Insight – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 04 Dec 2025 05:37:33 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 Google เปิดลิสต์ “คำค้นหายอดนิยมปี’ 68” ที่สะท้อนว่าคนไทยสนใจตั้งแต่เรื่อง AI ภัยพิบัติ ยันความบันเทิง https://positioningmag.com/1550270 Thu, 04 Dec 2025 03:55:51 +0000 https://positioningmag.com/?p=1550270 เป็นธรรมเนียมทุกปีที่ Google ประเทศไทย จะเปิดเผยถึงอินไซต์ Year in Search หรือ คำค้นหายอดนิยม เพื่อจะสะท้อนภาพรวมความสนใจของคนไทยตลอดทั้งปี โดยคำค้นหายอดนิยมประจำปี 2568 สิ่งที่คนไทยให้ความสนใจมีดังนี้

Gemini ครองอันดับ 1

ผลการค้นหายอดนิยมปีนี้สะท้อนให้เห็นถึงการผสานกันของเทรนด์เทคโนโลยี เหตุการณ์สังคม และความบันเทิงที่ต่างมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนความสนใจของคนไทยตลอดทั้งปี โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีซึ่งยังคงโดดเด่นที่สุดในปีนี้ โดย “Gemini” ครองอันดับ 1 คำค้นหายอดนิยมประจำปี 2568 นอกจากนี้ “ChatGPT” และ “DeepSeek” ก็ติดโผ 10 อันดับแรกเช่นเดียวกัน ในด้านนโยบายภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับไลฟ์สไตล์และความเป็นอยู่ของประชาชนอย่าง “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” และ “คนละครึ่ง พลัส” ยังคงได้รับความสนใจอย่างต่อเนื่อง

ขณะที่เหตุการณ์สำคัญอย่าง “แผ่นดินไหว” ทำให้ผู้คนหันมาค้นหาข้อมูลด้านความปลอดภัยเพิ่มขึ้น สำหรับหมวดความบันเทิง ซีรีส์ไทยยังคงครองกระแสแรงแซงโค้ง โดย “สงคราม ส่งด่วน” และ “คุณพี่เจ้าขาดิฉันเป็นห่านมิใช่หงส์” ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม รวมถึงแบบทดสอบเชิงจิตวิทยาออนไลน์ “กุญแจกลางใจ” ที่สร้างกระแสในโลกดิจิทัลตลอดปี ขณะที่ฝั่งเทคโนโลยีผู้บริโภค “iPhone 17” ยังคงเป็นหัวข้อที่ผู้ใช้งานชาวไทยติดตามอย่างใกล้ชิด

10 อันดับหมวดข่าว

เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ส่งผลต่อชีวิตประจำวันคนไทยยิ่งต้องการเข้าถึงข้อมูลที่เชื่อถือได้ รวดเร็ว และแม่นยำมากขึ้น โดยปีที่ผ่านมาเต็มไปด้วยเหตุการณ์ไม่คาดคิดที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ส่งผลให้การค้นหาใน หมวดข่าว ประจำปี 2568 สะท้อนความต้องการข้อมูลที่ทันสถานการณ์ทั้งในและต่างประเทศอย่างชัดเจน โดย “แผ่นดินไหว” ครองอันดับ 1 ของคำค้นหายอดนิยมหมวดข่าว ขณะที่นโยบายภาครัฐอย่าง “คนละครึ่ง พลัส” และ “บ้านเพื่อคนไทย”  ยังคงเป็นประเด็นสำคัญที่คนไทยให้ความสนใจเพื่อยกระดับด้านคุณภาพชีวิต

ส่วนสถานการณ์ตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา ทำให้ “ปราสาทตาเมือนธม” “ปราสาทตาควาย” และ “ไทย–กัมพูชา” ติดอันดับต้นๆ จากความสนใจของผู้คนที่ต้องการอัปเดตสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมกันนี้ คำค้นหาอย่าง “พายุวิภา” “พายุคาจิกิ” และ “ตึกถล่ม” ก็ติด 10 อันดับแรกของคำค้นหาในหมวดข่าวเช่นกัน

ความกังวลของคนไทยต่อสถานการณ์น้ำท่วมในหลายพื้นที่ของประเทศ ซึ่งส่งผลต่อชีวิตประจำวันทั้งการเดินทาง และความปลอดภัยสะท้อนผลอย่างชัดเจน โดย “ลงทะเบียนน้ำท่วม 2568 ออนไลน์” ครองอันดับ 1 คำค้นหายอดนิยมหมวดเหตุการณ์น้ำท่วม ตามด้วย “เช็กสถานะน้ำท่วมออนไลน์” “เยียวยาน้ำท่วม 2568” “น้ำท่วมอำเภอเมืองเชียงใหม่” “แบบฟอร์มการช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม 2568” ในอันดับ 2- 5 ตามลำดับ และล่าสุด “น้ำท่วมอำเภอหาดใหญ่” ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ไม่นาน ก็พุ่งขึ้นมาติดโผใน 10 อันดับแรกอย่างรวดเร็ว

 

หมวด AI

ความสนใจของคนไทยไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่เครื่องมือ AI ใดเครื่องมือหนึ่ง แต่กระจายไปยังหลากหลายรูปแบบที่ตอบสนองความต้องการทั้งด้านการทำงาน การสร้างสรรค์ และความบันเทิง โดย “Gemini” ครองอันดับ 1 คำค้นหายอดนิยมหมวด AI ตามมาด้วย “ChatGPT” และ “DeepSeek” ซึ่งแสดงให้เห็นว่าคนไทยหันมาใช้ประโยชน์จาก AI ในการค้นหาข้อมูล ช่วยทำสิ่งต่างๆ และพัฒนาทักษะใหม่ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ตามมาด้วยเครื่องมือ AI ที่เน้นการสร้างสรรค์อย่าง “PixVerse” (AI สร้างวิดีโอ) “NotebookLM” (คู่หูการค้นคว้าหาข้อมูลที่ทำงานด้วยระบบ AI) และ “Suno” (AI สร้างดนตรี) นอกจากนี้ “Hailuo AI”, “LMArena”, “Khui AI” และ “Claude” เครื่องมือ AI จากค่ายอื่นๆ ก็ติดโผ 10 อันดับแรกเช่นกัน ตอกย้ำให้เห็นว่าคนไทยให้ความสนใจกับเทคโนโลยี AI จากหลายค่ายและหลายรูปแบบอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน สะท้อนถึงการเติบโตอย่างรวดเร็วของระบบนิเวศ AI ในประเทศไทย

