Digital – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 04 Dec 2025 07:44:36 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 รู้จัก ‘Ledger Nano’ ตู้เซฟคริปโตฯ ที่ตำรวจยึดจาก ‘นานา ไรบีนา’ https://positioningmag.com/1550290 Thu, 04 Dec 2025 07:39:08 +0000 https://positioningmag.com/?p=1550290 หนึ่งในคดีที่หลายคนในความสนใจในตอนนี้ก็คือ นานา ไรบีนา ดาราสาวชื่อดัง หนึ่งในสมาชิกแก๊งนางฟ้า ที่ถูกตำรวจเข้าจับกุมในข้อหา ในข้อหาฉ้อโกง และความผิดตามพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การกู้ยืมเงินอันเป็นฉ้อโกงประชาชน หรือแชร์ลูกโซ่ และหนึ่งในทรัพย์สินของนานาที่ถูกตำรวจยึดก็มีอุปกรณ์หน้าตาเหมือน แฟรชไดฟ์ แต่ความจริงแล้วมันคือ Ledger Nano หรือ ตู้เซฟคริปโตเคอเรนซี่ ที่เหล่าเศรษฐีคริปโตฯ ใช้เก็บสินทรัพย์ดิจิทัล

จุดเริ่มต้น Ledger

อย่างที่หลายคนรู้กันว่า สินทรัพย์ดิจิทัล โดยเฉพาะ Cryptocurrency มีมูลค่ามหาศาล อย่างเช่น Bitcoin หนึ่งในสกุลเงินดิจิทัลที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก ตอนนี้มูลค่าอยู่ที่ราว 3,539,216 ล้านบาท/ 1 BTC ดังนั้น หากจะเก็บเหรียญไว้บน exchange หรือ hot wallet ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตตลอดเวลา ก็แปลว่า มีความเสี่ยงสูงต่อการถูกแฮ็กได้ตลอดเวลา

ด้วยแนวคิดที่ต้องการ เก็บสินทรัพย์ดิจิทัลให้ปลอดภัย บริษัท Ledger จึงได้ก่อตั้งในปี 2014 โดยผู้เชี่ยวชาญ 8 รายซึ่งมีความเชี่ยวชาญในด้านความปลอดภัย คริปโตฯ เพื่อร่วมกันคิดสร้างโซลูชันที่ปลอดภัยสำหรับแอปพลิเคชันบล็อกเชน จนเกิดเป็น Ledger Nano

Ledger Nano = ตู้เซฟดิจิทัล

โดย Ledger Nano เป็น hardware wallet หรือจะเรียกว่าเป็น ตู้เซฟดิจิทั ของคริปโตฯ ก็ได้ แม้จะบอกว่าเป็นเหมือนตู้เซฟ แต่หลักการจริง ๆ ของ Ledger Nano คือ ไม่ได้เก็บเหรียญจริง ๆ ไว้ในเครื่อง แต่เก็บสิทธิ์ที่ใช้ เข้าถึงและสั่งการเหรียญ หรือ Private Key ออกจากสภาพแวดล้อมที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ไปเก็บไว้ในชิปที่เข้ารหัสแบบพิเศษแบบ Offline ดังนั้น เมื่อ Private Key ถูกตัดขาดจากโลกออนไลน์ 100% แฮกเกอร์ไม่สามารถเจาะเข้ามาโอนเงินออกไปได้ถ้าไม่ได้สัมผัสตัวเครื่อง

หากผู้ใช้ต้องการทำธุรกรรม ต้องสั่งผ่านแอป Ledger Live ในโทรศัพท์ หรือคอมพิวเตอร์ และแอปจะส่งข้อมูลธุรกรรมไปให้ Ledger Nano โดยผู้ใช้จะต้อง กดยืนยันบนตัวเครื่อง ก่อนจะทำธุรกรรมทุกครั้ง และในกรณีที่เครื่อง สูญหาย ผู้ใช้จะต้องใส่ Recovery Phrase (ชุดคำ 24 คำ) เพื่อกู้คืนเท่านั้น

ปัจจุบัน Ledger Nano มีสองรุ่นหลักคือ

  • Ledger Nano S Plus – รุ่นพื้นฐานที่เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น (ราคาประมาณ 2,000 บาท)
  • Ledger Nano X – รุ่นพรีเมียมที่มีความจุมากกว่า รองรับ Bluetooth และสามารถเชื่อมต่อกับมือถือได้ (ราคาประมาณ 3,100 บาท)

โดยนับตั้งแต่ปี 2014 ปัจจุบัน Ledger ได้จำหน่ายไปแล้วกว่า 8 ล้านเครื่องทั่วโลก โดยปริมาณ Bitcoin กว่า 20% บนโลกถูกเก็บไว้บน Ledger

]]>
1550290
TripBuilder สตาร์ทอัพที่เกิดขึ้นเพราะอยากให้การเดินทางเป็นเรื่องสนุก https://positioningmag.com/1549877 Tue, 02 Dec 2025 07:36:36 +0000 https://positioningmag.com/?p=1549877 ทำความรู้จัก TripBuilder สตาร์ทอัพด้าน AI Travel Assistant จากเกาหลีที่เตรียมบุกตลาดไทย ซึ่งเริ่มต้นจากต้องการแก้ pain point ให้สามารถจัดการทริปได้ง่ายขึ้นแบบ one stop service เพื่อให้การเดินทางเป็นเรื่องสนุก

 

จากสถิติพบว่า มูลค่าการจองท่องเที่ยวออนไลน์ในอาเซียนเกิน 59,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และในระยะอันใกล้อัตราการใช้บริการออนไลน์อาจแตะ 74% ขณะที่ตลาดเทคโนโลยีการท่องเที่ยวทั่วโลกมีมูลค่าราว 11,100 ล้านดอลลาร์ และอาจขยายสู่ระดับ 18,700 ล้านดอลลาร์ ตามการเติบโตของบริการเชิงประสบการณ์

 

การเติบโตดังกล่าวถือเป็นโอกาสทางธุรกิจที่มหาศาล จึงทำให้เกิดสตาร์ทอัพเพื่อให้บริการท่องเที่ยวออนไลน์มากขึ้น รวมถึง TripBuilder สตาร์ทอัพด้าน AI Travel Assistant จากเกาหลีที่เตรียมตัวมาเปิดตลาดในประเทศไทย เนื่องจากมองเห็นศักยภาพการเป็นศูนย์กลางการเดินทางและท่องเที่ยวในบ้านเรา

