Digital – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 15 Nov 2024 07:55:28 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 สำรวจเทรนด์ Social Media Marketing ปี 2025 สิ่งที่แบรนด์ต้องรู้มีอะไรบ้าง? https://positioningmag.com/1499277 Fri, 15 Nov 2024 06:53:05 +0000 https://positioningmag.com/?p=1499277 Social Media ถือเป็นเครื่องมือทางการตลาดที่แบรนด์ต่าง ๆ ให้ความสำคัญ บทความนี้จึงอยากจะมาอัปเดตเทรนด์ Social Media Marketing ปี 2025 เพื่อให้นักการตลาดและแบรนด์เตรียมความพร้อมในการวางกลยุทธ์พิชิตใจลูกค้าและสร้างความได้เปรียบทางธุรกิจแบบไม่ตกขบวน ก่อนจะก้าวเข้าสู่ปี 2025 ซึ่งเป็นอีกปีที่เต็มไปด้วยความท้าทายมากมาย   

อยากที่ทราบกันว่า โลกของ Social Media เองก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว หากใครสามารถจับกระแส หรือ  เทรนด์ได้ก่อนอย่างแม่นยำ นั่นหมายถึงโอกาสทางการตลาดที่เพิ่มขึ้น แล้วในปี 2025 ทิศทางและแนวโน้มของ Social Media Marketing จะเป็นอย่างไร มีอะไรน่าสนใจบ้าง

AI อาวุธที่ต้อง (นำมา) ใช้

ช่วงปีที่ผ่านมาคำว่า AI อาจเป็นคำฮิตที่เราได้ยินกันบ่อย แต่ในปี 2025 AI จะถูกนำมาใช้มากขึ้นในแวดวงต่าง ๆ รวมถึงการทำการตลาดผ่านโซเชียลมีเดีย โดย AI จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงรูปแบบการสร้างคอนเทนต์และช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพของโซเชียลมีเดียให้ดีขึ้น ด้วยการเข้ามาช่วยวิเคราะห์ข้อมูล, สร้างเนื้อหา และแม้แต่ตั้งโพสต์อัตโนมัติให้สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมาย ทำให้นักการตลาดมีเวลาสำหรับการคิดสร้างสรรค์และวางกลยุทธ์มากขึ้นแทนที่จะต้องเสียเวลาส่วนใหญ่ไปกับการจัดการกับงานซ้ำๆ

ความสำคัญของ AI กับ Social Media Marketing ยังสะท้อนได้จากการประกาศทุ่มการลงทุนด้าน AI ของ Meta เจ้าของแพลตฟอร์ม Facebook, Instagram และ WhatsApp เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของแพลตฟอร์มให้ดีเหนือคู่แข่ง ซึ่งทั้งหมดเป็นสิ่งที่แบรนต้องติดตามการเปลี่ยนแปลงและนำมาผสมผสานให้เข้ากับกลยุทธ์โซเชียล มีเดียของตัวเอง

Short Video ยังไม่ไปไหน

ในปี 2025 Short  Video หรือวิดีโอสั้นยังคงเป็นเนื้อหาที่ได้รับความนิยมและครองส่วนแบ่งการมีส่วนร่วมของผู้ใช้ บนแพลตฟอร์มต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น TikTok, Instagram, Reels และ YouTube แต่ประเด็นที่น่าสนใจมากไปกว่านั้น คือ ผู้คนจะไม่ได้แค่เลื่อนดูเนื้อหาเฉยๆ แต่กำลังพยายามเชื่อมต่อกับแบรนด์ หากแบรนด์นั้นสามารถบอกเล่าเรื่องราวได้น่าสนใจในเวลาที่รวดเร็ว

สำหรับวีดีโอสั้นที่สามารถดึงดูดสายตาและเข้าถึงผู้ชมได้อย่างรวดเร็ว ต้องบอกเล่าเรื่องราวหรือส่งสารที่เป็น Call Value ภายในไม่เกิน 30 วินาที นั่นเพราะว่าปัจจุบันช่วงความสนใจโดยเฉลี่ยของผู้ใช้โซเชียลมีเดียกำลังลดลง โดยแบรนด์ต้องนำเสนอเนื้อหาที่เน้นย้ำถึงคาแรกเตอร์และคุณค่าของแบรนด์ได้ตรงประเด็น มีความสมจริง

นอกจากนี้ ในปี 2025 แบรนด์ที่ได้รับชัยชนะจะไม่ใช่แค่แบรนด์ที่ทุ่มงบ เพื่อให้มีเสียงดังที่สุดในการสื่อสารเท่านั้น เนื่องจากการทำการตลาดผ่านวิดีโอสั้นให้ประสบความสำเร็จ กุญแจสำคัญยังขึ้นอยู่กับความสม่ำเสมอในการโพสต์ด้วย เพราะการโพสต์เป็นประจำจะเป็นการสร้างการรับรู้และช่วยให้แบรนด์อยู่ในใจของลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง

AR ไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นกระแสหลัก

เทรนด์ที่เราจะเห็นต่อมาของ Social Media Marketing ในปีหน้า ก็คือ Augmented Reality หรือ AR จะไม่ใช่แนวคิดที่ล้ำยุคอีกต่อไป แต่จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของโซเชียลมีเดีย ที่จะเปลี่ยนวิธีการโต้ตอบระหว่างผู้บริโภคกับแบรนด์และสร้างประสบการณ์ลองสินค้าแบบสมจริง เพื่อช่วยลดความลังเลใจจากการช้อปปิ้งออนไลน์ได้เป็นอย่างดี

สำหรับแบรนด์ที่ต้องการนำ AR มาใช้ประโยชน์ในการทำมาร์เก็ตติ้ง สามารถเริ่มต้นง่าย ๆ เช่น หากเป็นผู้นำแบรนด์ความงาม อาจลองพิจารณาใช้ฟิลเตอร์ที่ให้ผู้ใช้สามารถลองเครื่องสำอางได้เสมือนจริง หรือหากอยู่ในธุรกิจค้าปลีกหรืออีคอมเมิร์ซ อาจใช้ AR มาผสมผสานรวมกับผู้ให้บริการแพลตฟอร์มรายใหญ่ อาทิ Instagram และ Snapchat ที่มีการนำเสนอเครื่องมือนี้อยู่แล้วก็ได้ แต่ขอให้เริ่มและลงมือนำมาใช้เพื่อเพิ่มช่องทางการเข้าถึงลูกค้าและสร้างโอกาสในการเติบโตของแบรนด์

ความถูกต้องตามจริงเป็นสิ่งสำคัญ

ผู้คนเบื่อหน่ายกับโฆษณาที่ดูดีเกินจริง เพราะฉะนั้น ในปี 2025 การนำเสนอคอนเทนต์ที่ถูกต้องตามจริงจึงสำคัญมาก ๆ และเนื้อหาที่สร้างโดย UGC (User Generated Content) หรือ คอนเทนต์ที่ผู้บริโภคหรือลูกค้ากลุ่มเป้าหมายผลิตขึ้นมาเอง ด้วยการพูดถึงแบรนด์ที่ประทับใจหรือให้ความสนใจโดยแบรนด์ไม่ต้องเสียเงินจ้างแม้แต่บาทเดียว จะยังคงเป็นหนึ่งในวิธีที่สร้างความไว้วางใจระหว่างลูกค้ากับแบรนด์ได้อย่างทรงพลังที่สุด