หมวดบันเทิง

ผลการค้นหายอดนิยมประจำปี 2568 สะท้อนให้เห็นถึงรสนิยมและความหลากหลายด้านความบันเทิงของผู้ชมชาวไทย ซึ่งยังคงให้ความสนใจกับเนื้อหาหลากหลายแนว ทั้งเรื่องราวเข้มข้น พีเรียด ดราม่า แฟนตาซี ไปจนถึงการกลับมาของซีรีส์ระดับโลกที่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง ในหมวดละคร/ซีรีส์ไทย “สงคราม ส่งด่วน” ซีรีส์ที่มีเค้าโครงจากชีวิตจริงของผู้ก่อตั้งบริษัทขนส่ง Flash Express ครองอันดับ 1 ตามมาด้วย “คุณพี่เจ้าขาดิฉันเป็นห่านมิใช่หงส์” ละครแนวพีเรียดโรแมนติกคอมเมดี้ซึ่งได้รับความนิยมทั่วประเทศ ขณะที่ “เขมจิราต้องรอด” “สายรักสายเลือด” และ “บนพระจันทร์ มีกระต่าย” ติดอันดับ 3–5 ตามลำดับ

ฝั่งละคร/ซีรีส์เกาหลี ปีนี้โดดเด่นด้วยภาคต่อของซีรีส์ระดับโลก โดย “สควิดเกม เล่นลุ้นตาย 2” ครองอันดับ 1 ตามด้วย “เมนูรักพิชิตใจราชา” และ “หนุ่มดวงจู๋กับหมอดูคนจ๋วย” สองซีรีส์โรแมนติกคอมเมดี้ที่ผสานธีมอาหารและโหราศาสตร์ซึ่งยังคงได้รับความนิยมอย่างมาก ส่วน “ปลอมมาเรียน เนียนมาสืบ” และ “เอส ไลน์” แนววัยรุ่น–เหนือธรรมชาติติดอันดับ 4–5 ตามลำดับ

ด้านละคร/ซีรีส์จีน ยังคงมาแรงด้วยเนื้อหาที่เข้มข้นและงานโปรดักชันคุณภาพ โดย 5 อันดับแรกได้แก่ “กระวานน้อยแรกรัก” “อริรักลิขิตใจ” “วาสนาของปลาเค็ม” “เหนือสมรภูมิ” และ “สู่ห้วงเมฆา” ครองอันดับ 1–5 ตามลำดับ

หมวดท่องเที่ยว

จากคำค้นหายอดนิยมหมวดสถานที่ท่องเที่ยวในประเทศปีนี้ สะท้อนให้เห็นว่าคนไทยหันมาให้ความสนใจกับ “เมืองรอง” ที่เต็มไปด้วยเสน่ห์เฉพาะตัวกันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเมืองเก่า เมืองประวัติศาสตร์ หรือเมืองที่วิถีท้องถิ่นมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดย “กำแพงเพชร” ครองอันดับ 1 ตามด้วย “สุโขทัย” “ลำปาง” “ทรงวาด” และ “ชะอำ”

ด้านหมวดสถานที่ท่องเที่ยวต่างประเทศ เทรนด์การค้นหาในปีนี้ชี้ให้เห็นถึงการ “ออกนอกกรอบ” ของนักเดินทางไทย ที่เลือกจุดหมายใหม่ๆ เพื่อประสบการณ์ที่ไม่ซ้ำใคร โดย “ภูฏาน” ครองอันดับ 1 ด้วยเสน่ห์ของธรรมชาติและวัฒนธรรมอันโดดเด่น ตามด้วย “จูไห่” “ซินเจียง” “วังเวียง” “นอร์เวย์” “ฟูก๊วก” “เซนได” “มาเก๊า” “เฉิงตู” และ “อินโดนีเซีย” ตามลำดับ ซึ่งสะท้อนความสนใจที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น ทั้งสายแอดเวนเจอร์ สายวัฒนธรรม และสายตามหาภูมิประเทศแปลกใหม่

หมวดบุคคน

หมวด How To

หมวด คืออะไร

หมวดอาหารและคาเฟ่

ผลการค้นหายอดนิยมปีนี้สะท้อนให้เห็นถึงการผสานกันของเทรนด์เทคโนโลยี เหตุการณ์สังคม และความบันเทิงที่ต่างมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนความสนใจของคนไทยตลอดทั้งปี ใครที่เคยเสิร์ชหาอะไรแล้วติด Top 10 คำค้นหายอดนิยมบ้าง แชร์กันได้นะ

]]>
1550270
‘Agoda’ กางอินไซต์คนไทยพบ 66% วางแผน ‘เที่ยวในประเทศ’ มากขึ้น โดยเฉพาะ ‘เมืองรอง’ เพราะมีราคาเข้าถึงได้ https://positioningmag.com/1550126 Wed, 03 Dec 2025 09:46:10 +0000 https://positioningmag.com/?p=1550126
ท่องเที่ยวไทย ยังคงเป็นเส้นเลือดใหญ่ทางเศรษฐกิจ คิดเป็นสัดส่วน 10% ของ GDP โดยข้อมูลจาก กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้อัปเดตสถานการณ์ท่องเที่ยวล่าสุด ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.- 16 พ.ย. 68 พบว่า ประเทศไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทย แล้วทั้งสิ้น 28,277,276 คน ลดลง 7.18 % สร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้วประมาณ 1,308,132 ล้านบาท

