผ่านหลากหลายแคมเปญที่สะท้อนจุดยืนของแพลตฟอร์มในฐานะผู้นำด้านความปลอดภัย ความโปร่งใส และความคุ้มค่า พร้อมจับมือพันธมิตรชั้นนำเพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีและสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ มากมายให้กับผู้ใช้งาน ได้แก่

  • แคมเปญ “Power Up Your Life” เสริมกลยุทธ์ด้วยการเพิ่มเหรียญใหม่ที่ทันสมัย จำนวน 8 เหรียญ และจับมือพันธมิตรธุรกิจชั้นนำเพื่อขยายโอกาสการลงทุนให้เข้าถึงผู้ใช้งานทุกกลุ่ม พร้อมยกระดับประสบการณ์ลงทุน
  • แคมเปญ “เทรดกับออร์บิกซ์ รับ OBX Point สูงสุด 100,000 คะแนน” ให้ทุกการเทรดคุ้มค่ายิ่งขึ้น สร้างมิติใหม่ให้กับวงการศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลไทยเป็นครั้งแรก ด้วยการมอบสิทธิพิเศษให้ผู้ใช้งานสะสมคะแนน OBX Point จากทุกธุรกรรมการเทรด โดยทุกยอดเทรด 20 บาท รับ 1 OBX Point สูงสุดถึง 100,000 คะแนนต่อบัญชี พร้อมแลกรับของรางวัลและสิทธิประโยชน์มากมาย โดยคิดการแลก 10,000 OBX Point = 100 บาท
  • สร้างความร่วมมือกับพันธมิตรชั้นนำ ไม่ว่าจะเป็น AIS, True, dtac, PTTOR เพื่อมอบสิทธิพิเศษให้กับลูกค้า พร้อมเปิดประสบการณ์ใหม่ในการลงทุน และแชร์ความรู้เกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลให้แก่นิสิต นักศึกษา และผู้สนใจ

นอกจากนี้ในช่วงโค้งสุดท้ายของปี ออร์บิกซ์ ได้เตรียมพร้อมกับการได้รับ “ใบอนุญาตนายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล” จากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งบริษัทอยู่ระหว่างขั้นตอนการเตรียมความพร้อมของระบบงานเพื่อขออนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ก่อนเริ่มประกอบธุรกิจนายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ทำให้ ออร์บิกซ์ เป็นผู้ประกอบการในประเทศไทยที่ได้รับทั้งใบอนุญาตศูนย์ซื้อขายและใบอนุญาตนายหน้า พร้อมยกระดับประสบการณ์ลูกค้า และต่อยอดธุรกิจสู่การเป็นแพลตฟอร์มสินทรัพย์ดิจิทัลชั้นนำระดับโลก

และปลายปีนี้ยังเตรียมแคมเปญ “ออร์บิกซ์ขอมอบตัว” ที่มาพร้อมกับกิจกรรมทางการตลาดเพื่อมอบสิทธิพิเศษมากมายให้แก่ลูกค้าอีกด้วย ใครที่กำลังมองหาตัวช่วยในการการเทรดสินทรัพย์ดิจิทัลที่เข้าใจง่าย ปลอดภัย และคุ้มค่า นาทีนี้คงต้องยกให้ออร์บิกซ์ ที่จะช่วยตอบโจทย์การใช้งานได้ครบวงจร สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมและเงื่อนไขกิจกรรมต่าง ๆ ได้ที่ https://www.orbixtrade.com/


*คริปโทเคอร์เรนซี และโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวน โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้


เกี่ยวกับ ออร์บิกซ์:

บริษัท ออร์บิกซ์ เทรด จำกัด (ออร์บิกซ์) ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลชั้นนำในประเทศไทย ภายใต้ ออร์บิกซ์ กรุ๊ป บริษัทลูกในกลุ่มธุรกิจทางการเงินของธนาคารกสิกรไทย เป็นทางเลือกการลงทุนในธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้รับใบอนุญาตศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลภายใต้การกํากับดูแลของ สำนักงาน ก.ล.ต. และมีมาตรฐานในการให้บริการ และความปลอดภัยระดับสากล เป็นศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลแห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศที่มีมาตรฐานรับรอง 3 ISO คือ มาตรฐานสากลด้านความปลอดภัยของข้อมูลสารสนเทศ ISO 27001:2013 มาตรฐานสากลที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมความเป็นส่วนตัวของข้อมูล ISO 27701: 2019 และ มาตรฐานระบบการจัดการความต่อเนื่องทางธุรกิจ  ISO 22301:2019

**บริษัท ยูนิต้า แคปิทัล จำกัด ได้ประกาศเปลี่ยนชื่อเป็น ออร์บิกซ์ โฮลดิ้งส์ จำกัด เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2568

ติดตามข่าวสารและกิจกรรมดี ๆ เพิ่มเติมได้ที่ www.orbixtrade.com/blog

]]>
1549494
ปตท. แก้โจทย์สมดุลพลังงาน เร่งเครื่อง CCS-AI ดันไทยสู่ Net Zero 2050 https://positioningmag.com/1548995 Thu, 27 Nov 2025 08:05:03 +0000 https://positioningmag.com/?p=1548995

ท่ามกลางแรงกดดันด้านสิ่งแวดล้อมและความท้าทายเรื่องความมั่นคงพลังงาน ปตท. ยังคงเดินหน้ารีดคาร์บอนจากธุรกิจพลังงานฟอสซิล ด้วยยุทธศาสตร์ Decarbonization และโมเดล C3 ลดพอร์ตธุรกิจคาร์บอนสูง ผสานเทคโนโลยีใหม่อย่าง AI, CCS และไฮโดรเจน ควบคู่กับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ทั้งโครงการอาทิตย์ CCS Project และ Eastern Thailand CCS Hub ในพื้นที่ EEC เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเดินหน้าไปสู่เป้าหมาย Net Zero 2050 โดยความสำคัญอยู่ที่มาตรการภาครัฐ ทั้ง Carbon Tax และกรอบกฎระเบียบรองรับการดักจับ-กักเก็บคาร์บอนในระยะยาวเป็นเงื่อนไข

และนี่คือสมดุลพลังงาน 3 มิติ กับภารกิจของ ปตท. ในยุค Energy Trilemma โดยนายรัฐกร กัมปนาทแสนยากร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ความยั่งยืนองค์กร บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT ที่ได้กล่าวไว้ในการเสวนาหัวข้อ “Green Business 2026 : พลังงานใหม่ ท่องเที่ยวยั่งยืน นวัตกรรมสีเขียว เจาะกลยุทธ์เชิงรุก คว้าโอกาสใหม่ขับเคลื่อนธุรกิจไทย” ในงาน iBusiness Forum : Thailand Future Signal 2026 ว่าความสมดุลด้านพลังงาน (Energy Trilemma) ต้องพิจารณา 3 ปัจจัย คือ ความมั่นคงด้านพลังงาน สิ่งแวดล้อม และราคาต้องเข้าถึงได้ ซึ่งเป็นหน้าที่ของ ปตท. ที่เข้ามาบริหารให้เกิดความสมดุล


พลังงานหมุนเวียน-ก๊าซธรรมชาติ และยุทธศาสตร์ Decarbonization ของ ปตท.

