HOT UPDATE – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 19 Dec 2025 12:55:03 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 GAGA ขึ้นแท่นแบรนด์ Unicorn ของไมเนอร์ ฟู้ด อาวุธลับในการขยายสาขา พร้อมขึ้นเป็นอินเตอร์แบรนด์ https://positioningmag.com/1552563 Fri, 19 Dec 2025 08:54:07 +0000 https://positioningmag.com/?p=1552563
  • GAGA แบรนด์เครื่องดื่มในเครือไมเนอร์ ฟู้ด ปัจจุบันครบรอบ 7 ปีแล้ว พร้อมอัดกลยุทธ์ในการขยายสาขาด้วยโมเดลแฟรนไชส์
  • ไมเนอร์ ฟู้ดดันให้เป็นแบรนด์ Unicorn เป็นแบรนด์ที่ติดสปีดในการขยายสาขา
  • นอกจากเปิดโมเดลแฟรนไชส์ ยังเตรียมขึ้นเป็นแบรนด์อินเตอร์ ปัจจุบันได้ขยายไปที่อินโดนีเซีย และเวียงจันทน์แล้ว
  • เป็นแบรนด์ Unicorn ติดสปีดขยายสาขา

    ถ้าพูดถึงธุรกิจดาวรุ่งในประเทศไทย คงจะไม่พูดถึงธุรกิจ “ชานมไข่มุก” ไม่ได้ เพราะไม่ว่าจะผ่านกี่ยุคกี่สมัยชานมไข่มุกยังเป็นที่นิยมของคนไทย อีกทั้งยังเกิดแบรนด์ใหม่ๆ มากมาย แบรนด์เดิมที่เคยทำตลาดก็กลับมาทำตลาดอีกครั้ง

    GAGA (กาก้า) เป็นหนึ่งในแบรนด์ชานมไข่มุกที่ประสบความสำเร็จอีกแบรนด์หนึ่ง เพราะทำตลาดจนไปเตะตาโดนใจเชนร้านอาหารเบอร์ใหญ่อย่าง “ไมเนอร์ ฟู้ด” ได้เข้าซื้อกิจการเมื่อปลายปี 2565 ด้วยการเข้าถือหุ้นในสัดส่วน 50.1% ในบริษัท กาก้า เบฟเวอร์เรจส์ (ประเทศไทย)

    จนถึงวันนี้ GAGA ได้อายุครบ 7 ปี โดยที่อยู่กับครอบครัวไมเนอร์ ฟู้ดได้ 2-3 ปีแล้ว เรียกได้ว่าปีนี้เป็นบิ๊กมูฟครั้งใหญ่ของแบรนด์ในการสยายปีกให้ใหญ่ขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการขยายสาขา การเปิดโมเดลแฟรนไชส์ การบุกตลาดต่างประเทศ 

    อนุพนธ์ นิธิยานันท์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด ได้เริ่มเล่าว่า

    “ตอนนี้พร้อมที่จะดันแบรนด์ GAGA ขึ้นมาเป็นแบรนด์ยูนิคอร์นของไมเนอร์ เป็นอาวุธที่เปิดสาขาอย่างรวดเร็วด้วยโมเดลแฟรนไชส์ และไปต่างประเทศมากขึ้น โดยมองว่า 3 ปีที่อยู่กับไมเนอร์ได้พิสูจน์แล้วว่าอยู่ได้ จากนี้ไปจะขยายสเกลมากขึ้น”  

    คำว่าแบรนด์ยูนิคอร์นในความหมายของอนุพนธ์ก็คือ แบรนด์ที่มีการขยายสาขาได้รวดเร็ว อย่างก่อนหน้านี้ได้เห็นการขยายสาขาของ The Pizza Company และสเวนเซ่นส์ ด้วยโมเดลแฟรนไชส์มาแล้ว GAGA ก็สาขาขยายสาขาแบบติดสปีดได้เช่นกัน

    ในปีนี้เปิดสาขาไปแล้ว 20 แห่ง เป็นแฟรนไชส์ทั้งหมด โดยที่คนให้ความสนใจแฟรนไชส์เยอะ ค่าแฟรนไชส์เริ่มต้นที่ 8 แสนบาท มีค่ากิจการ ค่าเครื่อง ค่าตกแต่งร้านเบ็ดเสร็จไม่เกิน 2.5 ล้านบาท สัญญา 6 ปี พื้นที่เฉลี่ย 25-30 ตารางเมตร

    โดยตั้งเป้าภายใน 3 ปี มีสาขารวม 400 สาขา ปัจจุบันมี 80 สาขา 

    7 ปี อัปเกรด 7 อย่าง

    ในปีนี้ถือโอกาสที่แบรนด์ฉลองครบ 7 ปี จึงเป็นช่วงเวลาอันดีที่จะอัปเกรดแบรนด์ มีความน่าสนใจ 7 อย่างด้วยกัน ได้แก่

    1. New Store Design : เป็น GAGA ที่โตขึ้น มีความประณีต จากการเลือกใช้วัสดุและเส้นแสง แต่ยังคงรักษา DNA ความสนุกและความตื่นเต้นไว้ ตามคอนเซ็ปต์ “The Modern Tea Atelier” เน้นการผสมผสานระหว่าง ความพิถีพิถันในการชงชา กับ เทคโนโลยีและความทันสมัย

    2. New Smart Equipment : การนำระบบชงชาอัตโนมัติมาตรฐานระดับโลกมาใช้ เพื่อยกระดับความแม่นยำ ทำให้มั่นใจว่าลูกค้าจะได้รับคุณภาพที่สม่ำเสมอแบบเดียวกันทุกสาขา

    3. New Packaging : ดีไซน์ใหม่ที่เน้นการใช้ซ้ำได้และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ เน้นฟีเจอร์ที่ “ใช้งานได้จริง” เช่น ทนร้อน–ทนเย็น ปิดสนิท และออกแบบให้ดูพรีเมียมเมื่อถือ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของ Premium Identity ที่มาพร้อม Purpose

    4. New Flavors : กลุ่ม Specialty Tea & Tea Latte ชาพรีเมียมชงสด 6 เบลนด์ใหม่ เพื่อเป็นผู้นำในตลาดชาพรีเมียม ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว พัฒนาจาก Insight ว่าผู้บริโภคเริ่มมองหา ชาคุณภาพสูงกว่า mainstream โดยให้ความสำคัญกับรายละเอียด เช่น Origin, Flavor Profile, และ Craftsmanship โดยที่ระดับราคาอยู่ที่ 65-100 บาท สำหรับชาใส และ 80-115 บาท สำหรับชานม Tea Latte

    5. New Channel (QR Ordering) : สร้างประสบการณ์ที่เร็วขึ้นและราบรื่น ลูกค้าใช้เวลาน้อยลง แต่ได้ประสบการณ์ที่ดีขึ้น

    6. New Merchandise : การเปลี่ยนจากแบรนด์เครื่องดื่มสู่แบรนด์ไลฟ์สไตล์ เพื่อสร้าง Community ของแบรนด์ให้แข็งแกร่ง ไม่ใช่แค่การขายเครื่องดื่ม

    7. New Territory : การเตรียมพร้อมขยายสู่ตลาดต่างประเทศอย่างจริงจัง เพราะ 7 ปีที่ผ่านมาคือจุดเริ่มต้น และจากนี้คือการออกสู่ตลาดโลก

    พร้อมแล้วกับการเป็นอินเตอร์แบรนด์

    ปัจจุบัน GAGA ไม่ได้มีสาขาอยู่เพียงแค่ในประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังไปประเทศเพื่อนบ้านแล้ว ตอนนี้มี 30 สาขาที่อินโดนีเซีย เป็นโมเดลที่ไมเนอร์ ฟู้ดลงทุนเอง และ 1 สาขาที่เวียงจันทน์ สปป.ลาว เป็นโมเดลแฟรนไชส์ เริ่มเปิดได้ราว 1 ปี

    โดยที่เป้าหมายของ GAGA อยากก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในแบรนด์เครื่องดื่มไลฟ์สไตล์ชั้นนำทั่วภูมิภาคเอเชีย และตะวันออกกลาง กำลังมองหาโอกาสในเมืองหลักที่มีกำลังซื้อสูงและการท่องเที่ยวแข็งแกร่ง เช่น ดูไบ, ริยาด และบาห์เรน เพื่อตอบสนองความต้องการคอนเซ็ปต์เครื่องดื่มไลฟ์สไตล์พรีเมียม

    สำหรับความท้าทายที่สุดในตลาดตอนนี้ อนุพนธ์บอกว่า ตลาดชาไข่มุกเป็นตลาดที่ Super Red Ocean มากๆ มีคู่แข่งเยอะมากๆ แต่มั่นใจในศักยภาพของแบรนด์ พร้อมกับปัจจุบันผู้บริโภคมีความใส่ใจสุขภาพมากขึ้น เทรนด์น้ำตาลน้อย ทำให้ชาใส และชาพรีเมียมมีการเติบโตอย่างมาก แต่เมนูอื่นๆ GAGA ก็ยังทำได้ดี ยังเป็นผู้นำตลาดในการครีเอตเมนูใหม่ๆ อยู่เสมอ

    อ่านเพิ่มเติม

    ]]>
    1552563
    ‘ที่สุดของปรากฏการณ์แห่งปี 2025 ของคนไทย’ มีอะไรบ้าง? https://positioningmag.com/1552456 Thu, 18 Dec 2025 15:05:48 +0000 https://positioningmag.com/?p=1552456 LINE TODAY ได้เผยอินไซต์การเสพข่าวของคนไทยตลอดปี 2025 ผ่าน A YEAR IN REVIEW 2025 รวบรวมทุกเหตุการณ์สำคัญที่สะท้อนภาพ ‘ปีแห่งความสั่นสะเทือน’ ทั้งในระดับประเทศและระดับโลก ซึ่งเปิดให้คนร่วมโหวตในช่วงวันที่ 1-30 พ.ย. 2568 ด้วยคะแนนโหวตรวมกว่า 1.2 ล้านคะแนน

     

    1.บรรยากาศแห่งความอาลัย พระพันปีหลวงเสด็จสวรรคต

     

    การเสด็จสวรรคตของ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง นับเป็นเหตุการณ์ที่สร้างความโศกาดูรและสะเทือนใจคนไทยทั้งแผ่นดิน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนต่างร่วมกันแสดงความอาลัยอย่างสุดซึ้ง น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ ที่พระองค์ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยมาอย่างยาวนาน และจะสถิตอยู่ในใจของปวงชนตราบนิรันดร์

     

    2.จากแผ่นดินไหวถึงมหาอุทกภัย ปีแห่งภัยพิบัติที่หนักหนาที่สุดในรอบหลายทศวรรษ

     

    ต้นปี 2568 ประเทศไทยต้องเผชิญกับแรงสั่นสะเทือนครั้งประวัติศาสตร์ เมื่อวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา เกิดเหตุแผ่นดินไหวรุนแรงที่สุดในรอบ 100 ปี ส่งแรงสะเทือนรับรู้ได้ตั้งแต่ภาคเหนือจรดกรุงเทพฯ อาคารสูงหลายแห่งต้องเร่งอพยพประชาชนออกจากพื้นที่เพื่อความปลอดภัย แต่ความเสียหายรุนแรงที่สุดเกิดขึ้นกับ “อาคารสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินแห่งใหม่” ที่พังถล่มลงมาอย่างไม่คาดคิด เหตุการณ์นี้คร่าชีวิตผู้คนจำนวนมาก พร้อมมีผู้บาดเจ็บและสูญหายอีกหลายราย กลายเป็นเหตุสะเทือนใจไปทั่วประเทศ และถูกจารึกไว้เป็นหน้าหนึ่งในความทรงจำของคนไทย

     