Agoda ยังเชื่อในศักยภาพท่องเที่ยวไทย

ออมรี มอร์เกนสเติร์น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร อโกด้า กล่าวว่า แม้ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาประเทศไทย จะลดลงเป็นครั้งแรกนับจากผ่านช่วงวิกฤต COVID-19 แต่มองว่า ไทยยังมีโอกาสที่ดี และมีจุดได้เปรียบหลายอย่าง โดยเฉพาะเรื่องของ อาหาร อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าจากข่าวด้านลบต่าง ๆ นั้นส่งผลกระทบกับการท่องเที่ยวอย่างมีนัยสำคัญ

“ไม่ว่าจะเป็นข่าวสแกมเมอร์ที่ลักพาตัวดาราจีน, ปัญหาสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา, ภัยพิบัติ รวมถึงข้อจำกัด เช่น พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ข่าวพวกนี้ที่ออกไปมันมีผลต่อการตัดสินใจของนักท่องเที่ยวจริง ๆ และเพราะการท่องเที่ยวมันคือ ธุรกิจ ดังนั้น มันมีการแข่งขัน อย่างเช่นเวียดนามที่ตามมาติด ๆ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าไทยยังได้เปรียบ เพราะไทยเป็นประเทศใหญ่ และนักท่องเที่ยวยังต้องการมาไทย ยังเป็นปลายทางในใจ” ออมรี กล่าว

ออมรี มอร์เกนสเติร์น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร อโกด้า

ค่าใช้จ่าย เหตุผลใหญ่สุดในการตัดสินใจ 

ในส่วนของการฟื้นอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย ออมรี มองว่า สามารถทำได้หลายทาง โดยไทยเองก็ถือว่าทำได้ดี เช่น การฟรีวีซ่าประเทศอินเดีย หรือการดึงอีเวนต์ใหญ่ ๆ อย่าง Tomorrowland เทศกาลดนตรี EDM ระดับโลกมาจัดในไทย รวมถึงการทำแคมเปญ Trusted Thailand ซึ่งแสดงให้เห็นว่าทางภาครัฐมีการลงทุน และมีการเรียนรู้จากบทเรียนที่ผ่านมา

“เราเชื่อว่าไทยมีศักยภาพดึงดูดนักท่องเที่ยวจริง ๆ แต่หลายอย่างมันไม่สามารถทำได้ในชั่วข้ามคืน ต้องใช้เวลา โดยเฉพาะเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน แต่อย่างการจัดงานอีเวนต์ใหญ่ ๆ แม้มันจะไม่ส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยตรง แต่มันก็เป็นตัวกระตุ้นได้ ”

อย่างไรก็ตาม ออมรี ย้ำว่า สุดท้ายแล้ว ปัจจัยที่จะทำให้นักท่องเที่ยวตัดสินใจให้คนเดินทางมาได้จริง ๆ ก็คือ ค่าใช้จ่าย อย่างคนชั้นกลางมีเงินเหลือใช้จ่ายมากขึ้น เขาก็ใช้จ่ายได้มากขึ้น อดีตอาจจะเดินทางในประเทศ แต่ตอนนี้เขาสามารถเดินทางมาต่างประเทศได้ ถ้ามัน ถูกกว่าเที่ยวในประเทศ ดังนั้น เมื่อตลาดกว้างขึ้น นักท่องเที่ยวก็มีโอกาสเลือกมากขึ้น

คนไทยสนใจเที่ยวในประเทศมากขึ้น

สำหรับเทรนด์การท่องเที่ยวในปีนี้และปีหน้า (2026) อรรคพร รอดคง ผู้อำนวยการประจำประเทศไทย อโกด้า เปิดเผยว่า การท่องเที่ยวภายในประเทศ กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมากในหมู่นักเดินทางชาวไทย โดยมีถึงสองในสาม หรือ 66% ที่วางแผนเดินทางภายในประเทศมากขึ้น เพิ่มขึ้นจาก 30% ในปีที่แล้ว

จุดหมายปลายทางที่ ไม่ค่อยมีคนรู้จัก หรือ เมืองรอง เริ่มดึงดูดความสนใจของนักเดินทางชาวไทยมากขึ้น เหตุผลที่นักเดินทางชาวไทยเลือกจุดหมายปลายทางเหล่านี้แทนจุดหมายยอดนิยม ได้แก่ ราคาเข้าถึงได้และมีโปรโมชั่นจูงใจ (40%), สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ง่าย มีรีวิวให้ศึกษา และมีบริการสนับสนุนการเดินทางต่าง ๆ (41%) และ 34% ระบุว่าได้ใกล้ชิดธรรมชาติและมีกิจกรรมกลางแจ้ง

นอกจากนี้ นักเดินทางชาวไทยเป็นอันดับหนึ่งในเอเชียที่เลือก การพักผ่อน เป็นแรงจูงใจหลักในการท่องเที่ยว    โดยมีถึง 73% ที่ระบุว่าการพักผ่อนคือเหตุผลสำคัญที่สุด รองลงมาคือการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (30%) และประสบการณ์ด้านอาหาร (20%)

เน้นเที่ยวสั้น ๆ ตามวันหยุดราชการ

นักเดินทางชาวไทยวางแผนเดินทางท่องเที่ยวระยะสั้น ๆ เพียง 1 – 3 วันต่อทริป ซึ่งเป็นผลพลอยได้จากวันหยุดราชการประจำปีหลายวัน โดย 50% ระบุว่าจะเดินทางกับครอบครัว และ 30% เลือกเดินทางกับคู่สมรสหรือแฟน

นักเดินทางชาวไทยชื่นชอบข้อเสนอคุ้มค่าสำหรับการจองที่พัก โดย 44% วางแผนใช้จ่ายไม่เกิน 1,600 บาทต่อคืน อีก 40% วางแผนใช้งบระหว่าง 1,601–3,200 บาทต่อคืน และมีเพียง 3% ที่ตั้งงบไว้มากกว่า 3,200 บาทต่อคืน

