Insight – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 21 Nov 2024 08:24:02 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 “ชาวอเมริกัน” ใช้จ่ายในไทยผ่านบัตรวีซ่าสูงที่สุด ส่วนใหญ่จ่ายค่าที่พัก-ช้อปปิ้ง https://positioningmag.com/1500207 Thu, 21 Nov 2024 08:23:39 +0000 https://positioningmag.com/?p=1500207 วีซ่า ผู้ให้บริการการชำระเงินดิจิทัล เผยถึงเทรนด์การใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่น่าสนใจในครึ่งปีแรกของปี 2567 ซึ่งจากการวิเคราะห์ข้อมูลการใช้จ่ายผ่านบัตรวีซ่าที่ออกโดยสถาบันการเงินในต่างประเทศ ณ ร้านค้าในประเทศไทยของวีซ่า ตั้งแต่ มกราคม – มิถุนายน 2567พบว่า นักเดินทางต่างชาติที่มาเยือนประเทศไทยและมียอดการใช้จ่ายมากที่สุดคือ สหรัฐอเมริกา สิงคโปร์ สาธารณรัฐประชาชนจีน สหราชอาณาจักร และญี่ปุ่น

การวิเคราะห์เชิงลึกของข้อมูลการใช้จ่ายในร้านค้าของนักท่องเที่ยวจากประเทศ 5 อันดับแรก การใช้จ่ายหลักอยู่ในหมวดหมู่โรงแรมที่พัก, สินค้าค้าปลีก, ร้านอาหาร, ร้านเสื้อผ้าและเครื่องประดับ และกิจกรรมด้านสุขภาพ

ซึ่งนักท่องเที่ยวจากสหรัฐอเมริกาจัดสรรเงินมากกว่า 1 ใน 4 ของค่าใช้จ่ายของพวกเขาไว้เป็นค่าที่พัก และเป็นค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับด้านสุขภาพอีกกว่า 10%

ส่วนการชอปปิ้งเป็นเรื่องที่นักท่องเที่ยวชาวจีน และสิงคโปร์ให้ความสำคัญ โดยค่าใช้จ่ายด้านสินค้าค้าปลีกคิดเป็นสัดส่วนมากถึง 25% และ 18% ของค่าใช้จ่ายทั้งหมดของนักท่องเที่ยวจากทั้ง 2 ประเทศนี้

นักเดินทางชาวญี่ปุ่น ถือได้ว่าให้ความสำคัญกับการรับประทานอาหารมากกว่านักเดินทางชาติอื่น โดยมีค่าใช้จ่ายที่ร้านอาหารถึง 22% ในขณะที่นักเดินทางจากสหราชอาณาจักรให้ความสำคัญกับค่าใช้จ่ายด้านที่พักมากถึง 37% ของยอดใช้จ่ายทั้งหมด

จากการวิเคราะห์ของวีซ่า ยังพบว่า 5 จังหวัดแรกที่มียอดการใช้จ่ายสูงสุดโดยนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ภูเก็ต สมุทรปราการ ชลบุรี และสุราษฎร์ธานี โดยในจังหวัดเหล่านี้ สุราษฎร์ธานี เป็นจังหวัดที่มีการใช้จ่ายในจังหวัดเติบโตสูงที่สุดถึง 30% ซึ่งคาดว่าเป็นการกระตุ้นจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มมากขึ้นในเกาะสมุย

]]>
1500207
ผลวิจัยชี้ คนไทย 95% อยากทำงาน 4 วัน/สัปดาห์ สูงสุดในอาเซียน https://positioningmag.com/1500060 Thu, 21 Nov 2024 03:33:55 +0000 https://positioningmag.com/?p=1500060 ปฏิเสธไม่ได้ว่า เทรนด์ทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ เป็นประเด็นที่กำลังมาแรงทั่วโลกจากกระแสที่ผู้คนต้องการสร้าง Work-Life Balance ในชีวิต รวมถึงในประเทศไทย ซึ่งจากผลสำรวจพบว่า มนุษย์เงินเดือนไทยต้องการทำงานในรูปแบบนี้สูงถึง 95% มากสุดในแถบประเทศอาเซียน และน่าสนใจ คือ คนไทย 59% ยอมทำงานเพิ่มขึ้น 2 ชั่วโมงต่อวัน เพื่อแลกกับการได้ทำงานในรูปแบบนี้

ผลสำรวจดังกล่าว เป็นการสำรวจของ ‘บริษัท โรเบิร์ต วอลเทอร์ส’ ที่ปรึกษาด้านการจัดหางานระดับโลกที่ได้สำรวจในหัวข้อ The 4-day work week: Is Asia ready for it? ด้วยการสอบถามบุคลากรและองค์กรกลุ่มตัวอย่างกว่า 5,000 แห่งใน 11 ประเทศทั่วเอเชีย รวมถึงประเทศไทย พบว่า

พนักงานที่อยากทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์มากสุดในอาเซียน ได้แก่ คนไทย 95%, มาเลเซีย 94%, สิงคโปร์ 93%, ฟิลิปปินส์ 89% ขณะที่ อินโดนีเซีย และ เวียดนาม มีความต้องการในเรื่องในสัดส่วนเท่ากันอยู่ที่ 88%

ผลสำรวจยังระบุอีกว่า สาเหตุที่พนักงานในไทยส่วนใหญ่อยากลดชั่วโมงทำงานเหลือ 4 วันต่อสัปดาห์นั้น

อันดับ 1 ต้องการ Work-Life Balance มีสมดุลชีวิตส่วนตัวกับการทำงาน 73%

อันดับ 2 อยากเพิ่ม Productivity 58%

อันดับ 3 อยากมีเวลาให้ครอบครัวมากขึ้น และอยากประหยัดค่าเดินทาง 42%

นอกจากนี้ มนุษย์เงินเดือนไทยจากกลุ่มตัวอย่างมากถึง 59% บอกว่า ยินดีที่จะทำงานเพิ่มขึ้นอีก 2 ชั่วโมงต่อวัน เพื่อให้สามารถทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ได้ โดยยังคงได้รับค่าจ้างเท่าเดิม และ 45% ของพนักงานยังยินดีที่หยุดการทำงานแบบไฮบริดหรือกิจกรรมงานสังคมต่างๆ อีกด้วย

ขณะที่ 58% ของพนักงานที่ต้องการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์เชื่อว่า จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของพวกเขาได้ และการได้ลดเวลาทำงานเหลือ 4 วันต่อสัปดาห์ ยังเป็นแรงจูงใจในการเลือกงานใหม่ของพนักงานถึง 41% รองลงมา 29% ทำงานจากที่ไหนก็ได้ และ 27% เป็นเรื่องผลตอบแทน

อย่างไรก็ตาม 36% ในกลุ่มพนักงานที่ไม่เห็นด้วยกับนโยบายนี้มีความกังวลในเรื่องความเครียดที่จะเพิ่มขึ้นจากการทำงานในจำนวนวันน้อยลง แต่ยังต้องทำงานในปริมาณงานเท่าเดิม และ 27% กังวลว่า อาจจะมีการลดค่าจ้างตามมา

แล้วฝั่งนายจ้างหรือบริษัทมีความคิดเห็นอย่างไรกับนโยบายนี้?

เมื่อเทียบกับประเทศอื่นในเอเชีย การใช้นโยบายทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ในประเทศไทยมีแนวโน้มปรับแบบค่อยเป็นค่อยไป โดย 90% ของบริษัทในไทยมองนโยบายนี้มีความเป็นไปได้ และเชื่อว่าจะช่วยส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีให้กับพนักงาน , 77% คิดว่า การทำงานในรูปบบนี้ จะช่วยดึงดูดและรักษาพนักงานไว้ และ 46% เชื่อว่า นโนบายนี้จะเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานได้

นอกจากนี้ นายจ้างและบริษัทในประเทศไทย 77% มองว่า การทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์มีความเป็นไปได้ แต่มีนายจ้างเพียง 26% เท่านั้นที่วางแผนจะนำนโยบายนี้ไปใช้จริงในภายใน 1-2 ปีข้างหน้า ส่วนนายจ้างอีก 50% มองว่า การทำงานในรูปแบบดังกล่าว ไม่น่าจะเกิดการทดลองใช้ในอีก 1-2 ปีข้างหน้า

ขณะเดียวกัน ก็มีอีกหลายบริษัทที่มองว่า รูปแบบการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ ‘ไม่สามารถทำได้จริง’ และมีความกังวลต่อนโยบายดังกล้าว โดย 67% กังวลจะพนักงานไม่เพียงพอในการให้บริการลูกค้า, 50% กังวลจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจากการดำเนินโครงการล่าช้า และ 42% ห่วงว่า การนำนโยบายนี้ไปใช้จะนำไปสู่คงวามไม่พอใจในหมู่พนักงาน

อ้างอิง http://RW Asia 4-Day Work Week E-Guide.pdf

]]>
1500060
“ผู้ใหญ่” ซื้อของเล่นเพื่อเยียวยาจิตใจ หนีความวุ่นวายจากโลก โมเดล “รถยนต์-เครื่องบิน” ขายดีสุด https://positioningmag.com/1500054 Wed, 20 Nov 2024 12:55:04 +0000 https://positioningmag.com/?p=1500054 จากการวิจัยของ Circana ชี้ให้เห็นว่า ปัจจุบันยอดขายของสินค้าประเภทของเล่นเด็กลดลงอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 เนื่องจากอัตราการเกิดที่ลดลง ค่าครองชีพ รวมถึงปัญาเศรษฐกิจ ทำให้งบประมาณการใช้จ่ายของครอบครัวถูกจำกัด ส่งผลให้ยอดขายของเล่นเด็กในสหราชอาณาจักรลดลง 3% จากปีก่อนหน้า 

แต่กลับพบว่าคนในกลุ่มวัยผู้ใหญ่นิยมซื้อของเล่นเด็กเพื่อหนีปัญหาความวุ่นวายในชีวิต และเติมเต็มความฝันในวัยเด็ก ส่งผลให้ kidults (กลุ่มผู้ใหญ่ที่ยังสนใจหรือสะสมของที่ชวนให้นึกถึงวัยเด็กของตัวเอง) เพิ่มจำนวนขึ้น ตามรายงานของกลุ่มวิจัยอุตสาหกรรมของเล่น Circana ระบุว่า 1 ใน 5 ของการซื้อของเล่นและเกมเป็นการซื้อให้ตัวเองและถูกซื้อโดยกลุ่มคนที่มีอายุมากกว่า 18 ปี 

