HOT UPDATE – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 20 Dec 2024 17:19:46 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ภูเก็ต ราคาที่ดินพุ่ง 200% ไร่ละ 30-300 ล้านบาท “โบทานิก้า” ปี 68 ลุยลงทุนวิลล่า 1.2 หมื่นล้านบาท https://positioningmag.com/1504538 Fri, 20 Dec 2024 17:19:07 +0000 https://positioningmag.com/?p=1504538 ตลาดอสังหาริมทรัพย์ภูเก็ต เติบโตอย่างร้อนแรง โดยเฉพาะ “กลุ่มวิลล่าหรู” จากแรงหนุนกำลังซื้อเศรษฐีต่างชาติ ทั้งรัสเซีย และยุโรป เพื่อซื้อเป็นบ้านหลังที่สอง และซื้อลงทุนปล่อยเช่า!

วิลล่าเปิดตัวใหม่ยูนิตพุ่ง 100% ทะลัก 3.6 หมื่นล้านบาท

นายอรรถสิทธิ์ อิทรชูติ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท โบทานิก้า ลักซูรี่ ภูเก็ต จำกัด เปิดเผยว่า ข้อมูลจากคอลลิเออร์ส ถึงภาพรวมตลาดวิลล่าภูเก็ต ช่วงครึ่งปีแรก (ม.ค. – มิ.ย.) ปี 2567 เปิดตัวสูง 65 โครงการ จำนวน 1,285 ยูนิต เติบโต 100% (YoY) คิดเป็นมูลค่า 36,300 ล้านบาท จากเดิมเปิดตัวโครงการเพียง 30-40 โครงการ/ปี

”นับเป็นครั้งแรกในรอบ 15 ปี ที่จำนวนโครงการเปิดตัวใหม่ของวิลล่าแซงคอนโดมิเนียม“

พื้นที่ขายวิลล่าได้มากสุด ในปี 2566 ได้แก่

  • เชิงทะเล 210 ยูนิต
  • พรุจำปา 180 ยูนิต
  • บางโจ 31 ยูนิต
  • ลายัน 28 ยูนิต

ขณะที่ทำเลราคาวิลล่าต่อยูนิตสูงสุด คือ

อันดับ 1 กมลา ราคาต่อยูนิตสูงสุด 296.2 ล้านบาท

อันดับ 2 บางเทา ราคาต่อยูนิตสูงสุด 270 ล้านบาท

อันดับ 3 เชิงทะเล ราคากลางอยู่ที่ 114.7 ล้านบาท

อันดับ 4 พรุจำปา ราคากลางอยู่ที่ 56.3 ล้านบาท

“แนวโน้มในอนาคต พบว่า ราคาวิลล่าในพื้นที่กมลา เชิงทะเล บางโจ พรุจำปา และลายันจะสูงขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยดีมานด์แข็งแกร่งจากตลาด”

ราคาที่ดินพุ่ง 200%

ขณะที่ราคาที่ดินภูเก็ตในช่วง 2 ปีมานี้ (พ.ศ. 2566 – 2567) เติบโต 2 เท่า หรือราว ๆ 200% โดยพื้นที่ไข่แดงของภูเก็ต ราคาเริ่มต้น 30-300 ล้านบาท/ไร่ โซนราคาสูง ได้แก่ บางเทา เชิงทะเล และป่าตอง

“ความน่าสนใจของวิลล่าภูเก็ต มีอัตราดูดซับสูง 50% ส่วนวิลล่าอยู่ระหว่างขายในภูเก็ต มีมูลค่าราว ๆ 160,000-170,000 ล้านบาท”

ปี 68 ทุ่มลงทุน 1.2 หมื่นล้านบาท ขยาย 4 ทำเล

แผนปี 2568 ขยายลงทุนวิลล่าหรู 4 ทำเลใหม่ คือ ฉลอง ราไวย์ ภูเก็ตทาวน์ และอ่าวปอ และ 2 โครงการคอนโดมิเนียมระดับไฮเอนด์ในย่านบางเทา-เชิงทะเล ได้แก่

1.HYTHE by Botanica (ไฮท์ บาย โบทานิก้า) ตั้งอยู่บน “โบทานิก้า แกรนด์ อเวนิว” ย่านเชิงทะเลใกล้หาดบางเทา มูลค่าโครงการกว่า 12,000 ล้านบาท จับกลุ่มผู้ซื้อชาวไทยและชาวต่างชาติที่ต้องการคอนโดมิเนียมตากอากาศและคอนโดมิเนียมเพื่อการลงทุน

เบื้องต้น กวาดยอดขาย 40% ตั้งเป้ายอดขายสำหรับโครงการ HYTHE by Botanica ไว้ที่ 1,000 ล้านบาท 

2.คอนโดมิเนียมระดับไฮเอนด์ ตั้งอยู่ใจกลางย่านเชิงทะเล หรือโซนทองหล่อของภูเก็ต บนพื้นที่ดินรวมกันกว่า 60 ไร่ มูลค่าโครงการ 18,000 ล้านบาท

เจาะกลุ่มผู้ซื้อชาวไทยและชาวต่างชาติที่ต้องการคอนโดมิเนียมตากอากาศและคอนโดมิเนียมเพื่อการลงทุน โดยทยอยเปิดตัวอย่างเป็นทางการปลายปี 2568 และตั้งเป้ายอดขายกว่า 500 ล้านบาท

สำหรับโบทานิก้า ช่วง 20 ปี พัฒนาวิลล่ารวม 27 โครงการ จำนวน 1,095 ยูนิต คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 51,000 ล้านบาท

“ในอนาคตบริษัทฯ เตรียมขยายวิลล่าไปสู่เมืองตากอากาศที่น่าสนใจ อาทิ กระบี่ ที่เราเปิดโครงการผลตอบรับดี จากนักลงทุนและเรียลดีมานด์ โดยมีอัตราผลตอบแทนจากการเช่าสูง 6-8% เป็นต้น”

]]>
1504538
SCB EIC หั่น ‘เศรษฐกิจไทย’ 2568 เหลือ 2.4% เหตุเปราะบางจากภายใน และถูกซ้ำด้วยนโยบาย ‘ทรัมป์ 2.0’ https://positioningmag.com/1504495 Fri, 20 Dec 2024 10:24:26 +0000 https://positioningmag.com/?p=1504495 ดูเหมือนนโยบาย Trump 2.0 ของ โดนัลด์ ทรัมป์ ที่กลับมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกครั้ง จะสั่นคลอนเศรษฐกิจทั่วโลก ส่งผลให้ SCB EIC ลดประมาณการเศรษฐกิจโลกปี 2568 เหลือ 2.5% จาก 2.8% และแน่นอนว่านโยบาย Trump 2.0 จะส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมกับไทย และจะเริ่มเห็นชัดครึ่งในช่วงครึ่งหลังของปี 2568

SCB EIC คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจประเทศไทยปี 2567 อาจโตได้ 2.7% โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 4/2567 มีแนวโน้มเติบโตได้ถึง 4% จากการส่งออก รวมถึงการใช้จ่ายภาครัฐที่โตต่อเนื่อง และจะส่งผลบวกไปจนถึงช่วงครึ่งแรกของปี 2568 อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าไทยจะต้องเผชิญกับความท้าทายจากนโยบาย Trump 2.0 ที่จะยิ่งเร่งปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ และการกีดกันการค้าให้รุนแรงขึ้น ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยอาจโตได้เพียง 2.4% จากที่ประเมินไว้ว่าจะโต 2.6%

โดย 3 ผลกระทบหลักที่ไทยจะต้องเผชิญจากนโยบาย Trump 2.0 ได้แก่

  • ไทยเสี่ยงสูงเจอภาษีนำเข้า : เนื่องจากนโยบาย Trump 2.0 คือการ ขึ้นภาษี ในขณะที่ สหรัฐอเมริกา เป็นประเทศที่ไทยส่งออกสินค้ามากเป็นอันดับ 1 ดังนั้น ไทยค่อนข้างพึ่งพาการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ดังนั้น การขึ้นภาษีจะส่งผลให้การส่งออกยากขึ้น ในขณะที่ 70% ของสินค้าที่ไทยส่งออก เป็นสินค้าที่สหรัฐฯ ตั้งเป้าที่จะลดการขาดดุล โดยเฉพาะสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ รถยนต์ และเครื่องจักร
  • สินค้าจีนทะลักเข้าไทยกว่าเดิม : จีน คือประเทศหลักที่ได้ผลกระทบจากนโยบาย Trump 2.0 เพราะมีการขึ้นภาษีนำเข้าเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 20% ทำให้จีนต้องระบายสินค้าออกจากประเทศ และไทยถือเป็นหนึ่งในประเทศที่จีนระบายสินค้า ดังนั้น ผู้ประกอบการไทยจะต้องเผชิญกับการแข่งขันจากสินค้าจีนมากขึ้น ก็จะยิ่งซ้ำเติมภาคการผลิตไทยที่ยังไม่ฟื้นตัว ซึ่งปัจจุบันคาดว่าสินค้าจีนในไทยคิดเป็น 1 ใน 4 ของสินค้าทั้งหมด
  • สหรัฐฯ ดึงฐานการผลิตสำคัญกลับประเทศ : จากนโยบาย America first ที่จะกระตุ้นการลงทุนในประเทศ อาจทำให้ไทยเสี่ยงที่บริษัทสหรัฐฯ ดึงฐานการผลิตในอุตสาหกรรมสำคัญกลับประเทศ ซึ่งจะส่งผลต่อนโยบายการลงทุนในไทย

