Digital – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Wed, 24 Apr 2024 09:55:28 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 Spotify ทำกำไรเป็นสถิติอีกครั้ง หลังบริษัทงัดแผนลดต้นทุน ปลดพนักงานบางส่วน และขึ้นราคาแพ็กเกจ https://positioningmag.com/1470918 Wed, 24 Apr 2024 09:55:22 +0000 https://positioningmag.com/?p=1470918 สปอติฟาย (Spotify) ได้ประกาศผลประกอบการไตรมาส 1 โดยบริษัทมีกำไรทำสถิติอีกครั้ง จากมาตรการไม่ว่าจะเป็น การลดต้นทุน การปลดพนักงาน หรือแม้แต่การขึ้นราคาแพ็กเกจ จากแรงกดดันของนักลงทุน เพื่อบริษัทจะได้กลับมามีกำไรได้อย่างสม่ำเสมออีกครั้ง 

Spotify ประกาศผลประกอบการของไตรมาส 1 ที่ผ่านมา โดยบริษัทมีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 168 ล้านยูโร ขณะที่กำไรขั้นต้นของบริษัทได้แตะหลัก 1,000 ล้านยูโรเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งผลกำไรดังกล่าวนั้นมาจากกลยุทธ์ของบริษัทที่ลดต้นทุนอย่างต่อเนื่อง และปรับราคาแพ็กเกจ

ในช่วงที่ผ่านมา บริษัทได้เร่งในการลดต้นทุน เช่น การปลดพนักงาน 1,500 รายช่วงปลายปี 2023 ซึ่ง Daniel Ek ผู้บริหารสูงสุดของ Spotify เคยกล่าวว่าบริษัทมีพนักงานมากเกินไป และสถานการณ์ทางเศรษฐกิจฟื้นตัวช้า ทำให้บริษัทต้องกลับมารีดไขมันองค์กรให้มีประสิทธิภาพอีกครั้ง

นอกจากนี้ Spotify ยังได้งัดแผนการสำคัญคือการประกาศขึ้นราคาแพ็กเกจทั่วโลกในช่วงไตรมาส 3 ของปี 2023 โดยให้เหตุผลว่าเพื่อที่จะสามารถส่งมอบคุณค่าให้กับลูกค้าที่เป็นผู้ฟังเพลง รวมถึงศิลปิน ซึ่งประกาศดังกล่าวนี้มีผลต่อผู้ใช้งานทั่วโลก

ในไตรมาส 1 ที่ผ่านมา บริษัทมีผู้ใช้งานเติบโตเพิ่ม 14% ทำให้บริษัทมีสมาชิกทั้งหมด 239 ล้านคน มีรายได้รวม 3,600 ล้านยูโร และมีกำไรขั้นต้นแตะ 1,000 ล้านยูโร ทำให้บริษัทมีกำไรสุทธิหลังหักค่าใช้จ่ายทั้งหมดแล้วอยู่ที่ 168 ล้านยูโร

สาเหตุสำคัญที่ทำให้บริษัทต้องเร่งแผนในการปรับขึ้นราคาแพ็กเกจ หรือแม้แต่การลดต้นทุน ก็คือ แรงกดดันจากนักลงทุนที่ต้องการที่จะให้บริษัทกลับมามีกำไรอีกครั้ง หลังจากที่บริษัทมีผลประกอบการรายปีขาดทุนนับตั้งแต่ปี 2019 เป็นต้นมา แม้ว่าจำนวนผู้ใช้งานจะเพิ่มขึ้นก็ตาม

ขณะเดียวกันเมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา บริษัทยังมีแผนที่จะปรับขึ้นราคาในหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็น สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย เพื่มเติมด้วย ซึ่งประเทศดังกล่าวถือเป็นตลาดหลักของ Spotify

ข้อมูลจาก S&P Global Market Intelligence ได้รวบรวมข้อมูลจากนักวิเคราะห์ ชี้ว่าภายในปีนี้บริษัทจะกลับมามีกำไรได้เต็มปี ซึ่งแตกต่างกับในอดีตที่บริษัทไม่สามารถทำกำไรได้ตลอด

]]>
1470918
TikTok เตรียมสู้ทางกฎหมาย ย้ำถึงเรื่องเสรีภาพ หลังสภาสหรัฐฯ บีบให้ ByteDance ให้ขายกิจการภายใน 1 ปี https://positioningmag.com/1470572 Mon, 22 Apr 2024 08:16:31 +0000 https://positioningmag.com/?p=1470572 TikTok ออกมาเตือนรัฐบาลสหรัฐฯ ถึงการเหยียบย่ำเสรีภาพ กระทบผู้ใช้งานชาวอเมริกัน 170 ล้านคน หลังจากที่สภาได้ไฟเขียวบีบให้ ByteDance ซึ่งเป็นบริษัทแม่ให้ขายกิจการภายใน 1 ปี หรือไม่ก็ถูกแบน ขณะเดียวกันก็ยืนยันว่าไม่ได้มีรัฐบาลหรือหน่วยงานของรัฐถือหุ้นหรือถูกควบคุมแต่อย่างใด

TikTok ได้เตือนรัฐบาลสหรัฐอเมริกาเกี่ยวกับข้อกฎหมายที่สภาสหรัฐฯ ได้บีบให้ ByteDance ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของแพลตฟอร์มแชร์วิดีโอสั้นให้ขายกิจการภายใน 1 ปี ไม่งั้นแล้วจะถูกแบน โดยมองว่ากฎหมายดังกล่าวขัดกับเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชนชาวอเมริกัน

โฆษกของ TikTok ได้ออกมาประณามร่างกฎหมายนี้ โดยกล่าวว่า ข้อกฎหมายดังกล่าวเหยียบย่ำเสรีภาพทางความคิดของชาวอเมริกัน 170 ล้านคน ซึ่งบริษัทมองว่าเรื่องดังกล่าวนั้นสร้างผลกระทบต่อเสรีภาพของประชาชน ทำลาย 7 ล้านธุรกิจในสหรัฐอเมิกา และถือเป็นการปิดแพลตฟอร์มที่สร้างรายได้ 24,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

นอกจากนี้ TikTok ยังได้ยืนยันว่าบริษัทไม่เคยเปิดเผยข้อมูลผู้ใช้งานในสหรัฐอเมริกาให้กับรัฐบาลจีนแต่อย่างใด และข้อมูลของผู้ใช้งานนั้นก็ถูกเก็บไว้ในสหรัฐอเมริกา หลังจากที่บริษัทได้จับมือกับ Oracle ในการใช้บริการคลาวด์เพื่อเก็บข้อมูลดังกล่าว

ไม่เพียงเท่านี้โฆษกของ TikTok เองยังได้กล่าวว่า ByteDance ไม่ได้มีเจ้าของหรือถูกควบคุมโดยรัฐบาลหรือหน่วยงานของรัฐ

สำหรับข้อกฎหมายดังกล่าวได้บีบให้ ByteDance ขายกิจการของ TikTok ออกมา หรือไม่ก็ถูกแบน ซึ่ง ส.ส. ของทั้งพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกันเองต่างเห็นพ้องต้องกันในการออกข้อกฎหมายดังกล่าว โดยมองถึงเรื่องความมั่นคงของสหรัฐฯ อย่างไรก็ดีกฎหมายดังกล่าวได้แก้ไขโดยยืดเวลาให้เป็น 1 ปี จากเดิมซึ่งใช้เวลา 6 เดือน

ช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา Shou Chew ซึ่งเป็น CEO ของบริษัทได้กล่าวว่าบริษัทจะต่อสู้ทางกฎหมายในเรื่องดังกล่าว โดยมองว่าข้อกฎหมายดังกล่าวขัดกับรัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกา

ถ้าหากกฎหมายดังกล่าวได้ผ่านวุฒิสภาสหรัฐฯ เป็นที่เรียบร้อย ก็อาจทำให้ ByteDance เหลือเวลาตัดสินใจเพียงแค่ 9 เดือนเท่านั้นว่าจะขาย TikTok ออกมาหรือไม่ อย่างไรก็ดีถ้าหากคดีดังกล่าวขึ้นศาลแล้วนั้นผู้เชี่ยวชาญก็มองว่าก็ต้องใช้เวลาหลายปีกว่าคดีความจะสิ้นสุด

ที่มา – BBC, CBS News, Reuters, CNN

]]>
1470572
Netflix เตรียมเลิกรายงานจำนวนสมาชิกในแต่ละไตรมาส ชี้ควรโฟกัสรายได้และอัตรากำไรจากการดำเนินงานมากกว่า https://positioningmag.com/1470371 Fri, 19 Apr 2024 01:50:59 +0000 https://positioningmag.com/?p=1470371 เน็ตฟลิกซ์ (Netflix) ผู้ให้บริการวิดีโอสตรีมมิ่ง ได้เตรียมที่จะยกเลิกการรายงานตัวเลขสมาชิกในแต่ละไตรมาส โดยบริษัทได้ให้เหตุผลถึงว่าปัจจุบันตัวเลขดังกล่าวถือเป็นส่วนประกอบของการเติบโต แต่ไม่ใช่ทั้งหมด ซึ่งแตกต่างกับในอดีต

Netflix ได้แจ้งกับนักลงทุนในการรายงานผลประกอบการประจำไตรมาส 1 ของปี 2024 ว่าบริษัทจะไม่รายงานจำนวนผู้ใช้งานในแต่ละไตรมาสอีกต่อไป โดยจะเริ่มต้นตั้งแต่ไตรมาส 1 ของปี 2025 เป็นต้นไป ซึ่งการงดรายงานตัวเลขดังกล่าวนั้นถือว่าเป็นเรื่องปกติของบริษัทไอทีที่กำลังเริ่มเข้าสู่จุดอิ่มตัว และหารายได้ใหม่ๆ แทน

ในรายงานประจำไตรมาส 1 ของบริษัทยังชี้ว่าการรายงานตัวเลขสมาชิกในอดีตที่ผ่านมาเนื่องจากบริษัทยังมีรายได้ไม่มาก ฉะนั้นแล้วสิ่งที่สามารถรายงานการเติบโตของบริษัทได้ก็คือยอดตัวเลขสมาชิกของบริษัท แต่ปัจจุบันบริษัทมีกำไรและกระแสเงินสดที่เติบโต ซึ่งถือว่าแตกต่างกับอดีต

เจ้าของแพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิ่งรายใหญ่จากสหรัฐอเมริกายังชี้ถึงบริษัทได้พัฒนาที่จะหารายได้ในส่วนอื่นเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการนำโฆษณาเข้ามาอยู่ในแพลตฟอร์ม หรือแม้แต่ราคาสมาชิกที่แตกต่างกัน ฉะนั้นบริษัทอยากให้นักลงทุนได้โฟกัสกับรายได้และอัตรากำไรจากการดำเนินงาน (Operating Margin) แทน

อย่างไรก็ดีในรายงานดังกล่าวบริษัทได้กล่าวว่าจะยังมีการรายงานรายได้ในแต่ละภูมิภาคอยู่ รวมถึงชี้ว่าข้อมูลที่บริษัทได้รายงานในแต่ละไตรมาสถือว่ามีความละเอียดเมื่อเทียบกับคู่แข่งรายอื่นๆ

