HOT UPDATE – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Mon, 20 Jan 2025 19:10:33 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 เปลี่ยนชื่อเฉพาะกิจแค่เริ่มต้น!! เปิดเบื้องลึก MK ขยับตัวครั้งใหญ่ในปีนี้ เพื่อสู้ศึกธุรกิจร้านอาหาร https://positioningmag.com/1507206 Mon, 20 Jan 2025 15:02:44 +0000 https://positioningmag.com/?p=1507206 เราคงได้เห็นไวรัลการเปลี่ยนชื่อเฉพาะกิจของ MK มาเป็น MongKol เพื่อรับเทศกาลตรุษจีนกันแล้ว ซึ่งเบื้องลึกเบื้องหลังของแคมเปญนี้มีเป้าหมายใหญ่มากกว่าหวังสร้าง Talk of the town ในช่วงตรุษจีนเท่านั้น แต่จะเป็น ‘จุดสตาร์ทแรก’ สำหรับสร้างแรงกระเพื่อมสำคัญถึงการขยับตัวครั้งใหญ่ตลอดทั้งปี 2568 ของแบรนด์สุกี้ที่อยู่คู่คนไทยมานาน 39 ปีแห่งนี้

 

ก่อนจะไปถึงจุดนั้น เราขอวกกลับมาที่การเปลี่ยนชื่อร้านของ MK ว่ามีไอเดียและที่มาที่ไปเป็นอย่างไร?

 

‘ธมกร รุจกิจยานนท์’ Executive Creative Director บริษัท Sour Bangkok หนึ่งในทีมงานผู้คิดและสร้างสรรค์แคมเปญนี้เล่าให้ Positioning ฟังว่า โจทย์ที่ MK ต้องการคือ ทำอย่างไรก็ได้ให้แคมเปญในช่วงตรุษจีน ‘ปัง’ ซึ่งทางทีมงานได้มีความคิดเกิดขึ้นมาหลากหลายไอเดีย 

 

หนึ่งในนั้น คือ การเล่นกับความแข็งแรงของแบรนด์ MK ที่อยู่มามายาวนาน 39 ปี และ ใช้ชื่อนี้ไม่เคยเปลี่ยน ด้วยการคิดจะเปลี่ยนชื่อแบรนด์ ภายใต้คอนเซ็ปต์ Take Over ความมงคล โดยนำชื่อแบรนด์มาเชื่อมโยงกับคำว่า ‘มงคล’ ที่เป็นจุดขายในการทำตลาดของทุกแบรนด์ในช่วงตรุษจีน

 

“ที่ผ่านมา MK มีออกเมนูมงคลอยู่แล้ว ครั้งนี้ก็เช่นกัน แต่อย่างที่บอกด้วยโจทย์ที่ได้มา เราต้องช่วงชิงความมงคลแบบขั้นสุด เพื่อสร้างอิมแพ็คในเรื่องเอนเกจและสร้างประสบการณ์ระหว่างแบรนด์กับลูกค้า โดย MK จะเปลี่ยนชื่อเฉพาะกิจใน 4 สาขา ได้แก่ สาขาสามย่านมิตรทาวน์, เซ็นทรัล เวสต์เกต, เซ็นทรัล พระราม 3 และเซ็นทรัล พระราม 3 ซึ่งต้องขอบคุณลูกค้าด้วยที่กล้าไปกับเรา”

 

สำหรับแคมเปญตรุษจีนของ MK จะถูกจัดในทุกสาขากว่า 400 แห่งทั่วประเทศ ตั้งแต่ 14 ม.ค. – 2 ก.พ. 2568 โดยในวันที่ 28 ม.ค.นี้ ทางแบรนด์ได้เตรียมเซอร์ไพร์ซเป็นอั่งเปาไว้ให้กับลูกค้า (ส่วนสาขาที่เปลี่ยนชื่อแบรนด์จะกลับมาใช้ชื่อเดิมเมื่อแคมเปญนี้สิ้นสุดลง)

 

แล้วทำไมต้องเล่นใหญ่ขนาดนี้ ?

 

ธมกร อธิบายว่า เป็นไปตามสูตรการทำโฆษณาทั่วไป โดยถ้าต้องการสร้างอิมแพค และเอนเกจแบบ ‘ดัง’ แล้ว ‘ปัง’ ต้องสามารถดึงกระแสความสนใจและสร้างกระแสการพูดถึงได้ในวงกว้าง บวกกับแคมเปญนี้ เป็นแคมเปญแรกของปี จึงต้อง ‘เล่นใหญ่’ เพื่อสร้างให้เกิด Talk of The Town จุดกระแสให้ผู้บริโภคหันมาฟังและสนใจความเคลื่อนไหวของแบรนด์ที่หลังจากนี้จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและน่าสนใจมากขึ้น

 

ขณะเดียวกัน MK ยังต้องการให้แคมเปญนี้สร้างความสัมพันธ์ และเพิ่มความเชื่อมโยงระหว่างแบรนด์กับลูกค้า โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ให้มากขึ้นด้วย โดยความได้เปรียบของ MK คือ เป็นแบรนด์ที่เป็นตำนาน และมีความผูกพันกับผู้บริโภคมายาวนาน เมื่อแบรนด์เกิดการเปลี่ยนแปลง ย่อมดึงความสนใจและสร้างการมีส่วนร่วมกับผู้คนได้ดีกว่าแบรนด์ใหม่หรือแบรนด์ที่อยู่ในตลาดมาไม่นาน

 

“ความท้าทายของแคมเปญนี้ คือ Make it Happen เพราะทุกคนอาจคิดไอเดียแบบเดียวกันได้ แต่ทำให้เกิดขึ้นจริง และทำออกมาให้ดีนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลย ซึ่งหลังจากปล่อยแคมเปญนี้ไปก็ได้รับการตอบรับแบบออแกนิคที่ดีทั้งจากเพจสื่อและลูกค้าทั่วไป สเต็ปต่อไปขึ้นอยู่กับว่า เราจะรักษาโมเมนตัมนี้ได้อย่างไร”

 

อย่างไรก็ตาม เป้าหมายแท้จริงของการเคลื่อนไหวครั้งนี้ MK ไม่ได้หวังแค่จะสร้างกระแสเฉพาะในช่วงตรุษจีนเท่านั้น ทว่ายังเป็นเหมือน ‘กดปุ่มสตาร์ท’ ที่ส่งสัญญาณถึงการขยับตัวครั้งใหญ่ของ MK ที่นับจากนี้จะเห็นความเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง เพื่อฝ่าความท้าทายรอบด้านที่ต้องเผชิญอยู่ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นภาวะเศรษฐกิจที่มีผลต่อกำลังซื้อของผู้คน, การแข่งขันที่ดุเดือดและการรุกหนักของคู่แข่ง โดยเฉพาะ ‘สุกี้ตี๋น้อย’

 

โดยสิ่งที่เราจะได้เห็นการขยับตัวใหญ่ของ MK หนึ่งในนั่น คือ การปรับกลยุทธ์ในเรื่อง ‘ราคา’ ให้สามารถแข่งขันได้ รวมไปถึงจะมีการปรับและพัฒนาในด้านต่าง ๆ ที่จะเห็นตลอดทั้งปี 2568 อาทิ การสื่อสารและทำตลาดในเชิงรุก, การออกสินค้าใหม่ เป็นต้น

 