 

ฮูเยน Marketer ของ TripBuilder เล่าว่า จุดเริ่มต้นของสตาร์ทอัพแห่งนี้ บริษัทฯ มาจาก ‘คิม มยองจุน’ ซึ่งเป็น    ผู้ก่อตั้งขึ้นและก่อตั้ง TripBuilder ชอบท่องเที่ยว แต่การไปทริปแต่ละครั้งต้องพบกับไม่สะดวกมากมายทั้งตั๋ว    เครื่องบิน โรงแรม การเดินทางในเมือง และกิจกรรมที่กระจัดกระจายอยู่หลายที่ ผู้ใช้ต้องเปรียบเทียบและตัดสินใจ ซ้ำไปซ้ำมา

 

TripBuilder จึงเริ่มต้นขึ้นมา เพื่ออยากแก้ปัญหาความยุ่งยากดังกล่าว ด้วยการใช้เทคโนโลยี โดยเฉพาะ AI เข้ามาช่วยแก้ปัญหา ภายใต้จุดเด่น คือ การใช้ Data วิเคราะห์ตั้งแต่เที่ยวบิน โรงแรม การเดินทางภายในพื้นที่ กิจกรรมท้องถิ่น รูปแบบการเดินทาง

 

โดยดูจากงบประมาณ เวลาที่มี รูปแบบการเดินทาง ความชอบส่วนตัว ไปจนถึงพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้ใช้แต่ละคน และสามารถปรับแผนได้ตลอดเวลา เช่น ถ้าฝนตก ร้านปิด คนแน่น หรือเวลาไม่พอ AI จะเสนอทางเลือกใหม่ที่เหมาะกับสถานการณ์นั้นทันที

 

เป้าหมาย เพื่อให้สามารถนำเสนอทริปการเดินทางที่ดีที่สุดให้กับผู้ใช้ในช่วงเวลานั้นจริง ๆ ไม่ใช่แค่โชว์ข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นการจองไฟลท์บินและโรงแรม แนะนำร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว และกิจกรรมต่าง ๆ แบบ one stop service ให้ผู้ใช้ควบคุมทุกขั้นตอนของการเดินทางได้ในหน้าจอเดียวจริง ๆ

 

OTA หรือ แพลตฟอร์มจองท่องเที่ยวแบบเดิม ทำแค่แสดงข้อมูลให้เลือก แต่ AI ของเราจะเข้าใจสถานการณ์และความต้องการของผู้ใช้ แล้วคัดตัวเลือกที่เหมาะที่สุดให้ทันที ดังนั้น AI ในวันนี้ไม่ได้เป็นแค่ตัวช่วยเสริม แต่เป็นหัวใจหลักของการวางแผนท่องเที่ยวยุคใหม่ ทำให้บทบาทของนักท่องเที่ยวเปลี่ยนจากการหาข้อมูล มาเป็นการใช้เวลาไปกับการเดินทางจริง ๆ มากขึ้น”

 

ไทยประเทศแห่งโอกาส

 

ฮูเยน กล่าวว่า สำหรับ TripBuilder แล้ว ประเทศไทยเป็นประเทศแห่งโอกาส เพราะเป็นหนึ่งในปลายทางที่ได้รับความนิยมสูงจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ และเป็นตลาดที่เปิดโอกาสให้เกิดความร่วมมือหลากหลายด้านเทคโนโลยีการเดินทาง

 

ดังนั้น จึงต้องการร่วมสร้าง ecosystem ด้านการท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ร่วมกับพาร์ทเนอร์ท้องถิ่น ทั้งด้านการคมนาคม โรงแรม กิจกรรมท่องเที่ยว ประกันภัย และการชำระเงิน โดยจะเห็นความเคลื่อนไหวในปี 2026

 

“เราไม่ใช่แค่การเป็นเพียงแพลตฟอร์มเท่านั้น แต่เราตั้งใจจะเป็นบริษัทที่สร้างมาตรฐาน AI ด้านการเดินทางระดับโลก นักท่องเที่ยวในอนาคตจะไม่ต้องค้นหาเอง เพราะ AI จะเตรียมให้ล่วงหน้า เข้าใจบริบท และเสนอเส้นทางที่ดีที่สุด”

]]>
1549877
‘Apple’ จ่อแซง ‘Samsung’ ขึ้นแท่นผู้นำตลาดสมาร์ทโฟนในรอบ 14 ปี และอาจลากยาวไปถึงปี 2029 https://positioningmag.com/1548946 Thu, 27 Nov 2025 07:51:19 +0000 https://positioningmag.com/?p=1548946 เป็นเวลาถึง 14 ปีที่ ซัมซุง (Samsung) ครองแชมป์การจัดส่งสมาร์ทโฟนทั่วโลก ตามรายงานจาก Counterpoint Research แต่ดูเหมือนสถิติดังกล่าวจะถูกพังลงโดย แอปเปิล (Apple) ในปีนี้ และอาจจะลากยาวไปจนถึงปี 2029 เลยทีเดียว

Counterpoint เปิดเผยว่า Apple จะมียอดจัดส่ง iPhone ได้ประมาณ 243 ล้านเครื่องในปีนี้ เทียบกับ Samsung ที่จัดส่งได้ 235 ล้านเครื่อง ส่งผลให้ Apple จะมีส่วนแบ่ง 19.4% ของตลาดสมาร์ทโฟนทั่วโลก ขณะที่ส่วนแบ่งของ Samsung จะอยู่ที่ 18.7% ขณะที่ภาพรวมตลาดสมาร์ทโฟนโลกที่เติบโต 3.3% 

หนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ Apple สามารถพลิกแซง Samsung มาจาก iPhone 17 series ที่เปิดตัวในเดือนกันยายน ทั้งหมด 4 รุ่น ได้แก่ iPhone 17, 17 Air, 17 Pro และ 17Pro Max โดยยอดขายของ iPhone 17 series ในสหรัฐฯ ในช่วงสี่สัปดาห์แรกหลังเปิดตัว สูงกว่า iPhone 16 series (ไม่รวม iPhone 16e) ถึง 12% ขณะที่ในตลาด จีน ซึ่งเป็นตลาดสำคัญของ Apple ยอดขาย iPhone 17 series ในช่วงเวลาเดียวกัน สูงกว่ารุ่นก่อนหน้าถึง 18%