    เหตุสะเทือนใจในครั้งนี้ยังสะท้อนให้สังคมหันกลับมาตระหนักถึงมาตรฐานความปลอดภัยของโครงสร้างอาคารทั่วประเทศอีกครั้ง หน่วยงานภาครัฐและเอกชนต่างเร่งทบทวนมาตรการตรวจสอบและเตรียมความพร้อมรับมือภัยพิบัติในอนาคตอย่างจริงจัง ทำให้ประเด็นข่าวนี้ได้รับความสนใจจากผู้ใช้บน LINE TODAY จนมียอดการเข้าชมกว่า 155 ล้านครั้ง และได้รับการโหวตให้เป็น “ข่าวแห่งปี 2025” ด้วยคะแนนสูงถึง 17.61%

     

    ปี 2025 ประเทศไทยต้องรับมือกับภัยธรรมชาติหลายระลอก เริ่มตั้งแต่เดือนกรกฎาคม เมื่อพายุหลายลูกพัดถล่มเข้าประเทศ ทำให้เกิดฝนตกหนัก ดินถล่ม น้ำป่าไหลหลาก และน้ำล้นตลิ่งในหลายพื้นที่ของภาคเหนือและภาคกลาง รัฐบาลต้องเร่งออกมาตรการช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจำนวนมาก

     

    ต่อเนื่องในเดือนพฤศจิกายน พื้นที่ภาคใต้ของประเทศไทยต้องเผชิญกับมหาอุทกภัยครั้งใหญ่จากปรากฏการณ์ฝนตกหนักต่อเนื่องหลายวัน ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมขังครอบคลุม 9 จังหวัด ประชาชนกว่า 1 ล้านครัวเรือนประสบความสูญเสียทั้งทรัพย์สิน บ้านเรือน และสมาชิกในครอบครัว ความเสียหายทางเศรษฐกิจประเมินเบื้องต้นกว่า 25,000 ล้านบาท นับเป็นหนึ่งในวิกฤตน้ำท่วมที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย

     

    นอกจากนี้ ยังมีอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่สร้างความตื่นตระหนกให้คนไทย คือกรณีถนนทรุดตัวบริเวณหน้าโรงพยาบาลวชิรพยาบาล ซึ่งสร้างความเสียหายอย่างหนักและได้รับความสนใจจากผู้ใช้งาน LINE TODAY กว่า 12 ล้านครั้ง

     

    เมื่อรวมเหตุการณ์ภัยพิบัติทั้งหมดตลอดปี เนื้อหาหมวด “ภัยพิบัติ” บน LINE TODAY มียอดการติดตามสูงถึง 295 ล้านครั้ง เพิ่มขึ้นกว่า 133% จากปีก่อน สะท้อนให้เห็นชัดเจนว่า “ปี 2025 คือปีแห่งการสั่นสะเทือนอย่างแท้จริง”

     

    3.ฉาววงการผ้าเหลือง ปมศรัทธาที่สังคมตั้งคำถาม

     

    วงการศาสนาร้อนแรงไม่แพ้การเมือง เมื่อเกิดคดีฉาวต่อเนื่องสะเทือนศรัทธาคนไทยทั่วประเทศ เริ่มจากกรณี “วัดไร่ขิง” ที่ถูกตรวจสอบพบการยักยอกเงินวัดกว่า 300 ล้านบาท ไปเล่นพนันออนไลน์ ต่อด้วยคดี “เจ้าคุณอาชว์” เจ้าอาวาสวัดตรีทศเทพ ถูกแฉสัมพันธ์สีกากอล์ฟ ซึ่งมีเงินหมุนเวียนในบัญชีกว่า 385 ล้านบาท

     

    อีกหนึ่งคดีใหญ่คือกรณี “หลวงพ่ออลงกต” และ “หมอบี” ที่ถูกโยงเข้ากับการยักยอกและฟอกเงินวัดพระบาทน้ำพุ ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะสามารถยึดทรัพย์คืนได้มูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท รวมแล้วหมวดข่าว “ศาสนา” บน LINE TODAY มียอดการเข้าชมทะลุ 144 ล้านครั้ง ตอกย้ำว่า “ปี 2025” คือปีที่ความศรัทธาถูกตั้งคำถามมากที่สุดในรอบหลายปี

     

    4.เศรษฐกิจสั่นคลอน – ทองคำพุ่งแตะจุดสูงสุดในประวัติการณ์

     

    ปีนี้เศรษฐกิจไทยต้องเผชิญแรงสั่นสะเทือนจากหลายปัจจัย ทั้งสงครามการค้าโลกและมาตรการเก็บภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ หรือ “ภาษีทรัมป์” ที่ได้เปิดศึกกับประเทศหลาย ๆ ประเทศ ซึ่งประเทศไทยโดนไปเต็ม ๆ ถึง 36% มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคมที่ผ่านมา ส่งผลให้ข่าวนี้กลายเป็นกระแสร้อนแรงบน LINE TODAY มียอดการติดตามกว่า 65 ล้านครั้ง และถูกโหวตให้เป็นหนึ่งใน “ข่าวต่างประเทศแห่งปี” ด้วยคะแนนสูงถึง 25.4%

     

    ภาคท่องเที่ยวของไทยก็เผชิญภาวะซบเซาต่ำสุดในรอบ 10 ปี โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่ค่าเงินบาทกลับแข็งค่าขึ้นสวนทางกับเศรษฐกิจ แม้รัฐบาลจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นผ่านโครงการ “ดิจิทัลวอลเล็ต เฟส 2” และ “คนละครึ่งพลัส” ผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังคงต้อง “รัดเข็มขัด” อย่างต่อเนื่อง

     

    ในอีกด้านหนึ่ง คนไทยหันไปมองหาช่องทางเพิ่มรายได้ จากการลงทุนใน “ทองคำ” ที่ราคาพุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์บาทละกว่า 60,000 บาท ทำให้ฟีเจอร์การ “เช็กราคาทองแบบเรียลไทม์” กลายเป็นกิจวัตรประจำวันของผู้คนกว่า 29,000 ครั้งต่อวัน และได้รับการโหวตเป็นหนึ่งในข่าวยอดนิยมแห่งปี ด้วยคะแนน 21.52% อีกทั้งกระแสการลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซีก็ได้รับความสนใจและถูกจับตามองอีกครั้ง จากความทำสถิติราคาบิทคอยน์พุ่งขึ้นทำสถิติใหม่ในรอบหลายปี

     

    5.สงครามทั่วโลกร้อนแรง ด้านไทย-กัมพูชา ดุเดือดไม่แพ้กัน

     

    ปี 2025 โลกยังคงเผชิญความร้อนแรงของสงครามหลายสมรภูมิ ทั้งสงครามรัสเซีย–ยูเครนที่ยังไม่สิ้นสุด ความขัดแย้งในฉนวนกาซาระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาส รวมถึงการปะทะระหว่างอิสราเอลและฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอน ขณะเดียวกัน ความตึงเครียดบริเวณช่องแคบไต้หวันและทะเลจีนใต้ยังคงเป็นจุดปะทะเชิงอำนาจระหว่างสหรัฐฯ และจีน

     

    ด้านภูมิภาคอาเซียน ความขัดแย้งตามแนวชายแดน ไทย–กัมพูชา ยังคงยืดเยื้อและทวีความรุนแรง มีการใช้อาวุธหนักตอบโต้กันหลายครั้ง ส่งผลให้ทั้งทหารและพลเรือนได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก เหตุการณ์ดังกล่าวกลายเป็นกระแสเดือดบนโลกโซเชียล ผู้คนรวมพลังภายใต้แฮชแท็ก #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด สะท้อนพลังความรักชาติและความห่วงใยต่อบ้านเมือง

     

    แม้นายกรัฐมนตรีจากทั้งสองประเทศจะร่วมลงนามใน “ปฏิญญาสันติภาพ” เพื่อยุติความรุนแรงและถอนกำลังอาวุธหนักออกจากพื้นที่ แต่สถานการณ์ยังคงต้องจับตาอย่างใกล้ชิด ข่าวหมวดนี้ได้รับการโหวตจากผู้ใช้งาน LINE TODAY ถึง 13.41% ถือเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์สำคัญที่คนไทยให้ความสนใจมากที่สุดในปี 2025

     

    6.การเมืองไทยปีนี้ ไม่เหมือนชาติใดในโลก

     

    ความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชาปะทุขึ้น หลังมีคลิปเสียงหลุดระหว่าง “อดีตนายกฯ แพทองธาร ชินวัตร” และ “ฮุน เซน” เผยแพร่ในโลกออนไลน์ ส่งผลให้คำว่า “อุ๊งอิ๊ง” ถูกค้นหาบน LINE TODAY ถึง 106 ล้านครั้ง เพิ่มขึ้นกว่า 72 ล้านครั้งจากปีก่อน กลายเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่สร้างแรงสั่นสะเทือนทางการเมืองครั้งใหญ่ที่สุดของปี และนำไปสู่คำวินิจฉัยของศาลให้ “แพทองธาร ชินวัตร” พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในที่สุด

     

    จากสถานการณ์ดังกล่าวนำมาสู่ ความวุ่นวายทางการเมืองที่เกิดการเปลี่ยนขั้วอำนาจ เมื่อพรรคประชาชนจับมือกับพรรคภูมิใจไทยและพรรคพันธมิตร จัดตั้ง “รัฐบาลเฉพาะกิจ” เสนอชื่อ อนุทิน ชาญวีรกูล ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ของประเทศไทย และขณะเดียวกัน ทักษิณ ชินวัตร ที่เพิ่งกลับประเทศได้ไม่นาน ก็ถูกศาลตัดสินจำคุก 1 ปี หลังลูกสาวพ้นจากตำแหน่งนายกฯ ทั้งหมดนี้ทำให้ประเด็นเกี่ยวกับ “ทักษิณ ชินวัตร” ได้รับความสนใจสูงสุดบน LINE TODAY มียอดเข้าชมกว่า 190 ล้านครั้ง

     

    ปิดท้ายด้วยการประกาศยุบสภาของนายกฯ อนุทิน ชาญวีรกูล ซึ่งจะนำไปสู่การเลือกตั้งใหญ่ในช่วงต้นปี 2026

     

    7.กระแสมาสคอตมาแรงแห่งปี ครองกระแสไวรัลปี 2025

     

    แม้ปี 2025 จะเต็มไปด้วยข่าวหนักและความเปลี่ยนแปลง แต่ก็ยังมีพลังสดใสจากซอฟต์พาวเวอร์ตัวจิ๋วที่เข้ามาเติมรอยยิ้มให้คนไทยทั้งประเทศ กระแสมาสคอตมาร์เก็ตติ้งกลายเป็นปรากฏการณ์ที่ทุกแบรนด์ต้องมี ไม่ว่าจะเป็น “หมีเนย” “โพก้าซัง” และอีกหลากหลายมาสคอตไอดอลขวัญใจโซเชียล ที่กลายเป็นเทรนด์ไวรัลพูดถึงกันทั่วบ้านทั่วเมือง จนได้รับการโหวตสูงสุด 34.19% คว้าตำแหน่ง “ปรากฏการณ์แห่งปี 2025” ไปครอง

     

    อีกหนึ่งพลังแห่งความน่ารักที่ยึดหัวใจคนไทยที่ตามมาในอันดับ 2 คือ “น้องเกล” หรือ “เจ๊เกล” ลูกสาววัย 3 ขวบของ “ชมพู่ อารยา” ที่ไม่ว่าจะขยับตัว พูดคำไหน หรือทำท่าใด ก็กลายเป็นกระแสทันที จนคำว่า “เติมเกล” กลายเป็นคีย์เวิร์ดประจำปี ภาพและคลิปไวรัลอย่าง “มอสมีแม่ไหม” หรือท่าเต้นโก๊ะ ๆ ในเพลง When I’m with You ของ “ลิซ่า – ลลิษา” ต่างถูกแชร์ต่ออย่างถล่มทลาย ด้วยคาแรกเตอร์ใส ๆ ปนความกวนเบา ๆ ที่ทำให้ “เจ๊เกล” เป็นที่รักของแฟนคลับ

     

    8.แฟนนางงามเฮลั่น! “โอปอล” คว้ามงฟ้า – “วีนา” คว้ารองจักรวาล

     

