Digital – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Mon, 27 Jan 2025 03:21:25 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 เดี๋ยวตกขบวน! ‘มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก’ ประกาศทุ่ม 2.2 แสนล้านบาท ลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ‘AI’ ในปีนี้ https://positioningmag.com/1508144 Sun, 26 Jan 2025 12:44:37 +0000 https://positioningmag.com/?p=1508144 ในยุค AI แบบนี้ บรรดาบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ต่างก็ไม่มีใครยอมใคร โดยมีการประกาศทุ่มงบลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน AI กันมหาศาล โดยล่าสุดถึงคิวของ Meta

มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) ซีอีโอของ Meta เจ้าของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียชื่อดังอย่าง Facebook, Instagram เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนที่จะใช้งบลงทุน 6 – 6.5 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือราว 2 – 2.18 แสนล้านบาท เพื่อขยายโครงสร้างพื้นฐาน AI ของ Meta โดยมีเป้าหมายเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับบริษัทเพื่อให้สามารถแข่งขันได้กับ OpenAI และ Google 

“นี่จะเป็นปีที่กําหนดสําหรับ AI และในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า มันจะขับเคลื่อนผลิตภัณฑ์และธุรกิจหลักของเรา” มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก กล่าว

สำหรับการลงทุนดังกล่าวจะใช้จ้างงานบุคลากรที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการพัฒนา AI เช่น ทีมวิศวกร และสร้างศูนย์ข้อมูลกว่า 2 จิกะวัตต์ (GW) ซึ่งจะมีพื้นที่ใหญ่พอครอบคลุมพื้นที่ส่วนสำคัญของแมนฮัตตัน ซึ่งต้องใช้ GPU กว่า 1.3 ล้านชิ้น เพื่อสร้างพลังการประมวลผลขนาด 1 จิกะวัตต์ สำหรับใช้พัฒนา Llama 4 ซึ่งเป็นโมเดล AI แบบโอเพ่นซอร์สที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มความสามารถในการให้เหตุผลและการโต้ตอบด้วยเสียง

โดยในปีที่ผ่านมา ผู้ช่วย AI ของ Meta มีผู้ใช้งานกว่า 600 ล้านคนต่อเดือน โดยในปีนี้ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก คาดว่าจะมีผู้ใช้บริการมากกว่า 1 พันล้านคน

นักวิเคราะห์มองว่า การที่ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ประกาศลงทุนในครั้งนี้ เหมือนเป็นการส่งสัญญาณว่า เขาไม่ต้องการเป็นอันดับสองในการแข่งขัน AI เนื่องจากมีการใช้งบประมาณเพิ่มอย่าง ก้าวกระโดด อย่างมีนัยสําคัญ จากปีที่ผ่านมามีการลงทุนที่ 4 หมื่นล้านดอลลาร์ 

นอกจากนี้ บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่หลายรายได้ประกาศลงทุนหลายหมื่นล้านดอลลาร์เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน AI อาทิ เมื่อต้นเดือนนี้ Microsoft กล่าวว่ากําลังวางแผนที่จะลงทุนประมาณ 8 หมื่นล้านดอลลาร์ ในปีงบ ประมาณ 2025 เพื่อพัฒนาศูนย์ข้อมูล ในขณะที่ Amazon ประกาศว่าจะมีการใช้จ่ายกว่า 7.5 หมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อลงทุน AI ในปี 2025 

ทั้งนี้ การประกาศของ Meta เกิดขึ้นเพียงไม่กี่วันหลังจากที่ โดนัลด์ ทรัมป์  ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาประกาศว่า จะจัดตั้งกิจการที่เรียกว่า Stargate และลงทุน 5 แสนล้านดอลลาร์ ในโครงสร้างพื้นฐาน AI ทั่วสหรัฐอเมริกา

source

]]>
1508144
มองอนาคต ‘มือถือ AI’ จะเป็นเทรนด์ที่มาสร้างสีสัน หรือกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของตลาดสมาร์ทโฟน? https://positioningmag.com/1507953 Fri, 24 Jan 2025 04:41:29 +0000 https://positioningmag.com/?p=1507953 ปี 2024 ถือเป็นปีแห่งการเปิดศักราชของ สมาร์ทโฟน AI ที่นำโดย Samsung Galaxy S24 Series ซึ่งได้รับการตอบรับจากทั้งในตลาดไทยและตลาดทั่วโลก ส่งผลให้ในปีที่ผ่านมา หลายแบรนด์จึงได้เริ่มใส่ AI เข้ามาในสมาร์ทโฟนเพื่อแข่งขัน คำถามคือ จะมาแค่เป็นกระแสหรือเปล่า

เพราะตลาดอิ่มตัว AI จึงเป็นตัวเพิ่มมูลค่า

ต้องยอมรับว่าตลาดสมาร์ทโฟน อยู่ในจุด อิ่มตัว มาสักระยะ โดยในปี 2023 ถือเป็นปีที่หดตัวมากที่สุดในรอบ 10 ปี และเพิ่งจะมาฟื้นในปี 2024 ซึ่งหลายคนมองว่าเกิดมาจากการมาของ สมาร์ทโฟน AI เพราะต้องยอมรับว่าในฝั่งของ ฮาร์ดแวร์ หรือตัวเครื่องเป็นอะไรที่อาจไม่ได้สร้าง ความแตกต่าง ชัดเจนมากนัก จะเห็นก็แต่การทำ สมาร์ทโฟนจอพับ ซึ่งก็ไม่ได้รับความนิยมจากผู้ใช้สักเท่าไหร่ แม้แต่ผู้นำอย่าง ซัมซุง (Samsung) ยังต้องออกมาลดการผลิต เพื่อเน้นไปที่ S Series แทน

‘ซัมซุง’ หั่นเป้ายอดขาย ‘มือถือจอพับ’ หลังยอดขายเริ่มร่วง หันไปดัน ‘S series’ รุ่นเรือธงแทน