“นอกเหนือจากการตอบรับของตลาดที่เป็นไปในทางบวกอย่างมากสำหรับ iPhone 17 series ปัจจัยสำคัญที่อยู่เบื้องหลังการปรับเพิ่มคาดการณ์การจัดส่งคือ รอบการเปลี่ยนเครื่องกำลังมาถึงจุดเปลี่ยน ผู้บริโภคที่ซื้อสมาร์ทโฟนในช่วงที่ COVID-19 ระบาด ขณะนี้กำลังเข้าสู่ช่วงเวลาของการอัปเกรด” Yang Wang นักวิเคราะห์อาวุโสของ Counterpoint Research กล่าว 

ขณะเดียวกัน Samsung อาจเผชิญกับความท้าทายใน ตลาดสมาร์ทโฟนระดับกลางถึงล่าง จากแบรนด์จีน ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคต่อความสามารถของยักษ์ใหญ่เกาหลีใต้ในการทวงคืนตำแหน่งสูงสุด

อาจครองแชมป์ยาว 4 ปีซ้อน

ไม่ใช่แค่ปี 2925 แต่ Counterpoint Research คาดการณ์ว่า Apple จะครองตำแหน่งสูงสุดในตลาดสมาร์ทโฟนทั่วโลกไปจนถึงปี 2029 จากหลายปัจจัย ไดแก่

  • iPhone มือสอง: มี iPhone มือสองจำนวน 358 ล้านเครื่อง ถูกขายไปในช่วงปี 2023 ถึงไตรมาสที่สองของปี 2025 ผู้ใช้เหล่านี้ก็มีแนวโน้มที่จะ อัปเกรดเป็น iPhone เครื่องใหม่ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ปัจจัยเหล่านี้จะสร้างฐานความต้องการขนาดใหญ่ ซึ่งคาดว่าจะช่วยรักษาการเติบโตของการจัดส่ง iPhone ในไตรมาสต่อ ๆ ไป
  • ผลกระทบด้านภาษีที่ต่ำกว่าที่คาด: Apple ได้รับประโยชน์จากผลกระทบด้านภาษีที่ต่ำกว่าที่คาดไว้ เนื่องจากข้อตกลงสงบศึกทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน สิ่งนี้ช่วยสนับสนุนซัพพลายเชนที่กว้างขึ้นของ Apple และการเติบโตในบางภูมิภาค เช่น ตลาดเกิดใหม่
  • สภาพเศรษฐกิจ: ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีรายนี้ยังได้รับประโยชน์จากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลง และแนวโน้มเศรษฐกิจที่ยืดหยุ่น ที่ช่วยส่งเสริมความเชื่อมั่นของผู้บริโภค

“ด้วยปัจจัยสนับสนุนเชิงโครงสร้างเหล่านี้ Apple จึงอยู่ในตำแหน่งที่ดีที่จะแซงหน้า Samsung ในด้านการจัดส่งประจำปี 2025”

ในขณะเดียวกัน Apple คาดว่าจะเปิดตัว iPhone 17e รุ่นเริ่มต้นในปีหน้า รวมถึง สมาร์ทโฟนแบบพับได้ Counterpoint คาดการณ์ บริษัทวิจัยระบุว่าการปรับปรุงผู้ช่วยเสมือน Siri ที่เคยประกาศไว้ก่อนหน้านี้ รวมถึง “การปรับปรุงดีไซน์ iPhone ครั้งใหญ่” ในปี 2027 ก็จะช่วยหนุนการครองความเป็นเจ้าตลาดของ Apple ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

“ด้วยการขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ครอบคลุมระดับราคาที่หลากหลาย รวมถึงซีรีส์ ‘e’ ที่กำลังเติบโต Apple กำลังวางตำแหน่งเชิงกลยุทธ์เพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากผู้บริโภคที่มีความต้องการ โดยเฉพาะในตลาดเกิดใหม่ และเพื่อเสริมสร้างสถานะในกลุ่มพรีเมียมระดับล่าง ซึ่งคาดว่าจะเติบโตเร็วกว่าตลาดโดยรวม ด้วยความต้องการระบบนิเวศ iOS ที่เพิ่มขึ้น Apple จะยังคงเป็นผู้นำเหนือผู้ผลิตสมาร์ทโฟนรายอื่นไปจนถึงสิ้นทศวรรษนี้”

*การจัดส่ง (Shipments) หมายถึงจำนวนอุปกรณ์ที่ผู้ค้าจัดส่งไปยังช่องทางค้าปลีก และไม่เท่ากับยอดขายโดยตรง อย่างไรก็ตาม ตัวเลขนี้ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความต้องการและความคาดหวังด้านยอดขายจากผู้ผลิต    สมาร์ทโฟน

]]>
1548946
การศึกษา ‘MIT’ พบ! AI แทนที่ 11.7% ของตลาดแรงงานสหรัฐฯ คิดเป็นค่าจ้าง 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ ‘งานธุรการ’ เสี่ยงสูงกว่าสาย ‘เทค’ หลายเท่า https://positioningmag.com/1548928 Thu, 27 Nov 2025 06:00:12 +0000 https://positioningmag.com/?p=1548928 สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (Massachusetts Institute of Technology – MIT) ได้เผยแพร่ผลการศึกษาเมื่อวันพุธที่ผ่านมา ซึ่งระบุว่าปัญญาประดิษฐ์ (AI) สามารถเข้ามาแทนที่แรงงานในตลาดแรงงานสหรัฐฯ ได้แล้วถึง 11.7% หรือคิดเป็นมูลค่าค่าจ้างสูงถึง 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ โดยเฉพาะในภาคการเงิน การดูแลสุขภาพ และบริการระดับมืออาชีพ

การศึกษานี้ดำเนินการโดยใช้เครื่องมือจำลองแรงงานที่เรียกว่า ดัชนีภูเขาน้ำแข็ง (Iceberg Index) ซึ่งสร้างขึ้นโดย MIT และห้องปฏิบัติการแห่งชาติโอ๊คริดจ์ (Oak Ridge National Laboratory – ORNL) ดัชนีนี้จำลองวิธีการปฏิสัมพันธ์ของแรงงานชาวสหรัฐฯ จำนวน 151 ล้านคนทั่วประเทศ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในเมืองใหญ่ที่เป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีเท่านั้น และจำลองว่าพวกเขาได้รับผลกระทบจาก AI และนโยบายที่เกี่ยวข้องอย่างไร