    ทางฟากนางงามก็มีเรื่องให้คนไทยได้เฮ เมื่อ “โอปอล–สุชาตา” สร้างประวัติศาสตร์คว้ามงกุฎ Miss World 2025 ให้ประเทศไทยสำเร็จเป็นครั้งแรกในรอบ 57 ปี สร้างความปลื้มปีติให้แฟนนางงามทั่วประเทศ จนได้รับการโหวตให้เป็น ข่าวบันเทิงแห่งปี ด้วยคะแนนสูงสุดกว่า 35.05%

     

    ขณะเดียวกัน เวที Miss Universe 2025 ซึ่งประเทศไทยรับหน้าที่เจ้าภาพ ก็ร้อนแรงไม่แพ้กัน เมื่อ “วีนา–ปวีนา” ตัวแทนสาวไทยคว้าตำแหน่ง รองชนะเลิศอันดับ 1 มาครองอย่างงดงาม สะกดทุกสายตาทั่วโลก

     

    ความสำเร็จจากทั้งสองเวทีใหญ่ ทำให้ปีนี้กลายเป็นหมุดหมายสำคัญของวงการนางงามไทย และตอกย้ำศักยภาพของตัวแทนสาวไทยที่ก้าวไกลขึ้นบนเวทีระดับโลกอย่างสง่างาม

     

    9.ลุ้นสนุก! นักกีฬาไทยสร้างประวัติศาสตร์ต่อเนื่อง

     

    ทางฝั่งกีฬาปีนี้ถือเป็นปีทองของวงการกีฬาไทย เมื่อนักกีฬาหลายคนสร้างผลงานระดับโลกอย่างต่อเนื่อง“บิว–คีริน” คว้าเหรียญเงินกรีฑาชิงแชมป์เอเชีย “จีโน่–อาฒยา” ทวงบัลลังก์โปรกอล์ฟหญิงมือ 1 ของโลก ขณะที่ “สมเกียรติ” สร้างประวัติศาสตร์นักบิดไทยหนึ่งเดียวผงาดคว้าแต้มแรก MotoGP และ “วิว–กุลวุฒิ” ทำสถิติเป็นนักแบดมินตันเดี่ยวมือ 1 คนแรกของไทย คว้าทั้งตำแหน่ง “ข่าวกีฬาแห่งปี” ด้วยคะแนนโหวต 31.65% และ “นักกีฬาแห่งปี” ด้วยคะแนนสูงสุด 44.33%

     

    ขณะเดียวกัน ประเทศไทยยังได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน ซีเกมส์ ครั้งที่ 33 ในรอบ 18 ปี ถือเป็นหมุดหมายสำคัญของวงการกีฬาไทย ทั้งด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและความภาคภูมิใจของคนทั้งชาติ

     

    10.หนัง ซีรีส์ไทย ไม่แพ้ชาติใดในโลก

     

    วงการภาพยนตร์ไทยยังคงสร้างชื่อเสียงบนเวทีโลกอย่างต่อเนื่อง ภาพยนตร์เรื่อง “ผีใช้ได้ค่ะ” กลายเป็นหนังไทยเรื่องแรกที่คว้ารางวัลสูงสุดในสาย Critics’ Week จากเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ ขณะที่ซีรีส์แอ็กชันฟอร์มยักษ์ “สงครามส่งด่วน” ก็กระแสแรงไม่แพ้กัน ขึ้นแท่นอันดับ 1 บน Netflix ประเทศไทย และติดอันดับ 4 ซีรีส์ Non-English ที่มียอดชมสูงสุดทั่วโลก

     

    ด้านซีรีส์ Boy Love และ Girl Love ของไทยยังคงครองกระแสทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดย “เขมจิราต้องรอด” จากค่าย Domundi คว้าตำแหน่ง ซีรีส์ Boy Love แห่งปี ไปพร้อมกับ “เก่ง–หฤษฎ์” และ “น้ำปิง–นภัสกร” ที่คว้ารางวัล คู่จิ้นแห่งปี ด้วยคะแนน 38.77%

     

    ขณะที่ฝั่ง Girl Love สองนักแสดงสาว “หลิง–ออม” จากซีรีส์ “เพียงเธอ” คว้ารางวัล ซีรีส์ Girl Love แห่งปี ด้วยคะแนนสูงถึง 57.09% และสร้างวลีฮิต “ไอร่ารู้ไหม..” ที่กลายเป็นคำพูดยอดนิยมแห่งปี สะท้อนถึงพลังของคอนเทนต์ไทยที่ยังคงครองใจผู้ชมทั่วโลกได้อย่างงดงาม

     

    11.T-POP ฟีเวอร์ แรงไม่ตก กวาดครบทุกกระแส

     

    อุตสาหกรรมเพลงและอีเวนต์ไทยก็ร้อนแรงไม่แพ้กันเมื่อกระแส T-POP กลายเป็นซอฟต์พาวเวอร์สำคัญที่ผลักดันศิลปินไทยให้ก้าวสู่เวทีสากล ขณะเดียวกันประเทศไทยยังกลายเป็น ศูนย์กลางคอนเสิร์ตระดับภูมิภาค ดึงดูดทั้งศิลปินไทยและต่างชาติให้จัดแสดงอย่างคึกคัก ถือเป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยอย่างมีนัยสำคัญ

     

    นอกจากนี้ศิลปินสาวไทยที่มีชื่อบนเวทีโลกอย่าง “ลิซ่า – ลลิษา” ก็ได้รับบทบาทในซีรีส์ระดับโลก The White Lotus ซีซัน 3 จุดกระแสแฟนทั่วโลกให้มาตามรอยสถานที่ถ่ายทำในไทย ทั้งภูเก็ต สมุย และกรุงเทพฯ คว้าอันดับ 1 ข่าวบันเทิงต่างประเทศแห่งปี ด้วยคะแนนโหวต 24.44%

     

    เช่นเดียวกับ “แบมแบม – กันต์พิมุกต์” ที่ได้สร้างประวัติศาสตร์ให้วงการเพลงไทย ด้วยการนำเพลงไทยขึ้นแสดงในคอนเสิร์ต Grace for the World ณ นครรัฐวาติกัน ถือเป็นการ “ส่งเสียงของประเทศไทยให้ดังก้องไปทั่วโลก” ได้อย่างภาคภูมิ และ คว้ารางวัล “ความภูมิใจแห่งปี” ด้วยคะแนนโหวตสูงสุดถึง 60.72%

    นอกจากนี้ยังมีการจัดที่สุดแห่งปี แบ่งออกเป็น

    • ข่าวแห่งปี: ตึก สตง.ถล่ม ด้วยผลโหวต 17.61%
    • ข่าวกีฬาแห่งปี: วิว กุลวุฒิ ขึ้นมือ 1 โลกแบดมินตันชายเดี่ยวคนแรกของไทย ด้วยผลโหวต 31.65%
    • นักกีฬาแห่งปี: วิว กุลวุฒิ ด้วยผลโหวต 44.33%
    • ประโยคเด็ดแห่งปี: ชีเสิร์ฟ ด้วยผลโหวต 55.72%
    • เมนูฮิตแห่งปี: มัตจะ ด้วยผลโหวต 27.44%
    • เพลงแห่งปี: สมมติ – NAMPING ด้วยผลโหวต 34.37%
    • ข่าวต่างประเทศแห่งปี: ภาษีทรัมป์ ด้วยผลโหวต 25.4%
    • ความภาคภูมิใจแห่งปี: Banbam ร้องเพลงที่วาติกัน ด้วยผลโหวต 60.72%
    • ผู้ทรงอิทธิพลโลกโซเชียล: หนุ่ม กรรชัย ด้วยผลโหวต 44.1%
    • ปรากฎการณ์แห่งปี: มาสคอตไอดอล ด้วยผลโหวต 34.19%
    • ข่าวบันเทิงแห่งปี: โอปอลคว้ามงฟ้าคนแรกของไทย ด้วยผลโหวต 35.05%
    • ดาราชายแห่งปี: พีพี กฤษฏ์ ด้วยผลโหวต 57.3%
    • ดาราหญิงแห่งปี: เจนิส เจณิสตา ด้วยผลโหวต 71.13%
    • ศิลปินยอดนิยมแห่งปี: Bambam ด้วยผลโหวต 32.38%
    • ข่าวบันเทิงต่างประเทศแห่งปี: ปรากฏการณ์ลิซ่าครองโลก ด้วยผลโหวต 24.44%
    • ซีรีส์ Girl Love แห่งปี: เพียงเธอ ด้วยผลโหวต 57.09%
    • คู่จิ้น Girl Love แห่งปี: หลิงออม ด้วยผลโหวต 55.01%
    • ซีรีส์ Boy Love แห่งปี: เขมจิรา ต้องรอด ด้วยผลโหวต 53.02%
    • คู่จิ้น Boy Love แห่งปี: เก่งน้ำปิง ด้วยผลโหวต 38.77%
    • นักร้องลูกทุ่งแห่งปี: นุ๊ก ธนดล ด้วยผลโหวต 49.66%
    ]]>
    1552456
    CPN ทุ่ม 500 ล้านบาท ปั้นงานเคานต์ดาวน์ 13 ศูนย์การค้า ตั้งเป้าทราฟฟิก 1.5 ล้านคน https://positioningmag.com/1552447 Thu, 18 Dec 2025 13:53:51 +0000 https://positioningmag.com/?p=1552447 ดร.ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา กรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด บมจ. เซ็นทรัลพัฒนาหรือ CPN กล่าวว่า ช่วงปลายปี 2568 นี้ ข้อมูลจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) พบว่า จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเริ่มรีบาวด์กลับมาราว 3 ล้านคน จากเป้าหมายที่ตั้งไว้ 2 ล้านคน คาดเป็นปัจจัยหนุนของงาน Countdown ในไทยในปี 2568

    13 ศูนย์การค้า คาดทราฟฟิกทะลัก 1.5 ล้านคน

    เบื้องต้น CPN ลงทุน 500 ล้านบาท ปั้นงานเคานต์ดาวน์ 13 ศูนย์การค้าทั่วประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 25 – 31 ธันวาคม 2568 กับศิลปินกว่า 500 ชีวิต

    “คาดว่าปีนี้จะมีผู้เข้าร่วมงานทั่วประเทศ 1.5 ล้านคน ยอดการใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 10-15% แม้ปัจจุบันกำลังซื้อยังมีแรงกดดันจากเศรษฐกิจและหนี้ครัวเรือนสูงก็ตาม”

    ดร.ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา กรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด บมจ. เซ็นทรัลพัฒนา CPN

    เซ็นทรัลเวิลด์ ติดท็อป 5 เดสติเนชั่นเคานต์ดาวน์ระดับโลก

    ทั้งนี้ ‘เซ็นทรัลเวิลด์’ ในฐานะแลนด์มาร์กงานเคานต์ดาวน์ที่ใหญ่สุดในไทย คาดว่าดึงทราฟฟิกคนมางาน (เฉพาะเซ็นฯเวิลด์) ได้กว่า 2.5 แสนคน แบ่งเป็นคนไทย 70% และต่างชาติ 30%

    ขณะที่ ประเมินว่า งานเคานต์ดาวน์นี้ จะช่วยกระตุ้นยอดการจับจ่ายในศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ช่วงสิ้นปีให้เพิ่มขึ้น 20-25%

    “ช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ‘เซ็นทรัลเวิลด์’ ติด Top 5 Entertainment Countdown ระดับโลก และได้รับการยอมรับว่าเปรียบเสมือน Times Square of Asia คาดจะมีการถ่ายทอดไปทั่วโลกและมียอดการรับชมสูงถึง 50 ล้านวิว“