แผนระยะยาวของ Netflix หลังจากนี้ บริษัทจะเน้นเพิ่มคอนเทนต์ให้หลากหลายหรือแม้แต่การเพิ่มคุณภาพของภาพยนตร์ และรายการต่างๆ การพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือแคมเปญทางการตลาดใหม่ๆ หรือแม้แต่การหารายได้จากช่องทางอื่นๆ

บริษัทยังได้รายงานตัวเลขผู้ใช้งานที่เพิ่มขึ้นในไตรมาส 1 ที่ผ่านมาเพิ่มขึ้น 9.3 ล้านราย เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาถึง 16% ซึ่งปัจจัยหลักนั้นมาจากมาตรการห้ามแชร์รหัสผ่าน ยังรวมถึงการที่บริษัทมีแพ็กเกจราคาถูกที่มีโฆษณาออกมาด้วย

ผลดำเนินการของ Netflix ในไตรมาส 1 ที่ผ่านมานั้นบริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 9,370 ล้านเหรียญสหรัฐ มีกำไรทั้งสิ้น 2,633 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีสมาชิกแบบจ่ายเงินทั้งหมด 269.60 ล้านราย

กรณีการไม่รายงานตัวเลขสมาชิกในแต่ละไตรมาสของ Netflix ในปี 2025 ถือว่าไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่แต่อย่างใด เนื่องจากบริษัทไอทีหลายแห่งก็ได้เลิกที่จะรายงานยอดสมาชิกในแต่ละไตรมาส ไม่ว่าจะเป็น Twitter ก่อนที่จะโดนซื้อกิจการ หรือแม้แต่ Meta เจ้าของ Facebook และ Instagram เองก็ไม่ได้รายงานตัวเลขดังกล่าวแล้วด้วยซ้ำ

]]>
1470371
CEO ของ Telegram เผยยอดผู้ใช้งานต่อเดือนจะแตะ 1,000 ล้านคนได้ภายในปีนี้ แย้มอาจเข้า IPO ในตลาดหุ้น https://positioningmag.com/1470188 Wed, 17 Apr 2024 07:24:52 +0000 https://positioningmag.com/?p=1470188 Pavel Durov ซึ่งเป็น CEO ของ Telegram ได้ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ Tucker Carlson โดยเผยยอดผู้ใช้งานต่อเดือนจะแตะ 1,000 ล้านคนได้ภายในปีนี้ และเขาเองอาจเข้า IPO ในตลาดหุ้นถ้าหากแพลตฟอร์มมีกำไรแล้ว

Pavel Durov ซึ่งเป็น CEO ของ Telegram ได้ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ Tucker Carlson โดยเขากล่าวว่าแพลตฟอร์มส่งข้อความชื่อดังนั้นจะสามารถมียอดผู้ใช้งานต่อเดือน (Monthly Active User) แตะ 1,000 ล้านคนได้ภายในปีนี้ ซึ่งสัมภาษณ์ดังกล่าวถือเป็นครั้งแรกที่เขาออกหน้ากล้องในรอบหลายปี

CEO ของ Telegram กล่าวว่าปัจจุบันแพลต์ฟอร์มมี Monthly Active User มากกว่า 900 ล้านคนแล้ว และคาดว่าจะผ่านหลัก 1,000 ล้านคนได้ภายในปีนี้ นอกจากนี้เขายังกล่าวว่าเป้าหมายของแพลตฟอร์มคือ “ความเป็นกลาง” และไม่ใช่ศูนย์กลางของความขัดแย้งในการเมืองระหว่างประเทศ

นอกจากนี้เขายังได้เล่าถึงประวัตินับตั้งแต่เขาเป็นผู้ก่อตั้ง VK ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มคล้ายกับ Facebook ที่มีธุรกิจในรัสเซีย และเป็นแพลตฟอร์มที่โด่งดังจนทำให้รัฐบาลรัสเซียต้องเข้าแทรกแซง และท้ายที่สุดบีบให้เขาต้องขายกิจการจนมาก่อตั้ง Telegram และเขาเองถือเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดของแพลตฟอร์มดังกล่าวนี้

Telegram ถือเป็นแพลตฟอร์มส่งข้อความที่มีผู้ใช้งานมากที่สุดแพลตฟอร์มหนึ่งของโลก มีสำนักงานตั้งอยู่ในดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดย CEO ของ Telegram กล่าวว่าประเทศดังกล่าวถือเป็นกลางทางการเมืองระหว่างประเทศ และต้องการที่จะเป็นมิตรกับทุกประเทศ ไม่ใช่แค่มหาอำนาจแต่เพียงอย่างเดียว

จุดเด่นของ Telegram นั้น Pavel Durov ได้กล่าวในสัมภาษณ์ของ Tucker Carlson คือเรื่องของการเข้ารหัสข้อความทำให้ยากแก่การถอดรหัส ซึ่งเป็นไอเดียที่เขาคิดตั้งแต่สมัยที่เขาอยู่ในรัสเซีย และเกิดแรงกดดันจากรัฐบาลในช่วงเวลาดังกล่าว

Pavel Durov – ผู้ก่อตั้ง Telegram / ภาพจากรายการ Tucker Carlson Interview

แพลตฟอร์มส่งข้อความรายนี้มีชื่อเสียงในการใช้งานของผู้ประท้วงในหลายประเทศ หรือแม้แต่ในการบุกยูเครนโดยรัสเซีย ที่รัฐบาลแต่ละฝ่ายได้ใช้แพลตฟอร์มดังกล่าวนั้นเป็นเครื่องมือในการสื่อสาร หรือแม้แต่โฆษณาชวนเชื่อทางการเมือง

ปัจจุบัน Telegram มีคู่แข่งรายสำคัญคือ WhatsApp ของ Meta ที่มี Monthly Active User ราวๆ 2,000 ล้านคน นอกจากนี้เขายังกล่าวว่าคู่แข่งสำคัญคือ Apple และ Google เนื่องจากถ้าหากไม่ทำตามข้อกำหนดแล้วแอปพลิเคชันก็อาจถูกถอดออกจาก App Store หรือ Google Play ทันที

