HOT UPDATE – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 26 Apr 2024 11:46:43 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ผู้บริโภคเตรียมตัว! ภัยแล้งกระทบผลผลิต “กาแฟ” เวียดนาม – บราซิล ราคาพุ่งสูงสุดในรอบ 16 ปี https://positioningmag.com/1471281 Fri, 26 Apr 2024 09:22:51 +0000 https://positioningmag.com/?p=1471281 คอกาแฟเตรียมรับแรงกระแทกด้านราคา ภัยแล้งปีนี้กระทบหนักต่อผลผลิต “กาแฟ” ในเวียดนามและบราซิล สองแหล่งปลูกเมล็ดกาแฟโรบัสตาหลักของโลก ราคาเมล็ดกาแฟพุ่งขึ้นสูงสุดในรอบ 16 ปี คาดต้นทุนราคาจะถูกส่งต่อเป็นลูกโซ่สู่ผู้บริโภคปลายทาง

“เวียดนาม” เป็นแหล่งเพาะปลูกและส่งออกเมล็ดกาแฟสายพันธุ์โรบัสตาที่ใหญ่ที่สุดคิดเป็นสัดส่วน 1 ใน 3 ของซัพพลายทั่วโลก ตามด้วย “บราซิล” ที่ส่งออกมากไม่แพ้กัน แต่ทั้งสองประเทศนี้กำลังเผชิญภัยแล้งจาก “เอลนีโญ” ซึ่งทำให้ราคาเมล็ดกาแฟในตลาดฟิวเจอร์พุ่งขึ้นสูงสุดในรอบ 16 ปี

ปัญหาโลกร้อนกระทบทำให้เกิดภัยแล้งในเวียดนาม จะทำให้การเพาะปลูกกาแฟปีนี้ติดดอกติดผลได้น้อยลง มีผลต่อเนื่องถึงการเก็บเกี่ยวเมล็ดกาแฟปีหน้าที่จะมีซัพพลายน้อยลงแน่นอน เมื่อแนวโน้มเป็นเช่นนี้ทำให้ราคาเมล็ดกาแฟปรับขึ้นและมีการส่งออกน้อยลง

เมื่อเดือนมีนาคม 2024 สมาคมกาแฟแห่งเวียดนามคาดการณ์ว่า การส่งออกกาแฟของประเทศจะลดลง 20% ในช่วงเดือนตุลาคม 2023 – เดือนกันยายน 2024 เทียบกับช่วงเดียวกันของรอบปีก่อนหน้า

Tran Thi Lan Anh ผู้ช่วยผู้อำนวยการบริษัท Vinh Hiep บริษัทนำเข้าส่งออกของเวียดนาม นำความเห็นจากเกษตรกรและพ่อค้าคนกลางในตลาดกาแฟมารายงานว่า ราคาเมล็ดกาแฟต่อกิโลกรัมน่าจะปรับขึ้นได้อีก 15% จากราคาปัจจุบัน โดยสำนักข่าว Bloomberg รายงานว่า โอกาสที่กาแฟจะขึ้นราคาได้อีกทำให้เกษตรกรเวียดนามพากัน ‘กักตุน’ กาแฟไว้ก่อนเป็นบางส่วน เพื่อหวังว่าจะขายได้ในราคาที่สูงขึ้นอีกในอนาคต

ฝั่งซัพพลายกาแฟน้อยลง แต่ฝั่งดีมานด์ปรับเพิ่มขึ้น จึงทำให้ราคากาแฟทะยาน ปัจจุบันตลาดที่กำลังมาแรงสำหรับการขายกาแฟคือ “เอเชีย” เพราะเศรษฐกิจเอเชียมีแนวโน้มเป็นขาขึ้น ประชากรมีรายได้ใช้จ่ายมากขึ้น และ “กาแฟ” คือหนึ่งในสินค้าที่คนนิยม สถิติจากองค์กรกาแฟสากล พบว่า การบริโภคกาแฟในทวีปเอเชียเมื่อปี 2023 ปรับขึ้น 15% เทียบกับปี 2018 และเป็นตลาดใหญ่อันดับ 2 ของโลกรองจากทวีปยุโรป

กาแฟพันธุ์โรบัสตาเป็นกาแฟที่มักจะใช้ในการผลิตกาแฟผงสำเร็จรูป แต่ต้นทุนที่สูงขึ้นนี้คงต้องรออีกสักพักกว่าที่จะกระทบเป็นลูกโซ่ถึงผู้บริโภคปลายทาง

Source

]]>
1471281
UN เผย ‘เอเชีย’ ขึ้นแท่นทวีปที่ได้รับผลกระทบจากปัญหา ‘สภาพอากาศสุดขั้ว’ มากที่สุดในปี 2023 https://positioningmag.com/1471267 Fri, 26 Apr 2024 08:45:09 +0000 https://positioningmag.com/?p=1471267 เชื่อว่าคนไทยทุกคนต่างก็สัมผัสได้กับ ความร้อน ที่สูงขึ้นทุกปี ๆ และแน่นอนว่าไม่ใช่แค่ประเทศไทย แต่หลายประเทศในภูมิภาคเอเชียต่างก็เจอกับปัญหา สภาพอากาศสุดขั้ว ที่เกิดจากภาวะโลกร้อน ซึ่ง UN ได้เปิดเผยว่า เอเชีย ถือเป็นภูมิภาคที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดในปีที่ผ่านมา

องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก World Meteorological Organization : WMO) ซึ่งเป็นหน่วยงานสภาพอากาศของสหประชาชาติ (UN) ระบุว่า ในปี 2023 ที่ผ่านมา เอเชียเป็นภูมิภาคที่ประสบภัยพิบัติมากที่สุดในโลก เนื่องจากสภาพอากาศที่รุนแรงและภัยคุกคามด้านสภาพภูมิอากาศทวีความรุนแรงมากขึ้นเนื่องจากภาวะโลกร้อน

“ในปีที่ผ่านมา หลายประเทศในภูมิภาคเอเชียเผชิญกับปีที่ร้อนที่สุดเป็นประวัติการณ์ ควบคู่ไปกับสภาวะที่รุนแรง ตั้งแต่ภัยแล้ง คลื่นความร้อน ไปจนถึงน้ำท่วมและพายุ” เซเลสต์ เซาโล เลขาธิการ WMO กล่าว

ประชาชนมากกว่า 9 ล้านคน บนทวีปได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมและพายุ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 2,000 ราย ขณะเดียวกันแนวโน้มคลื่นความร้อนที่เพิ่มขึ้นในภูมิภาคยังคงดำเนินต่อไป โดยรายงานเตือนว่า ตัวบ่งชี้การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่สำคัญ เช่น อุณหภูมิพื้นผิว การละลายของธารน้ำแข็ง และการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล ส่งสัญญาณถึงสภาวะที่เลวร้ายลงและความจำเป็นในการป้องกันความเสี่ยงจากภัยพิบัติที่เพิ่มมากขึ้นในเอเชีย

ในปี 2023 อุณหภูมิเฉลี่ยทั่วเอเชียสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ เนื่องจากแนวโน้มภาวะโลกร้อนเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่านับตั้งแต่ช่วงปี 1960-1990 ซึ่งทำให้เอเชียร้อนขึ้นเร็วกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลก โดยมีผู้เสียชีวิตและความสูญเสียทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น โดยรายงานพบว่า อุณหภูมิในพื้นที่ตั้งแต่ไซบีเรียตะวันตกไปจนถึงเอเชียกลาง และจากจีนตะวันออกไปจนถึงญี่ปุ่นนั้นสูงขึ้นเป็นพิเศษ ในขณะที่ประเทศต่าง ๆ เช่น ญี่ปุ่นและคาซัคสถานเผชิญกับความร้อนที่ร้อนสูงสุดเป็นประวัติการณ์

แม้ว่า WMO พบว่าพื้นที่ส่วนใหญ่ในเอเชียได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนฝนอย่างมาก แต่ก็มีเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วมากมายที่ทำให้เกิดฝนตกหนักและน้ำท่วม ตามรายงานล่าสุดพบว่า น้ำท่วมรุนแรงในจีนและความแห้งแล้งในอินเดียทำให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจส่วนใหญ่ในเอเชียแปซิฟิกมูลค่า 6.5 หมื่นล้านดอลลาร์ ในปีที่แล้ว