ถ้าไม่มีข้อจำกัดด้านวีซ่า 69% ของนักเดินทางชาวไทยจะเดินทางบ่อยขึ้น และอีก 57% จะเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางใหม่ ๆ มากขึ้น

นักเดินทางชาวไทยกำลังเรียนรู้ที่จะใช้ AI โดย 69% ระบุว่ามีแนวโน้มจะใช้ AI ในการวางแผนทริปครั้งต่อไป 57% เชื่อถือข้อมูลที่สร้างโดย AI ขณะที่มีเพียง 12% ที่รู้สึกไม่ไว้วางใจ AI และอีก 31% มีท่าทีเป็นกลาง

5 อันดับจุดหมายปลายท่องเที่ยวในประเทศ

  1. กรุงเทพฯ
  2. พัทยา
  3. เชียงใหม่
  4. ภูเก็ต
  5. ชลบุรี

3 อันดับจุดหมายปลายทางในประเทศที่มาแรงที่สุดได้แก่ นครศรีธรรมราช (+61%), หาดใหญ่ (+45%), ชลบุรี (+45%)

5 ปลายทางต่างประเทศยอดนิยมของคนไทย

  1. ญี่ปุ่น
  2. เวียดนาม
  3. จีน
  4. เกาหลีใต้
  5. มาเลเซีย

3 อันดับจุดหมายปลายทางมาแรง ได้แก่ มาเก๊า (+107%), อินโดนีเซีย (+87%), จีน (+84%)

5 อันดับประเทศที่เดินทางเข้าไทยมากที่สุด

  1. มาเลเซีย
  2. จีน
  3. เกาหลีใต้
  4. อินเดีย
  5. ญี่ปุ่น

3 อันดับประเทศที่เดินทางเข้าไทยที่มาแรงที่สุด ได้แก่ เนเธอร์แลนด์ (+78%), อิสราเอล (+76%), อินโดนีเซีย (+43%)

]]>
1550126
‘สมาคมกุ้งไทย’ มองปีหน้าโอกาสทองตลาดส่งออก แต่ติดปัญหา ‘ผลผลิต’ วนลูปที่ 2.7 แสนตัน วอน ‘รัฐ’ ดันเป็นวาระชาติแก้วิกฤต https://positioningmag.com/1549909 Tue, 02 Dec 2025 09:47:27 +0000 https://positioningmag.com/?p=1549909 ผลิตได้เท่าเดิมเพราะปัญหาเดิม ๆ

เอกพจน์ ยอดพินิจ นายกสมาคมกุ้งไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบัน ประเทศไทยมีเกษตรกรเลี้ยงกุ้งราว 30,000 ราย โดยผลผลิตในปี 2568 นี้มีปริมาณรวม 270,000 ตัน เท่ากับปีที่ผ่านมา โดยแยกผลผลิตตามภูมิภาคได้ ดังนี้

  • ภาคกลาง: 27,100 ตัน (+1%) คิดเป็น 10% ของผลผลิตรวมทั้งประเทศ 
  • ภาคตะวันออก: 52,300 ตัน (-1%) คิดเป็น 19% ของผลผลิตรวมทั้งประเทศ 
  • ภาคใต้ตอนบน: 100,000 ตัน คิดเป็น 37% ของผลผลิตรวมทั้งประเทศ
  • ภาคใต้ตอนล่างฝั่งอ่าวไทย: 28,600 ตัน (-1%) คิดเป็น 11% ของผลผลิตรวมทั้งประเทศ 
  • ภาคใต้ตอนล่างฝั่งอันดามัน: 62,000 ตัน คิดเป็น 23% ของผลผลิตรวมทั้งประเทศ

ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการผลิตกุ้งไทยในปีนี้ มาจากสภาพอากาศที่แปรปรวนในช่วงต้นปีและปริมาณฝนที่เพิ่มขึ้น ส่งผลกระทบต่อการเลี้ยงของเกษตรกร โดยเฉพาะคุณภาพน้ำและโรคระบาด โดยเฉพาะโรคขี้ขาว และโรคตัวแดงดวงขาว เกษตรกรจึงจับกุ้งเร็วกว่ากำหนด 

“การเลี้ยงกุ้งสมัยนี้เราจำเป็นต้องตรวจกุ้งกันแทบทุกสัปดาห์เลยทีเดียว เกษตรกรรายย่อยไม่สามารถทำเรื่องพวกนี้ได้เอง แต่พอเราไปที่หน่วยงานภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นศูนย์วิจัยต่าง ๆ ความไม่เพียงพอของงบประมาณที่จะมาดูแลเกษตรกรในเรื่องของการป้องกันเรื่องโรค ต้องบอกว่าน้อยมาก ๆ” เอกพจน์ เล่า

นอกจากนี้ ยังถูกซ้ำด้วยมหาอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ ที่สร้างความเสียหายรุนแรงในพื้นที่จังหวัดสงขลา สตูล และปัตตานี คาดว่ามีความเสียหายไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท

“ปริมาณผลผลิตจากพื้นที่ประสบอุทกภัยคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 10% ของผลผลิตทั้งหมด ทั้งความเสียหายทั้งจากผลผลิต และเครื่องมือรวมกันคาดว่าไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท ซึ่งเราก็คาดหวังว่ารัฐบาลจะให้การเยียวยา เพราะหากไม่ได้รับการฟื้นฟูอย่างทันท่วงที อาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อาหารทะเลและการส่งออกของไทยในระยะยาว”

คนไทยบริโภคเพิ่ม แต่ส่งออกน้อยลง

ในปีนี้ตลาดในประเทศเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ จากสถานการณ์การบริโภคกุ้งที่ดีขึ้น โดยเพิ่มขึ้นจาก 1.12 กก./คน/ปี เป็น 2.68 กก./คน/ปี ส่งผลให้ราคากุ้งปีนี้อยู่ในเกณฑ์ดี โดยในช่วงครึ่งปีแรกสูงขึ้น 10-15% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นแรงจูงใจในการลงกุ้งเพิ่ม แต่ในปลายไตรมาส 3 ราคากุ้งอ่อนตัวลงเล็กน้อย 5-10% เพราะปริมาณฝนมากขึ้นเกษตรกรจึงเร่งจับกุ้งก่อนกำหนด