ดังนั้นแบรนด์ จึงควรสร้างแคมเปญเชิญชวนให้ผู้บริโภคเข้ามาแบ่งปันเรื่องราวของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นการให้ติดแฮชแท็กบน TikTok หรือไฮไลต์การรีวิวบน Instagram ด้วยการกระตุ้นให้ลูกค้าแบ่งปันประสบการณ์ของตนเองเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ได้รับจากแบรนด์ ซึ่งไม่เพียงจะเป็นการสร้างคอมมูนิตี้เท่านั้น แต่ยังเพิ่มการพิสูจน์ทางสังคมที่โฆษณาใดๆ ไม่สามารถเลียนแบบได้

Micro Influencer มาแรง

ในอดีตการใช้ Influencer ในการทำมาร์เก็ตติ้ง แบรนด์ส่วนใหญ่มักจะให้ความสำคัญที่จะร่วมมือกับ Influencer ที่มีผู้ติดตามหลายล้านคน แต่สำหรับปี 2025 การทำมาร์เก็ตติ้งผ่านรูปแบบนี้ แบรนด์จะหันมาโฟกัสกับ Micro Influencer หรือ Influencer ที่มีผู้ติดตามบนโซเชียลมีเดียประมาณ 10,000 – 100,000 คน

ทำไมแบรนด์ถึงให้ความสำคัญกับ Micro Influencer ? นั่นเพราะว่า เป็นกลุ่มที่มียอด Engagement ค่อนข้างสูง และผู้บริโภคมีแนวโน้มเชื่อในรีวิวของ Influencer กลุ่มนี้จากความน่าเชื่อถือ ดูเรียล และดูจริงใจ ซึ่งจะส่งดีต่อแบรนด์

อย่างไรก็ตาม นอกจากเทรนด์ข้างต้นแล้ว สิ่งที่นักการตลาดและแบรนด์ต้องตระหนักถึงให้มากในปี 2025 กับการทำ Social Media Marketing ก็คือ การวางแผนให้เตรียมพร้อมรับมือเมื่อเกิดวิกฤตต่าง ๆ จากโซเชียลมีเดีย ไม่ว่าจะเป็น ความผิดพลาดในการประชาสัมพันธ์ การละเมิดข้อมูล หรือโพสต์ที่สร้างความขัดแย้ง

เพราะด้วยการเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วของโซเชียลมีเดีย สามารถสร้างและทำลายชื่อเสียงของแบรนด์ได้ภายในเวลาไม่กี่นาที ฉะนั้น เมื่อเกิดความผิดพลาด หรือเหตุการณ์ไม่คาดคิด จึงจำเป็นต้องมีแผนบริหารจัดการวิกฤตของโซเชียลมีเดียให้ชัดเจน ซึ่งเป็นอีกสิ่งสำคัญของ Social Media Marketing

ที่มา : Forbes, Medium

]]>
1499277
สหรัฐฯ สั่ง ‘TSMC’ ห้ามส่งชิปขั้นสูงให้ ‘จีน’ หวังสกัดการพัฒนา AI https://positioningmag.com/1498278 Mon, 11 Nov 2024 04:25:36 +0000 https://positioningmag.com/?p=1498278 สหรัฐอเมริกา ยังคงเดินหน้าแบนหัวเว่ย โดยไม่ใช่แค่คุมเข้มการส่งออก ชิป หรือ เซมิคอนดักเตอร์ ของบริษัทสัญชาติสหรัฐฯ เพราะหลังจากที่มีการพบว่า หัวเว่ย ได้ใช้ชิปจาก TSMC บริษัทผู้ผลิตชิปสัญชาติไต้หวัน ทำให้สหรัฐฯ ได้ขอให้เลิกจัดส่งชิปขั้นสูงไปยังจีน

กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ได้ขอให้ TSMC หรือ Taiwan Semiconductor Manufacturing Company บริษัทผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ชั้นนำของโลก หยุดส่งชิปขนาด 7 นาโนเมตร หรือมากกว่า ซึ่งเป็นชิปขั้นสูงที่มีไว้สําหรับขับเคลื่อน AI และหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) ไปยังประเทศจีน โดยจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 11 พ.ย. นี้

โดยก่อนหน้านี้ ทาง Tech Insights บริษัทวิจัยด้านเทคโนโลยีได้แยกชิ้นส่วนสินค้าของ หัวเว่ย (Huawei) ที่เผยให้เห็นชิปของ TSMC อยู่ภายใน ซึ่งถือเป็นการ ละเมิดการควบคุมการส่งออก เพราะหัวเว่ยถูกสหรัฐฯ ขึ้นบัญชีดำ ส่งผลให้ทาง TSMC ต้องหยุดจัดส่งชิปให้กับบริษัท Sophgo เนื่องจากคาดว่าเป็นบริษัทที่ส่งต่อชิปให้ทางหัวเว่ย

จากเหตุการณ์ดังกล่าวนำมาสู่การปราบปรามครั้งนี้ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อบริษัทอื่น ๆ อีกมากมายในจีน และจะช่วยให้สหรัฐฯ ประเมินว่าบริษัทอื่น ๆ กําลังเปลี่ยนเส้นทางชิปสําหรับ AI ไปยังหัวเว่ยหรือไม่ 

ที่ผ่านมา ฝ่ายบริหารของประธานาธิบดี โจ ไบเดน ได้ร่างกฎใหม่เกี่ยวกับการส่งออกอุปกรณ์ทําชิปจากต่างประเทศ และวางแผนที่จะเพิ่มบริษัทจีนประมาณ 120 แห่ง ในรายชื่อนิติบุคคลที่จํากัดของกระทรวงพาณิชย์ รวมถึงโรงงานผลิตชิป ผู้ผลิตเครื่องมือ และบริษัทที่เกี่ยวข้อง อย่างไรก็ตาม ร่างดังกล่าวยังไม่ถูกบังคับใช้

ทั้งนี้ จากรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ผ่านมาของ TSMC แสดงให้เห็นว่า บริษัทมีรายได้จากชิปขนาด 7 นาโนเมตรหรือชิปขั้นสูงถึง 69% จากรายได้ทั้งหมด 

Source

]]>
1498278
จับตา ‘ซัมซุง’ เข้าสังเวียนชิปเอไอ หลังถูก SK Hynix คู่แข่งร่วมชาติปาดหน้า จนมูลค่าบริษัทร่วง 4 ล้านล้านบาท https://positioningmag.com/1498217 Fri, 08 Nov 2024 14:01:40 +0000 https://positioningmag.com/?p=1498217
ในวันที่แอปพลิเคชัน AI เช่น ChatGPT ของ OpenAI ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น ส่งผลให้การสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่จําเป็นในการฝึกโมเดลขนาดใหญ่ก็เติบโตขึ้นตาม ซึ่งหนึ่งในหัวใจหลักของโครงสร้างพื้นฐานก็คือ หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) ซึ่งนั่นทำให้ Nvidia บริษัทผู้ผลิต GPU ชั้นนำของโลกกลายเป็นผู้เล่นเบอร์ 1 ในตลาด และกลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงสุดในโลก เนื่องจาก GPU ของ Nvidia ได้กลายเป็นมาตรฐานที่ใช้โดยยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีสําหรับการฝึกอบรม AI

อย่างไรก็ตาม ส่วนสําคัญของสถาปัตยกรรมเซมิคอนดักเตอร์นั้นคือ หน่วยความจําแบนด์วิดท์สูง หรือ HBM ซึ่งก่อนที่ AI จะเติบโตตลาด HBM นั้นมีขนาดค่อนข้างเล็ก และนั่นคือจุดที่ ซัมซุง (Samsung) พลาดไป เพราะบริษัทไม่ได้มุ่งเน้นที่จะพัฒนาในส่วนนี้ เนื่องจากมีความซับซ้อนและลงทุนสูง แถมตลาดยังเล็ก

อย่างไรก็ตาม SK Hynix มองเห็นโอกาสนี้ บริษัทเปิดตัวชิป HBM ซึ่งชิปดังกล่าวได้รับการอนุมัติให้ใช้ในสถาปัตยกรรม Nvidia ส่งผลให้บริษัท SK Hynix จึงมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ Nvidia

ด้วยเหตุนี้เองทำให้ซัมซุงต้องพ่ายให้กับ SK Hynix จนทำให้บริษัทสูญเสียมูลค่าตลาดไปถึง 126,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 4 ล้านล้านบาท เพราะแม้ว่าซัมซุงจะมีธุรกิจหลากหลาย และรายได้หลักจะมาจากธุรกิจอย่างสมาร์ทโฟนกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ แต่ธุรกิจชิปเป็นธุรกิจที่ทำกำไรได้ดีที่สุด ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่ผลประกอบการของซัมซุงจะลดลง จนทำให้บริษัทต้องยอมออกมาขอโทษบรรดานักลงทุน ในขณะที่ SK Hynix กลับสามารถทำกำไรสูงเป็นประวัติศาสตร์ในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม ซัมซุงกำลังเร่งผลิต HBM ในชื่อ HBM3E โดยในช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมา ยอดขาย HBM ของซัมซุงเติบโตกว่า 70% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 และซัมซุงได้เปิดเผยว่ากำลังพัฒนา HBM4 ซึ่งเป็นรุ่นถัดไป โดยคาดว่าจะสามารถผลิตจำนวนมากได้ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2025

แม้ว่าซัมซุงจะมี HBM3E ในตลาด แต่ยังถือว่าตามหลังคู่แข่งอย่าง SK Hynix อยู่ ดังนั้น ถ้าซัมซุงจะกลับมาสู่ตลาด HBM ในตอนนี้อาจต้องรอ Nvidia คัดเลือก ซึ่งในปัจจุบันซัมซุงยังไม่เสร็จสิ้นการตรวจสอบนี้ และถ้าซัมซุงได้ไฟเขียวจาก Nvidia ก็จะทำให้ซัมซุงกลับสู่การเติบโตและแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นกับ SK Hynix โดยทางซัมซุง

โดยทางซัมซุง เปิดเผยว่า บริษัทมีความก้าวหน้าเกี่ยวในกระบวนการคัดเลือกของ Nvidia ว่า เสร็จสิ้นขั้นตอนสําคัญในกระบวนการคัดเลือก และคาดว่าจะเริ่มขยายยอดขายในไตรมาส 4 ในขณะที่นักวิเคราะห์เชื่อว่า ด้วยความแข็งแกร่งของซัมซุงในการวิจัยและพัฒนา ตลอดจนความสามารถในการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ของบริษัท อาจจะช่วยให้บริษัทตามทัน SK Hynix ได้

]]>
1498217
Kintone ชูโซลูชันการทำงานแบบ No-code เครื่องมือผลักดัน SMBs ไทย สู่องค์กรดิจิทัลยุคใหม่ ตั้งเป้าผู้ใช้งาน 5,000 บริษัท ภายใน 3 ปี https://positioningmag.com/1497090 Fri, 01 Nov 2024 10:53:46 +0000 https://positioningmag.com/?p=1497090 Kintone (ประเทศไทย) บริษัทในเครือของ Cybozu ผู้ให้บริการกรุ๊ปแวร์สำหรับธุรกิจจากประเทศญี่ปุ่น ได้ทำการศึกษาตลาดดิจิทัลโซลูชันในประเทศไทยมากว่า 4 ปี และได้ค้นพบ Pain Point จึงสร้างโซลูชันพื้นที่การทำงานรูปแบบ DIY ที่ให้ผู้ใช้งานสามารถสร้างหรือปรับแต่งได้เองแบครบวงจร โดยไม่จำเป็นต้องมีความเชี่ยวชาญด้านไอที และไม่จำเป็นต้องเขียนโปรแกรม (no-coding) ให้ยุ่งยาก ช่วยตอบโจทย์การทำงานของผู้คนในส่วนต่าง ขององค์กรให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนโฉมออฟฟิศรูปแบบเดิม สู่องค์กรดิจิทัลแบบ Do-It-Yourself (DIY) ส่งเสริมองค์กรไทยให้สามารถนำเทคโนโลยีไปใช้เพื่อการเติบโต ลดระยะเวลาการทำงาน เพิ่มยอดขาย และสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันในระดับประเทศและระดับโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Kintone ได้ออกแบบระบบการทำงานที่มุ่งเน้นในเรื่องความปลอดภัย (Security) ของข้อมูลลูกค้าเป็นหลัก พร้อมชูในเรื่องความยืดหยุ่น (Flexible) ของโซลูชันการทำงาน ที่มี Template ให้เลือกหลากหลาย สามารถตอบโจทย์การทำงานได้ทุกรูปแบบในองค์กร เช่น ฝ่ายบุคคล ฝ่ายขาย หรือฝ่ายจัดซื้อ และอื่น ทำหน้าที่เป็นระบบศูนย์กลาง มุ่งเน้นการแบ่งปันฐานข้อมูล ช่วยลดต้นทุนการดำเนินงาน ลดเวลาการทำงาน เพิ่มยอดขาย รวมถึงเสริมประสิทธิภาพให้องค์กรขนาดกลางและขนาดย่อม (SMBs) ของไทย

นายน้ำยา วายุภาพ กรรมการผู้จัดการ บริษัท Kintone (Thailand) เปิดเผยว่าตามข้อมูลของ Deloitte (ดีลอยท์) ประเทศไทย พบว่า องค์กรส่วนใหญ่เร่งที่จะปรับรูปแบบองค์กรสู่องค์กรดิจิทัล ในปี 2021 ซึ่งเป็นช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโควิด 19 ในระยะแรกๆ แต่ก็ยังมีบางองค์กรไม่ประสบความสำเร็จในการปรับปรุงประสิทธิภาพทางธุรกิจ เนื่องจากขาดประสบการณ์และการดําเนินการล่าช้า ต่อมาในปี 2022-2023 องค์กรต่างๆ เริ่มมีการปรับตัวเชิงกลยุทธ์และเลือกใช้แนวทางที่เหมาะกับองค์กรของตนมากขึ้น โดยอัตราความสําเร็จในการปรับตัวสู่องค์กรดิจิทัลก็ดีขึ้นเช่นกัน ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลจึงอยู่ในระดับปานกลางตลอดปี 2023 ที่สำคัญคือ ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่เศรษฐกิจ ทรงพลังมากที่สุดในภูมิภาคนี้ โดยประชากรกว่า 80% สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ และเป็นบริษัทธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMBs) มากกว่า 99% ซึ่งบริษัทธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ต่างให้ความสนใจในการลงทุนเปลี่ยนโฉมสู่ออฟฟิศดิจิทัลมากถึง 43% แต่ก็ยังคงมีอุปสรรคในการนำเทคโนโลยีจากต่างประเทศมาใช้