นายรัฐกร บอกอีกว่าในอนาคตพลังงานสะอาดหรือพลังงานหมุนเวียน นับวันจะเข้ามามีบทบาทเพิ่มมากขึ้นตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (PDP) แต่ด้วยข้อจำกัดของพลังงานหมุนเวียนเกี่ยวกับความมั่นคง เพราะไม่สามารถผลิตใช้ได้ 24 ชั่วโมง ทำให้ก๊าซธรรมชาติยังมีบทบาทสำคัญในช่วงการเปลี่ยนผ่านพลังงาน แต่ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงฟอสซิล ดังนั้น ปตท. จึงมีทำ Decarbonization (การลดหรือกำจัดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) และก๊าซเรือนกระจก) ควบคู่กันไป โดยเฉพาะโครงการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture and Storage : CCS) และการนำไฮโดรเจนมาเป็นพลังงานทางเลือกทดแทนการใช้ก๊าซธรรมชาติในอนาคต


เป้า Net Zero 2050 และแรงหนุนจากมาตรการภาครัฐ Carbon Tax

ดังนั้นกลยุทธ์ของ ปตท. ในการผลักดัน Green Business โดยเชื่อมโยงความยั่งยืนในกลยุทธ์และทิศทางองค์กร ซึ่ง ปตท. วางเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์หรือ Net Zero ในปี ค.ศ. 2050


กลยุทธ์ C3 : ลดพอร์ตคาร์บอนสูง-ใช้เทคโนโลยี-สร้างพันธมิตรผลักดัน CCS

นายรัฐกร บอกต่อว่า สำหรับกลยุทธ์ที่จะทำให้บรรลุเป้าหมาย Net Zero ค.ศ. 2050 คือ C3 ประกอบด้วย C1 : Climate-Resilience Business โดย ปตท. ลดพอร์ตโฟลิโอในธุรกิจที่มีการปล่อยคาร์บอนสูง อาทิ การขายธุรกิจถ่านหินออกไป

C2 : Carbon Conscious Asset การปรับปรุงสินทรัพย์ที่มีอยู่ เพื่อลดการปล่อยคาร์บอนจากกระบวนการผลิต และการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ

C3 : Coalition, Co-Creation, and Collective Efforts for All เป็นการร่วมมือรวมพลังระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรต่างประเทศ เพื่อผลักดันการลดคาร์บอนอย่างเป็นระบบ

ทางเลือกหลากหลายสู่ Net Zero : ประสิทธิภาพพลังงาน ปลูกป่า พลังงานสะอาด CCS และไฮโดรเจน

นายรัฐกร กล่าวว่า ขณะนี้ ปตท. มีแนวทางชัดเจนเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย Net Zero ตามที่วางไว้ ซึ่งมีหลายวิธี เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน การขายสินทรัพย์ที่มีการปล่อยคาร์บอนสูง การปลูกป่า ลงทุนธุรกิจพลังงานสะอาด การพัฒนาโครงการ CCS และการใช้ไฮโดรเจน ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญในการบรรลุเป้าหมาย Net Zero


ยกเครื่องประสิทธิภาพด้วย AI ช่วยลดต้นทุนและลดคาร์บอนในกลุ่ม ปตท.

นอกจากนี้ กลุ่ม ปตท. มีการนำเทคโนโลยี AI มาใช้เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต อาทิ บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. โดยนำ AI มาใช้ในการสำรวจปิโตรเลียม รวมถึงใช้ในการวางแผนการผลิตและซ่อมบำรุง ทำให้มี EBITDA uplift 3,200 ล้านบาทต่อปี, การนำ AI มาใช้ในโรงแยกก๊าซฯ เพิ่ม EBITDA Uplift ได้ 610 ล้านบาทต่อปี ประหยัดเวลาได้ 27 เท่า และกลุ่มปิโตรเคมี มีการใช้ AI ในการผลิต ประหยัดต้นทุนได้ปีละ 50 ล้านบาท ลดการปล่อย Co2 ประมาณ 3,000 ตัน


กุญแจแห่งความสำเร็จ : เทคโนโลยี–การเงิน–กฎระเบียบ–ดีมานด์ ขับเคลื่อน Decarbonization

ทั้งนี้ กุญแจแห่งความสำเร็จเพื่อให้บรรลุเป้าหมายคือ พันธมิตร โดย ปตท. ได้ร่วมมือกับพันธมิตร ประกอบด้วย

1. Technology การพัฒนาเทคโนโลยีร่วมกับพันธมิตรมหาวิทยาลัยทั้งในไทยและต่างประเทศ ช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน รวมถึงการพัฒนาคนเพื่อใช้เทคโนโลยี

2. Financial Instrument ภาครัฐต้องร่วมทำงานกับภาคเอกชน เพื่อออกมาตรการที่เหมาะสมสอดคล้องทั้งเวลาและธุรกิจอุตสาหกรรม รวมทั้งการให้สิทธิประโยชน์ได้ตรงจุด ทำให้การทำ Decarbonization เกิดขึ้นได้อย่างยั่งยืน

3. Policy&Regulatory Unlock ประเด็น Decarbonization เป็นเรื่องใหม่ ยังไม่มีกฎระเบียบออกมา อาทิ การสำรวจพื้นที่เพื่อกักเก็บคาร์บอนในอ่าวไทย

4. Demand มีหลายเรื่องที่ต้องร่วมมือกันเพื่อผลักดันให้เกิดขึ้น


โครงการอาทิตย์ CCS Project – โครงสร้างพื้นฐานคาร์บอนใน EEC สู่ Net Zero 2050

นายรัฐกร บอกอีกว่า โครงการอาทิตย์ CCS Project เป็นโครงการนำร่องของ ปตท.สผ. ที่นำองค์ความรู้และประสบการณ์ด้านธรณีวิทยาและวิศวกรรมศาสตร์ของการสำรวจและผลิตปิโตรเลียม มาประยุกต์ใช้ในการดำเนินโครงการ CCS ที่แหล่งอาทิตย์ คาดว่าจะสามารถเริ่มใช้เทคโนโลยี CCS ที่แหล่งก๊าซธรรมชาติอาทิตย์ได้ในปีพ.ศ. 2571 ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกระบวนการผลิตปิโตรเลียมได้ในปริมาณมาก

นอกจากนี้ เพื่อให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมาย Net Zero ได้ตามกำหนดในปี 2050 โครงการ Eastern Thailand CCS Hub ในพื้นที่ EEC ชลบุรี ระยอง และเป็นโครงการใหญ่ใช้เงินลงทุนมหาศาล ในการนำคาร์บอนที่เกิดจากโรงงานไปเก็บไว้ที่ EEC ก่อนขนส่งไปกักเก็บในทะเล คาดว่าจะเก็บคาร์บอนได้ปีละ 5-10 ล้านตัน ซึ่งโครงการนี้จะเกิดได้ต้องได้รับความร่วมมือกับทุกฝ่ายทั้งภาครัฐ และเอกชน เบื้องต้นคาดว่าจะตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้าย (FID) ในปี ค.ศ. 2031 และจะดำเนินการแล้วเสร็จในปี ค.ศ. 2034 โครงการดังกล่าวนอกจากจะลดคาร์บอนแล้ว ยังช่วยการจ้างงาน 1.1 หมื่นคน และเพิ่ม GDP ได้ปีละ 1.8หมื่นล้านบาท