ส่วนจะสามารถพลิกสถานการณ์ของ MK ให้กลับมาเติบโตยืนหนึ่งเป็นผู้นำในธุรกิจร้านอาหาร โดยเฉพาะตลาดสุกี้อย่างที่ผ่านมาได้หรือไม่ ต้องคอยติดตามจับตามองความเคลื่อนไหวหลังจากนี้

]]>
1507206
ผ่าจักรวาลมือถือจีน กับเกม fake competitors หลายแบรนด์ใต้บริษัทเดียว BBK Electronics https://positioningmag.com/1507043 Mon, 20 Jan 2025 10:17:32 +0000 https://positioningmag.com/?p=1507043 ข่าวดราม่าเรื่องการแอบติดตั้งแอปพลิเคชันเงินกู้ในสมาร์ทโฟนแบรนด์จีน ทำให้สปอตไลท์ในโลกธุรกิจส่องไปที่แบรนด์ oppo และ realme ที่กำลังได้รับผลกระทบโดยตรง แต่ความจริงคือปรากฏการณ์นี้อาจไม่ได้ทำให้บริษัทแม่สะเทือนด้วยวิกฤตมากนัก เพราะในขณะที่แบรนด์หนึ่งมีปัญหา แบรนด์อื่นก็ยังคงไปต่อได้ ซึ่งเป็นผลจากกลยุทธ์ fake competitors หรือคู่แข่งกำมะลอ ที่มีบทบาทมากในจักรวาลมือถือจีนตลอดช่วงปีที่ผ่านมา

หลายคนรู้จักแบรนด์สมาร์ทโฟนอย่าง oppo และ realme แต่บางคนอาจไม่ทราบว่าแบรนด์เหล่านี้อยู่ภายใต้บริษัทแม่เดียวกัน นั่นคือ BBK Electronics ซึ่งยังเป็นเจ้าของแบรนด์ IQOO, vivo และ oneplus  อีกด้วย ที่ผ่านมา BBK Electronics ใช้กลยุทธ์การแข่งขันภายในองค์กรที่น่าสนใจ โดยหากผู้บริโภคไม่พอใจแบรนด์ oppo ก็อาจเลือกแบรนด์ vivo หรือแบรนด์แทน ทำให้ BBK Electronics สามารถรักษายอดขายได้ ไม่ว่าผู้บริโภคจะชอบแบรนด์ใดก็ตาม

แม้แบรนด์ภายใต้ BBK Electronics จะไม่สามารถแข่งขันโดยตรงกับแบรนด์ระดับพรีเมียมอย่าง Apple แต่จุดแข็งของ BBK Electronics คือการนำเสนอสมาร์ทโฟนที่มีสเปคใกล้เคียงในราคาที่จับต้องได้ ด้วยจุดยืนด้านความคุ้มค่านี้ ทำให้ BBK Electronics ก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในผู้ผลิตสมาร์ทโฟนชั้นนำระดับโลกได้อย่างสบาย

BBK Electronics ยักษ์ใหญ่ร่ำรวย

ในไตรมาสแรกของปี 2023 หากรวมยอดขายของ oppo, vivo และ oneplus เข้าด้วยกัน BBK Electronics จะมีส่วนแบ่งการตลาด 15% ทำให้สามารถขึ้นเป็นผู้ผลิตสมาร์ทโฟนรายใหญ่อันดับ 3 ของโลก รองจาก Apple และ Samsung 

ความสำเร็จที่น่าประทับใจนี้ไม่มีการบอกเล่าเป็นตัวเลขยอดขาย เพราะ BBK Electronics ไม่จำเป็นต้องเปิดเผยรายได้เนื่องจากเป็นบริษัทเอกชน แต่ผู้ก่อตั้งบริษัทอย่างนาย Duan Yongping นั้นมีชื่อเสียงมากเรื่องความร่ำรวยมหาศาล ซึ่งคาดว่าความร่ำรวยนี้มีมาตั้งแต่การซื้อแบรนด์ oneplus ตั้งแต่ปี 2021 

BBK Electronics

ล่าสุดมีข่าวว่านักลงทุนอย่าง Yongping ได้ลงทุนในบริษัทแม่ของ Temu (Pinduoduo) ด้วยเงิน 1.65 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ โดย Yongping ใช้เวทีงานประชุมในสำนักวิชาการ Zhejiang University เมื่อวันอาทิตย์ 12 มกราคมที่ผ่านมา กล่าวยกย่องผู้ก่อตั้ง Temu ซึ่งลงทุนโฆษณาในงาน Super Bowl จนทำให้ Temu เป็นที่รู้จักมากขึ้นในสหรัฐอเมริกา ทำให้ Pinduoduo สามารถช่วยให้เกษตรกรจีนขายผลผลิตได้บนฐานผู้ใช้ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว Yongping จึงได้ลงทุนใน PDD ผ่านหน่วยธุรกิจ H&H International Investment ซึ่งมีการลงทุนในบริษัทอื่นๆ เช่น Apple, Alphabet, Alibaba Group Holding และ Berkshire Hathaway รวมถึงหุ้นในบริษัทชั้นนำอื่น ๆ ด้วย

การลงทุนของ Yongping แสดงถึงความเชื่อมั่นในพลังของแบรนด์ที่หลากหลาย ซึ่งที่ผ่านมา BBK Electronics ไม่ใช่แบรนด์เดียวที่ปักหลักปั้นหลายแบรนด์เพื่อสร้างจักรวาลมือถือจีนขึ้นมา แต่ยังมีบริษัทผู้ผลิตสมาร์ทโฟนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้อย่าง Transsion ก็ใช้กลยุทธ์ลักษณะเดียวกัน โดย Transsion เป็นบริษัทแม่ของแบรนด์อย่าง TECNO, Infinix และ itel ซึ่งเป็นแบรนด์ที่เด่นมากในตลาดแอฟริกาและตะวันออกกลาง โดยในปี 2022 ทั้ง 3 แบรนด์มีส่วนแบ่งการตลาดรวมถึง 32% ทำให้เป็นผู้นำในภูมิภาคดังกล่าว

ทำไมต้องทำหลายแบรนด์?

กำไรคือเหตุผลที่ผู้เล่นในจักรวาลมือถือจีนต้องสร้างหลายแบรนด์ในร่มบริษัทเดียว ที่ผ่านมา ความท้าทายสำคัญของผู้ผลิตสมาร์ทโฟนที่ไม่ใช่แบรนด์พรีเมียมคือการรักษาอัตรากำไรให้สูง ซึ่งแม้จะไม่มีรายงานว่า BBK Electronics มีกำไรเท่าใดจากการใช้กลยุทธ์  fake competitors แต่อย่างน้อย บริษัท Transsion ก็มีรายงานว่าสามารถทำอัตรากำไรสุทธิได้ 5%

ตัวเลข 5% ของ Transsion นั้นไม่ใช่ไก่กา เพราะยังดีกว่าบริษัทน้องเล็กอย่าง Xiaomi ที่มีการคำนวณแล้วว่าทำอัตรากำไรเพียง 1% เท่านั้น โดยเจ้าพ่อแบรนด์พรีเมียมอย่าง Apple นั้นถูกประเมินว่ามีอัตรามาร์จิ้นสูงลิ่วถึง 25% ซึ่งเป็นภาพฝันที่ทำให้ “แบรนด์ไม่พรีเมียม” เหล่านี้ต้องพยายามยกระดับตัวเองสู่ตลาดระดับบน เช่นเดียวกับที่ Samsung เคยทำสำเร็จมาแล้ว และถูกประเมินว่ามีกำไรราว 18%