นอกจากนี้เขาชี้ว่า Telegram ไม่ได้ถูกควบคุมโดยรัสเซีย โดยเขาชี้ว่าข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริง และเป็นข่าวที่  ปล่อบมาจากคู่แข่งรายอื่นที่ต้องการดิสเครดิต เนื่องจากเห็นการเติบโตของแพลตฟอร์มเพิ่มมากขึ้น

ขณะที่เรื่องชีวิตส่วนตัว เขาชี้ว่านอกเหนือจากเงินหรือ Bitcoin แล้ว เขาไม่พยายามที่จะมีทรัพย์สินไม่ว่าจะเป็นอสังหาริมทรัพย์ เรือยอร์ช หรือแม้แต่เครื่องบินส่วนตัวด้วยซ้ำ เนื่องจากเขาต้องการที่จะเป็นอิสระ

เมื่อปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา Pavel Durov ได้ให้สัมภาษณ์กับ Financial Times ว่าถ้าหาก Telegram มีกำไร เขาอาจนำธุรกิจเข้า IPO ในตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา แต่ก็มองตลาดหุ้นอื่นไว้เช่นกัน นอกจากนี้เขาก็ยังดูลู่ทางในการระดมทุนโดยขายหุ้นให้กับนักลงทุนบางส่วนด้วยเพื่อที่จะนำเงินมาลงทุนในด้านปัญญาประดิษฐ์

]]>
1470188
พลังเอไอ! ‘ซัมซุง’ กลับมาขึ้นเป็นเบอร์ 1 ตลาดสมาร์ทโฟน Q1/2024 หลังอดีตแชมป์ ‘Apple’ ยอดขายร่วง 10% https://positioningmag.com/1470140 Tue, 16 Apr 2024 09:04:58 +0000 https://positioningmag.com/?p=1470140 ยอดขายสมาร์ทโฟนของ Apple ร่วงลง 10% ในไตรมาสที่แล้ว ตามรายงานของบริษัทวิจัยตลาด IDC เนื่องจากยอดขายในประเทศจีนลดลงอย่างรวดเร็ว โดยบริษัทสูญเสียโมเมนตัมในประเทศจีนเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจ กระแสชาตินิยม และการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น

ข้อมูลจาก International Data Corporation (IDC) เปิดเผยว่า ยอดการจัดส่งสมาร์ทโฟนทั่วโลกในไตรมาส 1/2024 เพิ่มขึ้น +7.8% เมื่อเทียบเป็นรายปี เป็น 289.4 ล้านเครื่อง ถือเป็นการเติบโต 3 ไตรมาสติดต่อกัน แม้ว่าอุตสาหกรรมจะยังเผชิญกับความท้าทายด้านเศรษฐกิจในหลายตลาด ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ว่าการฟื้นตัวกําลังดําเนินไปด้วยดี

โดย ซัมซุง (Samsung) กลับมาขึ้นเป็นเบอร์ 1 ของตลาดได้อีกครั้งด้วยส่วนแบ่งตลาด 20.8% (60.1 ล้านเครื่อง) ส่วน Apple ที่เคยเป็นเบอร์ 1 เมื่อไตรมาสที่ผ่านมา ก็หล่นมาอยู่อันดับ 2 ของตลาดด้วยส่วนแบ่งตลาด 17.3% (50.1 ล้านเครื่อง) ตามด้วย เสียวหมี่ (Xiaomi) 14.1% (40.8 ล้านเครื่อง)

แม้ว่า IDC จะมองว่า Apple และ Samsung จะยังคงครองตลาดสมาร์ทโฟนกลุ่มไฮเอนด์ แต่การฟื้นตัวของ หัวเว่ย (Huawei) และบริษัทอื่น ๆ ในประเทศจีน อาทิ Xiaomi, OPPO และ OnePlus มีแนวโน้มที่จะเติบโตต่อไป เนื่องจากผู้บริโภคชาวจีนกําลังหันไปหาแบรนด์ในประเทศ ขณะที่ จีน ยังคงเป็นตลาดที่สําคัญสําหรับ Apple เนื่องจากเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดรองจากสหรัฐอเมริกา ทำให้บริษัทต้องอัดส่วนลดในประเทศจีนเพื่อกระตุ้นยอดขาย

“มันเป็นการลดลงอย่างมากสําหรับ Apple เพราะที่ผ่านมา Apple น่าจะเป็นแบรนด์ที่ยืดหยุ่นที่สุด สามารถเอาชนะปัญหาซัพพลายเชนและความท้าทายของเศรษฐกิจมากกว่าแบรนด์อื่น ๆ” Nabila Popal ผู้อํานวยการฝ่ายวิจัยของ IDC กล่าว

นอกจากนี้ Nabila Popal มองว่า ตลาดสมาร์ทโฟนโดยรวมฟื้นตัวในปีนี้ เนื่องจากเทรนด์การมาของ AI และหลายแบรนด์จะเริ่มใช้ AI เป็นตัวกระตุ้นตลาด โดย Samsung อยู่ในตําแหน่งที่ดีที่จะเติบโตต่อไปในปีนี้ เพราะแบรนด์ได้ทุ่มไปกับ AI ในตระกูล Galaxy S24 แฟลกชิปรุ่นล่าสุด

ขณะที่ Apple ไม่ได้แสดงข้อความที่ชัดเจนเกี่ยวกับการมุ่งไปที่เทคโนโลยี AI ในช่วงเวลาที่บริษัทเทคโนโลยีหลายแห่งกําลังเพิ่มกลยุทธ์และคุณสมบัติที่เกี่ยวข้องกับ AI เป็นสองเท่า