เงื่อนไขสำคัญให้ CCS ไทยเกิดจริง : นโยบาย กฎหมาย และแรงสนับสนุนจากทุกฝ่าย

อย่างไรก็ดี โครงการ CCS ในประเทศไทยจะเกิดขึ้นได้ ต้องอาศัยองค์ประกอบอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ด้านนโยบาย ด้านกฎหมาย และปัจจัยส่งเสริมการลงทุน ซึ่งจะต้องได้รับการสนับสนุนจากทั้งภาครัฐและองค์กรหลาย ๆ ฝ่ายในการผลักดันและส่งเสริมการนำเทคโนโลยี CCS มาใช้ในประเทศไทยอย่างเป็นรูปธรรม

ภาพรวมยุทธศาสตร์ของ ปตท. สะท้อนว่า เส้นทางสู่ Net Zero 2050 ของไทย ไม่อาจพึ่งเพียงพลังงานหมุนเวียนหรือการลงทุนสีเขียว แต่ต้องอาศัยการจัดพอร์ตธุรกิจใหม่ ลดคาร์บอนจากต้นทาง ใช้เทคโนโลยีอย่าง AI และ CCS มาช่วยยกระดับประสิทธิภาพ และต่อยอดด้วยโครงสร้างพื้นฐานด้านคาร์บอนในระดับประเทศ ขณะเดียวกัน ภาครัฐต้องเร่งวางกติกา ทั้งด้าน Carbon Tax เครื่องมือการเงิน และกฎหมายรองรับการกักเก็บคาร์บอน เพื่อปลดล็อกการลงทุนเอกชนและพันธมิตรต่างประเทศ หากทุกฟันเฟืองเดินไปในทิศทางเดียวกัน ไม่เพียงช่วยให้ไทยเข้าใกล้เป้า Net Zero แต่ยังสร้างโอกาสเศรษฐกิจใหม่ การจ้างงาน และขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศในระยะยาวด้วย

 

]]>
1548995
CKPower รุกธุรกิจขาย RECs รองรับตลาดไทย และภูมิภาค ขานรับการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด https://positioningmag.com/1548728 Wed, 26 Nov 2025 09:56:50 +0000 https://positioningmag.com/?p=1548728

ในปัจจุบันที่ปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อมกลายเป็นหัวข้อหลักที่ทุกคนต่างให้ความสำคัญ ไม่ว่าจะภาครัฐบาลที่ออกนโยบายที่กระตุ้น และส่งเสริมเรื่องการดูแลสิ่งแวดล้อม ด้านบริษัทเอกชนก็มีทั้งนโยบาย และกลยุทธ์ทั้งภายใน และภายนอกองค์กร และยังมีการตั้งเป้าเรื่องการเป็นกลางทางคาร์บอน หรือ Carbon Neutral และ Net Zero กันมากขึ้น เรียกได้ว่าเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ทุกฝ่ายต่างช่วยกันแก้ปัญหา เพื่อให้โลกน่าอยู่ยิ่งขึ้น

ธุรกิจพลังงานหมุนเวียนถือเป็นโอกาสสำคัญและมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นตลาดที่มีความต้องการสูง หลายองค์กรมองเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้

โดยหนึ่งในบริษัทที่ให้ความสำคัญกับพลังงานหมุนเวียนแห่งหนึ่งในไทย อย่าง บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CKPower หนึ่งในผู้นำในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคและมีคาร์บอนฟุตพรินต์ที่ต่ำที่สุดรายหนึ่ง โดยมีแผนในปี 2568-2573 ได้เดินหน้าขยายกำลังการผลิตจากโครงการไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ควบคู่ไปกับการขายใบรับรองการผลิตพลังงานหมุนเวียน (RECs)

ธุรกิจไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนทขยายตัวอย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงโอกาสทางธุรกิจที่มีศักยภาพสูงในอนาคต โดยเฉพาะในบริบทของการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานและเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับสากล โดยข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า ในปี 2026 ความต้องการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนมีทิศทางเพิ่มสูงขึ้นทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชน โดยปริมาณไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนที่ขายให้ภาครัฐคาดว่าจะอยู่ที่ 24,303 GWh และภาคเอกชนคาดว่าจะอยู่ที่ 4,249 GWh เพิ่มขึ้น 2.8% และ 8% ตามลำดับ


รู้จัก RECs คืออะไร สำคัญอย่างไรกับองค์กร

ใบรับรองพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy Certificates: RECs) คือเอกสารทางการตลาดที่ยืนยันว่าไฟฟ้าที่ผลิตขึ้นมาจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน เช่น ลม แสงอาทิตย์ หรือพลังน้ำ โดยในทุก 1 เมกะวัตต์-ชั่วโมง (MWh) ของไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานหมุนเวียน จะได้รับ 1 หน่วย RECs เพื่อแสดงที่มาของพลังงานสะอาดนั้น ซึ่ง RECs แยกออกจากไฟฟ้าทางกายภาพ ทำให้สามารถซื้อขายได้อย่างอิสระในตลาด โดยผู้ซื้อ RECs สามารถนำไปใช้ยืนยันว่า “ไฟฟ้าที่ใช้มาจากพลังงานหมุนเวียน” ตามจำนวน MWh ที่ถือครองใบรับรอง RECs นั้น ๆปัจจัยที่หลายองค์กรให้ความสำคัญ RECs อาทิ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Scope 2 emissions) โดยเฉพาะองค์กรที่ใช้ไฟฟ้าจากโครงข่ายไฟฟ้าหลัก (grid) ซึ่งอาจมีการผสมระหว่างไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงฟอสซิลกับไฟฟ้าหมุนเวียน

การซื้อ RECs ยังถือเป็นอีกหนึ่งแนวทางในการสนับสนุนการพัฒนาโครงการพลังงานหมุนเวียน เนื่องจาก RECs เป็นรายได้เสริมให้กับผู้ผลิตไฟฟ้าหมุนเวียน ส่งผลให้โครงการเหล่านี้มีความคุ้มค่าและมีแรงจูงใจในการลงทุนและขยายโครงสร้างพื้นฐานพลังงานสะอาด

Carbon Neutral กับ RECs

ปัจจุบันหลายองค์กรมีการประกาศแผนด้านความยั่งยืน ทั้งในเรื่องของการเป็นกลางทางคาร์บอน Carbon Neutral และ Net Zero ล้วนส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว ซึ่ง RECs สามารถช่วยให้องค์กรต่างๆ บรรลุเป้าหมายเหล่านี้ได้เร็วขึ้น

การบรรลุเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม เช่น การเป็นกลางทางคาร์บอน หรือการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามมาตรฐาน Scope 2 ด้วยขั้นตอนการขาย RECs ดังนี้


การกำหนดเป้าหมายสิ่งแวดล้อมขององค์กร

  1. ขึ้นทะเบียนโครงการโดยต้องเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน (Solar, Wind, Hydro ฯลฯ) จากนั้นขึ้นทะเบียนกับระบบรับรองเช่น I-REC (International REC Standard) ผ่านหน่วยงานผู้ออก (Issuer) ในไทยปัจจุบันการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ทำหน้าที่เป็น I-REC Issuer
  2. การตรวจสอบและออกใบรับรองโดยจะต้องผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน→ส่งเข้าระบบ→ได้รับการตรวจสอบ (Verification) →ออกเป็น RECs (1 REC = 1 MWh)
  3. การซื้อขายในตลาดผู้ขาย: โรงไฟฟ้าที่มี RECs ในมือและผู้ซื้อ: บริษัทที่ต้องการลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์หรือบรรลุเป้าหมาย Scope 2 โดยซื้อขายผ่านแพลตฟอร์มหรือนายหน้าเช่น I-REC Registry