น้ำท่วมหนักทางตอนเหนือของจีนในเดือนกรกฎาคม ซึ่งประสบพายุที่เลวร้ายที่สุดในรอบหลายปี ในขณะที่เมืองหลวงของปักกิ่งมีฝนตกหนักที่สุดในรอบ 140 ปี ส่วนทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีนประสบปัญหาภัยแล้งอย่างต่อเนื่อง โดยมีปริมาณน้ำฝนต่ำกว่าปกติเกือบทุกเดือนของปี 2023 

อินเดียยังต้องเจอกับปัญหาน้ำท่วมและความแห้งแล้ง และในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา อินเดียมีเดือนที่ร้อนที่สุดในโลกนับตั้งแต่เคยบันทึกไว้ และอินเดียยังเผชิญกับคลื่นความร้อนในเดือนเมษายนและมิถุนายน ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตจากโรคลมแดดมากกว่า 100 ราย 

Source

]]>
1471267
ผลสำรวจเผยชาวจีนอยากท่องเที่ยวต่างประเทศแต่ยังไม่ได้จองตั๋วในปีนี้มากถึง 40% มองประเทศไทยทำการแคมเปญการตลาดได้ดี https://positioningmag.com/1471162 Thu, 25 Apr 2024 10:55:09 +0000 https://positioningmag.com/?p=1471162 Dragon Trail Research ได้เปิดเผยผลสำรวจชาวจีนเกี่ยวกับมุมมองการท่องเที่ยวในเดือนเมษายนว่า ชาวจีนมากถึง 40% มีแผนที่จะท่องเที่ยวต่างประเทศ แต่ยังไม่มีการจองตั๋วแต่อย่างใด ขณะที่ผู้จองตั๋วและมีการเดินทางท่องเที่ยวในต่างประเทศมีเพียงแค่ 5% เท่านั้น ขณะเดียวกันก็มองว่าประเทศไทยนั้นทำการตลาดแคมเปญได้ประทับใจ

Dragon Trail Research สำรวจชาวจีนมากถึง 1,015 ราย เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นทั้งเมืองใหญ่และเมืองรองทั่วประเทศ และสอบถามโดยตั้งคำถามว่ามีแผนที่จะท่องเที่ยวต่างประเทศในปี 2024 นี้หรือไม่ พบว่า 40% มีแผนที่จะท่องเที่ยวต่างประเทศ แต่ยังไม่มีการจองตั๋วแต่อย่างใด รองลงมาคือไม่แน่ใจว่าปีนี้จะได้ท่องเที่ยวต่างประเทศหรือไม่ 27% ขณะที่ 18% ได้มีการจองตั๋วทริปต่างประเทศแล้ว 10% นั้นไม่มีแผนออกนอกประเทศจีน ที่เหลืออีก 5% ได้เดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศเรียบร้อยแล้ว

ในเรื่องของความปลอดภัยในแต่ละประเทศ สำหรับประเทศไทย ชาวจีนที่ได้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ 39% ไม่แน่ใจในเรื่องความปลอดภัยของประเทศไทย 34% มองว่าไม่ปลอดภัย ที่เหลืออีก 24% เชื่อมั่นว่าปลอดภัย

ประเทศไทยในมุมมองของชาวจีนที่ตอบแบบสอบถามของบริษัทที่ปรึกษาดังกล่าวถือว่าปลอดภัยต่ำกว่าหลายประเทศ เช่น อียิปต์ เม็กซิโก ด้วยซ้ำ แม้ว่าผลสำรวจในเดือนเมษานี้แสดงให้เห็นว่าชาวจีนเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นในความปลอดภัยของประเทศไทยก็ตาม

ขณะที่แผนการเดินทางนอกเหนือจากทวีปเอเชียของชาวจีนที่ตอบแบบสอบถามดังกล่าวนั้นลดลงเหลือ 60% จากเดิมมากถึง 75% ในปี 2023 ที่ผ่านมา โดยทวีปยุโรปยังเป็นเป้าหมายหลักของชาวจีน

ข้อมูลจาก Dragon Trail Research

สิ่งที่ดึงดูดให้ชาวจีนเดินทางออกนอกประเทศนั้น ในแบบสอบถามมีคำตอบ เช่น วิวทิวทัศน์ที่หลากหลาย วัฒนธรรมที่แตกต่าง ผู้คนของแต่ละท้องถิ่น และอาหารแปลกใหม่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนช่วยเปิดโลกทัศน์ให้กับชาวจีนนั้นกว้างไกลมากขึ้น

ค่าใช้จ่ายในการใช้จ่ายประเทศนั้น ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ราวๆ 10,000 ถึง 30,000 หยวนต่อทริป ชาวจีนส่วนใหญ่ที่ตอบแบบสอบถาม 73% มองถึงค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับอาหารการกินในต่างแดนเป็นหลัก รองลงมาคือสินค้าของประเทศนั้นๆ ขณะที่สินค้าประเภทเครื่องสำอางหรือเสื้อผ้า เครื่องประดับ เป็นสัดส่วนรองลงมา

แพลตฟอร์มที่ชาวจีนไว้หาข้อมูลสำหรับการท่องเที่ยวส่วนใหญ่คือ Xiaohongshu โดย Dragon Trail Research แนะนำให้แบรนด์ที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวทำแคมเปญการตลาดผ่านแพลตฟอร์มดังกล่าวเป็นหลักในปี 2024 นี้

นอกจากนี้ในผลสำรวจของ Dragon Trail Research ยังชี้ว่าการทำการตลาดของประเทศไทย ที่เกี่ยวกับด้านท่องเที่ยวนั้นสามารถสร้างความประทับใจให้กับชาวจีนได้ โดยประเทศมีอันดับรองลงมาคือ สิงคโปร์ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ มัลดีฟ เป็นต้น

]]>
1471162
“ซับเวย์” เปลี่ยนสู่มือ “พีทีจี” ตั้งเป้าขยาย 500 สาขาใน 10 ปี เปิดโมเดล “ไดรฟ์ทรู” ที่ปั๊มพีที นครชัยศรี https://positioningmag.com/1471172 Thu, 25 Apr 2024 10:41:05 +0000 https://positioningmag.com/?p=1471172
  • “ซับเวย์” (Subway) ในไทยเปลี่ยนมืออีกครั้งหลัง “โกลัค” ได้สิทธิบริหารมาสเตอร์แฟรนไชส์ โดยบริษัทนี้เป็นการร่วมทุนระหว่างยักษ์พลังงาน “พีทีจี” กับ “เพชรัตน์ อุทัยสาง”​ ผู้บริหารมือเก๋าในวงการ QSR
  • ปัจจุบันซับเวย์ในไทยมีอยู่ 148 สาขา โกลัคจะลงทุนเพิ่มปีละ 50 สาขา รวม 10 ปี 500 สาขา และจะเป็น Top 3 ในธุรกิจ QSR เมืองไทยภายใน 3 ปี
  • โมเดลร้านแบบใหม่จะเปิดร้านแบบ “ไดรฟ์ทรู” ที่ปั๊มพีที นครชัยศรี ภายในไตรมาส 4
  • “บริษัท โกลัค จำกัด” ประกาศได้สิทธิมาสเตอร์แฟรนไชส์แต่เพียงผู้เดียวของแบรนด์ร้าน “ซับเวย์” (Subway) ในไทยตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2567 โดยบริษัทนี้เป็นบริษัทร่วมทุนของยักษ์ใหญ่พลังงานอย่าง “บมจ.พีทีจี เอ็นเนอยี” (PTG) ถือหุ้น 70% กับ “เพชรัตน์ อุทัยสาง” ถือหุ้น 30% (รวมทั้งในนามบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล)

    (ซ้าย) “พิทักษ์ รัชกิจประการ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.พีทีจี เอ็นเนอยี และ (ขวา) “เพชรัตน์ อุทัยสาง” กรรมการผู้จัดการ บริษัท โกลัค จำกัด