โดยดัชนีนี้ จะถือว่าคนงาน 151 ล้านคนเป็นตัวแทน (agents) แต่ละราย มีการติดแท็กทักษะ งาน อาชีพ และที่ตั้งของแต่ละคน มันทำแผนที่ทักษะมากกว่า 32,000 รายการ ใน 923 อาชีพ ครอบคลุม 3,000 เขต และจากนั้นจะวัดว่าระบบ AI ในปัจจุบันสามารถทำงานเหล่านั้นได้แล้วที่ใดบ้าง โดยสิ่งที่นักวิจัยพบคือ 

การเลิกจ้างในสายงานเทคโนโลยีและคอมพิวเตอร์ (IT) ซึ่งเป็นข่าวใหญ่ คิดเป็นเพียง 2.11 แสนล้านดอลลาร์ หรือ 2.2% เท่านั้น หรือเป็นเพียงแค่ ยอดภูเขาน้ำแข็ง ส่วนที่สำคัญกว่า คือ ใต้ภูเขาน้ำแข็ง ความเสี่ยงส่วนใหญ่มูลค่า 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ ที่อยู่ใน งานประจำทั่วไป เช่น งานธุรการสำนักงาน (Office Administration), ฝ่ายบุคคล (HR), โลจิสติกส์ และการเงิน ซึ่งเป็นส่วนที่คนมักมองข้ามไป

Prasanna Balaprakash ผู้อำนวยการ ORNL และผู้นำร่วมในการวิจัย กล่าวว่า ดัชนีนี้ดำเนินการทดลองในระดับประชากร โดยเผยให้เห็นว่า AI ปรับเปลี่ยนงาน ทักษะ และการไหลเวียนของแรงงานอย่างไร ก่อนที่การเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นจะปรากฏขึ้นในระบบเศรษฐกิจจริง

อย่างไรก็ตาม เครื่องมือนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้เป็น แซนด์บ็อกซ์ (Sandbox) หรือสนามทดลอง สำหรับผู้กำหนดนโยบาย ดังนั้น ไม่ใช่เครื่องมือทำนายการตกงาน แต่เป็นเครื่องมือที่บอกว่า AI ในวันนี้สามารถทำทักษะอะไรได้บ้าง เพื่อให้รัฐบาลสามารถใช้ดัชนีนี้จำลองสถานการณ์ต่าง ๆ เช่น ถ้ามีการฝึกอบรมทักษะใหม่ หรือมีการใช้เทคโนโลยีเพิ่มขึ้น จะเกิดอะไรขึ้นกับการจ้างงานและ GDP ในพื้นที่ของตน ก่อนที่จะตัดสินใจลงทุนเงินหลายพันล้านดอลลาร์

ปัจจุบัน มีหลายรัฐที่ได้นำเครื่องมือนี้ไปใช้เพื่อวางแผนรับมือกับผลกระทบของ AI และจัดทำแผนฝึกอบรมบุคลากรที่เหมาะสมกับอนาคตแล้ว เช่น เทนเนสซี, นอร์ทแคโรไลนา และยูทาห์

Source

]]>
1548928
รู้จัก ‘Cloudflare’ ทำไมเมื่อมีปัญหา ถึงทำหลายเว็บไซต์มีปัญหาตามไปด้วย? https://positioningmag.com/1547782 Wed, 19 Nov 2025 03:18:00 +0000 https://positioningmag.com/?p=1547782 ในช่วงค่ำวันนี้ หลายคนที่กำลังทำงานแพลตฟอร์มอย่าง X (Twitter), ChatGPT, Spotify, และ Canva ต่างก็เจอปัญหาล่ม ซึ่งสาเหตุก็มาจาก Cloudflare มีปัญหา ซึ่งหลายคนคงงงว่ามันคืออะไร มีความสำคัญอย่างไร ทำไมถึงลากหลาย ๆ แพลตฟอร์มล่มตามไปด้วย

Cloudflare คือบริษัทเทคโนโลยีที่ให้บริการด้าน ความปลอดภัย และ ประสิทธิภาพ สำหรับเว็บไซต์ผ่านระบบคลาวด์ (Cloud) พูดง่าย ๆ คือ เป็น ตัวกลาง ระหว่างคนที่เข้าเว็บไซต์ (ผู้เข้าชม) กับเซิร์ฟเวอร์หลักที่เก็บข้อมูลเว็บไซต์

หน้าที่แรกของ Cloudflare เป็นเหมือน ยามรักษาความปลอดภัย เมื่อมีคนพยายามเข้าเว็บไซต์ ข้อมูลจะผ่านเครือข่ายของ Cloudflare ก่อน ซึ่งจะเป็นการช่วยกรองการเข้าถึงที่ไม่ปลอดภัย เช่น การโจมตีทางไซเบอร์ (DDoS) หรือบอตที่ไม่หวังดี ก่อนที่คำขอเหล่านั้นจะไปถึงเซิร์ฟเวอร์จริงของคุณ

อีกหน้าที่ก็คือ เป็นเครือข่ายส่งของด่วน (CDN) โดย Cloudflare มีเซิร์ฟเวอร์กระจายอยู่ทั่วโลก เมื่อผู้เข้าชมเว็บไซต์ ข้อมูลและรูปภาพต่าง ๆ ของเว็บไซต์จะถูกส่งมาจากเซิร์ฟเวอร์ของ Cloudflare ที่ อยู่ใกล้กับผู้เข้าชมมากที่สุด ช่วยเพิ่มความเร็วในการโหลดเว็บไซต์ เพราะข้อมูลถูกส่งจากเซิร์ฟเวอร์ที่อยู่ใกล้ที่สุด

นอกจากนี้ ยังเพิ่มความเสถียร ช่วยลดภาระของเซิร์ฟเวอร์หลักของคุณ ทำให้เว็บไซต์ยังคงทำงานได้แม้ในช่วงที่มีคนเข้าเยอะผิดปกติ