ในส่วนของแบรนด์จากจีน ไม่ว่าจะเป็น Xiaomi, Transsion, OPPO/OnePlus และ vivo มีแนวโน้มที่จะทำ OEM เพื่อขยายและกระจายความเสี่ยง เมื่อการฟื้นตัวของตลาดดําเนินไป และคาดว่าจะเห็นสมาร์ทโฟน Android เติบโตเป็นสองเท่าของ iOS

Source

]]>
1470140
รู้หรือไม่ Instagram สร้างรายได้ให้ Meta มากกว่า 1 ใน 4 ของรายได้ทั้งหมด แถมยังมากกว่า YouTube ในปีเดียวกันด้วยซ้ำ https://positioningmag.com/1469445 Tue, 09 Apr 2024 03:50:55 +0000 https://positioningmag.com/?p=1469445 ปกติแล้ว Meta ซึ่งเป็นเจ้าของแพลตฟอร์มแชร์รูปภาพอย่าง Instagram จะไม่มีการเปิดเผยรายได้ของแพลตฟอร์มดังกล่าวแต่อย่างใด แต่ล่าสุดในการขึ้นศาลของบริษัทนั้นบริษัทได้กล่าวถึงรายได้ในส่วนดังกล่าวในปี 2021 นั้นบริษัททำรายได้มากกว่า 1.1 ล้านล้านบาท ซึ่งเทียบแล้วมากกว่า YouTube ในปีเดียวกันด้วยซ้ำ

Business Insider ได้รายงานข่าวโดยอ้างอิงข้อมูลที่ Meta ได้ยื่นข้อมูลกับศาลในสหรัฐอเมริกา ชี้ว่ารายได้ของ Instagram ในปี 2021 ที่ผ่านมานั้นทำรายได้ให้กับบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่นั้นมากกว่า 1 ใน 4 ของรายได้รวมบริษัท ซึ่งถือว่าแพลตฟอร์มแชร์รูปดังกล่าวถือเป็นเครื่องจักรผลิตเงินที่สำคัญของบริษัท

Meta ได้ยื่นข้อมูลกับศาลของสหรัฐอเมริกาในคดีความกับ FTC ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแล รายได้ในปี 2018 อยู่ที่ 11,300 ล้านเหรียญสหรัฐ รายได้ในปี 2019 อยู่ที่ 17,900 ล้านเหรียญสหรัฐ รายได้ในปี 2020 อยู่ที่ 22,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ปี 2021 อยู่ที่ 32,400 ล้านเหรียญสหรัฐ และครึ่งปีแรกของปี 2022 อยู่ที่ 16,500 ล้านเหรียญสหรัฐ

หากนำรายได้ของปี 2021 ของ Instagram ที่คิดเป็นเงินไทยระดับ 1.1 ล้านล้านบาท มาเทียบรายได้รวมทั้งหมดของ Meta นั้นรายได้จะคิดเป็นสัดส่วนมากถึง 27% เลยทีเดียว และยังมีโอกาสที่สัดส่วนจะเพิ่มมากขึ้นด้วยซ้ำในอนาคต

ปกติแล้วบริษัทแม่ของแพลตฟอร์มอย่าง Facebook และ Instagram จะไม่มีการรายงานรายได้รวมของแต่ละหน่วยธุรกิจแต่อย่างใดในรายงานผลประกอบการแต่ละไตรมาส แต่บริษัทจะรายงานแค่รายได้จากส่วนของแอปพลิเคชันซึ่งรวมธุรกิจลูกทั้งหมด และส่วนรายได้ของ Reality Labs ซึ่งเป็นรายได้จากกลุ่ม Metaverse หรือ VR รวมกัน

และถ้าหากนำรายได้ของ Instagram ในช่วงเวลาปี 2021 นักวิเคราะห์ยังคาดว่าจะมีมากกว่ารายได้ของ YouTube ในปีเดียวกันด้วยซ้ำ โดยนักวิเคราะห์จาก MoffettNathanson คาดว่ารายได้ของแพลตฟอร์มวิดีโอดังกล่าวจะมีรายได้ 28,800 ล้านเหรียญสหรัฐเท่านั้น หรือคิดเป็นเงินไทยราวๆ 1 ล้านล้านบาท

อย่างไรก็ดี Alphabet บริษัทแม่ของ YouTube และ Google เองก็ไม่ได้รายงานรายได้ของแต่ละธุรกิจ ซึ่งรวมถึง YouTube ด้วยเช่นกัน

ในช่วงที่ผ่านมา Instagram ได้ปรับเปลี่ยนทิศทางการดำเนินการไม่น้อย เช่น เน้นการแชร์วิดีโอสั้นเพิ่มมากขึ้น เพื่อที่จะต่อสู้กับคู่แข่งอย่าง TikTok หรือแม้แต่การเปิดตัว Threads ซึ่งเป็นบริการที่คล้ายคลึงกับ Twitter หรือ X ในปัจจุบัน รวมถึงการหาช่องทางรายได้ใหม่ๆ จากผู้ลงโฆษณาที่เพิ่มมากขึ้น

การยื่นข้อมูลกับศาลของสหรัฐอเมริกาของ Meta ครั้งนี้ทำให้เราได้ทราบถึงความคุ้มค่าในการซื้อกิจการ โดย Facebook (ก่อนที่บริษัทจะเปลี่ยนชื่อ) ได้ซื้อกิจการของ Instagram ในปี 2012 ด้วยมูลค่าเพียงแค่ 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ก่อนที่บริษัทจะสร้างรายได้อย่างงดงามและเป็นเครื่องจักรผลิตเงินให้กับ Meta ในทุกวันนี้