    “พิทักษ์ รัชกิจประการ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.พีทีจี เอ็นเนอยี กล่าวว่าธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม (F&B) คือ 1 ใน 8 ธุรกิจหลักที่บริษัทจะเข้าลงทุนตามแผนการกระจายพอร์ตโฟลิโอ (Diversify) โดยพีทีจีมี F&B ที่เป็นเรือธงอยู่แล้วอย่าง “กาแฟพันธุ์ไทย” ที่ขยายไปกว่า 800 สาขาทั่วประเทศ การได้สิทธิร้าน “ซับเวย์” เข้ามาในพอร์ตจะเป็นจุดเริ่มต้นความเปลี่ยนแปลงในการขยายพอร์ตธุรกิจนี้ให้กว้างขึ้น โดยจะใช้โกลัคเป็นบริษัทที่คว้าสิทธิการบริหาร F&B แบรนด์อื่นๆ เข้ามาอีกในอนาคต

    ปัจจุบันธุรกิจกลุ่มที่ไม่ใช่น้ำมัน (Non-Oil) คิดเป็นสัดส่วนกว่า 20% ในรายได้รวมของพีทีจี พิทักษ์กล่าวว่า บริษัทมีเป้าหมายจะทำให้สัดส่วนกลุ่มนี้ขึ้นไปแตะ 40-50% ภายในปี 2570

     

    โหมขยาย 500 สาขา “ซับเวย์” ภายใน 10 ปี

    “เพชรัตน์ อุทัยสาง” กรรมการผู้จัดการ บริษัท โกลัค จำกัด กล่าวต่อถึงเป้าหมายของ “ซับเวย์” ในไทยภายใต้การบริหารของโกลัค จะมีการขยายสาขารวม 500 สาขาภายใน 10 ปี หรือเฉลี่ยปีละ 50 สาขา โดยใช้งบลงทุนเฉลี่ยสาขาละ 4-5 ล้านบาท

    จากเป้าหมายดังกล่าว เชื่อว่าซับเวย์จะได้ขึ้นเป็น Top 3 ร้านอาหารประเภทจานด่วน หรือ QSR (Quick Service Restaurant) ในไทยภายใน 3 ปี โดยวัดทั้งจากด้านรายได้และจำนวนสาขา

    หากวัดจากจำนวนสาขา Positioning พบว่าถ้าซับเวย์ขยายได้ตามเป้า อนาคตจะเป็นรองแค่เพียง “KFC” ที่เปิดไปมากกว่า 1,000 สาขา (*รวมสิทธิแฟรนไชส์ของทุกบริษัท) และ “แมคโดนัลด์” ซึ่งมีกว่า 220 สาขาในปัจจุบัน

    ซับเวย์
    ตัวอย่างเมนูแซนด์วิชของซับเวย์

    เพชรัตน์กล่าวต่อว่า แผนการเปิดสาขาจะมีการขยายไปทุกจุดที่มีโอกาส ไม่ว่าจะเป็นศูนย์การค้า คอมมูนิตี้มอลล์ โรงพยาบาล สนามบิน ตึกสำนักงาน และสถานีน้ำมัน ซึ่งกรณีสาขาในปั๊มน้ำมันจะไม่มีการจำกัดโอกาสเรื่องที่ตั้ง สามารถเปิดในปั๊มน้ำมันได้ทุกแบรนด์

    นอกจากสถานที่ตั้งแล้ว เพชรัตน์มองว่าซับเวย์จะต้องเจาะตลาดต่างจังหวัดให้มากกว่าเดิม โดยวางเป้าจะบุกตลาดเมืองท่องเที่ยวและหัวเมืองการศึกษาเป็นหลัก เช่น ภูเก็ต เมืองพัทยา ขอนแก่น เชียงใหม่

    ซับเวย์ ภายใต้โกลัคจะเริ่มเปิดสาขาแรกเดือนมิถุนายนนี้ และจะมีโมเดลใหม่เกิดขึ้นช่วงไตรมาส 4 เป็นร้านแบบ “ไดรฟ์ทรู” ครั้งแรกในไทยของซับเวย์ ซึ่งจะเปิดทำการที่ “ปั๊มพีที นครชัยศรี”

    สำหรับสาขาเดิมของซับเวย์ในไทยมีทั้งหมด 148 สาขา ซึ่งโกลัคจะได้สิทธิเฉพาะการเก็บค่าบริหารแฟรนไชส์ ขณะที่รายได้เต็มจากยอดขายอาหารจะมาจากสาขาใหม่ที่โกลัคเป็นผู้ลงทุนเปิดเองเท่านั้น ซึ่งคาดว่าจะทำรายได้เฉลี่ยปีละ 10 ล้านบาทต่อสาขา (*สำหรับสาขาขนาดมาตรฐาน 50 ตร.ม.)

     

    อยู่มานาน 2 ทศวรรษแต่ยังไม่ปัง

    ประวัติการโลดแล่นของ “ซับเวย์” ในประเทศไทยผ่านความเปลี่ยนแปลงมามาก เพราะแบรนด์นี้เข้ามาเปิดในไทยตั้งแต่ปี 2546 แต่ช่วงเริ่มต้น Subway International บริษัทแม่ของซับเวย์ในสหรัฐฯ เลือกบริหารโดยให้สิทธิแฟรนไชส์ในไทยแยกเป็นหลายบริษัท รวมแล้วเคยมีผู้ได้รับสิทธิพร้อมกันกว่า 20 บริษัท ต่างคนต่างบริหารสาขาในมือตามเขตที่ได้รับสิทธิมา

    ด้วยเหตุที่เคยมีหลายบริษัทถือสิทธิ ซับเวย์จึงไม่ค่อยได้ทำการตลาดเพราะไม่มี ‘เจ้ามือ’ ที่แน่ชัด ทำให้กลุ่มลูกค้าหลักมักจะเป็นชาวต่างชาติที่รู้จักแบรนด์นี้อยู่แล้วมากกว่าคนไทย

    จนกระทั่งปี 2562 มี “บริษัท อะเบาท์ แพสชั่น กรุ๊ป จำกัด” ที่ร้องขอจนได้รับโอกาสจากบริษัทแม่ให้ถือสิทธิมาสเตอร์แฟรนไชส์ในไทย ทำให้ซับเวย์มีการทำการตลาดถึงคนไทยมากขึ้น และมีการขยายสาขาเข้าพื้นที่คนไทย เช่น ปั๊มน้ำมัน

    แต่เมื่อต้นปี 2567 นี้เอง “เพชรัตน์” ระบุว่า ทาง Subway International มีการเปิดเฟ้นหาผู้รับสิทธิมาสเตอร์แฟรนไชส์รายใหม่ในไทย จึงทำให้ “โกลัค” เห็นโอกาสเข้าไปเสนอแผนและสิทธิได้เปลี่ยนมือมาสู่กลุ่มพีทีจี

     

    ยังต้องแก้โจทย์เดิมคือ “สั่งยาก” – “ราคาสูง”

    เพชรัตน์มองว่า ที่จริงแล้วซับเวย์มีจุดแข็งที่ชัดเจน คือการเป็น QSR ที่เหมาะกับ “สุขภาพ” มากที่สุด ด้วยเมนูอาหารมีผักสดให้เลือกหลากหลาย และใช้ขนมปังอบสดใหม่ในร้าน

    ซับเวย์

    เพียงแต่ว่าจุดอ่อนก็มีไม่น้อย จากการวิจัยผู้บริโภคพบว่าส่วนใหญ่รู้สึกว่าร้านซับเวย์ “สั่งยาก” จากการที่ต้องเลือกทั้งชนิดขนมปัง เลือกไส้ เลือกผัก เลือกซอส รวมถึงผู้บริโภคมองว่า “ราคา” ยังแพงกว่าถ้าเทียบกับ QSR แบรนด์อื่น

    ทั้งหมดคือโจทย์ที่ซับเวย์ในไทยจะต้องแก้โจทย์ต่อไป โดยเพชรัตน์วางแผนแก้ไขเรื่องการสั่งอาหารด้วยการจัด “เมนูยอดฮิต” ให้ลูกค้าสั่งได้โดยไม่ต้องเลือกส่วนประกอบต่างๆ เพราะซับเวย์จัดไว้ให้แล้ว รวมถึงจะเริ่มลงระบบ “สั่งอาหารด้วยตนเอง” (Self-Order) ไม่ว่าจะสั่งผ่าน Kiosk หรือผ่าน QR CODE บนมือถือ เพื่อให้ลูกค้าสบายใจขึ้นในการใช้เวลาเลือกและไม่ต้องห่วงว่าจะอ่านออกเสียงชื่อเมนูหรือซอสต่างๆ ผิด