    เคานต์ดาวน์เซ็นทรัลเวิลด์

    สำหรับงานเคานต์ดาวน์ “เซ็นทรัลเวิลด์” จะมี 6 ไฮไลต์ต่าง ๆ อาทิ

    • พลุซิตี้สเคป ใจกลางเมืองครั้งแรกของโลก การแสดงมีความยาวสุด 15 นาที รูปแบบใหม่ สีใหม่ ออกแบบให้สอดรับกับสกายไลน์ใจกลางกรุงเทพฯ
    • เอ็นเตอร์เทนเมนต์เคานต์ดาวน์ระดับโลก โปรดักชัน แสง สี เสียง และการแสดงจากศิลปิน T-Pop ตัวท็อป ระดับโลก อาทิ โบกี้ไลออน, URBOYTJ, Tattoo Colour, Three Man Down, 4EVE, ไทยทศมิตร, PARADOX, Silly Fools และ ZEAL เป็นต้น
    • เวทีคอนเสิร์ตเคานต์ดาวน์ดิจิทัลรูปแบบใหม่ ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลที่ผสานภาพ เสียง และเอฟเฟกต์แบบ Immersive เข้าด้วยกันไร้รอยต่อ
    • Drone Show การแสดงโดรนแปรอักษรที่ถ่ายทอดสารแห่งความรัก ความสามัคคี และความหวัง ส่งต่อ Message to the World จากใจกลางกรุงเทพฯ

    เคานต์ดาวน์เซ็นทรัลเวิลด์

    เปิดแผนปี 2569 เปิด 3 ศูนย์การค้า รีโนเวตอีก 4 แห่ง

    สำหรับแผนในปี 2569 CPN เตรียมเปิดตัว 3 ศูนย์การค้าใหญ่ ได้แก่

    • เซ็นทรัล ขอนแก่น รูปแบบเซมิเอาต์ดอร์ เจาะกลุ่มนักศึกษา
    • เซ็นทรัล นอร์ธวิลล์ (เซ็นทรัล รัตนาธิเบศร์เดิม)
    • เดอะ เซ็นทรัล พหลโยธิน (บริเวณใกล้กับเซ็นทรัลลาดพร้าว

    ขณะเดียวกัน ยังคงแผนรีโนเวตศูนย์การค้าในทุก ๆ 5-10 ปี เพื่อให้สอดรับกับความต้องการของผู้บริโภค โดยมี 4 ศูนย์การค้ามีไปป์ไลน์ใกล้รีโนเวตเสร็จแล้ว ได้แก่ เซ็นทรัล ปิ่นเกล้า, เซ็นทรัล แอร์พอร์ต เชียงใหม่, เซ็นทรัล แจ้งวัฒนะ และเซ็นทรัล บางนา

    เมื่อถามถึง ภาพรวมศูนย์การค้าปลายปี 2568 ยอดการใช้จ่ายยังคงที่จากปีก่อน ส่วนบางศูนย์การค้าใกล้ชายแดนไทย-กัมพูชา เช่น จันทบุรี อุบลราชธานี ได้รับผลกระทบเล็กน้อยจากความขัดแย้งชายแดน

    ส่วนปี 2569 ประเมินว่า ยังต้องจับตาดูเรื่องการเลือกตั้งและการเข้ามาของรัฐบาลใหม่ ภาพรวมผู้บริโภคมีความหวังใหม่ รวมถึงเรื่องกับดักหนี้ครัวเรือน และการส่งออก

    อย่างไรก็ตาม ไทยยังมีปัจจัยบวกอยู่บ้าง ด้วยภาคท่องเที่ยวยังมีเสน่ห์ โดยในช่วงที่ผ่านมา ได้มีนักท่องเที่ยวกลุ่ม Long haul อาทิ อเมริกา ยุโรป เข้าไทยมากกว่า 1 ล้านคน จากอานิสงส์ของ White Lotus ซีซั่น 3 และ    จูราสสิกเวิลด์ ส่วนนักท่องเที่ยวจีนเริ่มกลับมาบ้างแล้ว แต่ยังไม่เท่าช่วงพีก ๆ

    ]]>
    1552447
    ตลาดชา ปี 68 ระอุ แบรนด์ไทย-ต่างชาติ บุกหนัก บิ๊กเนมระดับโลกคัมแบ็ก https://positioningmag.com/1552316 Thu, 18 Dec 2025 03:07:06 +0000 https://positioningmag.com/?p=1552316 ปี 2568 คือปีที่ “ตลาดชา” ระอุต่อเนื่อง โดยมีมูลค่าตลาดชา 26,000 ล้านบาท แต่มีจำนวนร้านชาทั่วไทยกว่า 30,000 แห่ง ทำให้สมรภูมินี้ กลายเป็นหนึ่งในสนามแข่งขันที่ดุเดือดที่สุดของธุรกิจเครื่องดื่มในไทย

    และแรงหนุนสำคัญก็มาจากฝั่งผู้บริโภค

    ข้อมูลจาก Grab ชี้ว่า ปี 2568 เครื่องดื่มที่ถูกสั่งมากที่สุดแห่งปีคือ “ชาเย็น” (รวมชาไทย + ชานมไข่มุก) กว่า 11 ล้านแก้ว ตามมาติด ๆ ด้วย ชาเขียว 9 ล้านแก้ว จากกระแสมัตจะฟีเวอร์ ส่งผลให้แชมป์เก่าอย่างอเมริกาโนเย็น หล่นไปอยู่อันดับ 3 อย่างเป็นทางการ

    ร้านชาโกยรายได้ต่อเนื่อง

    เมื่อดีมานด์สูง รายได้ของร้านชาเบอร์ท็อปไทยก็เติบโตตาม แต่ตัวเลขกำไรสะท้อนว่า ‘เกมนี้ไม่ง่ายนัก’

    ชาตรามือ : บริษัท ทิพย์ธารี จำกัด

    • รายได้ 1,831 ล้านบาท เติบโต 43%
    • กำไรสุทธิ 268 ล้านบาท เติบโต 37%

    NOSE TEA : บริษัท โนส ที (ประเทศไทย) จำกัด

    • รายได้ 297 ล้านบาท เติบโต 512%
    • กำไรสุทธิ 30 ล้านบาท เติบโต 496%

    Bearhouse : บริษัท 21ซันแพสชั่น จำกัด

    • รายได้ 420 ล้านบาท เติบโต 31%
    • กำไรสุทธิ 3.6 ล้านบาท ลดลง 13%

    Karun : บริษัท การัน เบฟเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด

    • รายได้ 154 ล้านบาท เติบโต 52%
    • กำไรสุทธิ 2.9 ล้านบาท ลดลง 67%

    ชา

    ผู้เล่นต่างชาติสบช่อง บิ๊กเนมทยอยคัมแบ็ก

    ความร้อนแรงของตลาดชาในไทย ไม่ได้ดึงดูดแค่แบรนด์ในประเทศ แต่ยังเรียกบิ๊กเนมต่างชาติให้หวนคืนสนาม

    CHAGEE จากจีน

    ชาจี ภายใต้การบริหารของ บริษัท ชาเอ็กซ์พลอเรอร์ จำกัด ถือหุ้น 49% (ผู้ถือหุ้นเดิม) ก่อนที่กลุ่มมาม่า (ผู้ถือหุ้นใหม่) จะเข้าลงทุน 51% มูลค่า 142 ล้านบาท

    ปี 2568 เร่งเปิดมากกว่า 5 สาขาในโลเกชันหลัก ทั้ง The Parq, เซ็นทรัลพระรามสาม และโรบินสันลาดกระบัง

    Gong Cha

    แบรนด์ไต้หวัน สุดไวรัลในเกาหลีใต้ ที่เคยถอนทัพจากไทยเมื่อ 10 ปีก่อน กลับมาอีกครั้งในปี 2568 ภายใต้การนำเข้าของ Thai Outdoor Group (TOG) ปัจจุบันเปิดแล้ว 2 สาขา ที่เซ็นทรัลเวิลด์ และสยามพารากอน

    HEYTEA

    เจ้าของตำนานชาชีสและชาองุ่น หลังเคยเปิด Heekcha ในไทย และปิดตัวไปเมื่อปี 2563

    ล่าสุด ส่งสัญญาณกลับมาไทย จากการเปิดรับสมัครพนักงานตำแหน่ง Store Manager ประจำสาขากรุงเทพ ผ่าน LinkedIn

    คาดว่าเตรียมกลับมาลุยตลาดไทยอีกครั้งในปี 2569

    ตลาดชา

    แบรนด์ไทยรุกหนัก แตกไลน์–แจ้งเกิดน้องใหม่รัว ๆ

    ฝั่งแบรนด์ไทยเองก็ขยับเกมเร็วไม่แพ้กัน

    “ชาตรามือ” นอกจากขยายแบรนด์หลักเฉลี่ย 30 สาขา/ปี ยังรุกเซกเมนต์พรีเมียม ด้วยแบรนด์ใหม่ CTM (ย่อมาจาก Captivating Tea Muse) จับเทรนด์ชา Specialty ที่กำลังโต และวางหมากขยายในอัตราเดียวกับแบรนด์แม่

    ขณะเดียวกัน ตลาดชา ก็เปิดพื้นที่ให้ “น้องใหม่” แจ้งเกิดต่อเนื่อง อาทิ

    “ชงดี” (Chongdee) กับซิกเนเจอร์ ชาใต้เข้มข้น มาพร้อมปาท่องโก๋ เปิดเพียง 2 ปี ขยายแล้ว 13 สาขา รายได้ปี 2567 กว่า 36 ล้านบาท

    “ฉันจะกินชาเย็นทุกวัน” เริ่มจากแผงเล็ก ๆ ในตลาดนัดจ๊อดแฟร์ ภายใน 2 ปี ขยายมากกว่า 22 สาขา จากพลังไวรัลและแบรนด์ดิ้งชัด

    ตลาดชา

    อย่างไรก็ตาม ในปี 2569 คาดว่า การแข่งขันยังคงร้อนแรงต่อเนื่อง เมื่อผู้เล่นใหม่เข้ามาไม่หยุด และบิ๊กเนมระดับโลก เริ่มกลับมาเคาะประตูอีกครั้ง

    คำถามสำคัญอาจไม่ใช่ “ตลาดชาจะโตไหม“ แต่คือ แบรนด์ไหนจะได้ไปต่อ และแบรนด์ไหนจะถูกคัดออกจากเกม…

    ]]>
    1552316
    ‘ธุรกิจครอบครัวไทย’ จะไปต่ออย่างไร? เมื่อความท้าทายรอบด้าน แถมขัดแย้งกันบ่อยกว่าค่าเฉลี่ยโลก https://positioningmag.com/1552311 Thu, 18 Dec 2025 01:33:53 +0000 https://positioningmag.com/?p=1552311 ‘ธุรกิจครอบครัว’ เป็นหนึ่งของภาคธุรกิจที่มีส่วนสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ส่วนหนึ่งสะท้อนจากข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่เปิดเผยว่า 2 ใน 3 ของบริษัทจดทะเบียนเป็นธุรกิจครอบครัว มูลค่าและ IPO ของธุรกิจครอบครัวมี Market Cap 50.2% ของตลาดหลักทรัพย์ รวมถึงมีการจ้างงาน 1.3 ล้านอัตรา คิดเป็น 74% ของการจ้างงานทั้งหมดของบริษัทจดทะเบียน 

     

    แต่ท่ามกลางกระแสของการเปลี่ยนแปลงมากมาย ทั้งสภาพเศรษฐกิจ เทคโนโลยี โครงสร้างประชากร และความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ ทำให้ธุรกิจครอบครัวต้องเผชิญกับความกดดันและความท้าทายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

     

    แล้วความท้าทายที่ธุรกิจครอบครัวไทยต้องก้าวข้าม เพื่อให้อยู่รอดและยืนหยัดต่อไปมีอะไรบ้าง?

