HOT UPDATE – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Mon, 04 Nov 2024 16:02:53 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 บริษัทเอกชน ‘ญี่ปุ่น’ เร่งผลักดันทำ ‘ฟาร์มแซลมอนบก’ หวังลดการพึ่งพา ‘นอร์เวย์’ ที่พื้นที่ทำฟาร์มเริ่มจำกัด https://positioningmag.com/1497440 Mon, 04 Nov 2024 15:57:23 +0000 https://positioningmag.com/?p=1497440 ถ้าพูดถึง อาหารญี่ปุ่น หนึ่งในวัตถุดิบที่หลายคนจะนึกถึงเป็นอันดับแรกก็คือ ปลาแซลมอน เมื่อความนิยมในการบริโภคมากขึ้นเรื่อย ๆ ปลาแซลมอนตามธรรมชาติก็ไม่เพียงพออีกต่อไป นำมาสู่การทำฟาร์มเพาะเลี้ยง แต่ฟาร์มที่ใหญ่ที่สุดอย่าง นอร์เวย์ ก็อาจผลิตได้มากกว่านี้ไม่ได้แล้ว

นอร์เวย์ ถือเป็นประเทศผู้ผลิต ปลาแซลมอน รายใหญ่ที่สุดของโลก โดยสามารถผลิตได้ราว ๆ 1.3 ล้านเมตริกตันต่อปี และแน่นอนว่าประเทศ ญี่ปุ่น เจ้าของเมนูซูชิและซาซิมิก็ต้องมีการนำเข้ามาบริโภค แต่เนื่องจากกำลังการผลิตที่ใกล้แตะจุดสูงสุด เนื่องจากพื้นที่ที่เหมาะในการทำฟาร์มเริ่มถึงขีดจำกัด 

ส่งผลให้บริษัทเอกชนรายใหญ่อย่าง มารูเบนิ คอร์ปอเรชั่น (Marubeni Corp) เป็นบริษัทการค้าที่มีการดำเนินธุรกิจที่หลากหลาย รวมถึงพลังงาน, เคมีภัณฑ์, อาหารและการเกษตร, และสินค้าอุตสาหกรรม ได้ผลักดันให้มีการทำ ฟาร์มปลาแซลมอนบนบก เพื่อลดการพึ่งพานอร์เวย์ ซึ่งเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่สุดของญี่ปุ่น

โดยปัจจุบัน มารูเบนิ คอร์ปอเรชั่นร่วมกับ มารุฮะ นิชิโร่ คอร์ป (Maruha Nichiro Corp) ในการเริ่มทำฟาร์มปลาแซลมอนบก โดยมีโรงงานในจังหวัดโทยามะ บริเวณชายฝั่งทะเลญี่ปุ่น โดยจะเริ่มทำในปีหน้า และตั้งเป้าจัดส่ง 2,500 ตันภายในปี 2027 

นอกจากนี้ยังมี บริษัท Mitsui & Co ได้เข้าร่วมเทรนด์นี้เช่นกัน โดยผลักดันโครงการร่วมกับ FRD Japan Co ซึ่งเป็นบริษัทย่อยในจังหวัดไซตามะ โดยฟาร์มดังกล่าวตั้งอยู่ในจังหวัดชิบะ คาดว่าจะผลิตปลาแซลมอน 3,500 ตันต่อปี ภายในปี 2027

สำหรับการทำฟาร์มแซลมอนบก จะเป็นการทำทุกกระบวนการตั้งแต่การฟักไข่ในบ่อน้ำจืด จนถึงการเลี้ยง โดยแค่ปรับระบบน้ำ อุณหภูมิ ความจืด ความเค็ม ตามแต่ละช่วงวัย เพราะปลาแซลมอนจะวางไข่ในน้ำจืด และใช้ชีวิตในน้ำเค็ม ซึ่งการเลี้ยงปลาแซลมอนบนบกมีข้อดี เช่น มีปรสิตน้อยลง และป้องกันไม่ให้อุจจาระของปลาก่อให้เกิดมลพิษในทะเล

ปัจจุบัน นอร์เวย์เป็นฐานที่มั่นรายใหญ่ ทั้งเป็นผู้บุกเบิกและครองตลาดค้าปลาแซลมอนส่งขายไปทั่วโลก ผู้ผลิตรองลงมาจะเป็นชิลี สกอตแลนด์ และแคนาดา

]]>
1497440
“ญี่ปุ่น” วางแผนสร้างระบบขนส่งสินค้าอัตโนมัติ แก้ปัญหาการขาดแคลนคนขับรถบรรทุก https://positioningmag.com/1497318 Mon, 04 Nov 2024 08:20:47 +0000 https://positioningmag.com/?p=1497318 ญี่ปุ่น กําลังวางแผนที่จะสร้างทางเดินขนส่งสินค้าอัตโนมัติ ระหว่างโตเกียวและโอซาก้า แก้ปัญหาการขาดแคลนคนงานในการขับรถบรรทุก เนื่องจากเมื่อต้นปีที่ผ่านมา มีการบังคับใช้กฎหมายแรงงานใหม่ที่จํากัดจํานวนพนักงานขับรถล่วงเวลาที่สามารถเข้าสู่ระบบได้ เพื่อหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุและการทํางานมากเกินไป 

โดยประเทศญี่ปุ่นมีการใช้รถบรรทุกในการขนส่งกว่า 90% และประมาณ 60% เป็นการขนส่งผลิตผลของสด เช่น ผักและผลไม้ มาจากสถานที่ห่างไกลที่ต้องใช้รถบรรทุก ภายใต้กฎหมายดังกล่าว ส่งผลให้มีการคาดการณ์ว่า ความสามารถในการขนส่งโดยรวมของญี่ปุ่นจะลดลง 34% ภายในปี 2030 และ ความสามารถในการขนส่งภายในประเทศอยู่ที่ประมาณ 4.3 พันล้านเมตริกตัน 

แผนโครงการสร้างระบบขนส่งอัตโนมัตินี้ รัฐบาลญี่ปุ่นยังไม่ได้กําหนดจํานวนเงินทุน แต่โครงการนี้ถูกมองว่าเป็นวิธีสําคัญวิธีหนึ่งในการช่วยให้ประเทศรับมือกับปริมาณการขนส่งที่พุ่งสูงขึ้น เนื่องจากความต้องการในการจัดส่งจากการช็อปปิ้งออนไลน์พุ่งสูงขึ้นในช่วงโควิด ตามข้อมูลของรัฐบาล ระบุว่า มีผู้ใช้งานการจัดส่งออนไลน์เพิ่มขึ้นจาก 40% เป็น 60% ของครัวเรือนญี่ปุ่น แม้ว่าประชากรโดยรวมจะลดลงอย่างต่อเนื่องเนื่องจากอัตราการเกิดลดลงก็ตาม

อีกทั้งงานขับรถบรรทุกส่งของในญี่ปุ่นเป็นมีงานที่ลําบาก เพราะในการส่งของแต่ละครั้ง  คนขับจะต้องอยู่บนถนนเป็นเวลาหลายวัน และในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อัตราการเสียชีวิตประจําปีจากการขับขี่รถบรรทุกในการส่งของ ที่เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนจนทำให้มีผู้เสียชีวิต มีประมาณ 1,000 ราย ซึ่งดีขึ้นจากในปี 2010 ที่มีผู้เสียชีวิตเกือบ 2,000 ราย ทำให้คนหางานไม่ค่อยอยากทำงานขับรถบรรทุกส่งของกันเท่าใดนัก