    ส่วนปัญหา “ราคา” เพชรัตน์กล่าวว่าจะแก้โจทย์นี้แน่นอน ขณะนี้กำลังพิจารณาแนวทางต่างๆ เช่น ลดไซส์ เพื่อให้ลูกค้าเข้ามาชิมง่ายขึ้น หรือ พัฒนาเมนูที่ต้นทุนต่ำลง เพื่อทำราคาให้แข่งขันกับ QSR อื่นได้

    การเปลี่ยนมือครั้งนี้ของสิทธิแฟรนไชส์ “ซับเวย์” เป็นการย้ายเข้ามาอยู่ใต้ร่มหลังคาบ้านขนาดใหญ่ จากเครือข่ายของพีทีจีที่มีสมาชิกบัตร PT Max Card มากกว่า 21 ล้านสมาชิก และมีเครือข่ายสถานีน้ำมันมากกว่า 2,000 สาขาทั่วประเทศ น่าจะช่วยให้ซับเวย์มีแต้มต่อมากขึ้นในการเป็น QSR ในดวงใจของคนไทย

    ]]>
    1471172
    Levi’s ขายตรง! อัปเดตเกมเดนิมพันล้าน ผ่านฝีมือนายหญิง “มิเชลล์ แกส” https://positioningmag.com/1470592 Thu, 25 Apr 2024 06:59:32 +0000 https://positioningmag.com/?p=1470592 ต้องบันทึกว่าเมษายน 2567 เป็นช่วงเวลาที่บริษัท Levi Strauss บริษัทแม่ของ Levi’s กลายเป็นข่าวทอล์กออฟเดอะทาวน์มากกว่า 3 เรื่อง ซึ่งทุกเรื่องสะท้อนความเป็นไปในสมรภูมิเดนิมโลกอย่างที่ไม่ได้เห็นกันง่าย ๆ ในรอบหลายปี

    เรื่องแรกคือมูลค่าหุ้นบริษัทแม่ Levi’s นั้นพุ่งพรวด 18% หลังจากประกาศยอดขายเพิ่มขึ้นบนกระแสยีนส์ทรงหลวมที่ทำให้ผู้คนพร้อมใจควักกระเป๋าซื้อกางเกงใหม่แทนกางเกงสกินนี่ขาเล็กที่มีในตู้ ขณะที่เรื่องที่ 2 คือบริษัทยีนส์แห่งนี้สามารถเปลี่ยนสัดส่วนการขายเดนิมจากที่เคยเป็นในช่วงหลายปีก่อน ด้วยการสร้างรายได้เกือบครึ่งหนึ่งของการขายตรงถึงผู้บริโภคผ่านตลาดออนไลน์และหน้าร้านของตัวเอง เป็นการพลิกจากที่ยอดส่วนใหญ่มาจากการซื้อส่งเป็นล็อตใหญ่ โดยห้างสรรพสินค้าที่เคยเป็นตัวกลางขายปลีกให้ผู้บริโภค

    และเรื่องสุดท้าย คือการได้แรงกระตุ้นแบรนด์ครั้งใหญ่ในรอบ 171 ปีด้วยพลังจากศิลปินสาวตัวแม่อย่าง Beyoncé ซึ่งนำชื่อแบรนด์ Levi’s มาเติม i เพิ่มอีกตัว มาตั้งเป็นชื่อเพลง “LEVII’S JEANS” ในอัลบัมใหม่ “Cowboy Carter” ที่เพิ่งถูกปล่อยออกมาเมื่อวันที่ 29 มีนาคม

    Levi Strauss
    (Photo by Spencer Platt/Getty Images)

    เมื่อถูกกล่าวถึงหลายเรื่องเช่นนี้ สปอตไลท์ธุรกิจยีนส์โลกจึงไปอยู่ที่ต้นสังกัดอย่าง Levi Strauss โดย มิเชลล์ แกส (Michelle Gass) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Levi Strauss กล่าวระหว่างการแถลงผลประกอบการของบริษัทว่าวันนี้ Levi’s มีร้านค้าของตัวเองประมาณ 500 แห่งทั่วโลก ซึ่งกำลังรองรับชาวเดนิมที่เริ่มซื้อยีนส์โดยตรงจาก Levi’s

    Levi’s ลุยโมเดล DTC

    CEO นายหญิง Levi’s ระบุว่าเห็นความแข็งแกร่งในธุรกิจขายตรงถึงผู้บริโภคหรือ DTC (Direct to Consumer) เนื่องจากยอดขาย DTC นั้นเพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มของบริษัท ซึ่งเฉพาะ Levi’s นั้นกำลังทำยอดขาย DTC เกือบครึ่งหนึ่ง (48%) ผ่านทางตลาดออนไลน์และหน้าร้านของตัวเอง

    ข้อมูลนี้สะท้อนว่า Levi’s กำลังได้ประโยชน์จากช่องทาง DTC ซึ่งสวนทางกับการต้องพึ่งพาผู้ซื้อเหมาสินค้าเพื่อนำไปจำหน่ายปลีก เช่นห้าง Macy’s และ Kohl’s ที่เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจของหลายแบรนด์ในสหรัฐฯ โดยสัดส่วน 48% นั้นเพิ่มขึ้นจาก 42% ที่ Levi’s เคยทำได้ในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และสูงขึ้น 25% เมื่อเทียบเป็นรายปี

    สำหรับปี 2024 ข้อมูลล่าสุดจากธุรกิจ DTC แสดงให้ Levi’s เห็นเทรนด์ที่ผู้หญิงกำลังซื้อกระโปรงยีนส์ จั๊มสูท และกางเกงยีนส์เอวต่ำ-ทรงบูทคัทเพิ่มมากขึ้น ในขณะที่ฝั่งผู้ชายก็ซื้อกางเกงยีนส์ทรงหลวมมากขึ้นเช่นกัน ซึ่งแม้ Gass จะไม่ได้ยืนยันว่าเพลงใหม่ของ Beyonce อย่าง “Levii’s Jeans” จะฮิตจนทำให้แบรนด์ Levi’s ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอีก แต่ทั้งหมดสะท้อนว่าผู้ผลิตยีนส์รายใหญ่ก็ทำได้ดีกว่าความคาดหมาย โดย Levi’s รายงานยอดขายรวมไตรมาสล่าสุด 1,560 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 0.26 เซนต์ต่อหุ้น ซึ่งเป็นตัวเลขที่ดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะสร้างรายได้ 1,540 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 0.21 เซนต์ต่อหุ้น

    Levi Strauss

    ก่อนหน้านี้ Levi’s รายงานผลประกอบการขาดทุน 10.6 ล้านดอลลาร์ในไตรมาสแรก ปีงบประมาณก่อนหน้า ส่วนหนึ่งเกิดจากการยุติแบรนด์ลูกอย่าง Denizen และการลดจำนวนพนักงาน 10%-15% เพื่อแก้ไขโครงสร้างต้นทุน ทำให้ Levi’s มีค่าใช้จ่ายการปรับโครงสร้างที่เกี่ยวข้องกับค่าชดเชยพนักงาน อย่างไรก็ตาม Levi’s มองแนวโน้มปีงบประมาณ 2024 ว่าการใช้จ่ายของผู้บริโภคอาจลดลงเพราะอัตราเงินเฟ้อ แต่คาดว่ายอดขายทั้งปีของบริษัทจะเพิ่มขึ้นระหว่าง 1%-3% โดยผลกำไรมีโอกาสเพิ่มขึ้นเป็น 1.17-1.27 ดอลลาร์ต่อหุ้น ซึ่งนอกเหนือจากปัจจุบันที่
    Levi’s มีร้านค้าประมาณ 500 แห่งทั่วโลก บริษัทวางแผนที่จะเปิดร้านค้าใหม่ในเอเชีย รวมถึงร้านเรือธงแห่งใหม่ในปารีส เพื่อต้อนรับมหกรรมโอลิมปิกฤดูร้อนปี 2024