SMBs ต้องระมัดระวังเรื่องต้นทุน แต่โซลูชันดิจิทัลยังช่วยได้

ขณะที่ตลาดเทคโนโลยีโลกมีโซลูชันการทำงานให้เลือกใช้มากมาย แต่เจ้าของธุรกิจชาวไทยจำนวนมากยังคงกังวลเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการและการบำรุงรักษาระบบใหม่ที่มีความซับซ้อน ส่งผลให้บริษัทธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMBs) ส่วนใหญ่ ไม่ได้มีการจ้างบุคลากรไอทีที่มีความสามารถในตลาด และมีความต้องการสูงในประเทศได้ อีกทั้ง เมื่อพิจารณาถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ก็ยังมีความกังวลหลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องค่าใช้จ่ายเริ่มต้นในการนำโซลูชันซอฟต์แวร์มาใช้ ซึ่งอาจถูกออกแบบให้มีราคาย่อมเยาในช่วงเริ่มต้น แต่ค่าสมาชิกในระยะยาวอาจมีการปรับเพิ่มมากขึ้น ทำให้องค์กรต้องแบกรับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ดังนั้น องค์กรควรประเมินค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นอย่างรอบคอบ พร้อมทั้งพิจารณาถึงความคุ้มค่า และการประหยัดต้นทุนในระยะยาว รวมถึงสำรวจทางเลือกอื่นๆ ให้เหมาะสมกับองค์กรก่อนตัดสินใจเลือกซื้อโซลูชันซอฟต์แวร์ 

จากสถานการณ์ดังกล่าว Kintone ผู้สร้างดิจิทัลโซลูชันการทำงานแบบ DIY เป็นส่วนสำคัญที่จะเข้ามาเปลี่ยนโฉมวงการธุรกิจไทย สร้างระบบใหม่ให้สามารถใช้งานควบคู่กับระบบเดิม ผลักดันให้องค์กรในไทยสามารถทำ Digital Transformation ขับเคลื่อนองค์กรไปได้ไกลยิ่งขึ้น โดยตอบสนองได้ตามความต้องการของผู้ใช้งาน ผ่านการสร้างแอปพลิเคชันที่สามารถจัดการกระบวนการทำงานด้วยตนเองได้แบบครบวงจรแบบ all-in-one พร้อมออกแบบ Workflow ในองค์กรได้แบบไม่จำเป็นต้องเขียนโปรแกรม (no-coding) ให้ยุ่งยาก และเชื่อมต่อทุกระบบผ่าน Cloud Service ทำให้พนักงานที่อยู่ที่สำนักงาน บ้าน หรือที่ออกไปพบปะลูกค้า สามารถเข้าถึงระบบการทำงานได้อย่างง่ายดาย ขณะเดียวกัน Kintone ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของหลายฟังก์ชั่นธุรกิจในองค์กร เช่น ฝ่ายบุคคล, ฝ่ายขาย, ฝ่ายผลิต, ฝ่ายจัดซื้อ, ฝ่าย IT, ฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์, ฝ่ายวางแผนองค์กร และอื่นๆ ทำหน้าที่เป็นระบบศูนย์กลาง ช่วยลดต้นทุนในการดำเนินงาน ลดเวลาการทำงาน เพิ่มยอดขาย รวมถึงเสริมประสิทธิภาพให้องค์กร ไม่ว่าจะเป็นเอกสารกองโต ไฟล์งานที่กระจัดกระจาย การประสานงานที่ล่าช้าและซ้ำซ้อน ช่วยลดความเสี่ยงข้อมูลหาย โดย Kintone จะช่วยเพิ่มความสามารถในการตอบสนองความต้องการของลูกค้า และรับมือกับคู่แข่งได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ส่งเสริมให้ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมประสบความสำเร็จในเศรษฐกิจยุคใหม่ 

จุดเด่นของ Kintone คือ การนำ SaaS (Software as a Service) เข้ามาปรับใช้กับธุรกิจของ Kintone เป็นการให้บริการในด้านซอฟต์แวร์รูปแบบหนึ่ง ผ่านระบบ Cloud ทำให้เราสามารถเข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ ได้ทุกที่ ทุกเวลา เพียงแค่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ก็สามารถเข้าใช้งานได้หลายซอฟต์แวร์ เช่น E-mail, Dropbox, Canva รวมถึงซอฟต์แวร์แบบดั้งเดิมที่ต้องใช้งานในรูปแบบออฟไลน์ ก็มีการพัฒนามาใช้ในรูปแบบ SaaS แทน เช่น Microsoft Office 365 ที่เปลี่ยนมาเป็น Google Docs, Google Sheets, Google Slides เป็นต้น เป็นการช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับตัวเข้ากับโลกดิจิทัล และนำข้อมูลมาสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งซอฟต์แวร์ SaaS ก็มีความยืดหยุ่น เพราะสามารถเปลี่ยนแพ็คเกจการสมัครสมาชิกให้ขยายไปพร้อมกับธุรกิจที่กำลังเติบโตได้ ตามความต้องการ โดย ซอฟต์แวร์ SaaS ของ Kintone มีระบบรองรับการสำรองข้อมูล และการรักษาความปลอดภัยขั้นสูง ซึ่งบริการดังกล่าว ลูกค้าจ่ายค่าบริการเพียงแค่ค่าการสมัคร สำหรับผู้ล็อกอินเข้ามาใช้งาน เบื้องต้น 1 บริษัทที่ต้องการให้พนักงานเข้าใช้งาน 5 คน เฉลี่ยต่อเดือนจ่ายเพียงประมาณ 4,000 บาทเท่านั้น

ระบบ DIY ไม่ใช่การพึ่งพาตัวเองทั้งหมด

แม้โซลูชันการทำงานแบบ DIY ของ Kintone จะถูกออกแบบมาให้ผู้ใช้งานสามารถปรับแต่งระบบเองได้ 100% แต่ไม่ได้หมายความว่าความรับผิดชอบทั้งหมดจะอยู่ที่ผู้ใช้งาน 100% เนื่องจาก Kintone มีทีมงานซัพพอร์ตสำหรับผู้ใช้งานคนไทยด้วยภาษาไทย พร้อมให้การสนับสนุนที่ครอบคลุมทั้งการติดตั้ง การออกแบบรูปแบบการทำงาน รวมถึงการให้ความช่วยเหลือจากทีมให้ความรู้ด้านดิจิทัลตลอดเวลา ซึ่งทีมงานทุกคนมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับวัฒนธรรมไทยและพลวัตในองค์กร ทำให้มั่นใจได้ว่าจะให้คำแนะนำผู้ใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ช่วยให้เจ้าของธุรกิจและพนักงานมีความรู้ด้านดิจิทัลที่จำเป็น โดยใช้ประโยชน์จากศักยภาพทั้งหมดของเทคโนโลยี DIY 

ทั้งหมดถือเป็นอีกหนึ่งแนวทางสำคัญ ในการเร่งการปฏิรูปองค์กรดิจิทัลในประเทศไทย ด้วยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ กระบวนการทำงาน และการสร้างวัฒนธรรมองค์กร เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและพัฒนาธุรกิจให้เติบโตแบบก้าวกระโดด โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMBs) จำเป็นต้องมีโซลูชันที่คำนึงถึงราคา ที่สามารถเข้าถึงได้ และความสามารถในการแก้ไขปัญหา เพื่อลดช่องว่างทางด้านทักษะดิจิทัลของคนในองค์กร การนำโซลูชัน DIY มาใช้มากขึ้น ประเทศไทยจะสามารถสร้างสภาพแวดล้อมดิจิทัลที่ครอบคลุมมากขึ้น ช่วยให้ธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางสามารถเติบโตในเศรษฐกิจยุคใหม่ได้อย่างยั่งยืน