อย่างไรก็ตาม อาจมีปัจจัยบวกบ้าง อาทิ สหรัฐฯ อาจหันมานำเข้าสินค้าจากไทย เพราะเลิกนำเข้าจากจีน, ผู้ประกอบการบางรายอาจจะนำเข้า วัตถุดิบบางชนิดจากจีนในราคาถูกลง รวมถึงไทยอาจได้ประโยชน์จากการ กระจายฐานการผลิตของจีน 

แนะรัฐบาลไทย เตรียมแผนเจรจา

จากนโยบาย Trump 2.0 ทำให้หลายประเทศมีการเตรียมการรับมือ ดังนั้น ไทยเองก็ต้องเตรียมมาตรการเพื่อแข่งขันกับหลาย ๆ ประเทศ โดย สมประวิณ มันประเสริฐ รองผู้จัดการใหญ่ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) มองว่า รัฐบาลต้องเร่งเตรียมความพร้อมเพื่อเจรจา โดยต้องศึกษาว่าธุรกิจไทย และสินค้ากลุ่มไหนที่มีความเสี่ยงจะได้รับผลกระทบ และมีข้อเสนออะไรแลกเปลี่ยนเพื่อลดผลกระทบหากมีการขึ้นภาษีนำเข้า เช่น อาจจะยอมนำเข้าสินค้าจากอเมริกามากขึ้น เป็นต้น

“เชื่อว่าทรัมป์เองก็อยากเปิดโต๊ะเจรจา ดังนั้น เราต้องเตรียมตัวเตรียมข้อเสนอ และหาเจ้าภาพตรงกลางในการเจรจา ว่าจะเป็นทางกระทรวงพาณิชย์, กระทรวงอุตสาหกรรม หรือกระทรวงการต่างประเทศ”

ในส่วนของการดึงการลงทุนจากภายนอก ไทยก็ต้องแข่งขันกับหลายประเทศ เพื่อให้ได้เทคโนโลยีมาพัฒนาสกิล และส่งออกสินค้าที่เป็นที่ต้องการมากขึ้น ดังนั้น รัฐบาลต้องหาทางดึงดูดการลงทุน ต้องมีข้อเสนอที่แข่งขันได้กับประเทศอื่น ๆ

สมประวิณ มันประเสริฐ รองผู้จัดการใหญ่ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC)

ไทยจะโตช้า เปราะบาง ไม่แน่นอน จากปัญหาเชิงโครงสร้าง

ในส่วนของการลงทุนภาคเอกชนจะกลับมา ฟื้นตัวได้ในปีหน้า แต่ฟื้นไม่แรงมากนักจากความเปราะบางของภาคอุตสาหกรรม ซึ่งได้รับผลกระทบจากสินค้าจีนเข้ามาตีตลาดและอุปสงค์ในประเทศซบเซา สอดคล้องกับผลสำรวจ SCB EIC Consumer survey 2024 ผู้บริโภคกว่า 60% มองว่าเศรษฐกิจไทยปีหน้าแย่ลง โดยเฉพาะกลุ่มคนรายได้ต่ำ สะท้อนความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ยังอ่อนแอ และมีแนวโน้มปรับลดการใช้จ่ายลงเพราะไม่แน่ใจในภาวะเศรษฐกิจและรายได้ในอนาคต โดยเฉพาะความต้องการซื้อบ้านและรถในปีหน้า โดยมองว่าอุปสรรคสำคัญคือการขออนุมัติสินเชื่อ ปัจจัยราคา รายได้และภาระชำระหนี้

ทั้งนี้ SCB EIC ประเมินว่า คุณภาพสินเชื่อรายย่อยทั้งระบบมีแนวโน้มจะปรับแย่ลง ท่ามกลางมาตรฐานการปล่อยสินเชื่อรายย่อยของสถาบันการเงินที่จะยังเข้มงวดต่อเนื่อง จากข้อมูล NCB สะท้อนว่าคุณภาพสินเชื่อรายย่อยทั้งระบบมีแนวโน้มแย่ลงต่อเนื่อง ปัญหาหนี้ครัวเรือนจึงน่าจะคลี่คลายได้ช้า ส่งผลกดดันการบริโภคในระยะข้างหน้า สำหรับมาตรการแก้หนี้ครัวเรือนล่าสุด เน้นช่วยลูกหนี้รายย่อยกลุ่มเปราะบางได้มากขึ้นและยังมีโอกาสคืนหนี้ได้ สำหรับผลสำเร็จของมาตรการฯ ขึ้นอยู่กับการฟื้นตัวของรายได้ลูกหนี้เป็นหลัก

ดังนั้น คาดว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกครั้ง 0.25% ในเดือน ก.พ. 2568 ไปอยู่ที่ 2% และคงไปตลอดช่วงที่เหลือของปี แม้ว่าสถานการณ์ปัจจุบันอาจยังไม่ได้มีปัจจัยกดดันชัดเจนที่ทำให้ กนง. ต้องเร่งปรับลดดอกเบี้ย แต่ในระยะข้างหน้าเศรษฐกิจไทยจะเผชิญความเสี่ยงเพิ่มขึ้นมาก ทั้งจากความเปราะบางภายในและความท้าทายภายนอก นอกจากนี้ การลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมจะช่วยบรรเทาภาระหนี้ และลดผลกระทบภาวะการเงินตึงตัวต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้บ้าง 

]]>
1504495
กางแผน ‘กรุงศรี คอนซูเมอร์’ ปี 2025 ปีที่ ‘อธิศ’ แม่ทัพใหญ่มองว่าตลาดสินเชื่อ ‘ท้าทายสุด’ ตั้งแต่ทำงานมา 20 ปี! https://positioningmag.com/1504487 Fri, 20 Dec 2024 10:14:30 +0000 https://positioningmag.com/?p=1504487 อย่างที่หลายคนรู้ว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้ ถือเป็นปีที่ ฟื้นตัวช้า และต้องเผชิญกับความท้าทายจากปัญหาหนี้เสีย ทำให้ธุรกิจที่ได้รับผลกระทบเต็ม ๆ ก็คือ ธุรกิจบัตรเครดิต สินเชื่อเพื่อการผ่อนชำระ และสินเชื่อส่วนบุคคล ซึ่ง กรุงศรี คอนซูมเมอร์ ก็ถือเป็นผู้เล่นหลักของตลาด ก็ต้องสู้ยิบตา เพื่อสร้างการเติบโตท่ามกลางปัจจัยลบที่มี

ปีนี้ยังเอาอยู่ เพราะบริหารความเสี่ยงดี

สำหรับภาพรวม 10 เดือนของ กรุงศรี คอนซูมเมอร์ อธิศ รุจิรวัฒน์ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านกรุงศรี คอนซูมเมอร์ เล่าให้ฟังว่า ยังโตกว่าตลาด โดยมียอด บัญชีใหม่ 496,000 บัญชี +6% ขณะที่ ยอดใช้จ่ายผ่านบัตร ที่ 317,000 ล้านบาท +8% ซึ่งถือว่าเติบโตได้ เท่าตัว เมื่อเทียบกับภาพรวมตลาดที่เติบโต +4% ในส่วนของ สินเชื่อใหม่ อยู่ที่ 78,000 ล้านบาท +4% ด้าน ยอดสินเชื่อคงค้าง อยู่ที่ 139,000 ล้านบาท -1%

อย่างไรก็ตาม คาดว่าภายในปี 2567 กรุงศรี คอนซูมเมอร์จะมียอดบัญชีลูกค้าใหม่ 600,000 บัญชี (+7%), ยอดใช้จ่ายผ่านบัตร 393,000 ล้านบาท (+8%), ยอดสินเชื่อใหม่ 96,000 ล้านบาท (+5%) และยอดสินเชื่อคงค้าง 150,000 ล้านบาท (+1%) 