Melissa Symonds กรรมการฝ่ายบริหารข้อมูลของ Ciracan กล่าวว่า จากการวิจัยฯ แสดงให้เห็นว่า ผู้คนในวัย “ผู้ใหญ่” กําลังซื้อของเล่นและของสะสมเพื่อ เยียวยาสุขภาพจิตเนื่องจากต้องการหลบหนีจากความวุ่นวายที่เกิดขึ้นทั่วโลก รวมถึงยังมีความคิดถึงเรื่องราวความสุขในวัยเด็ก 

โมเดลรถยนต์และเครื่องบิน ถือเป็นของเล่นที่ขายดีสุด 

ด้านสมาคมผู้ค้าปลีกของเล่นได้เปิดเผยรายการสินค้าประจําปี ระบุว่า บริษัทฯ มีการคาดการณ์ว่าจะมีสินค้าราว 20 รายการที่คาดว่าจะขายดีในวันคริสต์มาสนี้ อาทิ รถ Hot Wheels และรถดันดิน จากการ์ตูน Paw Patrol ที่มีของเล่นหลายแบบ ตอบโจทย์กลุ่มคนที่มีอายุหลากหลายช่วงวัยอย่างชัดเจน รวมถึงชุดเลโก้รถ McLaren F1 ที่อาจมุ่งเป้าไปยังกลุ่มผู้ใหญ่ และ ปืนลม Fart Blaster ที่ได้รับความนิยมในกลุ่มคนวัยผู้ใหญ่มากขึ้น

ตามรายงานฯ ยังระบุว่า ธีมของเล่นที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ยังคงเป็นธีมรถของเล่น ตามมาด้วยธีมของเล่นประเภทตุ๊กตาสัตว์เลี้ยง โดยสัตว์เลี้ยงที่สามารถโต้ตอบได้กําลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากตุ๊กตาเหล่านี้สามารถลูบ และพูดคําซ้ำจากการอัดเสียงได้

ด้วยสภาพเศรษฐกิจที่ฝืดเคืองทำให้ของเล่นเหล่านี้มีราคาถูกลงเมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้า โดยช่วงราคาของของเล่นกว่า 20 รายการมีการปรับลดลงเหลือ 9.99 –  89.99 ปอนด์ หรือประมาณ 438 – 3,940 บาท

“คริสต์มาส” ช่วงเวลาสําคัญในการทำยอด

ตามรายงานของ Circana ระบุว่า เมื่อช่วงต้นปีถึงเดือนกันยายนที่ผ่านมา อุตสาหกรรมของเล่นของสหราชอาณาจักรมียอดขายรวมอยู่ที่ 3.4 พันล้านปอนด์ ทำให้ในช่วงปลายปีที่มีเทศกาลสำคัญอย่างคริสต์มาสที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้ ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญในการทำยอดขาย เนื่องจากผู้ค้าปลีกต่างตั้งความหวังและมุ่งเป้าไปที่ Black Friday (วันศุกร์หรรษา ที่แบรนด์ดังต่างๆ พร้อมใจกันลดราคาสินค้า)

อย่างไรก็ตาม สมาคมผู้ค้าปลีกของเล่นกล่าวว่าผู้ขายต้องเผชิญกับแรงกดดันด้านต้นทุนในอนาคต เนื่องจากนายจ้างของบริษัทต่างๆ มีการเพิ่มเงินประกันแห่งชาติตามที่ประกาศในงบประมาณฯ ของรัฐ ซึ่งอาจส่งผลต่อยอดขายและการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภค

ทั้งนี้ ตามรายงานของ Circana ระบุว่า ยอดขายของเล่นและเกมเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงโควิด-19 เนื่องจากผู้คนใช้เวลาอยู่ที่บ้านกันทั้งครอบครัวในช่วงล็อกดาวน์ และยอดขายได้ลดลงตั้งแต่ปี 2021 อย่างต่อเนื่อง ทำให้ปัจจุบันยอดขายของเล่นต่ำกว่ายอดขายในปี 2019 

โดยในช่วงเดือนธันวาคมปีที่แล้ว ราคาเฉลี่ยของของเล่นอยู่ที่ 12.95 ปอนด์ หรือประมาณ 567 บาท ซึ่งพุ่งสูงกว่าราคาปกติถึง 6 เท่า โดยเฉพาะในกลุ่มของของเล่นสําหรับเด็กอายุไม่เกิน 10 ปี

ที่มา : BBC

]]>
1500054
สำรวจเทรนด์ Social Media Marketing ปี 2025 สิ่งที่แบรนด์ต้องรู้มีอะไรบ้าง? https://positioningmag.com/1499277 Fri, 15 Nov 2024 06:53:05 +0000 https://positioningmag.com/?p=1499277 Social Media ถือเป็นเครื่องมือทางการตลาดที่แบรนด์ต่าง ๆ ให้ความสำคัญ บทความนี้จึงอยากจะมาอัปเดตเทรนด์ Social Media Marketing ปี 2025 เพื่อให้นักการตลาดและแบรนด์เตรียมความพร้อมในการวางกลยุทธ์พิชิตใจลูกค้าและสร้างความได้เปรียบทางธุรกิจแบบไม่ตกขบวน ก่อนจะก้าวเข้าสู่ปี 2025 ซึ่งเป็นอีกปีที่เต็มไปด้วยความท้าทายมากมาย   

อยากที่ทราบกันว่า โลกของ Social Media เองก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว หากใครสามารถจับกระแส หรือ  เทรนด์ได้ก่อนอย่างแม่นยำ นั่นหมายถึงโอกาสทางการตลาดที่เพิ่มขึ้น แล้วในปี 2025 ทิศทางและแนวโน้มของ Social Media Marketing จะเป็นอย่างไร มีอะไรน่าสนใจบ้าง

AI อาวุธที่ต้อง (นำมา) ใช้

ช่วงปีที่ผ่านมาคำว่า AI อาจเป็นคำฮิตที่เราได้ยินกันบ่อย แต่ในปี 2025 AI จะถูกนำมาใช้มากขึ้นในแวดวงต่าง ๆ รวมถึงการทำการตลาดผ่านโซเชียลมีเดีย โดย AI จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงรูปแบบการสร้างคอนเทนต์และช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพของโซเชียลมีเดียให้ดีขึ้น ด้วยการเข้ามาช่วยวิเคราะห์ข้อมูล, สร้างเนื้อหา และแม้แต่ตั้งโพสต์อัตโนมัติให้สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมาย ทำให้นักการตลาดมีเวลาสำหรับการคิดสร้างสรรค์และวางกลยุทธ์มากขึ้นแทนที่จะต้องเสียเวลาส่วนใหญ่ไปกับการจัดการกับงานซ้ำๆ

ความสำคัญของ AI กับ Social Media Marketing ยังสะท้อนได้จากการประกาศทุ่มการลงทุนด้าน AI ของ Meta เจ้าของแพลตฟอร์ม Facebook, Instagram และ WhatsApp เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของแพลตฟอร์มให้ดีเหนือคู่แข่ง ซึ่งทั้งหมดเป็นสิ่งที่แบรนต้องติดตามการเปลี่ยนแปลงและนำมาผสมผสานให้เข้ากับกลยุทธ์โซเชียล มีเดียของตัวเอง

Short Video ยังไม่ไปไหน

ในปี 2025 Short  Video หรือวิดีโอสั้นยังคงเป็นเนื้อหาที่ได้รับความนิยมและครองส่วนแบ่งการมีส่วนร่วมของผู้ใช้ บนแพลตฟอร์มต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น TikTok, Instagram, Reels และ YouTube แต่ประเด็นที่น่าสนใจมากไปกว่านั้น คือ ผู้คนจะไม่ได้แค่เลื่อนดูเนื้อหาเฉยๆ แต่กำลังพยายามเชื่อมต่อกับแบรนด์ หากแบรนด์นั้นสามารถบอกเล่าเรื่องราวได้น่าสนใจในเวลาที่รวดเร็ว

สำหรับวีดีโอสั้นที่สามารถดึงดูดสายตาและเข้าถึงผู้ชมได้อย่างรวดเร็ว ต้องบอกเล่าเรื่องราวหรือส่งสารที่เป็น Call Value ภายในไม่เกิน 30 วินาที นั่นเพราะว่าปัจจุบันช่วงความสนใจโดยเฉลี่ยของผู้ใช้โซเชียลมีเดียกำลังลดลง โดยแบรนด์ต้องนำเสนอเนื้อหาที่เน้นย้ำถึงคาแรกเตอร์และคุณค่าของแบรนด์ได้ตรงประเด็น มีความสมจริง

นอกจากนี้ ในปี 2025 แบรนด์ที่ได้รับชัยชนะจะไม่ใช่แค่แบรนด์ที่ทุ่มงบ เพื่อให้มีเสียงดังที่สุดในการสื่อสารเท่านั้น เนื่องจากการทำการตลาดผ่านวิดีโอสั้นให้ประสบความสำเร็จ กุญแจสำคัญยังขึ้นอยู่กับความสม่ำเสมอในการโพสต์ด้วย เพราะการโพสต์เป็นประจำจะเป็นการสร้างการรับรู้และช่วยให้แบรนด์อยู่ในใจของลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง

AR ไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นกระแสหลัก

เทรนด์ที่เราจะเห็นต่อมาของ Social Media Marketing ในปีหน้า ก็คือ Augmented Reality หรือ AR จะไม่ใช่แนวคิดที่ล้ำยุคอีกต่อไป แต่จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของโซเชียลมีเดีย ที่จะเปลี่ยนวิธีการโต้ตอบระหว่างผู้บริโภคกับแบรนด์และสร้างประสบการณ์ลองสินค้าแบบสมจริง เพื่อช่วยลดความลังเลใจจากการช้อปปิ้งออนไลน์ได้เป็นอย่างดี

สำหรับแบรนด์ที่ต้องการนำ AR มาใช้ประโยชน์ในการทำมาร์เก็ตติ้ง สามารถเริ่มต้นง่าย ๆ เช่น หากเป็นผู้นำแบรนด์ความงาม อาจลองพิจารณาใช้ฟิลเตอร์ที่ให้ผู้ใช้สามารถลองเครื่องสำอางได้เสมือนจริง หรือหากอยู่ในธุรกิจค้าปลีกหรืออีคอมเมิร์ซ อาจใช้ AR มาผสมผสานรวมกับผู้ให้บริการแพลตฟอร์มรายใหญ่ อาทิ Instagram และ Snapchat ที่มีการนำเสนอเครื่องมือนี้อยู่แล้วก็ได้ แต่ขอให้เริ่มและลงมือนำมาใช้เพื่อเพิ่มช่องทางการเข้าถึงลูกค้าและสร้างโอกาสในการเติบโตของแบรนด์