โอกาสการเติบโตของ Kintone ยังมีอีกมาก เนื่องจากปัจจุบัน Kintone มีลูกค้าในประเทศไทยประมาณ 300-400 บริษัท จากทั้งหมด 1,200 บริษัท ในกลุ่มประเทศ SEA (South East Asia) ซึ่งเราเห็นจำนวนผู้ใช้ที่เพิ่มขึ้น จากบริษัทไทยที่กำลังมองหาระบบ ที่จะเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ซึ่งทางบริษัท เน้นอยู่ 3 กลุ่มธุรกิจด้วยกัน คือ เซอร์วิส เทรดดิ้ง, แมนูแฟกเจอริ่ง รวมถึงหน่วยงานภาครัฐ ก็สามารถใช้โซลูชันของทาง Kintone ได้ ทั้งนี้ Kintone ตั้งเป้าที่จะเข้าถึงลูกค้า 5,000 บริษัท ในกลุ่มประเทศ SEA ให้ได้ภายในระยะเวลา 3 ปีนายน้ำยา กล่าวทิ้งท้าย

]]>
1497090
มองอนาคต ‘Tesla’ ภายในปี 2029 รายได้หลักจะไม่ได้มาจากการขาย ‘รถอีวี’ แต่เป็น ‘ซอฟต์แวร์’ https://positioningmag.com/1495845 Mon, 28 Oct 2024 07:59:45 +0000 https://positioningmag.com/?p=1495845 แม้ภาพในปัจจุบันของ เทสลา (Tesla) ที่คนภายนอกมองจะเป็นบริษัทผู้ผลิตรถอีวี แต่ในมุมของนักลงทุน มองว่าอีกไม่กี่ปี รายได้หลักของบริษัทจะไม่ได้มาจากการขายรถ แต่เป็น ซอฟต์แวร์เอไอการขับขี่อัตโนมัติ

แม้ปัจจุบันรายได้ประมาณ 79% ของ Tesla มาจากการขายรถยนต์ไฟฟ้า (EVs) แต่ Ark Investment Management ที่ลงทุนในหุ้นของ Tesla กลับประเมินว่า ภายในปี 2029 สัดส่วนรายได้ 86% ของ Tesla จะมาจากด้านอื่น ๆ ที่ไม่ใช่จากการขายรถอีวี ซึ่งก็คือ ซอฟต์แวร์ระบบการขับขี่อัตโนมัติเต็มรูปแบบ (Full Self-Driving: FSD) ของบริษัท

โดย Cathie Wood หัวหน้าของ Ark Investment Management มองว่า ยอดขายรถอีวีของ Tela กำลังชะลอตัว โดยในปี 2023 มียอดจัดส่ง 1.8 ล้านคัน แต่ในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2024 กลับมียอดจัดส่งเพียง 1.29 ล้านคัน ซึ่งลดลง 2.3% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปีที่ผ่านมา ซึ่งถือว่าเป็นการหดตัวครั้งแรกนับตั้งแต่เปิดตัวรุ่น Model S ในปี 2011 แม้ว่าบริษัทจะลดราคาลงอย่างมาก เพื่อกระตุ้นตลาดแล้วก็ตาม

โดย Wood มองว่า ความต้องการในตลาดรถอีวีกําลังลดลง เนื่องจากท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ยากลําบาก ทำให้ผู้บริโภคเลือกที่จะรัดเข็มขัด อีกทั้งยังคงเลือกใช้รถยนต์สันดาปที่มีราคาถูกกว่า และมีข้อจำกัดด้านโครงสร้างพื้นฐานน้อยกว่า 

นอกจากนี้ Tesla ยังต้องเจอกับการแข่งขันที่รุนแรงจาก ค่ายรถจีน ที่มีราคาถูกกว่า แม้ว่า Elon Musk ซีอีโอของ Tesla มีแผนจะสร้างรุ่นราคาประหยัดมาสู้ก็ตาม โดยคาดว่าจะเข้าสู่การผลิตในปี 2025 และขายในราคา 25,000 ดอลลาร์ แต่สุดท้ายแล้ว Musk ก็สั่งพับโครงการนี้ไป พร้อมกับประกาศว่า อนาคตของบริษัทอยู่ที่ ยานพาหนะอัตโนมัติ แทน 

โดยบริษัทได้เปิดตัว Cybercab เมื่อต้นเดือนนี้ ซึ่งเป็นรถโรโบแท็กซี่ที่ขับขี่ด้วยตัวเองโดยไม่มีพวงมาลัยหรือคันเร่ง ซึ่ง Cybercab จะทํางานบนซอฟต์แวร์ FSD ของ Tesla ซึ่งบริษัทได้พัฒนามาหลายปีแล้ว อย่างไรก็ตาม มันยังไม่ได้รับการอนุมัติสําหรับการใช้งานในสหรัฐอเมริกา และคนขับที่เป็นมนุษย์ต้องพร้อมที่จะรับช่วงต่อตลอดเวลา แต่จากข้อมูลที่รวบรวมจากการทดสอบเบต้า เป็นไปได้ว่า Cybercab ปลอดภัยกว่ารถยนต์ทั่วไปบนท้องถนนอยู่แล้ว

ตามรายงานความปลอดภัยของยานพาหนะรายไตรมาสล่าสุดของ Tesla พบว่า เกิดอุบัติเหตุ 1 ครั้ง ทุก ๆ 7 ล้านไมล์ เมื่อเทียบกับการเกิดอุบัติเหตุทุก ๆ 7 แสนไมล์โดยเฉลี่ยในสหรัฐอเมริกา หรืออาจแปลได้ว่า FSD นั้นปลอดภัยกว่ายานพาหนะที่ขับเคลื่อนด้วยมนุษย์ถึง 10 เท่า และตามสถิติ ซอฟต์แวร์จะยิ่งเก่งขึ้น เนื่องจากโมเดล AI ที่ใช้อ้างอิงนั้นเรียนรู้จากข้อมูลใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง 

ปัจจุบัน Tesla กําลังสร้างกลุ่มชิปประมวลผลกราฟิก (GPU) 50,000 ชิ้นจาก Nvidia เพื่อฝึก FSD ต่อไป โดยบริษัทกําลังจะลงทุนมูลค่า 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์ในโครงสร้างพื้นฐานศูนย์ข้อมูล AI ในปีนี้ ด้วยเหตุนี้ Musk จึงคาดหวังว่าซอฟต์แวร์จะได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานกํากับดูแลสําหรับการใช้งานรถอัตโนมัติในที่สุด และอาจจําหน่ายในเท็กซัสในปีหน้า และอาจเป็นแคลิฟอร์เนีย ดังนั้น Tesla หมายมั่นปั้นมือกับระบบ FSD มาก และคาดว่าจะสามารถสร้างรายได้จาก 3 วิธี ได้แก่

  1. ขายซอฟต์แวร์ให้กับผู้ที่ซื้อรถของเทสลา
  2. การออกใบอนุญาตซอฟต์แวร์ให้กับผู้ผลิตรถยนต์รายอื่นโดยมีค่าธรรมเนียม
  3. ผ่านเครือข่ายการเรียกรถที่เทสลาสร้างขึ้นเอง ซึ่งจะช่วยให้ Cybercabs สามารถขนส่งผู้โดยสารได้ตลอดเวลา (เช่น Uber ยกเว้นไม่มีคนขับโดยสิ้นเชิง)