ทั้งนี้ สำหรับลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Scope 2 emissions) ในองค์กรนั้น การซื้อ RECs ช่วยให้สามารถอ้างว่าได้ “ใช้ไฟฟ้าพลังงานสะอาด” เทียบเท่ากับจำนวน MWh ที่ซื้อ RECs ไป ฉะนั้นแล้วองค์กรที่ต้องการก้าวสู่การเป็นกลางทางคาร์บอนจะมองหา RECs เพื่อรับรองการการดำเนินธุรกิจสีเขียว


CKPower เดินหน้าขาย RECs รองรับความต้องการตลาด

ข้อมูล ณ (มกราคม 2025) โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ภายใต้บริษัท บางเขนชัย จำกัด (BKC) ขึ้นทะเบียนโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนเข้าสู่ธุรกิจซื้อขาย RECs ตั้งแต่ปี 2022 จนถึงปัจจุบัน โดยตลอดการดำเนินงานที่ผ่านมาได้มีการส่งมอบ RECs แล้วจำนวน 39,660.46 RECs

สำหรับทิศทางของตลาด จากรายงานของ Data Intelligence ในหัวข้อ “Thailand Renewable Energy Certificate Market Size, Share Analysis, Growth Insights and Forecast 2025–2032” ระบุไว้ว่า ตลาดใบรับรองพลังงานหมุนเวียน (REC) ของประเทศไทย มีมูลค่า 11.51 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2024 และคาดว่าจะเติบโตถึง 25.58 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2032 ขยายตัวในอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) 9.7% ระหว่างปี 2025–2032

การดำเนินงานดังกล่าวสอดคล้องกับกลยุทธ์ ซี เค พี (C-K-P) ในด้านความยืดหยุ่นของการดำเนินธุรกิจ (Partnership for Life) ซึ่งตั้งเป้าการขยายโอกาสในด้านพลังงานหมุนเวียน เพื่อรองรับโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ รวมถึงขยายตลาดและความร่วมมือในธุรกิจการผลิตไฟฟ้า

ทั้งนี้ การขายใบรับรองการผลิตพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy Certificate: RECs) นอกจากเพิ่มโอกาสการสร้างรายได้เพิ่มเติม กระบวนการนี้ไม่เพียงช่วยสนับสนุนการลดผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของผู้ซื้อ แต่ยังตอกย้ำการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมของบริษัท เสริมภาพลักษณ์องค์กรที่มุ่งมั่นด้านความยั่งยืน และสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ เพื่อสนับสนุนเป้าหมายด้านความยั่งยืนทั้งในระดับองค์กรและระดับประเทศ

]]>
1548728
สายน้ำที่หล่อเลี้ยงคนไทยมาจนถึงทุกวันนี้ เกิดขึ้นจากพระเมตตา และวิสัยทัศน์อันกว้างไกลของ “พระเจ้าอยู่หัว” ทุกพระองค์ ที่ไม่ว่าในยุคไหน ล้วนทรง “ทำ” ให้ปวงชนชาวไทยได้มีชีวิตที่ดีขึ้นเสมอ https://positioningmag.com/1548350 Tue, 25 Nov 2025 09:26:52 +0000 https://positioningmag.com/?p=1548350 …เรื่องราวปาฎิหาริย์ มีไว้เพื่อเชื่อมหัวใจสองดวงไว้เหนือกาลเวลา…

“ธารคุณ” ผู้กำกับสารคดีมีเหตุต้องพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และบังเอิญทำให้เขาต้องเดินทางกลับไปในยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น ได้พบกับ “ลำดวน” หญิงสาวผู้งดงาม ลูกสาวของพระยาสุนทรภูมินทร์ อีกหนึ่งบุคคลสำคัญในหน้าประวัติศาสตร์ ธารคุณได้เสนอวิธีทำแนวกันหน้าดินและร่วมมือกับท่านพระยาช่วยพัฒนาคูคลอง ทำให้สายน้ำยังคงมีลมหายใจ

แต่ความทรงจำอันล้ำค่าที่สุด คือการได้รู้ว่าหลายสายน้ำคูคลองสำคัญที่หล่อเลี้ยงวิถีชีวิตคนไทยมาจนถึงทุกวันนี้ เกิดขึ้นจากพระเมตตา และวิสัยทัศน์อันกว้างไกลของ “พระเจ้าอยู่หัว” ทุกพระองค์ ที่ไม่ว่าในยุคไหน ล้วนทรง “ทำ” ให้ปวงชนชาวไทยได้มีชีวิตที่ดีขึ้นเสมอ

]]>
1548350
ปุ๋ยตรามงกุฎได้เชิญชวนพ่อแม่พี่น้องเกษตรกรชาวนา
เข้าร่วมกิจกรรม “40 มงกุฎ Farm Stay” ภายใต้แนวคิด เป็น-อยู่-เขียว ที่จะช่วยในการทำให้ผืนนาของทุกคนดีมากขึ้น https://positioningmag.com/1547533 Sun, 23 Nov 2025 04:00:23 +0000 https://positioningmag.com/?p=1547533

ปุ๋ยตรามงกุฎได้เชิญชวนพ่อแม่พี่น้องเกษตรกรชาวนา
เข้าร่วมกิจกรรม “40 มงกุฎ Farm Stay” ภายใต้แนวคิด เป็น-อยู่-เขียว ที่จะช่วยในการทำให้ผืนนาของทุกคนดีมากขึ้น

เป็น เพราะ ได้เรียนรู้และใช้เป็นกับเทคนิควิธีการจากนักวิชาการเกษตรปุ๋ยตรามงกุฎ

อยู่ เพราะ ได้อยู่ และเห็นผืนนาของผู้ใช้จริงที่ประสบความสำเร็จ

เขียว เพราะ ได้สัมผัส และเห็นผลลัพธ์ของความเขียวนาน โตไว ใบตั้ง จากสูตร 40 มงกุฎ

โดยพี่น้องเกษตรกรไทยไม่ว่ามาจากที่ไหน ก็เป็นเหมือน “คนดินเดียวกัน” เราเลยอยากให้ทุกคนได้มาเห็นตัวอย่างความสำเร็จขอผืนนาที่ใช้ปุ๋ยตรามงกุฎสูตร 40-0-0 หรือที่เราเรียกกันว่า 40 มงกุฎ

ซึ่งกิจกรรมภายในงานแบ่งออกเป็น 3 ฐานหลัก ได้แก่

  1. ฐานแรก “ถกที่เถียงนา” : ที่มีนักวิชาการเกษตรปุ๋ยตรามงกุฎ มาชวนทุกคนพูดคุยถึงปัญหาต่าง ๆ ที่เจอกันอยู่บ่อย ๆ พร้อมให้คำแนะนำ และแลกเปลี่ยนเคล็ดลับต่าง ๆ ที่จะพาไปถึงความสำเร็จอย่างแท้จริง
  2. ฐานที่สอง “นานาความสำเร็จ” : ที่ได้ชวน คุณหมูและคุณพ่อ เจ้าของนาที่ศูนย์การเรียนรู้ภูกะเหรี่ยง มาแชร์ พร้อมพูดถึงเทคนิคเฉพาะตัวของรุ่นพ่อและรุ่นลูก ที่ถึงจะต่างกันแต่สุดท้ายก็ทำให้เกิดความสำเร็จร่วมกัน
  3. ฐานสุดท้าย “จุดพักชมความสำเร็จ”: ที่พาทุกคนมาดูการเติบโตของข้าวจากการใช้ 40 มงกุฎ กันแบบคาตา งามขนาดนี้ก็เลยเป็นจุดถ่ายรูปของพ่อแม่พี่น้องเกษตรกรที่มาร่วมกิจกรรม