แม้จะอยู่ในตลาดที่มีการแข่งขันสูง ทั้ง BBK Electronics และ Transsion ต่างก็สามารถสร้างแบรนด์สมาร์ทโฟนใหม่และคว้าส่วนแบ่งการตลาดที่สำคัญได้ในเวลาอันรวดเร็ว การสร้างแบรนด์ย่อยขึ้นมาแข่งขันกันเองของ BBK Electronics ทำให้บริษัทมีสินค้าที่ครอบคลุมทุกระดับราคา เนื่องจากแต่ละแบรนด์มีกลุ่มเป้าหมายและระดับราคาที่แตกต่างกัน ทำให้ครอบคลุมผู้บริโภคทุกกลุ่ม

ในอีกด้าน แบรนด์ต่าง ๆ ของ BBK Electronics และ Transsion ยังแข่งขันกันเองเพื่อพัฒนานวัตกรรมและคุณภาพ แต่รายได้ทั้งหมดยังคงอยู่ในมือบริษัทเดียว ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถกระจายความเสี่ยงได้ เพราะหากแบรนด์หนึ่งประสบปัญหา แบรนด์อื่นก็สามารถรองรับส่วนแบ่งตลาดได้ทันที

เหรียญ 2 ด้าน fake competitors

การสร้างหลายแบรนด์ขึ้นมาแข่งกันเองทำให้ BBK Electronics ใช้ทรัพยากรได้คุ้มค่ามาก ตั้งแต่การเปิดให้แบรนด์ต่าง ๆ แบ่งปันเทคโนโลยีและทรัพยากรการวิจัย ขณะเดียวกันก็ลดต้นทุนโดยรวมได้จากการใช้ช่องทางจัดจำหน่ายร่วมกัน ซึ่งแต่ละแบรนด์ไม่เพียงมีเครือข่ายการจัดจำหน่ายที่แข็งแกร่ง แต่ยังมีอิสระในการสร้างเอกลักษณ์และกลยุทธ์การตลาดที่แตกต่างกันได้

กลยุทธ์นี้ส่งผลให้ BBK Electronics กลายเป็นผู้เล่นสำคัญในตลาดสมาร์ทโฟนโลก โดยส่วนแบ่งตลาดรวมของแบรนด์ในมือมีมากกว่า 15% (ข้อมูลจากไตรมาสแรกของปี 2023) ไม่เพียงเป็นผู้ผลิตสมาร์ทโฟนรายใหญ่อันดับ 3 ของโลก แต่ยังสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องในตลาดเกิดใหม่

บทเรียนที่เราได้จากกรณีศึกษาของ BBK Electronics คือการแข่งขันภายในกระเป๋าเดียวกันสามารถสร้างนวัตกรรมและการเติบโตได้ดีมาก แต่ท่ามกลางกลยุทธ์ที่ชาญฉลาดและการบริหารจัดการแบรนด์ที่ดี สิ่งสำคัญคือต้องระวังด้านจริยธรรมให้มาก ซึ่งล่าสุดมีรายงานว่าแอปเงินกู้ที่เป็นข่าวนั้น ก็อาจมีความเกี่ยวข้องในลักษณะกระเป๋าเงินเดียวกัน ทำให้ผู้บริโภคอาจรู้สึกว่าถูกหลอก เมื่อพบว่าแบรนด์ที่คิดว่าไม่เกี่ยวข้องกันนั้น แท้จริงเป็นเจ้าของเดียวกัน

ที่สุดแล้ว ไม่ใช่แค่จักรวาลมือถือจีน แบรนด์ใด ๆ ในทุกจักรวาล ย่อมสามารถนำกลยุทธ์ “หลายแบรนด์เจ้าของเดียว” ไปใช้ได้อย่างเสรี เพียงแต่จะต้องมีจุดยืนการดำเนินธุรกิจอย่างมีจริยธรรม และสร้างคุณค่าจริงให้ผู้บริโภค

Source : Growth Dragons

อ่านเพิ่มเติม

]]>
1507043
เศรษฐกิจ ทุบตลาดรับสร้างบ้าน หดตัว 15% บ้านราคาแพง 10-20 ล้านบาท กระทบด้วย https://positioningmag.com/1507072 Mon, 20 Jan 2025 10:14:52 +0000 https://positioningmag.com/?p=1507072 ที่ผ่านมา ตลาดที่อยู่อาศัย เข้าสู่ภาวะชะลอตัวลง อ้างอิงศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) รายงาน ยอดโอนกรรมสิทธิ์บ้านและคอนโดทั่วประเทศ ช่วง 9 เดือนแรก ปี 2567 มีมูลค่า 705,389 ล้านบาท ลดลง 8% (YoY)

สอดรับกับ สินเชื่อที่อยู่อาศัยบุคคลปล่อยใหม่ ในช่วง 9 เดือนแรกปีก่อน มีมูลค่า 419,812 ล้านบาท ลดลง 16.2% (YoY)

“กำลังซื้ออ่อนตัว กับหนี้ครัวเรือนระดับสูง สร้างแรงกดดันกลุ่มธนาคารพาณิชย์ เข้มการปล่อยสินเชื่อบ้านใหม่ กระทบตลาดอสังหาโดยรวม“

รับสร้างบ้าน ปี 68 คาดหดตัว 15% เหลือ 10,000 ล้านบาท

นายอนันต์กร อมรวาที นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน (HBA)

นายอนันต์กร อมรวาที นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน (HBA) เปิดเผยว่า ตลาดรับสร้างบ้าน ปี 2568 คาดมีมูลค่าราว ๆ 10,000 ล้านบาท ลดลง 15% จากปีก่อน

โดยแต่ละเซกเมนต์ได้รับผลกระทบต่างกันตามปัจจัย อาทิ

  • กลุ่มราคาต่ำกว่า 5 ล้านบาท “กระทบมากสุด” จากกำลังซื้อที่มีความเปราะบาง
  • กลุ่มราคา 5-10 ล้านบาท “กระทบพอสมควร” จากความเข้มงวดการปล่อยกู้จากแบงก์ คาดเติบโตลดลง 20%
  • กลุ่มราคา 10-20 ล้านบาท “กระทบปานกลาง” อาจชะลอการสร้างบ้านเพราะกังวลปัจจัยเศรษฐกิจและการเมือง คาดเติบโตลดลง 10-15%
  • กลุ่มราคา 20 ล้านบาทขึ้นไป มีเงินออมสูง จ่ายเงินสด เป็นกลุ่ม “กระทบน้อยสุด”

ก่อสร้าง

ปี 68 ท้าทายสูง “กลุ่มผู้รับเหมา” กดราคาแย่งลูกค้า

ความท้าทายปี 2568 อยู่ที่ “กำลังซื้อ” ยังไม่ฟื้นตัวดีนัก สวนทางจำนวนงานลดลง ผู้รับสร้างบ้านบางราย มีปัญหาสภาพคล่องทางการเงิน ต้องแตะเบรกธุรกิจ หันไปหารายได้ทางอื่นก็มี

ขณะเดียวกัน “กลุ่มรับสร้างบ้าน” ต้องเผชิญการแข่งขันที่ดุเดือดยิ่งขึ้น จากกลุ่ม “ผู้รับเหมาก่อสร้าง” ที่ได้รับผลกระทบจากตลาดอสังหาฯ ชะลอตัวเช่นกัน จึงเกิดการกดราคาแย่งลูกค้า ซึ่งผู้รับเหมามีต้นทุนถูกกว่าผู้รับสร้างบ้าน 20-30%

ก่อสร้าง2

ปัญหาที่น่ากังวลที่ตามมา คือ การลดสเป็กสินค้า เพื่อทำราคาถูกที่สุด มาดึงดูดผู้บริโภค ซึ่งราคารับเหมาแบบถูกที่สุดไม่ควรต่ำกว่า 10,000-12,000 บาท/ตร.ม.