“การปรับการจ่ายขั้นต่ำบัตรเครดิตจาก 5% เป็น 8% ถือว่าค่อนข้างเยอะ แต่เรายังมั่นใจว่าสามารถบริหารความเสี่ยงได้ดี ส่งผลให้หนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) บัตรเครดิต อยู่ 1.3% ส่วนสินเชื่อบุคคลอยู่ที่ 2.5% ซึ่งน้อยกว่าภาพรวมตลาดเกือบครึ่ง ถือว่าเรายังเอาอยู่”

เชื่อปีหน้าหนักสุดนับตั้งแต่ทำงานมา 20 ปี

ปีนี้ที่ว่าลำบาก แต่ปีหน้า อธิศ เชื่อว่า จะลำบากขึ้น และถือว่าเป็น ปีที่มีความท้าทายอันดับต้น ๆ นับตั้งแต่ทำงานมากว่า 20 ปี เพราะด้วยสภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่เห็นสัญญาณบวก นอกจากนี้ ตามมาตรการช่วยเหลือลูกค้าบัตรเครดิตของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยให้เครดิตเงินคืนสำหรับลูกหนี้ที่ผ่อนชำระหนี้ขั้นต่ำมากกว่าหรือเท่ากับร้อยละ 8 เพื่อจูงใจให้ลูกหนี้ปิดจบหนี้เร็วขึ้น ทำให้ครึ่งปีแรก (2568) ต้อง คืนดอกเบี้ย 0.5% ให้ลูกค้า และครึ่งปีหลัง คืนอีก 0.25% ซึ่งแน่นอนว่าจะส่งผลต่อ กำไรบริษัท 

ดังนั้น ปีหน้าบริษัทวางเป้าอย่างน้อย คงที่รายได้และกำไร เพราะต้องยอมรับว่า ความสามารถในการทำรายได้และกำไรไม่เท่าเดิม

“รัฐบาลต้องการลดหนี้ครัวเรือน ซึ่งก็มีผลลบกับธุรกิจเรา เพราะธุรกิจเราคือ Lending อย่างหนี้สูญที่เพิ่มขึ้นในปีนี้ ก็ทำให้เราต้องคิดเยอะก่อนอนุมัติ ดังนั้น ปีนี้ที่ท้าทาย ปีหน้ายิ่งท้าทาย เพราะหนี้สูญคงไม่ดีกว่าปีนี้ แต่มีเรื่องการคืนดอกเบี้ย ที่จะยิ่งกดดันธุรกิจสินเชื่อ”

ขอกลับมาโตด้วยบัตรกรุงศรี

สำหรับกลยุทธ์ธุรกิจบัตรเครดิตในปีหน้า อธิศ มองว่าถึงเวลา เติบโตด้วย Core product ซึ่งก็คือ บัตรเครดิตกรุงศรี โดยจะ ปรับภาพ ปรับสิทธิประโยชน์ ให้ตรงใจลูกค้าในปัจจุบัน เพื่อดันเป็น บัตรหลักของผู้ใช้ จากที่ผ่านมาการเติบโตส่วนใหญ่เกิดจากผลิตภัณฑ์ใหม่

“ที่ผ่านมาเราเติบโตจากผลิตภัณฑ์ใหม่ แต่ปีหน้าเราจะไม่ใช้กลยุทธ์นี้ จะกลับมาดูผลิตภัณฑ์หลัก ซึ่งเราต้องทำให้ลูกค้ารัก และใช้บัตรเราเรื่อย ๆ และเมื่อเรามีผลิตภัณฑ์ที่ดี ภาพลักษณ์ที่ดี มีความน่าไว้วางใจ ลูกค้าใหม่ก็จะเข้ามาเอง ดังนั้น การปรับโฉมใหม่จึงเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ปีหน้า”

หนึ่งในสิทธิประโยชน์ที่กรุงศรี คอนซูมเมอร์จะให้ความสำคัญก็คือ ร้านอาหาร โดยต้องการรีเคลมการเป็น King of dining โดยจะมีสิทธิพิเศษด้านร้านอาหาร อีกส่วนหนึ่งก็คือ การผ่อนชำระ ที่จะเพิ่มหมวดหมู่ใหม่ ๆ ตามเทรนด์ อาทิ Solar roof, สัตว์เลี้ยง เป็นต้น เพื่อช่วยเพิ่มกำลังซื้อให้กับบัตรกรุงศรี

รักษาความสำคัญกับ Japan Ecosystem และ พันธมิตร

อีกกลยุทธ์ที่เป็นจุดแข็งของกรุงศรี คอนซูมเมอร์ก็คือ Japan Ecosystem และ พันธมิตร โดยกรุงศรีฯ ยังคงเป็น Top of mind ที่ลูกค้าคิดถึงเมื่อ ท่องเที่ยวญี่ปุ่น ด้วยสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ จากภายใต้แคมเปญ เรื่องญี่ปุ่น ต้องกรุงศรี รวมถึงบริการ ผ่อนชำระดอกเบี้ย 0% นาน 3 เดือน โดยกรุงศรีตั้งเป้ายอดใช้จ่ายผ่านบัตรที่ญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 30% เป็น 3,250 ล้านบาท ภายในปี 2025 

ในฝั่งพันธมิตร บัตรเครดิต Co-Brand ทางกรุงศรี คอนซูเมอร์จะมีการต่อยอดทางธุรกิจกับพันธมิตรเรื่อย ๆ โดยล่าสุด ได้ขยายความร่วมมือกับกลุ่มเซ็นทรัลในการให้บริการ Central The1 ต่อไปอีก 8 ปี รวมเป็นกว่า 30 ปี ซึ่งจะยิ่งช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งในกลุ่มบัตร Co-Brand

ต้องเริ่มกลับมาด้วยสินเชื่อ

ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา กรุงศรี คอนซูมเมอร์เติบโตในฝั่งบัตรเครดิต แต่ฝั่งของ สินเชื่อ จะเติบโตได้น้อยกว่า ซึ่งส่งผลให้ ผลกำไรและศักยภาพในการสร้างรายได้ไม่สูง ดังนั้น กรุงศรี คอนซูมเมอร์ต้องการ เติบโตในฝั่งสินเชื่อบุคคลมากกว่าที่เป็น อย่างไรก็ตาม การจะเติบโตในฝั่งสินเชื่ออาจไม่ใช่ในเร็ว ๆ นี้ เพราะปีหน้ายังไม่ใช่จังหวะที่ดีในการรุกสินเชื่อบุคคล

“เราอยากจะเติบโตฝั่งสินเชื่อบุคคล แต่คงไม่ใช่เร็ว ๆ นี้ เพราะต้องดูสภาพแวดล้อมของตลาด”

ทำกำไรยาก ต้องลีนกว่านี้

อธิศ ทิ้งท้ายว่า ธุรกิจบัตรเครดิตในวันนี้ไม่ใช่ธุรกิจที่คาดหวังผลกำไรได้ ถ้า คาดหวังกำไรสูง ผู้เล่นที่จะอยู่ได้ ต้องมีสเกล ควบคุมความเสี่ยงเก่ง และหลังบ้านต้อง ลีน ดังนั้น จะเห็นว่า ธุรกิจบัตรเครดิตไม่มีผู้เล่นใหม่เข้ามา เหลือแต่ผู้เล่นหน้าเดิม ๆ 

ดังนั้น กรุงศรี คอนซูมเมอร์ก็ต้องหันกลับมาดูองค์กรว่าส่วนไหนขององค์กรที่ต้องลีน และต้องบาลานซ์ระหว่างลูกค้ากลุ่ม Hight, Middle และ Low เพื่อบาลานซ์รายได้ที่เข้ามา เพราะการได้ลูกค้ากลุ่ม Hight ไม่ได้แปลว่ารายได้จะดี เพราะกลุ่มนี้ใช้เยอะจริง แต่จ่ายตรง

“ถ้ามันเป็นธุรกิจที่มีโอาสสร้างผลกำไรได้ขนาดนั้น ทำไมไม่มีใครเข้ามา จะเห็นว่าไม่มีใครอยากออกบัตรเครดิต ดังนั้น ที่อยู่ได้คือเติบโตจากยุคที่พยุงธุรกิจได้ และจะอยู่ได้ต้องมีสเกล และคอนโทรลความเสี่ยงที่เก่งมาก และอีกสิ่งที่จำเป็นคือ เป็นผู้เล่นที่ลีน ดังนั้น ถ้าจะหวังรายได้เยอะ ๆ จากการทำธุรกิจมันยาก”