     

    ผลสำรวจธุรกิจครอบครัวไทย ปี 2568 ของ ‘PwC ประเทศไทย’ ได้เผยให้เห็นภาพที่น่าสนใจต่อประเด็นนี้ โดย 69% ของผู้นำธุรกิจครอบครัวไทยเห็นตรงกันว่า ‘ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ’ เป็นอุปสรรคสำคัญที่ต้องฝ่าฟันมากที่สุด

     

    รองลงมา 53% มองเรื่อง ‘การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมและความคาดหวังของผู้บริโภค’ และ 44% ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นสงครามการค้า หรือความไม่มั่นคงในแต่ละภูมิภาค

     

    สำหรับการปรับตัวเพื่อรับมือกับแรงกดดันรอบด้านที่ถาโถมเข้ามาอย่างไม่หยุดยั้ง หลายธุรกิจครอบครัวของไทยได้ปรับกลยุทธ์จาก ‘การโตแบบก้าวกระโดด’ สู่ ‘การเติบโตที่เน้นความมั่นคง’ เป็นหลัก โดยเน้นแนวทางแบบ ‘อนุรักษ์นิยม’ เป็นหลัก

     

    เห็นได้จากการตอบคำถามที่ว่า ‘ในช่วงที่เกิดความผันผวนของตลาดหรือมีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในอุตสาหกรรม ธุรกิจครอบครัวของคุณมักจะตอบสนองอย่างไรในแง่ของแนวทางการบริหารจัดการ?’ พบว่า

     

    39% ของธุรกิจครอบครัวไทยเลือกใช้ ‘แนวทางที่ระมัดระวัง’ เน้นเปลี่ยนแปลงทีละน้อยและค่อยเป็นค่อยไป ยังคงยึดมั่นกับรูปแบบการบริหารและกระบวนการตัดสินใจที่คุ้นเคย ซึ่งตัวเลขนี้สูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่อยู่ที่ 35%

     

    นอกจากนี้ธุรกิจครอบครัวไทยเพียง 11% เท่านั้นที่กล้าทะยานสู่การสร้างสรรค์นวัตกรรมอย่างจริงจัง รวมถึงการกล้าจะปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การบริหารแบบใหม่ ๆ เพื่อรับมือกับอนาคตที่ไม่แน่นอน และยังไม่มีธุรกิจครอบครัวไทยรายใดกล้ากระโจนเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงในระดับพลิกโฉมอย่างเต็มรูปแบบ (ขณะที่ทั่วโลกมี 3% ที่กล้าเสี่ยง)

     

    สะท้อนถึงความระมัดระวังโดยธรรมชาติของธุรกิจครอบครัวไทย ที่อาจเป็นทั้งจุดแข็งในยามวิกฤตและข้อจำกัดในการคว้าโอกาสใหม่ในเวลาพร้อมกัน

     

    ที่น่าจับตา คือ ในปัจจุบันที่ AI เข้ามามีบทบาทสำคัญในการสร้างโอกาสใหม่ ๆ สำหรับการเติบโตทางธุรกิจทั่วโลก ทว่าธุรกิจครอบครัวไทยยังคงขาดความตื่นตัวและการตระหนักถึงเทรนด์นี้ โดย มีเพียง 3% ของธุรกิจครอบครัวไทยเท่านั้นที่ระบุว่า การได้ทดลองใช้ AI/GenAI เป็นโอกาสในการเติบโต ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกซึ่งอยู่ที่ 61% 

     

    และ 36% ของธุรกิจครอบครัวไทยที่มองว่า ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเป็นปัจจัยสำคัญในการเติบโตของธุรกิจครอบครัว ขณะที่ค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่เล็งเห็นความสำคัญของปัจจัยนี้อยู่ที่ 65%

     

    ธุรกิจครอบครัวไทยขัดแย้งกันบ่อยสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก

     

    สำหรับธุรกิจครอบครัว การสร้างความไว้วางใจภายในวงศ์ญาติเป็นจุดตั้งต้นที่สําคัญ โดยต้องอาศัยความโปร่งใส ความน่าเชื่อถือ และการสร้างหลักปฏิบัติที่ทุกคนยอมรับร่วมกัน

     

    อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้เป็นอีกหนึ่งความท้าทายที่ธุรกิจครอบครัวไทยต้องเผชิญ เพราะผลสํารวจพบว่า ธุรกิจครอบครัวไทยเกิดความขัดแย้ง ‘บ่อยกว่า’ ค่าเฉลี่ยโลก โดยผู้นําธุรกิจครอบครัวไทย 47% ต้องพบกับความขัดแย้งภายในครอบครัวที่เกิดขึ้นเป็นระยะ ๆ สูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่อยู่ที่ 38%

     

    สะท้อนให้เห็นถึงความจําเป็นในการบริหารจัดการความสัมพันธ์และการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเสริมสร้างความสามัคคีและความไว้วางใจที่มั่นคงในระยะยาว

     

    ส่วน ‘การรักษาชื่อเสียงของธุรกิจครอบครัว’ 58% ของผู้นำธุรกิจครอบครัวไทยระบุว่า ‘สําคัญอย่างมาก’ แต่ก็ยังต่ำว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกซึ่งอยู่ที่ 78%

     

    ขณะที่ ‘ความไว้วางใจ’ รากฐานสำคัญในการช่วยขับเคลื่อนธุรกิจครอบครัวให้เติบโตอย่างมั่นคง เพราะหากขาดเรื่องนี้ไป ไม่เพียงแต่จะกระทบตอความสัมพันธ์ในครอบครัว แต่ยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาพลักษณ์และชื่อเสียงของธุรกิจด้วย

     

    ในประเด็นนี้ผู้นำธุรกิจครอบครัวไทย 44% ระบุว่า ธุรกิจครอบครัวของตนได้รับความไว้วางใจและมีชื่อเสียงในสายตาของลูกค้า พนักงาน และคู่ค้า สูงกว่าบริษัททั่วไปที่ไม่ใช่ธุรกิจครอบครัว ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่อยู่ที่ 74%

     

    4 ประเด็นที่ธุรกิจครอบครัวไทยต้องปรับเพื่อชนะ

     

    รายงาน PwC ฉบับดังกล่าว ยังได้แนะ 4 ประเด็นสำคัญสำหรับธุรกิจครอบครัวไทยให้พลิกความซับซ้อนให้เป็นแต้มต่อเหนือคูแข่ง ได้แก่

     

    1.กําหนดเป้าประสงค์ที่ชัดเจน เพื่อสร้างความโดดเด่นและแตกต่างอย่างยั่งยืน โดย ‘ผู้นําธุรกิจ’ ควรจัดทําคําแถลงพันธกิจอย่างเป็นรูปธรรม และผนวกรวมไว้ในกลยุทธ์ขององค์กรอย่างต่อเนื่อง ภายใต้การดําเนินงานที่โปร่งใสและชัดเจน ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความสามัคคีระหว่างสมาชิกครอบครัวต่างรุ่น ส่งเสริมการปรับตัวและการฟื้นตัว เมื่อเผชิญกับความท้าทายหรือสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด

     

    2.เสริมสร้างความคล่องตัวทางโครงสร้างเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ด้วยการกระจายอํานาจให้คณะกรรมการตัดสินใจ ปรับปรุงระบบกํากับดูแลให้มีความโปร่งใส รวมถึงกําหนดบทบาทและความรับผิดชอบของผู้ถือหุ้นกับผู้บริหารให้ชัดเจนและสอดคล้องกัน

     

    3.ลงทุนเพื่อสร้างมูลค่าในระยะยาว โดยไม่เน้นเพียงการลงทุนในนวัตกรรมและการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลเท่านั้น แต่ควรขยายไปสู่โครงการริเริ่มด้านความยั่งยืนและการพัฒนาศักยภาพขององค์กรอย่างต่อเนื่อง

     

    4.การบริหารจัดการชื่อเสียงและภาพลักษณ์ เป็นปัจจัยสําคัญสําหรับการเติบโตเชิงกลยุทธ์ เนื่องจากชื่อเสียงของธุรกิจครอบครัวไทยไม่ใช่เพียงสิ่งที่สืบทอดกันมา แต่เป็นหัวใจสําคัญในการสร้างความเติบโตอย่างยั่งยืน

     

    นอกจากนี้ ควรส่งเสริมให้พนักงานและสมาชิกครอบครัวรุ่นใหม่มีความภาคภูมิใจในแบรนด์ พร้อมกับควรเติมทักษะจําเป็นเพื่อจะเป็นตัวแทนแบรนด์ที่แท้จริง โดยเน้นการใช้ช่องทางดิจิทัลให้เกิดประโยชน์สูงสุดสำหรับสร้างการรับรู้และขยายฐานลูกค้าในยุคปัจจุบัน

     

    ทั้งหมด เพื่อให้ธุรกิจครอบครัวของไทยเดินหน้าต่อไปได้ ในยุคที่ต้องเผชิญกับความท้าทายมากมาย

    ]]>
    1552311
    เบิร์นเอาท์จริง ไม่ต้องแกล้งป่วย! สู่เทรนด์ ‘วันลาพิเศษ’ สวัสดิการที่กอดพนักงานด้วยความเข้าใจ ไม่ใช่แค่ให้เงิน https://positioningmag.com/1552281 Wed, 17 Dec 2025 13:47:52 +0000 https://positioningmag.com/?p=1552281 ในโลกที่อยู่ยากขึ้นทุกวัน คนทำงาน เองก็กำลังมองหา สวัสดิการที่ใส่ใจคุณภาพชีวิต ไม่ใช่ตำแหน่งที่สูงขึ้น หรือเงินเดือนที่มากขึ้น โดยข้อมูลจาก Jobsdb by SEEK ชี้ให้เห็นว่า สวัสดิการที่ใส่ใจคุณภาพชีวิต ได้พุ่งมาเป็น ปัจจัยอันดับ 1 ที่ทำให้คน ตัดสินใจสมัครงาน แซงหน้าแม้กระทั่งตำแหน่งงานหรือเงินเดือน 

    Well-being ไม่ได้หมายถึงแค่โยคะที่ออฟฟิศ!

    ดวงพร พรหมอ่อน กรรมการผู้จัดการ Jobsdb by SEEK ประเทศไทย อธิบายว่า การปรับตัวเข้าสู่โลกการทำงานยุคดิจิทัลและรับมือกับคนทำงานรุ่นใหม่นั้น ไม่ได้อาศัยแค่เทคโนโลยีหรือออฟฟิศสวย ๆ แต่ต้องอาศัยตัวแปรที่ดึงดูดความเชื่อมั่นของบุคลากรให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

    เพราะยุคนี้ ชีวิตไม่ได้มีแค่ในออฟฟิศ คนทำงานต้องการ พื้นที่หายใจ เวลาดูแลจิตใจ และโอกาสอยู่กับคนที่รัก การทำงาน 8 ชั่วโมงต่อวันจะมีคุณภาพได้ ก็ต่อเมื่อชีวิตนอกงาน 16 ชั่วโมงที่เหลือมีความสมดุล รายงาน HCB Report 2025 เผยว่า องค์กรไทยกำลังเพิ่มวันลาพิเศษที่ตอบโจทย์ชีวิตจริง

    • 11% กำลังเตรียม วันลาสุขภาพจิต (Mental Health Day Off) — เพราะเข้าใจว่าบางวันใจก็ป่วยได้เหมือนกาย ไม่จำเป็นต้องรอให้ burn out จริงๆ ถึงจะพัก วันลาประเภทนี้ช่วยให้พนักงานสามารถหยุดพักเมื่อรู้สึกเครียด เหนื่อยล้าทางจิตใจ หรือต้องการเวลาในการดูแลสุขภาพจิตอย่างเต็มที่
    • 15% จะเพิ่ม วันลาดูแลครอบครัว (Family Care Leave) — เพราะรู้ว่าครอบครัวคือพลังใจที่แท้จริง ไม่ว่าจะเป็นการดูแลพ่อแม่ที่ป่วย พาลูกไปโรงเรียน หรือแค่การใช้เวลาคุณภาพกับคนที่เรารัก สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก แต่เป็นรากฐานของความสุขที่แท้จริง
    • วันลาใน วันเกิด ยังคงได้รับความนิยม — อาจฟังดูธรรมดา แต่มันส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่า เราเห็นคุณค่าคุณในฐานะมนุษย์ ไม่ใช่แค่ทรัพยากรในการทำงาน การที่องค์กรให้คุณได้หยุดในวันพิเศษของคุณ แสดงถึงการสร้างสภาพแวดล้อมที่เป็นมนุษย์อย่างแท้จริง
    ดวงพร พรหมอ่อน กรรมการผู้จัดการ Jobsdb by SEEK ประเทศไทย

