HOT UPDATE – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 04 Dec 2025 10:46:26 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ไทย ลุยดึง “นักท่องเที่ยวจีน“ ตั้งเป้า 2 ล้านคน ช่วงไฮซีซั่นปลายปี https://positioningmag.com/1550346 Thu, 04 Dec 2025 10:46:00 +0000 https://positioningmag.com/?p=1550346 อรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า ปัจจุบันกระทรวงฯ ได้เปิดเกมรุก “Quick Win” หวังพลิกภาพการท่องเที่ยวไทยช่วงไฮซีซั่น

โดยตั้งเป้าดึงนักท่องเที่ยวจีนกลับมาอย่างน้อย 2 ล้านคนใน 3 เดือน พร้อมเปิด “เส้นทางท่องเที่ยววิถีใหม่” เพื่อชิงกระแสจากพฤติกรรมนักท่องเที่ยวจีนที่เปลี่ยนไปหลังโควิด

จับ 6 เทรนด์ท่องเที่ยวคนจีน

ทั้งนี้ กระทรวงท่องเที่ยวฯ จับเทรนด์นักท่องเที่ยวจีนรุ่นใหม่ที่ต้องการประสบการณ์มากกว่าการช้อปปิ้งแบบเดิม โดยแตกไลน์เป็น 6 กลุ่มใหญ่ ได้แก่

1. สำรวจเส้นทางวัฒนธรรม: เน้นการเที่ยวชุมชน วัดวาอาราม เพื่อสัมผัสเสน่ห์ดั้งเดิมของไทย

2. กินดื่มเที่ยวชิล ๆ: ปักหมุดร้านอาหารท้องถิ่น สร้างโอกาสให้ชุมชนเข้าถึงกลุ่มนักท่องเที่ยว

3. การท่องเที่ยวเชิงกิจกรรมกีฬา: เช่น ปีนผา, ขี่จักรยาน, และการเรียนรู้ศิลปะป้องกันตัว อย่าง มวยไทย

4. ชมเส้นทางชมธรรมชาติ: นำเสนอแหล่งท่องเที่ยว Unseen เช่น ทะเลหมอกในพะเยา, แพะเมืองผี (แกรนแคนยอนเมืองไทย)

5. นำเที่ยวแบบครอบครัว: ออกแบบกิจกรรมที่หลากหลาย ปลอดภัย และได้ความรู้สำหรับทุกวัยในครอบครัว

6. โรดทริป (Road Trip): เจาะกลุ่มนักขับรถด้วยเส้นทางเชื่อมต่อ ไทย-จีน-ลาว ที่ปลอดภัยและได้รับความนิยม

อรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา

กลยุทธ์การสื่อสารรูปแบบใหม่: สร้างกระแสผ่าน Super App และคอนเทนต์คุณภาพ

แผน Quick Win เน้นการใช้การสื่อสารที่ทันสมัยและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างชัดเจน โดยร่วมมือกับแพลตฟอร์มชั้นนำของจีน อาทิ

  • Dianping/Meituan : ปักหมุดร้าน-สถานที่เที่ยวให้ติดอันดับค้นหา
  • Xiaohongshu : ใช้ Influencer + แฮชแท็ก #泰好了放假游 เพื่อปลุกภาพลักษณ์ “ไทย = เที่ยวง่าย ปลอดภัย ถ่ายรูปสวย”
  • WeTV : เปิดพื้นที่ให้รายการจีนที่มาถ่ายในไทย หวังปั่นยอดเข้าถึงหลักร้อยล้านวิว

ทั้งหมดคือกลยุทธ์ตีตลาด “Generation Z และ Young Travelers” ของจีน ซึ่งกลุ่มนี้ตัดสินใจจากคอนเทนต์สั้น + รีวิวบนโซเชียลเป็นหลัก

เซ็น MOU กับ 2 มณฑล 6 เมืองของจีน

ขณะเดียวกัน ไทยจับมือเซ็น MOU กับ 2 มณฑล รวม 6 เมืองเที่ยวตัวท็อปของจีนอย่าง ซานย่า ไหโข่ว หนานจิง ซูโจว และหางโจว

เพื่อเปิดเส้นทางแลกเปลี่ยนนักท่องเที่ยวโดยตรง แบบไม่ต้องรอแคมเปญใหญ่จากส่วนกลาง เป็นการเจาะตลาดแบบ “เมืองถึงเมือง” ซึ่งมาแรงมากในจีนตอนนี้

ปิดจุดอ่อน ไทยทำ Green Zones ย้ำความปลอดภัย

ทั้งนี้ ที่ผ่านมาไทยรู้ดีว่าความกังวลเรื่อง “ความปลอดภัย” เป็น Pain Point อันดับหนึ่งของนักท่องเที่ยวจีน จึงทำระบบ SOS แจ้งเหตุฉุกเฉินแบบเรียลไทม์ ร่วมกับแพลตฟอร์ม Wei! Taiguo

  • แจ้งเหตุได้จากมือถือ
  • ดูสถานะความช่วยเหลือได้ทันที
  • เริ่มใช้ใน 27 เมืองท่องเที่ยวหลัก

“การดำเนินการทั้งหมดนี้ มีเป้าหมายสูงสุดคือการสร้างแคมเปญสื่อสารคุณภาพ ที่จะดึงเสน่ห์ดั้งเดิมของไทย ทั้งความงดงาม รอยยิ้ม น้ำใจ และการต้อนรับแบบไทย กลับคืนสู่สายตานักท่องเที่ยวชาวจีน และบรรลุเป้าหมาย 2 ล้านคน ตามที่ตั้งไว้”

]]>
1550346
กู้ไม่ผ่าน ทำอสังหา ปี 69 เข้าสู่ “ยุคทองการเช่า” เสนาฯ ลุยเพิ่มพอร์ตเช่า 2 พันยูนิต https://positioningmag.com/1550297 Thu, 04 Dec 2025 09:27:11 +0000 https://positioningmag.com/?p=1550297 รีเจ็กต์เรตที่อยู่อาศัยพุ่ง 50-80%

ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA เปิดเผยว่า ปี 2568 ตลาดอสังหาริมทรัพย์เผชิญความท้าทายสูงจากแผ่นดินไหว และกำลังซื้อหดตัวจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว และหนี้ครัวเรือนสูง ซึ่งยังไม่รวมถึงหนี้นอกระบบ

ส่งผลให้ อัตราปฏิเสธสินเชื่อ (รีเจ็กต์ เรต) กลุ่มที่อยู่อาศัยของเสนาฯ เพิ่มขึ้น ดังนี้

  • คอนโดมิเนียม (แบบพร้อมอยู่) รีเจ็กต์ เรต 50%
  • โครงการแนวราบ อาทิ ทาวน์เฮ้าส์ ระดับราคา 2.5 ล้านบาท ทำเลบางใหญ่ นนทบุรี รีเจ็กต์ เรต ทะลุ 80%

“พิษหนี้ครัวเรือนและหนี้นอกระบบ กดดันลิมิตการใช้จ่ายผู้บริโภคอย่างหนัก แม้ลดราคาสินค้าบ้าน-คอนโดลง 10% ยังช่วยกระตุ้นยอดขายไม่ได้เลย ถ้าสุดท้ายไม่มี Consumer spending”

ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA

ปีทองแห่งการเช่า เสนา จ่อเพิ่มพอร์ตฯ 30 โครงการ 2 พันยูนิต

จากปัจจัยข้างต้น สร้างอานิสงส์ให้ ‘ตลาดเช่า’ สะท้อนจาก ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เสนาฯ ทำโครงการ เช่าออมบ้าน หรือ LivNext ช่วยผู้ซื้อปรับโครงสร้างทางการเงิน ผ่านการผ่อนตรงกับบริษัทฯ และเมื่อสร้างเครดิตทางการเงินได้แล้ว (ภายใน 3 ปี) จึงสามารถกู้ซื้อบ้านได้

โดยเงินที่เช่ากับเสนา สามารถนำมาหักเป็นค่าบ้านได้ทั้งหมด (ยกเว้นเงินค่าดอกเบี้ยที่เสีย 1.8%) เช่น บ้านราคา 1 ล้านบาท ผ่อนกับเสนา 5,000 บาท/เดือน รวมเป็น 60,000 บาท/ปี เมื่อถึงเวลากู้ธนาคารก็จะใช้งบเพียง 940,000 บาท เป็นต้น

ปัจจุบันมีผู้เข้าร่วมโครงการเช่าออมบ้านกว่า 1,000 ยูนิต ช่วยเพิ่มยอดขาย คล้าย ๆ แบคลอคในอนาคตให้บริษัทกว่า 2,300 ล้านบาท (รอลูกค้ากู้ผ่านใน 3 ปี) ขณะเดียวกันดึงกระแสเงินสดจากการเช่าได้ 80-100 ล้านบาท

“ตอนนี้เช่าออมบ้านไม่ถึง 3 ปี มีลูกค้าออกจากโครงการ เพราะสามารถกู้ธนาคารได้แล้วราว 100 ยูนิต ดังนั้น โมเดลนี้จึงไม่ใช่แค่การขายบ้าน แต่เป็นทางออกใหม่ของตลาด Real Demand ในยุคที่ราคาทรัพย์และรายได้ประชาชนสวนทางกัน”

RentNext มาแรง ปล่อยเช่าได้ 70-80 ยูนิต/เดือน

นอกจากพอร์ตเช่าออมบ้านแล้ว เสนาได้ทำผลิตภัณฑ์ RentNext ขึ้นมา สำหรับปล่อยเช่าโดยเฉพาะ