Yuri Endo รองผู้อํานวยการอาวุโสที่ดูแลความพยายามที่กระทรวงที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน การขนส่ง และการท่องเที่ยว กล่าวว่า ญี่ปุ่น จําเป็นต้องมีนวัตกรรมเหล่านี้มาช่วยแก้ปัญหากําลังแรงงานที่ขาดแคลน โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ ซึ่งจะใช้ระบบการขนส่งอัตโนมัติและไร้คนขับตลอด 24 ชั่วโมง และช่วยลดภาระงานที่ไม่จำเป็นออกไป นอกจากนั้นระบบขนส่งสินค้าอัตโนมัตินี้ยังช่วยลดการปล่อยคาร์บอนอีกด้วย 

รัฐบาล ได้เผย VDO กราฟิก ที่แสดงให้เห็นกล่องที่มีล้อเคลื่อนขนาดใหญ่เคลื่อนที่ไปตามถนนอัตโนมัติโ ซึ่งเป็นทาง 3 เลนกลางทางหลวงขนาดใหญ่ของประเทศ รัฐบาลยังระบุอีกว่า ระบบทดลองดังกล่าว จะเริ่มมีการทดสอบในปี 2027 หรือต้นปี 2028 โดยตั้งเป้าดําเนินการเต็มรูปแบบภายในปี 2030

เบื้องต้น ระบบขนส่งสินค้าอัตโนมัตินี้มีไว้สําหรับการจัดส่งทางธุรกิจระหว่างโตเกียวและโอซาก้า และอาจขยายไปยังเส้นทางอื่นๆ หากการทดสอบทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี แต่ก็ยังต้องอาศัยแรงงานมนุษย์ในขั้นตอนสุดท้ายที่เป็นการจัดส่งสินค้าตามบ้านอยู่

ที่มา : Japan Today 

 

]]>
1497318
“ญี่ปุ่น” ออกกฎหมาย ห้ามใช้มือถือขณะขี่จักรยาน ฝ่าฝืนมีโทษจำคุก 6 เดือน ปรับ 2 หมื่นบาท https://positioningmag.com/1497217 Sat, 02 Nov 2024 14:34:18 +0000 https://positioningmag.com/?p=1497217 ตามรายงานของสื่อท้องถิ่นระบุว่า ประเทศญี่ปุ่น มีสถิติจํานวนอุบัติเหตุที่เกี่ยวข้องกับการขับขี่จักรยานเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากนับตั้งแต่ปี 2021 เนื่องจากผู้คนจํานวนมากเลือกที่จะปั่นจักรยานแทนการใช้ระบบขนส่งสาธารณะในช่วงการระบาดของโควิด-19 

แม้จะทำให้จํานวนอุบัติเหตุจราจรทั้งหมดทั่วประเทศญี่ปุ่นจะมีจำนวนลดลง แต่อุบัติเหตุจักรยานกลับมีการบันทึกสถิติเพิ่มมากขึ้น โดยในระหว่างปี 2018 ถึง 2022 มีจำนวนอุบัติเหตุเกิดขึ้น 454 ครั้ง ซึ่งเป็นจำนวนที่เกิดจากการใช้โทรศัพท์ขณะขับขี่จักรยาน ซึ่งเพิ่มขึ้น 50% จากช่วง 5 ปีก่อนหน้า

ในปี 2023 เกิดอุบัติเหตุจักรยานมากกว่า 72,000 ครั้ง คิดเป็น 20% ของอุบัติเหตุจราจรทั้งหมดในประเทศ และในช่วงครึ่งแรกของปี 2024 มีผู้เสียชีวิต 1 รายและบาดเจ็บสาหัส 17 ราย จากอุบัติเหตุที่เกี่ยวข้องกับผู้ขับขี่จักรยานที่ใช้โทรศัพท์ระหว่างขณะขับขี่ ซึ่งเป็นจํานวนสูงสุดนับตั้งแต่ตํารวจเริ่มบันทึกสถิติดังกล่าวในปี 2007 

ตัวเลขอุบัติเหตุดังกล่าว ทำให้รัฐบาล ได้พิจารณาออกกฎหมายใหม่ที่เข้มงวดขึ้นในการควบคุมผู้ขับขี่และลดจำนวนการเกิดอุบัติเหตุ รวมถึงเป็นการปราบปรามการใช้โทรศัพท์ขณะขับขี่ ซึ่งผู้ที่ฝ่าฝืนอาจถูกโทษจําคุกสูงสุด 6 เดือนหรือปรับ 100,000 เยน (ประมาณ 22,109 บาท) และสามารถถูกปรับสูงถึง 300,000 เยน (ประมาณ 66,327 บาท) หรือจําคุกสูงสุด 1 ปี

กฎใหม่นี้ยังมุ่งเป้าไปที่ผู้ขับขี่จักรยานที่มีอาการมึนเมาจากฤทธิ์แอลกอฮอล์ โดยมีโทษจําคุกไม่เกิน 3 ปีหรือปรับ 500,000 เยน (ประมาณ 110,545 บาท) นอกจากนั้นยังเป็นการป้องกันความปลอดภัยให้ผู้ขับขี่และผู้ใช้ถนนอื่นๆ ด้วย

อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่โอซาก้าได้มีการบันทึกการรายงานว่า มีการละเมิดกฎหมายใหม่เป็นจำนวน 5 ครั้งแล้วหลังจากที่มีผลบังคับใช้ และมีชาย 2 คนที่ถูกจับได้ว่าขี่จักรยานขณะมีอาการมึนเมา รวมถึงมีชายคนหนึ่งชนกับผู้ขับขี่จักรยานอีกคน แต่ไม่มีรายงานการบาดเจ็บแต่อย่างใด

ทั้งนี้ การปั่นจักรยานบนทางเท้าถือเป็นเรื่องปกติและถูกกฎหมายในญี่ปุ่น โดยในเดือนพฤษภาคม ปีที่แล้ว รัฐสภาญี่ปุ่นมีการผ่านร่างกฎหมายที่อนุญาตให้ตํารวจสั่งปรับ ผู้ขับขี่จักรยานในข้อหาละเมิดกฎจราจรหรือไม่สวมใส่หมวกนิรภัยขณะขับขี่แล้ว

ที่มา : BBC

 

]]>
1497217
Dropbox ประกาศเลิกจ้างพนักงานทั่วโลก 20% กระทบพนักงานกว่า 500 คน https://positioningmag.com/1497179 Fri, 01 Nov 2024 13:11:05 +0000 https://positioningmag.com/?p=1497179 Dropbox ประกาศเลิกจ้างพนักงานทั่วโลก 20% กระทบพนักงานกว่า 500 คน

Dropbox ผู้ให้บริกาพื้นที่จัดเก็บไฟล์บนอินเทอร์เน็ตฟรี ประกาศว่าในขณะนี้ กำลังพิจารณาการเลิกจ้างพนักงานทั่วโลกอีก 20% หรือเทียบเท่ากับพนักงานกว่า 528 คน 

Drew Houston ซีอีโอของ Dropbox ระบุว่า การเลิกจ้างในครั้งนี้ถือเป็นหนึ่งในการปรับโครงสร้างของบริษัทขึ้นใหม่ ให้มีประสิทธิภาพและรักษาระดับการลงทุนให้มีความยั่งยืนยิ่งขึ้น เนื่องจากที่ผ่านมาบริษัทฯ มีการลงทุนมหาศาลแต่ประสิทธิภาพการทำงานที่ได้กลับต่ำกว่าการคาดการณ์ 