ดังนั้น ถ้า Cloudflare มีปัญหา เว็บไซต์ก็โหลดช้าลง เพราะข้อมูลทั้งหมดต้องถูกส่งมาจากเซิร์ฟเวอร์หลักที่อาจอยู่ไกล ทำให้ผู้เข้าชมต้องรอนานขึ้น เว็บไซต์ก็จะเสี่ยงต่อการโจมตี เพราะไม่มีเกราะป้องกันโดยตรง หากถูกโจมตีแบบ DDoS เว็บไซต์อาจล่ม และเข้าใช้งานไม่ได้

สรุปแล้ว Cloudflare ช่วยให้เว็บไซต์ เร็ว ปลอดภัย และพร้อมใช้งานเสมอ นั่นเอง โดยปัจจุบัน  Cloudflare มีส่วนในการดูแลอินเทอร์เน็ตกว่า 25% ทั่วโลก

]]>
1547782
Shopee ไม่เพียงส่งด่วน ‘ภายใน 1 ชม.’ แต่จะพาแบรนด์ไทยสู่เวทีโลก รับมือยุค E-Commerce แข่งเดือด https://positioningmag.com/1546815 Thu, 13 Nov 2025 06:31:43 +0000 https://positioningmag.com/?p=1546815 ไม่เพียงสร้างเสียงฮือฮากับการเปิดบริการส่งด่วน ‘ภายใน 1 ชม.’ แต่ในงาน  Shopee Summit Together We Grow เรายังได้เห็นทิศทางต่อไปของ Shopee ในยุคที่ E-Commerce แข่งขันกันอย่างดุเดือด ภายใต้เป้าหมายต้องการเป็น ‘สะพานดิจิทัล’ (Digital bridge) พาแบรนด์ไทยสู่ตลาดโลก

 

เป้าหมายดังกล่าว ก็เนื่องมาจาก Shopee มีแพลตฟอร์มอยู่ในหลายประเทศ และเห็นการเติบโตของแบรนด์ในตลาดต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง จึงเปิดตัวโครงการ Shopee Global Sales ซึ่งยกระดับมาจากโครงการ Shopee International Platform (SIP) สนับสนุนการขยายธุรกิจของผู้ขายไทยสู่ตลาดโลก ไม่เฉพาะตลาดในอาเซียนเท่านั้น

 

โดยการพาแบรน์สู่ตลาดโลก ผ่านโครงการดังกล่าวได้เริ่มดำเนินการแล้วในฟิลิปปินส์ ช่วงไตรมาส 3 ปีนี้ ก่อนจะขยายสู่สิงคโปร์ และมาเลเซีย ช่วงไตรมาส 4 ปี 2568 รวมถึงมีแผนขยายไปยังอีกหลายประเทศในปี 2569

 

‘ฮันดิกา จาห์จา’ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ช้อปปี้ (ประเทศไทย) กล่าวว่า กว่าสิบปีที่ผ่านมา Shopee ได้เข้ามาเปลี่ยนภูมิทัศน์การช้อปปิ้งออนไลน์ของไทย และได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของคนไทยหลายล้านคน โดยในส่วนของผู้ขาย Shopee เป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยทุกขนาดสามารถแสดงศักยภาพและขยายธุรกิจได้กว้างขึ้น

 

อีกทั้งมีบทบาทในการขับเคลื่อนและยกระดับธุรกิจของผู้ขายให้เติบโตอย่างยั่งยืน และสามารถเข้าถึงลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศได้มากขึ้น ซึ่งการก้าวสู่ทศวรรษใหม่ของการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย Shopee ประกาศเดินหน้าภายใต้วิสัยทัศน์การเป็น ‘ประตูสู่เศรษฐกิจดิจิทัล’ (Gateway to the Digital Economy) สนับสนุน      ผู้ประกอบการไทยเข้าถึงโอกาสทางธุรกิจได้อย่างเท่าเทียม ตั้งแต่ร้านค้าครอบครัว ผู้ผลิตชุมชน ไปจนถึงองค์กรและแบรนด์ระดับประเทศ โดยใช้พลังของเทคโนโลยีและเครือข่ายของช้อปปี้เป็นเครื่องมือสำคัญในการเชื่อมโยงสินค้าไทยสู่ผู้บริโภคทั้งในประเทศและตลาดต่างประเทศ

 

“เรามุ่งเป็นสะพานดิจิทัล (Digital Bridge) ที่เชื่อมศักยภาพของผู้ประกอบการไทยสู่ตลาดระดับภูมิภาค เพื่อให้ธุรกิจไทยสามารถเติบโตอย่างมั่นคง ยั่งยืน และเป็นที่ยอมรับบนแผนที่เศรษฐกิจดิจิทัลของโลก”

 

E-Commerce ในไทยโตน่าสนใจ

 

สำหรับตลาด E-Commerce ในไทยถือว่า มีการเติบโตน่าสนใจในช่วงหลายปีที่ผ่านมา รวมถึงในปี 2569 ซึ่งคาดการณ์ว่า

 

E-Commerce จะคิดเป็น 53% ของเศรษฐกิจดิจิทัล

มีมูลค่า 34 พันล้านดอลลาร์ หรือ 1.1 ล้านล้านบาทไทย

เติบโต 15-20% ใน 4-5 ปีข้างหน้า

E-Commerce จะคิดเป็น 21.5 % ของธุรกิจรีเทลทั้งหมดในไทย

สรุปทิศทาง Shopee ในไทย

 

กลยุทธ์ของ Shopee ในไทยจะไม่ใช่แค่ ‘ขายของ’ แต่เน้นสร้าง ‘ประสบการณ’ โดยได้เปิด 4 ฟีเจอร์ใหม่ ประกอบด้วย

 

Prime Seller : เพิ่มสิทธิประโยชน์ให้ร้านค้า เป็นการอัปเกรดโปรแกรมส่งฟรีร้านโค้ดคุ้มและส่วนลดร้านโค้ดคุ้มให้ดียิ่งขึ้น อาทิ Affiliate for Seller คืนค่าคอมมิชชั่นสูงสุด 8% ต่อออเดอร์ ฯลฯ โดยจะมีสิทธิประโยชน์แบบสแตนดาร์ดและให้ตามช่วงฤดูกาล

 

Shopee Global Sales : 2026 พาไทย SME และแบรนด์ไทย บุกอาเซียนและตลาดโลก ลดความซับซ้อนของการส่งออกเพียงแค่ลงทะเบียนคลิกเดียว และ AI Translation ช่วยแปลภาษา

 