ความถูกต้องตามจริงเป็นสิ่งสำคัญ

ผู้คนเบื่อหน่ายกับโฆษณาที่ดูดีเกินจริง เพราะฉะนั้น ในปี 2025 การนำเสนอคอนเทนต์ที่ถูกต้องตามจริงจึงสำคัญมาก ๆ และเนื้อหาที่สร้างโดย UGC (User Generated Content) หรือ คอนเทนต์ที่ผู้บริโภคหรือลูกค้ากลุ่มเป้าหมายผลิตขึ้นมาเอง ด้วยการพูดถึงแบรนด์ที่ประทับใจหรือให้ความสนใจโดยแบรนด์ไม่ต้องเสียเงินจ้างแม้แต่บาทเดียว จะยังคงเป็นหนึ่งในวิธีที่สร้างความไว้วางใจระหว่างลูกค้ากับแบรนด์ได้อย่างทรงพลังที่สุด

ดังนั้นแบรนด์ จึงควรสร้างแคมเปญเชิญชวนให้ผู้บริโภคเข้ามาแบ่งปันเรื่องราวของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นการให้ติดแฮชแท็กบน TikTok หรือไฮไลต์การรีวิวบน Instagram ด้วยการกระตุ้นให้ลูกค้าแบ่งปันประสบการณ์ของตนเองเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ได้รับจากแบรนด์ ซึ่งไม่เพียงจะเป็นการสร้างคอมมูนิตี้เท่านั้น แต่ยังเพิ่มการพิสูจน์ทางสังคมที่โฆษณาใดๆ ไม่สามารถเลียนแบบได้

Micro Influencer มาแรง

ในอดีตการใช้ Influencer ในการทำมาร์เก็ตติ้ง แบรนด์ส่วนใหญ่มักจะให้ความสำคัญที่จะร่วมมือกับ Influencer ที่มีผู้ติดตามหลายล้านคน แต่สำหรับปี 2025 การทำมาร์เก็ตติ้งผ่านรูปแบบนี้ แบรนด์จะหันมาโฟกัสกับ Micro Influencer หรือ Influencer ที่มีผู้ติดตามบนโซเชียลมีเดียประมาณ 10,000 – 100,000 คน

ทำไมแบรนด์ถึงให้ความสำคัญกับ Micro Influencer ? นั่นเพราะว่า เป็นกลุ่มที่มียอด Engagement ค่อนข้างสูง และผู้บริโภคมีแนวโน้มเชื่อในรีวิวของ Influencer กลุ่มนี้จากความน่าเชื่อถือ ดูเรียล และดูจริงใจ ซึ่งจะส่งดีต่อแบรนด์

อย่างไรก็ตาม นอกจากเทรนด์ข้างต้นแล้ว สิ่งที่นักการตลาดและแบรนด์ต้องตระหนักถึงให้มากในปี 2025 กับการทำ Social Media Marketing ก็คือ การวางแผนให้เตรียมพร้อมรับมือเมื่อเกิดวิกฤตต่าง ๆ จากโซเชียลมีเดีย ไม่ว่าจะเป็น ความผิดพลาดในการประชาสัมพันธ์ การละเมิดข้อมูล หรือโพสต์ที่สร้างความขัดแย้ง

เพราะด้วยการเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วของโซเชียลมีเดีย สามารถสร้างและทำลายชื่อเสียงของแบรนด์ได้ภายในเวลาไม่กี่นาที ฉะนั้น เมื่อเกิดความผิดพลาด หรือเหตุการณ์ไม่คาดคิด จึงจำเป็นต้องมีแผนบริหารจัดการวิกฤตของโซเชียลมีเดียให้ชัดเจน ซึ่งเป็นอีกสิ่งสำคัญของ Social Media Marketing

ที่มา : Forbes, Medium

]]>
1499277
“Robinhood” บทใหม่ภายใต้ “ยิบอินซอย” ขอเก็บ GP 28%  https://positioningmag.com/1499156 Fri, 15 Nov 2024 01:42:03 +0000 https://positioningmag.com/?p=1499156 เมื่อช่วงเดือนมิถุนายนปี 2567 ที่ผ่านมา มีข่าวใหญ่ที่สร้างความตกใจไม่น้อยสำหรับการประกาศยุติการให้บริการของ “Robinhood” แอป Food Delivery ภายใต้การบริหารของบริษัท เพอร์เพิล เวนเจอร์ส จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทภายใต้กลุ่มเอสซีบี เอกซ์ (SCBX) ที่จะหยุดให้บริการตั้งแต่วันที่ 31 ก.ค.2567 เวลา 20.00 น. เป็นต้นไป เนื่องจากบรรลุภารกิจช่วยเหลือร้านค้า ไรเดอร์ และคนตัวเล็กในช่วงวิกฤตโควิดได้ตามเป้าประสงค์ 

อีกทั้งตลาด Food Delivery ของไทยมีการแข่งขันสูงเนื่องจากมีผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดที่ชิงส่วนแบ่งกันอย่างดุเดือด รวมถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากโดยเฉพาะในช่วงหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งถือเป็นอุปสรรคใหญ่ที่ทำให้ผู้เล่นรายเล็กอย่าง Robinhood ทำผลงานได้ไม่ค่อยดีนัก และบริษัทฯแบกรับภาวะการขาดทุนมาอย่างต่อเนื่อง โดย

  • ปี 2563 ขาดทุน 87 ล้านบาท
  • ปี 2564 ขาดทุน 1.3 พันล้านบาท
  • ปี 2565 ขาดทุน 1.9 พันล้านบาท 
  • ปี 2566 ตัวเลขการขาดทุนพุ่งสูงกว่า 2.1 พันล้านบาท 

รวม 4 ปีที่ดำเนินกิจการมาบริษัทฯขาดทุนไปแล้ว 5 พันกว่าล้านบาท 

กระทั่งเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2567 มีการรายงานว่า SCBX ออกมาการแจ้ง “เลื่อน” การยุติการให้บริการ Food Delivery บนแอปพลิเคชัน Robinhood แต่บริการอื่นๆ ในแอปอย่าง Travel, Ride, Mart และ Express ยังคงยุติการให้บริการตามกำหนดเดิมคือในวันที่ 31 กรกฎาคม 2567 เนื่องจากบริษัทฯ อยู่ในระหว่างการพิจารณาข้อเสนอเข้าซื้อกิจการทั้งหมดจากผู้ที่สนใจ ที่มีจำนวนมากกว่าที่คาดไว้ 

ซึ่งบริษัทฯที่ขี่ม้าขาวมา คือ “กลุ่มยิบอินซอย” ผู้ให้บริการด้านเทคโนโลยีรายใหญ่ของไทย ผู้อยู่เบื้องหลังและทำงานร่วมกับวงการธุรกิจไทยมาเกือบ 100 ปีแล้ว โดยมีการเซ็นสัญญาปิดดีลซื้อขาย Robinhood ด้วยมูลค่ารวมสูงสุด 2,000 ล้านบาท ไปเมื่อวันที่ 30 กันยายนที่ผ่านมา

“มรกต  ยิบอินซอย” กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยิบอินซอย จำกัด และบริษัท เพอร์เพิล เวนเจอร์ส (Robinhood)

ภาคต่อ “Robinhood” ภายใต้การบริหารของ “กลุ่มยิบอินซอย

การที่ SCBX เปลี่ยนใจไม่ปิดบริการแล้ว หากมองดูแบบไม่ลงลึกอะไรมาก “การขายต่อ” ถือเป็นทางเลือกที่ดีทางหนึ่งเพราะอย่างน้อยยังได้เงินทุนกลับมาอยู่บ้าง แต่หากมองในอีกมุมหนึ่ง คนที่ทำธุรกิจก็ไม่อยากให้สิ่งที่สร้างมากับมือต้องขาดทุนจนล้มหายตายจากไป แต่มุ่งหวังให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่ง SCBX ได้ใช้เกณฑ์ในการพิจารณาผู้ที่สนใจซื้อกิจการ คือ ผู้ซื้อฯ ต้องเป็นกลุ่มธุรกิจสัญชาติไทย ที่มีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาให้ Robinhood เป็นแพลตฟอร์มของคนไทยเพื่อคนไทยต่อไป ซึ่ง “กลุ่มยิบอินซอย” จึงปิดดีลนี้ไปได้ 

เป็นเวลากว่า 1 เดือนแล้วที่ “Robinhood” เข้ามาอยู่ใต้การบริหารงานของ “กลุ่มยิบอินซอย” โดย “มรกต  ยิบอินซอย” กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยิบอินซอย จำกัด และบริษัท เพอร์เพิล เวนเจอร์ส (Robinhood) เผยว่า การเข้าซื้อ Robinhood มาบริหารต่อ ถือเป็นก้าวสำคัญในการทำให้บริษัทเป็นที่รู้จักและมีการเติบโตมากขึ้น เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าในยุคนี้ “เทคโนโลยี” และ “แพลตฟอร์มออนไลน์” มีบทบาทสำคัญที่ทำให้การใช้ชีวิตมีความสะดวกสบายขึ้น 

การปิดดีลซื้อขาย Robinhood ในครั้งนี้ ยิบอินซอยเล็งเห็นถึงศักยภาพในการให้บริการส่งอาหารของ Robinhood ที่มีฐานลูกค้าที่มีคุณภาพ ไรเดอร์มีความสุภาพและรวดเร็ว อีกทั้งร้านค้าที่เปิดให้บริการมีหลากหลายทั้งร้านชื่อดังชั้นนำและร้านเล็กๆที่มีความเฉพาะตัว ทำให้บริษัทฯ มองว่า Robinhood เป็นแพลตฟอร์มไทยที่มีรากฐานที่ดีและสามารถต่อยอดให้มีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้นได้ แม้จะมีการตั้งคำถามต่อการซื้อกิจการที่ขาดทุนเข้ามาบริหาร แต่ยิบอินซอยเชื่อว่า Robinhood ยังสามารถเติบโตต่อไปได้เพราะเป็นแอปที่มีจุดแข็งคือเป็นของคนไทยที่พัฒนามาเพื่อการใช้ชีวิตของคนไทย สามารถสร้างการแข่งขัน สร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น ปูทางต่อยอดโปรเจ็กต์อื่นๆในอนาคตต่อไปได้  โดยปัจจุบันมีคำสั่งซื้อต่อวันเฉลี่ยเกือบ 40,000 คำสั่งซื้อ ส่งผลให้ตัวเลขผลประกอบการของ Robinhood มีการเติบโตที่ดีขึ้นเรื่อยๆ 