ทั้งนี้ การบริโภคกุ้งในประเทศคิดเป็นประมาณ 15% ของผลผลิตกุ้งทั้งหมด หรือประมาณ 100,000 ตัน/ปี 

สำหรับภาพรวมการส่งออกกุ้ง 10 เดือนแรก (ม.ค.-ต.ค. 2568) อยู่ที่ 106,306 ตัน คิดเป็นมูลค่า 32,881 ล้านบาท ลดลง -6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนทั้งปริมาณ และมูลค่า จากหลายปัจจัยทั้งภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวส่งผลต่อตลาดคู่ค้าสำคัญทั้งญี่ปุ่น จีน และสหรัฐฯ 

ไทยมีโอกาสดี เพราะอินเดียโดนสกัด

ความต้องการบริโภคกุ้งทั่วโลกยังคงสูงอย่างต่อเนื่อง โดยภาพรวมผลผลิตทั่วโลกเพิ่มขึ้น +6% ท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือดในตลาดโลก แต่ในวิกฤตย่อมมีโอกาส โดยเฉพาะการปรับภูมิทัศน์การค้าในตลาดใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกา ที่สกัดคู่แข่งรายสำคัญโดยเฉพาะ อินเดีย ด้วมาตรการ ภาษี

เพราะที่ผ่านมา อินเดียคยเป็นอันดับ 1 ในตลาดสหรัฐฯ (ส่วนแบ่ง 39%) กำลังเผชิญกับ Reciprocal Tariff  ที่รวมกับมาตรการ AD/CVD (มาตรการการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน) แล้วสูงถึง 57-61% คาดการณ์ว่าสต็อกกุ้งอินเดียในสหรัฐฯ จะหมดลงในปี 2569 และผลผลิต 300,000 ตันของอินเดียจะหายไปจากตลาดนี้ ทำให้เกิดช่องว่างขนาดใหญ่ที่เปิดโอกาสให้กุ้งทั่วโลก โดยเฉพาะกุ้งไทยเข้าแทนที่

ที่ผ่านมา ไทยมีส่วนแบ่งในตลาดสหรัฐฯ เพียง 4% รองจากเวียดนาม (9%), อินโดนีเซีย (18%), เอกวาดอร์ (25%) และอินเดีย (39%) แต่เมื่อเทียบกับคู่แข่งเหล่านี้ ไทยได้เปรียบด้านภาษี โดยเสียภาษี Reciprocal Tariff เพียง 19% ซึ่งเป็นฐานต่ำสุดเท่าเทียมกันในอาเซียน และเมื่อเทียบกับคู่แข่ง เช่น

  • เอกวาดอร์: รวม CVD แล้วประมาณ 18-19%
  • อินโดนีเซีย: รวม AT แล้ว 22% (และมีปัญหา CVD/ซีเซียม 137 บางส่วน)
  • เวียดนาม: รวม AD/CVD แล้วสูงถึง 50%

ดังนั้น การได้เปรียบทางภาษีนี้ทำให้ ตลาดอเมริกาเป็นที่น่าสนใจอย่างยิ่งสำหรับประเทศไทย ปัจจุบันไทยมีการกระจายตลาดส่งออกที่แข็งแกร่งในช่วง 10 เดือนแรก (ม.ค.-ต.ค.)

  • ญี่ปุ่น: 24%
  • จีน: 23%
  • อเมริกา: 19%
  • กลุ่มประเทศในเอเชีย: 34%

โอกาสมี แต่ผลผลิตไม่ถึง

อย่างไรก็ตาม แม้จะเห็นโอกาสในการส่งออกมากขึ้นในปีหน้า แต่ผลผลิตของไทยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เฉลี่ย ไม่เกิน 3 แสนตัน โดยไม่สามารถกลับไปแตะระดับ 6 แสนตัน เหมือนกับปี 2554-2555 ได้อีกเลย ดังนั้น ทางสมาคมอยากเรียกร้องให้รัฐบาลไทยอนุมัติงบประมาณ 5,400 ล้านบาท เพื่อปรับโครงสร้างการเลี้ยงกุ้งทั้งระบบ เพื่อไปสู่เป้าหมายการผลิต 4 แสนตัน คิดเป็นเม็ดเงิน 100,000 ล้านบาท

โดยทางสมาคมอยากให้ รัฐยกระดับเป็นวาระแห่งชาติ เพื่อเพิ่มผลผลิตกุ้งคุณภาพให้ได้ตามเป้า รวมถึงเร่งเจรจาความตกลงการค้าเสรีกับประเทศนำเข้ากุ้ง ได้แก่ สหภาพยุโรป อังกฤษ และเกาหลีใต้ พร้อมทั้งยกระดับการฟาร์มกุ้งให้สามารถปรับตัวเข้าสู่การรับรองมาตรฐานสากลที่ตลาดต้องการ รวมถึงการดำเนินโครงการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำคาร์บอนต่ำ เพื่อตอบโจทย์ตลาดโลกที่ให้ความสำคัญเรื่องการสร้างความยั่งยืนมากขึ้น

“10 ปีที่ผ่านมา ไทยเสียโอกาสมูลค่า 650,000 ล้านบาท จากการที่ควรจะขายผลิตภัณฑ์กุ้งออกไป ดังนั้น รัฐต้องยกระดับเป็นวาระแห่งชาติ เพราะปีหน้าเป็นปีที่ตลาดเปิดเต็มที่ แต่เราต้องผลิตกุ้งให้ได้ เพื่อคว้าโอกาสทางการตลาดนี้กลับมา” เอกพจน์ ทิ้งท้าย