แต่อนาคตหากลูกค้าอยากเป็นเจ้าของห้องที่เช่าขึ้นมา สามารถเปลี่ยนสัญญาเป็นซื้อได้ และเงินที่เช่าก็หักเป็นเงินต้นคอนโดได้ทั้งหมด ยกเว้นเปลี่ยนห้องไปยังโครงการอื่น ๆ ของเสนา จะถูกหักค่าเช่า 50% ที่เหลือสามารถนำไปเป็นเงินต้นได้เช่นกัน

“ปี 2568 เสนาตั้งเป้ายอดขาย 10,000 ล้านบาท ยอดโอนกรรมสิทธิ์ 4,000-5,000 ล้านบาท ไม่รวมพอร์ตเช่าออมบ้านที่เปรียบเสมือนแบคลอคลอย ๆ อีก 2,000 ล้านบาท”

ขณะที่ ปี 2569 เสนามองว่าจะเป็น ‘ยุคทองแห่งการเช่า’ ซึ่งตลาดที่อยู่อาศัยให้เช่าใน กทม. แพงสุดในโลก สูงกว่าฮ่องกง *เมื่อคำนวณค่าเช่าเทียบกับรายได้ประชากร และตลาดยังคงขยายตัวทำให้มีความน่าสนใจมาก

ทำให้ในปีหน้า บริษัทฯ เตรียมขยายโครงการบ้านและคอนโดที่เข้าร่วมกับ LivNext และ RentNext 30 โครงการ เพิ่มขึ้น 2,000-3,000 ยูนิต จากปัจจุบันมีอยู่ 25 โครงการ ประมาณ 2,000 ยูนิต ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มราคา 2 ล้านบาท

ทำเลที่ไปได้ดี คือ บางนา พระรามเก้า และรังสิต มีราคาเช่าตั้งแต่ 3,000-10,000 บาท/เดือน คิดเป็นยีลด์ 7% ต่อปี และหากคิดเป็นกำไรขั้นต้นจากการเช่าจะอยู่ที่ 15% สูงกว่าการขายที่อยู่อาศัย

เสนา คอนโด

ชะลอลงทุนใหม่ โฟกัสพอร์ตฯ Affordable

สำหรับปี 2569 เสนายังไม่มีแผนลงทุนใหม่ เพื่อรอให้ซัพพลายในตลาดอสังหาเข้าสู่การฟื้นตัว แต่ยังมีแผนเปิดตัวโครงการเดิมที่เลื่อนไปจากปี 2568 ประมาณ 5 โครงการ โดยยังคงเน้นพอร์ต Affordable ราคา 1-2.5 ล้านบาท/ยูนิต ที่เสนาเป็นเจ้าตลาดครองมาร์เก็ตแชร์กว่า 21%

ทั้งนี้ ปัจจุบันเสนาฯ มีโครงการในมือรวมอยู่ระหว่างสร้างและสร้างเสร็จพร้อมอยู่ (Inventory Supply) ประมาณ 10,000 ยูนิต มูลค่ารวม 20,000 – 30,000 ล้านบาท

ส่วนโครงการพร้อมอยู่มีจำนวน 5,000 ยูนิต มูลค่า 10,000 ล้านบาท เป็นโครงการแนวราบ 20% และแนวสูง 80% ซึ่งเสนาฯ จะโฟกัสโครงการที่มีอยู่เสียก่อน โดยอาจพัฒนาใหม่ อาทิ ปรับแปลนห้องให้ดีขึ้น หรือเปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์ให้ตอบโจทย์ลูกค้ามากขึ้น

“เรามองว่า ‘ยุคทองอสังหาฯ จบลงแล้ว’ ตลาดเข้าสู่เฟสเติบโตเชิงประสิทธิภาพ ไม่ใช่เชิงปริมาณ แต่ทุกไซเคิลย่อมมีขาขึ้น เมื่อเศรษฐกิจกลับมาดี และซัพพลายยังจำกัดแบบปัจจุบัน การดีดตัวรอบใหม่จะชัดเจนยิ่งกว่าเดิม ปัจจุบันแม้ยอดโอนลด แต่กำไรยังคงมี จากการบริหารสต็อกและต้นทุนอย่างรัดกุม”

]]>
1550297
รู้จัก ‘Ledger Nano’ ตู้เซฟคริปโตฯ ที่ตำรวจยึดจาก ‘นานา ไรบีนา’ https://positioningmag.com/1550290 Thu, 04 Dec 2025 07:39:08 +0000 https://positioningmag.com/?p=1550290 หนึ่งในคดีที่หลายคนในความสนใจในตอนนี้ก็คือ นานา ไรบีนา ดาราสาวชื่อดัง หนึ่งในสมาชิกแก๊งนางฟ้า ที่ถูกตำรวจเข้าจับกุมในข้อหา ในข้อหาฉ้อโกง และความผิดตามพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การกู้ยืมเงินอันเป็นฉ้อโกงประชาชน หรือแชร์ลูกโซ่ และหนึ่งในทรัพย์สินของนานาที่ถูกตำรวจยึดก็มีอุปกรณ์หน้าตาเหมือน แฟรชไดฟ์ แต่ความจริงแล้วมันคือ Ledger Nano หรือ ตู้เซฟคริปโตเคอเรนซี่ ที่เหล่าเศรษฐีคริปโตฯ ใช้เก็บสินทรัพย์ดิจิทัล

จุดเริ่มต้น Ledger

อย่างที่หลายคนรู้กันว่า สินทรัพย์ดิจิทัล โดยเฉพาะ Cryptocurrency มีมูลค่ามหาศาล อย่างเช่น Bitcoin หนึ่งในสกุลเงินดิจิทัลที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก ตอนนี้มูลค่าอยู่ที่ราว 3,539,216 ล้านบาท/ 1 BTC ดังนั้น หากจะเก็บเหรียญไว้บน exchange หรือ hot wallet ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตตลอดเวลา ก็แปลว่า มีความเสี่ยงสูงต่อการถูกแฮ็กได้ตลอดเวลา

ด้วยแนวคิดที่ต้องการ เก็บสินทรัพย์ดิจิทัลให้ปลอดภัย บริษัท Ledger จึงได้ก่อตั้งในปี 2014 โดยผู้เชี่ยวชาญ 8 รายซึ่งมีความเชี่ยวชาญในด้านความปลอดภัย คริปโตฯ เพื่อร่วมกันคิดสร้างโซลูชันที่ปลอดภัยสำหรับแอปพลิเคชันบล็อกเชน จนเกิดเป็น Ledger Nano

Ledger Nano = ตู้เซฟดิจิทัล

โดย Ledger Nano เป็น hardware wallet หรือจะเรียกว่าเป็น ตู้เซฟดิจิทั ของคริปโตฯ ก็ได้ แม้จะบอกว่าเป็นเหมือนตู้เซฟ แต่หลักการจริง ๆ ของ Ledger Nano คือ ไม่ได้เก็บเหรียญจริง ๆ ไว้ในเครื่อง แต่เก็บสิทธิ์ที่ใช้ เข้าถึงและสั่งการเหรียญ หรือ Private Key ออกจากสภาพแวดล้อมที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ไปเก็บไว้ในชิปที่เข้ารหัสแบบพิเศษแบบ Offline ดังนั้น เมื่อ Private Key ถูกตัดขาดจากโลกออนไลน์ 100% แฮกเกอร์ไม่สามารถเจาะเข้ามาโอนเงินออกไปได้ถ้าไม่ได้สัมผัสตัวเครื่อง

หากผู้ใช้ต้องการทำธุรกรรม ต้องสั่งผ่านแอป Ledger Live ในโทรศัพท์ หรือคอมพิวเตอร์ และแอปจะส่งข้อมูลธุรกรรมไปให้ Ledger Nano โดยผู้ใช้จะต้อง กดยืนยันบนตัวเครื่อง ก่อนจะทำธุรกรรมทุกครั้ง และในกรณีที่เครื่อง สูญหาย ผู้ใช้จะต้องใส่ Recovery Phrase (ชุดคำ 24 คำ) เพื่อกู้คืนเท่านั้น

ปัจจุบัน Ledger Nano มีสองรุ่นหลักคือ

  • Ledger Nano S Plus – รุ่นพื้นฐานที่เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น (ราคาประมาณ 2,000 บาท)
  • Ledger Nano X – รุ่นพรีเมียมที่มีความจุมากกว่า รองรับ Bluetooth และสามารถเชื่อมต่อกับมือถือได้ (ราคาประมาณ 3,100 บาท)

โดยนับตั้งแต่ปี 2014 ปัจจุบัน Ledger ได้จำหน่ายไปแล้วกว่า 8 ล้านเครื่องทั่วโลก โดยปริมาณ Bitcoin กว่า 20% บนโลกถูกเก็บไว้บน Ledger

]]>
1550290
Google เปิดลิสต์ “คำค้นหายอดนิยมปี’ 68” ที่สะท้อนว่าคนไทยสนใจตั้งแต่เรื่อง AI ภัยพิบัติ ยันความบันเทิง https://positioningmag.com/1550270 Thu, 04 Dec 2025 03:55:51 +0000 https://positioningmag.com/?p=1550270 เป็นธรรมเนียมทุกปีที่ Google ประเทศไทย จะเปิดเผยถึงอินไซต์ Year in Search หรือ คำค้นหายอดนิยม เพื่อจะสะท้อนภาพรวมความสนใจของคนไทยตลอดทั้งปี โดยคำค้นหายอดนิยมประจำปี 2568 สิ่งที่คนไทยให้ความสนใจมีดังนี้