เก็บ GP 28% น้อยกว่าตลาด

เจ้าของยิบอินซอย กล่าวอีกว่า Robinhood สามารถออกนอกกรอบกฎเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ทำให้ขยับตัวได้มากขึ้นกว่าเดิม เช่นจากที่เมื่อก่อนอยู่ในกรอบของการดำเนินงานแบบ CSR เป็นหลักและไม่มีพันธมิตรไม่ยุ่งกับใคร แต่ปัจจุบัน สามารถเข้าไปเป็นพันธมิตรกับ KTC ที่ถือเป็นแบงก์ที่มีโปรโมชั่นในการสะสมคะแนนค่อนข้างเยอะได้ แต่หลักสำคัญอย่างเรื่องความปลอดถภัยเราก็ยังคงยึดเอาไ้ว้ พร้อมกับการก้าวไปข้างหน้าเพื่อให้ธุรกิจมีกำไรเกิดเป็น Good Business Ecosystem

ปัจจุบันทีมงาน Robinhood ที่เป็นทีมงานเดิมมีทั้งหมด 50 คน ซึ่งยิบอินซอยได้ให้ทีมงานของบริษัทฯ เข้าไปช่วยซัพพอร์ตการดำเนินงานในด้านคอลเซ็นเตอร์ รวมถึงเทคโนโลยีหลังบ้าน เพื่อผลักดันให้ธุรกิจกลับมาเติบโต โดยบริษัทฯ มีการวางแผนในการพัฒนา Robinhood ให้เป็นมากกว่าแอป Food Delivery ซึ่งกลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตคนในปัจจุบันไปแล้ว ให้พัฒนาต่อยอดไปยังกลุ่มบริการ Mart หรือ บริการเรียกรถ 

แต่ขอเริ่มทำสิ่งที่มีอยู่แล้วอย่างการทำให้บริการ Food Delivery ให้มีรากฐานให้แข็งแกร่งขึ้น ผ่านการดำเนินการต่างๆ ทั้งพูดคุยกับพาร์ทเนอร์เพื่อขอการสนับสนุน หรือชักชวนให้ไรเดอร์ ร้านค้า รวมถึงยูสเซอร์ให้กลับเข้ามา Active ในแอป และได้ตั้งเป้าหมายภายในสิ้นปี 2567 จะสามารถทำยอดการสั่งซื้อให้ได้ 50,000 ออเดอร์ต่อวัน 

และบริษัทฯตั้งเป้าทำออเดอร์คำสั่งซื้ออาหารรายวันให้มากขึ้น เพื่อให้เกิดการทำรายได้จากการเก็บค่า GP จากร้านค้า 28% (GP 25% และค่าการตลาด 3%) โดยเมื่อก่อนร้านค้าอาจไม่ต้องเสียค่า GP เพราะวิกฤตโควิดแต่การดำเนินในปัจจุบันเป็นรูปแบบของธุรกิจมากขึ้นซึ่งต้องมีรายได้และกำไรทำให้ต้องเก็บค่า GP และ Robinhood ก็ให้ตัวเลือกผู้ประกอบการที่ไม่ต้องการจ่ายค่า GP แต่ต้องใช้วิธีการเก็บค่าส่งเต็มจำนวน ซึ่งอาจทำให้มีราคาที่แพงกว่าแอปอื่น

ซึ่งค่า GP ที่ Robinhood เก็บจากร้านค้า 28% นี้ ถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับผู้เล่นอื่นในตลาด ที่มีการเรียกเก็บค่า GP ตั้งแต่ 30% (ไม่รวม VAT 7%) ไปจนถึง 32% (ไม่รวม VAT 7%) และ 32.1%  (รวม VAT 7% แล้ว) 

มรกต ยิบอินซอย กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยิบอินซอย จำกัด และบริษัท เพอร์เพิล เวนเจอร์ส ผู้ให้บริการแอปพลิเคชัน โรบินฮู้ด (คนที่ 2 นับจากซ้ายมือ), อนุวัต บูรพชัยศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร แอปพลิเคชั่น Paypoint (คนตรงกลาง), ดร.จิรวัฒน์ ตั้งปณิธานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ควอนตัม เทคโนโลยี ฟาวเดชั่น (คนทรี่ 3 นับจากขวามือ) และคณะพันธมิตร Paypoint

 

เข้าร่วม “Paypoint” ขยายฐานลูกค้า ตั้งเป้ากลับมาแข็งแกร่งใน 2 ปี

ล่าสุด ยิบอินซอย ได้นำเอา “Robinhood” เข้าไปจับมือเป็นพาร์ทเนอร์กับ “Paypoint” แอปพลิเคชั่นรวบรวมรับฝากและแลกคะแนนสะสม ภายใต้การบริหารของบริษัท ศูนย์รับฝากคะแนน (ประเทศไทย) จำกัด ในการต่อยอดธุรกิจ ให้ Robinhood สามารถรวบรวมและแลกคะแนนสะสมในการชำระค่าสินค้าและบริการของร้านค้าที่เป็นพาร์ทเนอร์ตัวแทนของพันธมิตรได้ทั้งในและต่างประเทศ

ผ่านการทำงานของ ควอนตัม เทคโนโลยี พัฒนาระบบร่วมกับ TPD โดยการสร้างกรอบการทำงานเชิงอัลกอริทึมสำหรับ Paypoint ภายใต้การพัฒนาของบริษัท ควอนตัม เทคโนโลยี ฟาวเดชั่น โดยจะคำนวณการรวมคะแนนสะสมเพื่อนำไปแลกเปลี่ยนคะแนนสะสมระหว่างพันธมิตรแบบเรียลไทม์ ป้องกันการทำ arbitrage (การซื้อของชนิดเดียวกันในราคาที่แตกต่างกัน แล้วนำไปขายทำกำไรต่อโดยปราศจากความเสี่ยง) เพราะผู้ใช้สามารถแลกเปลี่ยนคะแนนไปยังกลุ่มพันธมิตรได้โดยตรง มั่นใจได้ว่าทุกคนจะได้รับความเป็นธรรมด้วยอัตราแลกเปลี่ยนที่ขึ้นกับกลไกตลาด 

อาทิ ผู้ใช้ที่มีการสะสมคะแนนจากการใช้บริการของ Robinhood สามารถนำคะแนนสะสมไปแลกหรือใช้จ่ายในบริการที่ต้องการของพันธมิตรได้ เช่น ปั๊มน้ำมันบางจาง หรือ แอร์ เอเชีย ในขณะที่ผู้ใช้ของพาร์ทเนอร์อย่าง แอร์ เอเชีย หรือ บางจาก ก็สามารถรวบรวมคะแนนมาใช้จ่ายบริการของ Robinhood ได้เช่นกัน โดยจะมีการเริ่มใช้ Paypoint ได้ในต้นปี 2568 เป็นต้นไป

ซึ่งปัจจุบัน Paypoint มีพันธมิตรอยู่ 7 บริษัทด้วยกัน ประกอบด้วย 

  •  บริษัท บางจาก  คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
  • บริษัท บิ๊กไลฟ์ (ประเทศไทย) จำกัด (Air Asia) 
  • บริษัท เพอร์เพิล เวนเจอร์ส จำกัด (แอพพลิเคชั่นโรบินฮู้ด)
  • บริษัท เฮลท์อัพ จำกัด
  • บริษัท อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่นแมเนจเม้นท์ จำกัด
  • บริษัท โกลด์เด้น99 จำกัด
  • MAAI BY KTC โดยบริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน)
  • บริษัท พริ้นซิเพิลเฮลท์แคร์ จำกัด 

และในอนาคตจะมีพาร์ทเนอร์เข้ามาร่วมงานกันมากขึ้น รวมถึงการขยายแพลตฟอร์มให้ครอบคลุมทั้งประเทศไทยและขยายออกไปยังต่างประเทศ เพื่อให้ผู้บริโภคมีอิสระในการในจ่ายคะแนนมากขึ้น พร้อมพาให้ธุรกิจกลับมาแข็งแกร่งกว่าเดิมให้ได้ภายใน 2 ปี

]]>
1499156
ส่องรายได้ – กำไร บิ๊กอสังหาฯ 9 เดือนแรกปี 2567 “แสนสิริ-เอพี-ศุภาลัย” รั้งท็อป 3 ผลงานดีสุด https://positioningmag.com/1498940 Thu, 14 Nov 2024 06:05:48 +0000 https://positioningmag.com/?p=1498940 ท่ามกลางสถานการณ์ทางการเมืองที่ยังไม่นิ่งนอนใจ รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในรัฐบาลมีผลให้นโยบายและมาตรการต่าง ๆ ที่มีแผนจะอนุมัติหรือว่าประกาศใช้ต่อเนื่องมาตั้งแต่รัฐบาลก่อนหน้าต้องชะลอและเลื่อนออกไปจนถึงช่วงปลายของไตรมาส 3 ที่ผ่านมา แต่ด้วยกำลังซื้อบางส่วนในตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ยังมีอยู่ ประกอบกับมาตรการกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์จากรัฐบาลที่ประกาศใช้มาก่อนหน้านี้ รวมถึงการกระตุ้นกำลังซื้อของผู้ประกอบการหลาย ๆ รายผ่านกิจกรรมทางการตลาดที่หลากหลาย ส่งผลให้รายได้และผลกำไรเติบโตต่อเนื่อง และมากกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

สุรเชษฐ กองชีพ กรรมการผู้จัดการ พร็อพเพอร์ตี้ ดีเอ็นเอ (Property DNA) กล่าวว่า ผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ที่มีรายได้รวมมากที่สุดในช่วง 9 เดือน ที่ผ่านมาของปี 2567 คือ กลุ่มแสนสิริ มีรายได้เป็นอันดับ 1 จำนวน 28,877 ล้านบาท โดยรายได้หลักมาจากการขายบ้านในโครงการจัดสรร โดยเฉพาะกลุ่มบ้านลักชัวรี่ที่มีราคาแพง ส่วนคอนโดมิเนียมมีรายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์โครงการในต่างจังหวัดในสัดส่วนที่มากกว่ากรุงเทพฯ