ด้วยความที่ตลาดอยู่ในภาวะอิ่มตัว ทำให้ผู้เล่นในตลาดจะเน้นไปที่กลุ่ม พรีเมียม เพื่อเพิ่มรายได้ต่อเครื่อง มากกว่าจำนวนปริมาณ แต่การชูจุดขายในฝั่งฮาร์ดแวร์อาจจะกระตุ้นให้ผู้ใช้ อัปเกรด ไม่ได้ขนาดนั้น การสร้างความแตกต่างจึงกลายเป็นฝั่งซอฟต์แวร์ โดยเฉพาะ ฟีเจอร์ GenAI

Samsung Galaxy S25 Series

GenAI จะเป็นมาตรฐานสมาร์ทโฟน

ทางด้าน Canalys ที่ประเมินว่า แบรนด์สมาร์ทโฟนจะมุ่งเน้นไปที่ผลิตภัณฑ์ระดับไฮเอนด์มากขึ้น โดยเฉพาะ การเพิ่มความสามารถในการแข่งขันผ่าน GenAI ท่ามกลางความผันผวนของอุปสงค์และความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ

เช่นเดียวกันกับ Counterpoint Research ประเมินว่า การเติบโตของ ปริมาณสมาร์ทโฟน ในตลาดจะไม่ยังไม่ไปแตะถึงระดับสูงสุดที่เห็นในช่วงก่อนโควิด แต่ผู้บริโภค ยอมจ่ายแพง เพื่ออัพเกรดสมาร์ทโฟนเครื่องใหม่ ดังนั้น ในปี 2025 คาดว่าการเติบโตของมูลค่าตลาดจะยังคงแซงหน้าการเติบโตของปริมาณ โดยมูลค่าจะเพิ่มขึ้น +8% เมื่อเทียบกับการเติบโตของปริมาณ +4%

และในอนาคต Counterpoint Research เชื่อว่า GenAI จะกลายเป็นบรรทัดฐานสําหรับสมาร์ทโฟนระดับกลาง ภายในปี 2028 โดย 90% ของสมาร์ทโฟนที่มีราคาสูงกว่า 250 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 9,000 บาท) จะมีความสามารถ GenAI จากที่เทคโนโลยีดังกล่าวส่วนใหญ่จะอยู่ในสมาร์ทโฟนกลุ่มพรีเมียมที่มีราคาสูงกว่า 1,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 35,000 บาท)

สมาร์ทโฟนเอไอจะโตต่อเนื่องไปอีก 5 ปี

ขณะที่ IDC เชื่อว่า การจัดส่งสมาร์ทโฟนที่มี GenAI ทั่วโลกในปี 2025 จะเพิ่มขึ้น +73.1% เมื่อเทียบกับปี 2024 ซึ่งสามารถเติบโตได้เกินสามหลัก และเชื่อว่าสมาร์ทโฟน AI จะมี อัตราการเติบโตสองหลัก 4 ปีติดต่อกัน โดยจะมีการเติบโตเฉลี่ยในช่วงปี 2024-2028 ที่ +78.4% โดยการจัดส่งสมาร์ทโฟน GenAI ทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นเป็น 912 ล้านเครื่อง ภายในปี 2028

อย่างไรก็ตาม IDC มองว่า แม้ว่า GenAI จะมาเป็นตัวปฏิวัติประสบการณ์ผู้ใช้ในอนาคต แต่แบรนด์จำเป็นต้องมีการลงทุนเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มการรับรู้ของผู้บริโภค และแนะนำฟีเจอร์ที่ผู้บริโภครู้สึกว่า ต้องมี ที่จะเร่งผู้บริโภคอัปเกรด และมีความคิดเห็นไปในทิศทางเดียวกับ Counterpoint Research ว่า สมาร์ทโฟนที่มี GenAI จะมีราคาถูกลงเรื่อย ๆ โดย IDC ประเมินว่า สมาร์ทโฟน AI จะมีสัดส่วนเป็น 70% ของตลาดสมาร์ทโฟน ภายในปี 2028

ต้องยอมรับว่าความเร็ว แรง ลื่น กล้องสวย หรือจอพับ อาจไม่ใช่อะไรที่สร้างความตื่นเต้นให้กับผู้บริโภคมากเหมือนในอดีต แต่เป็นฟีเจอร์เอไอที่มาเปลี่ยนวิธีการใช้เทคโนโลยีและการใช้ชีวิตพื้นฐานของผู้บริโภค ดังนั้น การเพิ่มความสามารถเอไอบนสมาร์ทโฟนจะขับเคลื่อนการอัปเกรดและเป็นโอกาสที่สำคัญสำหรับทั้งผู้ขายและผู้พัฒนาแอปพลิเคชัน

canalys / chinadaily / idc / counterpointresearch

]]>
1507953
จับกระแส ‘ตลาดอีคอมเมิร์ซไทย’ ปี 2025 มีอะไรเปลี่ยนแปลงและน่าสนใจแค่ไหน? https://positioningmag.com/1507743 Thu, 23 Jan 2025 06:27:59 +0000 https://positioningmag.com/?p=1507743 ช่วงที่ผ่านมาตลาดอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยมีการเติบโตและความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจ โดยปีที่ผ่านมามีมูลค่า 1 ล้านล้านบาท สูงเป็นอันดับ 2 เป็นรองแค่อินโดนีเซีย ส่วนในปีนี้ตลาดอีคอมเมิร์ซในบ้านเราก็ยังเป็นสนามแข่งขันที่ดุเดือด ซึ่งทาง Priceza ได้สรุปทั้งมูลค่าและประเมินเทรนด์ต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในปีนี้ไว้อย่างน่าสนใจ

มูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซในประเทศไทย

ปี 2024 มูลค่า 1 ล้านล้านบาท เติบโต 9%

ปี 2025 มูลค่า 1.07 ล้านล้านบาท เติบโต 7%

ปี 2030 มูลค่า 2 ล้านล้านบาท

สำหรับช่องทางออนไลน์ที่คนไทยซื้อสินค้าออนไลน์

• 50% ซื้อผ่าน Marketplace เช่น shopee, Lazada, Konvy ฯลฯ

• 20% ซื้อผ่าน Video Commerce เช่น TikTok, Facebook, IG, YouTube ซึ่งช่องทางนี้เป็นช่องทางใหม่และกำลังมาแรง

• 18% ซื้อผ่าน Social Commerce เช่น Facebook, Line, IG, X  ฯลฯ

• 8% ซื้อผ่าน Quick Commerce & Grocery เช่น Grab, Lineman, 7-Eleven delivery, Big c ฯลฯ