 

ปุ๋ยตรามงกุฎพร้อมอยู่เคียงข้างพี่น้องเกษตรกรชาวไทย และจะยังมีกิจกรรมดี ๆ ที่จะชวนทุกคนมาแชร์ความรู้และประสบการณ์ รวมถึงเคล็ดลับต่าง ๆ ที่จะนำพาความสำเร็จแบบยั่งยืนมาสู่เกษตรกรรมของไทย

ติดตามความเคลื่อนไหว พร้อมความรู้เกี่ยวกับเกษตรได้ที่  https://puimongkut.com

]]>
1547533
ลมหายใจแห่งสายธาร https://positioningmag.com/1548044 Thu, 20 Nov 2025 12:44:17 +0000 https://positioningmag.com/?p=1548044
..เรื่องราวปาฎิหาริย์ มีไว้เพื่อเชื่อมหัวใจสองดวงไว้เหนือกาลเวลา…
.
“ธารคุณ” ผู้กำกับสารคดีมีเหตุต้องพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และบังเอิญทำให้เขาต้องเดินทางกลับไปในยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น ได้พบกับ “ลำดวน” หญิงสาวผู้งดงาม ลูกสาวของพระยาสุนทรภูมินทร์ อีกหนึ่งบุคคลสำคัญในหน้าประวัติศาสตร์ ธารคุณได้เสนอวิธีทำแนวกันหน้าดินและร่วมมือกับท่านพระยาช่วยพัฒนาคูคลอง ทำให้สายน้ำยังคงมีลมหายใจ
.
แต่ความทรงจำอันล้ำค่าที่สุด คือการได้รู้ว่าหลายสายน้ำคูคลองสำคัญที่หล่อเลี้ยงวิถีชีวิตคนไทยมาจนถึงทุกวันนี้ เกิดขึ้นจากพระเมตตา และวิสัยทัศน์อันกว้างไกลของ “พระเจ้าอยู่หัว” ทุกพระองค์ ที่ไม่ว่าในยุคไหน ล้วนทรง “ทำ” ให้ปวงชนชาวไทยได้มีชีวิตที่ดีขึ้นเสมอ

]]>
1548044
รัฐผนึกเอกชน “ปลุกชีพจรเศรษฐกิจไทย” รุก Green Business สู้ศึกสหรัฐ-จีน https://positioningmag.com/1547959 Thu, 20 Nov 2025 11:00:31 +0000 https://positioningmag.com/?p=1547959

คับคั่งทีเดียวกับเวทีสัมมนาใหญ่ “iBusiness Forum : Thailand Future Signal 2026 – จับสัญญาณอนาคตก้าวใหม่เศรษฐกิจไทย” เพื่อถอดสัญญาณแนวโน้มเศรษฐกิจโลก-ไทย ปี 2569 ระดมความเห็นจากผู้นำภาครัฐ เอกชน และนักวิเคราะห์ชั้นนำของประเทศ เพื่อปรับกลยุทธ์รับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นในปี 2569

ภายในงานได้รับเกียรติจาก ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และวิทยากรหลากหลายจากตัวแทนภาคเอกชนและบริษัทชั้นนำของประเทศไทยร่วมบรรยาย อาทิ ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย คุณเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และ ดร. นณริฎ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโส สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI)

นอกจากนี้ยังมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในหัวข้อ Green Business 2026 : พลังงานใหม่-ท่องเที่ยวยั่งยืน-นวัตกรรมสีเขียวเจาะกลยุทธ์เชิงรุก คว้าโอกาสใหม่ขับเคลื่อนธุรกิจไทย จากผู้บริหารองค์กรชั้นนำ ประกอบด้วย คุณรัฐกร กัมปนาทแสนยากร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ความยั่งยืนองค์กร บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) คุณพนาสันต์ สุจริตพานิช ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหารงานกลาง บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) คุณเมธิณี อนวัชกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจการเดินทางและบริหารคนขับ บริษัท แกร็บ ประเทศไทย และคุณสมานนพพล รัตนธรรมทิตยา ผู้บริหาร สมาคมส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวไทย (สธทท.) และผู้รับหน้าที่พิธีกรภายในงาน คุณแบงค์ พชร ปัญญายงค์


คลังชี้ “ชีพจรเศรษฐกิจไทย” กระตุกฟื้น รัฐอัดเม็ดเงินเกือบแสนล้าน ดัน GDP Q4 โต 1.1%

ทั้งนี้ คุณเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษภายในงานระบุว่า ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา รัฐบาลได้เร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อให้หลุดพ้นจาก “เศรษฐกิจติดหล่ม” โดยเป็นการร่วมมือกับภาคเอกชน จนเริ่มเห็นสัญญาณเศรษฐกิจใหม่เกิดขึ้นอย่างมาก โดยในเชิงธุรกิจสามารถก้าวได้เร็วขึ้น ขณะที่ในเชิงประเทศก็ต้องเตรียมความพร้อมที่จะเร่งผลักดันให้สัญญาณนี้ยังเป็นสัญญาณที่ดีอย่างต่อเนื่องต่อไป โดยเริ่มเห็นสัญญาณเศรษฐกิจใหม่ ซึ่งเปรียบเสมือนชีพจรที่ถูกกระตุกขึ้นมาอีกครั้ง ผ่านโครงการสำคัญ อาทิ การเร่งคืนหนี้ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.), การเติมเงินผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ, โครงการเที่ยวดีมีคืน, การเร่งเบิกจ่ายของส่วนราชการ และโครงการคนละครึ่ง พลัส ซึ่งทั้งหมดนี้ ถือเป็นเม็ดเงินในการกระตุ้นเศรษฐกิจไปแล้วเกือบ 1 แสนล้านบาท และได้ช่วยให้บรรยากาศเศรษฐกิจทั่วประเทศเริ่มกระตุกขึ้นมา ซึ่งเป็นการดำเนินการโดยไม่ได้มีการกู้เงินใหม่ อันเป็นการสะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลยังคงรักษาวินัยการเงินการคลังอย่างเข้มข้น

“สิ่งที่รัฐบาลเห็นในวันที่แถลงนโยบายต่อรัฐสภา คือ สัญญาณเศรษฐกิจที่แผ่วมาก เหมือนชีพจรที่เต้นเบาจนเกือบจะดับ เศรษฐกิจไทยเหมือนจะดิ่งเหว แม้จะยังไม่ถึงกับตกเหว แต่ก็ติดหล่ม เหลืออยู่อีกนิดเดียวก็จะตกเหว และจากการเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลทั้งหมดในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ช่วยให้เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 4/2568 ที่จากเดิมคาดว่าจะโตได้ 0.3% เกือบจะดิ่งเหว ขยับขึ้นมาได้เป็น 1.1% นี่เป็นสัญญาณเศรษฐกิจแรกที่เห็น” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าว