]]>
1549909
นักการตลาดชี้ ปี 2026 คือ ปีแห่งการคัด ‘ตัวจริง’ https://positioningmag.com/1549808 Tue, 02 Dec 2025 04:45:37 +0000 https://positioningmag.com/?p=1549808 เป็นประเด็นขึ้นมาอีกครั้งสำหรับ ‘สถานการณ์เศรษฐกิจ’ ของบ้านเราในปี 2026 ซึ่งนักการตลาดหลายคนมองว่า โหดกว่าปีนี้แน่นอน และจะปีแห่งการวัดการเป็น ‘ตัวจริง’

 

รวิศ หาญอุตสาหะ ซีอีโอ บริษัท ศรีจันทร์สหโอสถ จำกัด เจ้าของเพจและช่อง Mission To The Moon โพสต์บนเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า

 

จากที่ทำงานมา 25 ปีขอทำนายเลยว่าปี 2026 จะเป็นปีที่เศรษฐกิจโหดสุดๆ แน่นอน การค้าขายจะฝืดเคือง กำลังซื้อจะหายไปอีกเยอะ บรรยากาศจะแย่ลงกว่านี้อีกเยอะ งบต่างๆ จะถูกตัดเพียบ ทั้งบริษัทและผู้คนจะรัดเข็มขัดแบบสุดๆ

ตอนนี้กำลังซื้อกระทบมาถึงระดับบนแล้วแบบที่ไม่เคยเจอมาก่อน ตอนโควิดยังเบากว่านี้เยอะ

ปีหน้าจะเป็นปีที่วัดฝีมือผู้บริหารเลยว่าที่ผ่านมาเก่งจริงหรือว่าแค่ฟลุก

ปีหน้าจะเป็นปีที่วัดพลังของแบรนด์เลยว่าของจริงรึเปล่า

ปีหน้าจะเป็นปีทีวัดเลยว่าใครที่มี value ที่แท้จริง หรือใครทีผ่านมาเป็นแค่ free rider

ถ้ามีข่าวดีเข้ามาก็ดีครับ แต่ส่วนตัวคิดว่าปีหน้าข่าวร้ายมากกว่าข่าวดีแน่นอน

 

ความเห็นนี้สอดคล้องกับผลสำรวจ Marketing Trends: 2026 Way Forward ในงาน Thailand Marketing Day 2025: Prompt The Future ซึ่งรวบรวมข้อมูลจาก MAT CMO COUNCIL เครือข่าย Top Management ระดับประเทศ 126 คน พบว่า

 

เศรษฐกิจในปี 2026 ‘โตยากมาก’ นับตั้งแต่ทำการสำรวจมา โดยจะมีการเติบโตเพียง 0.9% จากเดิมคาดว่า จะโต 1.6-3%

 

จากผลสำรวจดังกล่าว 56% ของผู้บริหารมองตรงกันว่า ปีหน้าจะเป็นปีที่ทำการตลาดยากที่สุด และเป็นปีแห่งการ ‘คัดตัวจริง’ ซึ่งใครยังทำงานแบบเดิม และหวังพึ่งงบแบบเยอะๆ อาจจะอยู่ได้ยาก

 

สำหรับปัจจัยลบที่จะทำให้เป็นเช่นนั้น

1.Customer Changes พฤติกรรมของลูกค้ามีการเปลี่ยนแปลงที่ซับซ้อน ทำให้เข้าใจได้ยากขึ้น

2.Politics การเมืองในประเทศที่ยังไม่แน่นอน ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงหลักๆ

3.Digital Technology การเข้ามาดิสรัปต์ของเทคโนโลยีใหม่ๆ

 

ส่วนทางรอดในปี 2026 ทาง ‘ดร.สมชาติ วิศิษฐชัยชาญ’ อุปนายกฝ่ายองค์ความรู้ด้านการตลาด และ ‘ผศ. ดร. เอกก์ ภทรธนกุล’ อุปนายกฝ่ายกิจกรรมการสื่อสารและการตลาดยั่งยืน สมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย แนะนำนักการตลาดว่า

 

A – Analytical Thinking + AI : การคิดแบบวิเคราะห์ โดยอย่าให้ AI คิดแทน แต่ให้ใช้ AI ช่วยวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อให้อ่านเกมได้ขาดและแม่นยำ

B – Balance Budget for Profitability: สร้างสมดุลในการดำเนินกลยุทธ์และการลงทุนแบบรู้จังหวะการบุกและการถอย เพื่อให้ผลลัพธ์สุดท้ายที่ออกมา คือ ‘กำไร’

C – Creativity under Constraints: ยิ่งงบน้อย ยิ่งต้องสร้างสรรค์ และได้งานครีเอทีฟที่มีคุณภาพ ไม่ใช่ Drama Queen หรือคอนเทนต์ดราม่าเรียกเสียงวิจารณ์

D – Data with Purpose: เก็บและใช้ข้อมูลอย่างมีเป้าหมายเพื่อสร้างความยั่งยืน ไม่ใช่เน้นจำนวนแต่ไม่มีคุณภาพ

 

บทสรุปของการตลาดในปี 2026 คือ ต้องปรับตัว มีความยืดหยุ่น และพยายามสร้างสมดุลในการใช้ให้เกิดกำไร เพื่อจะเป็นผู้ชนะในปีที่เศรษฐกิจโตยากที่สุด

]]>
1549808
เทรนด์ ‘หลอกลวงสมัครงาน’ พุ่งสูง โดย ‘รายได้ดี-ได้เงินไว’ เป็นข้ออ้างให้ตกเป็นเหยื่อง่ายสุด https://positioningmag.com/1549374 Sun, 30 Nov 2025 07:18:25 +0000 https://positioningmag.com/?p=1549374 นอกจากการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องของ ‘ตลาดงาน’ อีกหนึ่งความท้าทายที่ไม่หายไปคือ ‘การประกาศงานหลอกลวงจากเหล่ามิจฉาชีพ’ ซึ่งกำลังพุ่งสูงขึ้น    

 