Gemini ครองอันดับ 1

ผลการค้นหายอดนิยมปีนี้สะท้อนให้เห็นถึงการผสานกันของเทรนด์เทคโนโลยี เหตุการณ์สังคม และความบันเทิงที่ต่างมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนความสนใจของคนไทยตลอดทั้งปี โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีซึ่งยังคงโดดเด่นที่สุดในปีนี้ โดย “Gemini” ครองอันดับ 1 คำค้นหายอดนิยมประจำปี 2568 นอกจากนี้ “ChatGPT” และ “DeepSeek” ก็ติดโผ 10 อันดับแรกเช่นเดียวกัน ในด้านนโยบายภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับไลฟ์สไตล์และความเป็นอยู่ของประชาชนอย่าง “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” และ “คนละครึ่ง พลัส” ยังคงได้รับความสนใจอย่างต่อเนื่อง

ขณะที่เหตุการณ์สำคัญอย่าง “แผ่นดินไหว” ทำให้ผู้คนหันมาค้นหาข้อมูลด้านความปลอดภัยเพิ่มขึ้น สำหรับหมวดความบันเทิง ซีรีส์ไทยยังคงครองกระแสแรงแซงโค้ง โดย “สงคราม ส่งด่วน” และ “คุณพี่เจ้าขาดิฉันเป็นห่านมิใช่หงส์” ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม รวมถึงแบบทดสอบเชิงจิตวิทยาออนไลน์ “กุญแจกลางใจ” ที่สร้างกระแสในโลกดิจิทัลตลอดปี ขณะที่ฝั่งเทคโนโลยีผู้บริโภค “iPhone 17” ยังคงเป็นหัวข้อที่ผู้ใช้งานชาวไทยติดตามอย่างใกล้ชิด

10 อันดับหมวดข่าว

เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ส่งผลต่อชีวิตประจำวันคนไทยยิ่งต้องการเข้าถึงข้อมูลที่เชื่อถือได้ รวดเร็ว และแม่นยำมากขึ้น โดยปีที่ผ่านมาเต็มไปด้วยเหตุการณ์ไม่คาดคิดที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ส่งผลให้การค้นหาใน หมวดข่าว ประจำปี 2568 สะท้อนความต้องการข้อมูลที่ทันสถานการณ์ทั้งในและต่างประเทศอย่างชัดเจน โดย “แผ่นดินไหว” ครองอันดับ 1 ของคำค้นหายอดนิยมหมวดข่าว ขณะที่นโยบายภาครัฐอย่าง “คนละครึ่ง พลัส” และ “บ้านเพื่อคนไทย”  ยังคงเป็นประเด็นสำคัญที่คนไทยให้ความสนใจเพื่อยกระดับด้านคุณภาพชีวิต

ส่วนสถานการณ์ตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา ทำให้ “ปราสาทตาเมือนธม” “ปราสาทตาควาย” และ “ไทย–กัมพูชา” ติดอันดับต้นๆ จากความสนใจของผู้คนที่ต้องการอัปเดตสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมกันนี้ คำค้นหาอย่าง “พายุวิภา” “พายุคาจิกิ” และ “ตึกถล่ม” ก็ติด 10 อันดับแรกของคำค้นหาในหมวดข่าวเช่นกัน

ความกังวลของคนไทยต่อสถานการณ์น้ำท่วมในหลายพื้นที่ของประเทศ ซึ่งส่งผลต่อชีวิตประจำวันทั้งการเดินทาง และความปลอดภัยสะท้อนผลอย่างชัดเจน โดย “ลงทะเบียนน้ำท่วม 2568 ออนไลน์” ครองอันดับ 1 คำค้นหายอดนิยมหมวดเหตุการณ์น้ำท่วม ตามด้วย “เช็กสถานะน้ำท่วมออนไลน์” “เยียวยาน้ำท่วม 2568” “น้ำท่วมอำเภอเมืองเชียงใหม่” “แบบฟอร์มการช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม 2568” ในอันดับ 2- 5 ตามลำดับ และล่าสุด “น้ำท่วมอำเภอหาดใหญ่” ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ไม่นาน ก็พุ่งขึ้นมาติดโผใน 10 อันดับแรกอย่างรวดเร็ว

 

หมวด AI

ความสนใจของคนไทยไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่เครื่องมือ AI ใดเครื่องมือหนึ่ง แต่กระจายไปยังหลากหลายรูปแบบที่ตอบสนองความต้องการทั้งด้านการทำงาน การสร้างสรรค์ และความบันเทิง โดย “Gemini” ครองอันดับ 1 คำค้นหายอดนิยมหมวด AI ตามมาด้วย “ChatGPT” และ “DeepSeek” ซึ่งแสดงให้เห็นว่าคนไทยหันมาใช้ประโยชน์จาก AI ในการค้นหาข้อมูล ช่วยทำสิ่งต่างๆ และพัฒนาทักษะใหม่ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ตามมาด้วยเครื่องมือ AI ที่เน้นการสร้างสรรค์อย่าง “PixVerse” (AI สร้างวิดีโอ) “NotebookLM” (คู่หูการค้นคว้าหาข้อมูลที่ทำงานด้วยระบบ AI) และ “Suno” (AI สร้างดนตรี) นอกจากนี้ “Hailuo AI”, “LMArena”, “Khui AI” และ “Claude” เครื่องมือ AI จากค่ายอื่นๆ ก็ติดโผ 10 อันดับแรกเช่นกัน ตอกย้ำให้เห็นว่าคนไทยให้ความสนใจกับเทคโนโลยี AI จากหลายค่ายและหลายรูปแบบอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน สะท้อนถึงการเติบโตอย่างรวดเร็วของระบบนิเวศ AI ในประเทศไทย

หมวดบันเทิง

ผลการค้นหายอดนิยมประจำปี 2568 สะท้อนให้เห็นถึงรสนิยมและความหลากหลายด้านความบันเทิงของผู้ชมชาวไทย ซึ่งยังคงให้ความสนใจกับเนื้อหาหลากหลายแนว ทั้งเรื่องราวเข้มข้น พีเรียด ดราม่า แฟนตาซี ไปจนถึงการกลับมาของซีรีส์ระดับโลกที่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง ในหมวดละคร/ซีรีส์ไทย “สงคราม ส่งด่วน” ซีรีส์ที่มีเค้าโครงจากชีวิตจริงของผู้ก่อตั้งบริษัทขนส่ง Flash Express ครองอันดับ 1 ตามมาด้วย “คุณพี่เจ้าขาดิฉันเป็นห่านมิใช่หงส์” ละครแนวพีเรียดโรแมนติกคอมเมดี้ซึ่งได้รับความนิยมทั่วประเทศ ขณะที่ “เขมจิราต้องรอด” “สายรักสายเลือด” และ “บนพระจันทร์ มีกระต่าย” ติดอันดับ 3–5 ตามลำดับ

ฝั่งละคร/ซีรีส์เกาหลี ปีนี้โดดเด่นด้วยภาคต่อของซีรีส์ระดับโลก โดย “สควิดเกม เล่นลุ้นตาย 2” ครองอันดับ 1 ตามด้วย “เมนูรักพิชิตใจราชา” และ “หนุ่มดวงจู๋กับหมอดูคนจ๋วย” สองซีรีส์โรแมนติกคอมเมดี้ที่ผสานธีมอาหารและโหราศาสตร์ซึ่งยังคงได้รับความนิยมอย่างมาก ส่วน “ปลอมมาเรียน เนียนมาสืบ” และ “เอส ไลน์” แนววัยรุ่น–เหนือธรรมชาติติดอันดับ 4–5 ตามลำดับ

ด้านละคร/ซีรีส์จีน ยังคงมาแรงด้วยเนื้อหาที่เข้มข้นและงานโปรดักชันคุณภาพ โดย 5 อันดับแรกได้แก่ “กระวานน้อยแรกรัก” “อริรักลิขิตใจ” “วาสนาของปลาเค็ม” “เหนือสมรภูมิ” และ “สู่ห้วงเมฆา” ครองอันดับ 1–5 ตามลำดับ

หมวดท่องเที่ยว

จากคำค้นหายอดนิยมหมวดสถานที่ท่องเที่ยวในประเทศปีนี้ สะท้อนให้เห็นว่าคนไทยหันมาให้ความสนใจกับ “เมืองรอง” ที่เต็มไปด้วยเสน่ห์เฉพาะตัวกันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเมืองเก่า เมืองประวัติศาสตร์ หรือเมืองที่วิถีท้องถิ่นมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดย “กำแพงเพชร” ครองอันดับ 1 ตามด้วย “สุโขทัย” “ลำปาง” “ทรงวาด” และ “ชะอำ”

ด้านหมวดสถานที่ท่องเที่ยวต่างประเทศ เทรนด์การค้นหาในปีนี้ชี้ให้เห็นถึงการ “ออกนอกกรอบ” ของนักเดินทางไทย ที่เลือกจุดหมายใหม่ๆ เพื่อประสบการณ์ที่ไม่ซ้ำใคร โดย “ภูฏาน” ครองอันดับ 1 ด้วยเสน่ห์ของธรรมชาติและวัฒนธรรมอันโดดเด่น ตามด้วย “จูไห่” “ซินเจียง” “วังเวียง” “นอร์เวย์” “ฟูก๊วก” “เซนได” “มาเก๊า” “เฉิงตู” และ “อินโดนีเซีย” ตามลำดับ ซึ่งสะท้อนความสนใจที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น ทั้งสายแอดเวนเจอร์ สายวัฒนธรรม และสายตามหาภูมิประเทศแปลกใหม่