ส่วนราคาของกลุ่มผู้รับสร้างบ้าน ถูกที่สุดอยู่ที่ 15,000 บาท/ตร.ม. ส่วนในรูปแบบลักซูรีจะมีราคา 20,000-50,000 บาท/ตร.ม.

“ปีนี้เราคาดหวังภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านมีมูลค่า 10,000 ล้านบาท หรือมากสุดที่ 12,000 ล้านบาท (เท่ากับปี 2566)”

ก่อสร้าง3

กลยุทธ์ของเราปี 2568 คือ การจัดงาน Expo ครั้งใหญ่ 2 รอบ คือ เดือนมีนาคม และเดือนกันยายน เพื่อกระตุ้นยอดขาย

รวมไปถึงการเพิ่มจำนวนสมาชิกใหม่เข้า HBA ผ่านการโรดโชว์ในต่างจังหวัด เพราะตัวเลขมูลค่าตลาด 10,000 ล้านบาท เป็นตัวเลขเฉพาะสมาชิกในสมาคมฯ ส่วนถ้านับรวมรับสร้างบ้านทั่วประเทศ ประเมินมีมูลค่า 200,000 ล้านบาท

]]>
1507072
‘ตลาดครีมซอง’ น่าสนใจแค่ไหน? ถึงเติบโตมีมูลค่ากว่า 5 หมื่นล้านบาท https://positioningmag.com/1506998 Mon, 20 Jan 2025 08:43:40 +0000 https://positioningmag.com/?p=1506998 หากถามว่า ‘ตลาดครีมซอง’ ตอนนี้ร้อนแรงแค่ไหน ? คงหาคำตอบได้ง่าย ๆ แค่ลองเดินเข้าร้านสะดวกซื้ออย่าง 7-Eleven หรือตามร้านค้าความสวยความงามต่าง ๆ เราจะเห็นครีมซองวางจำหน่ายเรียงราย แถมมีสินค้าหลากหลายให้เลือกทั้ง ‘แบรนด์’ และ ‘ประเภทสินค้า’ เรียกได้ว่า มีครีมซองให้เลือกตอบโจทย์ ‘ตั้งแต่หัวจรดเท้า’

 

‘สมาคมผู้ผลิตเครื่องสำอางไทย’ ได้ประเมินภาพรวมตลาดความงามของไทยในปี 2567 จะมีมูลค่า 3.40 แสนล้านบาท แบ่งเป็นผลิตภัณฑ์ดูแลผิว (Skincare) 46.8%, ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับผม (Haircare) 18.3%, ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดร่างกาย (Hygiene) 16.3%, ผลิตภัณฑ์ตกแต่งใบหน้า (Makeup) 13.5% และน้ำหอม (Fragrance) 5.1%

 

สำหรับตลาดครีมซอง ‘ภญ.ปิยวดี สอนสิงห์’ ผู้ก่อตั้งบริษัท โรจูคิส อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ KISS หนึ่งในผู้เล่นในตลาดครีมซอง เล่าให้ Positioning ฟังว่า เริ่มต้นมาไม่ถึง 10 ปี และมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องเฉลี่ยแต่ละปีโตไม่ต่ำกว่าตัวเลขสองหลัก โดยผู้บุกเบิกตลาดนี้ ก็คือ กลุ่มอินเตอร์แบรนด์ อาทิ ลอรีอัล, ยูนิลีเวอร์, เมย์เบลรีน ฯลฯ ด้วยการออกผลิตภัณฑ์แบบ ‘ซองฉีก’ ขนาด 2-10 กรัม จำหน่ายในราคา 10-49 บาท เป็นทางเลือกให้ผู้บริโภคตามพื้นที่รอบนอกและต่างจังหวัดที่อาจมีกำลังซื้อไม่มากนักได้ทดลองใช้สินค้า

 

แล้วอะไรถึงทำให้ตลาดนี้น่าสนใจ ?

 

1. ‘ราคา’ ที่ง่ายต่อการตัดสินใจซื้อ โดยแต่ละแบรนด์จะมีสินค้าในปริมาณ 2- 50 กรัม วางราคาขายไว้ในหลักสิบตั้งแต่ 10-59 บาท ซึ่งเป็นราคาและขนาดที่ควักจ่ายได้แบบง่าย ๆ ช่วยเพิ่มการทดลองสินค้าได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังตอบโจทย์กำลังซื้อของผู้บริโภคในช่วงภาวะเศรษฐกิจไม่ดีได้อีกด้วย

 

2.‘ความสะดวกสบาย’ ด้วยการเป็นสินค้าในรูปแบบซองและมีขนาดเล็ก ทำให้ผู้บริโภคสามารถพกพาได้อย่างสะดวกสบายไม่ว่าจะไปที่ไหน เฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องเดินทางด้วยเครื่องบินที่ผู้บริโภคไม่ต้องกังวลเรื่องปริมาณของเหลวที่ถือขึ้นเครื่อง

 

3.ผู้บริโภคมี Brand loyalty หรือ ความจงรักภักดีต่อแบรนด์น้อยลง ส่งผลให้ผู้บริโภคมีพฤติกรรมเปิดรับและอยากลองใช้แบรนด์ใหม่มากขึ้น ซึ่งด้วยขนาดและราคาของครีมซอง ถือว่า ตอบโจทย์กับพฤติกรรมนี้มาก ๆ คือ ถ้าซื้อมาใช้แล้วชอบ จะ ‘ไปต่อ’ หากลองแล้วไม่ชอบ จะ ‘หยุด’ แบบไม่ต้องเสียดายเงิน

 

ทั้งหมดล้วนเป็นปัจจัยที่เป็นโอกาสดีของแบรนด์ที่ต้องการขยายตลาดและฐานลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์เดิมหรือแบรนด์ใหม่ ๆ ทำให้มีหลายแบรนด์เข้ามาช่วงชิงมาร์เก็ตแชร์ในตลาดครีมซองมากมาย

 

ขณะเดียวกันก็มีการขยายไลน์สินค้าครอบคลุมความต้องการของผู้บริโภคแบบ ‘ตั้งแต่หัวจรดเท้า’   จากเดิมจะมีแค่กลุ่ม Skincare ตอนนี้ขยายไปยังกลุ่มอื่น ๆ ทั้งกลุ่ม Haircare , Personal care , กลุ่ม Makeup ไม่ว่าจะเป็นมาสคาร่า, รองพื้น, ปกปิดร่องรอย, ลิปสติก ฯลฯ ไปจนถึงกลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลเท้า

นอกจากนี้ แบรนด์ยังได้มีการพัฒนาแพ็กเกจให้มีฝาปิด เพิ่มความปลอดภัยและสะดวกสบายให้กับผู้ใช้ รวมถึงมีการเพิ่มอุปกรณ์ในการใช้ ทำให้ครีมซองเป็นที่นิยมมากขึ้น และเป็นตลาดที่มีการเติบโตต่อเนื่องเฉลี่ยมากกว่า Double digit  

