HOT UPDATE – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Sun, 14 Dec 2025 14:01:20 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ชำแหละศึกชิง ‘Warner Bros.’ ระหว่าง ‘Netflix vs. Paramount’ ผู้ชนะจะสร้างผลกระทบอะไรให้ตลาดบ้าง? https://positioningmag.com/1551340 Sun, 14 Dec 2025 13:59:05 +0000 https://positioningmag.com/?p=1551340 ในวงการอุตสาหกรรมภาพยนตร์ฮอลลีวูด คงไม่มีประเด็นไหนจะร้อนแรงและสั่นสะเทือนวงการไปได้กว่าการเสนอควบรวมกิจการระหว่าง Netflix กับ Warner Bros. Discovery (WBD) โดยมีคู่แข่งสำคัญอย่าง Paramount/Skydance ที่ยื่นข้อเสนอเข้าชิง คำถามว่า ทางเลือกไหนจะสร้างผลกระทบในมิติไหนกันบ้าง โดยเฉพาะ คนดู อย่างเรา ๆ 

ทำไมใคร ๆ ก็อยากได้ WBD?

ถ้าใครเป็นแฟนหนังและซีรีส์ ก็คงจะรู้ว่า WBD เป็นค่ายใหญ่ที่มีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนานตั้งแต่ปี 1923 จนปัจจุบัน มี ทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual Property – IP) ชื่อดังไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นจักรวาล DC, จักรวาล Wizarding World: (Harry Potter), The Lord of the Rings, Game of Thrones เป็นต้น

แค่ IP ที่ WBD ถือครอง ก็ไม่น่าแปลกใจที่ใคร ๆ ก็อยากจะได้มาครอบครอง โดยเฉพาะกับ Netflix ที่เรื่องของ IP นับเป็น จุดอ่อน เมื่อเทียบกับคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกัน แน่นอนว่าที่ผ่านมา Netflix มีออริจินอลคอนเทนต์ของตัวเองมากมายที่ประสบความสำเร็จ เช่น Stranger Things, The Witcher แต่นั่นก็ยังไม่ใช่ IP ที่ ขลัง หรือมีประวัติศาสตร์ยาวนานและเป็นที่รักของผู้ชมทั่วโลกเหมือนที่ WBD และ Disney มี

ดังนั้น การทุ่มเงิน 82,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเข้าซื้อ Warner Bros. Discovery (เฉพาะส่วนสตูดิโอและสตรีมมิ่ง) ของ Netflix จึงเป็น ทางลัด สู่การเป็นผู้เล่นที่แข็งแกร่งขึ้นไปอีก เพราะการที่ได้ IP ชื่อดัง จะสามารถทำให้ Netflix สามารถแข่งขันในตลาดได้ดียิ่งขึ้น เพราะ Netflix สามารถสร้างสินค้า, เกม, และคอนเทนต์ภาคแยก (Spin-offs) จาก IP เหล่านี้ไปได้อีกนาน ช่วย ลดความเสี่ยง ในการสร้างคอนเทนต์ใหม่ทั้งหมดด้วยตัวเอง

ขณะเดียวกัน Netflix ก็เหนื่อยน้อยลง เพราะถือเป็นการ ลดคู่แข่ง ไปอีกราย ซึ่งก็จะช่วยให้ Netflix มีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นจากจำนวนสมาชิก HBO Max มาอยู่กับ Netflix โดยเว็บไซต์ flixpatrol คาดการณ์ว่า บริการสตรีมมิ่ง Top 4 ของโลก ได้แก่ 

  • Netflix: (302 ล้านคน)
  • Amazon Prime Video: (200 ล้านคน)
  • Disney+: (131 ล้านคน)
  • HBO Max: (128 ล้านคน) 

นอกจากนี้ Netflix เชื่อว่าการควบรวมจะทำให้การทำงานดีขึ้น เนื่องจากการรวมบริการสตรีมมิ่งที่ทับซ้อนกัน ซึ่งจะช่วยให้สามารถประหยัดต้นทุนการดำเนินงานได้สูงถึง 2-3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ภายในปีที่สามหลังปิดดีล

เช่นเดียวกับ Paramount Skydance ที่ก็ต้องการ IP ของ Warner Bros. เพื่อเสริมแกร่งให้สามารถแข่งขันกับผู้เล่นยักษ์ใหญ่รายอื่น เพราะอย่าง Disney ก็ถือว่าเป็นคู่แข่งสุดแกร่ง เพราะมีทั้งเจ้าหญิงดิสนีย์, จักรวาล Marvel และ Star wars อยู่ในมือ ซึ่งนั่นทำให้ Paramount ถึงทุ่มเงินมหาศาลและตัดสินใจยื่นข้อเสนอแบบไม่เป็นมิตร (Hostile Bid) ในมูลค่าถึง 1.084 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อซื้อทั้งบริษัท (ไม่ได้ซื้อแค่เฉพาะส่วนสตูดิโอและสตรีมมิ่งเหมือน Netflix)

และที่ข้อเสนอของ Paramount คือ ซื้อทั้งบริษัท เป็นเพราะ Paramount ยังมองเห็นมูลค่าในสินทรัพย์สายเคเบิลของ WBD (เช่น CNN, Discovery Channel, TNT) อยู่ แม้ว่าธุรกิจนี้จะกำลังหดตัว แต่ยังคง สร้างกระแสเงินสด (Cash Flow) ที่ดี ซึ่งจำเป็นต่อการสนับสนุนธุรกิจสตรีมมิ่งที่ยังต้องลงทุนสูง

นอกจากนี้ Paramount เชื่อว่าการซื้อทั้งหมดและบริหารจัดการสตูดิโอ, สตรีมมิ่ง, และเคเบิลไปพร้อมกัน จะช่วยให้เกิดการประหยัดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพโดยรวมได้มากกว่าการแยกธุรกิจเคเบิลออกไป

Warner Paramount

Netflix ได้ไปจะเกิดอะไรขึ้น

ความกังวลแรกหาก Netflix ได้ WBD ไปก็คือ ระยะเวลาฉายโรง แม้ว่า Netflix จะยืนยันว่าจะรักษาการดำเนินงานปัจจุบันของ Warner Bros ไว้ โดยเฉพาะการออกฉายภาพยนตร์ในโรง แต่ที่คนในอุตสาหกรรมกังวลก็คือ Windowing หรือระยะเวลาในการฉายหนังในโรงก่อนจะเข้าสู่ระบบสตรีมมิ่ง

เพราะที่ผ่านมา เครือข่ายโรงภาพยนตร์เคยร้องขอระยะเวลาขั้นต่ำไว้ที่ 45 วัน แต่หาก Netflix เข้ามามีบทบาท อาจบีบให้ระยะเวลาดังกล่าวสั้นลงเหลือเพียง 17 วัน ซึ่งผู้ประกอบการโรงภาพยนตร์เกรงว่าจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อรายได้

ในแง่ของ คนทำงาน คนในอุตสาหกรรมจำนวนหนึ่งรู้สึก สบายใจกว่า เพราะ Netflix เป็นแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งเป็นหลัก ส่วน WBD เป็นสตูดิโอผู้ผลิตคอนเทนต์ การรวมกันจึงเป็นการ ต่อเติม กิจการ ไม่เกิดความซ้ำซ้อนของตำแหน่งงานมากนัก

ส่วน แฟนสตรีมมิ่ง กลุ่มนี้จะ ได้ประโยชน์สูงสุด เพราะคอนเทนต์จะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล แต่ก็ยังไม่แน่ว่า ราคาจะสูงขึ้น หรือไม่ เพราะมีทางเลือกน้อยลง (หลัก ๆ ก็ Disney+, Prime Video และ Apple TV)

Paramount ได้ไปจะเกิดอะไรขึ้น

ถ้า Paramout ได้ไป เป็นสิ่งที่ คนทำงาน รู้สึกว่า น่ากังวลที่สุด เพราะทั้ง Paramount และ WBD ต่างเป็นสตูดิโอภาพยนตร์ที่ดำเนินธุรกิจใกล้เคียงกัน การรวมกันจะทำให้เกิด การซ้ำซ้อน ของตำแหน่งงานอย่างมหาศาล ซึ่งคาดการณ์กันว่า หาก Paramount ควบรวมสำเร็จ จะสามารถประหยัดเงินได้ถึง 6,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่า ส่วนใหญ่มาจากการ ปลดพนักงาน ในตำแหน่งที่ซ้ำซ้อนทิ้งไป

อีกความกังวลก็คือ นัยยะทางการเมือง เนื่องจากข้อเสนอของ Paramount นำโดย เดวิด เอลลิสัน (David Ellison) ซึ่งถูกมองว่า ไม่โปร่งใส และมี นัยยะทางการเมืองสูง เพราะในขณะที่แหล่งเงินทุนของ Netflix มาจากเงินสด กับหุ้น Netflix ที่จะเอามาแลก แต่แหล่งเงินทุนของ Paramount  มาจากกลุ่มเงินทุนจากซาอุดีอาระเบีย กาตาร์ และกลุ่มกองทุนที่มีแนวคิดการเมืองขวาจัด นอกจากนี้ ยังมีการดึงตัว จาเร็ด คุชเนอร์ (ลูกเขยของโดนัลด์ ทรัมป์) เข้ามาช่วยล็อบบี้อีกด้วย

ทำให้นักวิเคราะห์ชี้ว่า เอลลิสันไม่ได้ต้องการแค่บริษัทผลิตภาพยนตร์ แต่ต้องการใช้ WBD เป็น เครื่องมือสร้างอิทธิพลและอำนาจสื่อ ในการต่อรองทางการเมือง และช่วยหาเสียงให้กับพรรครีพับลิกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ชาวอเมริกันจำนวนมากกังวลว่าอาจส่งผลเสียต่อภูมิทัศน์สื่อโดยรวม

ในมุมของอุตสาหกรรมจ ลดความเสี่ยงการผูกขาดสตรีมมิ่ง เนื่องจาก Netflix เป็นผู้นำตลาดสตรีมมิ่งอยู่แล้ว การเข้าซื้อ HBO Max จะยิ่งทำให้ Netflix มีส่วนแบ่งตลาดสูงขึ้น ขณะที่การรวม Paramount และ HBO Max ต่างก็เป็นบริการสตรีมมิ่งที่มีขนาดเล็กกว่า Netflix และ Disney+ ดังนั้น การรวมตัวกันของทั้งสองบริษัทจึงถูกมองว่าเป็นการ เพิ่มการแข่งขัน ในตลาด แทนที่จะเป็นการผูกขาด

อีก 2 ปีดีลถึงจะจบ

อย่างไรก็ตาม การควบรวมครั้งนี้ยังต้องรอดูผลภายในกรอบเวลาประมาณ 2 ปี (ก่อนปี 2027) รวมถึงต้องมาลุ้นกันว่าจะได้รับการอนุมัติจากฝั่งกำกับดูแลเรื่องการ ผูกขาด หรือไม่ เพราะถ้าเป็นฝั่ง Paramount อาจไม่น่ากังวลเท่ากับทาง Netflix 