• 4% E-Tailers และ Brand.com เช่น Powerbuy Boots Banana ฯลฯ

5 เทรนด์อีคอมเมิร์ซ ปี 2025

เทรนด์ที่ 1 The Rise of Affiliate Commerce : อีคอมเมิร์ซพันธุ์ใหม่จะขับเคลื่อนการเติบโตของอีคอมเมิร์ซในปี 2025 โดยแบรนด์ต่างๆ ได้นำกลยุทธ์ Affiliate Commerce ไปใช้กับการขายสินค้าด้วยการหลอมรวมในทุกช่องทางอีคอมเมิร์ซ โดยธุรกิจควรจับมือร่วมกับ Content creator เพื่อผลลัพธ์ทางการตลาดและยอดขายที่ดีมากขึ้น เพราะจากผลสำรวจพบว่า 83% ของคนไทย เลือกซื้อสินค้าตาม Influencer แนะนำ

สำหรับสิ่งที่จะขับเคลื่อน Affiliate Commerce เติบโต ได้แก่ 3C ประกอบด้วย Creators (ผู้สร้างสรรค์), Content (คอนเทนต์ เนื้อหาของสื่อ) และ Commerce (การค้าขาย) หมายความว่า ผู้บริโภคชอบคอนเทนต์ที่ดี และจากคอนเทนต์ที่ดี จะนำไปสู่การสร้างยอดขายให้กับแบรนด์ และสามารถวัดผลได้

เทรนด์ที่ 2 Competition in Thailand E-Commerce is Heating Up : ตลาดอีคอมเมิร์ซไทยเปิดทางให้เกิดการแข่งขันแบบเสรีขั้นสุดจากผู้ขายทั่วโลก

ปี 2025 จะเป็นปีแห่งการแข่งขันที่หนักหน่วงของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ เนื่องจากผู้ค้าออนไลน์ หลีกเลี่ยงการแข่งขันไม่ได้อีกต่อไป ซึ่งทาง Priceza ประเมินว่า ใน 3 แพลตฟอร์มใหญ่อย่าง Shopee, Lazada, TikTok มีผู้ขายรวมกันมากถึง 3 ล้านราย มีสินค้ากว่า 300 ล้านรายการ

สำหรับเหตุผลที่ผู้บริโภคจะตัดสินใจซื้อผ่านแพลตฟอร์มใด ขึ้นอยู่กับ

54% คูปองและส่วนลด

51.8% การจัดส่งฟรี

40.4% บริการเก็บเงินปลายทาง

30.7% คืนสินค้าง่าย

27.4% รีวิวจากลูกค้า

จากภาพดังกล่าว ทำให้แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซต่าง ๆ จึงพยายามทำให้เกิดการแย่งกันสร้างสินค้าและตั้งราคาถูกมาก ด้วยการดึงผู้ขายทั้งรายย่อย รายใหญ่ แบรนด์ต่าง ๆ รวมถึงโรงงานจีนและผู้ขายจากต่างประเทศให้เข้ามาเปิดช้อปบนแพลตฟอร์มของตัวเอง เพราะเมื่อมีผู้ขายเยอะ ยิ่งมีการแข่งขันและตั้งราคาให้ถูกลง ซึ่งจะดึงดูดให้ผู้บริโภคมาซื้อสินค้าบนออนไลน์มากขึ้น

วิธีนี้ แม้ผู้บริโภคจะได้ผลประโยชน์จากสินค้าราคาถูกลง ขณะเดียวกันก็ส่งผลกระทบต่อธุรกิจเล็ก ๆ ในประเทศ เพราะสินค้าราคาถูกจากจีนจะไหลเข้ามามากขึ้น โดยตอนนี้สินค้าจีนราคาไม่เกิน 1,500 บาท ได้รับการยกเว้นภาษีศุลากร ดังนั้นผู้ประกอบการไทยจำเป็นต้องมีการปรับตัว

เทรนด์ที่ 3 E-commerce Listening : ช่วยเปิดทางทำธุรกิจออนไลน์แบบ ‘รู้เขา รู้เรา’ เสริมแกร่งธุรกิจไทยแข่งขันในตลาดอีคอมเมิร์ซที่การแข่งขันสูง

จากการแข่งขันอย่างดุเดือดในธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ทำให้ปัจจุบันหลายแบรนด์ได้นำ E-commerce Listening เข้ามาใช้ เป้าหมายไม่ใช่แค่ทำความรู้จักและเข้าใจ ‘ลูกค้า’ เท่านั้น แต่ยังเป็นการเข้าใจ ‘คู่แข่ง’ ให้มากขึ้นด้วยเช่นกัน

สำหรับ E-commerce Listening ที่หลายแบรนด์นำมาใช้ จะประกอบด้วย 3C ได้แก่ Consumer (ลูกค้า) , Company (บริษัทของเรา) และ Compactors (คู่แข่ง) โดยต้องเจาะข้อมูลเชิงลึกในการจะเข้าใจว่าลูกค้าซื้ออะไรจากคู่แข่ง วิธีการขายหรือจำนวนชิ้นที่คู่แข่งขายได้ เพื่อให้รู้จักคู่แข่งได้ดีเท่ากับรู้จักลูกค้า สำหรับนำมาวางกลยุทธ์ได้อย่างถูกต้องและแม่นยำมากที่สุด

เทรนด์ที่ 4 E-Commerce Business Model Evolution : จากตลาดอีคอมเมิร์ซที่แข่งขันดุเดือด ทำให้ผู้เล่นต้องปรับเปลี่ยนให้เกิดโมเดลธุรกิจใหม่ ๆ โดยธุรกิจค้าปลีกรายใหญ่ของไทยได้ปรับโมเดลสู่การเน้นขายผ่านบ้านหลักของตัวเองมากขึ้นในปี 2025 ได้แก่

Consignment Model หรือระบบการฝากขาย ที่เน้นสินค้าราคาถูก และแพลตฟอร์มจะเป็นผู้ทำตลาดให้เอง ซึ่งในปีนี้จะเห็นหลายแพลตฟอร์มขยับมาสู่โมเดลนี้กันมากขึ้น