 

โดยปัจจุบัน ภญ.ปิยวดี บอกว่า ตลาดครีมซองเฉพาะช่องทางของ 7-Eleven มีมูลค่าประมาณ 20,000 ล้านบาท แต่หากรวมห้าง ร้านสะดวกซื้ออื่น ๆ ร้านความสวยความงาม เช่น วัตสัน ฯลฯ และร้านโชว์ห่วย ตลาดครีมซองจะมีมูลค่ารวมแล้วกว่า 50,000 ล้านบาท

 

“ตอนนั้นพวกแบรนด์ใหญ่ใช้เรื่องไซส์ซิ่งแบบซองมาใช้ เพื่อขยายฐานลูกค้าสู่กลุ่มแมส ขายผ่านร้านโชว์ห่วย หรือตามรถขายของที่วิ่งไปตามพื้นที่รอบนอก ตอนหลังแบรนด์ไทยเห็นโอกาสจึงเข้ามา และแนวโน้มจะมีแบรนด์และสินค้าเข้ามาในตลาดครีมซองมากขึ้น ซึ่งตอนนี้ครีมซองกลายเป็นตลาด Red Ocean ไปแล้ว”

 

ต้องหาช่องว่างให้เจอ

 

เมื่อการแข่งขันดุเดือดเป็นน่านน้ำทะเลเลือด จุดชี้ขาดว่า แบรนด์ใดจะรอดบนสนามแข่งขันนี้ จำเป็นต้องจับเทรนด์ของตลาดให้ถูกและทำความเข้าใจความต้องการผู้บริโภคให้ได้ เพราะปัจจุบันพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แถมมี Brand loyalty ค่อนข้างต่ำ กล้าลองอะไรใหม่ ๆ และพร้อมสวิตช์แบรนด์ตลอดเวลา

 

ผู้ก่อตั้ง KISS บอกว่า เมื่อก่อนอินเตอร์แบรนด์อาจได้เปรียบเรื่องชื่อเสียง แต่ตอนนี้แบรนด์ไทยก็ได้รับการยอมรับไม่แพ้กัน และจุดได้เปรียบในความเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคได้ดีกว่า และสามารถออกสินค้าได้เร็วกว่า อย่างอินเตอร์แบรนด์จะใช้เวลา 1-2 ปี ในการออกสินค้าใหม่ เพราะเขาจะลงเฉพาะตลาดที่มั่นใจ ขณะที่แบรนด์ไทยมีความหยืดหยุ่นมากกว่า อย่าง KISS เอง การพัฒนาสินค้าใหม่จะใช้เวลา 3-6 เดือน

 

แต่ประเด็นสำคัญ ก็คือ ต้องหาช่องว่างของตลาดแล้วนำเสนอนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ให้ได้ อย่างที่ผ่านมาโรจูคิส เป็นผู้บุกเบิกนำเซรั่มเข้ามาในตลาดเมืองไทย และมีการนำเสนอโปรดักท์สำหรับแก้ปัญหารูขุมขนกว้าง จากอดีตแบรนด์ส่วนใหญ่จะนำเสนอโปรดักท์ที่ตอบโจทย์เรื่องริ้วรอยและผิวกระจ่างใสเท่านั้น ทำให้ปัจจุบันโรจูคิส ในประเทศไทยมียอดขายในกลุ่มสกินแคร์เติบโต 3 เท่า โดยสัดส่วนการขายมาจาก Normal size 50% และในรูปแบบซอง 50%

 

“เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย  ๆ แต่ต้องหาให้เจอ เพราะการแข่งขันดุเดือดมาก และผู้บริโภคพร้อมเปลี่ยนใจตลอดเวลา ถือเป็นความท้าทายของแบรนด์ซึ่งไม่ได้เกิดเฉพาะในตลาดครีมซอง หลายธุรกิจก็เจอเหมือนกัน”

 

]]>
1506998
พร้อมเสียบ! ‘Meta’ เปิดตัว ‘Edits’ แอปฯ ตัดต่อวิดีโอใหม่คล้าย ‘CapCut’ ของ ‘TikTok’ https://positioningmag.com/1506992 Mon, 20 Jan 2025 07:31:42 +0000 https://positioningmag.com/?p=1506992 อย่างที่หลายคนรู้ว่า TikTok ได้ถูกแบนในสหรัฐฯ และมีการประเมินว่าแอปฯ อื่นอาจจะโดนร่างแหจากกฎหมายนี้ไปด้วยก็ได้ เช่น CapCut แอปฯ ตัดต่อชื่อดัง ที่อยู่ภายใต้บริษัท ByteDance เช่นกัน

แม้ว่า TikTok ในตลาดสหรัฐฯ จะถูกแบนเป็นเวลาสั้น ๆ ในวันที่ 19 มกราคมที่ผ่านมา ก่อนจะกลับมาให้บริการตามปกติ หลังจากที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ กล่าวว่า เขาจะลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารในวันจันทร์ หลังการเข้ารับตำแหน่ง เพื่อชะลอการแบนแอปดังกล่าวจากรัฐบาลกลาง ตามที่เขาโพสต์ลงบน Truth Sociai โซเชียลมีเดียของเจ้าตัว

อย่างไรก็ตาม อนาคตของบริษัทก็ยังไม่ชัดเจนภายใต้กฎหมายในปัจจุบัน รวมไปถึงอีก 2 แพลตฟอร์มอย่าง CapCut และ Lemon8 ที่มีเจ้าของคนเดียวกันก็คือ บริษัท ByteDance 

แต่ถึงจะแบนหรือไม่แบน เจ้าพ่อโซเชียลฯ อย่าง Meta เจ้าของแพลตฟอร์ม Facebook และ Instagram ก็ชิงโอกาสเปิดตัวฟีเจอร์ตัดต่อวิดีโอ Edits เพื่อมาชนหรือแทนที่ CapCut หากถูกแบน

Adam Mosseri หัวหน้าทีม Instagram ได้เปิดตัวแพลตฟอร์ม Edits ผ่าน Threads ว่า แอปฯ ดังกล่าวออกแบบมาเพื่อ คนที่ถนัดการตัดต่อวิดีโอบนมือถือ โดยมีจุดเด่น ดังนี้ 

  • สามารถบันทึกคลิปสูงสุด 10 นาที และสามารถตัดต่อได้ทันที
  • สามารถส่งออกและแชร์ไปแพลตฟอร์มไหนก็ได้โดยไม่มีลายน้ำ
  • มีเครื่องมือให้ใช้ตัดต่อครบ
  • สามารถติดตามประสิทธิภาพของ Reels ผ่านแดชบอร์ดข้อมูลเชิงลึกแบบเรียลไทม์

อย่างไรก็ตาม แม้ว่า Edits จะสามารถดาวน์โหลดได้บน App Store แต่จะยัง ใช้งานไม่ได้ โดยจะใช้งานได้ในเดือน กุมภาพันธ์

ทั้งนี้ ตั้งแต่ที่ TikTok มีข่าวว่าจะโดนแบนในสหรัฐฯ ผู้ใช้งานหลายคนเริ่มมองหาแพลตฟอร์มใหม่เพื่อใช้แทน เช่น เรดโน้ต (RedNote) หรือ เสี่ยวหงชู (Xiaohongshu) ดังนั้น การที่ Meta เพิ่มแอปฯ ใหม่อย่าง Edits ก็ไม่ได้แปลว่าจะทำให้คนกลับมาใช้ Instagram เสมอไป