อันดับ 2 คือ กลุ่มเอพี (ไทยแลนด์) ที่มีรายได้รวม 27,676 ล้านบาท สัดส่วนของรายได้หลักมาจากการโอนกรรมสิทธิ์บ้านแนวราบมากกว่าคอนโดฯ เช่นกัน และ กลุ่มศุภาลัยตามมาเป็นอันดับที่ 3 ด้วยรายได้กว่า 22,792 ล้านบาท

ส่วนผู้ประกอบการอีก 2 รายที่มีรายได้รวม 9 เดือนแรก มากกว่า 10,000 ล้านบาท คือ กลุ่มเอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น และเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) ซึ่งมีรายได้รวมอยู่ที่ 14,454 ล้านบาท และ 13,534 ล้านบาท ตามลำดับ

ในส่วนของกำไรสุทธิอาจจะไม่ได้แตกต่างกันมากนัก โดยเฉพาะในกลุ่ม 3 อันดับแรก ที่มีกำไรสุทธิอยู่ในระดับใกล้เคียงกัน โดย ศุภาลัย มีกำไรมากเป็นอันดับ 1 จำนวน 4,201 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วถึง 6% เนื่องจากโครงการเปิดขายใหม่บางโครงการได้รับการตอบรับสูงมาก ตามมาด้วย กลุ่มแสนสิริ ที่มีกำไร 4,009 ล้านบาท และ เอพี (ไทยแลนด์) กำไรสุทธิ 3,727 ล้านบาท

อย่างไรก็ตามทั้ง แสนสิริ และ เอพีฯ อาจจะมีกำไรลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว แต่ก็ยังมากเป็นอันดับที่ 2 และ 3 ขณะที่ผู้ประกอบการรายอื่น ๆ ที่ ประกาศผลประกอบการออกมาแล้วก็มีผลกำไรที่น่าสนใจ เพราะมีกำไรมากกว่า 1,000 ล้านบาท ทุกราย ซึ่งถือว่าเป็นผลประกอบการที่ดีเมื่อเทียบกับปัญหาต่าง ๆ ที่มีผลกระทบต่อการซื้อที่อยู่อาศัยในช่วงที่ผ่านมา

สำหรับทิศทางของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงไตรมาส 4/2567 นี้อาจจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงหรือปัจจัยบวกที่จะมีผลกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของกำลังซื้อมากนัก เพราะสิ่งที่ผู้ซื้อที่อยู่อาศัยต้องการในปัจจุบันไม่ใช่เรื่องของอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง แต่เป็นเรื่องของการอนุมัติวงเงินสินเชื่อ เพราะปัจจุบันสถาบันการเงินมีความเข้มงวดในการขอสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยค่อนข้างมาก และไม่ค่อยมีการผ่อนปรนหรือประนีประนอมแบบก่อนหน้านี้ ขณะที่ผู้ประกอบการพยายามตรึงราคาขายไม่ให้สูงเกินไป และมีการลดราคาลงด้วยในบางครั้ง หรือมีมาตรการทางการตลาดอื่น ๆ ที่ส่งเสริมช่วยเหลือผู้ที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยจริง ๆ

ดังนั้นปีนี้อาจจะเป็นปีที่ไม่ได้เห็นการสร้างรายได้หรือกำไรที่ไม่โดดเด่นมากนัก แต่ก็ประเมินว่าจนถึงสิ้นปีจะมีผู้ประกอบการรายใหญ่ที่สร้างรายได้และกำไรได้มากกว่าปีที่ผ่านมา และอาจจะมีผู้ประกอบการบางรายที่ไปถึงเป้าหมายที่วางไว้เมื่อตอนต้นปี    

]]>
1498940
“คนไทย” รักงาน! กว่า 68% พร้อมเที่ยวไปด้วยหอบงานไปทำด้วย สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก  https://positioningmag.com/1498597 Tue, 12 Nov 2024 10:19:00 +0000 https://positioningmag.com/?p=1498597 หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ผ่านพ้นไป ภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ มีแนวโน้มการฟื้นตัวที่ดีขึ้น โดยเฉพาะ “ธุรกิจการท่องเที่ยว” ที่แม้จะเผชิญกับปัจจัยพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป รูปแบบการทำงานที่สามารถทำจากที่ไหนก็ได้ รวมถึงปัจจัยทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ที่ถือเป็นความท้าทายใหม่ ในการปรับตัวของภาคธุรกิจท่องเที่ยวและโรงแรมเป็นอย่างมาก 

ท่องเที่ยวต้องยืดหยุ่น เพราะเทรนด์ “เที่ยวไปทำงานไป” ของคนไทยกำลังมา

SiteMinder ผู้ให้แพลตฟอร์มการจัดการที่พักแบบครบวงจร เปิดรายงาน SiteMinder’s Changing Traveller Report 2025 การสำรวจด้านที่พักและพฤติกรรมการเดินทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลก โดยเผยว่า การท่องเที่ยวไทยในปัจจุบันมีมูลค่ารวมเพิ่มขึ้น 10.1% โดยคาดการณ์ว่าในปี 2029 อุตสาหกรรมโรงแรมของประเทศไทยจะมีมูลค่าการเติบโตกว่า 1.87 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ 

จากการสำรวจยังพบว่า นักเดินทางยุคใหม่มีแนวคิดการเดินทางแบบ ‘Everything Travellerʼ คือ นักท่องเที่ยวต้องการประสบการณ์การท่องเที่ยวใหม่ ๆ และต้องการความยืดหยุ่นมากขึ้น มีการอ่านรีวิวจากโซเชียลแล้วมาลองเที่ยวเอง อีกทั้งยังให้ความสำคัญกับเรื่องงบประมาณ

โดยนักท่องเที่ยวชาวไทยกว่า 97% ยินดีจ่ายเพิ่มสำหรับสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น อาหารเช้า (67%) ห้องชมวิว (44%) หรือการเช็คอินก่อนเวลา หรือการเช็คเอาต์ล่าช้า (33%) นอกจากนี้ 94% ของนักท่องเที่ยวชาวไทยยินดีที่จะจ่ายเงินเพิ่มขึ้น สำหรับการเข้าพักที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เป็นต้น รวมถึงมีแนวโน้มจะต้องการความยืดหยุ่นในเรื่องการท่องเที่ยวมากขึ้น เช่น การท่องเที่ยวแบบไม่ต้องคิดหรือวางแผนการท่องเที่ยวล่วงหน้า 

นอกจากนั้นกว่า 68% ของนักท่องเที่ยวชาวไทย กลายเป็นผู้นำเทรนด์ในด้านการทำงานไปด้วยขณะเดินทางท่องเที่ยว ตามมาด้วยนักท่องเที่ยวชาวอินโดนีเซีย 66%, นักท่องเที่ยวชาวอินเดีย 61% ซึ่งเป็นอัตราที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลกที่อยู่ที่ 41% รวมถึงสูงกว่าค่าเฉลี่ยของอเมริกาเหนือ (34%) และยุโรป (31%) และมีการคาดการณ์ว่าในปี 2025 นักท่องเที่ยวชาวไทยกว่า 65% มีพฤติกรรมการใช้เวลาส่วนใหญ่ (30%) หรือ มีการใช้เวลาค่อนข้างมาก (35%) ไปกับการอยู่ในโรงแรมที่พักอีกด้วย

นักท่องเที่ยวไทยใช้เครื่องมือค้นหาที่พักสูงกว่าค่าเฉลี่ยถึง 39%

อัตราการจองที่พักในประเทศของนักท่องเที่ยวไทยมีการเติบโตขึ้น 9% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกถึง 13% รวมถึงยังมากเป็นอันดับสาม รองจากนักท่องเที่ยวชาวอินโดนีเซีย (62%) และนักท่องเที่ยวชาวจีน (56%) สืบเนื่องมาจากกการที่รัฐบาลมีมาตรการต่าง ๆ ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงภาคจังหวัดได้มีการปรับตัวเพิ่มกิจกรรมในแต่ละจังหวัดมากขึ้นเพื่อดึงดูดให้นักท่องเที่ยวได้เดินทางไปเยี่ยมชม

ซึ่งช่องทางการจองผ่าน OTA (การจองทริปท่องเที่ยวผ่านทาง Website/Application) มีการขยายตัวกว่า 55% เนื่องจากนักท่องเที่ยวสามารถเข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับโรงแรมที่พักเพื่อวางแผนท่องเที่ยวเอง และราคาส่วนลดหรือโปรโมชั่นที่เป็นแรงจูงใจให้นักท่องเที่ยวไทยเลือกจองผ่าน OTA เป็นหลัก โดยสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกถึง 13% รวมถึงยังมากเป็นอันดับ 3 รองจากนักท่องเที่ยวชาวอินโดนีเซีย (62%) และนักท่องเที่ยวชาวจีน (56%) 

อีกทั้ง 36% ของนักท่องเที่ยวทั่วโลก มีแนวโน้มที่จะเริ่มต้นการค้นหาโรงแรมผ่านเครื่องมือค้นหาเพิ่มขึ้น 10% จากปี 2567 ในขณะที่นักท่องเที่ยวไทยมีแนวโน้มสูงถึง 39% เพิ่มขึ้น 14% จากปีที่ผ่านมา ตามด้วยนักท่องเที่ยวชาวสิงคโปร์ 36% (ไม่ได้เข้าร่วมการสำรวจในปี 2023) นักท่องเที่ยวอินเดีย 33% เพิ่มขึ้น 6% และนักท่องเที่ยวจีน 22% เพิ่มขึ้น 13% จากปีที่แล้ว

นอกจากนั้นการสำรวจยังเผยอีกว่า 65% ของนักท่องเที่ยวชาวไทย พร้อมที่จะยกเลิกการจองที่พักออนไลน์กลางคันหากได้รับประสบการณ์ที่ไม่ราบรื่น ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 52% โดยปัญหาเรื่องความปลอดภัยเป็นสาเหตุหลักอันดับต้น ๆ ที่ทําให้นักท่องเที่ยวกลุ่ม Millennials ชาวไทยกว่า 37% ทําการยกเลิกการจองออนไลน์กลางคัน ในขณะที่ กลุ่ม Baby Boomers จำนวน 36% จะยกเลิกการจอง เนื่องจากเว็บไซต์ไม่เป็นมิตรกับการใช้งานบนมือถือ

‘สุภกฤษฎิ์ แผนสมบูรณ์’ ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท SiteMinder