นอกจากนี้ Business Insider ได้เทียบว่าถ้าหากนำรายได้มาคำนวณสัดส่วนเมื่อเทียบกับมูลค่าตลาดของ Meta ในปัจจุบันนั้น Instagram จะมีมูลค่ากิจการอย่างน้อย 440,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยมากกว่า 16 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นดีลที่คุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้มในระยะเวลาเพียงแค่ 12 ปีเท่านั้น

]]>
1469445
หลอกกันไม่ได้แล้วนะ! “Meta” จะเริ่มติดป้ายเตือน “คอนเทนต์ที่สร้างโดย AI” ภายในพฤษภาคมนี้ https://positioningmag.com/1469438 Mon, 08 Apr 2024 11:47:29 +0000 https://positioningmag.com/?p=1469438 “Meta” อัปเดตนโยบายคอนเทนต์รอบใหม่ โดยจะเริ่มบังคับให้ติดป้ายเตือนว่าเป็น “คอนเทนต์ที่สร้างโดย AI ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมนี้ บังคับใช้ทุกแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียในเครือ ได้แก่ Facebook, Instagram และ Threads

สืบเนื่องจากข้อแนะนำจาก “Oversight Board” หรือคณะกรรมการอิสระที่ทำหน้าที่ตรวจสอบนโยบายด้านเนื้อหาบนแพลตฟอร์มของ Meta แจ้งว่า โซเชียลมีเดียของบริษัทมีนโยบายเกี่ยวกับคอนแทนต์ AI ที่ ‘แคบเกินไป’ ทำให้ Meta จะเริ่มปรับเปลี่ยนนโยบายใหม่ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมนี้

โดยคอนเทนต์ที่เป็นภาพ เสียง และวิดีโอทั้งหมดที่ถูกสร้างขึ้นด้วยเครื่องมือ AI จะต้องมีป้ายเตือนกำกับไว้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นการแจ้งเองโดยสมัครใจของผู้โพสต์ หรือเมื่อเครื่องมือ AI ของ Meta เองสามารถตรวจจับได้ว่า คอนเทนต์นั้นๆ ถูกสร้างขึ้นโดย AI อย่างไรก็ตาม บริษัทไม่ได้ข้อมูลรายละเอียดว่าจะมีการตรวจจับด้วยระบบไหน

ก่อนหน้านี้ นโยบายเกี่ยวกับคอนเทนต์ AI ของ Meta มีอยู่ข้อเดียวเท่านั้น คือ ห้ามลงโพสต์วิดีโอที่ปรากฏภาพเคลื่อนไหวของบุคคลที่พูดอะไรออกมาโดยที่เขาหรือเธอไม่ได้พูดจริงๆ แต่เป็นการสร้างขึ้นของ AI (Deepfake) นั่นทำให้นโยบายนี้ไม่ครอบคลุมมากพอไปถึงคอนเทนต์สร้างโดย AI อื่นๆ ที่กำลังท่วมท้นอยู่ในโลกอินเทอร์เน็ตขณะนี้

“ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในช่วงปีที่แล้วเพียงปีเดียว มีการพัฒนาเครื่องมือ AI ที่สร้างคอนเทนต์รูปภาพหรือเสียงได้เสมือนจริงมากขึ้น และเทคโนโลยีพวกนี้ก็กำลังพัฒนายิ่งขึ้น” Meta ระบุในบล็อกโพสต์แถลงเกี่ยวกับนโยบายนี้ “ตามที่ Oversight Board แจ้งมา การติดป้ายเตือนว่าเป็นคอนเทนต์ที่ AI สร้างขึ้นนั้นสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่านโยบายห้ามโพสต์วิดีโอที่แสดงให้เห็นว่าบุคคลหนึ่งกำลังพูดหรือทำอะไรที่เขาหรือเธอไม่ได้ทำจริง”

Meta ย้ำว่าสำหรับคอนเทนต์ที่สร้างโดย AI แต่สื่อสารสิ่งที่ผิดกฎร้ายแรงของแพลตฟอร์ม เช่น การรังแก ชักนำการเลือกตั้ง การคุกคามทางเพศ เหล่านี้จะถูกแบนออกจากระบบตามปกติแม้จะเป็นภาพหรือเสียงที่ทำขึ้นจาก AI ก็ตาม

ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ของ Meta หากสามารถทำได้จริงน่าจะช่วยให้ชุมชนผู้ใช้โซเชียลมีเดียใช้วิจารณญาณได้ดีขึ้นมาก Positioning พบว่าโลกอินเทอร์เน็ตปัจจุบันมีภาพที่ผลิตจากเครื่องมือ AI จำนวนมากที่เหมือนจริงอย่างมาก และถูกผู้โพสต์พิมพ์ข้อความประกอบเพื่อชี้นำว่าเป็นภาพที่เกิดขึ้นจริงอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งอาจจะนำไปสู่ข่าวปลอม (Fake News) ความเข้าใจที่ผิดในสังคม หรือการหลอกลวงต่อไปในอนาคตได้

Source

]]>
1469438
“Spotify” เตรียมขึ้นราคา! นำร่อง 5 ประเทศภายในสิ้นเดือนนี้ หลังถูกบีบให้เร่งทำกำไร https://positioningmag.com/1469261 Fri, 05 Apr 2024 06:54:05 +0000 https://positioningmag.com/?p=1469261 สำนักข่าว Bloomberg รายงานว่า “Spotify” จะปรับขึ้นราคาใน 5 ประเทศที่เป็นตลาดหลักภายในสิ้นเดือนเมษายนนี้ และจะปรับขึ้นในตลาดสหรัฐฯ เป็นเป้าหมายต่อไป คาดเป็นความเคลื่อนไหวหลังบริษัทถูกบีบให้ทำกำไร

ราคาหุ้นของ Spotify พุ่งขึ้นทันที 8% หลังมีการรายงานว่า สตรีมมิ่งเพลงชื่อดังเจ้านี้เตรียมจะปรับขึ้นราคาในหลายประเทศ รวมถึงสหรัฐอเมริกาด้วย