Source

]]>
1506992
‘OPPO’ แถลง ‘ขอโทษ’ พร้อมยืนยัน ลบข้อมูลลูกค้าที่ได้รับผลกระทบแล้วทั้งหมด พร้อมสัญญาจะไม่ติดตั้งแอปฯ เกี่ยวกับสินเชื่อที่ผิดกฎหมาย และพร้อมให้ความช่วยเหลือผู้ใช้งานที่ได้ผลกระทบ https://positioningmag.com/1506914 Fri, 17 Jan 2025 09:36:19 +0000 https://positioningmag.com/?p=1506914 จากกรณีที่มีการตรวจพบว่ามือถือ OPPO และ realme มีการติดตั้งแอปพลิเคชัน Fineasy และ สินเชื่อความสุข โดยล่าสุด ชานนท์ จิรายุกุล ประธานกรรมการอาวุโสฝ่ายบริหาร ออปโป้แห่งประเทศไทย ได้ออกมาแถลง ขอโทษ ต่อหน้าสื่อมวลชน

พร้อมอัปเดตการดำเนินการที่ผ่านมาว่า ตั้งแต่วันที่ 14 มกราคมที่ผ่านมา OPPO ได้ยุติการติดตั้งแอปพลิเคชันใหม่ทั้งหมด อีกทั้งได้ ยกเลิกการติดตั้งแอปพลิเคชัน ‘สินเชื่อทุกประเภท’ ที่ลงมากับสมาร์ทโฟนใหม่

และตั้งแต่วันที่ 16 มกราคมเป็นต้นมา OPPO ได้ทยอยปล่อย OTA (Over-The-Air) ในการอัปเดตการลบแอปฯ Fineasy และ สินเชื่อความสุข สำหรับสมาร์ทโฟนรุ่นที่ได้อัปเดต OTA ไปแล้วดังต่อไปนี้ รุ่น Find X 8 Series, Reno 13 Series รุ่น Reno 12 Series และรุ่น A Series ส่วนที่เหลือจะทยอยอัปเดตให้จนครบภายในวันที่ 27 มกราคมนี้

นอกจากนี้ OPPO ย้ำว่า รู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่ง และถือเป็นบทเรียนสำคัญ และจะให้ความสำคัญ และระมัดระวังมากขึ้นในการติดตั้งแอปพลิเคชันจากบุคคลที่ 3 พร้อมทั้งให้สัญญาว่า จะไม่มีการติดตั้งแอปฯ ล่วงหน้าที่เกิดจากการเกี่ยวกับสินเชื่อที่ผิดกฎหมาย

สำหรับผู้ใช้งานที่ได้ผลกระทบ ทาง OPPO ได้ตั้งสายด่วนพิเศษหมายเลข 1800-019-097 โดยให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง และกำลังเร่งดำเนินการร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นภาคหรือองค์กรอิสระ เพื่อให้การช่วยเหลือทางด้านกฎหมายกับผู้ได้รับผลกระทบ

]]>
1506914
‘กรุงเทพฯ’ ติดอันดับ 2 เมืองที่ดีที่สุดของโลก ปี 2025 และเป็นมหานครที่ดีที่สุดของเอเชีย https://positioningmag.com/1506868 Fri, 17 Jan 2025 06:16:32 +0000 https://positioningmag.com/?p=1506868 Time Out แพลตฟอร์มไลฟ์สไตล์ชื่อดัง ประกาศการจัดอันดับ 50 เมืองที่ดีที่สุดของโลก ประจำปี 2025 โดย ‘กรุงเทพฯ’ ติดอยู่ในอันดับ 2 แซงหน้ามหานครใหญ่อย่างนิวยอร์ก ของสหรัฐฯ ที่ติดอันดับ 3 และยังเป็นมหานครที่ดีที่สุดของเอเชีย

 

การจัดอันดับนี้ เป็นการอ้างอิงผลสำรวจความคิดเห็นของผู้อยู่อาศัยในเมืองทั่วโลกจำนวน 20,000 คน ที่ได้แบ่งปันมุมมองในเรื่องต่าง ๆ ตั้งแต่ อาหาร ชีวิตกลางคืน วัฒนธรรม ไปจนถึงความคุ้มค่า และบรรยากาศโดยรวมของเมือง

 

Time Out ให้เหตุผลว่า กรุงเทพฯ เป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวทั่วโลก เพราะผู้คนที่เป็นมิตร อาหารอร่อย มีสถานที่ท่องเที่ยวที่ดี รวมถึงมีเสน่ห์ทางวัฒนธรรมอันล้ำค่า และประวัติศาสตร์ที่น่าหลงใหล ดึงดูดให้คนอยากมาอยู่อาศัย

 

สำหรับเมืองที่ดีที่สุดของโลก 10 อันดับแรก ได้แก่

 

อันดับ 1 เคปทาวน์, แอฟริกาใต้

อันดับ 2 กรุงเทพฯ, ไทย เอาชนะเมืองดังอย่าง

อันดับ 3 นิวยอร์ก, สหรัฐฯ

อันดับ 4 เมลเบิร์น, ออสเตรเลีย

อันดับ 5 ลอนดอนอังกฤษ

อันดับ 6 นิวออร์ลีนส์, สหรัฐฯ

อันดับ 7 เม็กซิโก ซิตี้, เม็กซิโก

อันดับ 8 ปอร์โต, โปรตุเกส

อันดับ 9 เซี่ยงไฮ้, จีน

อันดับ 10 โคเปนเฮเกน, เดนมาร์ก

 

นอกจากนี้ กรุงเทพฯ ยังเป็นมหานครที่ดีที่สุดในทวีปเอเชีย แซงหน้าเมืองใหญ่อย่าง เซี่ยงไฮ้ ที่ติดอยู่อันดับ 9 , ฮ่องกง อันดับ 14 และฮานอย ในอันดับ 21

 

ที่มา

 

https://edition.cnn.com/2025/01/16/travel/time-out-reveals-worlds-50-best-cities-for-2025/index.html

]]>
1506868
‘ไมโครซอฟท์’ เตรียมขึ้นราคา ‘Microsoft 365’ ครั้งแรกในรอบ 12 ปี หลังเพิ่ม AI ให้ใช้งาน https://positioningmag.com/1506798 Fri, 17 Jan 2025 03:59:29 +0000 https://positioningmag.com/?p=1506798 เป็นเวลา 12 ปีแล้วที่ ไมโครซอฟท์ (Microsoft) เริ่มเก็บค่าบริการ Microsoft 365 หรือชื่อเดิม คือ Office 365 ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์เพื่อการทำงานที่เป็นรูปแบบของ Subscription และในยุคที่ไมโครซอฟท์ได้เพิ่มความสามารถใหม่ ๆ โดยเฉพาะ AI ทำให้ถึงเวลาที่จะ ขึ้นราคา เพื่อให้สอดคล้องกับความสามารถ

Microsoft ได้เปิดเผยว่า บริษัทกําลังนํา Copilot ซึ่งเป็น AI มาใส่ในแอปพลิเคชัน Word, Excel, PowerPoint, Outlook และ OneNote รวมถึงใส่ Microsoft Designer ซึ่งเป็นเครื่องมือแก้ไขภาพโดย AI และด้วยความสามารถใหม่ ๆ ที่เพิ่มเข้ามา ทำให้บริษัทต้อง ขึ้นราคา Microsoft 365 สำหรับผู้ใช้งานทั่วไปเป็น ครั้งแรกในรอบ 12 ปี