แม้ว่าทาง Netflix จะพยายามย้ำว่า ไม่อยากให้มองว่า Netflix ต้องสู้แค่ในตลาดสตรีมมิ่ง แต่กำลังอยู่ในตลาด Media Consumer Market เพราะนอกเหนือจากแพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิ่งที่ลงทุนกันมหาศาลแล้ว ยังมีแพลตฟอร์มอื่น ๆ ที่มาแย่งชิงเวลา ไม่ว่าจะเป็น YouTube, TikTok, และโซเชียลมีเดียอื่น ๆ อีก

แล้วแฟน ๆ เชียร์ให้ใครได้ WBD ระหว่าง Netflix หรือ Paramount 

AP / finance.yahoo / bbc / flixpatrol / latimes / truthonthemarket / theguardian

]]>
1551340
บินลัดฟ้าข้ามทวีป เช็คอิน Selfridges ที่อังกฤษ หนึ่งในตระกูลห้างหรู “กลุ่มเซ็นทรัล” https://positioningmag.com/1551555 Sun, 14 Dec 2025 04:44:15 +0000 https://positioningmag.com/?p=1551555
  • พาสำรวจ Selfridges ห้างสรรพสินค้าสุดหรู ตำนานกว่า 116 ปี แห่งสหราชอาณาจักร ได้รับการยกย่องว่าเป็น  “ห้างสรรพสินค้าที่ดีที่สุดในโลก” ถึง 4 ครั้งจากเวที Global Department Store Summit
  • ฟินไปกับโลกแห่งเทพนิยายกับ Disney เนรมิตทั้งห้างฯ เพื่อมอบความสุขในช่วงคริสมาสต์
  • ห้างสรรพสินค้าที่มอบประสบการณ์มากกว่าการช้อปปิ้ง แต่เป็นการเติมเต็มการใช้ชีวิตให้ดีขึ้น 
  • ยุคสมัยนี้การที่ได้ออกเดินทางเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ใหม่ๆ ล้วนเป็นการมอบรางวัลให้กับตัวเองหลังจากที่ทำงานหนักมาทั้งปี การได้ออกท่องโลกไปยังดินแดนใหม่ๆ หรือทวีปใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยไป เป็นการสร้างความทรงจำที่สุดประทับใจไม่น้อย 

    ในครั้งนี้หมุดหมายสำคัญของเราคือประเทศ “อังกฤษ” โดย กลุ่มเซ็นทรัล ผู้นำธุรกิจค้าปลีกและบริการทั้งในไทยและต่างประเทศ ได้ร่วมมือกับ เตอร์กิช แอร์ไลน์ส สายการบินแห่งชาติของประเทศตุรกี จัดทริปสุดเอ็กซ์คลูกซีฟนำคณะสื่อมวลชนเยือนห้าง Selfridges ในสหราชอาณาจักร

    เปิดเส้นทางบริหารห้างหรูในยุโรปของกลุ่มเซ็นทรัล

    “กลุ่มเซ็นทรัล ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในมหาอำนาจของกลุ่มรีเทลระดับโลก” ซึ่งคำนี้ไม่เกินจริงโดยประการใด เพราะนอกจากจะมีธุรกิจที่แข็งแกร่งในประเทศไทยแล้ว ยังสยายปีกไปยังยุโรปดินแดนที่ขึ้นชื่อว่ามีประวัติรีเทลอันยาวนาน และมีคาแรคเตอร์แต่ละประเทศที่ชัดเจน มีความเป็นชาตินิยมสูง

    ปี 2554 กลุ่มเซ็นทรัลเริ่มต้นการขยายธุรกิจสู่ยุโรปอย่างยิ่งใหญ่ ด้วยการเข้าซื้อกิจการห้างสรรพสินค้าหรูอันดับหนึ่งของอิตาลี “รีนาเชนเต” ที่มีทั้งหมด 9 สาขาในเมืองสำคัญทั่วประเทศ

    ปี 2556 เข้าซื้อกิจการห้างสรรพสินค้า “อิลลุม” ห้างลักชัวรี่ชื่อดังใจกลางกรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก เสริมความแข็งแกร่งในพอร์ตโฟลิโอห้างหรูของกลุ่มเซ็นทรัล

    ปี 2558 ร่วมทุนเข้าซื้อกิจการ กลุ่มคาเดเว ห้างสรรพสินค้าพรีเมียมที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานในเยอรมนี ได้แก่ คาเดเว (เบอร์ลิน), โอเบอร์โพลลิงเกอร์ (มิวนิก) และอัลสแตร์เฮ้าส์ (ฮัมบูร์ก) ขยายบทบาทในตลาดค้าปลีกระดับไฮเอนด์

    ปี 2563 เข้าซื้อ โกลบุส ห้างสรรพสินค้าหรูระดับตำนานของสวิตเซอร์แลนด์ รวม 9 สาขาในทำเลสำคัญ ต่อยอดพอร์ตโฟลิโอค้าปลีกพรีเมียม และส่งมอบประสบการณ์ช้อปปิ้งระดับโลกให้แก่ทั้งชาวท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวทั่วโลก

    ปี 2565 สร้างปรากฏการณ์ครั้งสำคัญในวงการค้าปลีกยุโรป ด้วยการร่วมทุนเข้าซื้อกิจการกลุ่มเซลฟริดเจส ซึ่งประกอบด้วยห้างสรรพสินค้า 18 แห่ง จาก 4 แบรนด์ ใน 3 ประเทศ ได้แก่ เซลฟริดเจส (Selfridges) ในสหราชอาณาจักร, บราวน์ โทมัส และอาร์นอตส์ (Brown Thomas & Arnotts) ในไอร์แลนด์, และดี แบนคอร์ฟ (de Bijenkorf) ในเนเธอร์แลนด์ รวมถึงธุรกิจด้านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซทั้งหมด

    ปี 2567 ก้าวสู่ความสำเร็จครั้งสำคัญ ด้วยการรวมกิจการ กลุ่มเซลฟริดเจส กลุ่มคาเดเว และโกลบุส ไว้ภายใต้การบริหารของกลุ่มเซ็นทรัลอย่างสมบูรณ์ ส่งผลให้กลุ่มเซ็นทรัลเป็นเจ้าของเครือข่ายห้างสรรพสินค้าลักชัวรี่ที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป สร้างความภาคภูมิใจให้แก่คนไทย ในฐานะบริษัทของคนไทยในเวทีค้าปลีกโลก

    ทำให้ปัจจุบันพอร์ตโฟลิโอห้างลักชัวรี่ของกลุ่มเซ็นทรัล ครอบคลุม 7 ประเทศ 36 เมือง 40 สาขาทั่วโลก ประกอบด้วย เซลฟริดเจส (สหราชอาณาจักร), บราวน์ โทมัส และอาร์นอตส์ (ไอร์แลนด์), ดี แบนคอร์ฟ (เนเธอร์แลนด์), กลุ่มคาเดเว (เยอรมนี – คาเดเว กรุงเบอร์ลิน, โอเบอร์โพลลิงเกอร์ มิวนิก, อัลสแตร์เฮ้าส์ ฮัมบูร์ก), โกลบุส (สวิตเซอร์แลนด์), อิลลุม (เดนมาร์ก) และรีนาเชนเต (อิตาลี)

    Selfridges มากกว่าห้างฯ แต่คือโรงละครแห่งประสบการณ์

    ห้างสรรพสินค้าเซลฟริดเจสก่อตั้งขึ้นในปี 1909 โดย แฮร์รี กอร์ดอน เซลฟริดจ์ (Harry Gordon Selfridge) นักธุรกิจผู้พลิกนิยามวงการค้าปลีก ด้วยการเปลี่ยนห้างให้กลายเป็น “โรงละครแห่งประสบการณ์” และวางสิ่งนี้ไว้เป็นหัวใจของแบรนด์ แนวคิดอันล้ำยุคนี้ได้เปลี่ยนพื้นที่แห่งการช็อปปิงให้กลายเป็นเวทีแห่งจินตนาการและแรงบันดาลใจ ที่หลอมรวมศิลปะ แฟชั่น และวัฒนธรรมเข้าไว้ด้วยกัน จิตวิญญาณดังกล่าวยังสืบเนื่องมาจนวันนี้ผ่านการสร้างสรรค์ที่ไม่หยุดนิ่ง และมุ่งมั่นในการยกระดับวัฒนธรรมผ่านประสบการณ์ของลูกค้าอย่างเหนือความคาดหมาย

    ทำให้ Selfridges ถูกจดจำในฐานะจุดหมายปลายทางที่ควรไปสัมผัสสักครั้ง ด้วยประวัติศาสตร์กว่า 116 ปี ที่ผสานความหรูหรา ความคิดสร้างสรรค์ และจิตวิญญาณแฟชั่นร่วมสมัย เซลฟริดเจสได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของกรุงลอนดอน และเป็นห้างเพียงแห่งเดียวที่ได้รับการยกย่องให้เป็น “ห้างสรรพสินค้าที่ดีที่สุดในโลก” ถึง 4 ครั้งจากเวที Global Department Store Summit

    ชูธีม Disney เนรมิตทุกตารางเมตรเหมือนอยู่ในเทพนิยาย

    ในปีนี้ไฮไลท์พิเศษอยู่ที่การร่วมมือกับ Disney ที่สร้างสรรค์ประสบการณ์ใหม่ในการเดินห้างฯ ให้เหมือนกับอยู่ในเทพนิยาย เหมือนหลุดไปอยู่ในการ์ตูนของ Disney ยังไงอย่างนั้น

    โดยที่โปรเจคต์นี้ ทาง Selfridges กับ Disney ได้ร่วมกันวางแผนกันเป็นเวลาถึง 2 ปี ในการเนรมิตทุกสาขาให้เหมือนอยู่ใน Disneyland เพื่อสร้างประสบการณ์พิเศษในช่วงเทศกาลคริสมาสต์ที่จะถึงนี้ 

    เรียกว่าเป็นครั้งแรกของวงการรีเทลที่ Disney มีการร่วมมือเยอะขนาดนี้ ทั้งการตกแต่งภายนอกและภายในห้างฯ สินค้าที่ขายในธีมปาร์คก็มีจำหน่ายที่นี่ ภาพยนตร์ดิสนีย์ก็มีฉายที่โรงภาพยนตร์ รวมไปถึงทำสินค้าเอ็กซ์คลูซีฟที่ขายเฉพาะที่ Selfridges อีกด้วย เช่น หมีพูห์สีเหลือง เป็นครั้งแรกอีกเช่นกันที่ทาง Disney ให้คาแรคเตอร์ของตัวเองเปลี่ยนสีจากต้นฉบับ เนื่องจากต้องการสร้างกิมมิค เพราะสีเหลืองเป็นสีประจำ Selfridges มีไอคอนิกสำคัญคือ ถุงกระดาษสีเหลือง 

    โลกมหัศจรรย์ของ Disney ภายในห้างฯ Selfridges เต็มไปด้วยประสบการณ์สุดตระการตาแอนิเมชันที่ออกแบบขึ้นเป็นพิเศษ อินเทอร์แอคทีฟวินโดว์ดิสเพลย์ที่มีชีวิตชีวา ตกแต่งเพื่อต้นรับนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกทั้ง 4 สาขา