โดยพนักงานที่ได้รับผลกระทบจะได้รับค่าจ้างชดเชย 16 สัปดาห์ เริ่มตั้งแต่วันที่ 30 ต.ค.2024 และจะได้รับค่าจ้างเพิ่มเติมตามอายุงานที่ได้ร่วมงานกับบริษัท

ประกาศดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่ในเดือนเมษายน 2023 บริษัทฯ ได้มีการปรับลดพนักงานไป 16% ซึ่งส่งผล กระทบต่อพนักงาน 500 คนในขณะนั้น ท่ามกลางปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลต่อการเติบโตของธุรกิจ อาทิ เศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง และนวัตกรรมเทคโนโลยี AI ที่มีการแข่งขันสูงขึ้น ทำให้บริษัทจําเป็นต้องลงทุนทรัพยากรในพนักงานต่อหัวมากขึ้น

Drew Houston แสดงความเห็นเพิ่มเติมว่า ปัจจัยภายนอกเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น เพราะจากการเก็บข้อมูลของ บริษัทฯ พบว่า ผู้บริโภคแสดงความเห็นว่าระบบการให้บริการของ Dropbox นั้นมีความซับซ้อนมากเกินไปส่งผลให้การทำงานเกิดความล่าช้ามากขึ้น รวมถึงความต้องการของผู้บริโภคที่ลดลงและการแข่งขันของภาคธุรกิจที่เพิ่มสูงขึ้น

ทั้งนี้ Dropbox เปิดตัวครั้งแรกเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2008 เป็นบริการฝาก-ซิ้งค์รวมถึงแชร์ไฟล์ ที่ผู้ใช้บริการจะต้องทำการติดตั้งโปรแกรมของ Dropbox ในคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟนก่อน จากนั้นจึงจะสามารถอัปโหลดไฟล์ลงโปรแกรมได้ ซึ่งไฟล์ต่างๆ จะถูกอัปโหลดเก็บไว้ใน Server ของ Dropbox 

ที่มา : CNBC

]]>
1497179
‘บุญลาโภ’ แตกไลน์จากเครื่องเสียง สู่ขนมหวาน ดึง Pasticceria Cova ร้านขนมพรีเมียมจากอิตาลี เปิดสาขาแรกในไทย https://positioningmag.com/1497081 Fri, 01 Nov 2024 13:00:27 +0000 https://positioningmag.com/?p=1497081 ปัจจุบัน ธุรกิจต่างๆ รวมถึงธุรกิจไลฟ์สไตล์ ได้ผันตัวเข้ามาเป็นผู้เล่นหน้าใหม่ในธุรกิจอาหารกันมากขึ้น โดยเฉพาะกับธุรกิจคาเฟ่ขนมหวาน ที่เป็นหนึ่งในสถานที่ที่ได้รับความนิยมและเติบโตขึ้นอย่างมาก โดยข้อมูลจาก Statista เผยว่า ตลาดขนมหวานโลกมีมูลค่ากว่า 586.30 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2024 

และคาดว่าจะเติบโตที่ 5.40% ต่อปี (CAGR 2024-2029) ไปถึง 5.68% ต่อปี (CAGR 2024-2034) หรือคิดเป็นประมาณ 466.87 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2034 แม้ว่าเทรนด์รักสุขภาพกำลังมาแรง แต่ตลาดขนมหวานก็ยังเป็นธุรกิจที่น่าสนใจและมีผู้เล่นเข้ามาในตลาดอยู่เรื่อยๆ

รูปจาก Pasticceria Cova

จากธุรกิจเครื่องเสียงสุดหรู สู่ผู้เล่นหน้าใหม่วงการขนมหวาน

Boonlapo (บริษัท บุญลาโภ จำกัด) ก่อตั้งขึ้นในปี 2020 จากความชื่นชอบเรื่องเทคโนโลยี ดีไซน์ และนวัตกรรม ของ “ทรงพล บุญลาโภ” จนกลายมาเป็นตัวแทนนำเข้าและจำหน่ายเครื่องเสียงรวมถึงมือถือหรูในประเทศไทย อาทิ B&O (Bang & Olufsen), CAVIAR, COTODAMA, PANTHEONE, LOEWE, CABASSE, LAMETRIC และ SOLID เป็นต้น

ทรงพล บุญลาโภ CEO บุญลาโภ

ปัจจุบันบริษัทฯ มีหน้าร้านจำหน่ายเครื่องเสียงรวม 7 แห่ง แบ่งเป็น Services Center 1 แห่ง , ร้านแบรนด์ Bang & Olufsen 5 แห่ง และ ร้านแบรนด์ Caviar & Cotodama 1 แห่ง รวมถึงช่องทางออนไลน์และโซเชียล เช่น เว็บไซต์ของบริษัท, Shopee, Lazada, ONESIAM SuperApp, Central Online, LINE OA, NocNoc, OfficeMate และ TikTok โดยบริษัทฯ มีฐานลูกค้ารวมทั้งหมดประมาณ 6,000 – 7,000 ราย ซึ่งเป็นกลุ่มคนช่วงอายุประมาณ 35 – 40 ปีที่มีกำลังซื้อสูง

นอกจากเรื่องเทคโนโลยีและนวัตกรรมแล้ว ทรงพล ยังมีความหลงไหลในด้านอาหาร โดยเฉพาะกับ ‘ขนมหวาน’ ที่ชื่นชอบเป็นพิเศษ โดยเมื่อช่วงปีที่ผ่านมา ทรงพลและครอบครัวได้ไปท่องเที่ยวที่ประเทศอิตาลี และได้ใช้บริการรวมถึงรับประทานอาหารของทาง Pasticceria Cova (ปาสติเซเรีย โควา) แล้วรู้สึกชื่นชอบและประทับใจ จึงได้ขอให้พาร์ทเนอร์ที่รู้จักกันอยู่แล้ว ช่วยติดต่อกับทางเจ้าร้านซึ่งก็คือ Paola Faccioli ในการพูดคุยการทำธุรกิจร่วมกัน 

Paola Faccioli เจ้าของ Pasticceria Cova คนปัจจุบัน

เนื่องจาก ทรงพล เล็งเห็นถึงศักยภาพของ Pasticceria Cova ที่มีประวัติศาสตร์ร้านมาอย่างยาวนานและได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในหมู่ผู้บริโภคชาวยุโรป รวมถึงนักท่องเที่ยวไทยที่เคยเดินทางไปเยี่ยมเยือน ผนวกกับความชื่นชอบในเรื่องของประวัติศาสตร์ ความลักชูรี่ อาหาร และขนมหวาน อีกทั้งตลาดขนมหวานที่มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้ทรงพลตัดสินใจก้าวเข้ามาเป็นผู้เล่นใหม่ในตลาดขนมหวานของประเทศไทยเป็นครั้งแรก

ลงทุน 100 ล้านบาท ดึง ‘Pasticceria Cova’ ช่วยขยายไลน์ธุรกิจ 

แม้ว่าธุรกิจของหวานในเมืองไทยมีการแข่งขันกันสูงมาก แต่ด้วยอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทำให้ก่อนหน้านั้นก็มีธุรกิจไลฟ์สไตล์ ผันตัวมาทำธุรกิจอาหารเช่นเดียวกัน อาทิ พีพี กรุ๊ป (PP GROUP) ผู้ได้รับลิขสิทธิ์นำเข้าและจัดจำหน่ายสินค้าแฟชั่นแบรนด์เนมจากต่างประเทศมากมายไม่ต่ำกว่า 11 แบรนด์ ซึ่งรวมถึงแบรนด์ Maison Kitsuné (เมซง คิทสึเนะ) ที่ได้มีการต่อยอดเป็น Café Kitsuné (คาเฟ่ คิสซึเนะ) และได้ขยายตลาดเข้ามาเปิดในไทย 