    เงินเดือนและโบนัสต้องโปร่งใส

    Well-being ไม่ได้หมายถึงแค่สุขภาพกายใจ แต่รวมถึง ความมั่นคงทางการเงิน ด้วย เพราะไม่มีใครมีสุขภาพจิตที่ดีได้ ถ้ากังวลเรื่องเงินอยู่ตลอดเวลา โดยองค์กรไทยกำลังตอบโจทย์นี้ด้วย ความโปร่งใส ที่เพิ่มขึ้น ไม่มีแล้วยุคที่ โบนัสขึ้นอยู่กับดุลยพินิจผู้บริหาร โดย

    • 79% ของบริษัทไทยเปิดเผยวิธีคำนวณโบนัสอย่างชัดเจน — ไม่มีกล่องดำ ไม่มีการโกง พนักงานรู้ว่าถ้าทำงานได้ผลลัพธ์แบบนี้ จะได้โบนัสเท่านี้ ความชัดเจนนี้สร้างความไว้วางใจและแรงจูงใจในระยะยาว
    • 84% จ่ายโบนัสตามผลงานจริง — ไม่ใช่แค่ให้เพราะเป็นประเพณี แต่ให้เพราะคุณทำงานได้ดี โดยค่าเฉลี่ยโบนัสอยู่ที่ประมาณ 1.8 เดือน ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่ดีและสร้างแรงจูงใจให้พนักงานทุ่มเทได้
    • 85% ของบริษัทมีนโยบายปรับเงินเดือนเพิ่มขึ้น — ส่วนใหญ่อยู่ในช่วง 1-5% ซึ่งแม้จะไม่ใช่ตัวเลขที่สูงมาก แต่ที่สำคัญคือความแน่นอนและความสม่ำเสมอ ที่ทำให้พนักงานวางแผนชีวิตได้

    นี่คือสิ่งที่เรียกว่าระบบผลตอบแทนที่ยุติธรรมและตรวจสอบได้ ไม่ใช่แค่จ่ายเงินมาก แต่จ่ายอย่าง โปร่งใส มีหลักการ และคาดการณ์ได้

    ทำไมเรื่องนี้ถึงสำคัญกับองค์กร?

    หลายคนอาจคิดว่า องค์กรจะสามารถให้สวัสดิการเยอะแบบนี้ได้จริงหรอ? ซึ่งจริง ๆ แล้ว ต้นทุนของการหาคนใหม่แพงกว่าการรักษาคนเก่งไว้เสียอีก การที่พนักงานลาออก องค์กรต้องเสียเวลาและเงินในการ:

    • สรรหาคนใหม่
    • ฝึกอบรม onboard
    • รอให้คนใหม่คุ้นเคยกับงาน (อาจใช้เวลา 3-6 เดือน)
    • สูญเสีย know-how และความสัมพันธ์กับลูกค้า

    ดังนั้น Jobsdb by SEEK จึงย้ำว่า การลงทุนที่คุ้มค่าและยั่งยืนที่สุดขององค์กร คือการลงทุนในคน สรุปเป็นสูตรง่าย ๆ ที่จะใช้มัดใจคนในองค์กร คือ สวัสดิการยืดหยุ่น + วันลาที่เข้าใจชีวิต + ผลตอบแทนโปร่งใส = พนักงานที่อยากอยู่นาน ๆ

    สุดท้ายแล้ว องค์กรที่ดีที่สุดไม่ใช่ที่จ้างคนทำงาน แต่คือที่ เห็นคุณค่าความเป็นมนุษย์ ของทุกคนอย่างแท้จริง และนั่นคือรากฐานสำคัญที่นำไปสู่วัฒนธรรมการทำงานที่แข็งแกร่ง ยั่งยืน และพร้อมเติบโตไปด้วยกันในอนาคต

    ]]>
    1552281
    ไม่ซื้อตอนนี้แล้วจะซื้อตอนไหน! นักวิเคราะห์คาด ปีหน้า ‘มือถือ’ ใหม่อาจ ‘แพงขึ้น’ 7% เพราะ ‘ชิป’ ถูกเอาไปใช้ใน AI หมด https://positioningmag.com/1552198 Wed, 17 Dec 2025 05:55:01 +0000 https://positioningmag.com/?p=1552198 จากภาวะขาดแคลน ชิปหน่วยความจำ ซึ่งมีสาเหตุมาจากการที่สินค้าส่วนใหญ่ไหลเข้าไปอยู่ในอุตสาหกรรม AI ซึ่งมีแนวโน้มจะส่งผลให้ ราคาสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ในปีหน้า (2026) พุ่งสูงขึ้น

    Counterpoint Research ระบุในรายงานเมื่อวันอังคารว่า ในปี 2026 ราคาขายเฉลี่ย (Average Selling Price) ของสมาร์ทโฟนอาจพุ่งขึ้น 6.9% เมื่อเทียบปีกับปี 2025 ซึ่งสูงกว่าที่เคยคาดไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะพุ่งขึ้นเพียง 3.6% และคาดว่าจะส่งผลให้ ยอดส่งออก (Shipments) ลดลง -2.1% จากที่ปีนี้มีแนวโน้มเป็นบวก

    สาเหตุของปัญหาดังกล่าวเกิดจากการการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของศูนย์ข้อมูล (Data Centers) เพื่อรองรับการใช้งานของ AI ประกอบกับปัญหาคอขวดในซัพพลายเชนของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ส่งผลให้เกิด ขาดแคลนชิปหน่วยความจำ โดยเฉพาะ DRAM ซึ่งถือเป็นชิ้นส่วนสำคัญสำหรับสมาร์ทโฟนเช่นกัน ส่งผลให้ราคา DRAM จึงพุ่งสูงขึ้นในปีนี้

    โดย Counterpoint ระบุว่า ราคาหน่วยความจำอาจพุ่งขึ้นอีก +40% ไปจนถึงไตรมาสที่ 2 ของปี 2026 ซึ่งจะส่งผลให้ต้นทุน ต้นทุนค่าชิ้นส่วนและอุปกรณ์ (Bill of Materials : BoM) เพิ่มขึ้นอีกระหว่าง +8% ถึงมากกว่า +15% จากระดับที่สูงอยู่แล้วในปัจจุบัน

    นับตั้งแต่ต้นปี 2025 สมาร์ทโฟนระดับล่างที่มีราคาต่ำกว่า 200 ดอลลาร์ (ประมาณ 7,000 บาท) มีต้นทุนค่าชิ้นส่วนและอุปกรณ์ที่เพิ่มขึ้นแล้วประมาณ +20-30% ส่วนส่วนสมาร์ทโฟนระดับกลางและระดับไฮเอนด์มีต้นทุนชิ้นส่วนเพิ่มขึ้น +10-15% ดังนั้น ราคาชิ้นส่วนที่สูงขึ้นนี้อาจถูกผลักภาระไปให้ผู้บริโภค ซึ่งจะส่งผลให้ราคาขายเฉลี่ยปรับตัวสูงขึ้นตามไปโดยปริยาย

    ดังนั้น แบรนด์อย่าง Apple และ Samsung อยู่ในตำแหน่งที่ดีที่สุดในการรับมือกับมรสุมที่กำลังจะเกิดในอีกไม่กี่ไตรมาสข้างหน้า เนื่องจากโฟกัสอยู่ในเซกเมนต์ไฮเอนด์ แต่ผลกระทบนี้จะเห็นชัดในแบรนด์ที่เน้นเซกเมนต์ล่าง-กลาง ที่อาจไม่มีพื้นที่ในการรักษาสมดุลระหว่างส่วนแบ่งการตลาดและอัตรากำไร

    โดย Counterpoint ทิ้งท้ายว่า บางบริษัทอาจตัดสินใจ ลดสเปกชิ้นส่วนอื่นๆ ลง เช่น โมดูลกล้อง, หน้าจอ หรือแม้แต่ระบบเสียง รวมถึงอาจมีการนำชิ้นส่วนรุ่นเก่ากลับมาใช้ใหม่ นอกจากนี้ ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนมีแนวโน้มจะพยายามจัดแคมเปญจูงใจให้ผู้บริโภคหันไปซื้ออุปกรณ์ที่มีราคาสูงขึ้นแทน

    Source

    ]]>
    1552198
    ถอดรหัสการตลาดปี 2026 เมื่อแบรนด์แค่ชนะใจ ‘มนุษย์’ ไม่พอ ต้องชนะใจ ‘AI’ อัลกอริทึมด้วย! https://positioningmag.com/1552121 Wed, 17 Dec 2025 04:45:40 +0000 https://positioningmag.com/?p=1552121 ในยุคที่การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ผู้บริโภค สื่อ และเทคโนโลยีต่างก้าวไปพร้อมกัน สร้างโอกาสและความท้าทายใหม่ให้กับนักการตลาดในทุกระดับ Positioning ได้สรุปประเด็นสำคัญที่แบรนด์ควรให้ความสำคัญในปี 2026 จากคำแนะนำของ วรินทร์ ทินประภา ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเติบโต บริษัท มีเดียอินเทลลิเจนซ์กรุ๊ป จำกัด (MI GROUP) 

    3 พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป

    แม้ว่าแต่ละเจเนอเรชั่นจะมีความแตกต่างและซับซ้อน แต่มี 3 พฤติกรรมหลักที่ครอบคลุมทุกกลุ่มผู้บริโภค และจะส่งผลกระทบอย่างมากในปี 2026

    1. Smart Spending – การมองหาความคุ้มค่า ผู้บริโภคไม่ได้มองแค่เรื่องราคาอีกต่อไป แต่มองหา ‘Value’ หรือความคุ้มค่าที่แท้จริง เมื่อแบรนด์สามารถสื่อสารคุณค่าของสินค้าและบริการได้ชัดเจน ทุกกลุ่มพร้อมที่จะจ่ายเมื่อเขารู้สึกว่าคุ้มค่าและมั่นใจในแบรนด์

    สิ่งที่แบรนด์ควรทำ:

    • สื่อสารคุณค่าและความแตกต่างของสินค้าอย่างชัดเจน
    • ใช้การรีวิวและคำแนะนำเพื่อกระตุ้นให้เห็นความคุ้มค่า
    • สร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภคว่าการตัดสินใจซื้อนั้นถูกต้อง

    2. Transparency & Trust – ความโปร่งใสนำไปสู่การซื้อ

    ในอดีต Brand Trust สร้างความแข็งแกร่งให้แบรนด์ แต่ปัจจุบัน Trust สามารถขับเคลื่อนไปถึง Conversion ได้โดยตรง โดยตัวเลขที่น่าสนใจคือ

    • 91% ของลูกค้าพร้อมซื้อทันที หากเห็นกระบวนการคืนสินค้าที่ชัดเจน
    • 56% ของผู้บริโภคจะทิ้งตะกร้าทันที หากพบค่าใช้จ่ายแอบแฝงตอนชำระเงิน

    3. Application Ease & Simplification – ความเรียบง่ายคือพลัง

    ผู้บริโภคปัจจุบันถูกข้อมูลท่วมท้น การกระตุ้นให้เกิด Action ต้องง่ายและชัดเจน ความเรียบง่าย ไม่ซับซ้อน กลายเป็นพลังใหม่ในการปิดการขาย

    สิ่งที่ต้องชัดเจน:

    • Value Proposition ต้องเสิร์ฟให้ชัด
    • ขั้นตอนการซื้อต้องง่ายและไม่ซับซ้อน
    • การสื่อสารต้องตรงไปตรงมา
    • ช่องทางการขายทุกช่องต้องมีข้อมูลเหมือนกัน (Omnichannel Consistency) เช่น โปรโมชั่นออนไลน์ต้องเหมือนกับออฟไลน์
    วรินทร์ ทินประภา ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเติบโต บริษัท มีเดียอินเทลลิเจนซ์กรุ๊ป จำกัด (MI GROUP)