    แต่ที่ไฮไลท์สุดๆ อยู่ที่ Selfridges สาขาอ็อกซ์ฟอร์ด สตรีท ถูกเนรมิตใหม่อย่างอลังการด้วยฟาซาดและไลท์โชว์ที่ออกแบบเป็นพิเศษ โดยมีปราสาทดิสนีย์ที่สวยงามดั่งเทพนิยาย โดยได้แรงบันดาลใจจาก ปราสาทเจ้าหญิงนิทราใน Disneyland Paris พร้อมวินโดว์ดิสเพลย์ที่หยิบเอาเรื่องราวหลากหลายนิทานคลาสสิกของดิสนีย์มาถ่ายทอดผ่านงานศิลป์ที่วาดด้วยมืออย่างประณีต บางฉากยังมีดนตรีประกอบเพื่อเติมเต็มความรู้สึกแห่งเทศกาลให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น

    ซึ่งปกติแล้ววินโดว์ดิสเพลย์ของห้างฯ จะเป็นจุดที่วางแบรนด์สินค้าต่างๆ หรือสินค้าคอลเล็กชั่นใหม่ๆ แต่ Selfridges จัดวินโดว์ดิสเพลย์ตามเรื่องราวต่างๆ ของ Disney ไม่ว่าจะเป็น ซินเดอเรลล่า, สโนว์ไวท์, พินอคคิโอ, วินนี่ เดอะ พูห์ และปีเตอร์แพน

    ยิ่งถ้าหากมาในช่วงเย็นตั้งแต่ 17.00 เป็นต้นไป จนถึง 21.00 น. บริเวณหน้าห้างฯ จะมีแสดงไฟ จัดเต็มด้วยแสง สี เสียง จะมีการแสดงทุกๆ 15 นาที 

    ส่วนการช้อปปิ้งนั้นก็ไม่น้อยหน้า เพราะมีคอลเลกชันพิเศษที่เกิดจากความร่วมมือระหว่าง Disney และแบรนด์ ชื่อดังระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น Christian Louboutin, Coach, Jo Malone หรือ Bobbi Brown รวมแล้วมีแบรนด์กว่า 70 แบรนด์ ที่ร่วมออกแบบในหลากหลายหมวดสินค้า ทั้งแฟชั่น ของขวัญ อาหาร ความงาม ไลฟ์สไตล์ ไปจนถึงของเล่น ให้ทุกคนได้เลือกสรรอย่างเพลิดเพลินในช่วงเวลาที่อบอุ่นที่สุดของปี

    RESELFRIDGES จากห้างหรู สู่ผู้นำความยั่งยืน

    Selfridges ไม่ได้แค่พูดถึงความยั่งยืน แต่ทำให้กลายเป็นจริงผ่านแนวคิด “Retail Activism” ที่ดำเนินต่อเนื่องมายาวนาน  ไม่ว่าจะเป็นการประกาศยกเลิกการจำหน่ายขนสัตว์ตั้งแต่ปี 2005 หรือการถอดผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่มีพลาสติกกลิตเตอร์ออกจากทุกสาขาในปี 2021

    ภายใต้แนวคิด RESELFRIDGES เราได้สร้างระบบนิเวศของการช็อปปิงที่ใส่ใจโลก รวบรวมผลิตภัณฑ์ บริการ และกิจกรรมเพื่อความยั่งยืนไว้ครบในที่เดียว พร้อมเปิดพื้นที่ RESELFRIDGES แบบถาวรในทุกสาขา รวมถึงบน Selfridges.com โดยนำแนวทาง “Circular Shopping” หรือการช็อปปิงแบบหมุนเวียน มาผสานเข้ากับประสบการณ์ในร้านอย่างกลมกลืน ผ่านบริการ ขายต่อ (Resell), ให้เช่าสินค้า (Rental), ซ่อมแซม (Repair), เติมสินค้า (Refill), และจำหน่ายสินค้ามือสองคุณภาพดี (Pre-loved) เพื่อเปิดโอกาสให้ลูกค้าสามารถเลือกใช้สินค้าที่เป็นมิตรต่อโลกได้มากขึ้น 

    4 แลนด์มาร์ก 4 คาแรคเตอร์

    Selfridges ในประเทศอังกฤษ มี 4 สาขาใน 3 เมืองหลัก ครอบคลุมพื้นที่ค้าปลีกกว่า 96,000 ตารางเมตร ได้แก่ ลอนดอน ออกซ์ฟอร์ด สตรีท, แมนเชสเตอร์ เอ็กซ์เชนจ์ สแควร์, แมนเชสเตอร์ แทรฟฟอร์ด และ เบอร์มิงแฮม พร้อมช่องทางออนไลน์ และแอปพลิเคชันที่จัดส่งสินค้าสู่กว่า 130 ประเทศ โดยแต่ละสาขาถ่ายทอดบุคลิกของเมืองและคาแรกเตอร์ของแบรนด์ในมิติที่แตกต่าง 

    1. เซลฟริดเจส ออกซ์ฟอร์ด สตรีท ลอนดอน 

    จุดเริ่มต้นของตำนานแห่งห้างสรรพสินค้าเซลฟริดเจสซึ่งเปิดทำการตั้งแต่ ปี 1909 ครอบคลุมพื้นที่กว่า 54,951 ตารางเมตร ถือเป็นหัวใจสำคัญของแบรนด์และสัญลักษณ์แห่งความหรูหราของกรุงลอนดอน มอบประสบการณ์พิเศษได้ตั้งแต่ The Cinema at Selfridges โรงภาพยนตร์ลักชัวรีที่ผสมผสาน ความบันเทิงเข้ากับสไตล์อันหรูหรา, The Bowl ลานสเก็ตบอร์ดอินดอร์ที่เปิดโอกาสให้มาเล่นสนุก ท้าทาย หรือลงเรียนคลาสสเก็ตบอร์ดได้อีกด้วย, ไปจนถึง Jellycat Fish & Chips Experience ที่สร้างสรรค์บรรยากาศสุดน่ารักแบบอังกฤษแท้ ที่ผสมผสานความคิดสร้างสรรค์เข้ากับความน่ารักอย่างลงตัว

    ในเดือน พฤษภาคม 2024 เซลฟริดเจส ออกซ์ฟอร์ด สตรีท ได้เผยโฉมใหม่ของโซน Beauty Hall หลังการรีโนเวตกว่า 1 ปี เพื่อเป็นจุดหมายแห่งความงามระดับโลกที่รวมสินค้าจาก 300 แบรนด์ชั้นนำ พร้อมทีมผู้เชี่ยวชาญกว่า 1,000 คน พร้อมเปิดพื้นที่สร้างสรรค์อย่าง The Beauty Spot ที่จุดประกายนวัตกรรมความงามแห่งอนาคต ตอบโจทย์ทุกความต้องการด้านความงามอย่างครบวงจร

    ความตื่นตายังไม่สิ้นสุด ในเดือนสิงหาคม 2025 ได้มีการเปิดตัวโซน Jewellery Destination โฉมใหม่ ที่รวมคอลเลกชัน ร่วมสมัยจากทั้งแบรนด์ระดับโลกและดีไซเนอร์รุ่นใหม่ อาทิ Lie Studio, Misho, Lie Sundial และ Phoria พร้อมบริการเจาะและเชื่อมเครื่องประดับโดย Astrid & Miyu และบริการสลักชื่อย่อที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะสำหรับคุณ โดย Monica Vinader

    2. เซลฟริดเจส แมนเชสเตอร์ เอ็กซ์เชนจ์ สแควร์ 

    เปิดให้บริการ ตั้งแต่ปี 2002 บนพื้นที่กว่า 10,641 ตารางเมตร กลายเป็นจุดหมายแห่งการช็อปปิงระดับลักชัวรีที่ผสานแฟชั่น ศิลปะ และไลฟ์สไตล์เข้าด้วยกันอย่างลงตัว สะท้อนเอกลักษณ์ของเมืองที่มีพลังสร้างสรรค์และความเป็นตัวของตัวเอง

    สำหรับสายแฟชั่น ที่นี่คือสวรรค์แห่งการช็อปปิงที่รวมแบรนด์ระดับโลกไว้อย่างครบครัน พร้อมด้วยคอนเซ็ปต์ช็อปพิเศษของ Adanola แบรนด์แฟชั่นจากสหราชอาณาจักรที่ถือกำเนิดขึ้นในเมืองแมนเชสเตอร์เอง และในช่วงเทศกาลปลายปี โซน Christmas Shop บนชั้น 3 บรรยากาศจะงดงามเป็นพิเศษด้วยการตกแต่งอย่างตระการตา

    สายบิวตี้จะหลงรักบริการจากทีม Beauty Concierge มืออาชีพของแบรนด์ดังระดับโลกอย่าง อาทิ SUQQU, Hourglass, Pat McGrath Labs และ Victoria Beckham Beauty พร้อมคำแนะนำด้านความงามเฉพาะบุคคลแบบ one-on-one และหากต้องการความเป็นส่วนตัวมากขึ้น บริการ Personal Shopping Lounge ยังมีให้เลือกทั้งสองสาขาในแมนเชสเตอร์ โดยมีห้องรับรองส่วนตัวสองห้องที่เอ็กซ์เชนจ์ สแควร์ และอีกหนึ่งห้องใหญ่ที่แทรฟฟอร์ด เพื่อเติมเต็มประสบการณ์ช็อปปิงที่หรูหราและเป็นส่วนตัวอย่างแท้จริง

    3. ห้างเซลฟริดเจส สาขาแมนเชสเตอร์ ทราฟฟอร์ด

    ตั้งอยู่ในศูนย์การค้า The Trafford Centre เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 1998 บนพื้นที่กว่า 14,152 ตารางเมตร สาขานี้โดดเด่นด้วยบรรยากาศที่ผสมผสานความหรูหราเข้ากับความอบอุ่นในสไตล์ครอบครัว 

    มื้ออร่อยรออยู่ทุกมุม ไม่ว่าจะเป็นอาหารญี่ปุ่นสไตล์สตรีทจาก YO!, ชานมไข่มุกหลากรสชาติจาก Mooboo, หรือบาร์แชมเปญสุดหรูของ San Carlo สำหรับผู้ที่ชื่นชอบบรรยากาศพักผ่อนอย่างมีรสนิยม สำหรับครอบครัว อย่าพลาด Jellycat General Store ร้านสุดน่ารักที่รวบรวมคอลเลกชันตุ๊กตา Jellycat หลากหลายแบบ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในคอลเลกชันที่ใหญ่ที่สุดของแบรนด์ในสหราชอาณาจักร 

    4. ห้างเซลฟริดเจส สาขาเบอร์มิงแฮม

    เปิดให้บริการในเดือนกันยายน ปี 2003 ภายในอาคารเดอะบูลริง (The Bullring) ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ใจกลางเมืองเซลฟริดเจส เบอร์มิงแฮม ครอบคลุม พื้นที่กว่า 17,169 ตารางเมตร และโดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมร่วมสมัยอันเป็นเอกลักษณ์ จนกลายเป็นหนึ่งในแลนด์มาร์กสำคัญของภูมิภาคมิดแลนด์ และเป็น “สนามเด็กเล่นแห่งแรงบันดาลใจ” สำหรับผู้รักศิลปะ แฟชั่น และวัฒนธรรม

    จะเห็นได้ว่าความสำเร็จของกลุ่มเซ็นทรัลไม่ได้อยู่เพียงแค่ในประเทศไทยเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยุโรปก็เป็นอีกหนึ่งยุทธศาสตร์ที่เติมพอร์ตความเป็นรีเทลระดับโลกให้สมบูรณ์ขึ้น โดยที่ Selfridges เป็นหัวหอกสำคัญที่ช่วยสร้างประสบการณ์ที่ดี เติมเต็มความสุขในทุกขณะที่เดินห้างฯ เลยทีเดียว