]]>
1504487
‘หลานม่า’ จากหนังที่คิดว่าทำเงินสูงสุด 80 ล้านก็ดีแล้ว สู่การสร้างหลายปรากฏการณ์ให้วงการหนังไทยบนเวทีโลก https://positioningmag.com/1504393 Fri, 20 Dec 2024 04:06:06 +0000 https://positioningmag.com/?p=1504393 วันนี้ ‘หลานม่า’ ไม่เพียงสร้างปรากฏการณ์เฉพาะเรื่องของรายได้ จากการเข้าฉายใน 36 ประเทศ สามารถกวาดรายได้ไปถึง 2,059 ล้านบาท แต่ยังสร้างประวัติศาสตร์หนังไทย ‘เรื่องแรก’ ที่เข้ารอบ 15 เรื่องสุดท้ายรางวัลออสการ์ครั้งที่ 97 ในสาขา ‘ภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยม’ ซึ่งก่อนจะดังเปรี้ยงอย่างที่เห็น หนังเรื่องนี้เคยถูกตั้งไว้ว่า ทำรายได้ 80 ล้านบาทคือดีที่สุดแล้ว 

ย้อนกลับไปวันเริ่มต้นของการปั้นโปรเจกต์หนังเรื่องนี้ หรือมีชื่อภาษาอังกฤษว่า How To Make Millions Before Grandma Dies ทาง ‘จินา โอสถศิลป์’ ซีอีโอ GDH เล่าว่า ทางบอร์ดบริหารมีการตั้งคำถามและข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องราวของหนังจะมีความ sensitive หรือไม่ เนื่องจากมีเนื้อหาที่หลานตั้งใจจะเอามรดก 

แต่ด้วยความเก่งของโปรดิวเซอร์ (วรรณฤดี พงษ์สิทธิศักดิ์) ของผู้กำกับ (พัฒน์ บุญนิธิพัฒน์) ไปจนถึงการเขียนบทที่นำเสนอเรื่องความกตัญญู และความสัมพันธ์ของคนในครอบครัว ซึ่งสามารถทำออกมาได้ดี จนกระทั่งหนังตัดต่อออกมา เมื่อเธอได้ดูแล้วทำให้รู้สึกชื่นชมเป็นอย่างมาก  

ส่วนหนังจะไปได้ไกลแค่ไหน คำตอบ ณ ตอนนั้น คือ ‘ไม่รู้’ 

แต่ด้วยความเชื่อ ‘หนังดี ทุกอย่างจะไปได้ดี’ ทำให้จินาตัดสินใจเรียกทีมงานทั้งหมดเข้ามาพูดคุย โดยถามกับทีมงานมั่นใจหรือไม่ว่าหนังเรื่องนี้ดีและสนุกพอ? ซึ่งทีมงานตอบว่า ‘มั่นใจ’ 

จึงนำมาสู่คำถามถัดไป ‘คิดว่า จะทำรายได้มากสุดที่เท่าไร’ 

คำตอบที่ได้รับจากทีมงานทุกคนคือ ‘80 ล้านบาทสุด ๆ แล้ว’ แต่เมื่อเธอได้เห็น cutting สุดท้ายของหนัง ทำให้จินามั่นใจและขอใช้สิทธิ์ซีอีโอฟันธง ‘หนังเรื่องนี้ต้องทำรายได้ 150 ล้านบาท’ ตอนนั้นหลายคนบอกว่า ‘เธอบ้าไปแล้ว’ เพราะด้วยเนื้อหามีความเป็นดราม่า ซึ่งอย่างที่ทราบกัน หนังดราม่า ‘ไม่ใช่หนังที่จะทำเงินได้มากมายนัก’ 

สำหรับการประสบความสำเร็จของหลานม่าอย่างที่เห็น เกิดขึ้นจากองค์ประกอบหลายอย่าง ทว่าพื้นฐานและเป็นสารตั้งต้นสำคัญของความสำเร็จ ก็คือ ‘ตัวหนังดี’ จากการที่ทุกคนทำงานของตัวเองอย่างเต็มที่เพื่อสร้างสรรค์ผลงานให้ออกมาดีที่สุด 

ถัดมา เป็นเรื่องของการตลาด ด้วยการใช้ Word of Mouth สร้างกระแส ‘หนังดี ต้องปากต่อให้คนมาดู’ ซึ่งเป็นวิธีที่จินาเคยใช้สร้างความสำเร็จอย่างถล่มทลายมาแล้วกับหนังเรื่อง ‘แฟนฉัน’ โดยไม่ได้ใช้ Influencer ของหนังอย่างเดียว แต่เป็นการใช้เครือข่ายที่มีทั้งหมดเพื่อดึงคนเข้ามาให้มากที่สุด

“การไปดูหนังมันเสียทั้งเงินและเวลา ยิ่งตอนนี้มีสตรีมมิ่งเสิร์ฟความบันเทิงไปถึงบ้านด้วย คุณจะเอาชนะได้อย่างไร ซึ่งเราเอาชนะได้อย่างเดียวคือ ตัวงาน อันนี้คือพื้นฐาน ทำอย่างไรให้คนดูอดทนรอไปอีก 3-4 เดือนไม่ได้ ตอนนั้นที่ทำโฟกัส กรุ๊ป คนดูเสร็จคนชอบมาก ๆ มีเด็กผู้ชายอายุ 16 ร้องไห้ จนเรามั่นใจ”

จากหนังที่หลายคนมองว่า ทำรายได้ 80 ล้านบาทก็สุด ๆ แล้ว มาถึงวันนี้หลานม่า ได้สร้างหลายปรากฏการณ์ให้เห็นกับวงการหนังไทย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องรายได้ที่ทำเงินไปถึง 2,059 ล้านบาท จากการเข้าฉายใน 36 ประเทศ และกวาดรางวัลจากเวทีประกวดมากมายทั้งในประเทศและระดับนานาชาติ รวมถึงเป็นหนังไทยเรื่องแรกที่ติด 15 เรื่องสุดท้ายที่เสนอเข้าชิงเวทีระดับโลกอย่าง รางวัลออสการ์ครั้งที่ 97 ในสาขา ‘ภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยม’

ส่วนจะสามารถสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ ติด Final list หนัง 5 เรื่องสุดท้ายที่เข้าชิงรางวัลจากเวทีระดับโลกนี้ได้หรือไม่ ต้องติดตามกันวันที่ 17 มกราคม 2025 ขณะที่งานดังกล่าวจะมีการประกาศรางวัลในวันที่ 2 มีนาคม 2025

]]>
1504393
บริษัทไทยยุคใหม่ หันออกแบบ “ที่ทำงานในฝัน” กลยุทธ์ใหม่ดึงดูดคนเก่งเข้าทำงาน https://positioningmag.com/1504392 Fri, 20 Dec 2024 04:02:42 +0000 https://positioningmag.com/?p=1504392 ปัจจุบันหลายบริษัทในไทยต่างเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน โดยหันมาลงทุนกับทรัพยากรบุคคลมากขึ้น ผ่านการ Upskill ตลอดจนออกนโยบายจูงใจผ่านการเพิ่มเงินเดือน ตลอดจนโบนัส “เพื่อดึงดูดคนเก่งร่วมงาน”

ปัจจัยเหล่านี้ ส่งผลให้องค์กรต้องออกแบบพื้นที่สำนักงานให้เป็น “ที่ทำงานในฝัน” สอดคล้องกับการดึงดูดบุคลากรคุณภาพ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และความยั่งยืน

เจแอลแอล ประเทศไทย (JLL) เปิดเผยบทวิเคราะห์จากผลสำรวจ Future of Work 2024 พบว่า องค์กรทั่วโลกให้ความสำคัญกับการออกแบบสถานที่ทำงานในฐานะปัจจัยสำคัญต่อความสำเร็จขององค์กร

แนวโน้มนี้เริ่มเห็นชัดขึ้นสำหรับในประเทศไทย จากความต้องการ “สถานที่ทำงานในอุดมคติ” (Destination Workplaces) ที่ผสานเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย การใช้งานอย่างอเนกประสงค์ และแนวคิดด้านความยั่งยืนเข้าไว้ด้วยกัน

  • 65% ขององค์กรทั่วโลก มีแผนเพิ่มการลงทุนในด้านความยั่งยืนของสถานที่ทำงาน
  • 80% คาดว่าสำนักงานของตนจะใช้งาน AI ได้อย่างเต็มรูปแบบภายในปี 2573

การออกแบบสถานที่ทำงานกำลังกลายเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยให้บริษัทในประเทศไทยบรรลุเป้าหมายทั้งในเรื่องการดึงบุคลากรที่มีความสามารถเข้ามาร่วมงาน รวมถึงเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม

ส่งผลให้ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ผู้เช่าพื้นที่สำนักงาน หันไปเช่าอาคารสำนักงานสมัยใหม่ ที่เน้นความยั่งยืน และการรองรับเทคโนโลยีในอนาคต เช่น การออกแบบหมุนเวียน (Circular Design), การสร้างอาคารที่พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ

งานวิจัยยังพบว่า พื้นที่ทำงานที่ออกแบบโดยคำนึงถึงความยั่งยืนเป็นที่นิยมภายในกลุ่มคนรุ่นใหม่