ทั้งนี้ ธุรกิจซอฟต์แวร์มักจะมีอัตรากําไรขั้นต้น 80% หรือมากกว่า ซึ่งสูงกว่าอัตรากําไรขั้นต้นปัจจุบันของ Tesla ที่ 19.8% ในพอร์ตโฟลิโอธุรกิจฮาร์ดแวร์ในปัจจุบัน ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่ FSD มีโอกาสจะขึ้นมาเป็นรายได้หลักของบริษัทในอนาคต

โดยแบบจําลองทางการเงินของ Ark ชี้ให้เห็นว่า Tesla จะสร้างรายได้ 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปีภายในปี 2029 โดย FSD และ Cybercab คิดเป็นสัดส่วน 63% อย่างไรก็ตาม ด้วยอัตรากําไรที่สูง Ark เชื่อว่าผลิตภัณฑ์เหล่านั้นจะคิดเป็น 86% ของรายได้ที่คาดการณ์ไว้ 4.40 แสนล้านดอลลาร์ก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจําหน่าย (EBITDA)

Source

]]>
1495845
มาแบบม้ามืด! ‘Vivo’ ขึ้นแท่นเบอร์ 1 ในตลาด ‘อินเดีย’ เป็นครั้งแรก แซงหน้า Xiaomi และ Samsung https://positioningmag.com/1495219 Mon, 21 Oct 2024 04:34:43 +0000 https://positioningmag.com/?p=1495219 ตลาดสมาร์ทโฟนอินเดีย ถือเป็นอีกตลาดที่ทุกแบรนด์ให้ความสำคัญ เพราะด้วยขนาดประชากรที่ทะลุ 1,400 ล้านคน และเศรษฐกิจก็มีการเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ และในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา ก็มีม้ามืดขึ้นเป็นเบอร์ 1 ก็คือ วีโว่

ที่ผ่านมา ตำแหน่งผู้นำตลาดสมาร์ทโฟนอินเดียจะเบียดแย่งกัน 2 แบรนด์ ได้แก่ ซัมซุง (Samsung) และ เสียวหมี่ (Xiaomi) อย่างไรก็ตาม ในช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมา วีโว่ (Vivo) ได้ขึ้นแซงเป็นเบอร์ 1 เป็นครั้งแรก ด้วยยอดจัดส่ง 9.1 ล้านเครื่อง เติบโต +26% ครองส่วนแบ่งตลาด 19% ตามรายงานจากบริษัทวิจัย Canalys

“การเติบโตของแบรนด์ได้รับแรงหนุนจากการขยายช่องทางการขายต่าง ๆ รวมถึงการเปิดตัวสินค้ารุ่นใหม่ในช่วงราคาที่สูงขึ้น” Sanyam Chaurasia นักวิเคราะห์อาวุโส Canalys กล่าว 

โดยอันดับ 2-5 ได้แก่

  • เสียวหมี่ มียอดจัดส่ง 7.8 ล้านเครื่อง (17%)
  • ซัมซุง มียอดจัดส่ง 7.5 ล้านเครื่อง (16%)
  • ออปโป้ (Oppo) มียอดจัดส่ง 6.3 ล้านเครื่อง (13%)
  • เรียลมี (Realme) มียอดจัดส่ง 5.3 ล้านเครื่อง (11%) 

ที่น่าสนใจคือ ออปโป้ ที่ถือเป็นแบรนด์ที่เติบโตเร็วที่สุดใน 5 อันดับแรก โดยมีการจัดส่งเพิ่มขึ้น +43%

ทั้งนี้ ตลาดสมาร์ทโฟนของอินเดียในช่วงไตรมาส 3 สามารถเติบโตได้ถึง 9% โดยมีการจัดส่งโทรศัพท์มือถือทั้งหมด 47.1 ล้านเครื่อง เนื่องจากผู้ขายหลายรายเพิ่มยอดขายผ่านช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ในช่วงเทศกาลวันหยุด ขณะที่ผู้บริโภคชาวอินเดียที่ต้องการเปลี่ยนหรืออัปเกรดโทรศัพท์มือถือ ส่วนใหญ่จะต้องการรุ่นที่ แพงขึ้น เนื่องจากการเติบโตของกลุ่มสินค้าระดับกลางและระดับไฮเอนด์ รวมถึงโปรโมชั่นการนำเครื่องเก่ามาแลกซื้อเป็นส่วนลด 

ปัจจุบัน ตลาดสมาร์ทโฟนอินเดียเป็นตลาดต่างประเทศที่สําคัญสําหรับผู้ขายสมาร์ทโฟนชาวจีน ท่ามกลางการขยายตัวอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม แบรนด์จากจีนยังมีความท้าทายในเรื่องความไม่แน่นอน เนื่องจากความตึงเครียดของ 2 ประเทศ หลังจากเกิดการปะทะกันที่ชายแดนในปี 2020 ระหว่างกองกําลังจีนและอินเดีย ส่งผลให้บริษัทสมาร์ทโฟนของจีนได้กลายเป็นเป้าหมายของรัฐบาลอินเดียในข้อกล่าวหาเรื่องการหลีกเลี่ยงภาษีและการละเมิดทางการเงินอื่น ๆ

Source

]]>
1495219
‘Foxconn’ ประกาศสร้างโรงงานผลิตซูเปอร์ชิป ‘GB200’ ใหญ่สุดในโลก ของ ‘Nvidia’ https://positioningmag.com/1493513 Wed, 09 Oct 2024 05:29:25 +0000 https://positioningmag.com/?p=1493513 ในอดีต Nvidia อาจเป็นชื่อที่เหล่า เกมเมอร์ จะคุ้นเคยกันดีในฐานะผู้ผลิตการ์ดจอ แต่ในยุค AI บริษัทได้เป็นที่รู้จักในฐานะผู้ผลิต ชิปเอไอ อันดับ 1 ของโลก และ Foxconn กำลังสร้างโรงงานผลิตซูเปอร์ชิปใหญ่สุดในโลกของ Nvidia

ฟ็อกซ์คอนน์ (Foxconn) หรือที่รู้จักกันในชื่ออย่างเป็นทางการ Hon Hai Precision Industry ซึ่งถือเป็นซัพพายเออร์ผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกสัญชาติไต้หวัน โดยมีลูกค้ารายใหญ่ที่คนทั่วโลกรู้จักกันดีอย่าง Apple

ล่าสุด บริษัทได้ประกาศว่า กําลังสร้างโรงงานผลิตที่ใหญ่ที่สุดในโลกสําหรับซูเปอร์ชิป GB200 ของ Nvidia บริษัทผู้ผลิตชิปอันดับ 1 ของโลก ซึ่งถือเป็นผู้ขับเคลื่อนเซิร์ฟเวอร์เอไอ ด้วยชิปสำหรับเอไอ 

“เรากําลังสร้างโรงงานผลิต GB200 ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยจะตั้งอยู่ในประเทศเม็กซิโก” Benjamin Ting รองประธานอาวุโสของ Foxconn สําหรับธุรกิจโซลูชันองค์กรคลาวด์ กล่าว 