    ]]>
    1551555
    S&P ตลาดไก่ทอดครั้งแรก ส่ง “Wingstop” เจาะ Gen Z เป้ารายได้ 100 ล้านบาท ใน 1 ปี https://positioningmag.com/1550998 Fri, 12 Dec 2025 09:41:31 +0000 https://positioningmag.com/?p=1550998 จากร้านเบเกอรีชื่อดัง วันนี้ S&P เตรียมสยายปีกเข้าสู่ตลาดไก่ทอดครั้งแรก ผ่านการซื้อมาสเตอร์แฟรนไชส์ “Wingstop” ร้านไก่ทอดจุ่มซอสชื่อดัง สัญชาติอเมริกัน

    ”ปราการ ไรวา“ หรือ เนม Getsunova นั่งแท่นผู้บริหารแบรนด์วิงสต๊อปประเทศไทย (Wingstop) ภายใต้ บริษัท เอส แอนด์ พี วิงส์ จำกัด กล่าวว่า ตลาดไก่ทอดในประเทศไทย มีมูลค่าราว 30,000 ล้านบาท เติบโตเฉลี่ย 8-10% แม้สมรภูมิจะดุเดือด (Red Ocean) จากผู้เล่นรายใหญ่ แต่ยังมีโอกาสสำหรับแบรนด์ที่แตกต่าง

    ทั้งนี้ การนำเข้าแบรนด์ Wingstop เนื่องจากแบรนด์ไก่ทอดที่ประสบความสำเร็จระดับโลก จากการเปิดสาขา 3,000 แห่ง ใน 18 ประเทศทั่วโลก และมีฐานลูกค้าขนาดใหญ่

    “ผู้บริโภคในไทย เคยมีกระแสเรียกร้องอยากให้แบรนด์ Wingstop มาเปิดในไทย ตั้งแต่แบรนด์ยังไม่เปิดบริการด้วยซ้ำ ขณะที่ S&P อยู่ในตลาดฟู้ดมานาน และมีระบบหลังบ้านแข็งแรง ซึ่งการทำ Wingstop เป็นหมุดหมายสำคัญ  ในการขยายขยายฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ (New Target) โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z เราใช้เวลาดีลแบรนด์นี้กว่า 2 ปี“

    ปราการ ไรวา ผู้บริหารแบรนด์วิงสต๊อปประเทศไทย (Wingstop) ภายใต้ บริษัท เอส แอนด์ พี วิงส์ จำกัด

    ลงทุน 30 ล้านบาท จ่อขยายเพิ่ม 5-6 สาขาในกรุงเทพฯ เป้ารายได้ 100 ล้านบาท

    เบื้องต้น ได้ก่อตั้ง บริษัท เอส แอนด์ พี วิงส์ จำกัด ทุนจดทะเบียนเริ่มต้น 30 ล้านบาท เปิดตัว Wingstop สาขาแรกที่ศูนย์การค้าเอ็มบีเค (MBK) ขนาด 208 ตร.ม. ใช้งบลงทุนประมาณ 11 ล้านบาท เตรียมให้บริการเต็มรูปแบบวันที่ 13 ธ.ค. 68 เวลา 10.00 – 02.00 น.

    ยุทธศาสตร์ ปี 2569 เตรียมขยายสาขาเพิ่มอีก 5-6 สาขา เน้นทำเลในกรุงเทพฯ ก่อน โดยใช้กลยุทธ์ทำเลที่มีทราฟฟิกสูง และต้องเป็นพื้นที่ที่มองเห็นร้านได้ ไม่ว่าจากบนถนน รถไฟฟ้า หรือทางเท้า

    ส่วนขนาดพื้นที่ร้านมองไว้ 150 – 250 ตร.ม. ใช้งบลงทุนประมาณ 6 – 11 ล้านบาท/สาขา แล้วแต่ขนาดและทำเล

    โดยตั้งเป้าหมายรายได้ในปี 2569 อยู่ที่ 100 ล้านบาท ส่วนงบการตลาดวางไว้ 4-5% ของยอดขาย ซึ่งในปีแรก ๆ จะเน้นหนักไปที่การทำตลาดผ่านเกมและดนตรี เพื่อเข้าถึงผู้บริโภครุ่นใหม่นั่นเอง

    “แม้ตลาดไก่ทอด ปี 2569 ยังมีความท้าทายสูงจากกำลังซื้อชะลอตัว แต่ด้วยระดับราคาของ Wingstop อยู่ที่ 159 – 369 บาท จึงไม่ได้รับผลกระทบ”

    Wingstop สาขาเอ็มบีเค

    4 กลยุทธ์พา Wingstop เจาะตลาดไทย Gen Z แรงขับเคลื่อนสำคัญ

    สำหรับการวางทาร์เก็ต ลูกค้าหลัก คือ กลุ่มคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะ Gen Z ที่เป็นกลุ่มกำลังซื้อใหญ่ และผู้นำเทรนด์ต่าง ๆ ในไทย ผ่านกลยุทธ์แบบ “Consumer Centric + Culture Centric” ประกอบด้วย 4 แกนหลัก ดังนี้

    1.เจาะอินไซต์ลึก ๆ ของคนรุ่นใหม่ (ConZmer Centric)

    Wingstop เริ่มจากการทำความเข้าใจคนรุ่นใหม่แบบเจาะลึก โดยจับมือกับนักศึกษาธรรมศาสตร์กว่า 80 คน เพื่อเจาะอินไซต์ “ชีวิตจริง + มุมมอง + คัลเจอร์” ของ Gen Z เพื่อสร้างแบรนด์จากคนรุ่นใหม่จริง ๆ

    2.ผู้นำด้านรสชาติ (Flavour Pioneers)

    Wingstop ไม่ได้ขายไก่ แต่ขาย “รสชาติ“ ทำให้การแตก Product หลากหลาย มีไก่ให้เลือกถึง 9 รสชาติ อาทิ การ์ลิก พาร์เมซาน, เท็กซัส บัฟฟาโล, เลมอน เปปเปอร์

    แบ่งความเผ็ดเป็น 3 ระดับ คือ ไม่เผ็ด (No Heat), เผ็ดเล็กน้อย (Some Heat) และเผ็ดมาก (All the Heat) โดยมีไก่ 3 รสชาติ ระดับเผ็ดสุด ที่วางขายเฉพาะที่ไทยและอินโดนีเซีย อาทิ อินเฟอร์โน, อะตอมมิค บลาสต์ เพื่อรับอินไซต์การกินรสจัด

    ไก่ทอด Wingstop

    3.ระบบปฏิบัติการมาตรฐานโลก (Process & Operation : Global Standardized)

    ให้ความสำคัญกับระบบหลังบ้าน เพื่อให้ได้รสชาติและการบริการแบบเดียวกันในทุกสาขาทั่วโลก

    4.การทำแบรนด์และการตลาด (Strenthening Brand & Marketing)

    Wingstop มองการเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม Gen Z ไทย โดยแบรนด์มอง Gen Z ไม่ใช่แค่กลุ่มอายุ แต่มองว่าเป็น “คัลเจอร์ที่กำลังก่อตัว”

    กลยุทธ์การเข้าถึง คือ ทำแคมเปญที่ Unique, Bold, Real ที่สะท้อนตัวตนคนรุ่นใหม่และซับคัลเจอร์ที่หลากหลาย รวมไปถึงการยึดผู้บริโภคเป็นศูนย์กลาง รับฟังและนำอินไซต์มาพัฒนาตลาดต่อไป

    ไก่ทอด Wingstop
    ]]>
    1550998
    ไม่ผ่านเพื่อน = ไม่เอา! ‘Tinder’ เผยเทรนด์ปี’69 ปีแห่ง ‘ความชัดเจน’ และ ‘เพื่อน’ คือแมตช์เมกเกอร์ตัวจริง https://positioningmag.com/1551084 Thu, 11 Dec 2025 06:00:24 +0000 https://positioningmag.com/?p=1551084 ในปี 2567 เป็นปีที่คนโสดนิวเจนมองหา การออกเดทที่มีจุดมุ่งหมาย มาปี 2568 ถือเป็นปีที่ทุกอย่างกลับสู่ความสงบ คนโสดปรับจังหวะช้าลง เผยตัวตนมากขึ้น และเริ่มสื่อสารว่าต้องการอะไร ซึ่งแนวโน้มดังกล่าวจะยังดำเนินต่อไปในปี 2569 สู่ ปีแห่งความสัมพันธ์ไร้ความคลุมเครือ

    Kristy Dunn Director of Commuications for Tinder in Thailand เปิดเผยว่า จำนวนผู้ใช้งาน Gen Z คิดเป็นสัดส่วนกว่า 50% ทั้งในประเทศไทย และทั่วโลก โดยพฤติกรรมการใช้งานของคนโสดนิวเจนที่เห็นแนวโน้มตั้งแต่ปีนี้ก็คือ ผู้ใช้เปิดใจ ซื่อสัตย์ และมีความฉลาดทางอารมณ์มากขึ้น นำไปสู่ 4 เทรนด์ ได้แก่

    ความชัดเจน (Clear-Coding)

    คนโสดรุ่นใหม่ไม่นั่งเดาอีกต่อไป แต่กล้าเปิดเผยในสิ่งที่ตัวเองต้องการ โดย 64% ให้ความสำคัญกับความซื่อสัตย์ทางอารมณ์มากที่สุด และ 60% ต้องการการสื่อสารที่ชัดเจน ขณะที่ 73% บอกว่ารู้ว่าชอบใครเมื่อสามารถเป็นตัวของตัวเองได้

    “Gen Z ไม่อยากเดาอีกต่อไป เขาอยากซื่อสัตย์กับความรู้สึก คิดอย่างไรก็บอก พูดตรง ๆ เพราะมองว่าความจริงใจสำคัญมาก และเมื่อเขามองว่า เขาจะรู้ตัวว่าชอบใคร ก็ต่อเมื่อ เขาเป็นตัวของตัวเอง เมื่ออยู่กับคนคนนั้น”

    การแสดงความคิดเห็น (Hot-Take Dating)

    37% มองว่า การมีค่านิยมร่วมกันเป็นสิ่งจำเป็น และ 41% จะไม่เดทกับคนที่มีมุมมองทางการเมืองต่าง แต่ 46% ยังเปิดใจได้ (ผู้หญิง 35%, ผู้ชาย 60%)

    สิ่งที่ใคร ๆ ให้ความสำคัญเป็นอันดับ 1 ก็คือ ความใจดี แต่สิ่งที่ทำให้เดทไม่ไปต่อเลยก็คือ การเหยียดเชื้อชาติ (37%), มุมมองเรื่องครอบครัว (36%) และสิทธิของกลุ่มเพศหลากหลาย (32%) ส่วนพฤติกรรมที่ รับไม่ได้ที่สุด คือ การพูดจาหยาบคายกับพนักงานบริการ (54%)

    ไม่ผ่านเพื่อน = จบ

    42% บอกว่าเพื่อนมีอิทธิพลต่อการออกเดท และ 37% วางแผนออกเดทแบบกลุ่มในปีหน้า ยิ่งไปกว่านั้น 34% บอกว่าความสัมพันธ์ของเพื่อนทำให้มีหวังกับความรักของตัวเอง 42% จะเห็นว่าเพื่อนกลายเป็นเหมือนผู้ช่วยด้านอารมณ์ของการเดทยุคปัจจุบัน 

    นอกจากนี้ ในปี 2569 ถ้าคู่ Match ไม่ผ่านด่านกรุ๊ปแชท ทุกอย่างจบทันที โดยเกือบ 85% ของผู้ใช้ฟีเจอร์ Double Date อายุต่ำกว่า 30 ปี และผู้ใช้หลัก ๆ เป็นผู้หญิง เพราะมีโอกาสที่จะ Like และ Match กับโปรไฟล์คู่มากกว่าโปรไฟล์เดี่ยว ถึงเกือบ 3 เท่า และผู้ใช้ฟีเจอร์ Double Date มีการส่งข้อความมากขึ้นเฉลี่ย 25% เมื่อเทียบกับแชทเดี่ยวตัวต่อตัว

    ให้ความสำคัญกับบทสนทนาที่จริงใจ

    56% ให้ความสำคัญกับบทสนทนาที่จริงใจมากที่สุด 45% ต้องการความเห็นอกเห็นใจมากขึ้นหลังจากโดนปฏิเสธ และคำที่ใช้นิยามการเดทปี 2569 มากที่สุดคือ มีความหวัง เรียกได้ว่า ความหวังเป็นสิ่งที่กำลังมาแรง และคนโสดก็ไม่กลัวที่จะแสดงออกมา!