  • 71% ของคนเจเนอเรชั่น Z และมิลเลนเนียลให้ความสำคัญกับตัวเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเมื่อตัดสินใจเลือกที่อยู่อาศัยหรือที่ทำงาน

“พื้นที่สำนักงานในปัจจุบันต้องทำมากกว่าแค่รองรับการทำงาน แต่ยังต้องสร้างแรงบันดาลใจ ส่งเสริมการคิดค้นนวัตกรรม และแสดงถึงความรับผิดชอบขององค์กรอีกด้วย”

ความต้องการพื้นที่สำนักงานระดับพรีเมียมที่เพิ่มขึ้นในประเทศไทยสะท้อนถึงแนวโน้มในระดับภูมิภาคและทั่วโลกที่มุ่งเน้นสภาพแวดล้อมที่มีประสิทธิภาพสูง

  • 64% ขององค์กรที่ตอบแบบสอบถามคาดว่า จำนวนพนักงานจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญภายในปี 2573
  • มากกว่า 50% คาดว่าจะขยายพื้นที่สำนักงานของตน การมีสำนักงานที่ทันสมัยและสามารถปรับตัวได้จึงมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนเป้าหมายเหล่านี้

]]>
1504392
“ยาดมหงส์ไทย” เกิดจากคอร์สเรียนพิมเสน 200 บาท สู่รายได้ 300 ล้านในวันนี้ https://positioningmag.com/1504353 Fri, 20 Dec 2024 03:45:38 +0000 https://positioningmag.com/?p=1504353
  • ยาดมหงส์ไทยเกิดจากการที่เก่ง ธีระพงศ์ ผู้ก่อตั้งได้เริ่มเรียนการทำพิมเสน แล้วเริ่มเร่ขายในตลาด รับฟีดแบ็กจากลูกค้าว่าอยากได้ยาดม จึงผลิตยาดมออกมาเพิ่ม
  • ชื่อหงส์ไทยได้แรงบันดาลใจจากการเดินทางไปต่างจังหวัด แล้วเห็นรูปปั้นรูปหงส์
  • ทุกวันนี้มีกำลังการผลิตวันละ 200,000 ชิ้น รายได้ 300 ล้านบาท เตรียมผุดโรงงานรองรับส่งออก
  • ยาดมหงส์ไทย หนึ่งในซอฟท์พาวเวอร์สำคัญของประเทศไทยที่เหล่าไอดอล หรือบุคคลดังทั่วโลกต่างต้องเคยซู้ด… ออกสื่อ เรียกว่าเป็นซอฟท์พาวเวอร์แบบออแกนิกไม่ต้องจ่ายค่าโปรโมตเลยทีเดียว แต่กว่าจะมีถึงทุกวันนี้ได้ “เก่ง ธีระพงศ์ ระบือธรรม” ต้องฝ่าฟันอะไรต่างๆ มากมาย 

    ต้นทุน 200 บาท เร่ขายตามตลาด

    ธีระพงศ์ ระบือธรรม ผู้ก่อตั้ง บริษัท สมุนไพรไทย หงส์ไทย จำกัด หรือที่รู้จักกันในนามยาดมหงส์ไทย ได้แชร์ประสบการณ์ในการสร้างแบรนด์ในงาน MAT CMO Council “1+1>2: Unleashing Local Potential to Global Stage” เป็นการสร้างแบรนด์จากความ “ไม่รู้” แต่ได้เรียนรู้จากข้อผิดพลาดจนก่อเกิดเป็นภูมิต้านทานในการทำธุรกิจจนถึงทุกวันนี้

    ธีระพงศ์ เริ่มเล่าว่า เขาเติบโตมาในครอบครัวที่ค่อนข้างลำบาก เห็นพ่อแม่ทำงานหนักมาตั้งแต่เด็ก พ่อขับเท็กซี่ ส่วนแม่เป็นแม่บ้าน เลยมีความคิดที่อยากจะออกมากช่วยพ่อแม่ทำงานตั้งแต่เรียน ป.6 พอเห็นความยากลำบากเลยไม่ได้สนใจเรื่องเรียนเท่าไหร่ เลือกเส้นทางเรียนรู้จากการเป็นลูกจ้างมา 6-7 ที่ แต่ละที่ให้ประสบการณ์ที่แตกต่างกัน

    hongthai

    จุดเปลี่ยนสำคัญที่เป็นการเริ่มเส้นทางของ “หงส์ไทย” ก็คือ หลังจากออกจากงานประจำมีรายได้ติดตัวอยู่ 18,000 บาท ได้ลงคอร์สเรียนทำพิมเสน 200 บาท แล้วซื้อพิมเสนชุดเล็กมาเดินขายตามตลาด 

    “ตอนนั้นมีความยากมากๆ เพราะไม่มีคนรู้จักเราเลย ถูกปฏิเสธก็เยอะ แต่มีกำลังใจเพราะมีคนซื้ออยู่บ้าง จริงๆ ไทยเป็นประเทศที่ให้โอกาส… แต่ให้น้อย แต่ก็ยังดีกว่าไม่ให้เลย พอขายได้คนนึงจะใจฟู จากนั้นจะไปหาลูกค้าทุกเดือน เก็บข้อมูลว่าอยากได้อะไรเพิ่ม แล้วเอามาพัฒนา ทีนี้มีช่วงที่เจออุบัติเหตุไม่ได้ผลิตไป 2 ปีกว่า แต่ก็ยังมีลูกค้าตามหา ก็ค้นพบได้ว่าถ้าเราทำอะไรออกมาดีๆ ก็จะไม่มีวันตาย”

    พอเริ่มต้นจากทำพิมเสน ได้ฟีดแบ็กจากลูกค้าว่าอยากได้ยาหม่อง ก็เรียนรู้หาสูตรยาหม่อง พอลูกค้าตำหนิ ก็เรียนรู้เรื่อยๆ สูตรยาดม ยาหม่องมาจากคำตำหนิของลูกค้าทั้งหมด

    hongthai

    ธีระพงศ์ยังบอกอีกว่า ลูกค้ารายใหญ่ที่สุดในตอนนี้ไม่ใช่เซเว่น หรือร้านขายส่งแต่อย่างใด แต่เป็นลูกค้าล็อตแรกที่ซื้อที่ตลาด สมัยเดินเร่ขาย ลูกค้าคนนี้เคยทำงานอยู่ที่โรงงานนันยางบางแค ตอนนี้สั่งซื้อ 3,500 โหล/สัปดาห์ แล้วไปส่งต่ออีกที 

    “ลูกค้ากลุ่มนี้มีไม่เกิน 10 คน แต่เป็นลูกค้ามหัศจรรย์ 1 ปีจะมีไปทานข้าวด้วยกันอยู่เสมอ” 

    เตรียมเย็บถุงตาข่าย ยืนยันไม่ขึ้นราคา 

    หลายคนอาจจะสงสัยว่ายาดมหงส์ไทยมีหลายสี หลายสูตร มีความแตกต่างกันอย่างไร หลักๆ จะมี 3 สีได้แก่ สีเขียว สีเหลือง และสีขาว โดยที่สีเขียวจะมีสูตร 1 กระปุกเขียว ฉลากเขียว และสูตร 2 กระปุกเขียว ฉลากเหลือง ส่วนสีเหลืองเป็นสมุนไพรเหมือนกัน แต่มีส่วนผสมของพิมเสนมากกว่าสีเขียว ส่วนสีขาวเป็นยาดมพิมเสนน้ำ

    แน่นอนว่าสูตรที่ขายดีที่สุดต้องเป็นกระปุกเขียวฉลากเหลืองในตำนาน สูตร 2 ในประเด็นนี้ ธีระพงศ์ ได้บอกไว้ว่า ที่จริงแล้วทั้ง 2 สูตรเป็นสูตรเดียวกัน ไม่มีความแตกต่างกัน เพียงแต่เป็นเทคนิคในการขอ อย. เพราะโดนตีออกบ่อย เลยขอไปเผื่อ 3 สูตรเลย

    hongthai

    “จริงๆ แล้วสูตร 2 เป็นเทคนิกการขอ อย. เคยขอสูตร 1 แล้วโดนตีออก พอโดนตีออกเข้าบ่อยเลยขอไปทีเดียว 3 สูตรเลย ซึ่งจริงๆ แล้วก็สูตรเดียวกัน ขอมา 9 ปีไม่ได้ เพิ่งได้มาเมื่อปี 2562” 

    ส่วนฟีดแบ็กที่ว่าถุงตาข่ายชอบหล่น ทำให้สมุนไพรหล่น ธีระพงศ์ก็บอกว่าปีหน้าเตรียมเย็บถุงตาข่ายแน่นอน มีตาข่ายเป็นรูปหงส์ แล้วเย็บปิด ทำให้ไม่หลุด แม้ต้นทุนจะเพิ่ม แต่ยืนยันว่าไม่ขึ้นราคา ตอนนี้ซื้อจักรมาแล้ว เตรียมเซตระบบ และปีหน้าจะได้เห็นถุงตาข่ายแบบใหม่