    เทรนด์สื่อที่นักการตลาดต้องรู้

    • Video First – วิดีโอคือจุดเริ่มต้นของการซื้อ ไม่ว่าจะอยู่บนแพลตฟอร์มไหน เราเห็นคอนเทนต์วิดีโอมากขึ้นเรื่อยๆ วิดีโอกลายเป็นจุดฐานสำคัญที่นำไปสู่การตัดสินใจซื้อ ตั้งแต่วิดีโอสั้น 6 วินาทีแรก จนถึงวิดีโอยาว ทุกความยาวมีบทบาทที่แตกต่างกัน ดังนั้น ควรให้ความสำคัญกับการวางแผนคอนเทนต์วิดีโอในทุกแพลตฟอร์ม
    • Streaming for Reach – โอกาสใหม่จากโฆษณาบนแพลตฟอร์ม Streaming แพลตฟอร์ม Streaming เริ่มมีตัวเลือก Tier ที่ให้ดูโฆษณาได้ (Ad-supported tier) สร้างโอกาสใหม่ให้นักการตลาดเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคที่ใช้บริการ Streaming ซึ่งเดิมโฆษณาเข้าไม่ถึง ดังนั้น นักการตลาดต้องมอง Video Space ในมุมกว้างขึ้น ไม่ใช่แค่ Social Media แต่รวมถึงทุกแพลตฟอร์มที่มีวิดีโอ
    • From Search to AI Synthesis – การค้นหาผ่าน AI โดย AI กำลังเปลี่ยนวิธีที่ผู้บริโภคค้นหาข้อมูล AI Synthesis หมายถึงการที่ AI รวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่างๆ แล้วประมวลผลเป็นคำตอบที่กระชับ ผู้บริโภคเริ่มพึ่งพาคำแนะนำจาก AI มากขึ้น โดยความท้าทายสำหรับแบรนด์ คือ ต้องศึกษาและทำให้ข้อมูลแบรนด์ปรากฏในคำตอบของ AI เพื่อให้ AI เลือกแบรนด์เราเป็นคำแนะนำ

    ช่องทางการขายแยกกันได้อีกต่อไป

    ในยุคปัจจุบัน เราไม่สามารถมองช่องทางการขายแยกกันได้อีกต่อไป โดยแพลตฟอร์ม คอนเทนต์ และ Creator ทำงานเป็นระบบนิเวศเดียวกัน แบ่งออกเป็น 3 Layer ได้แก่

    Layer 1: Platform – แพลตฟอร์ม Social Media ทั้งหลาย (TikTok, YouTube, Meta, LINE) ต่างพัฒนาตัวเองเพื่อให้เกิดการขายและ Conversion เช่น

    • TikTok: Shopping Entertainment – สามารถขายได้โดยตรงบนแพลตฟอร์ม
    • YouTube: ทริกเกอร์ความสนใจผ่าน Short-form แล้วลากไปปิดขายที่แพลตฟอร์มอื่น
    • Meta: ปรับปรุง Generative AI เพื่อเพิ่ม Conversion และเพิ่มประสิทธิภาพโปรแกรม
    • LINE: เน้น 1-on-1 Communication ทำให้ลูกค้าสามารถคุยกับแบรนด์โดยตรงและปิดขายได้

    Layer 2: Content – ตัวขับเคลื่อนการตัดสินใจ จากนี้ คอนเทนต์ไม่ใช่แค่การสื่อสารให้เข้าใจอีกต่อไป แต่ทุกคอนเทนต์ในปัจจุบันต้องลากไปสู่การตัดสินใจซื้อ

    Layer 3: Creator & Talent – เครื่องยนต์สร้าง Trust และ Conversion โดยใช้ครีเอเตอร์สร้างความเชื่อมั่นได้ดีเพราะรีวิวจากการใช้จริง แสดงผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัด และใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย ทำให้เป็นตัวเร่งสำคัญในการปิดการขาย

    ชนะใจคนไม่พอ ต้องชนะใจ AI ด้วย

    แบรนด์ที่จะเป็นผู้ชนะในยุค AI ต้องสร้างระบบนิเวศที่เชื่อมโยง 3 ส่วนสำคัญ คือ AI + Brand + Human เพราะโลกของ AI: Algorithm จะคัดเลือกข้อมูลที่จะแสดงให้ผู้บริโภค แบรนด์ต้องทำงานหนักเพื่อให้ AI เลือกแบรนด์เราขึ้นมาในคำแนะนำ ไม่ใช่แค่สร้างโฆษณาที่ดี แต่ต้องสื่อสารให้ AI เรียนรู้ด้วย

    โลกของมนุษย์: การสร้างความสัมพันธ์ ความไว้วางใจ และความเชื่อมั่นยังคงสำคัญ เพราะคนที่ตัดสินใจซื้อจริงๆ ยังคงเป็นมนุษย์ ดังนั้น แบรนด์ที่จะชนะต้องมี Customer Journey ที่ทำให้เข้าใจทั้งมนุษย์และ AI ไปพร้อมกัน

    สรุป แบรนด์ต้องขยายศักยภาพด้วย AI แต่ไม่จำเป็นต้องลงทุนใหญ่ใน AI ทันที แค่ต้องพยายาม สร้างบริบทเพื่อให้การสื่อสารของแบรนด์เชื่อมโยงกับ AI และใช้ประโยชน์จาก AI ให้มากที่สุด แน่นอนว่า ในเรื่องของยอดขายนั้นสำคัญ แต่อย่าลืมสร้างแบรนด์ เพราะเมื่อปัจจัยลบเข้ามา แบรนด์ที่มีตัวตนจะสามารถเติบโตได้มากกว่าแบรนด์ที่แข่งขันด้วยราคาเพียงอย่างเดียว ดังนั้น แบรนด์ต้องสร้างความแตกต่างและหา Brand Value เพราะการแข่งขันกับสินค้าจีนที่ราคาถูก ต้องหาจุดขายที่แตกต่างและสร้างคุณค่าที่ชัดเจน

    ]]>
    1552121
    “สงครามที่ไทยชนะได้ แต่ไม่กล้าชนะ” https://positioningmag.com/1552115 Wed, 17 Dec 2025 04:45:23 +0000 https://positioningmag.com/?p=1552115
    ทำไมประเทศไทยที่เหนือกว่ากัมพูชาในทุกมิติ กำลังทหาร อาวุธ เศรษฐกิจ จึงไม่สามารถชนะกัมพูชาได้สักที?
    ถ้าวัดกันด้วยกำลัง ความขัดแย้งนี้ควรจบไปนานแล้ว  
    แต่ทำไมประเทศที่เหนือกว่าอย่างไทย ถึงไม่สามารถชนะสงครามอย่างเด็ดขาดได้สักที

    หรือเราไม่มีอิสระที่จะชนะ?”

    เพราะอำนาจในศตวรรษนี้ไม่ได้อยู่ที่ปืน

    ประเทศไทยไม่ได้อยู่ได้ด้วยรถถัง แต่อยู่ได้ด้วยภาพลักษณ์

    เราขาย:

    การท่องเที่ยว

    เสถียรภาพ

    ความเป็นมิตร

    ความน่าเชื่อถือในสายตาโลก

    พูดให้เห็นภาพที่สุด:

    ประเทศก็มีแบรนด์

    และแบรนด์มีต้นทุน

    เพราะทุกการใช้กำลัง มีราคาซ่อนอยู่

    ราคาไม่ใช่ในงบกลาโหม

    แต่คือ:

    • ตัวเลขนักท่องเที่ยว
    • การตัดสินใจของนักลงทุน
    • ท่าทีของมหาอำนาจ

    ประเทศที่ผูกตัวเองกับโลก

    ย่อมไม่มีอิสระจะ “ชนะให้สุด”

    ประเทศที่ดูแข็งแรงกว่า

    มักเป็นประเทศที่ชัยชนะมีราคามากกว่า

    ฝ่ายที่อ่อนกว่า ไม่ต้องชนะ แค่ไม่แพ้

    กัมพูชาไม่จำเป็นต้องชนะไทย

    แค่ยืดเกมให้นานพอ ก็พอแล้ว

    ยิ่งยืด

    ยิ่งดึงเวทีนานาชาติ

    ยิ่งทำให้ฝ่ายที่เหนือกว่า ดูเป็นผู้ใช้กำลังเกินจำเป็น

    นี่คือเกมแบบ asymmetric นี่คือเกมที่ฝ่ายอ่อนกว่าออกแบบได้ดีเสมอ

    เพราะในเกมนี้ เวลาเป็นอาวุธ

    และคนที่มีอะไรต้องเสีย มักเป็นฝ่ายเสียเปรียบ

    ASEAN ไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อให้ใคร “ชนะ”

    อาเซียนมีข้อตกลงที่ไม่เคยเขียนไว้:

    • อย่าทำให้ใครอับอาย
    • อย่าทำให้ใครต้องเลือกข้าง
    • อย่าทำให้ภาพ “ภูมิภาคที่สงบ” แตก

    ชัยชนะที่ชัดเจนของไทย

    คือความล้มเหลวของระบบนี้

    เมื่อระบบไม่อนุญาตให้มีผู้ชนะ

    ผลลัพธ์เดียวที่เหลืออยู่

    คือความค้างคา

    และความค้างคา

    คือพื้นที่ที่ประเทศเล็กใช้ต่อรองกับประเทศใหญ่ได้ดีที่สุด

    คำถามเลยไม่ใช่ ไทยชนะได้ไหมแต่คือ

    ไทยยอมเสียอะไรได้บ้าง เพื่อคำว่าชนะ

    • ยอมเสียภาพลักษณ์หรือไม่
    • ยอมรับแรงกดดันจากมหาอำนาจหรือไม่
    • ยอมให้เศรษฐกิจสะดุดหรือไม่

    คำตอบโดยพฤตินัยคือ: ไม่

    ในความขัดแย้งนี้ปัญหาของไทยไม่ใช่ความอ่อนแอ

    แต่คือเราประสบความสำเร็จเกินกว่าจะกล้าเสี่ยง

    บทเรียนของโลกยุคใหม่

    • ความเหนือกว่า ≠ สิทธิ์ในการใช้
    • การชนะ ≠ การสร้างมูลค่า
    • คนที่ดูอ่อนกว่า อาจเป็นคนกำหนดเกม

    ในธุรกิจ ในแบรนด์ และในภูมิรัฐศาสตร์

    บางครั้ง

    การไม่ชนะ

    คือการเลือกต้นทุนที่ต่ำที่สุด

    ประเทศไทยไม่ได้แพ้ แต่ก็ไม่สามารถชนะ

    เพราะในโลกที่เชื่อมถึงกันทั้งใบ

    ชัยชนะไม่ได้วัดจากกำลัง

    แต่วัดจากราคาที่ต้องจ่าย

    และสำหรับประเทศอย่างไทย

    ราคานั้น…อาจแพงเกินไป

    ]]>
    1552115
    รู้จัก ‘ลูอานา โลเปส ลารา’ จากอดีตนักบัลเลต์สู่ ‘มหาเศรษฐีหญิง’ อายุน้อยที่สุดในโลกคนล่าสุด! https://positioningmag.com/1552139 Wed, 17 Dec 2025 04:34:20 +0000 https://positioningmag.com/?p=1552139 แม้ว่าช่วงวัยมัธยมปลาย (ม.ปลาย) หลายคนมักมองว่า เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดและมีความสุขที่สุด แต่ไม่ใช่กับ ลูอานา โลเปส ลารา ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทสตาร์ทอัพ Kalshi ที่ปัจจุบันมีมูลค่ากว่า 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เพราะช่วง ม.ปลายของเธอ เป็นช่วงที่เธอมองว่า เข้มข้นสุดในชีวิต และนั่นได้หล่อหล่อมให้เธอขึ้นแท่น มหาเศรษฐีหญิงอายุน้อยที่สุดในโลกคนล่าสุด ในวัยเพียง 29 ปี