คนไทย-อินโด เปิดใจใช้ AI วางแผนเที่ยวมากที่สุดในโลก

‘สุภกฤษฎิ์ แผนสมบูรณ์’ ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท SiteMinder กล่าวว่า นักท่องเที่ยวชาวไทยและอินโดนีเซีย มีการเปิดใจใช้ AI ในการประยุกต์เข้ากับการวางแผนจองที่พักและสัมผัสประสบการณ์การเข้าพักสูงถึง 98% ตามมาด้วยนักท่องเที่ยวจีนที่เปิดรับการใช้ AI กับการวางแผนท่องเที่ยวสูง 96% และอินเดียที่ 94% ในขณะที่ 62% ของนักท่องเที่ยวจากทั้งแคนาดา และออสเตรเลีย รวมไปถึง 63% ของนักท่องเที่ยวจากเยอรมนี ฝรั่งเศส และสหราชอาณาจักร ยังคงไตร่ตรองถึงข้อดีของการใช้ AI มาช่วยวางแผนการท่องเที่ยวอยู่

และความชอบในการเดินทางจะมีลักษณะแตกต่างกันไปตามแต่ละช่วงอายุ อาทิ กลุ่ม Gen Z และ Millennial ชาวไทย นิยมพักในเครือโรงแรมและรีสอร์ทขนาดใหญ่ ในขณะที่กลุ่ม Gen X นิยมที่พัก B&B และ Baby Boomers เลือกมองหาที่พักโฮสเทล โมเทล หรือโรงแรมราคาประหยัด เป็นต้น

ส่งผลให้พฤติกรรมการเลือกที่พักของนักท่องเที่ยวชาวไทยในปี 2025 มีแนวโน้มเลือกห้องพักแบบ Standard (ห้องพักมาตรฐาน) กว่า 54% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่อยู่ที่ 46% และสูงเป็นอันดับที่ 4 ของโลก รองจากนักท่องเที่ยวสเปน (59%) แคนาดา (55%) และอิตาลี (55%) ในทางกลับกัน มีเพียง 19% ของนักท่องเที่ยวชาวจีนเท่านั้นที่จะเลือกห้องพักแบบ Standard ในการเข้าพักครั้งถัดไป การที่นักท่องเที่ยวชาวจีนหันมาวางแผนการท่องเที่ยวด้วยตัวเองมากกว่าเลือกจองกับกรุ๊ปทัวร์ เพราะต้องการการท่องเที่ยวแบบใหม่ ลองทานอาหารรสชาติใหม่ ๆ รวมถึงอิทธิพลของโซเชียลมีเดีย ทำให้ให้ความสำคัญกับที่พักที่สวยงามและมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครันมากขึ้น 

ทั้งนี้ นักท่องเที่ยวเลือกให้ความสำคัญกับความสะดวกสบาย และสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับสัตว์เลี้ยงมากขึ้นเมื่อทำการเลือกโรงแรมในแต่ละครั้ง โดย 76% ของนักท่องเที่ยวชาวไทยให้ความสำคัญกับสิ่งอำนวยความสะดวกที่เป็นมิตรกับสัตว์เลี้ยงเป็นอันดับ 1 ของโลก ตามมาด้วยนักท่องเที่ยวชาวอินโดนีเซีย (70%) อินเดีย (66%) และจีน (62%) อีกทั้งยังสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกถึง 30% เลยทีเดียว

]]>
1498597
Agoda คาดปี 25 นักท่องเที่ยวเข้าไทยมากกว่า 39 ล้านคน ไทยขึ้นแท่นคนกลับมาซ้ำอันดับ 2 ของโลก https://positioningmag.com/1498123 Fri, 08 Nov 2024 09:57:06 +0000 https://positioningmag.com/?p=1498123 หลังวิกฤตโควิด-19 ผ่านพ้นไป ธุรกิจต่างๆ กลับมาฟื้นตัวโดยเฉพาะอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ที่เริ่มกลับมาหายใจหายคอกันได้อีกครั้ง เนื่องจากผู้คนมีการท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศกันมากขึ้น ข้อมูลจาก กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เผยว่า จำนวนสะสมของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามายังประเทศไทย (ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 27 ต.ค. 2567) มีมากกว่า 28 ล้านคน สามารถสร้างรายได้จากการใช้จ่ายจากต่างชาติได้แล้วกว่า 1,325,359 ล้านบาทแล้ว

โดยก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาสูงถึง 40 ล้านคนต่อปี กระทั่งตั้งแต่ต้นปี 2563 ที่รัฐบาลประกาศปิดประเทศ (Lockdown) จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาประเทศไทยลดลงเหลือเพียง 6.7 ล้านคน ซึ่งคิดเป็นการลดลงกว่า 83% 

หลังจากสถานการณ์โควิดเริ่มดีขึ้น ทำให้ในครึ่งแรกของปี 2565 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ กลับมาอยู่ที่ประมาณ 2 ล้านคน หรือราว 5% ของช่วงก่อนโควิด-19 และมีการคาดการณ์ว่า จำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังประเทศไทยในปีหน้าจะมีประมาณ 39 ล้านคน ซึ่งเกือบจะเท่ากับจำนวนนักท่องเที่ยวในช่วงก่อนโควิด-19 ระบาดเลยทีเดียว

4 ปัจจัยที่ทำให้นักท่องเที่ยวเข้าไทยกว่า 39 ล้านคน

Agoda (อโกด้า) ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มด้านการท่องเที่ยว เผยว่า แนวโน้มการท่องเที่ยวไทยมีการเติบโตดีขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อน เป็นผลมาจาก 4 ปัจจัยหลัก ได้แก่

  • นโยบายผ่อนปรนการตรวจลงตราวีซ่าเข้าประเทศไทย (Visa Easing) ที่กระตุ้นการเดินทางของนักท่องเที่ยวจากประเทศที่ได้รับการยกเว้น เห็นได้จากการที่ประเทศไทย มีการค้นหาที่พักในไทยจากนักท่องเที่ยวชาวอินเดียเพิ่มขึ้น 5%, จีนแผ่นดินใหญ่ 82%, ไต้หวัน 25%, และซาอุดีอาระเบีย 30% เป็นต้น
  • ศักยภาพในการรองรับการเดินทาง (Flight Capacity) ที่ Agoda คาดการณ์ว่าจะเติบโตขึ้น 6% ภายในปี 2025 โดยเป็นการเดินทางมาจากอินเดียเพิ่มขึ้น 16% จากฮ่องกง 13% และจากญี่ปุ่น 12% เป็นต้น
  • การขึ้นแท่นเป็นประเทศที่คนกลับมาเที่ยวซ้ำอันดับ 2 ของโลก (Repeat Visitors) รองจากประเทศญี่ปุ่น
  • จุดแข็งที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยว (Unique Selling Points) ซึ่งประกอบไปด้วย Food ซึ่งไทยถือเป็นจุดหมายปลายทางอันดับที่ 3 ของนักชิมในเอเชีย รองจากเกาหลีและไต้หวัน, Film โดยนักท่องเที่ยวชาวไทยวางแผนไปเที่ยวชมสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์กันกว่า 6%, Fashion ที่เป็นการท่องเที่ยวแบบหรูหราในไทย ซึ่งมีการค้นหาโรงแรมห้าดาวในไทยเพิ่มขึ้นกว่า 18% ในปี 2024, Fight เป็นการท่องเที่ยวแบบแอคทีฟผจญภัย อาทิ เดินป่า เรียนมวยไทย และอื่นๆ ที่ติดอันดับ 4 ในการสำรวจแนวโน้มการท่องเที่ยวในปี 2025 ของ Agoda และ Festival หรือกิจกรรมทางวัฒนธรรม อาทิ สงกรานต์ ลอยกระทง 

ทำให้เป้าหมายของประเทศที่ต้องการดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติให้ได้มากกว่า 39 ล้านคนนั้นมีความเป็นไปได้นั่นเอง

นักท่องเที่ยวยุคใหม่ เน้นใช้ “เอเจนซี่” เพียงเจ้าเดียวในการจัดทริป

ทั้งนี้ Agoda เผยว่า พฤติกรรมและความต้องการของนักท่องเที่ยวทั่วโลกมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด อาทิ ช่วงการแพร่ระบาดของโควิด กลุ่มนักท่องเที่ยวจะต้องการ “ความยืดหยุ่น” ในการท่องเที่ยวเป็นหลัก หรือกลุ่มที่เลือกท่องเที่ยวโดยเน้นเรื่อง “ราคา” ที่มักมีการเลือกราคาที่ดีที่สุดก่อนเสมอ 

แต่ในปัจจุบันพฤติกรรมและความต้องการของนักท่องเที่ยว จะเน้นในเรื่องของการใช้เอเจนซี่เพียงเจ้าเดียวในการดูแลทริปการท่องเที่ยวตั้งแต่ต้นจนจบ ทั้งจองโรงแรมและตั๋วเครื่องบิน ซึ่งจากเดิมที่นักท่องเที่ยวจะใช้เอเจนซี่หลายๆ เจ้าในการจัดท่องเที่ยวสักทริปหนึ่ง เป็นต้น

ยอดค้นหาที่พักเพิ่ม นักท่องเที่ยว “มาเลเซีย-จีน” มาไทยมากที่สุด

Agoda ยังเผยข้อมูลที่น่าสนใจ จากชุดข้อมูลที่จัดทำขึ้นโดยอ้างอิงจากข้อมูลการค้นหาที่พักของ Agoda ในช่วงสิบเดือนแรก (มกราคม-ตุลาคมปี 2567) เปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วว่า การท่องเที่ยวในขาเข้าประเทศ ที่พักในประเทศไทยมีการค้นหาโดยนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเพิ่มขึ้น 18% โดยเฉพาะเดือนตุลาคม ที่มีการค้นหาเพิ่มขึ้นกว่า 25% เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นจากแนวโน้มในช่วงเทศกาลวันหยุด และนักเดินทาง 3 ประเทศที่เดินทางมาไทยมากที่สุด ได้แก่ มาเลเซีย เพิ่มขึ้น 21%, เกาหลีใต้ 22%, และสิงคโปร์ 21% 

นอกจากนั้นยังพบว่า นักท่องเที่ยวจากอินเดีย, จีนแผ่นดินใหญ่, ไต้หวัน และซาอุดีอาระเบีย มีการค้นหาที่พักในไทยเพิ่มขึ้น 5%, 82%, 25% และ 30% ตามลำดับ เนื่องจากนโยบายยกเว้นการตรวจลงตราวีซ่าเข้าประเทศไทย โดยมี 5 สถานที่ที่นักท่องเที่ยวเดินทางไปเยือนมากที่สุดในประเทศไทย ได้แก่ กรุงเทพฯ พัทยา ภูเก็ต เชียงใหม และหาดใหญ่ นอกจากนั้นการท่องเที่ยวในเขตเมืองรองก็เป็นที่นิยมเช่นกัน โดยเบตง, อุดรธานี, เกาะหลีเป๊ะ, เชียงราย และ เกาะช้าง เป็น 5 อันดับเมืองรองของไทยที่นักท่องเที่ยวนิยมกลับมาเที่ยวซ้ำมากที่สุด