    สินค้า 50 ตัว ขาดทุน 7 ตัว

    ปัจจุบันหงส์ไทยมีสินค้ารวม 50 รายการ แบ่งเป็น 5 กลุ่ม ได้แก่ ยาดม, ยาหม่อง, สเปรย์, น้ำมัน และยาหม่องหัวปั๊ม เป็นสินค้าที่ติดตลาด 10 กว่าตัว ยาดมเป็นรายได้หลักเกือบ 80% มีการตั้งเป้าว่าในปี 2570 อยากทำให้สินค้าติดตลาด 30 ตัวให้ได้

    hongthai

    แต่ในสินค้า 50 รายการ มีขาดทุนอยู่ 7 รายการ ยกตัวอย่างเช่น สเปรย์นวดขวัญใจคนยาก ไว้ใช้สำหรับนวดแก้ปวดเมื่อย ธีระพงศ์บอกว่าทำแรกๆ ก็ได้กำไร แต่หลังๆ ขาดทุน เพราะมันไม่มีคุณภาพ เนื่องจากพยายามกดราคาที่ 95 บาท เพื่อให้ไม่เกิน 100 บาท แต่ค่าครองชีพขึ้นเรื่อยๆ ต้นทุนก็สูงขึ้น ถ้าจะเอากำไรจริงๆ ต้องราคา 100 บาทขึ้นไป 

    “ผมพัฒนาสินค้า 500 กว่ารอบ มีสินค้าขาดทุน 7 ตัว แต่สามารถสร้างชื่อ สร้างแบรนด์ สร้างความรัก สร้างความพึงพอใจ รวมถึงให้ลูกค้ารากหญ้าที่มีรายได้น้อยได้มีสิทธิ์ซื้อสินค้ามีคุณภาพ แม้วันที่วันที่ไม่มีเงิน หรือเริ่มมีเงิน ก็ยังเป็นลูกค้าเรา มีสินค้าที่มีกำไรเกือบ 40 ตัวก็เลยสมดุลกัน” 

    กำลังการผลิตวันละ 2 แสนชิ้น เตรียมผุดโรงงานรองรับส่งออก

    ปัจจุบันยาดมสมุนไพรสีเขียวสูตร 2 ไซส์ใหญ่ขายดีที่สุด ผลิตทุกวันตั้งแต่ 8.00-22.00 น. มีกำลังการผลิต 200,000 ชิ้นต่อวัน และจะเพิ่มเป็น 300,000 ชิ้นในเร็วๆ นี้ ตอนนี้กำลังประสบปัญหาผลิตไม่ทัน แม้จะเพิ่มกำลังคนแล้วก็ตาม

    แต่ในอีก 2 ปีข้างหน้าเตรียมแผนที่จะสร้างโรงงานใหม่ย่านพุทธมณฑลสายสี่เพื่อรองรับการส่งออก ด้วยพื้นที่ 4 ไร่ มี 3 อาคาร 

    ในปีที่แล้วบริษัทมีรายได้ 300 ล้านบาท ปีนี้คาดว่าจะเติบโตมากกว่าเท่าตัว เพราะได้แรงหนุนจากพลังโซเชียล และพลังปากต่อปากที่ช่วยสร้างหงส์ไทยให้เป็นซอฟท์พาวเวอร์ตัวจริง

    ]]>
    1504353
    ญี่ปุ่น ออกนโยบาย “ทำงาน 4 วัน” แก้วิกฤตคนมีลูกน้อย ทางรอดระบบเศรษฐกิจ https://positioningmag.com/1504354 Thu, 19 Dec 2024 11:20:33 +0000 https://positioningmag.com/?p=1504354 รัฐบาลญี่ปุ่น ประกาศเตรียมนำระบบทำงาน 4 วัน มาใช้ในระบบราชการของญี่ปุ่น เพื่อกระตุ้นอัตราการเกิดใหม่ของเด็ก นำร่องเดือนเมษายน ปี 2568

    ขณะเดียวกัน ยังมีนโยบายยืดหยุ่นเวลาทำงาน สำหรับกลุ่มชาย-หญิง ที่มีลูกเรียนในชั้นประถมศึกษา ปีที่ 1-3 สามารถแลกเงินเดือนบางส่วน กับการเลิกงานก่อนเวลา เพื่อไปดูแลลูกได้

    “เรากำลังทบทวนรูปแบบการทำงานที่ยืดหยุ่น เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่มีใครต้องละทิ้งอาชีพ เพราะการคลอดลูก หรือการดูแลเด็ก และขณะนี้เราต้องยกระดับเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของประชาชนในช่วงเวลาที่ท้าทายที่สุดของประเทศ” ยูริโกะ โคอิเกะ ผู้ว่าการกรุงโตเกียว กล่าวในช่วงแถลงนโยบายในวานนี้ (18 ธ.ค. 67)

    อย่างไรก็ดี อัตราการเจริญพันธุ์ของญี่ปุ่นลดลงอย่างรวดเร็วในหลายปี โดยปี 2566 มีจำนวนเด็กเกิดใหม่เพียง 727,277 คน และลดลงต่ำสุดในช่วงเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา เหลือ 1.2

    ซึ่งอัตราการเจริญพันธุ์เพียงพอที่จะพยุงเสถียรภาพประชากรและเศรษฐกิจได้ ต้องอยู่ที่ระดับ 2.1

    การทำงานหนัก-ค่าครองชีพสูง กดดันหนุ่มสาวญี่ปุ่น

    นักสังคมวิทยารายหลายมองว่า อัตราการเกิดลดลงของญี่ปุ่น มีหลายปัจจัย อาทิ

    • วัฒนธรรมการทำงานไม่ยืดหยุ่น
    • ค่าครองชีพสูงขึ้น
    • ชั่วโมงการทำงานที่หนักหน่วง และเป็นปัญหากัดกินสังคมญี่ปุ่นมานาน บางรายมีปัญหาสุขภาพ หรือกระทั่งเสียชีวิตจากการทำงาน

    ทั้งนี้ นโยบายทำงาน 4 วัน/สัปดาห์ เริ่มเกิดมากขึ้นในประเทศฝั่งตะวันตก บางบริษัทได้เปิดให้ทำงานในเวลาที่สั้นลง เพื่อดึงดูดคนเก่ง ที่อยากได้สมดุลชีวิตแบบ work-life balance

    การศึกษาบางส่วน พบว่า การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และความเป็นอยู่ของพนักงาน

    ทว่าสำหรับญี่ปุ่นที่ยึดคติการทำงานถวายหัว เพื่อแสดงความภักดีต่อองค์กร มองว่า นโยบายทำงาน 4 วัน/สัปดาห์ “สุดโต่ง” เกินไป

    อัตราเกิดต่ำ 50 ปี ขนาดเศรษฐกิจโดนแซงต่อเนื่อง

    ที่ผ่านมา “ญี่ปุ่น” เผชิญกับอัตราการเกิดใหม่ที่ลดลงต่อเนื่อง 50 ปี และส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ

    โดยข้อมูลจาก IMF เมื่อปี 2566 พบว่า ญี่ปุ่น ตกมาอยู่อันดับ 4 ประเทศขนาดเศรษฐกิจใหญ่สุดในโลก (เดิมอันดับ 3) ซึ่งถูกเยอรมนีแซงขึ้นไป หลังตามหลังญี่ปุ่นมาตั้งแต่ปี 2513 แม้ปีก่อนเศรษฐกิจเยอรมนีจะไม่เติบโตเลยก็ตาม!

    ขณะที่ก่อนหน้านี้เมื่อปี 2553 ญี่ปุ่น ก็ถูกจีนแซงขึ้นไปเป็นอันดับ 2 แทนเช่นกัน “ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงขนาดเศรษฐกิจที่น่าสนใจ และสะท้อนว่า เศรษฐกิจญี่ปุ่นถดถอยอย่างต่อเนื่อง“

    คงต้องจับตาดูว่านโยบายใหม่นี้ของญี่ปุ่น จะช่วยเพิ่มความหวังทางรอดเศรษฐกิจให้ญี่ปุ่นได้หรือไม่ หรือจะเป็นเพียงนโยบายที่ใช้ไม่ได้ผลเหมือนที่ผ่านมา

    ]]>
    1504354
    ยอดใช้จ่ายบนแอป-เกมมือถือทั่วโลก ปี 67 ทะลัก 4.4 ล้านล้านบาท เพิ่ม 15% “Temu-TikTok” จับมือโต https://positioningmag.com/1504240 Thu, 19 Dec 2024 08:04:18 +0000 https://positioningmag.com/?p=1504240 ภาพรวมเศรษฐกิจโลกจะอยู่ในช่วงค่อย ๆ ฟื้นตัว แต่ยอดการใช้จ่ายผ่านแอปพลิเคชันและเกมมือถือทั่วโลก กลับเติบโตต่อเนื่อง!