    เดทแรกควรสนุกไม่กดดัน เช่น เดินเล่นหรือดื่มกาแฟ โดย 35% มองหาคนที่ “ค่อยๆ พัฒนาความสัมพันธ์แบบชิล ๆ (ผู้หญิง 33%, ผู้ชาย 38%) นอกจากนี้ 28% ยังชอบความรู้สึกที่ได้แอบชอบ ถึงแม้จะไม่ได้ไปต่อ เพราะคนรุ่นใหม่ยังใช้การเดทเพื่อเขียนเรื่องราวชีวิตของตัวเอง (dating for the plot)

    สรุปอินไซต์ Tinder ประเทศไทยปี 2568 ที่น่าสนใจ

    ]]>
    1551084
    อินฟลูฯ เบอร์ใหญ่’ อยู่ตรงไหนในสมการ เมื่อ ‘แบรนด์’ ต่างเทใจให้ ‘Micro-Nano’ ที่ป้ายยาได้ดีกว่า https://positioningmag.com/1551079 Thu, 11 Dec 2025 05:30:33 +0000 https://positioningmag.com/?p=1551079 เทรนด์ Influencer Marketing ยังคงมาแรงอย่างต่อเนื่อง โดย บริษัท ไอเดียแล็บ จำกัด (IdeasLabs) MarTech สัญชาติไทย ประเมินว่า มูลค่าตลาด Influencer Marketing และสื่อ Publisher ในไทยมีมูลค่าแตะ 5,000 ล้านบาท และยังมีโอกาสเติบโตอยู่ (ไม่ได้อวสานนะ) แต่ปีหน้าจะมีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง ธนดล พิทยานุวัฒน์ กรรมการบริหารและผู้ก่อตั้ง จะมาอัปเดตให้ฟัง

    เทรนด์อินฟลูฯ มาร์เก็ตติ้งยังไม่อวสานเร็ว ๆ นี้

    ธนดล มองว่า เทรนด์อินฟลูเอนเซอร์มาร์เก็ตติ้งจะยังอยู่ในช่วง ขาขึ้น อย่างน้อย 3-5 ปี เพราะแพลตฟอร์มต่าง ๆ (TikTok, Facebook) ยังคงให้ความสำคัญกับ KOL (Key Opinion Leader) ในการ Lead คอนเทนต์ ซึ่งไม่ใช่แค่ในตลาดประเทศไทย แต่เป็นเทรนด์ทั่วโลก ดังนั้น ตลาดอินฟลูเอนเซอร์ในปีหน้า มีโอกาสเติบโตได้อย่างน้อย 20-30%

    อย่างไรก็ตาม อีกการเปลี่ยนแปลงที่เห็นมากขึ้นก็คือ เจ้าของแบรนด์เริ่มสร้างตัวตน หรือ หันมา ไลฟ์ขายของเอง เพราะสามารถสร้าง Personal Branding ที่แข็งแกร่งและความใกล้ชิดกับลูกค้าได้ง่าย ซึ่งช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือ และกระตุ้นยอดขาย

    แต่ ธนดล มองว่า เทรนด์ดังกล่าวคงยังไม่สามารถดิสรัปต์ตลาดอินฟลูเอนเซอร์ได้ทั้งหมด เพราะผู้บริโภคยังคงต้องการ Third Party Opinion (ความคิดเห็นจากบุคคลที่สาม) เช่น Influencer หรือ Social Buzz (การพูดคุยของคนทั่วไป) มาช่วยยืนยัน ดังนั้น การทำคอนเทนต์เองของแบรนด์อาจดิสรัปต์ได้แค่ Macro Influencers ที่เน้นสร้างแค่ Awareness เท่านั้น

    พลังของนักป้ายยาตัวเล็กได้ใจแบรนด์มากกว่า

    ในวันที่ Macro Influencers ที่เน้นสร้างแค่ Awareness ทำให้ในปัจจุบันลูกค้าไม่ได้เชื่อถือ Macro Influencers อีกต่อไป นั่นยิ่งทำให้ Micro/Nano Influencers กลายเป็นกลุ่มที่สามารถ ป้ายยา และ Trigger การตัดสินใจซื้อได้จริง เนื่องจากพวกเขารีวิวด้วยความจริงใจ และความเป็นกันเองเหมือน เพื่อนคุยกัน      ผู้บริโภคจึงเชื่อถือและอยากซื้อตาม

    ตวงพร เชื้อสำราญ ผู้ก่อตั้งและผู้อำนวยการฝ่ายบริการลูกค้าระดับสูงบริษัท เล่าว่า อ้างอิงข้อมูลจากลูกค้าของ IdeasLabs ที่ 50% เลือกใช้ Micro/Nano Influencers ในการทำการตลาด และคาดการณ์ว่าในปีหน้า (2026) เทรนด์นี้จะยังคงเติบโตอย่างน้อย +30%

    ปัจจุบัน งบประมาณที่ลูกค้าจัดสรรมาให้ Influencer Marketing อยู่ที่ประมาณ 30% ของงบการตลาดทั้งหมด และคาดว่าอาจเพิ่มขึ้นถึง 35% ในปีถัดไป

    ตวงพร อธิบายว่า ที่ Micro/Nano ยิ่งทวีความสำคัญเป็นเพราะความสามารถในการ วัดผลได้ชัดเจน จากการใช้ฟีเจอร์ ติดตะกร้า หรือ Affiliate Marketing ทำให้แบรนด์สามารถวัด Return on Investment (ROI) ได้อย่างแม่นยำ ว่าการลงทุนไปเท่านี้ ได้ยอดขายกลับมาเท่าไร

    นอกจากนี้ การใช้ Micro/Nano Influencers ยังลดความเสี่ยง เพราะแบรนด์จ่ายเป็นค่าคอมมิชชั่น แทนการจ่ายค่ารีวิวล่วงหน้า ทำให้ไม่ต้องเสียเงินก่อน แต่จ่ายเมื่อได้ยอดขายจริง และการกระจายไปยังอินฟลูเอนเซอร์จำนวนมากช่วยลดความเสี่ยงจากการทุ่มเงินไปที่คนใดคนหนึ่ง

    Macro Influencers จะอยู่ตรงไหนในสมการ

    ตวงพร มองว่า ที่ผ่านมา Macro Influencers ก็ปรับตัวมาโดยตลอด แม้จะมีบทบาทลดลงในด้าน Conversion ก็ตาม โดยจะเห็นว่าในช่วงหลัง ๆ Macro Influencers เริ่มทำคอนเทนต์ที่เนียนขึ้น โดยพยายามทำคอนเทนต์ที่ Blend ไปกับไลฟ์สไตล์ หรือมีไอเดียบางอย่างที่ทำให้คนดูได้รับความบันเทิง, สาระ ก่อนที่จะขายของทีหลัง (ไม่ Hard Sell)

    นอกจากนี้ หนึ่งในจุดแข็งของ Macro Influencers ก็คือ คุณภาพโปรดักชั่น ดังนั้น แบรนด์ยังคงจ้างพวกเขาเพื่อคุณภาพของ Production หรือ Brand Image ที่ดีอยู่ ซึ่งสวนทางกับจุดอ่อนของ Micro/Nano Influencers ที่ถูกมองว่าคอนเทนต์ค่อนข้างฉาบฉวยกว่า ดังนั้น แบรนด์ใหญ่ที่ให้ความสำคัญกับ Brand Image สูงมาก และกังวลเรื่องดราม่า การเมือง หรือทัศนคติเชิงลบ ก็จะยังไม่กล้าเสี่ยงกับ Micro/Nano Influencers

    (Photo : Shutterstock)

    เทียบ 3 แพลตฟอร์มในการทำ Influencer Marketing

    • TikTok: เป็นแพลตฟอร์มอันดับ 1 ที่แบรนด์เลือกใช้ โดยมีสัดส่วนการใช้งานประมาณ 50% ในแคมเปญของลูกค้าเกือบทั้งหมด เพราะวัดผล Conversion ได้ชัดเจน (ผ่านการติดตะกร้า) และตอบโจทย์พฤติกรรมของคนที่ต้องการเสพอะไรสั้น ๆ (Impulse Purchase) โดยสินค้าที่ขายดีผ่านตะกร้า TikTok ส่วนใหญ่มีราคาอยู่ในช่วง 100-500 บาท เพราะเป็นราคาที่กระตุ้นให้คนตัดสินใจซื้อได้ง่าย
    • Meta (Instagram/Facebook): Meta ยังจำเป็นเนื่องจากมี User Base ที่เยอะที่สุด แบรนด์จึงยังคงใช้เพื่อสร้าง Awareness และ Reach ให้เข้าถึงคนจำนวนมาก แต่สำหรับการวัดผลยอดขาย (Conversion) จะทำได้น้อยกว่า TikTok
    • YouTube: การใช้ YouTube มีต้นทุนสูงมาก (ค่าจ้าง YouTuber แพง) และ Conversion ต่ำกว่า เพราะผู้คนเข้า YouTube เพื่อต้องการดูเนื้อหาที่ยาว เน้นการ Educate หรือให้ความรู้เชิงลึก (เช่น รีวิวรถ, ความรู้ซับซ้อน) มากกว่าการช้อปปิ้งอย่างฉาบฉวย

     

    สรุปแล้ว Macro Influencer จำเป็นต้องปรับตัวโดยการนำเสนอคอนเทนต์ที่เนียน และไม่ดู Hard Sale เพื่อให้การขายผสมผสานไปกับไลฟ์สไตล์อย่างเป็นธรรมชาติ และหันไปเน้นงานด้าน Production Quality และการสร้าง Brand Image/Awareness แทน