หรือจะเป็น ธนจิรา กรุ๊ป ที่เป็นผู้ได้รับสิทธินำเข้า “Marimekko” (มารีเมกโกะ) “ถุงผ้าลายดอก” สีสันสดใสที่เป็นแบรนด์เก่าแก่ของฟินแลนด์มาจัดจำหน่ายในประเทศไทย ก่อนที่ในกลางปี 2565 จะขยายไลน์ธุรกิจ ทำ Marimekko Kafé (มารีเมกโกะ คาเฟ่) จากไอเดีย “เชื่อมโยง Marimekko บนโต๊ะอาหาร” กับผู้คนของธนจิราที่เสนอให้บริษัทแม่ด้วยตนเอง ขึ้นเป็นแห่งแรกในโลก เป็นต้น

รูปจาก Pasticceria Cova

แม้จะไม่ใช่เรื่องใหม่ที่แบรนด์ไลฟ์สไตล์จะเข้ามาเป็นผู้เล่นในตลาดคาเฟ่ขนมหวาน อีกทั้งมีร้านขนมหวานประเภทต่างๆ เกิดขึ้นมากมายในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ทรงพลเชื่อว่า ยังมีช่องว่างของตลาดที่ให้ผู้เล่นใหม่ได้เข้าไปชิงส่วนแบ่งได้อยู่ โดยทรงพลใช้เวลาตกลงเจรจากันกว่า 6 เดือน พร้อมเงินลงทุนอีก 100 ล้านบาท

ยก Pasticceria Cova มาบุกตลาดอาหารและขนมหวานไทย ในโมเดลร้านแบบแฟรนไชส์ พื้นที่ขนาด 550 – 600 ตร.ม. ที่ยังยึดความเป็นต้นฉบับออริจินัลทุกอย่าง เพราะจะเน้นการนำเข้าสินค้าจาก Pasticceria Cova มาจัดจำหน่ายในร้าน คิดเป็นสัดส่วน 60% และอีก 40% เป็นการทำขนมหวานและอาหารสูตรต้นตำรับ ที่ทางบริษัทฯ ได้ส่งเชฟไปเรียนทำจากมิลานโดยตรง

Pasticceria Cova Montenapoleone เป็นหนึ่งในร้านคาเฟ่ขนมหวานพรีเมียมที่เก่าแก่ที่สุดในมิลาน ที่ก่อตั้งเมื่อปี 1817 ถือเป็น ‘All Day Dining Café & Restaurant’ ที่นำเสนอเค้กและขนมหวานต้นตำรับที่เป็นเอกลักษณ์หลากหลายเมนู ด้วยความตั้งใจ และความพิถีพิถันในการทำ รวมไปถึงอาหารและเครื่องดื่ม ตั้งแต่เมนู Breakfast, Brunch, Lunch จนไปถึง Dinner 

และก่อนหน้านั้นยังมีการเปิดสาขาแฟรนไชส์ในหลากหลายประเทศ ทั้งฝรั่งเศส โมนาโก เอเธนส์ อิสตันบู คูเวต ริยาร์ด โดฮา เฉิงตู ซูโจว หางโหว เซี่ยงไฮ้ (9 แห่ง) มาเก๊า ฮ่องกง (11 แห่ง จากเดิมมี 12) และได้รับความนิยมจากผู้ที่รู้จักและชื่นชอบแบรนด์อย่างต่อเนื่อง จนในปี 2013 ‘LVMH’ บริษัทสินค้า Luxury ที่มีแบรนด์หรูในพอร์ตมากกว่า 75 แบรนด์ เข้ามาซื้อกิจการ 

รูปจาก Pasticceria Cova

ปักหมุด One Bangkok แห่งแรก

นอกจากนั้น ทรงพลเผยว่า ได้เลือกห้าง One Bangkok ให้เป็นทำเลที่ตั้งของร้าน Pasticceria Cova เพราะเป็นโครงการใหญ่ใจกลางเมือง ที่รวบรวมเอาทั้งห้างฯ คอมมูนิตี้มอลล์ Retail ออฟฟิศ คอนโด โรงแรม 

โดยเมนูอาหารและเครื่องดื่มที่จะจัดจำหน่ายที่ร้านกำลังอยู่ในขั้นตอนการคัดเลือกอย่างเหมาะสมกับทาง Pasticceria Cova โดยจะมีตั้งแต่เมนูขนมหวานที่ราคาอยู่ระหว่าง 250 – 500 บาท เมนูสลัด หรือ ของทานเล่น ราคาประมาณ 150 – 350 บาท และเมนูอาหารจานหลักจะมีราคาระหว่าง 650 – 1500 บาท เป็นต้น

ตอนนี้ Pasticceria Cova ยังไม่ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการ มีแผนที่จะเปิดช่วงไตรมาส 2 ของปีหน้าที่ One Bangkok จากนั้นเตรียมแผนการขยายสาขาที่ตั้งเป้าว่าจะมีการขยายเพิ่มอีก 5 สาขา ภายในระยะเวลา 5 ปีข้างหน้า ซึ่งรูปแบบร้านวางแพลนไว้ว่าจะทำเป็นสโตร์ที่อาจะมีความแตกต่างกันเล็กน้อยขึ้นอยู่กับพื้นที่ที่ไปตั้งร้านในอนาคต

รูปบรรยากาศร้าน Pasticceria Cova ที่อิตาลี
]]>
1497081
ลอสแองเจลิส ยื่นฟ้อง “เป๊ปซี่โค” และ “โคคา-โคล่า” ข้อหาสร้างมลพิษจากพลาสติก และสร้างความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการรีไซเคิล https://positioningmag.com/1497055 Fri, 01 Nov 2024 08:30:06 +0000 https://positioningmag.com/?p=1497055 หน่วยการปกครองของลอสแองเจลิส (LA) ได้ยื่นฟ้องบริษัทผู้ผลิตเครื่องดื่ม เป๊ปซี่โค (PepsiCo) และ โคคา-โคล่า (Coca-Cola) โดยกล่าวว่า บริษัทฯ ได้สร้างมลพิษจากปริมาณขวดพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว ที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากความนิยมในการบริโภคของผู้คนในรัฐฯ ซึ่ง ลอสแองเจลิส ถือเป็นเขตที่มีประชากรมากที่สุดในสหรัฐอเมริกา 

รวมถึงการทําให้ประชาชนเกิดความเข้าใจผิด เกี่ยวกับการรีไซเคิลบรรจุภัณฑ์ของบริษัทฯ ที่ไม่สามารถดำเนินการรีไซเคิลได้ตามที่บริษัทฯ ได้กล่าวไว้ และมักจบลงที่การจัดการโดยวิธีฝังกลบหรือขวดบรรจุภัณฑ์เหล่านั้นกลายเป็นขยะที่ส่งผลกระทบต่อปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างมาก 

Lindsey Horvath ประธานคณะกรรมการกํากับดูแลของลอสแองเจลิส กล่าวในแถลงการณ์ว่า บริษัท เป๊ปซี่และโคคา-โคล่า ควรต้องถูกสั่งปรับ และรับผิดชอบต่อปัญหามลพิษจากพลาสติกที่ถือเป็นบรรจุภัณฑ์ของบริษัทฯ ที่เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมากภายในรัฐฯ มากกว่านี้ 