Speed Strategy : หลังจากเปิดตัวส่งภายใน 4 ชั่วโมง ตอนนี้มีบริการใหม่ ส่งทันทีภายใน 1 ชั่วโมง เพื่อเพิ่มความสะดวกให้กับลูกค้าและเพิ่มโอกาสในการขายให้กับร้านค้า

 

Golden Tick Creator: รวมครีเอเตอร์ที่มีคุณภาพและน่าเชื่อถือ เพื่อเลือกใช้ในการทำ Content commerce

ขณะที่การตลาด จะยกระดับการช้อปปิ้งด้วยแผน Marketing 360 ได้แก่

 

Reinvented In-App Experience : ดึง AI มาช่วยจัดการหน้าชอปสินค้าในรูปแบบ personalized ดีไซน์ให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคลมากขึ้น

 

Dynamic Content Ecosystem : ยกระดับและผสมผสานคอนเทนต์ทั้งคลิปวิดีโอ ไลฟ์ ฯลฯ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการซื้อขาย

 

Seamless Social Integration : การเชื่อมต่อกับโซเชียลแพลตฟอร์มอื่น ๆ เช่น Meta และ YouTube เพิ่มช่องทางมองเห็นสินค้าและเชื่อมต่อให้เกิดการซื้อขาย

 

Holistic Brand Building : สร้าง Brand Awareness ผ่านกิจกรรมทั้งออนไลน์ และออฟไลน์

 

Borderless Assortment & Product Launch : ดันสินค้าใหม่ให้ติดเทรนด์ และเพิ่มความหลากหลายของสินค้า

 

Unbearable Value for Users: การใช้ Voucher หลายต่อ, Shopee VIP พร้อมการรันตีราคาถูกสุด

 

 

สำหรับสินค้าที่ Shopee ให้ความสำคัญจะมี 4 หมวดหมู่หลัก

 

1.หมวดสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้า

2.หมวดสินค้าแฟชั่น

3.หมวดสินค้าสินค้าอุปโภคบริโภค หรือ FMCG

4.หมวดสินค้าไลฟ์สไตล์

]]>
1546815
วิธีใช้ ‘คนละครึ่งพลัส’ ผ่านแอป ‘ฟู้ดเดลิเวอรี่’ https://positioningmag.com/1545810 Thu, 06 Nov 2025 12:52:11 +0000 https://positioningmag.com/?p=1545810 ในวันนี้ (7 พ.ย.68) จะเป็นวันแรกที่จะเปิดให้บริการใช้สิทธิ์ ‘คนละครึ่งพลัส’ สั่งซื้ออาหารและเครื่องดื่มผ่านแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี่ ซึ่งสิทธิ์ดังกล่าวจะใช้ได้ตั้งแต่วันที่ 7 พ.ย.- 31 ธ.ค.68 สามารถใช้สิทธิได้ตั้งแต่เวลา 06.00-21.00 น.

 

ทั้งนี้ แพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี่ที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่งพลัสมีด้วยกัน 4 ราย ได้แก่ Grab, LINE MAN, Shopee และ Robinhood โดยจากการเปิดเผยของกระทรวงการคลังพบว่า มีร้านค้าที่ลงทะเบียนเข้าร่วมผ่านแพลตฟอร์มแล้วกว่า 70,000 ราย และเมื่อรวมกับร้านค้าทั่วไป ตลอดจนร้านค้าออนไลน์ที่ลงทะเบียนคนละครึ่งพลัสแล้วมีด้วยกันทั้งหมดเกิน 930,000 ราย

 

สำหรับวิธีการใช้สิทธิ์คนละครึ่งผ่านฟู้ดเดลิเวอรี่

 

Grab

-กดที่แบนเนอร์ ‘ฟู้ดเดลิเวอรี่’ ในแอปเป๋าตัง

-เลือกสั่งผ่าน ‘GrabFood’

-เลือกร้านอาหารและเมนูที่ต้องการ

-ชำระค่าจัดส่งผ่าน GrabFood

-ชำระค่าอาหารผ่าน แอปเป๋าตัง (ภายใน 5นาที)

 

Line man

-เปิดแอปเป๋าตัง และไปที่หน้า G Wallet

-กดที่แบนเนอร์ ‘ฟู้ดเดลิเวอรี่’ เลือก LINE MAN

-เลือกร้านอาหารและเมนูที่ต้องการ

-ชำระค่าจัดส่งผ่าน LINE MAN

-หลังจากจ่ายค่าส่งแล้ว แอปเป๋าตังจะส่งการแจ้งเตือน ให้กลับไปที่แอปเป๋าตังเพื่อชำระค่าอาหาร

-ยืนยันการชำระเงินในแอปเป๋าตัง ระบบจะแสดงยอดค่าอาหารที่หักสิทธิ์คนละครึ่งแล้ว กดยืนยันและใส่ PIN 6 หลัก

-เมื่อชำระเงินสำเร็จ ออเดอร์จะถูกส่งไปที่ร้านค้าและคนขับเพื่อจัดส่งตามปกติ

 

Robinhood

-เปิดแอปเป๋าตัง และไปที่หน้า G Wallet

-กดที่แบนเนอร์ ‘ฟู้ดเดลิเวอรี่’ เลือก Robinhood

-เลือกร้านอาหารและเมนูที่ต้องการ

-ชำระค่าจัดส่งผ่าน Robinhood

-หลังจากจ่ายค่าส่งแล้ว แอปเป๋าตังจะส่งการแจ้งเตือน ให้กลับไปที่แอปเป๋าตังเพื่อชำระค่าอาหาร

-ยืนยันการชำระเงินในแอปเป๋าตัง ระบบจะแสดงยอดค่าอาหารที่หักสิทธิ์คนละครึ่งแล้ว กดยืนยันและใส่ PIN 6 หลัก

-เมื่อชำระเงินสำเร็จ ออเดอร์จะถูกส่งไปที่ร้านค้าและคนขับเพื่อจัดส่งตามปกติ

Shopee Food

-เปิดแอปเป๋าตัง และไปที่หน้า G Wallet

-กดที่แบนเนอร์ ‘ฟู้ดเดลิเวอรี่’ เลือก Shopee Food

-เลือกร้านอาหารและเมนูที่ต้องการ

-ชำระค่าจัดส่งผ่าน Shopee Food

-หลังจากจ่ายค่าส่งแล้ว แอปเป๋าตังจะส่งการแจ้งเตือน ให้กลับไปที่แอปเป๋าตังเพื่อชำระค่าอาหาร