ดร.เอกนิติ กล่าวต่อไปว่า สัญญาณเศรษฐกิจที่ 2 ที่รัฐบาลเริ่มเห็น คือ การย้ายฐานการผลิต หลังจากความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก ซึ่งไทยและอาเซียนถูกจับตามองว่าเป็นประเทศที่เหมาะแก่การลงทุน ส่งผลให้ตัวเลขการเคลื่อนย้ายการลงทุนของไทยและอาเซียนในปีที่ผ่านมาเติบโตเป็นบวก สวนทางกับหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งสะท้อนจากยอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนของต่างชาติ จากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ในช่วงที่ผ่านมาซึ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ คิดเป็น 90% โดยโครงการเติบโตขึ้นเกือบ 30% ส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมเกษตรสมัยใหม่ ดาต้าเซ็นเตอร์ อิเล็กทรอนิกส์สมัยใหม่ เซมิคอนดักซ์เตอร์ อีวี-ไฮบริด และเวลเนสเซ็นเตอร์ เป็นต้น แต่ต้องยอมรับว่ามีเม็ดเงินที่ขอรับการลงทุนค้างท่ออยู่ถึง 4.7 แสนล้านบาท

โดยประเด็นนี้ รัฐบาลให้ความสนใจเป็นอย่างมาก และเป็นอีกหนึ่งนโยบายที่ต้องเร่งปลดล็อก เพื่อผลักดันให้เม็ดเงินสามารถลงสู่ระบบเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังติดปัญหาต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านกฎระเบียบ และข้อกฎหมายซึ่งยังเป็นอุปสรรค ดังนั้นจึงมีแนวคิดในการเดินหน้าโครงการ Fast Pass ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาระยะสั้น เพื่อเร่งปลดล็อกให้เม็ดเงินที่ค้างท่อเข้าสู่ระบบได้เร็วขึ้น และจะมีอุตสาหกรรมใหม่ที่มาต่อยอดการเติบโตของเศรษฐกิจไทยต่อเนื่องไปจนถึงปี 2569


จี้รัฐบาล : รื้อกฎหมาย-เร่ง FTA-บริหารน้ำ-ลงทุนคน

ด้านคุณเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวในงานเดียวกันว่า สภาอุตสาหกรรมฯ สรุปข้อเสนอถึงภาครัฐใน 5 มิติหลักคือ

  1. Next Gen Industry รัฐบาลต้องมีนโยบายเชิงรายละเอียดและสนับสนุนอย่างจริงจัง ไม่ใช่เพียงเชิงสัญลักษณ์ โดยดูตัวอย่างจากความสำเร็จของประเทศจีนที่ผลักดันอุตสาหกรรมเป้าหมายอย่างเป็นระบบ
  2. กฎหมายล้าสมัยกฎหมายที่มีอยู่กว่าหนึ่งแสนฉบับต้องเร่ง “รื้อและลด” อย่างน้อยครึ่งหนึ่ง เพื่อคลี่คลายความยุ่งยากและซ้ำซ้อน ขณะนี้มีทีมของ ศ.บวรศักดิ์ ร่วมกับภาคเอกชนกำลังเดินหน้าทบทวนอยู่ แต่จำเป็นต้องมีเจตจำนงทางการเมืองที่ชัดเจน
  3. BCG Model และการปรับกฎหมายให้สอดคล้องต้องทำ BCG Model ให้ “เต็มรูปแบบ” ไม่ใช่เพียงคำขวัญ พร้อมปรับกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้สอดรับ เพื่อให้ผู้ประกอบการเข้าถึงได้จริง
  4. FTA และโครงสร้างพื้นฐาน-น้ำ เร่งเจรจาเขตการค้าเสรี (FTA) และ Free Trade/Free Zone ต่าง ๆ เพื่อเพิ่มโอกาสทางการค้าลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ ไม่ใช่เพียงแก้ปัญหาน้ำท่วมหรือน้ำแล้ง แต่ต้องจัดการน้ำให้ “เป็นประโยชน์” ต่อภาคเกษตรและอุตสาหกรรม

และสุดท้าย 5. Human Development – การพัฒนาคนทักษะสูงอุตสาหกรรมแห่งอนาคตต้องการแรงงานทักษะสูง ทักษะแบบเดิมใช้ไม่ได้อีกต่อไป ภาครัฐจึงต้องให้ความสำคัญกับการอัปสกิล-รีสกิลอย่างจริงจัง


รัฐต้องเร่งปลดล็อกกฎหมายซ้ำซ้อน

ด้าน ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวภายในงานด้วยว่านักลงทุนต่างชาติที่สนใจประเทศไทยจำนวนมาก “สับสน” กับระบบกฎหมายและขั้นตอนของไทย ทั้งด้านภาษี การนำเข้า-ส่งออก และกฎระเบียบเฉพาะอุตสาหกรรม

“ปัญหาคือว่าขั้นตอนข้างใน มีกฎระเบียบเยอะเหลือเกิน วิธีปฏิบัติให้มันถูกต้อง ต่างชาติบางครั้งไม่เข้าใจว่าต้องลงทุนกันยังไง ตัวอย่างคือกรณีสินค้าบางประเภทที่ไทยมีศักยภาพและเป็นฐานการผลิตใหญ่ แต่ขั้นตอนอนุมัติ ซ้ำซ้อนและยืดเยื้อ ทำให้ต่างชาติรู้สึกว่ากฎระเบียบไทย ‘ยุ่งยากเกินไป’ เมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่ง”

ทั้งนี้ปัญหาไม่ได้อยู่ที่การมีกฎหมายควบคุม แต่คือการออกกฎหมายและกฎย่อยจำนวนมาก โดยไม่เคย “รื้อและยกเลิกของเก่า” ให้ทันสมัยและสอดคล้องกัน ทำให้ระบบโดยรวมกลายเป็นภาระต่อการลงทุน


TDRI แนะปรับตัวรับเทรดวอร์สหรัฐ-จีนลากยาว

ดร.นณริฎ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโส สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวภายในงานว่า สงครามการค้าและความขัดแย้งระหว่างประเทศมหาอำนาจ มันเกิดขึ้นได้อย่างไร โดยอย่างแรก เราต้องยอมรับว่า ตอนนี้มีหลักฐานชัดเจนมากขึ้นว่า “มาตรการภาษี การกีดกันทางการค้า” ไม่ได้เป็นแค่ความคิดเฉพาะตัวของผู้นำคนใดคนหนึ่ง แต่เป็น “เครื่องมือ” ที่ถูกใช้ใน “สงครามเชิงโครงสร้างระหว่างสองขั้วอำนาจ” คือ สหรัฐฯ กับจีน

เพราะฉะนั้น ถึงแม้ในอนาคต ศาลหรือกลไกต่าง ๆ จะบอกว่า ผู้นำบางคน “ใช้อำนาจเกินขอบเขต” หรือ “ไม่มีอำนาจตามกฎหมาย” มาตรการบางอย่างอาจถูกลดความรุนแรงลง แต่ไม่ได้แปลว่า ความเสี่ยงจะหายไปเพราะสุดท้าย อาจจะมีผู้นำคนใหม่ หรือมีเครื่องมือใหม่ ๆ ถูกคิดขึ้นมาใช้ต่อในสงครามระหว่างประเทศมหาอำนาจอยู่ดีต่อให้ตัวละครเปลี่ยน กติกาบางส่วนเปลี่ยน แต่ “โครงเรื่องใหญ่เรื่องการแย่งชิงอำนาจระหว่างสหรัฐฯ กับจีน” ยังอยู่ และนี่คือบริบทที่ประเทศไทยและประเทศอื่น ๆ ต้องอยู่ร่วมและปรับตัวให้ทันในช่วง 5-10 ปีข้างหน้า