จากการฟ้องร้องดังกล่าว ยังไม่มีท่าทีความเคลื่อนไหวจากทางบริษัท เป๊ปซี่โค และ โคคา-โคล่า แต่ William Dermody รองประธานฝ่ายสื่อและกิจการสาธารณะของกลุ่มการค้าอุตสาหกรรม American Beverage Association ซึ่งสมาชิก เป๊ปซี่โค และ โคคา-โคล่า กล่าวว่า ข้อกล่าวหาที่ว่าบรรจุภัณฑ์ของบริษัทฯ ไม่ได้ถูกกำจัดหรือไม่ถูกรีไซเคิลนั้นไม่เป็นความจริง เนื่องจากบริษัทฯ มีการทํางานเพื่อความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมควบคู่กับการทำธุรกิจมาอย่างต่อเนื่อง 

โดยคดีนี้ ถือเป็นคดีล่าสุดที่รัฐบาลท้องถิ่นของสหรัฐอเมริกาและผู้สนับสนุนด้านสิ่งแวดล้อม ได้ยื่นฟ้องต่อบริษัทที่มีการผลิตและใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกในการบรรจุผลิตภัณฑ์ ซึ่งในอดีต เป๊ปซี่โค ก็ได้เผชิญหน้ากับอัยการสูงสุดของนิวยอร์ก ในการฟ้องร้องคดีมลพิษจากขยะพลาสติกมาเมื่อปีที่แล้วและบริษัทฯ ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ทําให้เข้าใจผิดไปแล้ว 

และในเดือนสิงหาคม ศาลอุทธรณ์ในวอชิงตัน ดี.ซี. ได้รื้อคดี ปี 2020 ที่กลุ่มสิ่งแวดล้อม Earth Island Institute กล่าวหาว่า โคคา-โคล่า ทําให้ผู้บริโภคเข้าใจผิดเกี่ยวกับธุรกิจของบริษัทฯ นั้นมีการจัดการเกี่ยวกับความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม เช่นกัน

นอกจากนั้นในเดือนกันยายนที่ผ่านมา อัยการสูงสุดของแคลิฟอร์เนียก็ได้ฟ้องบริษัทน้ํามัน Exxon Mobil โดยกล่าวว่า บริษัทฯ มีการผลิตโพลิเมอร์เพื่อใช้ในการทําพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวในอุตสาหกรรมน้ํามัน ซึ่งส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเช่นกัน

รายงานจากคดีความ ระบุว่า ในปี 2024 มีขยะพลาสติกจำนวนกว่า 246,124 ตัน ถูกผลิตขึ้นจากเขตที่อยู่อาศัยในลอสแองเจลิส และ 628,211 ตันของขยะพลาสติก มาจากการผลิตของอุตสาหกรรมเชิงพาณิชย์ในชุมชน

ทั้งนี้ ตามรายงานของโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ ระบุว่า ขยะพลาสติกมากกว่า 400 ล้านตันถูกผลิตขึ้นทั่วโลกทุกปี ซึ่งขยะโดยส่วนใหญ่ จะถูกจัดการโดยการฝังกลบและมีบางส่วนหลุดออกไปเป็นขยะในมหาสมุทร มีขยะน้อยกว่า 10% ที่ถูกนำมารีไซเคิลใหม่

ที่มา : Reuters 

]]>
1497055
‘BYD’ ทำรายได้แซง ‘Tesla’ เป็นครั้งแรกใน Q3/2567 แม้ตลาด ‘จีน’ จะอยู่ในช่วงขาลง https://positioningmag.com/1496959 Fri, 01 Nov 2024 04:46:18 +0000 https://positioningmag.com/?p=1496959 ผลัดกันขึ้นเป็น เบอร์ 1 ในตลาด รถอีวี ในด้านจำนวนยอดขาย สำหรับค่าย บีวายดี (BYD) และ เทสล่า (Tesla) แต่ถ้าเป็นในด้านมูลค่ารายได้ BYD เพิ่งจะขึ้นแซง Tesla ได้เป็นครั้งแรก ในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา แม้การแข่งขันจะดุเดือดก็ตาม

BYD ค่ายรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติจีนได้รายงานผลประกอบการไตรมาส 3/2567 โดยกวาดรายได้ถึง 28,240 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เติบโตขึ้น +24% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันกับปีที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่แซงหน้าคู่แข่งอย่าง Tesla ที่ทำรายได้ 25,180 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 

แม้ว่าตลาดรถอีวีที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่างจีนจะอยู่ในช่วง ขาลง แต่ BYD ยังคงรักษายอดขายได้อย่างแข็งแรง และสามารถทำยอดขายได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ในเดือนสิงหาคม โดยมียอดขายทะลุ 370,000 คัน เพิ่มขึ้น +30% โดยยอดขายประมาณครึ่งหนึ่งเป็นรถ ไฮบริด ในขณะที่รถยนต์ของ Tesla ยังเป็นรถยนต์ไฟฟ้า 100% 

อย่างไรก็ตาม หากวัดในแง่ ผลกำไร Tesla ยังคงเป็นผู้นำ โดยมีกำไรสุทธิ 2,180 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 16.2% ขณะที่ BYD มีกําไรราว 1,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 11.5% และเมื่อวัดจากรายได้รวมทั้ง 3 ไตรมาส Tesla ยังคงเป็นเบอร์ 1 ด้วยรายได้รวม 75,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วน BYD อยู่ที่ 71,980 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

ปัจจุบัน BYD เป็นหนึ่งในผู้ผลิต EV ที่โดดเด่นที่สุดในประเทศจีน โดย BYD ต้องสู้ทั้งศึกเพื่อนร่วมชาติ และสู้กับ Tesla ของ Elon Musk ที่ถือเป็นหนึ่งในคู่แข่งที่แข็งแกร่งที่สุด เพราะ Model Y ของ Tesla ยังคงเป็นรถยนต์ไฟฟ้า 100% ที่ขายดีที่สุดในประเทศจีนในเดือนกันยายน ส่วน Autohome Seagull ของ BYD ตามหลังในอันดับ 2

อย่างไรก็ตาม แนวโน้มการแข่งขันมีแต่จะดุเดือดมากขึ้น เนื่องจากภาษีศุลกากรของสหภาพยุโรปที่จะเก็บภาษีรถอีวีจากจีนเพิ่มสูงสุด 45.3% ซึ่งมีผลบังคับใช้ในสัปดาห์นี้ แม้ว่าจีนจะไม่เห็นด้วยก็ตาม

Source

]]>
1496959
ขนม-ของทานเล่นไทยมาแรง ส่งออก 8 เดือน กวาดรายได้กว่า 583 ล้านดอลลาร์สหรัฐ https://positioningmag.com/1496825 Thu, 31 Oct 2024 08:01:28 +0000 https://positioningmag.com/?p=1496825 การบริโภคของทานเล่นหรือสแน็ค (Snacks) มีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเป็นอาหารที่บริโภคง่าย ตอบโจทย์พฤติกรรมของกลุ่มผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน ที่ต้องการตัวช่วยในการสร้างความเพลิดเพลินในระหว่างทำงาน

ข้อมูลจาก Global Trade Atlas (GTA) พบว่า ในปี 2566 ไทยมีมูลค่าการส่งออกสแน็ค(คัดเลือกและจัดกลุ่มสินค้าโดย สนค. เพื่อวิเคราะห์ศักยภาพสินค้า) ประมาณ 1,954.7 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 5.8% จากปีก่อนหน้า โดยส่งออกไปที่ จีน 18.1% ของมูลค่าการส่งออกสแน็คของไทย สหรัฐอเมริกา 15.3% ออสเตรเลีย 7.0%  กัมพูชา 5.3% และเวียดนาม 5.0%

กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า ในช่วง 8 เดือน (ม.ค.-ส.ค. 2567) ที่ผ่านมา ไทยมีการส่งออกสินค้ากลุ่มอาหารว่างและของทานเล่นไปตลาดโลก มูลค่า 583 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า และสินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ เบเกอรี่และขนมขบเคี้ยว สัดส่วน 69% ของการส่งออกอาหารว่างทั้งหมด ขนมที่ทำจากน้ำตาล สัดส่วน 20% และขนมปรุงแต่งจากโกโก้ สัดส่วน 11%

โดยมี อาเซียน เป็นตลาดส่งออกอันดับหนึ่ง มีสัดส่วนการส่งออกสินค้าอาหารว่างของไทยไปอาเซียนรวมกันถึง 36% ของการส่งออกสินค้าอาหารว่างทั้งหมด ตลาดส่งออกหลัก ได้แก่ เมียนมา สปป.ลาว และกัมพูชา ตามด้วยสหรัฐอเมริกา จีน ออสเตรเลีย และญี่ปุ่น

นอกจากนั้นสินค้ากลุ่มอาหารว่างและของทานเล่นของไทย ยังได้รับความนิยมสูงในตลาดคู่ค้า FTA เช่นกัน โดยในช่วง 8 เดือน (ม.ค.-ส.ค. 2567) ไทยส่งออกสินค้าอาหารว่างและของทานเล่นไปตลาดคู่ FTA มูลค่า 372 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วน 64% ของการส่งออกสินค้ากลุ่มของว่างและของทานเล่นของไทยทั้งหมด

ซึ่งตลาดคู่ค้า FTA ที่ขยายตัวดี ได้แก่ อาเซียน ขยายตัว 8% จีน ขยายตัว 6% ออสเตรเลีย ขยายตัว 7% ญี่ปุ่น ขยายตัว 33% และเกาหลีใต้ ขยายตัว 11%

ปัจจุบันสินค้ากลุ่มของว่างทานเล่นของไทยทุกรายการ (พิกัดศุลกากร 1704 18 และ 1905) สามารถส่งออกไปประเทศคู่ค้า FTA 14 ประเทศ โดยไม่ต้องเสียภาษีนำเข้า ได้แก่ อาเซียน จีน ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ฮ่องกง และชิลี

ส่วน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย และเปรู ได้ยกเว้นภาษีนำเข้าสินค้าส่วนใหญ่ให้ไทยแล้ว แต่ยังคงเก็บภาษีนำเข้าในบางรายการ อาทิ ญี่ปุ่น เก็บภาษีนำเข้าขนมปังกรอบ 0.3% บิสกิตหวาน 20.4% และแครกเกอร์และคุกกี้ 15% และ เกาหลีใต้ เก็บภาษีนำเข้าขนมปังกรอบ 5% และเบเกอรี่ ระหว่าง 5-8% เป็นต้น

ทั้งนี้ กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ระบุว่า จากงานวิจัยของ Mordor Intelligence มีการคาดการณ์ว่า ตลาดกลุ่มอาหารว่าง จะมีมูลค่าถึง 560 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2571 มีอัตราการขยายตัวเฉลี่ยถึง 17% ต่อปีอีกด้วย

ที่มา : กรมเจจาการค้าระหว่างประเทศ

]]>
1496825
Geely ส่ง ‘RINDARA RD6’ รถกระบะ EV เจาะตลาดกระบะไทยหัวใจ SUV เคาะราคาเริ่มต้น 899,000 บาท https://positioningmag.com/1496791 Thu, 31 Oct 2024 07:35:02 +0000 https://positioningmag.com/?p=1496791 ปัจจุบันรถ Electric Vehicle (EV หรือ รถที่ใช้พลังจากไฟฟ้าแทนการใช้น้ำมัน) มีการใช้งานอย่างแพร่หลายทั่วโลก รวมถึง ไทย อินเดีย ตุรกี บราซิล ที่มียอดขาย EV เติบโตทำลายสถิติทุกปี เนื่องจากมีรถให้เลือกหลายโมเดล และมีราคาซื้อขายที่ต่ำลง โดยเฉพาะผู้ผลิตจากประเทศจีน ที่ทำการขยายตลาดออกไปต่างประเทศเพิ่มขึ้น เนื่องจากในประเทศจีนมีการพัฒนาแบตเตอรี่ และห่วงโซ่การผลิต EV อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้มียอดขายรถ EV ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง

โดยในปี 2023 ประเทศไทยมีจำนวนยอดขายรถ EV ถึงเกือบหนึ่งแสนคัน เติบโตสูงกว่าปี 2022 และมียอดขายค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะรถ EV จากประเทศจีน ที่มีสัดส่วนยอดขายสูงกว่ารถ EV จากประเทศอื่น จึงไม่แปลกใจที่ใครๆ ก็สนใจประเทศไทย แม้กระทั่ง GEELY ก็ขอส่ง RIDDARA บุกตลาดรถกระบะไฟฟ้าบ้าง

RIDDARA (ริดดารา) เป็นแบรนด์รถกระบะไฟฟ้า 100% ในเครือ GEELY Holding ซึ่งบริหารแบรนด์รถยนต์หลากหลายแบรนด์ครอบคลุมหลายเซกเมนต์ ได่แก่ ZEEKR, LYNK&CO, VOLVO, POLESTAR, รวมไปถึง LOTUS สำหรับประเทศไทย RIDDARA จะดำเนินงานภายใต้การกำกับดูแลของ บริษัท ริดดารา ออโต้โมบาย (ประเทศไทย) จำกัด

RIDDARA ส่งรุ่น RIDDARA RD6 รถกระบะไฟฟ้า 100% คันแรกของเมืองไทย ชูนวัตกรรม M.A.P (Multiplex Attached Platform) เป็นเทคโนโลยีแพลตฟอร์มรถยนต์ที่พัฒนเอาจุดเด่นของรถกระบะ และรถยนต์พลังงานไฟฟ้ามาเข้าด้วยกัน ทำให้ RIDDARA RD6 มีความโดดเด่นทั้งในด้านของการออกแบบสมรรถนะแบบรถกระบะ และความอัจฉริยะในแบบฉบับของรถยนต์ไฟฟ้า พร้อมสะดวกสบายแบบ SUV สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ครอบครัวรุ่นใหม่

รถกระบะไฟฟ้า 100% แต่ให้ความสบายแบบ SUV

RIDDARA RD6 มาในคอนเซ็ปต์ รถกระบะไฟฟ้าที่ยังคงความสมบุกสมบัน ใช้งานหลากหลายในสภาพถนนแตกต่างกัน มีความดุดันและสมรรถนะที่แข็งแกร่งแบบรถกระบะที่หลายคนคุ้นชิน อาทิ RIDDARA RD6 มีพื้นที่บรรทุกกระบะท้ายขนาด 1,200 ลิตร ช่องเก็บของใต้ฝากระโปรงหน้าขนาด 70 ลิตร และพื้นที่จัดเก็บเพิ่มเติมใต้เบาะผู้โดยสารด้านหลังอีก 48 ลิตร แถมยังมีความสามารถในการลากจูงได้สูงสุดถึง 3,000 กิโลกรัม พร้อมบันไดท้ายซ่อนภายในประตูท้ายกระบะ ให้ขึ้นลงท้ายกระบะได้อย่างสะดวกสบาย