Bloomberg รายงานจากแหล่งข่าววงในที่เกี่ยวข้องว่า Spotify จะขึ้นราคาใน 5 ประเทศหลัก เช่น สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย ปากีสถาน โดยจะขึ้นประมาณ 1-2 เหรียญสหรัฐต่อเดือน ก่อนที่จะขึ้นราคาในตลาดสหรัฐฯ เป็นประเทศต่อไปภายในปีนี้

สาเหตุที่ Spotify จะใช้ในการขึ้นราคา คือเรื่องต้นทุนการจัดการ “หนังสือเสียง” (Audiobook) ที่สูงขึ้น โดยปัจจุบัน Spotify ถือเป็นผู้เล่นอันดับ 2 ในตลาดหนังสือเสียงรองจาก Audible

แพ็กเกจราคาสมาชิกพรีเมียม Spotify ในสหรัฐฯ เพิ่งจะปรับขึ้นมารอบหนึ่งเมื่อเดือนกรกฎาคม 2023 ขณะนี้ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 10.99 เหรียญสหรัฐต่อเดือน หากมีการปรับขึ้นราคาน่าจะทำให้ขึ้นมาอยู่ที่ 11.99-12.99 เหรียญต่อเดือน แพ็กเกจราคานี้ลูกค้าสมาชิกจะสามารถฟังเพลงและพอดคาสต์ได้ไม่จำกัด ส่วนหนังสือเสียงมีโควตาให้ฟังได้ 15 ชั่วโมงต่อเดือน

รายงานข่าวยังแจ้งด้วยว่า Spotify อาจจะมีการเพิ่มแผนแพ็กเกจใหม่ด้วย โดยเสริมแผนราคาสมาชิก 11 เหรียญต่อเดือน เป็นแพ็กเกจกลุ่มราคาที่ไม่ได้รับโควตาฟังหนังสือเสียง ฟังได้เฉพาะเพลงและพอดคาสต์

ในตลาดสตรีมมิ่งเพลงและเสียง Spotify ต้องแข่งขันกับคู่แข่งหลักอย่าง Apple และ YouTube Music และสภาวะเบื้องหลังการทำธุรกิจ คาดกันว่าบริษัทได้รับแรงกดดันสูงมากจากนักลงทุนว่าจะต้องเริ่ม “ทำกำไร” ให้ได้ ทำให้ปีที่ผ่านมามีการปรับขึ้นราคาไปแล้วครั้งหนึ่งจากที่ไม่ได้ปรับมาหลายปี รวมถึงมีการเลย์ออฟพนักงานเพื่อลดต้นทุน

นอกจากการเพิ่มราคาและลดต้นทุนแล้ว มีรายงานข่าวด้วยว่า Spotify จะเริ่มเข็นแพ็กเกจ “ซูพรีเมียม” ออกมาในเร็วๆ นี้ แพ็กเกจนี้เป็นการสตรีมมิ่งเพลงแบบคุณภาพสูง หรือ Lossless Streaming โดยมีผู้ใช้ Spotify บางรายสังเกตเห็นว่าแอปฯ เริ่มทดลองติดโลโก้ Dolby Atmos แล้ว ทำให้คาดกันว่าจะมีแพ็กเกจระดับสูงออกมาเพื่อผู้ใช้ที่ต้องการฟังเพลงผ่านเครื่องเสียงหรือหูฟังคุณภาพ

ที่มา: CNBC, The Verge

]]>
1469261
CEO ของ ‘ดิสนีย์’ เผย “มาตรการห้ามแชร์รหัสผ่าน Disney+ จะเริ่มต้นในเดือนมิถุนายนนี้ในบางประเทศ” https://positioningmag.com/1469175 Fri, 05 Apr 2024 02:09:27 +0000 https://positioningmag.com/?p=1469175 CEO ของ ‘ดิสนีย์’ ได้เปิดเผยว่ามาตรการห้ามแชร์รหัสผ่าน Disney+ จะเริ่มต้นในเดือนมิถุนายนนี้ในบางประเทศ และจะมีการใช้งานทั่วโลกภายในเดือนกันยายน ซึ่งมาตรการดังกล่าวนั้นบริษัทมองว่าจะทำให้ธุรกิจวิดีโอสตรีมมิ่งนั้นเติบโตเพิ่มมากขึ้น หลังจากคู่แข่งอย่าง Netflix ได้เริ่มมาตรการดังกล่าวเป็นรายแรก

Bob Iger ซึ่งเป็น CEO ของ ดิสนีย์ (Disney) ได้ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ CNBC โดยเขาเผยว่ามาตรการป้องกันการแชร์รหัสผ่านของ Disney+ จะทดลองในบางประเทศก่อนในเดือนมิถุนายน และจะใช้งานทั่วโลกภายในเดือนกันยายนนี้ ซึ่งมาตรการดังกล่าวนั้นช่วยทำให้บริษัทสามารถทำให้แพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิ่งสามารถกลับมามีกำไรได้

CEO ของ Disney ยังกล่าวว่า มาตรการดังกล่าวถือเป็นเรื่องสำคัญของบริษัทที่จะทำให้ธุรกิจเติบโตมากขึ้น แต่เขาไม่ได้ให้รายละเอียดว่าในมาตรการป้องกันการแชร์รหัสผ่านที่จะใช้ในเดือนมิถุนายนนั้นจะมีการทดลองในประเทศใดบ้าง