    ส่วน Micro/Nano Influencers แม้จะเป็นที่ต้องการในตลาด แต่ก็แข่งขันสูง ดังนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการหา    คาแรกเตอร์และตัวตนที่ชัดเจน และมองหาช่องว่าง ในตลาดที่ยังไม่มีใครทำได้ดี เพื่อให้แบรนด์สามารถระบุตัวตนและตัดสินใจเลือกมาทำงานด้วยได้ง่ายขึ้น

    ]]>
    1551079
    เข้ายากไปอีก! ‘สหรัฐฯ’ เล็ง ตรวจสอบ “โซเชียลมีเดียย้อนหลัง 5 ปี” ก่อนอนุญาตให้เข้าประเทศ https://positioningmag.com/1551065 Thu, 11 Dec 2025 04:54:38 +0000 https://positioningmag.com/?p=1551065 สหรัฐอเมริกา ถือเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่อง ความเข้มงวดสูง ในการจะเข้าประเทศ เนื่องจากต้องควบคุมการเข้าเมืองผิดกฎหมาย และรักษาความมั่นคงของชาติจากการก่อการร้ายและอาชญากรรม โดยล่าสุด สหรัฐฯ มีแผนจะตรวจสอบ โซเชียลมีเดียย้อนหลัง 5 ปี สำหรับนักท่องเที่ยวบางคน ก่อนจะอนุญาตให้เข้าประเทศ

    หน่วยงานศุลกากรและป้องกันชายแดนของสหรัฐฯ (U.S. Customs and Border Protection – CBP) มีแผนที่จะ ตรวจสอบประวัติโซเชียลมีเดียย้อนหลัง 5 ปี สำหรับนักท่องเที่ยวที่มาจาก อังกฤษ ออสเตรเลีย ฝรั่งเศส และญี่ปุ่น ซึ่งเป็นประเทศที่อยู่ในโครงการยกเว้นวีซ่า (Visa Waiver Program) ของสหรัฐฯ แต่ใช้การยื่นคำร้องผ่าน ระบบอิเล็กทรอนิกส์สำหรับการอนุมัติการเดินทาง (Electronic System for Travel Authorization – ESTA) เพื่อเยี่ยมชมประเทศเป็นเวลา 90 วันหรือน้อยกว่า 

    ไม่ใช่แค่บัญชีโซเชียลมีเดีย แต่หน่วยงานระบุว่า จะรวบรวมข้อมูลอื่น ๆ อาทิ อีเมลย้อนหลัง 10 ปี หมายเลขโทรศัพท์ที่ใช้ใน 5 ปีที่ผ่านมา รวมถึงชื่อและรายละเอียดของสมาชิกในครอบครัว และนอกเหนือจากการตรวจสอบโซเชียลมีเดียแล้ว ผู้สมัครยังคาดว่าจะต้องอัปโหลด ภาพเซลฟี ซึ่ง CBP เชื่อว่า จะช่วยปรับปรุงกระบวนการคัดกรองและระบุได้ดียิ่งขึ้นว่าบุคคลนั้นเป็นผู้ครอบครองเอกสารที่ใช้ในการขออนุมัติ ESTA โดยชอบธรรมหรือไม่

    อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์คาดว่า มาตรการใหม่นี้อาจเป็นอุปสรรคให้กับผู้ที่อาจต้องการมาเยือนสหรัฐฯ รวมถึงอาจเป็นการละเมิดสิทธิทางดิจิทัล

    ทั้งนี้ หลังจากเกิดเหตุชายชาวอัฟกานิสถานถูกกล่าวหาว่ายิงสมาชิกหน่วย National Guard สองนายใกล้ทำเนียบขาว ส่งผลให้ ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ยกระดับมาตรการการเข้าประเทศ เพื่อจำกัดการเดินทางของผู้เดินทางจากต่างประเทศ

    โดยก่อนหน้านี้ ทรัมป์ ประกาศว่า เขาจะเข้มงวดกฎระเบียบการเข้าเมือง รวมถึงการ ระงับการย้ายถิ่นฐานจาก ประเทศโลกที่สามอย่างถาวร โดยจะขยายการห้ามเดินทางไปยัง กว่า 30 ประเทศ ซึ่งประกาศครั้งแรกในเดือนมิถุนายนและก่อนหน้านี้ได้บล็อกการเดินทางเข้าสหรัฐฯ จาก 12 ประเทศ และจำกัดการเข้าถึงจากอีก 7 ประเทศ อาทิ อัฟกานิสถาน โซมาเลีย อิหร่าน และเฮติ

    Source

    ]]>
    1551065
    จากธุรกิจร้านกาแฟ ทาง ‘พันธุ์ไทย’ เห็นโอกาสอะไร? ถึงประกาศลุย ‘สตรีท ฟู้ดส์’ https://positioningmag.com/1551056 Thu, 11 Dec 2025 04:26:59 +0000 https://positioningmag.com/?p=1551056 เมื่อ 8 ปีก่อน ‘พันธุ์ไทย’ คือธุรกิจร้านกาแฟที่เกือบปิดกิจการเพราะขาดทุนต่อเนื่อง แต่สามารถพลิกเกมมากำไรได้ในปีที่ 9 มีการเติบโตแบบก้าวกระโดด กลายเป็นผู้เล่นที่ถูกจับตามอง และมาถึงวันนี้กำลังจะสร้างเครื่องยนต์ขับเคลื่อนการเติบโตรอบใหม่ที่ใหญ่กว่าธุรกิจร้านกาแฟหลายเท่าตัว นั่นคือการประกาศเดินหน้าลุย ‘ธุรกิจสตรีท ฟู้ดส์’ อย่างจริงจัง

     

    แล้วอะไรที่ทำให้พันธุ์ไทยกล้ากระโดดเข้ามาธุรกิจนี้ ?

     

    เพราะแม้ธุรกิจสตรีท ฟู้ดส์ จะมีการเติบโตน่าสนใจ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินไว้ว่า ร้านอาหารสตรีท ฟู้ดส์ที่มีหน้าร้านจะมีมูลค่าอยู่ที่ 261,000 ล้านบาท โต 4.7% จากปีก่อน ซึ่งเป็นแนวโน้มเติบโตที่ดีกว่าร้านอาหารทุกกลุ่ม ขณะเดียวกัน ก็มีการแข่งขันสูง เนื่องจาก ‘มีตัวเลือกหลากหลาย’ และ ‘คู่แข่งมีมากมาย’

     

    “เรามองว่า เทรนด์ปัจจุบันคนไทยไม่ทำอาหารกินเอง และชอบกินอาหารง่าย ๆ ซึ่งสตรีท ฟู้ดส์ตอบโจทย์ เห็นได้จากการเติบโตที่ดี ทำให้พันธุ์ไทยสนใจ และกำลังพิจารณาว่าจะไปในทิศทางไหน มีการขยายอย่างไร เพื่อให้ใช้ทรัพยากร และ eco-system ที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด” สุขวสา ภูชัชวนิชกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท กาแฟพันธุ์ไทย จำกัด กล่าวกับ Positioning

    พลังที่จะเป็นแรงส่งกันและกัน

     

    เมื่อดู Customer Journey ของลูกค้าจะพบว่า คนส่วนใหญ่เมื่อเข้าร้านกาแฟจะไม่ได้ดื่มกาแฟเพียงอย่างเดียว แต่ยังต้องการความหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น เบเกอรี่ และอาหาร ฯลฯ การเพิ่มตัวเลือกเหล่านี้ จึงเป็นการโอกาสใหม่ในการเพิ่มรายได้ และเป็นการนำแบรนด์พันธุ์ไทยเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากกว่า ‘คอกาแฟ’

     

    สำหรับการรุกเข้าสู่ธุรกิจสตรีท ฟู้ดส์ ของพันธุ์ไทย จะดำเนินภายใต้กลยุทธ์ Brand Extension นำชื่อเสียงและการเป็นที่รู้จักของแบรนด์พันธุ์ไทยมาใช้ให้เป็นประโยชน์ ด้วยการนำสตรีท ฟู้ดส์ของไทยมาพัฒนาให้มี ‘ความครีเอทีฟ’ ภายใต้ Brand Idea ของพันธุ์ไทย นั่นคือ Creative Thai Taste ‘พันธุ์ไทยอะไรก็เป็นไปได้’ การนำเสนอความคิดสร้างสรรค์ที่ยังคงเอกลักษณ์ความเป็นไทย 

     

    ขณะเดียวกัน ก็พยายามเชื่อมโยงให้ทั้งสองธุรกิจเป็น ‘แรงส่งซึ่งกันและกัน’ ผ่าน eco-system ที่อยู่ภายใต้เครือ PTG โดยเฉพาะบัตรสมาชิก Max Card ซึ่งมีฐานสมาชิกประมาณ 25 ล้านคนมาเพื่อช่วยขยายฐานลูกค้าใหม่ และกระตุ้นยอดขายของทั้งสองธุรกิจไปพร้อมกัน

    โดยต้นปี 2568 ทางพันธุ์ไทยได้เริ่มทดลองเข้าสู่ธุรกิจสตรีท ฟู้ดส์ ผ่าน ‘ก๋วยเตี๋ยวเรือพันธุ์ไทย’ เปิดสาขาแรก ณ รังสิตคลอง 3 ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี และมีความชัดเจนมากขึ้นด้วยการจัดตั้งบริษัทย่อย ‘บริษัท ก๋วยเตี๋ยวเรือพันธุ์ไทย จำกัด’ เพื่อบุกธุรกิจนี้เต็มกำลัง ด้วยโมเดล ‘ครบจบในที่เดียว’

     

    ตามแผนสิ้นปีนี้จะมีการเปิดร้านก๋วยเตี๋ยวเรือพันธุ์ไทยให้ครบ 5 สาขา และในปี 2569 จะเพิ่มเป็น 50 สาขา ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล แบ่งเป็นสาขาในและนอกปั๊มอย่างละ 50% โดยสาขานอกปั๊มจะเน้นแหล่งชุมชนเมือง ออฟฟิศ และย่านศูนย์กลางธุรกิจ

     

    พร้อมสู้ในศึกธุรกิจร้านกาแฟ

     

    ขณะที่ในส่วนธุรกิจร้านกาแฟ ทางพันธุ์ไทย ยังเดินหน้าขยายต่อไป โดย ณ สิ้นปี 2568 จะมีสาขา 2,600 แห่ง  และปี 2569 จะขยายเพิ่มอีก 1,000 สาขา เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการมีสาขา 5,000 แห่งภายในปี 2571

     

    สุขวสา บอกว่า แม้เศรษฐกิจไม่ดี แต่ภาพรวมของธุรกิจร้านกาแฟในไทยยังไปได้ดี อย่างตอนนี้มีมูลค่าราว 65,000 ล้านบาท โต 8-9% และปีหน้าโตต่อ ส่วนเรื่องการแข่งขันเป็นเรื่องปกติของธุรกิจ

     

    “เราคุยกับคนในแวดวง Mass coffee เหมือนกันเรื่องมีรายใหม่เข้ามา เพราะตอนแรกเราก็กังวล แต่สรุปยอดขายไม่ตกแถมโตด้วย แสดงว่ามีดีมานด์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะการดื่มกาแฟกลายเป็นชีวิตประจำของคนไปแล้ว เช่นเมื่อก่อนคนไทยดื่มกาแฟ 180 แก้ว/คน/ปี ตอนนี้เพิ่มเป็น 340 แก้ว อนาคตอาจเป็น 400-500 แก้วก็ได้ เหมือนญี่ปุ่นหรือเกาหลีที่ดื่มกาแฟแทนน้ำ”