Vertical Marketplace แพลตฟอร์มที่ขายสินค้าเฉพาะเจาะจง เช่น Home Pro , Konvy, NocNoc เป็นต้น จะทำให้ผู้บริโภครู้สึกว่า เป็นมาร์เก็ตเพลสที่สามารถตอบโจทย์สินค้าเฉพาะกลุ่มได้มากกว่า

Refocus on Own Retail Channel ปีนี้แพลตฟอร์มอย่าง Shopee Lazada จะมีการขยับราคาค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ข้อมูลลูกค้าที่ขายผ่านทางมาร์เก็ตเพลส จะอยู่กับแพลตฟอร์ม ทำให้ให้บรรดาแบรนด์ และรีเทลต่าง ๆ หันมาให้ความสำคัญกับช่องทางขายของตัวเองมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์หรือแอปฯ

เทรนด์ที่ 5 Fast Delivery Like a Devil : ปีแห่งการส่งของไวเป็นปีศาจ ผู้บริโภคยุคใหม่ไม่อดทนรอสินค้าได้นาน หากผู้ขายรายใหม่สามารถส่งสินค้าภายในวันที่สั่งของได้ ผู้บริโภคก็พร้อมย้ายเจ้า และการส่งด่วนจากแพลตฟอร์มหรือร้านค้าต่าง ๆ นี่เองมีส่วนส่งเสริมให้ตลาด Quick Commerce เติบโตต่อเนื่องราว ๆ 20-30%  ต่อปี

 

]]>
1507743
รายได้ไม่เพิ่มสิแปลก! ‘Netflix’ เตรียม ‘ขึ้นราคา’ อีกระลอก พร้อมปรับคาดการณ์รายได้ปี 2025 ขึ้นเป็น 4.45 หมื่นล้านดอลลาร์ https://positioningmag.com/1507533 Wed, 22 Jan 2025 08:00:30 +0000 https://positioningmag.com/?p=1507533 ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ผู้บริโภคต้องเผชิญกับการ ปรับราคาขึ้นหลายครั้ง จากบริการสตรีมมิ่งเจ้าใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น Netflix, Disney+ และ MAX เพื่อที่จะ ทำกำไรเพิ่มมากขึ้น โดยล่าสุด Netflix ก็เตรียมขึ้นราคาอีกครั้งในทุกแพ็กเกจ

เน็ตฟลิกซ์ (Netflix) ยักษ์ใหญ่สตรีมมิ่งประกาศว่า จะมีการปรับราคาแพ็กเกจในตลาดสหรัฐฯ เป็นดังนี้

  • แพ็กเกจมาตรฐาน จาก 15.49 ดอลลาร์/เดือน เป็น 17.99 ดอลลาร์/เดือน
  • แพ็กเกจมีโฆษณา จาก 6.99 ดอลลาร์/เดือน เป็น 7.99 ดอลลาร์/เดือน
  • แพ็กเกจพรีเมียม จาก 22.99 ดอลลาร์/เดือน เป็น 24.99 ดอลลาร์/เดือน

แน่นอนว่าไม่ใช่แค่ในสหรัฐฯ ที่ปรับราคา แต่ในแคนาดา โปรตุเกส และอาร์เจนตินา ก็จะมีการปรับราคาด้วย อย่างไรก็ตาม ทางเน็ตฟลิกซ์ยังไม่ระบุว่าจะเริ่มปรับเมื่อไหร่

ทั้งนี้ ครั้งล่าสุดที่เน็ตฟลิกซ์ปรับขึ้นราคาแพ็กเกจมาตรฐานแบบไม่มีโฆษณาคือในปี 2022 ขณะที่แผนพรีเมียมปรับขึ้นราคาครั้งสุดท้ายคือในปี 2023 ในขณะเดียวกันในปี 2023 บริษัทก็เลิกใช้ตัวเลือกแบบพื้นฐานแบบไม่มีโฆษณาราคาถูกที่สุด หลังจากที่เพิ่มแพ็กเกจโฆษณาในราคาถูกกว่า เพื่อกระตุ้นการเติบโตของสมาชิก ที่ชะลอตัวลงในขณะนั้น 

นอกจากนี้ บริษัทยังได้บังคับใช้มาตรการ ปราบปรามการแชร์รหัสผ่าน เพื่อดึงให้ลูกค้าจ่ายค่าบริการ ซึ่งถือเป็นมาตรการที่ได้ผลอย่างมาก ส่งผลให้ช่วงไตรมาส 4/2024 ที่ผ่านมา เน็ตฟลิกซ์มีสมาชิกแบบชำระเงินเพิ่มขึ้นถึ19 ล้านราย และมีสมาชิกรวมทะลุ 300 ล้านราย

นอกจากจำนวนสมาชิกที่เติบโตอย่างมากแล้ว รายได้ของเน็ตฟลิกซ์ก็พุ่งถึง 10,250 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น +16% จากการเติบโตทั้งรายได้และจำนวนสมาชิก ดันให้หุ้นของบริษัทพุ่งขึ้นมากกว่า +14% โดยมีกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 4.27 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจากระดับ 2.11 ดอลลาร์ในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2023

สำหรับรายได้ปี 2025 นี้ เน็ตฟลิกซ์ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์รายได้ที่ 43,500 – 44,500 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจากการคาดการณ์ครั้งก่อนประมาณ 500 ล้านดอลลาร์ เพื่อสะท้อนถึงปัจจัยพื้นฐานทางธุรกิจที่ดีขึ้น และผลประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 4/2024 ที่แข็งแกร่งกว่าที่คาดไว้

สำหรับประเทศไทยอาจต้องลุ้นสักหน่อย ว่าจะปรับขึ้นราคาตามไปหรือไม่ โดยปัจจุบันมีให้เลือก 4 แพ็กเกจ ได้แก่

  • แพ็กเกจมือถือ (ดูผ่านมือถือ/แท็บเล็ตเท่านั้น) ราคาเดือนละ 99 บาท
  • แพ็กเกจพื้นฐาน (มีโฆษณาคั่น) ราคาเดือนละ 169 บาท
  • แพ็กเกจมาตรฐาน ราคาเดือนละ 349 บาท
  • แพ็กเกจพรีเมียม ราคาเดือนละ 419 บาท