-ยืนยันการชำระเงินในแอปเป๋าตัง ระบบจะแสดงยอดค่าอาหารที่หักสิทธิ์คนละครึ่งแล้ว กดยืนยันและใส่ PIN 6 หลัก

-เมื่อชำระเงินสำเร็จ ออเดอร์จะถูกส่งไปที่ร้านค้าและคนขับเพื่อจัดส่งตามปกติ

]]>
1545810
พลัง ‘Switch 2’ ดันกำไร ‘Nintendo’ พุ่งกระฉูด 85% ด้วยยอดขายกว่า 10 ล้านเครื่องนับตั้งแต่เปิดตัว https://positioningmag.com/1545613 Wed, 05 Nov 2025 09:17:18 +0000 https://positioningmag.com/?p=1545613 หลังจากที่บริษัท Nintendo (นินเทนโด) ผู้ผลิตวิดีโอเกมจากญี่ปุ่นที่คนไทยคุ้นเคยกันดี ได้วางจำหน่ายเครื่องเล่นเกมคอนโซลรุ่นฮิตอย่าง Switch 2 ในช่วงปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ล่าสุด บริษัทได้รายงานรายได้ในช่วงเดือนเมษายนถึงกันยายนว่า พุ่งสูงขึ้นถึง 85% เพราะการมาของ Switch 2

Nintendo ได้รายงานผลประกอบการครึ่งปีแรกว่า ยอดขายของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 5.23 แสนล้านเยน ในช่วงเดียวกันของปี 2024 เป็นเกือบ 1.1 ล้านล้านเยน (หรือประมาณ 234,000 ล้านบาท) ขณะที่ กำไรสุทธิ อยู่ที่ 1.98 แสนล้านเยน (หรือประมาณ 42,328 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นจาก 1.08 แสนล้านเยน ในปีงบประมาณที่แล้ว

ปัจจัยในการเติบโตหลัก ๆ จะมาจาก ยอดขายวิดีโอเกม ที่ยังคงแข็งแกร่ง โดยยอดขายเกมก็สามารถทำยอดขายรวมไปได้ที่ 20.62 ล้านชุด ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเกมจาก Nintendo Switch รุ่นเก่า สามารถนำมาเล่นบนเครื่อง Switch 2 ได้ โดยเกมยอดนิยบน Switch 2 ได้แก่ Mario Kart World ที่ 9.57 ล้านชุด และ Donkey Kong Bananza ทำยอดขายได้ 3.49 ล้านชุด ส่วนรายได้จากธุรกิจคอนเทนต์อื่น ๆ เช่น ภาพยนตร์ จะชะลอตัวลงเนื่องจากไม่มีภาพยนตร์ใหม่ ๆ เข้าฉาย

จากผลประกอบการในช่วงครึ่งปีแรกทำให้ Nintendo ได้ปรับเพิ่ม คาดการณ์กำไร สำหรับปีงบประมาณนี้ (สิ้นสุดเดือนมีนาคม 2026) เป็น 3.50 แสนล้านเยน (หรือประมาณ 74,888 ล้านบาท) จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ 3 แสนล้านเยน (หรือประมาณ 61,864 ล้านบาท)

นอกจากนี้ ยังได้เพิ่มการคาดการณ์ยอดขายเครื่อง Switch 2 เป็น 19 ล้านเครื่อง จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ 15 ล้านเครื่อง โดย Nintendo เปิดเผยว่าสามารถขายเครื่อง Switch 2 ไปได้แล้วมากกว่า 10 ล้านเครื่อง ภายในระยะเวลา 4 เดือน นับตั้งแต่วันวางจำหน่ายจนถึงวันที่ 30 กันยายน 2025 ซึ่งมากกว่ารุ่นก่อนหน้าถึง 2 เท่า ที่ทำยอดขายรวมได้ 4.7 ล้านเครื่องในช่วงเวลาเดียวกัน

นักวิเคราะห์คาดว่าผลประกอบการของ Nintendo จะยังคง แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง ในช่วงเทศกาลวันหยุดที่กำลังจะมาถึง ซึ่งเป็นช่วงที่บริษัทมักจะทำผลงานได้ดี และคาดว่าจะมีเกมใหม่ที่สำคัญในแฟรนไชส์ Pokemon และ Kirby ออกมาด้วย

Nintendo / Japantoday

]]>
1545613
‘Nvidia’ เดินหน้าลงทุนรัว ๆ ล่าสุด เข้าซื้อหุ้น ‘Nokia’ มูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์ หวังสร้างโครงข่ายสำหรับ AI และพัฒนา 6G https://positioningmag.com/1544663 Wed, 29 Oct 2025 11:20:38 +0000 https://positioningmag.com/?p=1544663 หลังจากที่ชิปของ เอ็นวิเดีย (Nvidia) กลายเป็นเหมือนศูนย์กลางของโลก AI ทำให้ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา บริษัทก็ได้เดินหน้าเข้าถือหุ้นในพันธมิตรเชิงกลยุทธ์หลายราย จนล่าสุด บริษัทได้เข้าซื้อหุ้นใน โนเกีย (Nokia) บริษัทสัญชาติฟินแลนด์ ที่เคยครองตลาดฟีเจอร์โฟนในช่วงยุค 90 และ 2000

ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา Nvidia ได้ประกาศว่าจะลงทุน 5 พันล้านดอลลาร์ ในอดีตคู่แข่งอย่าง Intel และกล่าวว่าจะลงทุน 1 แสนล้านดอลลาร์ ใน OpenAI นอกจากนี้ยังได้ประกาศว่าจะลงทุน 500 ล้านดอลลาร์ ใน Wayve บริษัทสตาร์ทอัพรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ และลงทุน 667 ล้านดอลลาร์ ใน Nscale ผู้ให้บริการคลาวด์ในสหราชอาณาจักร

เรียกได้ว่า เดือนที่ผ่านมา Nvidia จะลงทุนรัว ๆ แต่ดูเหมือนบริษัทจะไม่หยุดเพียงเท่านี้ โดยล่าสุด Nokia ที่ปัจจุบันเน้นที่ธุรกิจจำหน่ายอุปกรณ์เซลลูลาร์ 5G ให้กับผู้ให้บริการโทรคมนาคม ได้เปิดเผยว่า Nvidia กำลังเข้าซื้อหุ้นในบริษัทเป็นมูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์