    สำหรับเทรนด์น่าสนใจของธุรกิจร้านกาแฟ คือ การพัฒนาของตลาดจากการที่ผู้บริโภคมีความรู้เกี่ยวกับกาแฟเพิ่มขึ้น จะเห็นได้จากการมาแรงของเซ็กเมนต์ Specialty Coffee และ Premium mass รวมถึงการเข้ามาของแบรนด์ต่างประเทศมากขึ้น 

     

    ประเด็นนี้ สุขวสา บอกว่า มีผลต่อให้แข่งขันในธุรกิจนี้เปลี่ยนแปลงไป โดยผู้บริโภคต้องการ ‘ของดีมีคุณภาพ’ และมาใน ‘ราคาจับต้องได้’ ซึ่งทำให้ผู้เล่นในตลาดต้องแข่งกันพัฒนา  

     

    “กาแฟแก้วมากกว่า 100 บาทน่าจะอยู่ยาก เพราะตอนนี้ผู้บริโภคมีทางเลือกมาก สำหรับเราเองการรับมือเรื่องนี้ คือ การเปิดตัว ‘ไทยริกาโน’ กาแฟพิเศษสายพันธุ์อาราบิก้า 100% จากแหล่งปลูกที่ดีที่สุดในแม่ฮ่องสอน วางขายแก้วละ 65 บาท ซึ่งผลตอบรับดี และเรากำลังจะเพิ่มเมนูใหม่สำหรับเพิ่มความหลากหลาย เช่น เมนูผสมนม เพราะคนไม่ได้ดื่มกาแฟดำอย่างเดียว”

    อีกเทรนด์หนึ่งที่น่าจับตา คือ กลุ่มคนดื่มกาแฟมีอายุ ‘น้อยลง’ โดยเฉพาะกลุ่ม Gen z สำหรับอินไซต์ของคน กลุ่มนี้ชอบความแปลกใหม่ เมนูถ่ายรูปสวย โดยพันธุ์ไทยได้ตอบโจทย์ของคนกลุ่มนี้ด้วยเมนูใหม่ เช่น กาแฟส้ม    มะปี๊ด, ทิงซ่าโดดกำแพง เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของ สปาร์คกิ้งโซดา มะนาวสด และกระทิงแดงครึ่งขวด ส่วนหนึ่งของโปรเจกต์ ‘ดีดศาสตร์’ ที่พันธุไทยร่วมมือกับกระทิงแดง เป็นต้น

     

    รวมถึงเปิดโมเดลร้านใหม่ อย่าง ‘ร้านกาแฟพันธุ์ไทย 24 ชั่วโมง’ ที่เปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง เพื่อช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงลูกค้าได้ทุกช่วงเวลา สามารถสร้างยอดขายได้ตลอดทั้งวันและขยายฐานลูกค้าใหม่จากกลุ่มที่มักใช้ร้านสำหรับทำงานหรือพักผ่อนในเวลากลางคืน เริ่มต้นนำร่อง 6 สาขา

     

    แน่นอนว่า ความเคลื่อนไหวทั้งหมด พันธุ์ไทยต้องการเพิ่มแรงส่งให้ธุรกิจเติบโต และสร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์ โดยใช้กลยุทธ์ Brand Extension และ eco-system ที่อยู่ภายใต้เครือ PTG มาสร้างความได้เปรียบ 

     

    ส่วนการเข้าสู่ธุรกิจสตรีท ฟู้ดส์ เกิดจากการเห็นโอกาสที่จะสร้างให้เป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนการเติบโตรอบใหม่ที่ ‘ใหญ่กว่า’ ธุรกิจร้านกาแฟ ซึ่งน่าสนใจว่า นอกจากจะมีแบรนด์ก๋วยเตี๋ยวเรือพันธุ์ไทยเป็นหักหอกแล้ว จะมีการขยายต่อไปอย่างไร

    ]]>
    1551056
    ต้องทุ่มให้ AI! ‘Meta’ จ่อลดงบ Metaverse 30% หลังผลาญเงินไปแล้วกว่า 6 หมื่นล้านดอลลาร์ https://positioningmag.com/1550966 Tue, 09 Dec 2025 13:20:27 +0000 https://positioningmag.com/?p=1550966 ในช่วงยุค COVID-19 ใคร ๆ ก็พูดถึงยุค Metaverse และหนึ่งในบิ๊กเทคที่ผลักดันเรื่องนี้อย่างหนักก็คือ Meta ที่ถึงขนาดที่ในปี 2021 ได้เปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่ (จาก Facebook เป็น Meta) เพื่อสะท้อนวิสัยทัศน์ใหม่ในการสร้างโลกเสมือนจริง อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าโลก Metaverse อาจต้องใช้เวลาสักพัก ต่างจาก AI ที่ดูจะจับต้องได้มากกว่า

    จนล่าสุด Meta ก็ได้วางแผนที่จะ ลดงบประมาณสำหรับโครงการ Metaverse ลงถึง 30% ตามรายงานของ Bloomberg News ส่งผลให้ราคาหุ้นของบริษัทเพิ่มขึ้น +4% เนื่องจากช่วยคลายความกังวลของนักลงทุนบางส่วนเกี่ยวกับการเดิมพันขนาดใหญ่ของ Mark Zuckerberg ซีอีโอ ที่ เผาผลาญเงินไปแล้วกว่า 6 หมื่นล้านดอลลาร์ตั้งแต่ปี 2020 กับ Metaverse 

    แม้ว่าจะเป็นข่าวดีของนักลงทุน แต่อาจไม่ใช่ข่าวดีของพนักงาน เพราะการลดงบประมาณที่สูงขนาดนี้ น่าจะรวมถึงการเลิกจ้างพนักงานด้วย ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นเร็วที่สุดในเดือนมกราคม ปี 2569

    Craig Huber นักวิเคราะห์จาก Huber Research Partners กล่าวว่า เป็นการเคลื่อนไหวที่ฉลาด แต่มาช้าไป และนี่ดูเหมือนเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เพื่อปรับค่าใช้จ่ายให้สอดคล้องกับแนวโน้มรายได้จาก Metaverse ที่ไม่ได้สดใสเท่าที่ผู้บริหารคิดไว้เมื่อหลายปีก่อน

    กลุ่ม Metaverse นี้อยู่ภายใต้ Reality Labs ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ผลิตชุดหูฟัง Mixed-Reality รุ่น Quest ของบริษัท, แว่นตาอัจฉริยะที่ทำร่วมกับ EssilorLuxottica’s (ESLX.PA) Ray-Ban และแว่นตา Augmented-Reality ที่กำลังจะมาจะปล่อยออกมาในอนาคต

    ที่ผ่านมา Meta ยังคงพยายามขยายตลาดของอุปกรณ์เหล่านี้ให้ไปไกลกว่ากลุ่มผู้เล่นเกมเฉพาะทาง แต่ก็ยังไม่ได้ง่ายขนาดนั้น อย่างไรก็ตาม Meta ยังถือว่าอยู่ในตำแหน่งได้เปรียบในตลาดแว่นตาอัจฉริยะ เนื่องจากคู่แข่งอย่าง Google ของ Alphabet, Apple และ Snap ยังบุกตลาดไม่สำเร็จ

    ทั้งนี้ รายงานเกี่ยวกับการลดงบการลงทุนใน Metaverse ออกมาในช่วงเวลาที่ Meta กำลังเร่งรีบเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันด้าน AI หลังจากที่โมเดล Llama 4 ของบริษัท ได้รับการตอบรับที่ไม่ดีนัก

    เพื่อสนับสนุนเป้าหมายที่ทะเยอทะยานเหล่านี้ Meta ได้ให้คำมั่นที่จะ ลงทุนด้านงบประมาณ (Capital Spending) สูงถึง 7.2 หมื่นล้านดอลลาร์ ในปีนี้ โดยรวมแล้ว คาดว่าบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่จะใช้จ่ายไปกับ AI ประมาณ 4 แสนล้านดอลลาร์ ในปีนี้

    Source

    ]]>
    1550966
    IICOMBINED ลงทุน 100 ล้าน ปั้น HAUS NOWHERE กรุงเทพ แห่งแรกในอาเซียน จ่อขยายสาขา GENTLE MONSTER-ดึงแบรนด์ใหม่เข้าไทย เป้ารายได้ 1 พันล้านใน 5 ปี https://positioningmag.com/1550993 Tue, 09 Dec 2025 11:38:28 +0000 https://positioningmag.com/?p=1550993 HAUS NOWHERE ปักหมุดไทยแห่งที่ 5 ของโลก รุกขยายเพิ่ม GENTLE MONSTER-TAMBURINS ดึงแบรนด์ใหม่เข้าไทย ดันรายได้แตะ 1,000 ล้านใน 5 ปี

    ปี 2568 ตลาดลักซูรีไทยถูกเขย่าครั้งใหญ่ จากยักษ์แฟชั่นอาร์ตเกาหลีใต้ IICOMBINED’ บุกประเทศไทย ประกาศเปิดตัว HAUS NOWHERE” รีเทลอาร์ต ในกรุงเทพ ที่ไอคอนสยาม เป็นแห่งที่ 5 ของโลก และแห่งแรกในอาเซียน

    ลงทุน 100 ล้านบาท ดัน HAUS NOWHERE ท็อปเดสติเนชั่นไทย

    สลิล สุญาณเศรษฐกร ประธานกรรมการ บริษัท ไอไอคอมบายนด์ (ไทยแลนด์) จำกัด ผู้นำเข้าแบรนด์ GENTLE MONSTER เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้ลงทุน 100 กว่าล้านบาท เนรมิต HAUS NOWHERE พื้นที่รีเทลอาร์ต ในประเทศไทย ที่รวมแบรนด์จากเครือ IICOMBINED ในพื้นที่เดียวกัน 1,000 ตารางเมตร จำนวน 2 ชั้น ตั้งอยู่บน M ไอคอนสยาม

    โดยภายใน HAUS NOWHERE กรุงเทพ ประกอบด้วย 2 แบรนด์หลัก คือ

    • GENTLE MONSTER ร้านแว่นตาลักซูรี
    • TAMBURINS ร้านน้ำหอมสุดฮิตที่คนไทยบินไปซื้อไกลถึงต่างประเทศ

    “ประเทศไทยมีข้อจำกัด การหาพื้นที่ใหญ่ที่เหมาะสมยาก HAUS NOWHERE จึงมาจบที่ไอคอนสยามด้วยเป็นพื้นที่ทราฟฟิกนักท่องเที่ยวสูง ประกอบกับ HAUS NOWHERE ต้องการครีเอตตนเองไปสู่โกลบอลเดสติเนชั่น ฉะนั้นใน 1 เมืองจะมีเพียง 1 แห่งเท่านั้น”

     

    HAUS NOWHERE ไอคอนสยาม

    คอนเซ็ปต์ร้าน HAUS NOWHERE กรุงเทพ วางไว้ให้เป็นเสมือนการจัดแสดงงานศิลปะ (Art Exhibition) เป็นรีเทลที่ไม่เคยมีมาก่อน IICOMBINED จึงให้ความสำคัญกับการดีไซน์สโตร์ให้แตกต่างกันในแต่ละที่