Source

]]>
1507533
พร้อมเสียบ! ‘Meta’ เปิดตัว ‘Edits’ แอปฯ ตัดต่อวิดีโอใหม่คล้าย ‘CapCut’ ของ ‘TikTok’ https://positioningmag.com/1506992 Mon, 20 Jan 2025 07:31:42 +0000 https://positioningmag.com/?p=1506992 อย่างที่หลายคนรู้ว่า TikTok ได้ถูกแบนในสหรัฐฯ และมีการประเมินว่าแอปฯ อื่นอาจจะโดนร่างแหจากกฎหมายนี้ไปด้วยก็ได้ เช่น CapCut แอปฯ ตัดต่อชื่อดัง ที่อยู่ภายใต้บริษัท ByteDance เช่นกัน

แม้ว่า TikTok ในตลาดสหรัฐฯ จะถูกแบนเป็นเวลาสั้น ๆ ในวันที่ 19 มกราคมที่ผ่านมา ก่อนจะกลับมาให้บริการตามปกติ หลังจากที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวว่า เขาจะลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารในวันจันทร์ หลังการเข้ารับตำแหน่ง เพื่อชะลอการแบนแอปฯ ดังกล่าวจากรัฐบาลกลาง ตามที่เขาโพสต์ลงบน Truth Sociai โซเชียลมีเดียของเจ้าตัว

อย่างไรก็ตาม อนาคตของบริษัทก็ยังไม่ชัดเจนภายใต้กฎหมายในปัจจุบัน รวมไปถึงอีก 2 แพลตฟอร์มอย่าง CapCut และ Lemon8 ที่มีเจ้าของคนเดียวกันก็คือ บริษัท ByteDance 

แต่ถึงจะแบนหรือไม่แบน เจ้าพ่อโซเชียลฯ อย่าง Meta เจ้าของแพลตฟอร์ม Facebook และ Instagram ก็ชิงโอกาสเปิดตัวฟีเจอร์ตัดต่อวิดีโอ Edits เพื่อมาชนหรือแทนที่ CapCut หากถูกแบน

Adam Mosseri หัวหน้าทีม Instagram ได้เปิดตัวแพลตฟอร์ม Edits ผ่าน Threads ว่า แอปฯ ดังกล่าวออกแบบมาเพื่อ คนที่ถนัดการตัดต่อวิดีโอบนมือถือ โดยมีจุดเด่น ดังนี้ 

  • สามารถบันทึกคลิปสูงสุด 10 นาที และสามารถตัดต่อได้ทันที
  • สามารถส่งออกและแชร์ไปแพลตฟอร์มไหนก็ได้โดยไม่มีลายน้ำ
  • มีเครื่องมือให้ใช้ตัดต่อครบ
  • สามารถติดตามประสิทธิภาพของ Reels ผ่านแดชบอร์ดข้อมูลเชิงลึกแบบเรียลไทม์

อย่างไรก็ตาม แม้ว่า Edits จะสามารถดาวน์โหลดได้บน App Store แต่จะยัง ใช้งานไม่ได้ โดยจะใช้งานได้ในเดือน กุมภาพันธ์

ทั้งนี้ ตั้งแต่ที่ TikTok มีข่าวว่าจะโดนแบนในสหรัฐฯ ผู้ใช้งานหลายคนเริ่มมองหาแพลตฟอร์มใหม่เพื่อใช้แทน เช่น เรดโน้ต (RedNote) หรือ เสี่ยวหงชู (Xiaohongshu) ดังนั้น การที่ Meta เพิ่มแอปฯ ใหม่อย่าง Edits ก็ไม่ได้แปลว่าจะทำให้คนกลับมาใช้ Instagram เสมอไป

Source

]]>
1506992
‘OPPO’ แถลง ‘ขอโทษ’ พร้อมยืนยัน ลบข้อมูลลูกค้าที่ได้รับผลกระทบแล้วทั้งหมด พร้อมสัญญาจะไม่ติดตั้งแอปฯ เกี่ยวกับสินเชื่อที่ผิดกฎหมาย และพร้อมให้ความช่วยเหลือผู้ใช้งานที่ได้ผลกระทบ https://positioningmag.com/1506914 Fri, 17 Jan 2025 09:36:19 +0000 https://positioningmag.com/?p=1506914 จากกรณีที่มีการตรวจพบว่ามือถือ OPPO และ realme มีการติดตั้งแอปพลิเคชัน Fineasy และ สินเชื่อความสุข โดยล่าสุด ชานนท์ จิรายุกุล ประธานกรรมการอาวุโสฝ่ายบริหาร ออปโป้แห่งประเทศไทย ได้ออกมาแถลง ขอโทษ ต่อหน้าสื่อมวลชน

พร้อมอัปเดตการดำเนินการที่ผ่านมาว่า ตั้งแต่วันที่ 14 มกราคมที่ผ่านมา OPPO ได้ยุติการติดตั้งแอปพลิเคชันใหม่ทั้งหมด อีกทั้งได้ ยกเลิกการติดตั้งแอปพลิเคชัน ‘สินเชื่อทุกประเภท’ ที่ลงมากับสมาร์ทโฟนใหม่

และตั้งแต่วันที่ 16 มกราคมเป็นต้นมา OPPO ได้ทยอยปล่อย OTA (Over-The-Air) ในการอัปเดตการลบแอปฯ Fineasy และ สินเชื่อความสุข สำหรับสมาร์ทโฟนรุ่นที่ได้อัปเดต OTA ไปแล้วดังต่อไปนี้ รุ่น Find X 8 Series, Reno 13 Series รุ่น Reno 12 Series และรุ่น A Series ส่วนที่เหลือจะทยอยอัปเดตให้จนครบภายในวันที่ 27 มกราคมนี้

นอกจากนี้ OPPO ย้ำว่า รู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่ง และถือเป็นบทเรียนสำคัญ และจะให้ความสำคัญ และระมัดระวังมากขึ้นในการติดตั้งแอปพลิเคชันจากบุคคลที่ 3 พร้อมทั้งให้สัญญาว่า จะไม่มีการติดตั้งแอปฯ ล่วงหน้าที่เกิดจากการเกี่ยวกับสินเชื่อที่ผิดกฎหมาย