หมวดบุคคน

หมวด How To

หมวด คืออะไร

หมวดอาหารและคาเฟ่

ผลการค้นหายอดนิยมปีนี้สะท้อนให้เห็นถึงการผสานกันของเทรนด์เทคโนโลยี เหตุการณ์สังคม และความบันเทิงที่ต่างมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนความสนใจของคนไทยตลอดทั้งปี ใครที่เคยเสิร์ชหาอะไรแล้วติด Top 10 คำค้นหายอดนิยมบ้าง แชร์กันได้นะ

]]>
1550270
‘Agoda’ กางอินไซต์คนไทยพบ 66% วางแผน ‘เที่ยวในประเทศ’ มากขึ้น โดยเฉพาะ ‘เมืองรอง’ เพราะมีราคาเข้าถึงได้ https://positioningmag.com/1550126 Wed, 03 Dec 2025 09:46:10 +0000 https://positioningmag.com/?p=1550126
ท่องเที่ยวไทย ยังคงเป็นเส้นเลือดใหญ่ทางเศรษฐกิจ คิดเป็นสัดส่วน 10% ของ GDP โดยข้อมูลจาก กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้อัปเดตสถานการณ์ท่องเที่ยวล่าสุด ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.- 16 พ.ย. 68 พบว่า ประเทศไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทย แล้วทั้งสิ้น 28,277,276 คน ลดลง 7.18 % สร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้วประมาณ 1,308,132 ล้านบาท

Agoda ยังเชื่อในศักยภาพท่องเที่ยวไทย

ออมรี มอร์เกนสเติร์น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร อโกด้า กล่าวว่า แม้ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาประเทศไทย จะลดลงเป็นครั้งแรกนับจากผ่านช่วงวิกฤต COVID-19 แต่มองว่า ไทยยังมีโอกาสที่ดี และมีจุดได้เปรียบหลายอย่าง โดยเฉพาะเรื่องของ อาหาร อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าจากข่าวด้านลบต่าง ๆ นั้นส่งผลกระทบกับการท่องเที่ยวอย่างมีนัยสำคัญ

“ไม่ว่าจะเป็นข่าวสแกมเมอร์ที่ลักพาตัวดาราจีน, ปัญหาสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา, ภัยพิบัติ รวมถึงข้อจำกัด เช่น พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ข่าวพวกนี้ที่ออกไปมันมีผลต่อการตัดสินใจของนักท่องเที่ยวจริง ๆ และเพราะการท่องเที่ยวมันคือ ธุรกิจ ดังนั้น มันมีการแข่งขัน อย่างเช่นเวียดนามที่ตามมาติด ๆ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าไทยยังได้เปรียบ เพราะไทยเป็นประเทศใหญ่ และนักท่องเที่ยวยังต้องการมาไทย ยังเป็นปลายทางในใจ” ออมรี กล่าว

ออมรี มอร์เกนสเติร์น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร อโกด้า

ค่าใช้จ่าย เหตุผลใหญ่สุดในการตัดสินใจ 

ในส่วนของการฟื้นอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย ออมรี มองว่า สามารถทำได้หลายทาง โดยไทยเองก็ถือว่าทำได้ดี เช่น การฟรีวีซ่าประเทศอินเดีย หรือการดึงอีเวนต์ใหญ่ ๆ อย่าง Tomorrowland เทศกาลดนตรี EDM ระดับโลกมาจัดในไทย รวมถึงการทำแคมเปญ Trusted Thailand ซึ่งแสดงให้เห็นว่าทางภาครัฐมีการลงทุน และมีการเรียนรู้จากบทเรียนที่ผ่านมา

“เราเชื่อว่าไทยมีศักยภาพดึงดูดนักท่องเที่ยวจริง ๆ แต่หลายอย่างมันไม่สามารถทำได้ในชั่วข้ามคืน ต้องใช้เวลา โดยเฉพาะเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน แต่อย่างการจัดงานอีเวนต์ใหญ่ ๆ แม้มันจะไม่ส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยตรง แต่มันก็เป็นตัวกระตุ้นได้ ”

อย่างไรก็ตาม ออมรี ย้ำว่า สุดท้ายแล้ว ปัจจัยที่จะทำให้นักท่องเที่ยวตัดสินใจให้คนเดินทางมาได้จริง ๆ ก็คือ ค่าใช้จ่าย อย่างคนชั้นกลางมีเงินเหลือใช้จ่ายมากขึ้น เขาก็ใช้จ่ายได้มากขึ้น อดีตอาจจะเดินทางในประเทศ แต่ตอนนี้เขาสามารถเดินทางมาต่างประเทศได้ ถ้ามัน ถูกกว่าเที่ยวในประเทศ ดังนั้น เมื่อตลาดกว้างขึ้น นักท่องเที่ยวก็มีโอกาสเลือกมากขึ้น

คนไทยสนใจเที่ยวในประเทศมากขึ้น

สำหรับเทรนด์การท่องเที่ยวในปีนี้และปีหน้า (2026) อรรคพร รอดคง ผู้อำนวยการประจำประเทศไทย อโกด้า เปิดเผยว่า การท่องเที่ยวภายในประเทศ กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมากในหมู่นักเดินทางชาวไทย โดยมีถึงสองในสาม หรือ 66% ที่วางแผนเดินทางภายในประเทศมากขึ้น เพิ่มขึ้นจาก 30% ในปีที่แล้ว

จุดหมายปลายทางที่ ไม่ค่อยมีคนรู้จัก หรือ เมืองรอง เริ่มดึงดูดความสนใจของนักเดินทางชาวไทยมากขึ้น เหตุผลที่นักเดินทางชาวไทยเลือกจุดหมายปลายทางเหล่านี้แทนจุดหมายยอดนิยม ได้แก่ ราคาเข้าถึงได้และมีโปรโมชั่นจูงใจ (40%), สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ง่าย มีรีวิวให้ศึกษา และมีบริการสนับสนุนการเดินทางต่าง ๆ (41%) และ 34% ระบุว่าได้ใกล้ชิดธรรมชาติและมีกิจกรรมกลางแจ้ง

นอกจากนี้ นักเดินทางชาวไทยเป็นอันดับหนึ่งในเอเชียที่เลือก การพักผ่อน เป็นแรงจูงใจหลักในการท่องเที่ยว    โดยมีถึง 73% ที่ระบุว่าการพักผ่อนคือเหตุผลสำคัญที่สุด รองลงมาคือการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (30%) และประสบการณ์ด้านอาหาร (20%)

เน้นเที่ยวสั้น ๆ ตามวันหยุดราชการ

นักเดินทางชาวไทยวางแผนเดินทางท่องเที่ยวระยะสั้น ๆ เพียง 1 – 3 วันต่อทริป ซึ่งเป็นผลพลอยได้จากวันหยุดราชการประจำปีหลายวัน โดย 50% ระบุว่าจะเดินทางกับครอบครัว และ 30% เลือกเดินทางกับคู่สมรสหรือแฟน

นักเดินทางชาวไทยชื่นชอบข้อเสนอคุ้มค่าสำหรับการจองที่พัก โดย 44% วางแผนใช้จ่ายไม่เกิน 1,600 บาทต่อคืน อีก 40% วางแผนใช้งบระหว่าง 1,601–3,200 บาทต่อคืน และมีเพียง 3% ที่ตั้งงบไว้มากกว่า 3,200 บาทต่อคืน

ถ้าไม่มีข้อจำกัดด้านวีซ่า 69% ของนักเดินทางชาวไทยจะเดินทางบ่อยขึ้น และอีก 57% จะเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางใหม่ ๆ มากขึ้น

นักเดินทางชาวไทยกำลังเรียนรู้ที่จะใช้ AI โดย 69% ระบุว่ามีแนวโน้มจะใช้ AI ในการวางแผนทริปครั้งต่อไป 57% เชื่อถือข้อมูลที่สร้างโดย AI ขณะที่มีเพียง 12% ที่รู้สึกไม่ไว้วางใจ AI และอีก 31% มีท่าทีเป็นกลาง

5 อันดับจุดหมายปลายท่องเที่ยวในประเทศ

  1. กรุงเทพฯ
  2. พัทยา
  3. เชียงใหม่
  4. ภูเก็ต
  5. ชลบุรี

3 อันดับจุดหมายปลายทางในประเทศที่มาแรงที่สุดได้แก่ นครศรีธรรมราช (+61%), หาดใหญ่ (+45%), ชลบุรี (+45%)

5 ปลายทางต่างประเทศยอดนิยมของคนไทย

  1. ญี่ปุ่น
  2. เวียดนาม
  3. จีน
  4. เกาหลีใต้
  5. มาเลเซีย

3 อันดับจุดหมายปลายทางมาแรง ได้แก่ มาเก๊า (+107%), อินโดนีเซีย (+87%), จีน (+84%)

5 อันดับประเทศที่เดินทางเข้าไทยมากที่สุด

  1. มาเลเซีย
  2. จีน
  3. เกาหลีใต้
  4. อินเดีย
  5. ญี่ปุ่น

3 อันดับประเทศที่เดินทางเข้าไทยที่มาแรงที่สุด ได้แก่ เนเธอร์แลนด์ (+78%), อิสราเอล (+76%), อินโดนีเซีย (+43%)