บริษัท SEEK ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Jobsdb และ Jobstreet เปิดเผยข้อมูลเทรนด์ล่าสุดเกี่ยวกับแนวโน้มกลโกงในการหางานทั้งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและในประเทศไทย พบว่า มิจฉาชีพมีแนวโน้มปรับกลยุทธ์ให้ซับซ้อนยิ่งขึ้นตามบริบททางเศรษฐกิจและพฤติกรรมของผู้สมัครงานในแต่ละประเทศ

 

ข้อมูลการวิเคราะห์เทรนด์ในครั้งนี้ อ้างอิงจากข้อมูลภายในของระบบตรวจจับกลโกงบนแพลตฟอร์มของ SEEK ซึ่งรวมถึง Jobstreet และ Jobsdb ในช่วงระหว่างเดือนกรกฎาคม 2567 ถึงมิถุนายน 2568 โดยดึงข้อมูลจากทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ได้แก่ ไทย ฮ่องกง อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ รวมไปถึงออสเตรเลียและนิวซีแลนด์

 

แต่ละประเทศมีรูปแบบการหลอกลวงต่างกันไป

 

สำหรับ ‘ตลาดเอเชีย’ ในภาพรวมยังพบว่า การหลอกลวงด้านการจ้างงานส่วนมากจะมุ่งเน้นไปที่กลุ่มอุตสาหกรรมการผลิต การขนส่ง และโลจิสติกส์ (16%) โดยมิจฉาชีพมักฉวยโอกาสจากผู้ที่กำลังต้องการหางานอย่างเร่งด่วน นอกจากนี้ ตำแหน่งงานด้านการขาย (7% จากทั้งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก) ยังเป็นอีกหนึ่งกลุ่มเป้าหมายสำคัญ

 

ขณะที่ ‘ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์’ พบมีการหลอกลวงในกลุ่มงานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารอยู่ที่ 9% สูงกว่าประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชียที่มีสัดส่วนเพียง 2%

 

ส่วนประเทศไทยการหลอกลวงด้านการจ้างงานโดยรวมยังอยู่ในระดับต่ำกว่าตลาดอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และยังมีรูปแบบการหลอกลวงที่แตกต่างออกไป โดยตำแหน่งงานที่พบการหลอกลวงสูงสุด ได้แก่

 

งานด้านการขาย 67%

งานด้านบัญชี 17%

งานด้านสื่อ โฆษณา และศิลปะ 17%

 

ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่มิจฉาชีพมักมุ่งเป้าไปยังกลุ่มผู้สมัครที่กำลังมองหางานอย่างเร่งด่วน หรืองานที่ให้ค่าตอบแทนในรูปแบบค่าคอมมิชชัน ทำให้ผู้สมัครกลุ่มนี้มักตกเป็นเหยื่อของการหลอกลวงได้ง่าย จากข้ออ้างเรื่องรายได้ดีและได้เงินไว

 

โซเชียลมีเดีย ช่องทางหลอกลวงหลัก

 

จากข้อมูล Jobsbd by SEEK พบว่า รูปแบบการหลอกลวงของประกาศงานมักแฝงมาเพื่อชักนำผู้หางานให้เข้าสู่กิจกรรมผิดกฎหมายโดยไม่รู้ตัว และกลุ่มมิจฉาชีพได้พัฒนากลยุทธ์การหลอกลวงให้แนบเนียนยิ่งขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ช่องทาง ‘โซเชียลมีเดีย’ เป็นพื้นที่การประกาศจ้างงาน เนื่องจากขาดระบบตรวจสอบที่น่าเชื่อถือ

 

สำหรับคำแนะนำ เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของประกาศงานหลอกลวง

1.ให้ผู้สมัครใช้เฉพาะเว็บไซต์หางานที่ได้รับการรับรอง

2.หลีกเลี่ยงการติดต่อผ่านแอปแชตส่วนตัว

3.กรอกเฉพาะข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการสมัครงานเท่านั้น พร้อมตั้งค่าความเป็นส่วนตัวและใช้รหัสผ่านที่ปลอดภัย

4.หากพบลักษณะของงานที่น่าสงสัย เช่น ค่าตอบแทนสูงเกินจริง ไม่มีรายละเอียดงานชัดเจน ให้ถือว่าเป็นสัญญาณเตือนของความผิดปกติ และแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทันที

]]>
1549374
สรุปภาพรวม ‘การจ้างงาน’ ในไทย ปี 69 เป็นอย่างไร https://positioningmag.com/1549347 Sat, 29 Nov 2025 10:40:55 +0000 https://positioningmag.com/?p=1549347 ‘บริษัท โรเบิร์ต วอลเทอร์ส’ ได้ทำการสำรวจพนักงานและองค์กรกว่า 900 แห่งในไทย ระหว่างเดือน ก.ย.-ต.ค. 68 เพื่อนำเสนอภาพรวมของตลาดแรงงาน ทักษะที่เป็นที่ต้องการ และ แนวโน้มเงินเดือน ในปี 69 ซึ่งมีประเด็นน่าสนใจ ดังต่อไปนี้

 

ภาพรวมตลาดการจ้างงานในไทย ปี 2569

 

ฝั่งนายจ้าง

 

-กว่า 33% ขององค์กรมีแผนจ้างงานเพิ่ม 5–10%

-40% จะรักษาระดับการจ้างงานเท่าเดิม

-40% จ้างงานเพิ่มขึ้น

-12% มีแผนลดการจ้างงาน

-67% ขององค์กร ระบุว่า ‘ขาดผู้สมัครที่มีทักษะและประสบการณ์ตรงตามความต้องการ’ เป็นอุปสรรคสำคัญที่สุดในการสรรหาบุคลากรที่ได้คุณภาพ

-97% มีแผนปรับเพิ่มเงินเดือน

 

สำหรับทักษะด้าน Soft Skills ที่นายจ้างให้ความสำคัญสูงสุด ได้แก่

1.ทักษะการแก้ปัญหาและการคิดวิเคราะห์ (58%)