สำหรับผู้ใช้งานที่ได้ผลกระทบ ทาง OPPO ได้ตั้งสายด่วนพิเศษหมายเลข 1800-019-097 โดยให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง และกำลังเร่งดำเนินการร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นภาคหรือองค์กรอิสระ เพื่อให้การช่วยเหลือทางด้านกฎหมายกับผู้ได้รับผลกระทบ

]]>
1506914
‘ไมโครซอฟท์’ เตรียมขึ้นราคา ‘Microsoft 365’ ครั้งแรกในรอบ 12 ปี หลังเพิ่ม AI ให้ใช้งาน https://positioningmag.com/1506798 Fri, 17 Jan 2025 03:59:29 +0000 https://positioningmag.com/?p=1506798 เป็นเวลา 12 ปีแล้วที่ ไมโครซอฟท์ (Microsoft) เริ่มเก็บค่าบริการ Microsoft 365 หรือชื่อเดิม คือ Office 365 ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์เพื่อการทำงานที่เป็นรูปแบบของ Subscription และในยุคที่ไมโครซอฟท์ได้เพิ่มความสามารถใหม่ ๆ โดยเฉพาะ AI ทำให้ถึงเวลาที่จะ ขึ้นราคา เพื่อให้สอดคล้องกับความสามารถ

Microsoft ได้เปิดเผยว่า บริษัทกําลังนํา Copilot ซึ่งเป็น AI มาใส่ในแอปพลิเคชัน Word, Excel, PowerPoint, Outlook และ OneNote รวมถึงใส่ Microsoft Designer ซึ่งเป็นเครื่องมือแก้ไขภาพโดย AI และด้วยความสามารถใหม่ ๆ ที่เพิ่มเข้ามา ทำให้บริษัทต้อง ขึ้นราคา Microsoft 365 สำหรับผู้ใช้งานทั่วไปเป็น ครั้งแรกในรอบ 12 ปี

“เพื่อสะท้อนถึงสิทธิประโยชน์การสมัครสมาชิกที่เราเพิ่มเข้ามาในช่วง 12 ปีที่ผ่านมา และช่วยให้เราสามารถส่งมอบนวัตกรรมใหม่ ๆ สําหรับปีต่อ ๆ ไป” Bryan Rognier รองประธานของ Microsoft 365 Consumer กล่าว

ทั้งนี้ การขึ้นราคาในแต่ละประเทศจะไม่เท่ากัน โดยในสหรัฐอเมริกา ราคา Microsoft 365 Personal จะอยู่ที่ 6.99 ดอลลาร์ต่อเดือน และ 69.99 ดอลลาร์ต่อปี เพิ่มเป็น 9.99 ดอลลาร์ต่อเดือน และ 99.99 ดอลลาร์ต่อปี ส่วนแพ็กเกจ Microsoft 365 Family ซึ่งให้บริการได้ถึง 6 คน เพิ่มขึ้นจาก 9.99 ดอลลาร์ต่อเดือน และ 99.99 ดอลลาร์ต่อปี เป็น 12.99 ดอลลาร์ต่อเดือน และ 129.99 ดอลลาร์ต่อปี

ประเทศไทยเองก็ไม่รอด โดย Microsoft 365 Personal จาก 2,099 บาทต่อปี เป็น 2,999 บาทต่อปี และ Microsoft 365 Family เพิ่มจาก 2,899 บาทต่อปี เป็น 3,699 บาทต่อปี

ข้อมูล ณ เดือนกันยายน 2567 ทาง Microsoft มีสมาชิกผู้บริโภค Microsoft 365 อยู่ที่ 84.4 ล้านคน เพิ่มขึ้น 10% โดยผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์และบริการคลาวด์ของ Microsoft 365 คิดเป็น 31% ของรายได้  ในขณะที่ผลิตภัณฑ์สําหรับผู้บริโภคและบริการคลาวด์ของ Microsoft 365 มีสัดส่วนน้อยกว่า 3% 

อย่างไรก็ตาม หากลูกค้าไม่อยากใช้งานฟีเจอร์ AI ลูกค้าก็สามารถเปลี่ยนไปใช้แพ็กเกจที่ไม่มี Copilot หรือ AI อื่น ๆ ได้ หรือที่เรียกว่า Personal Classic และ Family Classic แต่จะทำให้ไม่ได้ใช้งานฟีเจอร์ใหม่อื่น ๆ ในอนาคต หรือสามารถเปลี่ยนไปสมัครแพ็คเกจพื้นฐาน Microsoft 365 Basic ได้ ในราคา 69 บาทต่อเดือน

แม้ว่า Microsoft จะขึ้นราคา Microsoft 365 สำหรับผู้ใช้ทั่วไปในรอบ 12 ปี แต่ถ้าเป็นฝั่งลูกค้า องค์กร ทาง Microsoft ได้ขึ้นราคาไปแล้วในปี 2022 ซึ่งถือเป็นการขึ้นราคาครั้งแรก 

Source

]]>
1506798
ต้องเตรียมเงินไว้เยอะหน่อย! ประเมินราคา ‘TikTok’ ในสหรัฐฯ อาจแตะ 1.75 ล้านล้านบาท หาก ByteDance ขาย https://positioningmag.com/1506674 Thu, 16 Jan 2025 12:25:27 +0000 https://positioningmag.com/?p=1506674 ใกล้ถึงเส้นตายชี้ชะตาแพลตฟอร์ม TikTok ในวันอาทิตย์ที่ 19 มกราคมนี้ ว่าทาง ByteDance จะเลือก ปิด หรือ ขาย แพลตฟอร์มให้กับบริษัทสหรัฐฯ ซึ่งก็มีการประเมินว่า มูลค่าการซื้อขายแพลตฟอร์มจะสูงแตะ 50,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 1.75 ล้านล้านบาทเลยทีเดียว

อย่างที่รู้กันว่า TikTok กำลังเผชิญกับการแบนที่ในตลาดสหรัฐอเมริกา หากศาลฎีกาตัดสินใจบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติ ซึ่งวันที่ 19 มกราคมที่จะถึงนี้จะเป็นวันตัดสินชะตา ดังนั้น อีกทางเลือกของ ByteDance ที่จะไม่ยอมปิด TikTok ไปโดยไม่ได้อะไร อาจตัดสินใจขายแพลตฟอร์มให้บริษัทสัญชาติอเมริกัน