]]>
1550126
‘เจ้านาง’ รีแบรนด์ใหญ่เจาะ Gen Z ตั้งเป้า 3 ปี รายได้แตะ 1 พันล้านบาท https://positioningmag.com/1550307 Tue, 02 Dec 2025 10:00:08 +0000 https://positioningmag.com/?p=1550307 สิทธา สมควรดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ้านาง (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันข้อมูลจาก Custom Market Insight พบว่า ตลาดความงามไทย มีมูลค่า 170,000 ล้านบาท เติบโตเฉลี่ยปีละ 5% แบ่งออกเป็น

  • ตลาดสกินแคร์ 120,000 – 130,000 ล้านบาท
  • ตลาดคอสเมติก 40,000 – 50,000 ล้านบาท

โดยทั้ง 2 กลุ่มหลัก มีโอกาสขยายตัวอีกมาก จากดีมานด์ความต้องการเครื่องสำอางและสกินแคร์สูงขึ้น

ขณะที่ จำนวนผู้เล่นในตลาด ก็เพิ่มขึ้น 16.9% ต่อปี ผลักดัน “การแข่งขัน“ ในตลาดความงามดุเดือดขึ้น ส่งผลให้แบรนด์ ”เจ้านาง“ ต้องปรับยุทธศาสตร์การตลาดครั้งใหญ่ เพื่อจับใจผู้บริโภครุ่นใหม่อย่างต่อเนื่อง

สิทธา สมควรดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ้านาง (ไทยแลนด์) จำกัด

เจ้านาง รีแบรนด์ใหญ่ ปรับตัวให้เด็กลง เจาะกำลังซื้อ Gen Z

โดยแผนใหญ่ปี 2568 – 2569 คือ การเจาะกลุ่มลูกค้า Gen Z ที่ครอบคลุมตั้งแต่เด็กวัยเรียนไปจนถึง First Jobber

อย่างไรก็ดี เจ้านาง ติดภาพจำในกลุ่มคนรุ่นใหม่ว่า เข้าถึงยาก และดูมีอายุ ทำให้บริษัทฯ ตัดสินใจ รีแบรนด์ใหญ่ โดยปรับโลโก้ใหม่ เป็นผู้หญิงมีมงกุฎ แต่ดูอ่อนเยาว์ขึ้น รวมถึงเปลี่ยนแพ็กเกจจิ้งให้ดูลักซูรีขึ้น ตามเสียงเรียกร้องของผู้บริโภค

รวมไปถึง การแตกไลน์สินค้าตามอินไซด์ของคนรุ่นใหม่ อาทิ คุชชั่นและแป้งสำหรับผิวเป็นสิว บลัชออนและลิปสติก (จากเดิมเน้นแป้งเป็นหลัก)

ตลอดจน สินค้าไซซ์เล็กลง เช่น คุชชั่นแบบซอง แป้งพัฟทูโกขนาดเล็ก 10 กรัม เพื่อเข้าถึงกลุ่มวัยเรียนที่มีกำลังซื้อจำกัด โดยเจ้านางมีราคาตั้งแต่ 59 – 599 บาท

“การทำสินค้ารูปแบบซอง สอดรับกับกำลังซื้อวัยเรียน และเปิดการเข้าถึงฐานลูกค้าใหญ่ขึ้น ที่อยากทดลองใช้สินค้าเจ้านาง โดยเฉพาะในผู้บริโภคยุคใหม่ที่มีแบรนด์รอยัลตี้ต่ำลง และชอบทดลองใช้สินค้าใหม่ ๆ หากกลุ่มนี้ใช้สินค้าเราแล้วดี ท้ายสุดก็จะเกิดแบรนด์รอยัลตี้ตามมาได้”

เจ้านาง โลโก้และแพ็กเกจจิ้งแบบใหม่

ทั้งนี้ ปัจจุบันเจ้านางมี โปรดักส์ฮีโร่ขายดีสุด คือ กลุ่มรองพื้น คุชชั่น และแป้ง อาทิ เจ้านางแอรี่คุชชั่น เพิ่งเปิดตัว 2 เดือน ยอดขายทะลุ 1 ล้านชิ้น

แต่โดยเฉลี่ยเจ้านางทำยอดขายเฉลี่ยต่อบิลอยู่ที่ 350 บาท เพิ่มขึ้น 10-15% เมื่อเทียบกับปีก่อน (YoY) จากการขยายไลน์สินค้า และมุ่งทำการตลาดออนไลน์ ส่งผลให้สัดส่วนยอดขายระหว่างออนไลน์กับออฟไลน์อยู่ที่ 50 : 50

ปี 2568 เราตั้งเป้ารายได้ 400 ล้านบาท ครองมาร์เก็ตแชร์ตลาดเครื่องสำอาง 1% ที่มีมูลค่าประมาณ 4-5 หมื่นล้านบาท ก่อนที่ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ที่ลอนช์สินค้ามากขึ้น จะมีมาร์เก็ตแชร์เป็น 3-5%

ขณะเดียวกัน เรามีแผนใช้งบการตลาด 10-20% จากยอดขาย เพื่อทำการสื่อสารถึงคนรุ่นใหม่ให้หนักขึ้น โดยตอนนี้อยู่ระหว่างการศึกษาหาพรีเซ็นเตอร์หลายราย เจาะกลุ่ม Gen Z ครอบคลุมทั้งกลุ่มนักแสดงและอินฟลูเอนเซอร์

แตกไลน์บุกสกินแคร์-เพอร์ชันนอลแคร์ ครั้งแรก

ธัญญ์ฐิตา ทรัพยศิรินารากุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ้านาง (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวเสริมว่า ในปี 2569 บริษัทฯ เตรียมลอนช์สินค้าเครื่องสำอางเพิ่มอีก 8 ชิ้น รวมถึงการแตกไลน์สินค้า ทำสกินแคร์ครั้งแรก นำร่อง เซรั่ม และ ครีม ในรูปแบบซอง

ขณะที่อีก 2-3 ปีข้างหน้า (พ.ศ. 2570-2571) เจ้านาง มองไปถึงการนำแบรนด์เข้าไปมีส่วนร่วมกับผู้บริโภคตั้งแต่หัวจรดเท้า ผ่านการขยายสินค้าสู่ Personal Care อาทิ ยาสระผม สบู่

ตลาดสกินแคร์ และตลาด Personal care มีขนาดใหญ่กว่าตลาดเครื่องสำอาง ถือเป็นโอกาสการเติบโตของเจ้านางในการขยายตลาดให้กว้างขึ้น

ธัญญ์ฐิตา ทรัพยศิรินารากุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ้านาง (ไทยแลนด์) จำกัด

เบื้องต้น ในปี 2568 เจ้านางเริ่มเปิดโรงงานผลิต ที่จังหวัดขอนแก่น มูลค่า 100 ล้านบาท เพื่อเดินเครื่องการผลิตในส่วนเครื่องสำอาง อาทิ ลิปสติก บลัชออน และอนาคตอาจเพิ่มการผลิตไลน์สกินแคร์ จากปัจจุบันมีการผลิตสินค้าเอง สัดส่วน 10% และอีก 90% เป็นการจ้างผลิต (OEM) ในจีนและเกาหลีใต้

จากแผนข้างต้น เจ้านาง ตั้งเป้าการเติบโตรายได้ ดังนี้

  • ปี 2568 รายได้ 400 ล้านบาท เพิ่มขึ้นราว 67% จากปีก่อนที่ทำได้ 239 ล้านบาท
  • ปี 2569 ตั้งเป้ารายได้ 800 ล้านบาท เติบโต 100%
  • ปี 2570-2571 ตั้งเป้ารายได้ 1,000 ล้านบาท

“แผนใหญ่ของเจ้านาง คือ การตั้งเป้านำแบรนด์ไทยบิวตี้ไปสู่ระดับโลก ขณะนี้ได้เริ่มขยายไปยังประเทศจีน สปป.ลาว และเมียนมา อนาคตมองการบุกประเทศอื่น ๆ ที่มีอินไซด์ผู้บริโภคคล้ายคนไทย เช่น เวียดนาม และมาเลเซีย เป็นต้น”

]]>
1550307
‘สมาคมกุ้งไทย’ มองปีหน้าโอกาสทองตลาดส่งออก แต่ติดปัญหา ‘ผลผลิต’ วนลูปที่ 2.7 แสนตัน วอน ‘รัฐ’ ดันเป็นวาระชาติแก้วิกฤต https://positioningmag.com/1549909 Tue, 02 Dec 2025 09:47:27 +0000 https://positioningmag.com/?p=1549909 ผลิตได้เท่าเดิมเพราะปัญหาเดิม ๆ

เอกพจน์ ยอดพินิจ นายกสมาคมกุ้งไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบัน ประเทศไทยมีเกษตรกรเลี้ยงกุ้งราว 30,000 ราย โดยผลผลิตในปี 2568 นี้มีปริมาณรวม 270,000 ตัน เท่ากับปีที่ผ่านมา โดยแยกผลผลิตตามภูมิภาคได้ ดังนี้

  • ภาคกลาง: 27,100 ตัน (+1%) คิดเป็น 10% ของผลผลิตรวมทั้งประเทศ 
  • ภาคตะวันออก: 52,300 ตัน (-1%) คิดเป็น 19% ของผลผลิตรวมทั้งประเทศ 
  • ภาคใต้ตอนบน: 100,000 ตัน คิดเป็น 37% ของผลผลิตรวมทั้งประเทศ
  • ภาคใต้ตอนล่างฝั่งอ่าวไทย: 28,600 ตัน (-1%) คิดเป็น 11% ของผลผลิตรวมทั้งประเทศ 
  • ภาคใต้ตอนล่างฝั่งอันดามัน: 62,000 ตัน คิดเป็น 23% ของผลผลิตรวมทั้งประเทศ

ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการผลิตกุ้งไทยในปีนี้ มาจากสภาพอากาศที่แปรปรวนในช่วงต้นปีและปริมาณฝนที่เพิ่มขึ้น ส่งผลกระทบต่อการเลี้ยงของเกษตรกร โดยเฉพาะคุณภาพน้ำและโรคระบาด โดยเฉพาะโรคขี้ขาว และโรคตัวแดงดวงขาว เกษตรกรจึงจับกุ้งเร็วกว่ากำหนด 

“การเลี้ยงกุ้งสมัยนี้เราจำเป็นต้องตรวจกุ้งกันแทบทุกสัปดาห์เลยทีเดียว เกษตรกรรายย่อยไม่สามารถทำเรื่องพวกนี้ได้เอง แต่พอเราไปที่หน่วยงานภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นศูนย์วิจัยต่าง ๆ ความไม่เพียงพอของงบประมาณที่จะมาดูแลเกษตรกรในเรื่องของการป้องกันเรื่องโรค ต้องบอกว่าน้อยมาก ๆ” เอกพจน์ เล่า

นอกจากนี้ ยังถูกซ้ำด้วยมหาอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ ที่สร้างความเสียหายรุนแรงในพื้นที่จังหวัดสงขลา สตูล และปัตตานี คาดว่ามีความเสียหายไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท

“ปริมาณผลผลิตจากพื้นที่ประสบอุทกภัยคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 10% ของผลผลิตทั้งหมด ทั้งความเสียหายทั้งจากผลผลิต และเครื่องมือรวมกันคาดว่าไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท ซึ่งเราก็คาดหวังว่ารัฐบาลจะให้การเยียวยา เพราะหากไม่ได้รับการฟื้นฟูอย่างทันท่วงที อาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อาหารทะเลและการส่งออกของไทยในระยะยาว”

คนไทยบริโภคเพิ่ม แต่ส่งออกน้อยลง

ในปีนี้ตลาดในประเทศเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ จากสถานการณ์การบริโภคกุ้งที่ดีขึ้น โดยเพิ่มขึ้นจาก 1.12 กก./คน/ปี เป็น 2.68 กก./คน/ปี ส่งผลให้ราคากุ้งปีนี้อยู่ในเกณฑ์ดี โดยในช่วงครึ่งปีแรกสูงขึ้น 10-15% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นแรงจูงใจในการลงกุ้งเพิ่ม แต่ในปลายไตรมาส 3 ราคากุ้งอ่อนตัวลงเล็กน้อย 5-10% เพราะปริมาณฝนมากขึ้นเกษตรกรจึงเร่งจับกุ้งก่อนกำหนด

ทั้งนี้ การบริโภคกุ้งในประเทศคิดเป็นประมาณ 15% ของผลผลิตกุ้งทั้งหมด หรือประมาณ 100,000 ตัน/ปี 

สำหรับภาพรวมการส่งออกกุ้ง 10 เดือนแรก (ม.ค.-ต.ค. 2568) อยู่ที่ 106,306 ตัน คิดเป็นมูลค่า 32,881 ล้านบาท ลดลง -6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนทั้งปริมาณ และมูลค่า จากหลายปัจจัยทั้งภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวส่งผลต่อตลาดคู่ค้าสำคัญทั้งญี่ปุ่น จีน และสหรัฐฯ 

ไทยมีโอกาสดี เพราะอินเดียโดนสกัด

ความต้องการบริโภคกุ้งทั่วโลกยังคงสูงอย่างต่อเนื่อง โดยภาพรวมผลผลิตทั่วโลกเพิ่มขึ้น +6% ท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือดในตลาดโลก แต่ในวิกฤตย่อมมีโอกาส โดยเฉพาะการปรับภูมิทัศน์การค้าในตลาดใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกา ที่สกัดคู่แข่งรายสำคัญโดยเฉพาะ อินเดีย ด้วมาตรการ ภาษี

เพราะที่ผ่านมา อินเดียคยเป็นอันดับ 1 ในตลาดสหรัฐฯ (ส่วนแบ่ง 39%) กำลังเผชิญกับ Reciprocal Tariff  ที่รวมกับมาตรการ AD/CVD (มาตรการการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน) แล้วสูงถึง 57-61% คาดการณ์ว่าสต็อกกุ้งอินเดียในสหรัฐฯ จะหมดลงในปี 2569 และผลผลิต 300,000 ตันของอินเดียจะหายไปจากตลาดนี้ ทำให้เกิดช่องว่างขนาดใหญ่ที่เปิดโอกาสให้กุ้งทั่วโลก โดยเฉพาะกุ้งไทยเข้าแทนที่

ที่ผ่านมา ไทยมีส่วนแบ่งในตลาดสหรัฐฯ เพียง 4% รองจากเวียดนาม (9%), อินโดนีเซีย (18%), เอกวาดอร์ (25%) และอินเดีย (39%) แต่เมื่อเทียบกับคู่แข่งเหล่านี้ ไทยได้เปรียบด้านภาษี โดยเสียภาษี Reciprocal Tariff เพียง 19% ซึ่งเป็นฐานต่ำสุดเท่าเทียมกันในอาเซียน และเมื่อเทียบกับคู่แข่ง เช่น

  • เอกวาดอร์: รวม CVD แล้วประมาณ 18-19%
  • อินโดนีเซีย: รวม AT แล้ว 22% (และมีปัญหา CVD/ซีเซียม 137 บางส่วน)
  • เวียดนาม: รวม AD/CVD แล้วสูงถึง 50%

ดังนั้น การได้เปรียบทางภาษีนี้ทำให้ ตลาดอเมริกาเป็นที่น่าสนใจอย่างยิ่งสำหรับประเทศไทย ปัจจุบันไทยมีการกระจายตลาดส่งออกที่แข็งแกร่งในช่วง 10 เดือนแรก (ม.ค.-ต.ค.)

  • ญี่ปุ่น: 24%
  • จีน: 23%
  • อเมริกา: 19%
  • กลุ่มประเทศในเอเชีย: 34%

โอกาสมี แต่ผลผลิตไม่ถึง

อย่างไรก็ตาม แม้จะเห็นโอกาสในการส่งออกมากขึ้นในปีหน้า แต่ผลผลิตของไทยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เฉลี่ย ไม่เกิน 3 แสนตัน โดยไม่สามารถกลับไปแตะระดับ 6 แสนตัน เหมือนกับปี 2554-2555 ได้อีกเลย ดังนั้น ทางสมาคมอยากเรียกร้องให้รัฐบาลไทยอนุมัติงบประมาณ 5,400 ล้านบาท เพื่อปรับโครงสร้างการเลี้ยงกุ้งทั้งระบบ เพื่อไปสู่เป้าหมายการผลิต 4 แสนตัน คิดเป็นเม็ดเงิน 100,000 ล้านบาท

โดยทางสมาคมอยากให้ รัฐยกระดับเป็นวาระแห่งชาติ เพื่อเพิ่มผลผลิตกุ้งคุณภาพให้ได้ตามเป้า รวมถึงเร่งเจรจาความตกลงการค้าเสรีกับประเทศนำเข้ากุ้ง ได้แก่ สหภาพยุโรป อังกฤษ และเกาหลีใต้ พร้อมทั้งยกระดับการฟาร์มกุ้งให้สามารถปรับตัวเข้าสู่การรับรองมาตรฐานสากลที่ตลาดต้องการ รวมถึงการดำเนินโครงการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำคาร์บอนต่ำ เพื่อตอบโจทย์ตลาดโลกที่ให้ความสำคัญเรื่องการสร้างความยั่งยืนมากขึ้น

“10 ปีที่ผ่านมา ไทยเสียโอกาสมูลค่า 650,000 ล้านบาท จากการที่ควรจะขายผลิตภัณฑ์กุ้งออกไป ดังนั้น รัฐต้องยกระดับเป็นวาระแห่งชาติ เพราะปีหน้าเป็นปีที่ตลาดเปิดเต็มที่ แต่เราต้องผลิตกุ้งให้ได้ เพื่อคว้าโอกาสทางการตลาดนี้กลับมา” เอกพจน์ ทิ้งท้าย

]]>
1549909
รู้จัก ‘ราอูล โรชา’ นักธุรกิจผู้เข้ามาเขย่าวงการมิสยูนิเวิร์ส และกำลังถูกหมายจับข้อหา ‘ค้ายา อาวุธ น้ำมันเถื่อน’ https://positioningmag.com/1549891 Tue, 02 Dec 2025 08:33:32 +0000 https://positioningmag.com/?p=1549891 คนไทยอาจไม่ค่อยคุ้นเคยกับชื่อของ ราอูล โรชา คานตู (Raúl Rocha Cantú) นักธุรกิจชาวเม็กซิกัน จนกระทั่งเขาได้เข้าซื้อหุ้น 50% ขององค์กรมิสยูนิเวิร์ส จาก บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ของ แอน จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ ดังนั้น Positioning จะพาไปทำความรู้จักกับ ราอูล ว่าเป็นใคร รวยแค่ไหน รวมถึงข่าวฉาวด้านมืด

ราอูล คือใคร?