โดยแผนดังกล่าวของ Foxconn ถึอเป็นหนึ่งกลยุทธ์ที่พาบริษัทออกจากการเป็นแค่บริษัทประกอบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ แต่ต้องการจะเข้าไปในหลายอุตสาหกรรมมากขึ้น ตั้งแต่รถยนต์ไฟฟ้าไปจนถึงเซมิคอนดักเตอร์และเซิร์ฟเวอร์ โดยที่ผ่านมา Foxconn ได้เปิดตัว ต้นแบบรถยนต์ไฟฟ้า ได้แก่ รถอเนกประสงค์อเนกประสงค์ 7 ที่นั่งและรถบัส 21 ที่นั่ง 

แม้ว่า Nvidia จะเป็นบริษัทผู้ผลิตชิปที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่บริษัท ไม่ได้ผลิตชิปด้วยตัวเอง แต่ใช้ Subcontractor ซึ่งแตกต่างจากคู่แข่งอย่าง Intel, Micron และ Texas Instruments ที่ผลิตชิปด้วยตัวเอง

ทั้งนี้ รายได้ของ Foxconn ในช่วงไตรมาส 3/2024 อยู่ที่ 1.85 ล้านล้านดอลลาร์ไต้หวัน (ราว 1.92 ล้านล้านบาท) เติบโต +20.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดครั้งประวัติศาสตร์ จากดีมานด์ AI Server ที่แข็งแกร่ง

Source

]]>
1493513
สาวกรอหน่อย! นักวิเคราะห์คาด ‘Apple’ จะเปิดตัว ‘แหวนอัจฉริยะ’ มาแข่งกับ ‘ซัมซุง’ ภายในปี 2026 https://positioningmag.com/1493275 Tue, 08 Oct 2024 07:30:55 +0000 https://positioningmag.com/?p=1493275 นอกจาก นาฬิกาอัจฉริยะ (Smart Watch) แล้ว อีกเทรนด์สำคัญในโลกเทคโนโลยีก็คือ แหวนอัจฉริยะ (Smart Ring) ซึ่งปัจจุบันก็เริ่มเห็นหลายแบรนด์ผลิตออกมาทำตลาดมากขึ้น และสำหรับ Apple คาดว่าจะได้เห็นภายในปี 2026

แม้จะมีข่าวลือว่า Apple ได้พับโครงการ Smart Ring ไปแล้ว แต่ตามรายงานของ CCS Insight ที่ติดตามเทคโนโลยีด้านสุขภาพของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ มองว่า Apple จะเปิดตัว Smart Ring ภายในปี 2026 และ Smart Ring จะเป็นมรดกสำคัญในส่วนของสินค้าสุขภาพของ Tim Cook ก่อนจะเกษียณ

“สินค้าสุขภาพได้กลายเป็นเสาหลักของ Apple และผมคิดว่า Smart Ring จะเป็นหนึ่งในมรดกสําคัญของเขาจาก Apple ในกลุ่มสินค้าสุขภาพ เมื่อพิจารณาจากการลงทุนและความสนใจส่วนตัวของ Tim Cook ดังนั้น  Smart Ring จะเป็นส่วนขยายที่เติมเต็ม Apple อย่างมาก” Ben Wood หัวหน้านักวิเคราะห์ของ CCS Insight กล่าว

ที่ผ่านมา Tim Cook ได้มุ่งเน้นในการพัฒนาให้สินค้ามีฟังก์ชันด้านสุขภาพ ตั้งแต่ผลิตภัณฑ์อย่าง Apple Watch ไปจนถึงหูฟัง AirPods Pro 2 รุ่นล่าสุดที่สามารถ เปลี่ยนเป็นเครื่องช่วยฟังได้ ดังนั้น การมาของ Smart Ring ก็จะเป็นสินค้าอีกชิ้นที่จะใช้เพื่อติดตามตัวชี้วัดสุขภาพ เช่น อัตราการเต้นของหัวใจ

ปัจจุบัน ในตลาด Smart Ring มีผู้เล่นอยู่หลายราย อาทิ Oura Ring, Evering และผู้เล่นรายใหญ่อย่าง ซัมซุง (Samsung) ที่เพิ่งเปิดตัว Galaxy Ring ไปเมื่อช่วงต้นปี โดยหวังว่าจะผลักดันสินค้าด้านสุขภาพให้ใหญ่ขึ้น และการเพิ่มสินค้าประเภทอุปกรณ์เสริมเหล่านี้ จะช่วยให้ผู้ใช้อยู่กับ อีโคซิสเต็มส์ของแบรนด์ เพื่อรักษาฐานลูกค้า เหมือนกับกลยุทธ์ที่ Apple ใช้

อย่างไรก็ตาม Smart Ring ถือเป็นสินค้าที่มีความซับซ้อนในการจะเข้าสู่ตลาด เนื่องจากคนมีขนาดนิ้วต่างกัน อย่าง Samsung เองก็ต้องให้ผู้ใช้ได้ลองเพื่อเลือกขนาดและสีก่อนจะสั่งซื้อ แต่ในจุดนี้อาจเป็นข้อได้เปรียบของ Apple

เนื่องจาก แหวนยังเป็นสินค้าแฟชั่น ซึ่งผลิตภัณฑ์ของ Apple ยังคงมีเสน่ห์ในสายตาผู้ใช้ และถือเป็นตลาดแบรนด์ที่ได้รับการยกย่องในแง่ของการเป็น ผลิตภัณฑ์ที่ผู้คนภูมิใจที่มี และมั่นใจว่าแหวนที่ออกแบบจาก Apple จะมีความสวยงาม และอาจเป็นหนึ่งสินค้าที่ใช้บ่งบอก สถานะ

Source

]]>
1493275
ไม่ปังอย่างที่หวัง! ยอดขาย ‘iPhone 16’ ช่วงเปิดตัวทำได้น้อยกว่าที่ Apple หวัง นักวิเคราะห์ชี้อาจต้องรอฟีเจอร์ ‘Apple Intelligence’ https://positioningmag.com/1492378 Tue, 01 Oct 2024 08:22:47 +0000 https://positioningmag.com/?p=1492378 Apple มีความหวังให้ยอดขาย iPhone 16 กลับมาเปรี้ยงปร้างอีกครั้งด้วย AI หลังจากที่กระแสซบเซามาหลายปี ทำให้เริ่มไม่ค่อยจะเห็นแฟนพันธุ์แท้ของ Apple ต่อแถวเพื่อเปลี่ยนเครื่องใหม่ทุกปี เนื่องจากทางบริษัทยังไม่มีนวัตกรรมอะไรที่ทำให้ผู้บริโภครู้สึกว่าต้องอัปเกรดเครื่อง นับตั้งแต่เพิ่มการเชื่อมต่อ 5G ใน iPhone 12

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือน Apple จะยังไม่สมหวังกับยอดขายของ iPhone 16 โดย Ming-Chi Kuo นักวิเคราะห์ของ Apple จาก TF International Securities เปิดเผยว่า Apple ขาย iPhone 16 ได้เพียงประมาณ 37 ล้านเครื่อง ในช่วงสุดสัปดาห์แรกของการจำหน่ายล่วงหน้า ซึ่ง ลดลงมากกว่า 12% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน

เช่นเดียวกันกับ แดน ไอฟส์ นักวิเคราะห์ของ Wedbush คาดว่า ยอดขายล่วงหน้าจะอยู่ที่ราว 40 ล้านเครื่อง ใกล้เคียงกับที่ Ming-Chi Kuo คาดไว้ ขณะที่ แองเจโล ซิโน นักวิเคราะห์ด้านเทคโนโลยีของ CFRA Research เปิดเผยไปในทิศทางเดียวกันว่า ยอดพรีออเดอร์ในช่วงสุดสัปดาห์แรกของ iPhone 16 ลดลงเมื่อเทียบเป็นรายปี