แม้ว่าปัจจุบัน ทาง ByteDance ยังไม่ได้ระบุว่าจะขายให้บริษัทไหนในสหรัฐฯ แต่ รัฐบาลจีน ได้พิจารณาแผนที่จะให้มหาเศรษฐี อีลอน มัสก์ (Elon Musk) เจ้าของ Tesla และ X เข้าซื้อกิจการดังกล่าว ตามที่ Bloomberg  รายงาน

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามที่คิดจะซื้อ TikTok ก็ต้องอาจเตรียมเงินไว้มหาศาลพอสมควร โดย Angelo Zino รองประธานอาวุโสของ CFRA Research ประเมินว่า หาก ByteDance ตัดสินใจขาย ผู้ซื้อที่อาจต้องเตรียมเงินไว้ราว ๆ 40,000 – 50,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.4-1.75 ล้านล้านบาท) โดยอ้างอิงจากการประมาณการฐานผู้ใช้และรายได้ของ TikTok ในสหรัฐอเมริกาเมื่อเปรียบเทียบกับแอปคู่แข่ง

จากการประเมินของบริษัทวิเคราะห์ตลาด Sensor Tower คาดว่า ปัจจุบัน TikTok มีผู้ใช้งานในสหรัฐฯ ประมาณ 115 ล้านคนต่อเดือน ซึ่งน้อยกว่า Instagram เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ทางด้านนักวิเคราะห์จาก Bloomberg Intelligence กลับมองว่า มูลค่าของ TikTok ในสหรัฐฯ อาจจะอยู่ที่ 30,000-35,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1 – 1.2 ล้านล้านบาท) เนื่องจากเป็นการ ขายโดยบังคับ นอกจากนี้ บริษัทที่เข้าซื้อ TikTok อาจต้องเผชิญการตรวจสอบด้านกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวของข้อมูล ซึ่งถือเป็นเรื่องท้าทาย นอกจากนี้ ยังอาจทำให้ผู้ซื้อขยายธุรกิจโฆษณาของ TikTok ได้ยากอีกด้วย

ที่ผ่านมา กลุ่มนักธุรกิจรวมถึงมหาเศรษฐี แฟรงก์ แม็คคอร์ต และ เควิน โอเลียรี ประธานบริษัท O’Leary Ventures ได้เคยยื่นข้อเสนอเพื่อซื้อ TikTok จาก ByteDance ในราคาถึง 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยไม่ต้องใช้อัลกอริทึมของ TikTok

ก็คงต้องรอดูบทสรุปของ TikTok ในวันที่ 19 มกราคมนี้ ว่าจะถูกแบนหรือถูกขาย หรืออาจจะยังดำเนินธุรกิจได้ต่อไป เพราะได้รัฐบาลของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนล่าสุด ที่เคยประกาศไว้แล้วว่าจะไม่แบน TikTok

Source

]]>
1506674
‘Xiaomi’ ขึ้นแท่นสมาร์ทโฟนที่เติบโตมากที่สุดในกลุ่ม Top5 ส่วน ‘OPPO’ หดตัวมากที่สุด -8% https://positioningmag.com/1506377 Tue, 14 Jan 2025 07:45:15 +0000 https://positioningmag.com/?p=1506377 หลังจากที่ตลาดสมาร์ทโฟนอยู่ในช่วงหดตัวต่อเนื่องมา 2 ปี และในปี 2023 ยังเป็นปีที่ตลาดหดตัวมากที่สุดในรอบ 10 ปี ในที่สุดตลาดปี 2024 ก็สามารถเติบโตได้ +4% โดย ซัมซุง (Samsung) และ แอปเปิล (Apple) ยังคงเป็น 2 ผู้นำในกลุ่ม Top 5 แบรนด์ชั้นนำ

Counterpoint Research เปิดเผยว่า ยอดขายสมาร์ทโฟนทั่วโลกในปี 2024 เพิ่มขึ้น +4% เนื่องจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคดีขึ้นกว่าปีก่อน โดย Tarun Pathak ผู้อํานวยการฝ่ายวิจัย มองว่า สมาร์ทโฟนยังคงเป็นสินค้าจําเป็นในการใช้ชีวิตประจําวันของผู้คน และในขณะที่แรงกดดันทางเศรษฐกิจมหภาคอ่อนลง ตลาดเริ่มแสดงสัญญาณการฟื้นตัวตั้งแต่ Q4/2023 จนสามารถเติบโตได้ 5 ไตรมาสติดต่อกันในเกือบทุกตลาดนําโดย ยุโรป จีน และละตินอเมริกา

สำหรับ 2 แบรนด์ผู้นำยังคงเป็น Samsung (+1) และ Apple (-2%) ซึ่งผลประกอบการค่อนข้างทรงตัว มีเพียง เสียวหมี่ (Xiaomi) ที่สามารถเติบโตเร็วที่สุด (+12%) ครองตำแหน่ง เบอร์ 3 ส่วน ออปโป้ (OPPO) หดตัวมากที่สุด (-8%) โดยยังคงครองเบอร์ 4 ของตลาด ส่วน วีโว่ (Vivo) สามารถเติบโตได้ (+9%)

สำหรับ Samsung ยังคงครองเบอร์ 1 ด้วยส่วนแบ่งตลาด 19% ความแข็งแกร่งจากผลิตภัณฑ์ S24 series และ A-series โดยเฉพาะ S24 ที่เป็นโทรศัพท์ รุ่นแรก ที่มี AI โดยได้รับการตอบรับที่ดีเป็นพิเศษในยุโรปตะวันตกและสหรัฐอเมริกา ส่วนเบอร์ 2 อย่าง Apple ด้วยส่วนแบ่ง 18% ก็ยังได้รับการตอบรับที่ดีจาก iPhone 16 อย่างไรก็ตาม Apple ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งในตลาดที่ไม่ใช่ตลาดหลัก เช่น ละตินอเมริกา แอฟริกา และเอเชียแปซิฟิก-อื่น ๆ