โดยทั้งสองบริษัทได้ทำข้อตกลงความเป็นหุ้นส่วนเชิงกลยุทธ์ เพื่อทำงานร่วมกันในการพัฒนาเทคโนโลยีเซลลูลาร์ 6G ในยุคหน้า และ Nokia จะปรับปรุงซอฟต์แวร์ 5G และ 6G ของตนให้ทำงานบนชิปของ Nvidia ได้ รวมถึงจะร่วมมือกันในเทคโนโลยีโครงข่าย AI Infrastructure สำหรับอนาคต

ทั้งนี้ Nokia จะออกหุ้นใหม่มากกว่า 166 ล้านหุ้น และจะนำเงินที่ได้ไปใช้เป็นทุนในการพัฒนาแผนงานด้าน AI และเพื่อวัตถุประสงค์ทั่วไปอื่น ๆ ของบริษัท ซึ่งหลังจากการประกาศข่าวดังกล่าว ราคาหุ้นของ Nokia ได้พุ่งขึ้นถึง +22%

ขณะที่หุ้นของ Nvidia ก็พุ่งขึ้นมากกว่า +3% ก่อนเปิดตลาดในวันพุธ หนุนให้บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีรายนี้ก้าวขึ้นเป็นบริษัทแรกที่มูลค่าตลาดทะลุ 5 ล้านล้านดอลลาร์

Source

]]>
1544663
‘กูเกิล’ โชว์รันอัลกอริทึม ‘Quantum Echoes’ บนชิป ‘Willow’ ซึ่งเร็วกว่า ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ 13,000 เท่า https://positioningmag.com/1544299 Mon, 27 Oct 2025 08:09:58 +0000 https://positioningmag.com/?p=1544299 หลายคนน่าจะเคยได้ยินชื่อของ คอมพิวเตอร์ควอนตัม (Quantum Computer) ว่าเป็นคอมพิวเตอร์ยุคใหม่ที่ใช้หลักการทางกลศาสตร์ควอนตัมในการประมวลผลข้อมูล ซึ่งช่วยให้สามารถแก้ปัญหาที่ซับซ้อนได้อย่างรวดเร็วกว่าคอมพิวเตอร์แบบดั้งเดิมที่ใช้ บิต (bit) แต่คอมพิวเตอร์ควอนตัมใช้หน่วยข้อมูลที่เรียกว่า คิวบิต (qubit) 

โดยการมาของคอมพิวเตอร์ควอนตัม จะช่วยให้มนุษย์สามารถแก้ปัญหาที่ซับซ้อนในหลากหลายสาขา รวมถึงการเร่งการวิจัยในสาขาที่ต้องใช้การจำลองที่ซับซ้อน เช่น การจำลองระบบเคมี หรือการพัฒนา AI ที่แม่นยำยิ่งขึ้น

Google เป็นหนึ่งในบริษัทที่มุ่งมั่นพัฒนาด้านควอนตัมคอมพิวเตอร์ ผ่านทีม Google Quantum AI ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างคอมพิวเตอร์ควอนตัมที่ใช้งานได้จริง โดยย้อนไปในปี 2019 Google ได้เปิดตัวชิป Sycamore หน่วยประมวลผลควอนตัม (quantum processor) โดยใช้คิวบิตแบบตัวนำยิ่งยวด (superconducting qubits)

ซึ่งชิปนี้เคยสร้างสถิติในการแก้ปัญหาการคำนวณเฉพาะอย่างได้ในเวลา 200 วินาที ซึ่งซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่เร็วที่สุดในขณะนั้นต้องใช้เวลาถึง 10,000 ปี นอกจากนี้ ชิป Sycamore ยังถูกใช้ในการทดลองที่ซับซ้อน เช่น การจำลองเวิร์มโฮลในฟิสิกส์ อย่างไรก็ตาม บรรดานักวิทยาศาสตร์ต่างยังคงกังขาถึงการยืนยันผลลัพธ์ เนื่องจากคอมพิวเตอร์    ควอนตัมมักมีข้อผิดพลาดสูง

จนในปี 2024 ทาง Google ได้เปิดตัวชิป Willow ซึ่งมี 105 คิวบิต พร้อมคุณสมบัติการแก้ไขข้อผิดพลาดที่ช่วยเพิ่มความแม่นยำ มีการแสดงให้เห็นว่าชิปนี้สามารถแก้ปัญหาเฉพาะทางได้ในเวลาเพียง 5 นาที ในขณะที่ซูเปอร์คอมพิวเตอร์อาจต้องใช้เวลานานนับแสนล้านปี

ล่าสุด Google Quantum AI ได้ประกาศความสำเร็จครั้งใหญ่บนวารสาร Nature โดยได้รันอัลกอริทึมใหม่ที่มีชื่อว่า Quantum Echoes บนชิป Willow ซึ่งอัลกอริทึมนี้สามารถคำนวณแบบซับซ้อนได้เร็วกว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่ดีที่สุดในปัจจุบันถึง 13,000 เท่า หรือใช้เวลาเพียง 2.1 ชั่วโมง หากเทียบกับการใช้ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ Frontier ที่จะกินเวลาประมาณ 3.2 ปี

นอกจากนี้ ความสำเร็จดังกล่าวยังเป็นการแสดงความได้เปรียบเชิงควอนตัมที่สามารถ ตรวจสอบผลลัพธ์ย้อนกลับได้ (Verifiable Quantum Advantage) เป็นครั้งแรกอีกด้วย

โดย Google ตั้งเป้าในการนำคอมพิวเตอร์ควอนตัมสู่การใช้งานเชิงพาณิชย์ในอีก 5 ปีข้างหน้า โดยทีมกำลังสำรวจการประยุกต์ใช้ในด้านต่าง ๆ อาทิ AI และการเรียนรู้ของ Machine Learning เพื่อช่วยแก้ปัญหาการหาค่าที่เหมาะสมที่สุดและการสุ่มตัวอย่างที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงใช้เพื่พัฒนาวัสดุใหม่ ๆ เช่น แบตเตอรี่ที่มีประสิทธิภาพสูง หรือวิเคราะห์โครงสร้างโมเลกุลในเชิงลึก เป็นต้น

Source

]]>
1544299