ปัจจุบันจะพบว่าโครงสร้างของสหรัฐ “ไม่ยั่งยืน” หนี้มีแนวโน้ม เพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นมันเป็นเพียง “เรื่องของเวลา” ว่า วันใดวันหนึ่ง หากสหรัฐไม่สามารถเติบโตแบบเดิมได้ ก็จะมีความเสี่ยงสูงที่จะต้อง “หาเครื่องมือใหม่” มาช่วยหนึ่งในเครื่องมือที่ถูกพูดถึงก็คือ Trump Tariff จึงถูกมองว่าเป็นอีกหนึ่ง “เครื่องมือ” ที่จะยังอยู่ต่อในอนาคต ไม่ใช่ของชั่วคราว

นอกจากความเห็นจากภาครัฐและตัวแทนภาคเอกชนแล้ว ผู้เข้าร่วมงานยังให้ความสนใจติดตามการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในหัวข้อ Green Business 2026 :  พลังงานใหม่-ท่องเที่ยวยั่งยืน-นวัตกรรมสีเขียว เจาะกลยุทธ์เชิงรุก คว้าโอกาสใหม่ขับเคลื่อนธุรกิจไทยกันอย่างต่อเนื่อง


ปตท. มุ่งมั่นสร้างสมดุลด้านพลังงาน

โดยเริ่มต้นจาก คุณรัฐกร กัมปนาทแสนยากร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ความยั่งยืนองค์กร บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT ให้ความเห็นว่า ความสมดุลด้านพลังงาน (Energy Trilemma) ต้องพิจารณา 3 ปัจจัย คือ ความมั่นคงด้านพลังงาน สิ่งแวดล้อม และราคาต้องเข้าถึงได้ ซึ่งเป็นหน้าที่ของ ปตท. ที่เข้ามาบริหารให้เกิดความสมดุล

ในอนาคตพลังงานสะอาดหรือพลังงานหมุนเวียนนับวันจะเข้ามามีบทบาทเพิ่มมากขึ้นตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (PDP) แต่ด้วยข้อจำกัดของพลังงานหมุนเวียนเกี่ยวกับความมั่นคง เพราะไม่สามารถผลิตใช้ได้ 24 ชั่วโมง ทำให้ก๊าซธรรมชาติยังมีบทบาทสำคัญในช่วงการเปลี่ยนผ่านพลังงาน แต่ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงฟอสซิล ดังนั้นกลยุทธ์ของ ปตท. ในการผลักดัน Green Business โดยเชื่อมโยงความยั่งยืนในกลยุทธ์และทิศทางองค์กร ซึ่ง ปตท. วางเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์หรือ Net Zero ในปี ค.ศ. 2050


เร่งเครื่องโครงการ CCS หนุนไทยบรรลุเป้า Net Zero

คุณรัฐกร กล่าวอีกว่า สำหรับกลยุทธ์ที่จะทำให้บรรลุเป้าหมาย Net Zero ค.ศ. 2050 คือ C3 ประกอบด้วย C1 : Climate-resilience Business โดย ปตท. ลดพอร์ตโฟลิโอในธุรกิจที่มีการปล่อยคาร์บอนสูง อาทิ การขายธุรกิจถ่านหินออกไป

C2 : Carbon-conscious Asset การปรับปรุงสินทรัพย์ที่มีอยู่ เพื่อลดการปล่อยคาร์บอนจากกระบวนการผลิตและการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ

C3 : Coalition, Co-Creation, and Collective Efforts for All เป็นการร่วมมือรวมพลังระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรต่างประเทศ เพื่อผลักดันการลดคาร์บอนอย่างเป็นระบบ

คุณรัฐกร กล่าวว่า ขณะนี้ ปตท. มีแนวทางชัดเจนเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย Net Zero ตามที่วางไว้ ซึ่งมีหลายวิธี เช่นการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน การขายสินทรัพย์ที่มีการปล่อยคาร์บอนสูง การปลูกป่า ลงทุนธุรกิจพลังงานสะอาด การพัฒนาโครงการ CCS และการใช้ไฮโดรเจน ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญในการบรรลุเป้าหมาย Net Zero


BDMS ชู “Green Healthcare + AI” รับสังคมสูงวัย

คุณพนาสันต์ สุจริตพานิช ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหารงานกลาง บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS ให้ความเห็นว่า ปัจจุบันธุรกิจการแพทย์ หรือโรงพยาบาลมีความท้าทายตลอด ภาพที่เห็นขณะนี้คือ เรื่องของสังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) เป็นตัวบนสุดในห่วงโซ่ของ Mega Trend in Healthcare

ภาพรวมทั้งหมดเป็นส่วนหนึ่งที่ BDMS ต้องทำ พร้อมกับการวางแผนด้าน ESG เรื่องสิ่งแวดล้อมก็สำคัญและในธุรกิจ Healthcare ทำได้แค่ส่วนหนึ่ง เพราะเราใช้เท่าที่มีอยู่ ส่วนเรื่องของสังคม ถือเป็นเรื่องหลักที่ธุรกิจ Healthcare ต้องใส่ใจทั้งภายในและภายนอก ทั้งบุคลากรที่อยู่กับและเรื่องของสิ่งแวดล้อม

“BDMS ได้นำ AI มาใช้ รวมถึงการขนส่งด้วยการนำรถ EV รวมทั้ง Green Healthcare เรื่องของการออกแบบ ที่ต้องบริหารจัดการต้องเรียกว่า ธุรกิจ Healthcare เป็นธุรกิจหลักของเรา ธุรกิจรีไซเคิลนั่นไม่ใช่ Healthcare ก็หวังว่าที่เราทำมานั้น ทำให้เราบริหารจัดการได้ตั้งแต่ต้นจนจบ เป็นการลดต้นทุนไปในตัวด้วย”

อย่างไรก็ดี ปัจจุบันมีการใช้ AI มากขึ้น อย่าง Start Up ได้รับความสนใจมากทั้งสหรัฐและไทย ซึ่งมีนักเรียนแพทย์ไปทำงานวิจัยจำนวนมาก ในส่วนของ BDMS นั้น นำ AI มาใช้ในการรักษา 10 ปีแล้ว ขณะที่ส่วนของการจัดการภายใน ได้นำเทคโนโลยีต่าง ๆ ร่วมด้วยเพื่อลดการใช้พลังงาน ลดการขยะ กระดาษน้อยลง และเพิ่มประสิทธิภาพและความรวดเร็วในการรักษาด้วย

“สำหรับขยะที่เกิดจากการรักษามี 2 ส่วน ในส่วนของติดเชื้อเราควบคุมไม่ได้ แต่ส่วนขยะบางอย่างของการใช้วัสดุในห้องผ่าตัดที่ใช้ไม่หมด เราต้องพิจารณาแก้ไขเพื่อควบคุม ส่วนที่พึ่งคนอื่นอย่าง ไฟฟ้า น้ำมันและแหล่งพลังงาน เราควบคุมไม่ได้ แต่อีกส่วนที่คนค้าขายและส่งหรือซัพพลายเออร์ของให้ BDMS ที่ต้องใช้เวลาอีก”


‘แกร็บ’ รุก ESG ผสาน EV-พลังงานหมุนเวียน-AI

คุณเมธิณี อนวัชกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจการเดินทางและบริหารคนขับ บริษัท แกร็บ ประเทศไทย บอกว่าแนวทางการดำเนินงานด้าน ESG ซึ่งมุ่งโฟกัสที่ Triple Bottom Line หรือ 3P ได้แก่ Performance  People และ Planet โดยเฉพาะด้าน Planet