แม้จะมีความดุดันและสมรรถนะความแข็งแกร่งแบบกระบะ แต่ RIDDARA RD6 ก็มีความสะดวกสบายขับขี่ได้นิ่มนวลแบบ SUV ด้วยนวัตกรรมเทคโนโลยีที่ทันสมัย อย่าง Pure Electric NVH Silent หน้าจอสัมผัสขนาดใหญ่ถึง 14.6 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Carbit link พร้อมที่ชาร์จสมาร์ทโฟนไร้สายขนาด 50W มีระบบปรับอากาศแบบ Dual Zone และช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง รวมถึงระบบระบายอากาศที่เบาะโดยสาร เบาะหน้าเอนได้แบบ 180 องศา พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน พร้อมระบบสั่งการด้วยเสียง

แล้วยังมี EASY DRIVE TO WORK ที่สามารถเพิ่มอัตราเร่งจาก 0 ถึง 100 กม./ชม.ในเวลาเพียง 4.5 วินาที มีแรงบิดสูงสุด 595 นิวตันเมตร และช่องจ่ายกระแสไฟตามมาตรฐานยุโรปขนาด 6KW ที่กระบะท้าย และระบบป้องกันการจ่ายไฟฟ้าอัจฉริยะสามารถปล่อยกระแสไฟฟ้าได้ทั้งในขณะจอดรถ ล็อกรถ ชาร์จไฟ หรือแม้กระทั่งขณะขับรถ รวมถึงเทคโนโลยี SAFETY IS THE FOUNDATION OF EVERY ADVENTURE ระบบความปลอดภัยรอบคัน

โดยตัวรถสร้างขึ้นจากเหล็กกล้าที่มีความแข็งแรงสูงซึ่งคิดเป็นกว่า 70% ของโครงสร้างรถ รวมถึงระบบช่วยในการขับขี่ ADAS (Advanced Driving Assistance Systems) สูงสุด 14 ระบบ กล้องมองภาพรอบทิศทาง 540 องศา และถุงลมนิรภัย 6 จุดช่วยปกป้องทั่วทั้งห้องโดยสารเมื่อเกิดอุบัติเหตุ

ภายใน 1 ปี กวาดส่วนแบ่งตลาดรถกระบะไฟฟ้าจีนกว่า 60%

RIDDARA เปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศจีนในปี 2022 ด้วยความที่เป็นรถกระบะ แต่ให้ความสะดวกสบายได้แบบ SUV (รถครอบครัวที่สามารถใช้งานได้อเนกประสงค์กว่ารถทั่วไป) ทำให้หลังจากที่เปิดตัว RIDDARA ได้กวาดส่วนแบ่งการตลาดรถกระบะไฟฟ้าในประเทศจีนไปกว่า 60% ภายในระยะเวลา 1 ปี ต่อมาได้ขยายการส่งออกไปอีกกว่า 17 ประเทศทั่วโลก ครอบคลุมโซนยุโรปตะวันออก ตะวันออกกลาง เอเชียกลาง อเมริกากลาง และอเมริกาใต้

ล่าสุด RIDDARA ได้ขยายตลาดมายังประเทศไทย ซึ่งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ตลาดรถยนต์ในประเทศไทยมีการเปิดรับการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะกับตลาดรถ SUV ที่มีการเติบโตเพิ่มมากขึ้น ซึ่งในอดีตยานยนต์สันดาปภายในของไทยมีสัดส่วนการขายมากกว่า 80% ของยานยนต์ในประเทศทั้งหมด

แต่ปัจจุบันแนวโน้มการใช้รถยนต์มีความเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก เพราะมียอดจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่เพิ่มขึ้นจาก 20.52% ในปี 2022 เป็น 41.39% ในปี 2023 รวมถึงนโยบายจากรัฐบาลไทยที่ให้การสนับสนุนอุตสาหกรรมรถ EV อย่างจริงจัง ทำให้มีแบรนด์รถยนต์นั่งส่วนบุคคลที่เป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้าเข้าสู่ตลาดและได้รับความนิยมแพร่หลายได้อย่างรวดเร็ว สวนทางกับรถยนต์ประเภทสันดาปภายในที่มีสัดส่วนของยอดจำหน่ายที่ลดลง ทำให้ไทยกลายเป็นตลาดที่น่าสนใจในการขยายการเติบโตของอุตสาหกรรมรถ EV

ทุ่มเงิน 750 ล้านบาท ซุ่มวิจัย 2 ปี บุกตลาดรถยนต์ในไทย

บริษัทฯใช้เวลากว่า 2 ปี พร้อมเงินลงทุนกว่า 750 ล้านบาท ในการศึกษาและวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพื่อให้เหมาะสมกับตลาดประเทศไทย โดยเฉพาะกลุ่มครอบครัวรุ่นใหม่ ที่เป็นกลุ่มคนที่มีความต้องการรถที่ขับขี่สะดวกสบายแบบรถ SUV แต่ยังคงความสามารถในการบรรทุกของและใช้งานได้หลากหลาย

ทั้งในด้านสมรรถนะการขับขี่ รวมถึงฟังก์ชันการทำงานต่างๆ เช่น คำสั่งเปิดแอร์ในรถ ผ่านการเชื่อมต่อและควบคุมผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือในระยะไกล เป็นต้น

ประเทศไทยถือเป็นประเทศที่มีอัตราการเติบโตของผู้ใช้ในตลาดรถ EV จำนวนมาก เพราะผู้บริโภคชาวไทยมีการเปิดรับเทคโนโลยีใหม่ๆ มากขึ้น โดยได้แรงหนุนจากรัฐบาลที่สนับสนุนให้คนหันมาใช้รถ EV กันมากขึ้น อาทิ แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์แห่งชาติ ในประเด็นหลักที่ 4 อุตสาหกรรมและบริการแห่งอนาคต

ที่มีเป้าหมายในการพัฒนาประเทศให้เป็นหนึ่งในฐานการผลิตยานยนต์สมัยใหม่ของโลก และให้ความสำคัญในการผลักดันอุตสาหกรรมขนส่งของไทยให้เป็นระบบยานยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะ เป็นต้น และการลดต้นทุนค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน ซึ่ง RIDDARA RD6 สามารถช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทางเฉลี่ย 185 บาทต่อวัน หรือคิดเป็น 71,000 บาทต่อปี

ตั้งเป้ายอด 1,000 คัน ในปีนี้

ดร.หลิง กล่าวเพิ่มเติมว่า การเปิดตัว RIDDARA RD6 ถือเป็นการเปิดตัวรถกระบะไฟฟ้า 100% คันแรกในไทย โดยบริษัทฯได้วางแผนที่จะทำให้ RIDDARA RD6 กลายเป็นที่รู้จักและตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 1,000 คัน ภายในปี 2024 รวมถึงการส่งมอบรถที่จะเริ่มทำการส่งมอบตั้งแต่เดือนตุลาคม เป็นต้นไป ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯมีการเซ็นสัญญาการแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายแล้วกว่า 29 ราย จากที่ตั้งเป้าไว้ 30 ราย

ส่วนในปี 2025 บริษัทฯได้ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 10,000 คัน รวมถึงการเซ็นสัญญาแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายเพิ่มอีก 20 ราย รวมเป็น 50 ราย โดยจะมุ่งเน้นการให้บริการหลังการขาย เพื่อดูแลความพึงพอใจของลูกค้าให้ได้มากที่สุด และมีแผนจะนำรถกระบะไฟฟ้ารุ่นใหม่เข้ามาตีตลาดเพิ่มเติมอีกด้วย แม้รถกระบะไฟฟ้าจะถือเป็นเซกเมนต์ใหม่ที่ไม่ได้บรรจุอยู่ในมาตรการสนับสนุนของรัฐฯ แต่เชื่อว่ารัฐบาลฯจะมีการพิจารณาและเพิ่มมาตรการสนับสนุนออกมาเพิ่มในอนาคต