ซึ่งกิจกรรมในประเทศไทยที่นักเดินทางมีการจองเข้าร่วมสูงสุด ได้แก่ ล่องเรือดินเนอร์ในแม่น้ำเจ้าพระยา, การรับประทานบุฟเฟ่ต์บนตึกใบหยก, เที่ยวตลาดน้ำแบบไปเช้าเย็นกลับ, เรียนทำอาหารไทย และ เที่ยวชมปราสาทสัจธรรม

“ญี่ปุ่น” ยังครองแชมป์ ประเทศที่คนไทยชื่นชอบที่สุด

ด้านการท่องเที่ยวขาออกนอกประเทศ ญี่ปุ่น ยังครองแชมป์จุดหมายปลายทางต่างประเทศที่คนไทยชื่นชอบมากที่สุด โดยมีการค้นหาที่พักเพิ่มขึ้น 26% โดยมีเมืองใหญ่อย่าง โตเกียว ได้รับการค้นหามาเป็นอันดับ 1 ตามมาด้วย โอซาก้า นอกจากนั้น 5 อันดับประเทศจุดหมายปลายทางที่คนไทยนิยม คือ ญี่ปุ่น, เวียดนาม, ฮ่องกง, จีน และ มาเลเซีย โดยเวียดนามได้ขยับจากอันดับ 4 มาเป็นอันดับ 2 เนื่องจากเป็นประเทศที่มีราคาการใช้จ่ายที่ประหยัดอีกทั้งการสนับสนุนของรัฐบาลเวียดนามในด้านการท่องเที่ยว โดยเมืองดานังยังติดอันดับ 10 ของจุดหมายปลายทางเมืองที่คนไทยที่นิยม

ส่วนการท่องเที่ยวประเทศจีนของคนไทย พบว่ามีการค้นหาที่พักในจีนเพิ่มขึ้นมากถึง 206% ซึ่งอาจมาจากปัจจัยการยกเว้นการตรวจลงตราวีซ่าเข้าประเทศจีนและการฟื้นตัวจากโควิด ทำให้จีนขยับจากอันดับที่ 10 ขึ้นสู่อันดับที่ 4 สำหรับจุดหมายปลายทางต่างประเทศที่คนไทยนิยม และการค้นหาที่พักในนอร์เวย์ เพิ่มขึ้นถึง 49% ซึ่งอาจจะเกิดจากที่การบินไทยเปิดเส้นทางบินรายวันไปยังเมืองออสโลที่เพิ่มมากขึ้น 

กิจกรรมที่คนไทยนิยมทำมากที่สุดในต่างประเทศ 5 อันดับ ได้แก่ การเที่ยวยูนิเวอร์แซลสตูดิโอในประเทศสิงคโปร์, เที่ยวพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ศิลปะ ในประเทศสิงคโปร์,เที่ยวดิสนีย์แลนด์ ในฮ่องกง, เที่ยวพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ ประเทศสิงคโปร์ และเที่ยวโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น 

ทั้งนี้ การท่องเที่ยวของคนไทยในประเทศไทย ยังพบว่า คนไทยมีการค้นหาที่พักภายในประเทศเพิ่มขึ้น 8% โดยมี “กรุงเทพฯ” เป็นจุดหมายปลายทางยอดฮิตที่ได้รับความินยมอย่างต่อเนื่อง โดยมีการค้นหาเพิ่มกว่า 20% จากคนไทย อีกทั้ง “ชลบุรี” ยังเป็นจังหวัดอับดับที่ 5 ที่มีการค้นหาที่พักเพิ่มขึ้น 11% ซึ่งกำลังจะขยับตามเชียงใหม่ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 4 เนื่องจากกระแส “หมูเด้ง” ที่ยังคงฟีเวอร์อยู่

]]>
1498123
4 แนวคิดจาก KFC, Unilever และ Salmon Podcast สำหรับจับใจ ‘Gen Z’ ให้อยู่หมัด https://positioningmag.com/1497955 Thu, 07 Nov 2024 09:28:08 +0000 https://positioningmag.com/?p=1497955 Gen Z ถือเป็นคลื่นลูกใหม่ที่ทรงอิทธิพลสูงในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมทุกมิติ โดยเฉพาะโลกแห่งการจับจ่ายใช้สอย แต่เพราะการที่เติบโตมากับเทคโนโลยี ทำให้มีความสนใจที่กว้าง คาดเดาไม่ได้ และเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทำให้การจับใจ Gen Z เป็นอีกความท้าทายของแบรนด์ โดย Positioning จะสรุปบทเรียนจาก 3 แบรนด์ดัง ได้แก่ KFC, Unilever และ Salmon Podcast ในงาน DAAT ว่าทำอย่างไรถึงจะได้ใจ Gen Z

ตัวตนแบรนด์ที่ชัดเจน

หนึ่งในจุดร่วมที่ทั้ง 3 แบรนด์เห็นตรงกันก็คือ ตัวตนของแบรนด์ที่ชัดเจน เพราะไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ KFC, Unilever และ Salmon Podcast ต่างก็เป็นแบรนด์ที่แมส แต่จุดที่ทำให้ Gen Z เข้าหาแบรนด์ก็คือ ตัวตนของแบรนด์ ยกตัวอย่างเช่น KFC ที่เน้นการทำให้ ผู้พันแซนเดอร์ส ที่ถือเป็นทั้งภาพจำของแบรนด์ให้โดดเด่นที่สุดในแพลตฟอร์มหรือแคมเปญต่าง ๆ หรือแม้แต่การเลือก พรีเซ็นเตอร์ ก็ต้องมีความเป็นออริจินอล มีตัวตนที่ชัด และมีไอเดียที่เชื่อมโยงกับแบรนด์ และต้อง Integrate ไปกับแบรนด์ ไม่ใช่แค่ทานไก่ทอด

“หน้าที่ของเรา (KFC) คือทำอย่างไรให้ผู้พันฯ โดดเด่นที่สุด รวมถึงสินค้า หรือเซอร์วิสก็ต้องมีตัวตนที่ชัดเจน”   ภัทรา ภัทรสุวรรณ Associate Marketing Director, KFC Thailand เล่า

จริงใจ เข้าถึงง่าย เข้าใจง่าย

ด้าน โสภณ แกะทอง Media Lead, Beauty and Wellbeing Unilever Thailand ให้ความเห็นว่า ในยุคนี้มีคอนเทนต์จำนวนมาก การทำโฆษณาหรือแคมเปญต้องไม่ได้มองแค่ คู่แข่ง แต่แบรนด์กำลังแข่งกับ ทุกสื่อในทุกอุตสาหกรรม เพราะโจทย์คือ ดึงความสนใจผู้บริโภค อะไรก็ตามที่ดึงความสนใจ คือคู่แข่งทั้งหมด แต่สำหรับ Gen Z เขาต้องการ ความจริงใจ เข้าถึงง่าย เข้าใจง่าย

แต่เพราะ Gen Z เป็นเจนที่มีเอกลักษณ์ เติบโตมากับคอนเทนต์ที่หลากหลาย โตมากับโซเชียลมีเดีย ดังนั้น ความสนใจกว้าง ความท้าทายจึงเป็นการเข้าไปอยู่ในความสนใจของ Gen Z ที่คาดเดาไม่ได้ได้อย่างไร ดังนั้น Insight จึงสำคัญ ต้องนำคอนซูมเมอร์หรือ Gen Z เป็นศูนย์กลาง พยายามปรับไมด์เซ็ทคนทำงานให้เข้าใจ Gen Z มากขึ้น

“ไม่มีใครมาเปิดทีวีหรือโซเชียลเพื่อรอดูโฆษณาตัวใหม่ของแบรนด์เรา มันไม่มีทาง ดังนั้น ทำอย่างไรถึงจะมี Positioning ของแบรนด์ที่ชัดก่อน และหยิบคอนซูมเมอร์มาเป็นศูนย์กลางของการทำมาร์เก็ตติ้ง ไม่ว่าจะโฟกัสเรื่องเดิมหรือทุกอย่างเปลี่ยนไป แต่สิ่งที่ยังเป็นแกนก็คือ ความต้องการของคอนซูมเมอร์” โสภณ แกะทอง อธิบาย

ทำให้แบรนด์จับต้องได้

การสื่อสารทางเดียวใช้ไม่ได้อีกต่อไป ดังนั้น ต้องสร้างประสบการณ์ร่วมกัน เพื่อทำให้ แบรนด์จับต้องได้ อย่างเช่นกรณีของ Salmon Podcast แม้จะเป็นรายการพอดแคสแต่ นทธัญ แสงไชย Podcaster & Station Director, Salmon Podcast ก็อธิบายว่า ต้องสร้างบรรยากาศในการพูดคุย สร้างบทสนทนาระหว่างคนฟัง และในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ได้มีการทำ On ground Activity เพื่อให้ผู้ฟังรู้จักกับ Salmon Podcast มากขึ้น ไปพร้อม ๆ กับการทำความรู้จักกลุ่มผู้ฟัง

“การทำคอนเทนต์ไม่ได้อยู่แค่เนื้อหาคอนเทนต์อย่างเดียว แต่ทำอย่างไรให้จับใจ และสร้างเอนเกจเมนต์อยู่ด้วยกัน รวมถึงให้มีเอ็กซ์พีเรียนเข้ากันกับแบรนด์ ไม่ใช่การส่งไปอย่างเดียว แต่คือฟังว่าเขาต้องการอะไร”

เช่นเดียวกันกับ KFC ที่มักจะมี กิจกรรมภายในร้าน รวมถึงแคมเปญที่สร้างจาก Insight ของผู้บริโภค เช่น แจก KFC Bucket Ware ในช่วงเทศกาลวันแม่ หรือ แคมเปญ ขันเสียงไก่ ที่หน้าเคาน์เตอร์ ซึ่งกิจกรรมต่าง ๆ เหล่านี้จะช่วยให้ทำ แบรนด์จับต้องได้ และคอนซูมเมอร์มีเอ็กซ์พีเรียนกับแบรนด์ได้จริง ๆ