โดย Grab ตั้งเป้าหมาย Carbon Neutrality ภายในปี 2040 ผ่าน 4 กลยุทธ์สำคัญ โดยกลยุทธ์แรกคือ การยกระดับ การสร้างการยอมรับและการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ปัจจุบัน Grab เป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกด้าน EV ในประเทศไทย โดยเริ่มจากการสร้างแคมเปญ Grab Green View ตั้งแต่ช่วงก่อนโควิด-19

กลยุทธ์ต่อมาคือ การใช้พลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) ในอาคารสำนักงาน ปัจจุบัน Grab ดำเนินงานใน 8 ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมีนโยบายชัดเจนว่าจะ เปลี่ยนมาใช้พลังงานหมุนเวียนทั้งหมดภายในปี 2040

นอกจากนี้ยังผลักดัน ธุรกิจและเทคโนโลยีอย่างยั่งยืน เพื่อให้ผู้บริโภคเข้าถึงการใช้พลังงานสะอาดและร่วมรณรงค์รักษ์โลก

“ยกตัวอย่าง เช่น ถ้าเวลาสั่ง Grab Food ก็จะเห็นว่า มีตัวเลือกให้เลือกว่า ไม่รับช้อนส้อม นี่ก็เป็นการช่วยลดขยะแล้วก็ลดมลพิษให้กับสังคมได้หรือแม้กระทั่งใน Mobility ก็จะมีให้ผู้เดินเลือกได้ว่า ต้องการ Prefer ที่จะเป็นรถ EV ก่อน ดังนั้นในระบบก็จะหารถ EV ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง เป็นการช่วยกระตุ้นให้กับผู้บริโภคที่ต้องการรณรงค์ในเรื่องของพลังงานสะอาด”

อย่างไรก็ตาม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจการเดินทางและบริหารคนขับ เน้นว่า การทำให้เป้าหมายเหล่านี้เกิดขึ้นจริง ยังต้องเผชิญความท้าทายสำคัญ โดยเฉพาะ “ต้นทุน” ของการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยี ตัวอย่างเช่น การเปลี่ยนจากรถยนต์สันดาปภายในไปสู่รถ EV ปัจจุบัน ผู้บริโภคยังต้องการใช้รถเดิมให้คุ้มค่าก่อน


ท่องเที่ยวไทยคิดไกลถึงปี 2027 ผนึกเอกชนสู่โมเดลท่องเที่ยวยั่งยืน

ด้านคุณสมานนพพล รัตนธรรมทิตยา ผู้บริหาร สมาคมส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวไทย (สธทท.) ให้ความเห็นด้วยว่า สิ่งสำคัญของการท่องเที่ยวไทยในอนาคตว่าต้องเน้นไปที่ความยั่งยืน “การท่องเที่ยวไทย เป็นหนึ่งในพลังการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ในฐานะผู้ประกอบการ เราเป็นตัวแทนที่เจอ Tour operator หรือ ผู้ประกอบการทัวร์ Travel Agency อื่น ๆ ที่เข้ามาในไทย เช่น โรงแรม ที่พัก อยู่ในกลุ่ม CF-Hotels (Carbon Footprint Hotels) ไหม? รถที่ใช้เป็น EV ได้ไหม? การลดการใช้พลาสติก คุณทำอะไรกันได้บ้างไหม? เช่น เราเดินทางด้วยรถบัส เราก็ต้องนำเสนอกับ Tour operator หลัก เขาต้องการลดการใช้พลาสติก เพราะลูกค้าของเขาจะนำแก้วมาเอง เราก็ต้องมีจุดที่เขาสามารถรีฟิลน้ำได้ รวมถึงบนรถบัสด้วย ซึ่งจุดนี้จะเป็นจุดหลักเหมือนกันที่ Tour Operator เขามอง”

“มาตรฐานของตัวโครงการ CF-Hotels ที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ทำขึ้นมา ผมมองว่าจะเป็นจุดหนึ่งที่เราสามารถนำไปใช้ให้กับผู้ประกอบการท่องเที่ยวได้ ฉะนั้นสิ่งที่สำคัญในการท่องเที่ยว เราจะต้องปรับโครงสร้าง และต้องเตรียมตัวว่า Tour operator ต่อไป เขาจะบุ๊คกับบริษัททัวร์ที่มองเรื่อง Green เราจะต้องพัฒนาบุคลากร เช่น มัคคุเทศก์ ดื่มขวดน้ำพลาสติกต่อหน้านักท่องเที่ยวก็ต้องมีแก้วน้ำพกพาเป็นของตนเอง เป็นหลักทางเลือกอีกทางหนึ่ง รวมถึงการสร้างความสมดุลในการท่องเที่ยว อย่างเวลาเราจัดเส้นทางท่องเที่ยว เราสามารถทำให้เขารู้สึกว่าเขามาท่องเที่ยวเพื่อความยั่งยืน ไม่ใช่ท่องเที่ยวเชิงล้างผลาญ ไม่ได้มาทำลายสิ่งแวดล้อม ก็จะเป็นอีกจุดหนึ่งในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประเทศไทย”

โดยคุณสมานนพพล รัตนธรรมทิตยา ยังได้กล่าวอีกว่า นอกจากนี้การท่องเที่ยวได้จับมือกับร้านอาหาร โรงแรม ที่พัก กลุ่มภาคธุรกิจหลากหลายแห่ง อาทิ Grab ปตท. หรือโรงพยาบาลกรุงเทพ (BDMS) เป็นต้น

“ประเทศไทยเป็นจุดมุมมองหลักในเอเชีย เขาจะมองว่าประเทศไทยทำอะไร เขาจะทำตาม เราต้องสร้าง Strategy ใหม่ ในเรื่อง Green Model ท่องเที่ยว เราจะหามาตรฐานใดที่จะสามารถทำให้ Tour Operator  มั่นใจในการเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย ซึ่งภาคเอกชนของเราก็ร่วมมือกัน”

“อย่างตอนนี้เราได้คุยกับทาง Grab อยู่แล้วว่า อยากให้ช่วยเสริมรถตู้ EV เพื่อรองรับนักท่องเที่ยว หรือ ปตท. ผมอยากให้ทำตัว EV Station Plus เพิ่มขึ้น เพราะตลาดโดเมสติก (Domestic) ในการเดินทางต้องการจุดมั่นใจในการเติม เป็นต้น ภาคการท่องเที่ยว เราไม่ได้คุยเป็น FORUM ปี 2026 เพราะตอนนี้เราจะขายโปรแกรมทัวร์ ขายเส้นทาง เราต้องร่วมกับชุมชน ซึ่งเราคิดไปถึงปี 2027 แล้วครับ”

ทั้งหมดคือส่วนหนึ่งของเวที “iBusiness Forum : Thailand Future Signal 2026” ที่น่าจะสะท้อน “โจทย์ใหญ่” ร่วมกันของประเทศ ตั้งแต่การปลุกชีพจรเศรษฐกิจให้หลุดจากภาวะติดหล่ม ไปจนถึงการวางรากฐาน Green Business ท่ามกลางสงครามการค้าและการแข่งขันเชิงโครงสร้างระหว่างสหรัฐ-จีน ที่เราจำเป็นต้องเร่งปรับตัวให้ทันทั้งในมิติ “โครงสร้างเศรษฐกิจ” และ “มาตรฐานสิ่งแวดล้อม-สังคม” หากไม่อยากพลาดโอกาสใหม่ของโลกในอนาคต

]]>
1547959