    “Appfigures” ระบุ การใช้จ่ายทั่วโลกผ่านแอปฯ-เกมมือถือ ปี 2567 ทั้งใน App Store และ Google Play มีมูลค่า 127,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 4.4 ล้านล้านบาท เติบโต 15% เมื่อเทียบกับปีก่อน (YoY) แบ่งเป็น

    • รายได้จาก App Store 91,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ประมาณ 3.2 ล้านล้านบาท เติบโต 24% (YoY)
    • รายได้จาก Google Play 35,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ประมาณ 1.2 ล้านล้านบาท ลดลง 1.5% (YoY)

    TikTok แอปที่ผู้บริโภคใช้จ่ายสูงสุดในโลก

    เมื่อพิจารณาจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค “TikTok” เป็นแอปที่ครองส่วนแบ่งการตลาดสูงสุดทั่วโลก

    โดยมีมูลค่าการใช้จ่ายใน iOS และ Android (ไม่นับรวม App Store ในจีน) ประมาณ 2,500 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 8.75 หมื่นล้านบาท

    นอกจากนี้ TikTok ยังเป็นแอปที่ครองส่วนแบ่งการตลาดสูงสุดในสหรัฐอเมริกา ทำยอดใช้จ่ายได้เกือบ 1,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 4.55 หมื่นล้านบาท

    ยอดดาวน์โหลดแอปทั่วโลก ลดลง 2.3%

    ทว่ายอดการดาวน์โหลดแอปฯ โดยรวมอยู่ในช่วงขาลง จากระบบนิเวศของแอปพลิเคชันเริ่มถึงจุดอิ่มตัว ซึ่งมียอดดาวน์โหลดเกือบ 110,000 ล้านครั้ง ลดลง 2.3% (YoY) แบ่งเป็น

    • ยอดดาวน์โหลดระบบ iOS 28,300 ล้านครั้ง ลดลง 1.1% (YoY)
    • ยอดดาวน์โหลดระบบ Android 81,400 ล้านครั้ง ลดลง 2.6% (YoY)

    “ยอดดาวน์โหลดที่หายไปมาจากการปราบปรามแอปฯ สแปมและคุณภาพต่ำออกไป ส่งผลให้การเปิดตัวแอปใหม่ จาก Google Play ลดลง 60%“

    Instagram ยอดดาวน์โหลดสูงสุด แต่ TEMU เบอร์ 1 ตลาดอเมริกา

    ส่วนแอปพลิเคชันยอดนิยม อันดับหนึ่งเป็นของ Instagram ทำยอดดาวน์โหลดสูงเกือบ 640 ล้านครั้ง ขณะที่แอปโซเชียลมีเดียอื่น ๆ อาทิ Snapchat, Facebook และ TikTok ก็มียอดค้นหาสูงเช่นกัน

    ที่น่าจับตา คือ แอปช้อปสินค้าสัญชาติจีน  TEMU” เป็นแอปพลิเคชันที่มียอดดาวน์โหลดสูงสุดในสหรัฐอเมริกา ที่จำนวน 48 ล้านครั้ง

    สอดคล้องกับรายงานก่อนหน้านี้ของ Appfigures ที่ระบุว่า Gen Z ที่ครองสัดส่วนในตลาดมือถือของอเมริกาเกือบ 40% โหลดแอป TEMU มากสุด โดยมีจำนวนสูงถึง 41.98 ล้านครั้ง รองลงเป็น TikTok 33.23 ล้านครั้ง และ Threads 32.32 ล้านครั้ง

    ]]>
    1504240
    ทำไมยักษ์ใหญ่น้ำอัดลม Coca-Cola ถึงส่ง ‘ชเวปส์ มิกซ์’ ชิงตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในไทย https://positioningmag.com/1504241 Thu, 19 Dec 2024 08:04:12 +0000 https://positioningmag.com/?p=1504241 เป็นเรื่องที่น่าจับตา เมื่อ ‘โคคา-โคล่า’ ยักษ์ใหญ่ธุรกิจเครื่องดื่ม โดยเฉพาะน้ำอัดลม ตัดสินใจเปิดตัว ‘ชเวปส์ มิกซ์’ ชิงมาร์เก็ตแชร์ตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์พร้อมดื่ม (ARTD) และน่าสนใจไปกว่านั้น คือ การเลือก ‘ประเทศไทย’ เป็น 1 ใน 5 ประเทศจากทั่วโลก และเป็นประเทศแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีการเปิดตัวโปรดักต์ตัวนี้

     

    นั่นนำมาสู่คำถามที่ว่า ทำไม โคคา-โคล่า ถึงสนใจประเทศไทย และเลือกเป็นหนึ่งในหมุดหมายสำหรับก้าวสำคัญของการขยายพอร์ตที่เดิมทีแข็งแกร่งในกลุ่มนอน-แอลกอฮอล์  สู่กลุ่มแอลกอฮอล์

     

    ‘ริชา ซิงห์’ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายปฏิบัติการธุรกิจ โคคา-โคล่า ประจำประเทศไทย และลาว ให้คำตอบว่า นั่นเพราะประเทศไทยเป็นตลาดที่ ‘สดใส’ และเป็น ‘อนาคต’ ด้วยเหตุผลจากการศึกษาตลาดแอลกอฮอล์และพฤติกรรม ผู้บริโภคมานาน ทำให้พบประเด็นน่าสนใจ ได้แก่

     

    ประเด็นแรก คนไทยมีปริมาณการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สูงสุด ติด Top 20 ของโลก (ซึ่งริชา ซิงห์ไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดว่า ปริมาณการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของคนไทยอยู่ที่เท่าไร)

    ประเด็นถัดมา ตลาดในประเทศไทยมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มการเติบโตไปในทิศทางบวก

    และประเด็นที่ 3 พฤติกรรมของผู้บริโภคในประเทศไทย เป็นกลุ่มที่พร้อมเปิดรับกับสิ่งใหม่ ๆ และพยายามมองหาโปรดักต์ที่ตอบโจทย์ความต้องการนี้ เพื่อสร้างความตื่นเต้นและความแปลกใหม่ให้กับตัวเองอยู่เสมอ

     

    ส่วนสาเหตุที่เลือกชเวปส์ มาบุกตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์พร้อมดื่มในไทย เพราะเป็นแบรนด์ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานมากว่า 200 ปี อีกทั้งเป็นแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จและเป็น Brand love ในใจผู้บริโภคในระดับโลก รวมถึงในไทยด้วย

     

    นอกจากนี้ ชเวปส์เองยังมีไลน์โปรดักต์ใน ‘กลุ่มมิกเซอร์’ อยู่แล้ว จึงมองเป็นโอกาส โดยชเวปส์ มิกซ์ จะเจาะกลุ่มเป้าหมายอายุระหว่าง 20-49 ปี นำเสนอภายใต้คอนเซ็ปต์ Thank Goodness It’s Thursday เติมเต็มวันพฤหัสบดีอย่างมีเอกลักษณ์แบบไม่ต้องรอให้ถึงวันศุกร์ และพยายามเชื่อมโยงและสร้างประสบการณ์ให้กับผู้คน ผ่านแพลตฟอร์ม Schweppes Mixed Social Club

     

    “เทรนด์โลกมาแรง คือ คนต้องการหาประสบการณ์ใหม่ ๆ ไม่จำเจ ส่วนอีกเทรนด์ที่ชัดเจน เป็นเรื่องของคนรุ่นใหม่ที่อาจเจอเรื่องเครียด ๆ เลยต้องการฉลองกันในช่วงกลางสัปดาห์ ไม่ต้องรอให้ถึงวันศุกร์ ซึ่งเราเชื่อว่า ด้วยตัวโปรดักต์ และคอนเซ็ปต์ของชเวปส์ มิกซ์จะตอบโจทย์ความต้องการเหล่านี้ได้”

     

    เบื้องต้นชเวปส์ มิกซ์ จะมีด้วยกัน 2 รสชาติ ได้แก่ ชเวปส์ มิกซ์ วอดก้า ซิตรัส และชเวปส์ มิกซ์ วอดก้า โกลเด้น มะนาว จำหน่ายในราคา 49 บาท ส่วนช่องทางการขายนั้นจะวางจำหน่ายในร้านอาหาร โรงแรม ร้านสะดวกซื้อ และโมเดิร์นเทรด

     

    อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นแบรนด์ที่แข็งแกร่งมีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 200 ปี แต่สำหรับตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แล้ว ชเวปส์ก็ถือเป็น ‘น้องใหม่’ เมื่อรวมกับประเทศไทยมีกฎหมายห้ามโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่อาจเป็นข้อจำกัดต่อการทำธุรกิจ ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นประเด็นที่ท้าทายสำหรับโคคา-โคล่าไม่น้อย

     

    ริชา ซิงห์ บอกว่า โคคา-โคล่า รู้ถึงกฎต่าง ๆ เหล่านี้เป็นอย่างดีและพร้อมปฏิบัติตาม เพราะมองประเทศไทยเต็มไปด้วยโอกาส ส่วนยอดขายหรือเรื่องมาร์เก็ตแชร์ อยากให้มองเป็นภาพในระยะยาว แต่มั่นใจว่า ชเวปส์ มิกซ์ จะได้รับการตอบโจทย์ที่ดี เนื่องจากตอบสนองเทรนด์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ในปัจจุบัน และอนาคตจะมีโปรดักต์ใหม่ออกมาอีก

     

    อย่างไรก็ตาม ชเวปส์ มิกซ์ ไม่ใช่โปรดักต์ตัวแรกของโคคา-โคล่า ที่ได้ส่งโปรดักต์เข้ามาชิมลางในตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์พร้อมดื่ม

     

    เพราะเมื่อปี 2018 ได้มีการเปิดตัว ‘เลมอน-โด’ ในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นครั้งแรกที่โคคา-โคล่า ก้าวเข้าสู่ตลาดแอลกอฮอล์ โดยเลมอน-โด เป็นเครื่องดื่มประเภท chu-hi หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แบบกระป๋องยอดนิยมชนิดหนึ่งของญี่ปุ่นที่ผลิตมาจากแอลกอฮอล์กลั่น ‘โชชู’ (shochu) ผสมกับโซดาและแต่งกลิ่นต่าง ๆ โดยเฉพาะกลิ่นผลไม้

     

    ถัดมาในปี 2022 โคคา-โคล่า ได้จับมือกับ Brown-Forman เปิดตัวค็อกเทลพร้อมดื่มแบรนด์ Jack & Coke หรือ Jack Daniel’s Tennessee Whiskey and Coca-Cola

    ]]>
    1504241
    JAS ส่งบอลพรีเมียร์ลีก-เอฟเอคัพ ลงจอ MONOMAX https://positioningmag.com/1504198 Thu, 19 Dec 2024 06:54:33 +0000 https://positioningmag.com/?p=1504198 หลังจากประกาศการได้รับสิทธิ์ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกและเอฟเอคัพ ล่าสุดทาง ‘บริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน)’ หรือ JAS ได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทอนุมัติให้ทำธุรกรรมเพื่อเผยแพร่คอนเทนต์รายการฟุตบอลพรีเมียร์ลีกและเอฟเอคัพผ่านแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งออนไลน์ MONOMAX กับ MONO Streaming บริษัทย่อยของ บริษัท โมโน เน็กซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ MONO และเข้าทำสัญญาใด ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดสิทธิและหน้าที่ระหว่างบริษัทและ MONO Streaming ในการเผยแพร่เนื้อหาคอนเทนต์รายการฟุตบอลพรีเมียร์ลีกและเอฟเอคัพในรูปแบบถ่ายทอดสด รับชมย้อนหลัง คลิปไฮไลต์ และรายการอื่น ๆที่บริษัทได้รับสิทธิเผยแพร่จาก The Football Association Premier League Limited (FAPL) และ The Football Association Limited (คอนเทนต์รายการฟุตบอลพรีเมียร์ลีกและเอฟเอคัพ)

    ภายใต้สัญญาเพื่อการถ่ายทอดสดภาพและเสียง สำหรับฟุตบอลพรีเมียร์ลีก สัญญาเพื่อการถ่ายทอดสดภาพและเสียง สำหรับเอฟเอคัพ (FA Rights) และสัญญาที่เกี่ยวกับคลิปภาพและเสียงดิจิทัล สำหรับฟุตบอลพรีเมียร์ลีก (รวมเรียกว่า “Long Form Agreement”) ที่บริษัทจะเข้าทำกับ FAPL ต่อไป

    ทั้งนี้ MONO Streaming จะมีหน้าที่ให้บริการแพลตฟอร์มที่เกี่ยวข้องและจำเป็นสำหรับการเผยแพร่คอนเทนต์รายการฟุตบอลพรีเมียร์ลีกและเอฟ เอคัพ ครอบคลุมทุกช่องทางในการเผยแพร่กับทุกเครือข่าย แพลตฟอร์ม อุปกรณ์ และช่องทางรับชมทั้งหมด

    โดย JAS ตกลงชำระค่าบริการให้แก่ MONO Streaming ไม่เกิน 5,400 ล้านบาท คาดว่า จะเข้าทำสัญญาที่เกี่ยวข้องภายในไตรมาส 1 ปี 2568 ก่อนเริ่มฤดูกาลฟุตบอลพรีเมียร์ลีกที่ 2025/26 มีระยะเวลาของสัญญารวม 6 ปี และบริษัทมีสิทธิที่จะต่ออายุได้อีกครั้งละ 1 ปี โดยให้เงื่อนไขและข้อตกลงเป็นไปตามสัญญาเดิม โดยแจ้งล่วงหน้าเป็นลายลักษณ์อักษรแก่ MONO Streaming

    อนึ่ง ณ วันที่ 16 ธ.ค.67 นายพิชญ์ โพธารามิก ถือหุ้น 51.08% ใน JAS และถือหุ้น 57.73% ใน MONO

    ทั้งนี้ MONO Streaming จะเสนอขายแพ็กเกจคอนเทนต์รายการฟุตบอลพรีเมียร์ลีกและเอฟเอคัพให้แก่ลูกค้า รวมทั้งดำเนินการในรูปแบบที่ให้สิทธิผู้ใช้บริการสามารถรับชมคอนเทนต์อื่น ๆ ของ MONOMAX ตลอดจนพัฒนาระบบการให้บริการบนแพลตฟอร์มเพื่อใช้สำหรับเผยแพร่เนื้อหาคอนเทนต์รายการฟุตบอลพรีเมียร์ลีกและเอฟเอคัพผ่านแพลตฟอร์ม MONOMAX เพื่อให้สามารถรองรับการบริการผ่านทุกเครือข่าย ครอบคลุมทุกแพลตฟอร์มและอุปกรณ์

    รวมถึงให้บริการถ่ายทอดสดพร้อมเสียงบรรยายภาษาไทย ตลอดจนผลิตรายการ ก่อนเข้าการแข่งขันและรายการระหว่างการแข่งขัน รวมถึงคลิปไฮไลต์ และให้การสนับสนุนด้านการตลาด ประชาสัมพันธ์ ผลิตสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์ และจัดกิจกรรมที่เกี่ยวข้องโดยบริษัทฯ เพื่อส่งเสริมการขายแพ็กเกจคอนเทนต์รายการฟุตบอลพรีเมียร์ลีกและเอฟเอคัพ

    JAS ตกลงชำระค่าบริการรายเดือนให้แก่ MONO ในอัตรา 50 บาท (โดยไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ต่อบัญชีผู้ใช้ที่ได้ตกลงซื้อแพ็กเกจคอนเทนต์รายการ ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกและเอฟเอคัพในรูปแบบที่ให้สิทธิผู้ใช้บริการสามารถรับชม คอนเทนต์อื่น ๆ ของ MONOMAX เช่น ภาพยนตร์ ซีรีส์ และรายการต่าง ๆ ของ MONOMAX ที่ MONO ดำเนินการธุรกิจอยู่ในปัจจุบันผ่าน MONO ต่อเดือน

    ส่วนราคาแพ็กเกจคาดจะไม่เกิน 400 บาทต่อเดือน รอประกาศเป็นทางการอีกครั้งต้นปีหน้า

    นอกจากนี้ JAS ได้รับสิทธิแต่เพียงผู้เดียว (Exclusivity right) ในการถ่ายทอดสดภาพและเสียงรายการฟุตบอลพรีเมียร์ลีกและเอฟเอคัพ บนอินเทอร์เน็ตทีวี และ ดิจิทัลทีวี รวมถึงชุดวิดีโอสั้น สำหรับรายการฟุตบอลพรีเมียร์ลีก เป็นจำนวน 6 ฤดูกาล โดยเริ่มตั้งแต่ต้นฤดูกาลฟุตบอลพรีเมียร์ลีกที่ 2025/26, 2026/27, 2027/28, 2028/29, 2029/2030 และ 2030/31 ในประเทศไทย ประเทศลาว และประเทศกัมพูชา โดยมีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 559,980,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 19,167,723,414 บาท

    ]]>
    1504198