4 รุ่นย่อย ราคาเริ่มต้น 899,000 บาท ตัวท็อป 1.29 ล้าน

RIDDARA RD6 สามารถลุยน้ำลึกได้สูงสุด 815 มิลลิเมตร และมีให้เลือกทั้งรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ และขับเคลื่อน 4 ล้อ โดยมี 4 รุ่นย่อย ด้วยราคาจำหน่ายดังนี้

รุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ

  • RIDDARA RD6 2WD 63kWh (แบตเตอรี่ขนาด 63 กิโลวัตต์ วิ่งไกล 373 กิโลเมตรต่อการชาร์จไฟฟ้า 1 ครั้ง) ราคา 899,000 บาท
  • RIDDARA RD6 2WD 73kWh ราคา (แบตเตอรี่ขนาด 73 กิโลวัตต์ วิ่งไกล 461 กิโลเมตรต่อการชาร์จไฟฟ้า 1 ครั้ง) 999,000 บาท

รุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ

  • RIDDARA RD6 4WD 73kWh (แบตเตอรี่ขนาด 73 กิโลวัตต์ วิ่งไกล 424 กิโลเมตรต่อการชาร์จไฟฟ้า 1 ครั้ง) ราคา 1,149,000 บาท
  • RIDDARA RD6 4WD 86kWh (แบตเตอรี่ขนาด 86 กิโลวัตต์ วิ่งไกล 455 กิโลเมตรต่อการชาร์จไฟฟ้า 1 ครั้ง) ราคา 1,299,000 บาท

โดยรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ จะมีโหมดการขับขี่สำหรับสภาพถนนที่แตกต่างกันถึง  7 โหมด คือ

  • Sand (โหมดลุยทราย)
  • Mud (โหมดลุยโคลน)
  • Off-road (โหมดการขับขี่แบบสมบุกสมบัน)
  • Wading (โหมดลุยน้ำ)
  • Economy (โหมดประหยัดพลังงาน)
  • Comfort (โหมดขับสบาย เน้นใช้ในชีวิตประจำวัน)
  • Sport (โหมดเครื่องยนต์ทำรอบไวขึ้นและทำความเร็วได้)

ทั้งนี้ GEELY Holding Group กลุ่มบริษัทรถยนต์รายใหญ่สัญชาติจีน ก่อตั้งมาแล้วกว่า 27 ปี โดยมีจุดเริ่มต้นของธุรกิจจากการเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนตู้เย็น ก่อนจะขยายเข้าสู่ธุรกิจผลิต และจำหน่ายรถจักรยานยนต์ในปี 1994 ต่อปี 1997 Geely ก็ได้ก้าวเข้าสู่วงการยานยนต์อย่างเต็มตัว ภายใต้ชื่อ Geely Auto ที่เป็นผู้ผลิตรถยนต์เอกชนรายแรกของจีน และเปิดตัวรถยนต์คันแรกจากสายการผลิตเมื่อปี 1998

]]>
1496791
5 คำแนะนำทำ ‘Affiliate Marketing’ ฉบับ ‘อาตี๋รีวิว’ ครีเอเตอร์ Live Commerce ที่กวาดยอดขาย ‘100 ล้าน’ ในเดือนเดียว https://positioningmag.com/1496757 Thu, 31 Oct 2024 06:02:42 +0000 https://positioningmag.com/?p=1496757 จะเห็นว่าเทรนด์ Affiliate Marketing ถือเป็นเทรนด์ที่มาแรงมาก ๆ อย่างแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซต่างก็มีโปรแกรม Affiliate ไม่ว่าจะ Shopee, Lazada และ TikTok หรือล่าสุด YouTube ก็เปิดฟีเจอร์ YouTube Shopping ให้ครีเอเตอร์ปักตะกร้าได้ รวมไปถึงร้านสะด้วยซื้ออย่าง 7-Eleven หรือแม้แต่บริษัทอสังหาฯ รายใหญ่อย่าง แสนสิริ ก็ทำ Affiliate Marketing

คำถามคือ Affiliate Marketing ดีอย่างไร? ซึ่ง ตี๋โอ วุฒิพงศ์ ลิขิตชีวัน หรือ อาตี๋รีวิว ครีเอเตอร์ Live Commerce ที่ทำยอดขายได้ 100 ล้านบาทใน 1 เดือน ได้อธิบายว่า Affiliate Marketing เป็นการตลาดที่ ต้นทุนต่ำแต่สามารถเพิ่ม ROI (Return of investment) ได้ชัดเจน เพราะจ่ายค่าคอมมิชชั่นตามผลลัพธ์จริง

อย่างไรก็ตาม การทำ Affiliate Marketing มักใช้กับอินฟลูเอนเซอร์ หรือเว็บไซต์เฉพาะกลุ่ม เพื่อที่จะได้กลุ่มเป้าหมายที่ตรงกับสินค้า และเข้าถึงผู้บริโภคกว้างแต่เฉพาะเจาะจง ดังนั้น Affiliate Marketing จะเติบโตตามพฤติกรรมผู้บริโภคที่เสพโซเชียลเยอะ ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่มีทั้งแบรนด์และแพลตฟอร์มโซเชียล หันมาเปิดโปรแกรม Affiliate Marketing โดย ตี๋โอ ได้แนะนำ 5 ข้อ เบื้องต้นสำหรับแบรนด์ที่จะเริ่มทำ Affiliate

  1. เลือกกลุ่ม Influencers และแพลตฟอร์มให้ตรงกับแบรนด์: เพื่อที่จะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ตรงกับแบรนด์ให้มากที่สุด ต้องเลือกช่องทางที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็น Social media, TikTok หรือ website ต่าง ๆ และต้องใช้ Influencers ที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายแบรนด์ด้วย
  2. ตั้งเป้าหมายและอย่าสับสน: ต้องตั้งเป้าหมายให้ชัด ซึ่ง Affiliate ทำเพื่อเพิ่มยอดขายเป็นหลักอยู่แล้ว ดังนั้น อย่าไปสนใจผลลัพธ์อื่น ๆ เช่น ยอดวิว ซึ่งไม่ใช่เป้าหมาย
  3. กำหนดค่าคอมมิชชั่นให้เหมมาะสม: โดยแบรนด์ต้องกำหนดให้สอดคล้องกับมูลค่าสินค้า และต้องดูคู่แข่งด้วยว่ากำหนดอย่างไร ซึ่งบางแพลตฟอร์ม เช่น TikTok Shop สามารถดูได้ว่าค่าคอมมิชชั่นในแต่ละหมวดหมู่อยู่ที่เท่าไหร่ ซึ่งแบรนด์สามารถนำมาอ้างอิงได้
  4. หมั่นตรวจสอบคอนเทนต์อยู่เสมอ: เพราะบางคอนเทนต์อาจมีการสื่อสารที่ผิดพลาด และอาจมีผลกระทบกับชื่อเสียงของแบรนด์ โดยเฉพาะข้อมูล Overclaim เป็นต้น
  5. วัดผล: ต้องคอยติดตามวัดผลแคมเปญอยู่เสมอ เพื่อนำไปปรับปรุงแคมเปญในอนาคต

โดย ตี๋โอ เชื่อว่า ในปีหน้าการทำ Affiliate Marketing จะคึกคักมากยิ่งขึ้น จากจำนวน นายหน้า หรือ อินฟลูฯ ที่ทำ Affiliate ที่มีมากขึ้นตามแพลตฟอร์มที่เปิดให้ทำ Affiliate Marketing มากขึ้น 

]]>
1496757