“เพื่อสะท้อนถึงสิทธิประโยชน์การสมัครสมาชิกที่เราเพิ่มเข้ามาในช่วง 12 ปีที่ผ่านมา และช่วยให้เราสามารถส่งมอบนวัตกรรมใหม่ ๆ สําหรับปีต่อ ๆ ไป” Bryan Rognier รองประธานของ Microsoft 365 Consumer กล่าว

ทั้งนี้ การขึ้นราคาในแต่ละประเทศจะไม่เท่ากัน โดยในสหรัฐอเมริกา ราคา Microsoft 365 Personal จะอยู่ที่ 6.99 ดอลลาร์ต่อเดือน และ 69.99 ดอลลาร์ต่อปี เพิ่มเป็น 9.99 ดอลลาร์ต่อเดือน และ 99.99 ดอลลาร์ต่อปี ส่วนแพ็กเกจ Microsoft 365 Family ซึ่งให้บริการได้ถึง 6 คน เพิ่มขึ้นจาก 9.99 ดอลลาร์ต่อเดือน และ 99.99 ดอลลาร์ต่อปี เป็น 12.99 ดอลลาร์ต่อเดือน และ 129.99 ดอลลาร์ต่อปี

ประเทศไทยเองก็ไม่รอด โดย Microsoft 365 Personal จาก 2,099 บาทต่อปี เป็น 2,999 บาทต่อปี และ Microsoft 365 Family เพิ่มจาก 2,899 บาทต่อปี เป็น 3,699 บาทต่อปี

ข้อมูล ณ เดือนกันยายน 2567 ทาง Microsoft มีสมาชิกผู้บริโภค Microsoft 365 อยู่ที่ 84.4 ล้านคน เพิ่มขึ้น 10% โดยผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์และบริการคลาวด์ของ Microsoft 365 คิดเป็น 31% ของรายได้  ในขณะที่ผลิตภัณฑ์สําหรับผู้บริโภคและบริการคลาวด์ของ Microsoft 365 มีสัดส่วนน้อยกว่า 3% 

อย่างไรก็ตาม หากลูกค้าไม่อยากใช้งานฟีเจอร์ AI ลูกค้าก็สามารถเปลี่ยนไปใช้แพ็กเกจที่ไม่มี Copilot หรือ AI อื่น ๆ ได้ หรือที่เรียกว่า Personal Classic และ Family Classic แต่จะทำให้ไม่ได้ใช้งานฟีเจอร์ใหม่อื่น ๆ ในอนาคต หรือสามารถเปลี่ยนไปสมัครแพ็คเกจพื้นฐาน Microsoft 365 Basic ได้ ในราคา 69 บาทต่อเดือน

แม้ว่า Microsoft จะขึ้นราคา Microsoft 365 สำหรับผู้ใช้ทั่วไปในรอบ 12 ปี แต่ถ้าเป็นฝั่งลูกค้า องค์กร ทาง Microsoft ได้ขึ้นราคาไปแล้วในปี 2022 ซึ่งถือเป็นการขึ้นราคาครั้งแรก 

Source

]]>
1506798
กางแผนปี 68 MBK รับมือปีที่ต้องทำธุรกิจอย่าง ‘ระแวดระวัง และรอบคอบ’ https://positioningmag.com/1506763 Fri, 17 Jan 2025 03:14:05 +0000 https://positioningmag.com/?p=1506763 แม้หลายธุรกิจจะ (พยายาม) มองว่า ปี 2568 มีสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและกำลังซื้อ แต่ก็ไม่ปฏิเสธว่า ปีนี้ยังคงเต็มไปด้วยความท้าทาย ซึ่งต้องเตรียมตัวรับมือให้ดี ๆ รวมถึง ‘บริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน)’ หรือ MBK ที่ ‘วิจักษณ์ ประดิษฐวณิช’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้อำนวยการฯ บอกว่า ปี 68 เป็นปีแห่งการทำธุรกิจที่ต้องระมัดระวังและรอบคอบ

 

“เราเห็นสัญญาณบวกจากธุรกิจท่องเที่ยว รวมถึงมาตรการของภาครัฐในการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ยังมีปัจจัยหลายอย่างต้องจับตา เช่น ความไม่แน่นอนของสถานการณ์โลก การมาของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ทำให้ปีนี้การทำธุรกิจต้องระมัดระวัง รอบคอบ และต้องมีโฟกัสมาก”

 

ปัจจุบันธุรกิจของ MBK มีด้วยกัน 7 กลุ่ม ซึ่งถือเป็นการกระจายความเสี่ยง ได้แก่ ‘ธุรกิจศูนย์การค้า’ ประกอบด้วย MBK Center , พาราไดซ์ พาร์ค, พาราไดซ์ เพลส, เดอะไนน์ พระราม 9 และเดอะไนน์ ติวานนท์ ‘ธุรกิจโรงแรม’ มี 8 แห่ง อาทิ ปทุมวันปริ๊นเซส, ดุสิตธานี กระบี่ บีช รีสอร์ท ฯลฯ ‘ธุรกิจสนามกอล์ฟ’, ‘ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์’, ‘ธุรกิจอาหาร’, ‘ธุรกิจการเงิน’ และ ‘ธุรกิจการประมูล’

 

สำหรับธุรกิจที่เติบโตและสร้างรายได้ดี โดยธุรกิจเหล่านี้เติบโตตามทิศทางของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ก็คือ ธุรกิจศูนย์การค้าโต 26%, ธุรกิจโรงแรมโต 22%, ธุรกิจสนามกอล์ฟโต 15% และธุรกิจอาหารโต 34% ซึ่งในปีนี้จะมีการพัฒนาต่อเนื่อง

อย่างธุรกิจศูนย์การค้า ในส่วนของ MBK Center ที่ตอนนี้มีทราฟฟิก 80,000-100,000 คนต่อวัน จากเดิมอยู่ที่ 72,000 คนต่อวัน ซึ่งลูกค้า 60% เป็นคนไทย อีก 40% เป็นชาวต่างชาติ ส่วนใหญ่เป็นชาวยุโรปและอินเดีย

 

วิจักษณ์บอกว่า นอกเหนือจากการปรับปรุงและพัฒนาศูนย์แล้ว การทำมาร์เก็ตติ้งถือเป็นกลยุทธ์สำคัญ ภายใต้ Targeted Marketing เน้นทำความรู้จักและตอบสนองความต้องการของลูกค้าเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นการเลือกร้านค้า และจัดอีเวนท์วัฒนธรรมที่ลูกค้าชอบ เช่น การแข่งขันมวยไทย เป็นต้น นอกจากนี้ยังให้สำคัญกับการทำตลาดผ่านโซเชียล มีเดีย และเสิร์ช เอ็นจิ้น ตามเทรนด์ปัจจุบัน

 

เช่นเดียวกับศูนย์การค้าอื่น ๆ  ทั้งพาราไดซ์ พาร์ค, พาราไดซ์ เพลส, เดอะไนน์ พระราม 9 และเดอะไนน์ ติวานนท์ ที่มีการรีโนเวตและดึงแบรนด์ใหม่ ๆ เข้ามาเสริมทัพให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าแต่ละศูนย์

 