ต้องบอกก่อนว่า ราอูล โรชา คานตู ไม่ได้เริ่มต้นจากศูนย์ เพราะครอบครัวเขาถือเป็นตระกูลเศรษฐีเก่าของประเทศเม็กซิโก ของครอบครัวใหญ่ที่ดำเนินกิจการมานานกว่าร้อยปี โดยเขาถือเป็นทายาทรุ่นที่ 3

เขาเริ่มฉายแววตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น ด้วยการจบปริญญาตรีด้านบริหารธุรกิจเพียงอายุ 19 ปี ก่อนจะก้าวขึ้นเป็นซีอีโอของบริษัท CYMSA Corporation ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนเครื่องจักรขนาดใหญ่ของเม็กซิโก และสามารถพัฒนาบริษัทนี้ให้เป็นผู้เล่นหลักในภูมิภาค 

ก่อตั้งอาณาจักร LHG

หลังจากนั้น ราอูล ก็ได้สร้างอาณาจักร Legacy Holding Group (LHG) ที่มีตั้งแต่ธุรกิจ พลังงาน การก่อสร้าง การบินส่วนตัว การตลาด เทคโนโลยีค้าปลีก ยานยนต์ ร้านอาหาร และธุรกิจบันเทิง เรียกได้ว่าแทบจะครอบคลุมทุกอุตสาหกรรม

ปัจจุบัน อาณาจักรของเขาอยู่มายาวนานกว่า 35 ปี อยู่ใน 5 ภูมิภาคของโลก ผ่านบริษัทในเครืออย่าง Legacy Energy, BSE Combustibles, Century Aviation, Expansión 2000, Punto X Punto Promociones, TicketApp และ Ariston Automotive 

เข้าสู่ธุรกิจนางงาม

จนมาปี 2024 ชื่อของเขากลายเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก หลังจากที่บริษัท Legacy Holding Group USA ของเขาได้เข้าซื้อหุ้น 50% ขององค์กรมิสยูนิเวิร์ส จาก บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ของ แอน จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ ด้วยมูลค่า 16 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 515 ล้านบาท) 

การซื้อขายครั้งนี้ทำให้เขากลายเป็น ประธานและเจ้าของร่วม (Co-owner) องค์กรมิสยูนิเวิร์ส โดยมีเป้าหมายที่จะนำความเชี่ยวชาญทางธุรกิจระดับโลกมาใช้ในการขยายแบรนด์ MUO ให้เป็นแบรนด์ไลฟ์สไตล์ระดับพรีเมียม

ดราม่าแวดวงนางนาม

หลังจากการประกวดมิสยูนิเวิร์ส 2568 ที่เม็กซิโกคว้ามงกุฎไปครอง ก็เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักเกี่ยวกับความโปร่งใส โดยเฉพาะจากนักธุรกิจชาวฝรั่งเศสเชื้อสายเลบานอนที่ลาออกจากคณะกรรมการตัดสิน ได้ออกมากล่าว อ้างว่า ราอูลมีสายสัมพันธ์ทางธุรกิจกับผู้บริหารของบริษัทน้ำมันแห่งชาติเม็กซิโก ซึ่งเป็นบิดาของผู้ชนะการประกวด และมีการขอให้ลงคะแนนเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ

นอกจากนี้ยังมีดราม่าระหว่าง ราอูล กับ ณวัฒน์ อิสรไกรศีล ที่ซื้อลิขสิทธิ์ MUT จาก JKN Global ในการเป็นเจ้าภาพจัดการประกวด มิสยูนิเวิร์สครั้งที่ 74 ที่ประเทศไทย โดยรับผิดชอบการเก็บตัวทำกิจกรรม การดูแลด้านการผลิตและการตลาด การจำหน่ายบัตร รวมถึงด้านอื่นๆ แบบครบวงจร 

เหตุการณ์เกิดจาก ณวัฒน์ ได้มีการโต้เถียงกับ ฟาติมา บอช (Fatima Bosch) Miss Universe เม็กซิโก 2025 ที่ปฏิเสธการทำงานกับสปอนเซอร์จนทำให้นางงามกลุ่มลาติน รวมถึงมิสเม็กซิโก Walk Out ออกจากห้องประชุม

จนทาง ราอูล ได้ออกมาแถลงการณ์ประณามการกระทำของนายณวัฒน์ และได้ประกาศสั่ง จำกัดบทบาทหรือยกเลิกบทบาทของนายณวัฒน์ ในการประกวดทั้งหมดทันที โดยทาง ณวัฒน์ ได้ออกมาชี้แจ้งว่ามีการ ลักลอบโปรโมตเว็บกาสิโนออนไลน์ผิดกฎหมาย 

ภาพจากเว็บไซต์ผู้จัดการ

แอน JKN หนีซุกปีก ราอูล

อีกประเด็นที่หลายคนจับตามองก็คือ ข่าวลือจากรายการ คุยทุกเรื่องกับสนธิ หรือ สนธิทอล์ก โดย สนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการ ที่เล่าว่า แอน JKN ที่ผิดนัดชำระหนี้ และยื่นล้มละลาย จนถูกออกหมายจับนั้น ได้หอบเงิน 6,000 ล้านบาท ที่แปลงเป็นคริปโตเคอเรนซี หนีไปอยู่ที่แม็กซิโก โดยได้ ราอูล ช่วยเหลือ โดยได้สัญชาติ สามารถใช้ชีวิตอยู่ในเม็กซิโกได้อย่างไม่ต้องระแวงกับผลพวงจากวิกฤติการเงินที่ตัวเองก่อขึ้นกับผู้เสียหาย

ข่าวฉาวเกี่ยวกับอาชญากรรมร้ายแรง

ย้อนไปในปี 2011 ราอูลเคยตกเป็นข่าวระดับโลก หลังจากที่มีเหตุการณ์ กลุ่มค้ายาเสพติด Los Zetas โจมตี Casino Royale ซึ่งเป็นหนึ่งในกิจการภายใต้การบริหารของเขา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 50 ราย โดย ราอูล ได้ถูกสอบสวนในฐานะเจ้าของกิจการจากข้อหาความบกพร่องด้านความปลอดภัยของอาคาร แต่ภายหลังเขายืนยันว่าไม่เคยถูกหมายจับ และสามารถพิสูจน์ความบริสุทธิ์จนชนะคดีได้ 

ล่าสุด สำนักงานอัยการสูงสุดเม็กซิโกได้รายงานการออกหมายจับผู้ต้องสงสัยหลายรายในข้อหาเกี่ยวข้องกับ การเป็น ผู้นำองค์กรอาชญากรรม ที่ลักลอบค้ายาเสพติด, อาวุธสงคราม, และน้ำมันเถื่อนระหว่างกัวเตมาลาและเม็กซิโก หลังจากมีการเปิดการสอบสวนมานานกว่า 1 ปี ก่อนจะยื่นนขอหมายจับราอูลตั้งแต่เมื่อเดือนส.ค. ที่ผ่านมา

โดยในระหว่างการสืบสวน สำนักงานอัยการฯ ได้บุกค้นบ้านพักหลายแห่งและอ้างว่าพบหลักฐานการโอนเงินจำนวน 2.1 ล้านเปโซจากราอูลา เพื่อสนับสนุนองค์กรอาชญากรรมดังกล่าว นอกจากนี้ยังพบความเชื่อมโยงกับนักการเมืองและเจ้าหน้าที่ทุกระดับ เพื่อดำเนินภารกิจต่าง ๆ

ทั้งนี้ ตามรายงานของ Reforma ระบุว่า ราอูล ได้เจรจากับสำนักงานอัยการสูงสุดในเดือนต.ค. เพื่อขอทำข้อตกลงการยอมให้ข้อมูลสำคัญเพื่อแลกกับ ความคุ้มครองทางกฎหมาย

]]>
1549891
TripBuilder สตาร์ทอัพที่เกิดขึ้นเพราะอยากให้การเดินทางเป็นเรื่องสนุก https://positioningmag.com/1549877 Tue, 02 Dec 2025 07:36:36 +0000 https://positioningmag.com/?p=1549877 ทำความรู้จัก TripBuilder สตาร์ทอัพด้าน AI Travel Assistant จากเกาหลีที่เตรียมบุกตลาดไทย ซึ่งเริ่มต้นจากต้องการแก้ pain point ให้สามารถจัดการทริปได้ง่ายขึ้นแบบ one stop service เพื่อให้การเดินทางเป็นเรื่องสนุก

 

จากสถิติพบว่า มูลค่าการจองท่องเที่ยวออนไลน์ในอาเซียนเกิน 59,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และในระยะอันใกล้อัตราการใช้บริการออนไลน์อาจแตะ 74% ขณะที่ตลาดเทคโนโลยีการท่องเที่ยวทั่วโลกมีมูลค่าราว 11,100 ล้านดอลลาร์ และอาจขยายสู่ระดับ 18,700 ล้านดอลลาร์ ตามการเติบโตของบริการเชิงประสบการณ์

 

การเติบโตดังกล่าวถือเป็นโอกาสทางธุรกิจที่มหาศาล จึงทำให้เกิดสตาร์ทอัพเพื่อให้บริการท่องเที่ยวออนไลน์มากขึ้น รวมถึง TripBuilder สตาร์ทอัพด้าน AI Travel Assistant จากเกาหลีที่เตรียมตัวมาเปิดตลาดในประเทศไทย เนื่องจากมองเห็นศักยภาพการเป็นศูนย์กลางการเดินทางและท่องเที่ยวในบ้านเรา