แพลตฟอร์มไม่ใช่แค่ Messengers

ในส่วนของการเลือกแพลตฟอร์ม ควรวางแผนตั้งแต่ ไอเดียการทำการตลาด เพราะแพลตฟอร์มไม่ได้เป็นแค่ Messengers ในการช่วยส่งสิ่งที่แบรนด์อยากบอกไปสู่คอนซูมเมอร์ แต่ละแพลตฟอร์มก็มีจุดดีจุดด้อยต่างกัน ดังนั้น ควรออกแบบคอนเทนต์ที่เหมาะกับแต่ละช่องทาง และควรจะใช้ให้ครบทุกช่องทางเพื่อเพิ่มการรับรู้ อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดคือ ทุกชาแนลต้องแสดงความเป็นตัวตน และต้องมี Role ที่ชัดเจน

Social Media คือช่องทางที่แบรนด์จะต่อตรงกับ User ได้เลย ในแต่ละช่องทางควรมี Character และ Role ที่แต่งต่างกัน อย่างเช่น Salmon จะใช้ TikTok และ Instagram ในการแสดงให้เห็นถึงเบื้องหลังการทำงาน เพื่อให้แฟน ๆ ได้ใกล้ชิดกับทีมงาน แฟน ๆ ก็จะยิ่งรู้สึกอินมากขึ้น เป็นต้น”

อีก 2 จุดสำคัญที่จะสร้างความแตกต่างก็คือ ความคิดสร้างสรรค์ และ ความสม่ำเสมอ ที่จะช่วยให้แบรนด์มัดใจ Gen Z ได้อย่างอยู่หมัด

]]>
1497955
LINE MAN เล็งเพิ่ม “บริการเรียกรถในสนามบิน” และ “โมเดลรถ EV” ในแอป  https://positioningmag.com/1497751 Wed, 06 Nov 2024 09:49:50 +0000 https://positioningmag.com/?p=1497751 หลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 ผ่านพ้นไป ผู้คนต่างก็ปรับตัวหันมาใช้ชีวิตผ่านการพึ่งพาเทคโนโลยีกันมากขึ้น อาทิ การสั่งอาหารผ่านแอปพลิเคชัน หรือ การเรียกใช้บริการการเรียกรถ (Ride Hailing) ที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา  

โดยตลาดบริการเรียกรถในไทยมีมูลค่าอยู่ที่ 2.26 พันล้านเหรียญสหรัฐ และคาดว่าจะเติบโตถึง 4.60 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีอัตราการเติบโตต่อปีแบบทบต้น (CAGR) สูงกว่า 9.38% ในช่วงเวลาคาดการณ์เลยทีเดียว

LINE MAN ลงสนามท้าชิงส่วนแบ่ง Ride Hailing 

LINE MAN เป็นแอปพลิเคชันสัญชาติไทยที่ให้บริการด้านการสั่งอาหาร (Food Delivery) เรียกรถโดยสาร (Ride Hailing) การส่งพัสดุ (Messenger) รวมถึงการสั่งของที่ร้านสะดวกซื้อและซูเปอร์ (Mart) ที่เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 2016 โดยบริการที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของ LINE MAN คือ บริการด้านการสั่งอาหาร 

และด้วยพฤติกรรมการใช้ชีวิตของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้บริการคมนาคม จากเดิมที่เคยเรียกใช้บริการแบบออฟไลน์ก็เปลี่ยนมาใช้บริการเรียกรถออนไลน์แทน และยังคงมีความต้องการใช้งานเรียกรถออนไลน์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากผู้บริโภค

ทำให้ในปี 2018 LINE MAN ผุด “LINE MAN TAXI” บริการเรียกรถแท็กซี่ถูกกฏหมายที่ร่วมมือกับเครือข่ายสหกรณ์แท็กซี่เขตกรุงเทพฯ ก่อนจะขยายพื้นที่ให้บริการไปยังเขตอื่นๆ รวมถึงเขตปริมณฑล ซึ่งมีอัตราการเติบโตต่อเนื่อง ก่อนที่จะมีการนำรถมอเตอร์ไซค์เข้ามาให้บริการ รวมถึงดำเนินการขอ license (ใบอนุญาตขับขี่) จากกรมขนส่งทางบก ในการนำรถบ้าน หรือ รถยนต์ส่วนบุคคล เข้ามาให้บริการเพิ่มเติม จนกลายเป็น “LINE MAN Ride” บริการเรียกรถครบวงจร 

นอกจากนั้น ปัจจัยด้านการขยายตัวของสังคมเมือง (Urbanization) ที่ขยายใหญ่ขึ้น รวมถึงปัจจัยด้านการแข่งขันในปัจจุบันที่ในตลาดบริการเรียกรถออนไลน์มีผู้เล่นเข้ามาในตลาดหลากหลายเจ้า แม้จะทำให้ตลาดฯ มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังมี Pain Point ในเรื่องของ ‘ราคาแพง’ และ ‘ความปลอดภัย’ ที่เป็นช่องว่างให้ LINE MAN เข้ามาชิงส่วนแบ่งด้วย ‘ราคาที่ถูกกว่าและมีปลอดภัย’ และมีการคาดว่า จะเติบโตจนมีขนาดราว 34,000 ล้านบาทในอีก 5 ปีข้างหน้า

ปัญหารถติดทำ “LINE MAN Bike” โตพุ่ 390%

“ศิวภูมิ เลิศสรรค์ศรัญย์” รองประธานอาวุโสฝ่ายธุรกิจบริการด้านออนดีมานด์ LINE MAN Wongnai กล่าวว่า บริการเรียกรถผ่านแอป กลายเป็นบริการที่มีความสำคัญต่อการเดินทางของคนอย่างมาก โดยปัจจุบันมีจำนวนผู้ใช้งานรวมของแอป LINE MAN ทั้งหมดมากกว่า 10 ล้านคนต่อเดือน หลังจาก LINE MAN Ride ได้รับการอนุมัติจากกรมการขนส่งทางบกอย่างเป็นทางการเมื่อต้นปี 2024 บริการ LINE MAN Ride มีอัตราการเติบโตขึ้นถึง 60% จากปี 2023 โดยประเภทรถที่ได้รับความนิยม ได้แก่ LINE MAN Eco (บริการที่มีทั้งรถแท็กซี และรถส่วนบุคคลคอยให้บริการ) , LINE MAN Bike (บริการเรียกรถมอเตอร์ไซค์) และ LINE MAN Taxi (บริการเรียกรถแท็กซี่) ตามลำดับ

แม้ว่า LINE MAN Taxi จะเปิดให้บริการมาก่อนหลายปี แต่ LINE MAN Eco และ LINE MAN Bike ที่เปิดตัวไปเมื่อปลายปี 2023 กลับได้รับความนิยมจากผู้บริโภคมากกว่า โดย LINE MAN Bike มีอัตราการเติบโตถึง 390% เนื่องจากเป็นบริการที่เข้ามาตอบโจทย์การเดินทางในช่วงรถติด ส่วน LINE MAN Eco ได้รับผลตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคโดยเฉพาะเพศหญิงที่มักเรียกใช้บริการเรียกรถฯ กันเป็นประจำ เนื่องจากมีโปรโมชั่นคูปองส่วนลดเยอะและมีความปลอดภัยในการเดินทางมากกว่า 

นอกจากเรื่องของ ‘ราคาถูกกว่าและความปลอดภัยLINE MAN Ride ยังมีฟีเจอร์เด่นที่เป็นจุดต่างจากคู่แข่งเจ้าอื่นๆ ในตลาด คือ ฟีเจอร์ Toll Selection ที่ให้ผู้ใช้บริการสามารถเจาะจงเลือกได้ว่าต้องการขึ้นทางด่วนหรือไม่ ได้ตั้งแต่ก่อนเริ่มเดินทาง ทำให้ผู้ใช้สามารถประเมินราคาและเวลาการเดินทางได้ ไม่ต้องเสียเวลาตกลงกับคนขับในขณะโดยสาร

มาพร้อม Chat Stickers ที่ผู้ใช้สามารถส่งสติกเกอร์ในการสื่อสารคนขับได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องพิมพ์ข้อความ และบริการชำระเงินผ่าน QR Payment ที่กำลังจะเปิดให้บริการในเร็วๆ นี้

“ศิวภูมิ เลิศสรรค์ศรัญย์” รองประธานอาวุโสฝ่ายธุรกิจบริการด้านออนดีมานด์ LINE MAN Wongnai

เล็งเพิ่ม “บริการเรียกรถในสนามบิน” และ “โมเดลรถ EV” ในแอป

นอกจากในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลที่มีความต้องการเรียกใช้บริการเรียกรถอย่างมากแล้ว บริเวณในเขตพื้นที่สนามบิน ก็เป็นอีกหนึ่งพื้นที่ที่มีความต้องการเรียกใช้บริการเรียกรถอย่างมากเช่นกัน เพราะแม้จะมีรถบัสวิ่งผ่านเข้าไปรับผู้โดยสารก็จริง แต่ก็ต้องใช้เวลารอค่อนข้างนาน อีกทั้งไม่สะดวกสบาย หากผู้โดยสารมีสัมภาระเยอะ 

หรือบริการแท็กซี่ที่แม้จะเปิดให้บริการในสนามบินตลอด 24 ชั่วโมง แต่ผู้โดยสารก็ต้องต้องกดบัตรคิวเพื่อรอรถ อีกทั้งมีการคิดค่าบริการเพิ่มจากมิเตอร์ ส่งผลให้ผู้โดยสารเสียเงินค่าโดยสารมากกว่าปกติ

จาก Pain Point ดังกล่าว ทำให้ยังมีช่องว่างที่ผู้ให้บริการเรียกรถยังสามารถเข้าไปเติมเต็มความต้องการของผู้บริโภคได้ LINE MAN จึงได้วางแผนเพิ่มบริการเรียกรถในสนามบิน รวมถึงแผนเพิ่มโมเดลรถ EV ในแอปเพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภค โดยในระหว่างนี้อยู่ในขั้นตอนที่ LINE MAN กำลังศึกษาข้อมูล เพื่อนำมาพัฒนาระบบ 

ทั้งนี้ LINE MAN ยังมีแผนจะเตรียมเสนอขายหุ้น IPO เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทย ภายในปี 2025 เพื่อขยายธุรกิจให้เติบโตมากขึ้น ส่วนจะเข้าในเดือนไหนนั้น ต้องรอติดตามกันต่อไป

]]>
1497751