    ความเจ็บปวดที่หล่อหลอม ลูอานา โลเปส ลารา

    ลองจินตนาการดูว่า ถ้าคุณกำลังยกขาข้างหนึ่งสูงแนบหู ขณะเดียวกันก็มีคนที่จุดบุหรี่จ่อใต้ต้นขา เพื่อทดสอบว่าคุณจะทนได้นานแค่ไหน หรือการกลั่นแกล้งของเพื่อนร่วมคลาสที่จะเอา เศษแก้วใส่ในรองเท้าของกันและกัน เพียงเพื่อจะลดจำนวนคู่แข่ง นี่คือสิ่งที่ ลูอานา โลเปส ลารา (Luana Lopes Lara) ต้องเผชิญในการฝึกบัลเลต์สุดหฤโหดที่โรงเรียน Bolshoi Theater School ในบราซิล

    และก่อนที่ ลูอานา จะต้องเรียนบัลเลต์วันละ 8 ชั่วโมงโดยไม่มีวันหยุด เธอต้องเรียนวิชาการตั้งแต่ 7 โมงเช้าถึงเที่ยง ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจหากเธอจะนิยามว่า ชีวิต ม.ปลายเป็นช่วงที่นี่คือ เข้มข้นที่สุดในชีวิต ของเธอ แต่นั่นก็หล่อหลอมให้เธอเป็นนักสู้ด้วยเช่นกัน

    ความทะเยอทะยานที่ซ่อนอยู่

    ไม่ใช่เพราะเรื่องความโหดในการฝึกซ้อม แต่ลึก ๆ แล้ว ลูอานาไม่เคยตั้งใจจะเป็นนักบัลเลต์ระดับโลก แต่เธออยากจะเป็น Steve Jobs คนต่อไป และด้วยความที่มี พ่อเป็นวิศวกรไฟฟ้า แม่ที่เป็นครูสอนคณิตศาสตร์ ทำให้เธอรักวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีตั้งแต่เด็ก

    ในขณะที่ร่างกายเต้นบัลเลต์ สมองก็อ่านหนังสือจนดึกดื่น แต่เธอก็ยังสามารถคว้าเหรียญทองโอลิมปิกดาราศาสตร์ เหรียญทองแดงโอลิมปิกคณิตศาสตร์ และหลังจบ ม.ปลาย เธอได้ไปเป็นนักเต้นบัลเลต์เป็นมืออาชีพในออสเตรียอีก 9 เดือน ก่อนจะแขวนรองเท้า pointe shoes เดินทางไปอเมริกาเพื่อเข้าเรียนที่ MIT

    จุดประกายแห่งอนาคต

    ที่ MIT เธอเจอ ทาเร็ก มันซูร์ (Tarek Mansour) หนุ่มเลบานอนที่เป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกันในหมู่นักศึกษาต่างชาติ และเรียนวิชาเอกวิทยาการคอมพิวเตอร์คล้ายกัน โดย Mansour ซึ่งเคยผ่านเหตุการณ์ความขัดแย้งในเลบานอนปี 2007 และฝึกภาษาอังกฤษด้วยตนเองเพื่อสอบ SAT เขาจำได้ว่าลูอานานั่งแถวหน้าทุกคลาส เขาเลยนั่งข้าง ๆ เพื่อเรียนรู้จากเธอ 

    จนในปี 2018 ทั้งคู่ฝึกงานที่ Five Rings Capital ในนิวยอร์ก คืนหนึ่งระหว่างเดินกลับอพาร์ตเมนต์ใน Financial District พวกเขสก็ปิ๊งไอเดียว่า โลกควรมีช่องทางให้ผู้คนซื้อขายความน่าจะเป็นของเหตุการณ์โดยตรง ไม่ใช่ผ่านตลาดการเงินแบบดั้งเดิม 

    “เราเห็นว่าการซื้อขายส่วนใหญ่เกิดขึ้น เพราะคนมีความเชื่อเกี่ยวกับอนาคต เราเลยคิดว่า ทำไมไม่ให้คนซื้อขายความน่าจะเป็นของเหตุการณ์โดยตรงเลย? แทนที่จะต้องผ่านตลาดหุ้น ตลาดตราสาร อ้อมแบบนี้?” – ลูอานา กล่าว

    ด้วยความเชื่อนี้ จึงเป็นจุดเริ่มต้นของ Kalshi แพลตฟอร์มสำหรับใช้ เดิมพันเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นจริงในอนาคตได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้ง เกมกีฬา ไปจนถึงเหตุการณ์ทางวัฒนธรรม หรือคล้าย ๆ กับ Exchange Event Contract (สัญญาตราสารอนุพันธ์ประเภทแลกเปลี่ยนเหตุการณ์) ที่เปิดให้ผู้ใช้งานสามารถเดิมพันเหตุการณ์ในอนาคต ซึ่งถ้าเหตุการณ์ที่คาดไว้เป็นจริง เราก็จะได้ผลตอบแทน

    ลูอานาและทาเร็ก

    สองปีแห่งความไม่แน่นอน

    จากไอเดียดังกล่าว ทำให้ในปี 2019 พวกเขาสมัครเข้า Y Combinator และได้รับคัดเลือกเข้าร่วม แต่ปัญหาใหญ่คือ คอนเซ็ปต์บริษัทของพวกเขามัน ถูกกฎหมายหรือเปล่า เพราะมันดูใกล้เคียงกับ การพนัน ดังนั้น เพื่อจะให้ธุรกิจเดินต่อไปได้ จะต้องได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลกลางเพื่อดำเนินการอย่างถูกกฎหมาย

    Michael Seibel ผู้บริหารระดับสูงของ Y Combinator เล่าให้ฟังว่า ในตอนนั้น ทั้งคู่ติดต่อสำนักงานกฎหมายกว่า 40 แห่ง แต่ ไม่มีใครยอมช่วย เพราะคิดว่าพวกเขายังเด็กเกินไป และบริษัทเล็กเกินไป เลยไม่อยากเสี่ยง

    “มันเป็นเวลา 2 ปีที่ไม่มีผลิตภัณฑ์เลย ไม่มีอะไรเปิดตัว ถ้าไม่ได้รับการกำกับดูแล บริษัทก็จะกลายเป็นศูนย์” – ลูอานา

    จนกระทั่งพวกเขาได้พบกับ Jeff Bandman ทนายความคนเดียวที่ยอมช่วย ผู้ที่เคยทำงานให้ หน่วยงานกำกับดูแลการซื้อขายตราสารอนุพันธ์ของสหรัฐฯ (Commodity Futures Trading Commission : CFTC) และในที่สุด เดือนพฤศจิกายน 2020 บริษัท Kalshi ก็ได้รับอนุมัติจากรัฐบาลกลางให้เป็นตลาดสัญญาอย่างเป็นทางการ

    การตัดสินใจที่บ้าคลั่ง… แต่เปลี่ยนเกม

    จุดเปลี่ยนสำคัญของบริษัทเกิดในขึ้นในช่วงปลายปี 2023 เพราะอยากที่รู้กันว่า Kalshi เป็นแพลตฟอร์มที่เปิดให้เดิมพันเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นจริงในอนาคตได้ทุกอย่าง แต่จู่ ๆ CFTC กลับไม่อนุญาตให้เปิดทายผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปี 2024 โดยอ้างว่า มันคือการพนัน และนั่นทำให้ ลูอานา เลือกที่จะ ฟ้องร้อง CFTC ทั้งที่ในตอนนั้นเหล่านักลงทุนทุกคนบอกว่า เป็นความคิดที่แย่มาก แต่พวกเขาก็ทำ

    แต่ดูเหมือนการตัดสินใจของลูอานาจะถูกต้อง เพราะกันยายน 2024 ศาลตัดสินให้ Kalshi ชนะ และนั่นทำให้บริษัทสามารถเปิดตลาดเดิมพันการเลือกตั้งสหรัฐฯ ได้ แบบถูกกฎหมายเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 100 ปี

     “เราต้องการทำทุกอย่างให้ถูกต้อง เพราะวิสัยทัศน์ของเราคือการสร้างตลาดแลกเปลี่ยนทางการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก ดังนั้น การทำให้ถูกต้องตามกฎหมายเป็นสิ่งที่เรายอมไม่ได้” 

    ระเบิดเป็นมหาเศรษฐี

    จากเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้ Kalshi เติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยในปี 2024 บริษัทสามารถทำรายได้ประมาณ 24 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เติบโตขึ้น 1,220% และในช่วงปลายปี 2025 ปริมาณการซื้อขาย (Trading Volume) ทะลุ 1 พันล้านดอลลาร์ต่อสัปดาห์ เติบโตขึ้นกว่า 1,000% เมื่อเทียบกับปี 2024 นอกจากนี้ ปี 2025 บริษัทยังสามารถระดมทุนได้ถึง 3 ซีรีส์ด้วยกัน

    • Series C (มิถุนายน 2025):
      • มูลค่าระดมทุน: 185 ล้านดอลลาร์
      • มูลค่าบริษัท (Valuation): 2,000 ล้านดอลลาร์
      • นักลงทุนหลัก: Paradigm
    • Series D (ตุลาคม 2025):
      • มูลค่าระดมทุน: 300 ล้านดอลลาร์
      • มูลค่าบริษัท (Valuation): 5,000 ล้านดอลลาร์
      • นักลงทุนหลัก: Andreessen Horowitz (a16z) และ Sequoia Capital
    • Series E (ธันวาคม 2025):
      • มูลค่าระดมทุน: 1,000 ล้านดอลลาร์ (1 Billion USD)
      • มูลค่าบริษัท (Valuation): 11,000 ล้านดอลลาร์
      • นักลงทุนหลัก: Paradigm
      • นักลงทุนร่วม: Sequoia Capital, Andreessen Horowitz (a16z), CapitalG, Y Combinator, ARK Invest และอื่นๆ

    จากมูลค่าบริษัทที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด ลูอานาและ Tarek ถือหุ้นคนละ 12% หรือเท่ากับพวกเขามีหุ้นมูลค่าสุทธิคนละ 1.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 41,000 ล้านบาท ส่งผลให้ลูอานาแซงหน้า Lucy Guo (31 ปี) จาก Scale AI เป็น มหาเศรษฐีหญิงอายุน้อยที่สุดในโลก ด้วยวัยเพียง 29 ปี

    ความท้าทายข้างหน้า

    แม้จะประสบความสำเร็จ แต่ Kalshi ยังก็ยังมีความท้าทายด้านการเติบโต เพราะการซื้อขายกว่า 90% มาจากกีฬา และรัฐต่าง ๆ เริ่มดำเนินการทางกฎหมาย โดยบอกว่าควรจัดเป็นการพนันที่ต้องควบคุมและเก็บภาษีในระดับรัฐ อย่างไรก็ตาม แม้บริษัทจะมีความท้าทายใหญ่ แต่นักลงทุนก็ยังเชื่อมั่นใจตัวลูอานา ว่าจะสามารถฝ่าฟันไปได้ เพราะพวกเขาเคยเห็นบริษัทเอาชนะอุปสรรคทางกฎหมายที่ดูเหมือนเป็นไปไม่ได้มาแล้ว 

    โดย Alex Immerman ทีมการลงทุนของบริษัทร่วมลงทุนชั้นนำอย่าง Andreessen Horowitz (a16z) เคยพูดถึงลูอานาไว้ว่า 

    “การเป็นนักบัลเลต์มืออาชีพ เป็นเสมือนการฝึกฝนที่จะสอนให้คุณยืนหยัดอย่างสง่างามเมื่อถูกปฏิเสธ เพราะอาการบาดเจ็บหรือแม้แต่การหยุดพักชั่วคราวก็อาจหมายถึงการเสียตำแหน่งของคุณ ลูอานาเรียนรู้ความมุ่งมั่นด้วยความสง่างามตั้งแต่เนิ่น ๆ และนำมาใช้ในการสร้าง Kalshi”

    จากห้องซ้อมบัลเลต์ที่โหดร้ายสู่ห้องประชุมกับผู้กำกับดูแลของรัฐบาลกลาง ลูอานาพิสูจน์แล้วว่า ความอดทน ความกล้า และความเชื่อมั่นในสิ่งที่ถูกต้อง สามารถเปลี่ยนความฝันที่ดูเป็นไปไม่ได้ให้เป็นจริงได้

    Forbes

    ]]>
    1552139