 

ฮูเยน Marketer ของ TripBuilder เล่าว่า จุดเริ่มต้นของสตาร์ทอัพแห่งนี้ บริษัทฯ มาจาก ‘คิม มยองจุน’ ซึ่งเป็น    ผู้ก่อตั้งขึ้นและก่อตั้ง TripBuilder ชอบท่องเที่ยว แต่การไปทริปแต่ละครั้งต้องพบกับไม่สะดวกมากมายทั้งตั๋ว    เครื่องบิน โรงแรม การเดินทางในเมือง และกิจกรรมที่กระจัดกระจายอยู่หลายที่ ผู้ใช้ต้องเปรียบเทียบและตัดสินใจ ซ้ำไปซ้ำมา

 

TripBuilder จึงเริ่มต้นขึ้นมา เพื่ออยากแก้ปัญหาความยุ่งยากดังกล่าว ด้วยการใช้เทคโนโลยี โดยเฉพาะ AI เข้ามาช่วยแก้ปัญหา ภายใต้จุดเด่น คือ การใช้ Data วิเคราะห์ตั้งแต่เที่ยวบิน โรงแรม การเดินทางภายในพื้นที่ กิจกรรมท้องถิ่น รูปแบบการเดินทาง

 

โดยดูจากงบประมาณ เวลาที่มี รูปแบบการเดินทาง ความชอบส่วนตัว ไปจนถึงพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้ใช้แต่ละคน และสามารถปรับแผนได้ตลอดเวลา เช่น ถ้าฝนตก ร้านปิด คนแน่น หรือเวลาไม่พอ AI จะเสนอทางเลือกใหม่ที่เหมาะกับสถานการณ์นั้นทันที

 

เป้าหมาย เพื่อให้สามารถนำเสนอทริปการเดินทางที่ดีที่สุดให้กับผู้ใช้ในช่วงเวลานั้นจริง ๆ ไม่ใช่แค่โชว์ข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นการจองไฟลท์บินและโรงแรม แนะนำร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว และกิจกรรมต่าง ๆ แบบ one stop service ให้ผู้ใช้ควบคุมทุกขั้นตอนของการเดินทางได้ในหน้าจอเดียวจริง ๆ

 

OTA หรือ แพลตฟอร์มจองท่องเที่ยวแบบเดิม ทำแค่แสดงข้อมูลให้เลือก แต่ AI ของเราจะเข้าใจสถานการณ์และความต้องการของผู้ใช้ แล้วคัดตัวเลือกที่เหมาะที่สุดให้ทันที ดังนั้น AI ในวันนี้ไม่ได้เป็นแค่ตัวช่วยเสริม แต่เป็นหัวใจหลักของการวางแผนท่องเที่ยวยุคใหม่ ทำให้บทบาทของนักท่องเที่ยวเปลี่ยนจากการหาข้อมูล มาเป็นการใช้เวลาไปกับการเดินทางจริง ๆ มากขึ้น”

 

ไทยประเทศแห่งโอกาส

 

ฮูเยน กล่าวว่า สำหรับ TripBuilder แล้ว ประเทศไทยเป็นประเทศแห่งโอกาส เพราะเป็นหนึ่งในปลายทางที่ได้รับความนิยมสูงจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ และเป็นตลาดที่เปิดโอกาสให้เกิดความร่วมมือหลากหลายด้านเทคโนโลยีการเดินทาง

 

ดังนั้น จึงต้องการร่วมสร้าง ecosystem ด้านการท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ร่วมกับพาร์ทเนอร์ท้องถิ่น ทั้งด้านการคมนาคม โรงแรม กิจกรรมท่องเที่ยว ประกันภัย และการชำระเงิน โดยจะเห็นความเคลื่อนไหวในปี 2026

 

“เราไม่ใช่แค่การเป็นเพียงแพลตฟอร์มเท่านั้น แต่เราตั้งใจจะเป็นบริษัทที่สร้างมาตรฐาน AI ด้านการเดินทางระดับโลก นักท่องเที่ยวในอนาคตจะไม่ต้องค้นหาเอง เพราะ AI จะเตรียมให้ล่วงหน้า เข้าใจบริบท และเสนอเส้นทางที่ดีที่สุด”

]]>
1549877
นักการตลาดชี้ ปี 2026 คือ ปีแห่งการคัด ‘ตัวจริง’ https://positioningmag.com/1549808 Tue, 02 Dec 2025 04:45:37 +0000 https://positioningmag.com/?p=1549808 เป็นประเด็นขึ้นมาอีกครั้งสำหรับ ‘สถานการณ์เศรษฐกิจ’ ของบ้านเราในปี 2026 ซึ่งนักการตลาดหลายคนมองว่า โหดกว่าปีนี้แน่นอน และจะปีแห่งการวัดการเป็น ‘ตัวจริง’

 

รวิศ หาญอุตสาหะ ซีอีโอ บริษัท ศรีจันทร์สหโอสถ จำกัด เจ้าของเพจและช่อง Mission To The Moon โพสต์บนเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า

 

จากที่ทำงานมา 25 ปีขอทำนายเลยว่าปี 2026 จะเป็นปีที่เศรษฐกิจโหดสุดๆ แน่นอน การค้าขายจะฝืดเคือง กำลังซื้อจะหายไปอีกเยอะ บรรยากาศจะแย่ลงกว่านี้อีกเยอะ งบต่างๆ จะถูกตัดเพียบ ทั้งบริษัทและผู้คนจะรัดเข็มขัดแบบสุดๆ

ตอนนี้กำลังซื้อกระทบมาถึงระดับบนแล้วแบบที่ไม่เคยเจอมาก่อน ตอนโควิดยังเบากว่านี้เยอะ

ปีหน้าจะเป็นปีที่วัดฝีมือผู้บริหารเลยว่าที่ผ่านมาเก่งจริงหรือว่าแค่ฟลุก

ปีหน้าจะเป็นปีที่วัดพลังของแบรนด์เลยว่าของจริงรึเปล่า

ปีหน้าจะเป็นปีทีวัดเลยว่าใครที่มี value ที่แท้จริง หรือใครทีผ่านมาเป็นแค่ free rider

ถ้ามีข่าวดีเข้ามาก็ดีครับ แต่ส่วนตัวคิดว่าปีหน้าข่าวร้ายมากกว่าข่าวดีแน่นอน

 

ความเห็นนี้สอดคล้องกับผลสำรวจ Marketing Trends: 2026 Way Forward ในงาน Thailand Marketing Day 2025: Prompt The Future ซึ่งรวบรวมข้อมูลจาก MAT CMO COUNCIL เครือข่าย Top Management ระดับประเทศ 126 คน พบว่า

 

เศรษฐกิจในปี 2026 ‘โตยากมาก’ นับตั้งแต่ทำการสำรวจมา โดยจะมีการเติบโตเพียง 0.9% จากเดิมคาดว่า จะโต 1.6-3%

 

จากผลสำรวจดังกล่าว 56% ของผู้บริหารมองตรงกันว่า ปีหน้าจะเป็นปีที่ทำการตลาดยากที่สุด และเป็นปีแห่งการ ‘คัดตัวจริง’ ซึ่งใครยังทำงานแบบเดิม และหวังพึ่งงบแบบเยอะๆ อาจจะอยู่ได้ยาก

 

สำหรับปัจจัยลบที่จะทำให้เป็นเช่นนั้น

1.Customer Changes พฤติกรรมของลูกค้ามีการเปลี่ยนแปลงที่ซับซ้อน ทำให้เข้าใจได้ยากขึ้น

2.Politics การเมืองในประเทศที่ยังไม่แน่นอน ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงหลักๆ

3.Digital Technology การเข้ามาดิสรัปต์ของเทคโนโลยีใหม่ๆ

 

ส่วนทางรอดในปี 2026 ทาง ‘ดร.สมชาติ วิศิษฐชัยชาญ’ อุปนายกฝ่ายองค์ความรู้ด้านการตลาด และ ‘ผศ. ดร. เอกก์ ภทรธนกุล’ อุปนายกฝ่ายกิจกรรมการสื่อสารและการตลาดยั่งยืน สมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย แนะนำนักการตลาดว่า

 

A – Analytical Thinking + AI : การคิดแบบวิเคราะห์ โดยอย่าให้ AI คิดแทน แต่ให้ใช้ AI ช่วยวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อให้อ่านเกมได้ขาดและแม่นยำ

B – Balance Budget for Profitability: สร้างสมดุลในการดำเนินกลยุทธ์และการลงทุนแบบรู้จังหวะการบุกและการถอย เพื่อให้ผลลัพธ์สุดท้ายที่ออกมา คือ ‘กำไร’

C – Creativity under Constraints: ยิ่งงบน้อย ยิ่งต้องสร้างสรรค์ และได้งานครีเอทีฟที่มีคุณภาพ ไม่ใช่ Drama Queen หรือคอนเทนต์ดราม่าเรียกเสียงวิจารณ์

D – Data with Purpose: เก็บและใช้ข้อมูลอย่างมีเป้าหมายเพื่อสร้างความยั่งยืน ไม่ใช่เน้นจำนวนแต่ไม่มีคุณภาพ

 

บทสรุปของการตลาดในปี 2026 คือ ต้องปรับตัว มีความยืดหยุ่น และพยายามสร้างสมดุลในการใช้ให้เกิดกำไร เพื่อจะเป็นผู้ชนะในปีที่เศรษฐกิจโตยากที่สุด

]]>
1549808