ในช่วงที่ผ่านมามาตรการดังกล่าวเริ่มใช้โดยแพลตฟอร์มคู่แข่งอย่าง Netflix ซึ่งชี้ว่าสมาชิกของบริษัทมากกว่า 100 ล้านครัวเรือนหรือประมาณ 43% ได้มีการแชร์รหัสผ่าน ส่งผลทำให้บริษัทสูญเสียความสามารถในการลงทุนในคอนเทนต์ใหม่ๆ จนทำให้บริษัทออกมาตรการดังกล่าว ส่งผลทำให้มีจำนวนผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นทันที

ผลที่เกิดขึ้นยังทำให้ Disney ได้ออกมาตรการดังกล่าวตามมาเมื่อเดือนสิงหาคมปี 2023 เพื่อที่จะลดการขาดทุนของแพลตฟอร์ม โดยตัวเลขในผลประกอบการไตรมาส 4 ของบริษัท ธุรกิจวิดีโอสตรีมมิ่งนั้นขาดทุนลดลงเหลือแค่ 387 ล้านเหรียญสหรัฐเท่านั้น

สัมภาษณ์พิเศษดังกล่าวนั้น หัวเรือใหญ่ของ Disney ยังได้ชื่นชมการทำงานของ Netflix ว่าคู่แข่งรายนี้ได้สร้างมาตรฐานของวงการวิดีโอสตรีมมิ่ง และทำงานได้อย่างยอดเยี่ยม และเขายังกล่าวเสริมว่า “ถ้าเราสามารถบรรลุผลสำเร็จในสิ่งที่พวกเขาทำได้ก็คงจะดีมาก”

ขณะเดียวกัน Bob ยังได้กล่าวว่า บริษัทเองก็เตรียมงัดมาตรการอื่นๆ เพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็นการลดงบด้านการตลาด และพยายามที่จะทำความเข้าใจลูกค้า มีการส่งคอนเทนต์เพื่อเอาใจลูกค้านอกสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้น หรือแม้แต่การนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ เพื่อที่จะเพิ่มรายได้ ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น

นอกจากนี้ CEO ของ Disney เองยังคาดว่าธุรกิจวิดีโอสตรีมมิ่งจะกลับมามีกำไรได้ภายในช่วงสิ้นปีนี้

]]>
1469175
Google กำลังพิจารณาเก็บเงินค่าใช้ AI แบบพรีเมียมในบริการค้นหาข้อมูล มองเป็นแหล่งทำรายได้ใหม่ของบริษัท https://positioningmag.com/1469099 Thu, 04 Apr 2024 07:29:27 +0000 https://positioningmag.com/?p=1469099 ‘กูเกิล’ กำลังพิจารณาเก็บเงินค่าใช้ AI แบบพรีเมียมในบริการค้นหาข้อมูล มองเป็นแหล่งทำรายได้ใหม่ของบริษัท หลังจากที่บริษัทได้นำระบบดังกล่าวผนวกในบางบริการของบริษัทมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็น Gmail หรือแม้แต่ Google Docs

Financial Times รายงานข่าวโดยอ้างอิงแหล่งข่าวในบริษัทว่า Google กำลังพิจารณาที่จะเก็บค่าบริการการใช้ระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) ของบริษัทในชื่อ Gemini แบบพรีเมียมในระบบค้นหาข้อมูล หรือ Google Search โดยลูกค้าที่จ่ายเงินบริการดังกล่าวจะสามารถได้ฟังก์ชันการทำงานที่มากกว่าคนทั่วไป

แหล่งข่าวของสื่อรายดังกล่าวชี้ว่า Google กำลังพิจารณาตัวเลือกต่างๆ รวมถึงการเพิ่มฟีเจอร์การค้นหาด้วยพลัง AI ให้กับสมาชิพรีเมียมที่จ่ายเงินให้กับบริการดังกล่าว โดยก่อนหน้านี้บริษัทได้นำ Gemini ซึ่งเป็น AI ของบริษัทผนวกเข้ากับบริการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Gmail และ Google Docs ให้กับลูกค้ามาแล้ว

ไม่เพียงเท่านี้ แผนการดังกล่าวยังถือเป็นครั้งแรกที่บริษัทได้นำบริการหลักของบริษัทที่ไม่เคยเก็บค่าบริการเลยนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท และนำฟังก์ชันการทำงานแบบพรีเมียมมาเก็บค่าบริการเพิ่มเติม สำหรับผู้ที่ไม่ได้จ่ายเงินกับบริการดังกล่าวยังสามารถใช้งานระบบดังกล่าวได้ปกติ

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวตามหลังมาจากที่ OpenAI เจ้าของ ChatGPT ได้เริ่มเก็บเงินค่าบริการใช้ AI แบบพรีเมียม ซึ่ง Google เองมองว่าบริษัทสามารถที่นำเทคโนโลยีดังกล่าวมาหารายได้เพิ่มเติมได้ด้วยเช่นกัน หลังจากบริการดังกล่าวของคู่แข่งมีผู้ใช้งานจำนวนมาก

ในช่วงที่ผ่านมา Google ได้พยายามพัฒนาระบบ AI เพื่อที่จะสู้กับ OpenAI เพราะไม่งั้นแล้วบริษัทอาจสูญเสียความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว ทำให้บริษัทต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินอย่างเร่งด่วน ในการพัฒนาเทคโนโลยีดังกล่าวให้เท่ากับหรือเหนือกว่าคู่แข่ง

รายได้ของบริการค้นหาข้อมูลและโฆษณานั้นคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 50% ของบริษัท ซึ่งในปี 2023 ที่ผ่านมานั้นรายได้ในส่วนดังกล่าวสูงถึง 175,000 ล้านเหรียญสหรัฐ

อย่างไรก็ดีแหล่งข่าวของสื่อรายดังกล่าวได้ชี้ว่า ยังไม่มีการตัดสินใจขั้นสุดท้ายของผู้บริหารของบริษัทว่าจะดำเนินตามแผนดังกล่าวหรือไม่

]]>
1469099