ที่น่าสนใจคือ ความต้องการ iPhone 16 Pro นั้นลดลงอย่างมาก ส่วนหนึ่งเป็นผลจาก iPhone 16 และ 16 Plus นั้น อาจจะดีเกินไป ทำให้แนวโน้มของผู้บริโภคจะเอียงไปทาง iPhone 16 และ iPhone 16 Plus ที่มีราคาถูกกว่ารุ่น Pro และ Pro Max ซึ่งอาจส่งผลต่อราคาขายเฉลี่ยและรายได้จากการขาย iPhone โดยรวมอีกด้วย

ตามข้อมูลจาก Ming-Chi Kuo ระบุว่า ในช่วงสุดสัปดาห์แรกของการพรีออเดอร์ Apple สามารถขาย iPhone 16 Pro ได้ 9.8 ล้านเครื่อง และ iPhone 16 Pro Max ได้ 17.1 ล้านเครื่อง ซึ่งลดลง 27% และ 16% ตามลำดับเมื่อเทียบเป็นรายปี ส่วนยอดขาย iPhone 16 รุ่นมาตรฐานและ iPhone Plus เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับ iPhone 15

“iPhone 16 มียอดขายมากกว่ารุ่น Pro เพราะเมื่อดูอุปกรณ์มาตรฐานแล้ว จะเห็นว่า iPhone 16 ได้รับการอัปเกรดที่ยอดเยี่ยมมากในแง่ของกล้องและโปรเซสเซอร์ภายใน”

อีกปัจจัยที่ทำให้ยอดขายในช่วงเริ่มต้นของ iPhone 16 ยังไม่ปังอาจเป็นเพราะฟีเจอร์ Apple Intelligence หรือฟีเจอร์ AI ของ Apple ก็ยังไม่มีให้ใช้งาน ดังนั้น Apple อาจต้องรอให้ฟีเจอร์ดังกล่าวถูกใช้ จนเกิดการบอก ปากต่อปาก จากกลุ่มผู้ใช้ เพราะว่าแค่การอัปเดตซอฟต์แวร์ การปรับคุณภาพกล้อง และขนาดหน้าจอ ยังไม่ทำให้  ผู้บริโภครู้สึกว่า คุ้มค่าต่อการอัปเกรด

คุณต้องรอให้กระแสบอกเล่าแบบปากต่อปากจากฐานผู้บริโภคภายในสองสามไตรมาสถัดไป” ก่อนที่ผู้บริโภคจะเห็นคุณค่าของเทคโนโลยีใหม่” แองเจโล ซิโน กล่าว

แม้ว่านักวิเคราะห์จะออกมาบอกว่า iPhone 16 เปิดตัวได้ไม่ดีอย่างที่คิด แต่ทางด้าน Mike Sievert ซีอีโอของ T-Mobile กล่าวกับ CNBC หลังจากสัปดาห์แรกของการพรีออเดอร์ว่า ยอดขาย iPhone 16 มากกว่า iPhone 15 เมื่อปีที่แล้ว และ Apple จะไม่เปิดเผยรายละเอียดใด ๆ เกี่ยวกับยอดขาย iPhone จนกว่าจะรายงานผลประกอบการในเดือนหน้า และจนกว่าจะถึงตอนนั้น ข้อมูลก็จะรวมเฉพาะยอดขายล่วงหน้า 7 วันและยอดขายปกติ 10 วันเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม บรรดานักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ยังคงเชื่อว่า iPhone 16 จะเป็นผู้ชนะในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า แม้ว่าจะเริ่มต้นได้ช้า โดยเฉพาะในช่วงสามเดือนสุดท้ายของปีซึ่งเป็นช่วงที่สำคัญที่สุด

Source

]]>
1492378
หรือ ‘AI’ จะเป็นต้นเหตุใหม่ของ ‘โลกร้อน’ หลังนักวิจัยพบ ใช้พลังงานมากกว่า Search engine แบบเดิม 30 เท่า https://positioningmag.com/1490881 Thu, 19 Sep 2024 06:50:08 +0000 https://positioningmag.com/?p=1490881 Sasha Luccioni นักวิทยาศาสตร์ คอมพิวเตอร์ ได้ออกมาเตือนว่า ถ้าหากเป็นคนที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ให้ คิดสองครั้ง ก่อนจะใช้ AI เพราะปัญญาประดิษฐ์ที่สร้างพลังงานมากกว่าเครื่องมือค้นหาแบบดั้งเดิมถึง 30 เท่า

โดย Sasha Luccioni นับเป็นหนึ่งใน 100 คนที่มีอิทธิพลมากที่สุดในโลกของ AI ที่จัดโดยนิตยสาร Time ของอเมริกาในปี 2024 โดยเธอมีภารกิจสร้างความตระหนักเกี่ยวกับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของเทคโนโลยีใหม่ที่ร้อนแรงนี้ และจากการพยายามวัดปริมาณการปล่อยของโปรแกรม เช่น ChatGPT หรือ Midjourney เป็นเวลาหลายปีเธอพบว่า การใช้งานเครื่งมือที่มี AI ใช้พลังงานกว่า Search engine ดั้งเดิม 30 เท่า

เนื่องจากโมเดลภาษา หรือ Language Model (LM) ที่เข้าใจภาษาแบบมนุษย์ นั้นต้อใช้ความสามารถในการประมวลผลมหาศาล ซึ่งจําเป็นต้องมีเซิร์ฟเวอร์ที่ทรงพลัง และเมื่อมีคำถามจากผู้ใช้ ก็จะมีการใช้พลังงานมหาศาล แทนที่จะเพียงแค่ดึงข้อมูลเหมือนเสิร์ชเอนจิ้น 

“เสิร์ชเอนจิ้นแบบดั้งเดิมจะทำแค่ดึงข้อมูล แต่โปรแกรม AI จะสร้างข้อมูลใหม่เพื่อหาคำตอบ ทําให้ทุกอย่างใช้พลังงานมากขึ้นมาก” เธออธิบาย

จากข้อมูลของสํานักงานพลังงานระหว่างประเทศพบว่า ในปี 2022 เทคโนโลยี AI และสกุลเงินดิจิทัลรวมกันใช้ไฟฟ้าเกือบ 460 เทราวัตต์ชั่วโมง หรือคิดเป็น 2% องการผลิตไฟฟ้าทั้งหมดทั่วโลก หรือแค่ให้ AI สร้างภาพขึ้นมาใหม่ ก็ต้องใช้พลังงานเท่ากับการชาร์จโทรศัพท์ 1 เครื่อง

แม้ว่า Microsoft และ Google จะมุ่งมั่นที่จะบรรลุความเป็นกลางของคาร์บอนภายในสิ้นทศวรรษ แต่ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีของสหรัฐฯ กลับปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงขึ้นในปี 2023 เนื่องจาก AI โดย Google ปล่อยเพิ่มขึ้น 48% เมื่อเทียบกับปี 2019 และส่วน Microsoft ปล่อยเพิ่มขึ้น 29% เมื่อเทียบกับปี 2020

อย่างไรก็ตาม Sasha Luccioni ย้ำว่า เธอไม่ได้ต่อต้านการใช้ AI แต่ให้เลือกเครื่องมือที่เหมาะสม  และใช้อย่างรอบคอบ

Source

]]>
1490881