    นายหญิงถูกจับตา

    จริงอยู่ที่การเปลี่ยนมาทำรายได้จากการขายตรงมากขึ้นนั้นเป็นประโยชน์ต่อผลกำไรของ Levi’s แต่ก็ทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของ Levi’s กับคู่ค้าขายส่ง รวมถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับคู่ค้าเหล่านั้น ภาวะนี้ทำให้ซีอีโอ Michelle Gass ถูกตั้งคำถามถึงนโยบายในอนาคต ว่า Levi’s จะเลือกเดินในทางที่ให้ผลดีกับตัวเองมากขึ้นหรือไม่ เพราะการเปลี่ยนนี้ทำให้ Levi’s สามารถควบคุมชะตากรรมของตัวเองได้มากขึ้นในวันที่จำนวนห้างสรรพสินค้าเปิดใหม่กำลังหดตัวต่อเนื่อง ท่ามกลางอนาคตเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนในสหรัฐอเมริกา

    ตัวอย่างที่ชัดเจนคือช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ Macy’s ซึ่งเป็นพันธมิตรค้าส่งรายใหญ่ของ Levi’s ได้ประกาศแผนปิดร้านค้า 150 แห่ง เนื่องจากนักลงทุนมีแผนลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เป็นหลักแทนการดำเนินธุรกิจค้าปลีก จุดนี้ Michelle Gass ซึ่งเพิ่งดำรงตำแหน่งผู้บริหารให้ Levi’s ราว 2 เดือน นั้นยืนยันว่าการขายส่งยังคงเป็นส่วนสำคัญของกลยุทธ์ของ Levi’s ขณะที่โมเดลขายตรงไปยังผู้บริโภคนั้นเป็นเพียงส่วนชดเชยความเสียหายจากการปิดร้านของห้างในสหรัฐฯ เท่านั้น

    เบื้องต้น Michelle Gass หยอดคำหวานว่าได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับพันธมิตรในธุรกิจค้าส่งซึ่งเป็น “ลูกค้าคนสำคัญ” ของ Levi’s โดยเชื่อว่า Levi’s มีความสำคัญต่อผู้ค้า และผู้ค้าก็มีความสำคัญต่อ Levi’s เช่นกัน ทั้งหมดนี้ Gass ย้ำว่าในเชิงกลยุทธ์แล้ว การขายส่งสินค้าล็อตใหญ่ให้ผู้ค้าปลีกถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับ Levi’s ในการขยายการเข้าถึงผู้บริโภค โดยบอกว่าแม้จะมีแรงกดดัน แต่ผู้ค้าเหล่านี้ให้บริการผู้บริโภคหลายล้านคน ดังนั้นจึงยังมีโอกาสอีกมากที่จะขับเคลื่อนส่วนแบ่งการตลาดภายในช่องทางนี้

    Levi Strauss

    สิ่งที่ Gass กล่าวนั้นสวนทางกับที่ก่อนหน้านี้ Levi’s เคยประกาศนโยบายดันให้ยอดขายตรงถึงผู้บริโภคคิดเป็น 55% ของยอดขายรวม โดยหากตัวเลขดังกล่าวสามารถสูงขึ้นได้อีก บริษัทก็จะเดินหน้าเต็มที่ อย่างไรก็ตาม Gass กล่าวว่า Levi’s กำลังทำงานอย่างใกล้ชิด กับลูกค้าขายส่งรายสำคัญเพื่อให้แน่ใจว่าแบรนด์จะปรากฏตัวในช่องทางและวิธีที่ดีที่สุด

    มุมมองของ Gass ในการบริหาร Levi’s นั้นน่าจับตา เพราะประวัติการทำงาน 30 ปีในวงการรีเทลที่ไม่ธรรมดาของ Gass ซึ่งถือว่ามีความเชี่ยวชาญงานในอุตสากรรมสินค้าคอนซูเมอร์สูง ก่อนหน้านี้ Gass เคยร่ายมนต์การตลาดจน Frappuccino ฮิตติดลมบนมาแล้วที่ Starbucks จากนั้นก็เคยมีบทบาทขยายอาณาจักรห้าง Kohl’s ให้เป็นผู้ค้า Omnichannel โดยคว้าดีลระยะยาวกับเชนค้าปลีกสินค้าบิวตี้อย่าง Sephora ซึ่งเป็นหนึ่งในดีลสร้างชื่อของ Kohl’s ในช่วงเวลาที่ Gass รับหน้าที่เป็น CEO

    ปัจจุบัน Michelle Gass กำลังรับหน้าที่ “งานในฝัน” ของเธอในฐานะ CEO ของ Levi Strauss ผู้ผลิตยีนส์อายุ 171 ปีที่มอบกางเกงยีนส์ริมแดง 501 ให้โลกได้สวมใส่ อย่างไรก็ตาม การบ้านชิ้นโตของ Gass คือการพา Levi’s ให้อยู่รอดท่ามกลางรายได้จากการขายส่งยีนส์ทั่วโลกของ Levi’s ที่ลดลง 9% ผลจากความผันผวนในยุโรปซึ่ง Gass ยอมรับว่าเป็นปัญหาที่ทำให้ Levi’s ในไตรมาสนี้อยู่ในภาวะ “ยากลำบาก”

    ในภาพรวม Gass ไม่ได้ท้อ แต่มั่นใจว่าการขายส่งในยุโรปช่วงครึ่งปีหลังจะดีขึ้นเพราะนวัตกรรมและแฟชั่นที่ Levi’s นำเสนอ จุดนี้สะท้อนได้ว่า Levi’s กำลังอยู่ในกระบวนการเปลี่ยนตัวเองเป็นผู้ค้าปลีกที่ทำสิ่งอื่นได้มากกว่าการขายกางเกงยีนส์ ทั้งการนำเสนอกระโปรง ชุดเดรส และเสื้อให้มากขึ้น

    ที่สุดแล้ว โลกกำลังรอลุ้นว่า Gass จะปฎิวัติให้ Levi’s ขึ้นเป็นธุรกิจไลฟ์สไตล์ด้านเดนิม เหมือนอย่างที่ตั้งใจไว้ได้สำเร็จหรือไม่? ซึ่งหาก Levi’s ทิ้งภาพการเป็นแค่บริษัทบลูยีนส์ไปได้ เกมเดนิมพันล้านของ Levi’s จะส่งแรงสะเทือน ตลาดค้าปลีกครั้งใหญ่แน่นอน.

    ที่มา: Cnbc 1, Cnbc 2, Defenseworld, Fox Business

    ]]>
    1470592
    ‘Meta’ กำไรพุ่งเท่าตัวแต่มูลค่าดิ่ง 2 แสนล้านดอลลาร์ หลังนักลงทุนกังวลแผนการลงทุนเกี่ยวกับ AI และ Metaverse https://positioningmag.com/1471099 Thu, 25 Apr 2024 05:01:34 +0000 https://positioningmag.com/?p=1471099 แม้ว่าผลประกอบการของ Meta ในช่วง Q1/2024 จะออกมาค่อนข้างดี แต่มูลค่าบริษัทกลับลดฮวบถึง 2 แสนล้านดอลลาร์ หลังจากที่นักลงทุนกังวลถึงแผนการลงทุนของบริษัทที่ยังคงมีเรื่องของ Metaverse ซึ่งเป็นหนึ่งในแผนกที่ขาดทุนหนักที่สุด อีกทั้งยังมีแผนลงทุนใน AI ระยะยาว ซึ่งยังมองไม่เห็นโอกาสทำกำไร

    Meta รายงานผลประกอบการ Q1/2024 โดยมีรายได้รวม 36,455 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น +27% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 12,369 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น +117% ที่น่าสนใจคือ รายได้จาก โฆษณา ที่เติบโตสูงถึง 27% ซึ่งรายได้จากโฆษณาคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 97.8% ตามด้วยธุรกิจด้าน AR VR และ Metaverse 1.2% และอื่น ๆ 1.0%

    ทั้งนี้ การเติบโตของโฆษณานั้นส่วนหนึ่งมาจากที่ Threads เริ่มขายโฆษณาได้ รวมไปถึง Reels ฟีเจอร์วิดีโอสั้นที่สามารถตรึงให้ผู้ใช้อยู่บนแพลตฟอร์มได้

    ในส่วนของจำนวนผู้ใช้งานประจำทุกวันรวมทุกแพลตฟอร์ม (Family Daily Active People – DAP) เพิ่มขึ้น +7% เป็น 3.24 พันล้านคน นอกจากนี้ จำนวนพนักงานทั่วโลกลดลงเหลือ 69,329 คน จากในปี 2022 ที่มีจำนวนพนักงานสูงสุดที่กว่า 87,000 คน