    สำหรับของไทยจะมีไฮไลต์ อาทิ
    • HAUS NOWHERE กรุงเทพ รูปแบบคล้ายรีเทลซ้อนรีเทล การออกแบบเน้นกระจก ให้ความรู้สึกโปร่ง โล่ง สบายตา ต่างจากสาขาในเกาหลีใต้ และจีน ที่เป็น Stand Alone แม้มีหลายชั้นแต่เป็นตึกทึบ
    • ไอคอนิก “น้องหมาดัชชุนยักษ์” แม้คล้ายกับที่โซล เกาหลีใต้ แต่เหนือกว่าด้วยมีความเหมือนจริง สามารถกระดิกหู และหายใจเหมือนมีชีวิตจริง
    • AI Photo Booth ตู้ถ่ายรูปคู่กับน้องหมาดัชชุน ที่สามารถเจนภาพเอไอให้น้องหมาสามารถใส่ชุดเดียวกับผู้ถ่ายรูปได้
    • สินค้าลิมิเต็ด เฉพาะประเทศไทย อาทิ EGG Perfoum แพ็กเกจจิ้งตกแต่งด้วยดอกลีลาวดี และที่ใส่ขวดทดลองน้ำหอมรูปดัชชุนสีขาว

    ขณะที่ในอนาคตเตรียมนำงานศิลปะจากศิลปินชื่อดังและศิลปินท้องถิ่น จัดแสดงใน HAUS NOWHERE กรุงเทพ และจะสลับหมุนเวียนไปเรื่อย ๆ

    สินค้าลิมิเต็ดเฉพาะในไทยของร้านน้ำหอม TAMBURINS ใน HAUS NOWHERE ไอคอนสยาม

    ขยายสาขา GENTLE MONSTER ต่างจังหวัด-ดึง NUDAKE คาเฟ่ครัวซองส์สายอาร์ตเปิดในไทย

    ทั้งนี้ ในปี 2569 มีแผนขยายสาขา GENTLE MONSTER อีก 1 สาขา ในหัวเมืองใหญ่ คือ ภูเก็ต ปัจจุบันอยู่ระหว่างดีลพื้นที่ และมองการขยายสาขา TAMBURINS เพิ่มเติมอีก 3 สาขา

    ควบคู่กับการพิจารณานำแบรนด์อื่น ๆ ในเครือ IICOMBINED เปิดตัวในไทย อาทิ
    • NUDAKE คาเฟ่ครัวซองส์สำหรับสายอาร์ต ที่ทำคิวยาวในโซลและเซี่ยงไฮ้มาแล้ว เพื่อรองรับพฤติกรรมคนไทยที่ชอบเข้าคาเฟ่ และเชื่อว่าจะเป็นแม่เหล็กดึงดูดลูกค้าเข้าสู่ HAUS NOWHERE กรุงเทพได้มากขึ้น
    • ATiiSSU ร้านหมวกดีไซน์ล้ำ ที่คนดังเลือกใส่ อาทิ ลิซ่า แบล็กพิงก์ เคยใส่ขึ้นคอนเสิร์ตมาแล้ว
    NUDAKE สาขาเซี่ยงไฮ้ คาเฟ่ครัวซองส์สายอาร์ต

    ตั้งเป้า 5 ปี รายได้ขยับแตะ 1,000 ล้านบาท

    อย่างไรก็ดี ตลาดลักซูรีในไทย แม้ผู้บริโภคยังพอมีกำลังใช้จ่าย แต่ก็เผชิญความท้าทายสูงจากผู้เล่นหน้าใหม่ในตลาด ทำให้ฐานตลาดกว้างขึ้น ผู้ประกอบการสินค้าลักซูรีจึงต้องปรับตัวให้รวดเร็ว เช่น การคอแลบส์กับแบรนด์อื่น ๆ การแตกไลน์ทำคาเฟ่ เป็นต้น

    สำหรับปี 2568 บริษัทฯ คาดว่าจะทำรายได้ราว 250 ล้านบาท และในปี 2569 ตั้งเป้ารายได้ 100 ล้านบาท เติบโต 100%

    ก่อนที่ภายใน 5 ปีข้างหน้า หลังขยายสาขาเพิ่มและเปิดแบรนด์ใหม่ ๆ ในไทย ตั้งเป้ารายได้ 1,000 ล้านบาท

    ]]>
    1550993
    ‘เซ็นทรัล ทำ’ ต่อยอดคุณค่าข้าวไทยพื้นเมือง ร่วมสร้าง New Rice Economy https://positioningmag.com/1550881 Tue, 09 Dec 2025 07:02:28 +0000 https://positioningmag.com/?p=1550881 ตอนนี้ New Rice Economy การปรับโครงสร้างของข้าวไทยจากเดิมที่เน้น Volume หรือ ‘ปริมาณการผลิต’ มาสู่ Value การให้ความสำคัญกับ ‘คุณค่า’ ไม่ว่าจะเป็นคุณภาพ การสร้างอัตลักษณ์ และเรื่องราว กำลังถูกหยิบยกมาพูดถึงเพื่อให้ข้าวไทยพ้นกับดักการใช้ ‘ราคา’ เป็นตัวแข่งขัน และโดดเด่นกว่าคู่แข่งบนเวทีโลก   

     

    สำหรับ ‘เซ็นทรัล ทำ’ โครงการด้านความยั่งยืนดำเนินการโดยกลุ่มเซ็นทรัล ก็ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เช่นกัน เพราะมองว่า ข้าวไทย โดยเฉพาะข้าวพื้นเมือง ซึ่งถือเป็นมรดกของชาติที่สะท้อนอัตลักษณ์ วิถีชีวิต และภูมิปัญญาท้องถิ่นในแต่ละภูมิภาคมายาวนาน 

     

    โดยที่ผ่านมา เซ็นทรัล ทำ ได้ลงไปมีส่วนร่วมในการฟื้นฟูสายพันธุ์ข้าวพื้นบ้านและสอนให้เกษตรกรหันมาปลูกข้าวเชิงคุณภาพ เพื่อให้ได้คุณภาพของข้าวที่ดี รวมไปถึงการต่อยอดคุณค่าข้าวไทย เพื่อเพิ่มมูลค่าและกระจายความเสี่ยงหากราคาข้าวตก

     

    เพราะเป้าหมายไม่เพียงเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากให้ชุมชนเติบโตอย่างยั่งยืน แต่เป็นการกระตุ้นให้คนตระหนักรู้ถึงความหลากหลายของสายพันธุ์ข้าวไทย ทั้งพันธุ์คุณค่าสูงและพันธุ์หายากที่ใกล้สูญหาย

    พิชัย จิราธิวัฒน์ กรรมการบริหาร กลุ่มเซ็นทรัล กล่าวว่า ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เซ็นทรัล ทำ เชื่อมั่นในพลังของการลงมือทำร่วมกัน ระหว่างภาคธุรกิจ ชุมชน และเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของสังคมไทย ขณะเดียวกันก็เชื่อว่าการพัฒนาที่แท้จริงต้องเริ่มต้นจากต้นน้ำ และเดินหน้าไปพร้อมกันอย่างเป็นระบบ เพื่อให้ชุมชนสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน 

     

    อย่างในงาน Thailand Rice Fest 2025 ทางเซ็นทรัล ทำได้รวบรวมข้าวพื้นเมือง 10 สายพันธุ์ จาก 7 จังหวัด 8 ชุมชนทั่วประเทศ และมูลนิธิชัยพัฒนา นำมาจัดแสดงและจัดจำหน่าย ภายใน ‘เซ็นทรัล ทำ พาวิลเลียน’ เปิดพื้นที่ให้ผู้คนได้สัมผัสคุณค่าของข้าวไทยทั้งในเชิงรสชาติ คุณค่าทางโภชนาการ ตลอดจนเรื่องราวที่เชื่อมโยงผู้คนกับผืนดินและวัฒนธรรมไทย

    สำหรับข้าวไทยพื้นเมืองที่ถูกนำมาจัดแสดงและจำหน่ายภายในงานดังกล่าว เป็นสายพันธุ์พื้นเมืองเด่นจากทั่วประเทศ อาทิ

    • ข้าวหอมมะลิ จ.สุรินทร์ : เมล็ดเรียวยาว มีกลิ่นหอมใบเตยเด่น เป็นข้าว GI ที่ขึ้นชื่อด้านรสชาติและสารต้านอนุมูลอิสระ
    • ข้าวผกาอำปึล จ.สุรินทร์ : ข้าวพื้นถิ่นสุรินทร์ที่มีกลิ่นคล้ายข้าวโพดข้าวเหนียว เหนียวนุ่ม ดัชนีน้ำตาลต่ำ
    • ข้าวหอมมะลิแดง จ.สุรินทร์ : กลิ่นหอมชัด โดดเด่นเรื่องวิตามินบีและการบำรุงเลือด
    • ข้าวฮางหอมมะลิ และข้าวฮางข้าวเหนียว จ.สกลนคร : ข้าวฮางที่ช่วยดึงสารอาหารสูง โดยเฉพาะ GABA ที่ดีต่อสมอง
    • ข้าวสังข์หยด จ.พัทลุง : ข้าวไทยพันธุ์แรกที่ได้ GI หุงนุ่มมากและอุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ
    • ข้าวเบายอดม่วง จ.ตรัง :ข้าวเพื่อสุขภาพที่รักษาพันธุ์มากว่า 100 ปี โปรตีนสูง คาร์โบไฮเดรตต่ำ
    • ข้าวไร่ดอกข่า จ.พังงา : ข้าวพื้นเมืองกว่า 100 ปี กลิ่นหอมคล้ายใบเตย อุดมด้วยโอเมก้า 9 และสารต้านอนุมูลอิสระ
    • ข้าวกล้องดอยพื้นเมือง (บือซอมี) จ.เชียงใหม่ : ข้าวของชนเผ่าปกาเกอะญอ มีกลิ่นหอม ใยอาหารสูง
    • ข้าวหอมปทุมธานี 1 จ.ปทุมธานี : ข้าวหอมคุณภาพสูงที่มุ่งสู่มาตรฐานคาร์บอนต่ำ

    การต่อยอดในเรื่อง Value เซ็นทรัล ทำ ไม่ได้ให้ความสำคัญเฉพาะเรื่องคุณภาพและความหลากหลายของพันธุ์ข้าวเท่านั้น ยังโฟกัสการเพิ่มมูลค่าในด้านอื่น ๆ อาทิ การดีไซน์แพ็กเกจจิ้ง ให้มีความสวยงาม ทันสมัย และมีเอกลักษณ์ด้วยสินค้าชุมชน เช่น กระเป๋าสาน ตะกร้าถัก ฯลฯ เพื่อให้เกิดความสวยงาม มีความทันสมัย สำหรับให้คนสามารถเลือกซื้อไปเป็นของฝากหรือของขวัญได้ 

     

    ขณะเดียวกัน ก็พยายามสนับสนุนในเรื่องการหาตลาดและช่องทางขาย เช่น จับมือกับไปรษณีย์ไทย เพื่อให้ซื้อข้าวไปแจกเป็นของขวัญช่วงปีใหม่รวมมูลค่าที่ขายได้กว่า 2 ล้านบาท เป็นต้น และในอนาคตอาจมองไปถึงการส่งออก

    ]]>
    1550881