Xiaomi เติบโตเร็วที่สุดเนื่องจากการปรับโครงสร้างพอร์ตโฟลิโอ โดยเน้นไปที่กลุ่มพรีเมียม ส่วน Vivo ก็เติบโตได้ดีจากตลาดอินเดีย และจีน ด้าน OPPO ต้องสูญเสียส่วนแบ่งบางส่วนจากการแข่งขันที่ดุเดือดจาก Huawei, HONOR และ Motorola ซึ่งเป็น OEM ที่เติบโตเร็วที่สุดใน 10 อันดับแรกของแบรนด์ทั้งหมด

ทั้งนี้ ปี 2024 ถือเป็นปีแห่งการนำ GenAI มาสู่สมาร์ทโฟน ซึ่งกลายเป็นเทคโนโลยีที่อาจปฏิวัติวงการ แม้ว่าปัจจุบัน เทคโนโลยีดังกล่าวส่วนใหญ่จะอยู่ในสมาร์ทโฟนกลุ่ม พรีเมียม แต่คาดว่า GenAI จะกลายเป็นบรรทัดฐานสําหรับสมาร์ทโฟนระดับกลางภายในปี 2028 โดย 90% ของสมาร์ทโฟนที่มีราคาสูงกว่า 250 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 9,000 บาท)จะมีความสามารถ GenAI

อย่างไรก็ตาม ทาง Counterpoint Research มองว่า ปริมาณสมาร์ทโฟนในตลาดจะไม่ยังไม่ไปแตะถึงระดับสูงสุดที่เห็นในช่วงก่อนโควิด ทำให้ผู้เล่นในตลาดจะเน้นเจาะไปที่กลุ่มพรีเมียมเพื่อเพิ่มรายได้ต่อเครื่อง โดยจะเห็นได้จากปี 2024 ที่ยอดขายสมาร์ทโฟนระดับพรีเมียมที่มี ราคาสูงกว่า 1,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 35,000 บาท) เติบโตเร็วที่สุดในปี 2024 เนื่องจากผู้บริโภคแสดงความชอบใช้จ่ายมากขึ้นสําหรับสมาร์ทโฟนรุ่นต่อไป ดังนั้น ในปี 2025 คาดว่าการเติบโตของมูลค่าตลาดจะยังคงแซงหน้าการเติบโตของปริมาณ โดยมูลค่าจะเพิ่มขึ้น +8% เมื่อเทียบกับการเติบโตของปริมาณ +4%

Source

]]>
1506377
มาใหม่อีกหนึ่ง! รู้จักแพลตฟอร์ม ‘Xiaohongshu’ ที่ชาวเมกันหวังใช้แทน ‘TikTok’ หากถูกแบน https://positioningmag.com/1506373 Tue, 14 Jan 2025 04:30:30 +0000 https://positioningmag.com/?p=1506373 ในช่วงต้นปี จู่ ๆ แพลตฟอร์ม Lemon8 ก็ถูกดาวน์โหลดเป็นอันดับ 1 บน App store โดยหลายคนมองว่าเป็นเพราะจะใช้แทน TikTok ที่จ่อโดนแบบในสหรัฐฯ แต่หลายคนอาจไม่รู้ว่า Lemon8 ก็มี ByteDance เป็นเจ้าของ ทำให้อาจถูกแบนได้เหมือนกัน จนล่าสุดชาวอเมริกันก็ค้นพบตัวแทนใหม่อย่าง Xiaohongshu

แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียจาก จีน อย่าง Xiaohongshu (เสี่ยว ฮง ซู) หรือชื่อสากลอย่าง RedNote ได้มียอดดาวน์โหลดพุ่งทะยานขึ้นสู่อันดับสูงสุดของ App Store ตามมาด้วยแพลตฟอร์ม Lemon8 เนื่องจากผู้ใช้งาน TikTok ในสหรัฐฯ กำลังมองหา ทางเลือกอื่น หาก TikTok โดนแบน ซึ่งจะมีการตัดสินวันที่ 19 มกราคมนี้

อย่างไรก็ตาม บรรดาครีเอเตอร์ของ TikTok บางรายกำลังดำเนินการแผนฉุกเฉินโดยการย้ายไปยังแพลตฟอร์ม RedNote อาทิ allieusyaps ที่โพสต์ว่า แม้ TikTok จะถูกแบนในสหรัฐอเมริกา แต่เขาและครีเอเตอร์รายอื่น ๆ จะไม่กลับไปที่ Instagram และ Facebook เนื่องจากพวกเขาเข้าร่วมกับ RedNote แล้ว นอกจากนี้ มีผู้ใช้อย่าง Krystan Walmsley ที่เริ่มโพสต์วิดีโอสั้นสอนผู้คนเกี่ยวกับการตั้งค่าและตกแต่งบัญชี RedNote ของพวกเขา

สำหรับ Xiaohongshu ถือกำเนิดขึ้นในปี 2013 โดยเป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียแนว ไลฟ์สไตล์ผสมกับอีคอมเมิร์ซ ยอดนิยมของชาว Gen Z จีน โดยมีจำนวนผู้ใช้กว่า 300 ล้านคน ซึ่ง Xiaohongshu ถือเป็นคู่แข่งรายสำคัญของ Alibaba และ Douyin หรือก็คือ TikTok เวอร์ชั่นประเทศจีนของ ByteDance และ Xiaohongshu ก็ถือเป็น แรงบัลดาลใจสำคัญ ที่ทำให้ ByteDance พัฒนาแพลตฟอร์ม Lemon8 ออกมา

จุดเด่นของ Xiaohongshu คือ ผู้ใช้สามารถแชร์วิดีโอสั้น ๆ และรูปภาพเกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแฟชั่น ความงาม อาหาร การเดินทาง ซึ่งเหมาะกับการใช้ ป้ายยา ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่ผู้ใช้มักจะค้นหารีวิวและ เกี่ยวกับสินค้าหรือบริการจาก KOLs

ปัจจุบัน Xiaohongshu มีมูลค่า 17,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังจากระดมทุนในเดือนกรกฎาคมจากนักลงทุน เช่น Boyu Capital และ HongShan Capital Group ซึ่งเคยเป็นแผนกการลงทุนในจีนของ Sequoia Capital ตามข้อมูลของ PitchBook โดยระดมทุนได้ทั้งหมดกว่า 900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีพนักงานมากกว่า 2,000 คน  

Source

]]>
1506373