    แม้ว่าบริษัทจะมีกำไรแต่หุ้นของ Meta ร่วงลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากนักลงทุนกังวลเกี่ยวกับการลงทุนที่กำลังจะเกิดขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของ Metaverse ที่ขาดทุนอย่างหนักอีกครั้งถึง 3.8 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งถือว่าน้อยกว่าที่คาดไว้แล้วก็ตาม รวมแล้วตั้งแต่ปลายปี 2020 แผนกนี้ขาดทุนสะสมไปกว่า 4.5 หมื่นล้านดอลลาร์

    อีกเรื่องหนึ่งเรื่องก็คือ AI โดย มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ซีอีโอของเมตา ต้องการจะลงทุนระยะยาวกับ AI เพื่อสร้างรายได้ใหม่นอกจากรายได้จากโฆษณา ดังนั้น บริษัทต้องจัดสรรทรัพยากรใหม่เพื่อมุ่งเน้นไปที่การลงทุนด้าน AI ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายด้านทุนของปีนี้จะอยู่ที่ 35,000 – 40,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากประมาณการเดิม

    ไม่ใช่แค่การลงทุนที่เพิ่มขึ้น แต่การผลิตภัณฑ์ AI จนสามารถสร้างผลกำไรด้วยตัวมันเองของ Meta อาจต้องใช้เวลานานหลายปี และเขาก็ไม่สามารถระบุกรอบระยะเวลาในการทำกำไรจาก AI อย่างชัดเจน เพียงแต่ว่ามั่นใจในศักยภาพของบริษัทในด้านนี้

    Source

    ]]>
    1471099
    Volkswagen ยังสู้ศึก EV ในจีน แม้ส่วนแบ่งทางการตลาดลดลง เตรียมส่งรถยนต์ไฟฟ้า 30 รุ่นภายในปี 2030 https://positioningmag.com/1470906 Thu, 25 Apr 2024 03:27:26 +0000 https://positioningmag.com/?p=1470906 โฟล์คสวาเกน (Volkswagen) ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่จากเยอรมนี เตรียมส่งรถยนต์ไฟฟ้า 30 รุ่นจากหลากหลายแบรนด์ภายในปี 2030 และยังยืนยันที่จะเดินหน้าทำธุรกิจ โดยตั้งเป้าที่จะเป็นแบรนด์ต่างประเทศเบอร์ 1 ในจีน แม้ว่าตัวเลขส่วนแบ่งทางการตลาดในประเทศจีนจะเริ่มลดลงก็ตาม

    Volkswagen ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่จากเยอรมนี มีแผนที่จะผลิตรถยนต์ไฟฟ้ามากถึง 30 รุ่นเพื่อวางขายในประเทศจีนภายในปี 2030 ซึ่งตลาดดังกล่าวมีการแข่งขันที่ดุเดือดมากขึ้นเรื่อยๆ แต่บริษัทยังเดินหน้าในการทำธุรกิจ และต้องการที่จะเป็นแบรนด์ต่างประเทศเบอร์ 1 ในจีน

    ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ได้เปิดเผยในงาน Auto China 2024 ว่าบริษัทจะผลิตรถยนต์ไฟฟ้ามากถึง 30 รุ่นเพื่อวางขายในประเทศจีนภายในปี 2030 ภายใต้แบรนด์ต่างๆ ของบริษัท อย่างไรก็ดีบริษัทยังมีการผลิตรถยนต์ประเภทใช้เชื้อเพลงจากฟอสซิล 12 รุ่นและรุ่นไฮบริดอีก 6 รุ่นด้วย

    Ralf Brandsatter ซึ่งเป็น CEO ของ Volkswagen ยังตั้งเป้าว่าภายในปี 2030 บริษัทจะส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าได้มากถึง 4 ล้านคันต่อปีภายในปี 2030 และเขายังกล่าวว่าในการผลิตสินค้าในจีนยังทำให้ต้นทุนการผลิตนั้นสามารถที่จะแข่งขันและทำให้บริษัทสามารถดำเนินธุรกิจแบบมีกำไรได้

    บริษัทเองยังได้โปรโมตว่าการผลิตรถยนต์ไฟฟ้านั้นเกิดขึ้นในประเทศจีนเพื่อที่จะวางขายให้กับคนจีน (In China, for China) และยังกล่าวถึงการพัฒนาเทคโนโลยีของรถยนต์ไฟฟ้าหรือแม้แต่การจับมือกับพันธมิตรที่เป็นบริษัทจีน

    Volkswagen ยังได้ส่งสัญญาณว่าบริษัทต้องการที่จะเป็นผู้ผลิตรถยนต์แบรนด์ต่างประเทศที่ต้องการเป็นเบอร์ 1 ในตลาดจีน ซึ่งบริษัทได้กล่าวถึงการทำตลาดในแดนมังกรมายาวนานกว่า 40 ปีและจะยังคงเดินหน้าต่อไป

    ไม่เพียงเท่านี้ CEO ของ Volkswagen ยังกล่าวว่าจะมีความร่วมมือกับบริษัทในจีนเพื่อพัฒนาการผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารวมถึงลดต้นทุนในการผลิตด้วย

    การแข่งขันของผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศจีนถือว่าดุเดือดไม่น้อย เนื่องจากผู้ผลิตในจีนครองตลาดในแดนมังกรมากถึง 64% ในขณะที่ผู้ผลิตจากต่างประเทศ ซึ่ง Volkswagen ก็เป็นหนึ่งแบรนด์ที่อยู่ในตลาดดังกล่าว กลับมีส่วนแบ่งทางการตลาดลดลง

    ภายใต้การแข่งขันอันดุเดือดดังกล่าวทำให้หลายแบรนด์เองต้องงัดลูกเล่นไม่ว่าจะเป็น การตัดราคา หรือแม้แต่การเพิ่งฟังก์ชั่นในการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อที่จะดึงดูดลูกค้าชาวจีนให้ซื้อรถยนต์ไฟฟ้าของแบรนด์ตัวเอง

    อย่างไรก็ดีในปี 2023 ที่ผ่านมาส่วนแบ่งทางการตลาดของ Volkswagen ในประเทศจีนได้ลดลง 0.6% เหลือเพียงแค่ 14.2% เท่านั้น แต่ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่จากเยอรมนีรายนี้ได้ส่งสัญญาณว่าจะยังสู้ศึกดังกล่าวต่อไป

    ที่มา – Volkswagen Group, CleanTechnica, South China Morning Post

    ]]>
    1470906
    มองเทรนด์ ‘Affiliate Marketing’ ที่อาจหมดพลังในเร็ววัน เพราะแบรนด์ได้ยอด แต่ ‘อินฟลูฯ’ อาจหมดความน่าเชื่อถือ https://positioningmag.com/1471006 Wed, 24 Apr 2024 12:07:30 +0000 https://positioningmag.com/?p=1471006 ปฏิเสธไม่ได้ว่าเทรนด์ Affiliate Marketing ที่เปิดให้คนทั่วไปสามารถแปะลิงก์สินค้าจะมาแรงในช่วงนี้ เพราะถือเป็นกลยุทธ์ที่ Win-Win กับทั้งคนแปะลิงก์และแบรนด์ เพราะใช้ต้นทุนไม่มาก เพราะจ่ายเมื่อมียอดขาย ส่วนคนแปะลิงก์ก็ได้ส่วนแบ่งไม่ต้องลงทุนอะไร ยิ่งเป็น Influencers ที่มีผู้ติดตามมาก ก็ยิ่งเพิ่มโอกาสในการขายไปอีก

    KOLs + Affiliate = Full Funnel

    ในยุคที่เศรษฐกิจไม่ค่อยจะดีนัก แบรนด์ต่าง ๆ ก็ต้องยิ่งแข่งขันกันหนักหน่วง ดังนั้น ทุกคนต่างก็ต้องการยอดขาย และหนึ่งในกลยุทธ์ทางการตลาดที่ตอบโจทย์ตั้งแต่ต้นจนจบก็คือ การใช้ KOLs/ Influencers กับ Affiliate Marketing เพราะใช้ได้ตั้งแต่การ ป้ายยา ไปจนถึงสามารถ ปิดการขาย ด้วยตัวเอง ยิ่งขายได้เยอะอินฟลูฯ ก็ยิ่งได้ค่าคอมมิชชั่น แบรนด์ก็วัดผลเป็นยอดขายได้ทันที และต้นทุนก็มีเพียงค่าคอมมิชชั่น ถ้าขายไม่ได้แบรนด์ก็ไม่ต้องเสียเงิน

    ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่หลายแบรนด์หันมาใช้ Affiliate Marketing ไม่ว่าจะเป็น 7-Eleven หรือแม้แต่ แสนสิริ ที่ให้ค่าคอมมิชชั่นสูงสุดถึง 1 ล้านบาท! ล่าสุด เฮียฮ้อ สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ แห่ง อาร์เอส กรุ๊ป ก็ดึงศิลปิน-ดาราในสังกัดกว่า 120 ชีวิต ที่มียอดผู้ติดตามมากกว่า 20 ล้านบัญชี ทำ Affiliate Marketing

    “เมื่อก่อนแบรนด์ใหญ่มีเงินใช้ทีวี ใช้สื่อหลัก แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แล้ว สื่อพวกนี้ไม่มีพลังแล้ว” ภวัต เรืองเดชวรชัย ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มีเดียอินเทลลิเจนซ์กรุ๊ป จำกัด กล่าว

    Affiliate ยิ่งสร้าง Influencers

    ปัจจุบัน แบรนด์ใช้เม็ดเงินโฆษณาไปกับ Influencers ประมาณ 20-25% ของงบการตลาด และ Affiliate Marketing กลายเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนการเติบโตของจำนวน KOLs/ Influencers โดย ภวัต คาดว่าปัจจุบัน จำนวนของ KOLs/ Influencers ในไทยมีมากกว่า 2 ล้านราย และยังเติบโตได้อีก เนื่องจากแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่มีมากขึ้น และหลายคนก็ต้องการสร้างตัวตนบนโลกโซเชียลมากขึ้น และ Affiliate Marketing ก็เป็นอีกตัวช่วยในการหารายได้เสริม

    เนื่องจากความนิยมและความร้อนแรงอย่างต่อเนื่องของ Influencers ที่นักการตลาด และผู้ประกอบการนิยมใช้งานมากขึ้น ทำให้กลายเป็นปัจจัยหลักที่ดันให้ เม็ดเงินสื่อดิจิทัลเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในปีที่แล้วเติบโต +14% และคาดการณ์โตต่อเนื่อง +8% ในปี 2024 นี้ (ข้อมูลจาก DAAT)

    Affiliate เป็นดาบ 2 คมของ Influencers

    แม้ว่าตอนนี้การทำ Affiliate Marketing ตอนนี้จะทวีความนิยม แต่เนื่องจากแบรนด์ที่ทำมากขึ้น เหล่า KOLs/ Influencers  มีการแปะลิงก์มากขึ้น อาจทำให้ผู้บริโภค ชินหรือเบื่อ นอกจากนี้ การแปะลิงก์ขายสินค้าของยังทำให้ KOLs/ Influencers สูญเสียความน่าเชื่อถือ และสักวัน Affiliate Marketing ก็จะเริ่มหมดพลังไป

    “การทำ Affiliate Marketing มันไม่ส่งผลกับภาพแบรนด์ เพราะเขามองว่ามันก็เหมือนโฆษณาแบบหนึ่ง แต่ตัว Influencers จะได้รับผลกระทบ เพราะถูกมองว่าเสียตัวตนไปแล้ว เพราะบทบาทของ Influencers ที่ผู้บริโภคมองคือ ตัวช่วยตัดสินใจ ดังนั้น กระแส Affiliate ปีหน้าอาจจะเสื่อมความนิยมลง”

    รู้จัก KOLs/ Influencers 5 กลุ่ม ได้แก่

    • Mega – Celeb : > 1,000,000 followers ค่าตัว 200,000 – 1,00,000+ บาท
    • Macro : 500,000-1,000,000 followers ค่าตัว 80,000 – 200,000 บาท
    • Mid tier : 100,000-500,000 followers ค่าตัว 30,000 – 150,000 บาท
    • Micro : 10,000-100,000 followers ค่าตัว 10,000 – 30,000 บาท
    • Nano : 1,000-10,000 followers ค่าตัว 3,000 – 15,000 บาท

    โดย Influencer พบว่าแบรนด์ส่วนใหญ่นิยมใช้มากที่สุดคือ กลุ่ม Micro และ Nano เนื่องจากผู้บริโภคมองว่า น่าเชื่อถือมากกว่า

    ]]>
    1471006
    Spotify ทำกำไรเป็นสถิติอีกครั้ง หลังบริษัทงัดแผนลดต้นทุน ปลดพนักงานบางส่วน และขึ้นราคาแพ็กเกจ https://positioningmag.com/1470918 Wed, 24 Apr 2024 09:55:22 +0000 https://positioningmag.com/?p=1470918 สปอติฟาย (Spotify) ได้ประกาศผลประกอบการไตรมาส 1 โดยบริษัทมีกำไรทำสถิติอีกครั้ง จากมาตรการไม่ว่าจะเป็น การลดต้นทุน การปลดพนักงาน หรือแม้แต่การขึ้นราคาแพ็กเกจ จากแรงกดดันของนักลงทุน เพื่อบริษัทจะได้กลับมามีกำไรได้อย่างสม่ำเสมออีกครั้ง 

    Spotify ประกาศผลประกอบการของไตรมาส 1 ที่ผ่านมา โดยบริษัทมีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 168 ล้านยูโร ขณะที่กำไรขั้นต้นของบริษัทได้แตะหลัก 1,000 ล้านยูโรเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งผลกำไรดังกล่าวนั้นมาจากกลยุทธ์ของบริษัทที่ลดต้นทุนอย่างต่อเนื่อง และปรับราคาแพ็กเกจ

    ในช่วงที่ผ่านมา บริษัทได้เร่งในการลดต้นทุน เช่น การปลดพนักงาน 1,500 รายช่วงปลายปี 2023 ซึ่ง Daniel Ek ผู้บริหารสูงสุดของ Spotify เคยกล่าวว่าบริษัทมีพนักงานมากเกินไป และสถานการณ์ทางเศรษฐกิจฟื้นตัวช้า ทำให้บริษัทต้องกลับมารีดไขมันองค์กรให้มีประสิทธิภาพอีกครั้ง

    นอกจากนี้ Spotify ยังได้งัดแผนการสำคัญคือการประกาศขึ้นราคาแพ็กเกจทั่วโลกในช่วงไตรมาส 3 ของปี 2023 โดยให้เหตุผลว่าเพื่อที่จะสามารถส่งมอบคุณค่าให้กับลูกค้าที่เป็นผู้ฟังเพลง รวมถึงศิลปิน ซึ่งประกาศดังกล่าวนี้มีผลต่อผู้ใช้งานทั่วโลก

    ในไตรมาส 1 ที่ผ่านมา บริษัทมีผู้ใช้งานเติบโตเพิ่ม 14% ทำให้บริษัทมีสมาชิกทั้งหมด 239 ล้านคน มีรายได้รวม 3,600 ล้านยูโร และมีกำไรขั้นต้นแตะ 1,000 ล้านยูโร ทำให้บริษัทมีกำไรสุทธิหลังหักค่าใช้จ่ายทั้งหมดแล้วอยู่ที่ 168 ล้านยูโร

    สาเหตุสำคัญที่ทำให้บริษัทต้องเร่งแผนในการปรับขึ้นราคาแพ็กเกจ หรือแม้แต่การลดต้นทุน ก็คือ แรงกดดันจากนักลงทุนที่ต้องการที่จะให้บริษัทกลับมามีกำไรอีกครั้ง หลังจากที่บริษัทมีผลประกอบการรายปีขาดทุนนับตั้งแต่ปี 2019 เป็นต้นมา แม้ว่าจำนวนผู้ใช้งานจะเพิ่มขึ้นก็ตาม

    ขณะเดียวกันเมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา บริษัทยังมีแผนที่จะปรับขึ้นราคาในหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็น สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย เพื่มเติมด้วย ซึ่งประเทศดังกล่าวถือเป็นตลาดหลักของ Spotify