นอกจากนี้ ในส่วนของ ‘บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด’ ผู้บริหารศูนย์การค้าสยามเซ็นเตอร์, สยามพารากอน, ไอคอนสยาม ที่ทาง MBK ถือหุ้นอยู่ 58% ก็มีแผนจะยื่นจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อนำไปลงทุนในธุรกิจลักชัวรี่ทั้งในและต่างประเทศ โดยตอนนี้อยู่ระหว่างการศึกษาอยู่

 

ส่วนธุรกิจโรงแรม ได้รับอานิสงส์จากการเข้ามาของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เพิ่มขึ้น โดยกลุ่มดังกล่าวถือเป็นกลุ่มลูกค้าหลักคิดเป็นสัดส่วน 90% ของลูกค้าทั้งหมด นอกจากปรับปรุงห้องพักให้ทันสมัยอยู่เสมอแล้ว MBK ยังได้ลงทุนโรงแรมใหม่อีก 1 แห่ง นั่นคือ ทินิดี เทรนดี้ กรุงเทพฯ ข้าวสาร

 

ขณะที่ธุรกิจที่มีการชะลอตัวตามสภาวะเศรษฐกิจและแนวโน้มของตลาด ได้แก่ อสังหาริมทรัพย์ -33%, ธุรกิจการประมูล -12% และธุรกิจการเงิน -5% ตามแผนของ MBK ในปีนี้ต้องมีการปรับแผนหันมาโฟกัสในเรื่องการบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่เน้นลงทุนเพิ่ม

เช่น ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ทาง MBK จะไม่เน้นเร่งสร้างโครงการใหม่ แต่พยายามขายโครงการเดิมที่มีอยู่ อย่าง ‘โครงการเดอะ พาโน’ ย่านกระทู้ จังหวัดภูเก็ต ที่เป็นพูลวิลล่า ลักชัวรี่ จำนวน 28 ยูนิต มีมูลค่าโครงการ 1,400 ล้านบาท ฯลฯ

 

ส่วนธุรกิจการประมูล ‘แอพเพิล ออโต้ ออคชั่น’ ปีนี้ได้ปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ เน้นเรื่องการบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น รวมไปถึงมีระบบคัดกรองลูกค้าอย่างเข้มข้นมากขึ้น

 

สำหรับภาพรวมของผลการดำเนินงานของ MBK ช่วง 9 เดือนของปี 2567 มีรายได้รวม 8,391.41 ล้านบาท มีกำไร 2,111.63 ล้านบาท ส่วนผลดำเนินการในปี 2568 ตั้งเป้าจะเติบโตรายได้ไม่ต่ำกว่า 15%

]]>
1506763
ออฟฟิศให้เช่า Oversupply 2 ล้านตร.ม. อัตราค่าเช่าลดลง 6% ต่อปี จากเทรนด์ทำงานไฮบริด https://positioningmag.com/1506755 Fri, 17 Jan 2025 03:12:15 +0000 https://positioningmag.com/?p=1506755 ปัจจุบันเทรนด์การทำงานรูปแบบ Work From Anywhere ตลอดจน การทำงานแบบไฮบริด ไม่ได้เข้าออฟฟิศทุกวัน ส่งผลกระทบต่อธุรกิจอาคารสำนักงานให้เช่า (ออฟฟิศ) ลากยาวตั้งแต่ช่วงโควิด!

ออฟฟิศให้เช่า Oversupply สูง 2 ล้านตร.ม.

SCB EIC เปิดเผยว่า ซัพพลายออฟฟิศให้เช่าใหม่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยปี 2568 คาดมีพื้นที่รวม 10.4 ล้านตร.ม. จากปี 2567 มีพื้นที่ 10.1 ล้านตร.ม.

ทว่าธุรกิจออฟฟิศให้เช่าได้รับผลกระทบจากการปิดกิจการของบริษัทในช่วงโควิด และรูปแบบการทำงาน Hybrid workplace หรือการสลับเข้าทำงานที่ออฟฟิศ และจากที่ไหนก็ได้

ส่งผลให้ความต้องการเช่าพื้นที่ออฟฟิศใน กทม. และปริมณฑล ปี 2566 ลดลงมาเหลือ 8.0 ล้านตร.ม. จากปี 2563 อยู่ที่ 8.4 ล้านตร.ม.

“อุปทานใหม่เพิ่มปีละ 1% แต่พื้นที่สำนักงานที่เช่าได้หดตัวปีละ 1.5% ทำให้ออฟฟิศให้เช่า Oversupply สูงถึง 1.5-2 ล้านตร.ม. กดดันอัตราค่าเช่า หดตัวลง 6%“

ซัพพลายและดีมานด์ออฟฟิศให้เช่า ตั้งแต่ปี 2562-2568

ออฟฟิศให้เช่าฟื้นตัวเล็กน้อย 1-2% จากบริษัทต่างชาติ

ประเมินว่า ปี 2567 – 2568 ออฟฟิศให้เช่าในกรุงเทพฯ และปริมณฑล จะฟื้นตัวประมาณ 1-2% ต่อปี มาอยู่ที่ 8.1-8.3 ล้านตร.ม. จากที่ในปี 2566 เหลือ 8.0 ล้านตร.ม. หดตัว 4% (YoY)

โดยคาดว่าความต้องการพื้นที่ใหม่จะมาจากบริษัทต่างชาติขนาดใหญ่ทยอยกลับมาลงทุน แต่ยังต้องเผชิญความดุเดือดจากการแข่งขันในภูมิภาคอาเซียน

ซึ่งตัวเลขการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (FDI) ในไทย ระหว่างปี 2564-2566 เฉลี่ยอยู่ที่ 3.4 หมื่นล้านบาท/ปี ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย FDI ในอินโดนีเซีย มาเลเซีย และเวียดนาม ที่อยู่ประมาณ 4.3-6.8 หมื่นล้านบาท/ปี

ผู้ประกอบการพัฒนาอย่างระวัง เลี่ยงจุดแข่งเดือด

กลยุทธ์ที่ผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาดพื้นที่สำนักงานให้เช่า และพื้นที่ค้าปลีกให้เช่าควรเน้นให้ความสำคัญในระยะข้างหน้า ได้แก่

1.พัฒนาโครงการใหม่อย่างระมัดระวัง

หลีกเลี่ยงการพัฒนาโครงการในทำเลที่มีการแข่งขันรุนแรง หรือทำเลที่มีสถานการณ์ Oversupply รุนแรง เช่น

  • พื้นที่ใจกลางเมือง
  • พื้นที่สุขุมวิทตอนกลาง-ตอนปลาย
  • พื้นที่รัชดาฯ-ลาดพร้าว

โดยเฉพาะโครงการพื้นที่สำนักงานให้เช่า รวมถึงโครงการ Mixed-use หรือ โครงการขนาดใหญ่ ที่มีสัดส่วนของพื้นที่สำนักงานให้เช่าสูง ที่ต้องให้ความระมัดระวังมากเป็นพิเศษ

2.สร้างความแตกต่าง และยกระดับคุณภาพของพื้นที่ หรือโครงการ เช่น เพิ่มความหลากหลายของประเภท    ผู้เช่า หรือรูปแบบของพื้นที่เช่าในโครงการ ปรับปรุงพื้นที่ และการให้บริการ

3.บริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะต้นทุนการพัฒนาโครงการ

4.ให้ความสำคัญกับเทรนด์ ESG โดยเฉพาะด้านสิ่งแวดล้อม เช่น การพัฒนาโครงการที่ได้รับการรับรองมาตรฐานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน

]]>
1506755