    ข้อมูลจาก S&P Global Market Intelligence ได้รวบรวมข้อมูลจากนักวิเคราะห์ ชี้ว่าภายในปีนี้บริษัทจะกลับมามีกำไรได้เต็มปี ซึ่งแตกต่างกับในอดีตที่บริษัทไม่สามารถทำกำไรได้ตลอด

    ]]>
    1470918
    “ซีคอน” หันมารับโปรเจ็กต์ก่อสร้าง “หมู่บ้านจัดสรร” ดันยอดขายไตรมาส 1/2567 โต 15% https://positioningmag.com/1470879 Wed, 24 Apr 2024 07:44:33 +0000 https://positioningmag.com/?p=1470879
  • บริษัทรับสร้างบ้าน “ซีคอน” เปิดไตรมาสแรกปี 2567 กวาดยอดขาย 570 ล้านบาท เติบโต 15% อานิสงส์รับโปรเจ็กต์ก่อสร้าง “หมู่บ้านจัดสรร” ให้ดีเวลอปเปอร์อสังหาฯ 2 รายคือ “สิงห์ เอสเตท” และ “เนอวานา”
  • แผนการตลาดกับลูกค้าบุคคลปีนี้ลงทุน “มิวสิก มาร์เก็ตติ้ง” หยิบเพลง “LIVE and LEARN” มาโปรดิวซ์และขับร้องใหม่ผ่านฝีมือ “บอย โกสิยพงษ์” และ “ปั่นไพบูลย์เกียรติ เขียวแก้ว” ประกอบโฆษณาครบรอบ 63 ปีซีคอน
  • “มนู ตระกูลวัฒนกิจ” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีคอน จำกัด เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2567 ของบริษัท กวาดยอดขายไปแล้ว 570 ล้านบาท เติบโต 15% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน

    ปัจจัยหลักที่ทำให้บริษัทเติบโตได้ดี เกิดจากการรับงานรับเหมาก่อสร้างให้กับบริษัทผู้พัฒนาจัดสรรเสริมเข้ามา จากเดิมธุรกิจหลักคือการรับสร้างบ้านบนที่ดินส่วนตัวรายบุคคล ซึ่งปีนี้บริษัทได้เซ็นสัญญาก่อสร้างแล้ว 2 โครงการ คือ “เนอวานา คอลเล็กชัน กรุงเทพกรีฑา” บ้านระดับอัลตราลักชัวรีราคา 70-150 ล้านบาทของ บมจ.เนอวานา ดีเวลลอปเม้นท์ และ “SHAWN วงแหวน-จตุโชติ” บ้านระดับไฮเอนด์ราคา 20-30 ล้านบาทของ บมจ.สิงห์ เอสเตท

    “มนู ตระกูลวัฒนกิจ” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีคอน จำกัด

    “ตอนนี้ปัญหาของภาคอสังหาฯ คือขาดแคลนแรงงานก่อสร้าง ทำให้เราเข้าไปเป็นตัวเลือกในการจ้างงาน” มนูกล่าว โดยนอกจากซีคอนจะมีแรงงานแล้ว ยังมีโรงงานผลิตชิ้นส่วนเสา-คานกึ่งสำเร็จรูปของตนเอง 2 แห่งที่อ่อนนุชและลำลูกกา มีกำลังผลิตรวมสูงสุดเทียบเท่าการผลิตบ้านได้ 1,000 หลังต่อปี ซีคอนจึงสามารถตอบโจทย์ใช้เทคโนโลยีการผลิตแบบพรีคาสท์ช่วยสร้างบ้านให้กับลูกค้ากลุ่มบริษัทพัฒนาจัดสรรได้

    มูลค่าของโครงการรับเหมาก่อสร้างให้หมู่บ้านจัดสรรที่เซ็นดีลแล้วรวมกว่า 300 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 15% ของเป้ายอดขายรวมปี 2567 ที่ซีคอนตั้งไว้ 2,200 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม มนูระบุว่าบริษัทยังเจรจากับบริษัทอื่นๆ ต่อเนื่องเพราะศักยภาพยังสามารถรับลูกค้ากลุ่มนี้เพิ่มได้

     

    ปัจจัยลบ ‘ข่าว’ เศรษฐกิจฝืดทำมู้ดผู้บริโภคหด

    หากมองในกลุ่มลูกค้าหลักคือบุคคลธรรมดาที่จ้างสร้างบ้านบนที่ดินส่วนตัว มนูมองว่าปีนี้ตลาดน่าจะโตแค่ 3-5% ซึ่งปัจจัยลบมาจาก ‘ข่าว’ เศรษฐกิจฝืดที่แพร่สะพัดตั้งแต่ไตรมาส 4 ปีก่อน ทำให้ลูกค้าไม่มี ‘sentiment’ หรืออารมณ์ความรู้สึกมั่นใจที่จะสั่งสร้างบ้าน

    “คนไทยเราอยู่ด้วย ‘ข่าว’ ค่อนข้างมาก เช่น ถ้ามีข่าวสงครามเกิดขึ้นที่ไหนแม้จะห่างไกลกับเรา แต่ยอดขายบริษัทผมจะตกทันที” มนูกล่าว “อย่างเรื่องเศรษฐกิจผมคิดว่ามันไม่ได้ไม่ดีไปทุกภาคธุรกิจ ธุรกิจท่องเที่ยวตอนนี้ก็ดีมาก ธุรกิจส่งออกก็เริ่มดีขึ้น แต่เพราะภาพรวมข่าวบอกว่าเศรษฐกิจแย่ มันก็ทำให้ sentiment ในตลาดไม่ดีไปด้วย”

    ซีคอน
    ตัวอย่างบ้านจริงที่ซีคอนก่อสร้าง (แบบบ้าน Loft 372)

    เมื่อถามถึงมาตรการรัฐกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งในส่วนธุรกิจรับสร้างบ้านมีมาตรการสนับสนุนคือ ลูกค้าสามารถหักลดหย่อนภาษีได้ 1 หมื่นบาทต่อทุกจำนวนค่าก่อสร้าง 1 ล้านบาท ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่รวมกันแล้วไม่เกิน 1 แสนบาท เริ่มใช้ได้ตั้งแต่วันที่ 9 เมษายน 2567 – 31 ธันวาคม 2568 มนูมองว่าที่ผ่านมากว่า 2 สัปดาห์ยังไม่เห็นผลชัดเจนต่อการตัดสินใจของลูกค้า แต่อาจจะต้องรออีกสักระยะในการประชาสัมพันธ์

     

    “มิวสิก มาร์เก็ตติ้ง” ตอกย้ำการรับรู้แบรนด์

    ด้านการทำการตลาดของ “ซีคอน” ในปีนี้ มีการนำกลยุทธ์ มิวสิก มาร์เก็ตติ้ง มาใช้งาน ด้วยความร่วมมือกับ “บอย โกสิยพงษ์” โปรดิวเซอร์เพลงชื่อดัง นำเพลง “LIVE and LEARN” มา rearrange ใหม่ในสไตล์ดนตรี Drum and Bass ที่ให้ความทันสมัยมากขึ้น และได้รับเกียรติจาก “ปั่น-ไพบูลย์เกียรติ เขียวแก้ว” นักร้องในตำนาน กับ “กลม เดอะวอยซ์” (อรวี พินิจสารภิรมย์) นักร้องคนรุ่นใหม่ มาร่วมกันขับร้องเพลงเวอร์ชันใหม่นี้ ประกอบ MV โฆษณาถ่ายทอดชีวิตของคนในครอบครัวจากรุ่นสู่รุ่น

    โฆษณาและเพลงนี้ต้องการจะสื่อสารแบรนด์ซีคอน ที่เป็นธุรกิจรับสร้างบ้านอายุยาวนาน 63 ปี ก่อตั้งโดย “วิชัย ซอโสตถิกุล” และปัจจุบันส่งไม้ต่อจนมาถึงผู้บริหารรุ่นที่ 3 คือ “ไปรเทพ ซอโสตถิกุล” และ “มนู ตระกูลวัฒนกิจ” ที่สั่งสมประสบการณ์และความเชี่ยวชาญด้านการรับสร้างบ้านต่อเนื่องกันมานาน 6 ทศวรรษ

    ]]>
    1470879