2.การสื่อสารและและการทำงานร่วมกัน (57%)

3.ความฉลาดทางอารมณ์ ความเห็นอกเห็นใจ และการมีทัศนคติที่ดี (52%)

 

ฝั่งพนักงาน

 

-60% กังวลไล่ตามความสามารถของ AI ไม่ทัน เนื่องจากขาดการฝึกอบรม

-กว่า 60% การได้รับค่าตอบแทน/สวัสดิการไม่ตรงความคาดหวัง คือปัญหาใหญ่ในการหางาน

-กว่า 93% คาดว่าจะได้รับการขึ้นเงินเดือน

 

ปัจจัยที่ผู้สมัครให้ความสำคัญในการเลือกองค์กร ได้แก่

1.ค่าตอบแทนที่ดึงดูด (60%)

2.ความยืดหยุ่นในการทำงาน (44%)

3.ความมั่นคงในอาชีพ (37%)

 

‘ปุณยนุช ศิริสวัสดิ์วัฒนา’ ผู้จัดการประจำประเทศไทย ของบริษัท โรเบิร์ต วอลเทอร์ส เล่าว่า ความกังวลต่อสภาวะตลาดที่ผันผวนและคาดการณ์ได้ยาก ทำให้หลายองค์กรชะลอการจ้างงานออกไป โดยเมื่อมีความจำเป็นต้องจ้างจะมุ่งเน้นไปยัง ‘ผู้บริหารระดับสูง’ มากกว่า ‘ผู้บริหารระดับกลาง’ เพราะต้องการผู้นำที่มีประสบการณ์ สามารถปรับตัวได้เร็ว เพื่อนำองค์กรฝ่าความไม่แน่นอนไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนได้

 

ขณะที่ ‘ผู้สมัคร’ ที่มีทักษะพร้อมใช้งานทันที สามารถเรียกค่าตอบแทนได้สูงขึ้น เนื่องจากการแข่งขันกันดึงดูดบุคลากรคุณภาพ โดยผู้ย้ายงานที่มีทักษะเฉพาะทางซึ่งเป็นที่ต้องการและสามารถเริ่มงานได้ทันที มีแนวโน้มได้รับเงินเดือนเพิ่มขึ้น 15–20%

 

พนักงานใหม่ กว่า 35% ขององค์กรคาดว่าจะปรับเงินเดือนให้พนักงานใหม่ 1–5% และอีกกว่า 21% วางแผนปรับเพิ่มถึง 11–15% เพื่อดึงดูดบุคลากรที่มีศักยภาพเข้าสู่องค์กร

 

แนวโน้มการปรับเงินเดือนแบ่งตามรายเซ็กเมนต์ สำหรับผู้ที่จะเปลี่ยนงาน

 

1.การขายและการตลาด B2B และ FMCG ปรับขึ้น 15-25%

2.การขายและการตลาด-เภสัชกรรมและสุขภาพ ปรับขึ้น 20-25%

3.การขายและการตลาด-ค้าปลีก ปรับขึ้นประมาณ 20%

4.การขายและการตลาด-ดิจิทัล ปรับขึ้นประมาณ 20%

5.ทรัพยากรบุคคล ปรับขึ้น 15-25%

6.วิศวกรรมและซัพพลายเชน ปรับขึ้น 10-15%

7.บัญชีและการเงิน ปรับขึ้น 15-20%

8.กฎหมาย ปรับขึ้น 15-30%

9.การเงินและการธนาคาร ปรับขึ้น 15-20%

10.เทคโนโลยีสารสนเทศ ปรับขึ้น 15-25%

]]>
1549347
เทรนด์ ‘ซื้อก่อน จ่ายทีหลัง’ ทำคนไทย ‘ก่อหนี้’ เพิ่มขึ้นจนน่ากลัว https://positioningmag.com/1548657 Tue, 25 Nov 2025 12:11:25 +0000 https://positioningmag.com/?p=1548657 ‘ภาระหนี้’ ยังเป็นประเด็นน่าห่วง และน่ากังวลสำหรับคนไทย โดยเฉพาะการก่อหนี้จากเทรนด์ ‘ซื้อก่อน จ่ายทีหลัง’ (Buy Now Pay Later) อีกหนึ่งบริการของอีคอมเมิร์ซที่ทำให้การก่อหนี้ได้ง่ายขึ้น แม้กระทั่ง ‘กาแฟหนึ่งเดียว’ หรือ ลิปสติกแท่งละ 150 บาท ก็ยังผ่อน

 

จากการเก็บข้อมูลของ ‘บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด’ หรือ ‘เครดิตบูโร’ ช่วง 20 ปีที่ผ่านมา พบว่า ช่วงหลังน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 คือ วิกฤตหนี้หนักสุดของไทย ซึ่งมีการก่อหนี้เพิ่มสูงขึ้นจนเป็นภาระหนี้สะสม ทั้งการกู้สินเชื่อส่วนบุคคลมาซ่อมแซมบ้านและสถานประกอบการ จากนั้นถูกซ้ำเติมอีกครั้งจากวิกฤตโควิด-19 เป็นปรากฏการณ์ ‘income shock’ หรือ ‘ตกหลุมรายได้’ ทำให้ผู้คนมีรายได้ลดลงโดยที่ยังมีการะหนี้ที่ดอกเบี้ยยังเดินอยู่

 

สำหรับสาเหตุของภาระหนี้ที่พุ่งสูงขึ้นของคนไทย ‘สุรพล โอภาสเสถียร’ ผู้อำนวยการใหญ่ เครดิตบูโร บอกว่า ส่วนหนึ่งเกิดจาก ‘นโยบายทางการเมือง’ ในอดีต เช่น โครงการรถยนต์คันแรก บ้านหลังแรก และการรับจำนำข้าว เป็นต้น

 

นอกจากนี้ ยังมาจาก ‘สถาบันการเงิน’ และ ‘ผู้ปล่อยสินเชื่อ’ มีการกระตุ้นหรือสร้างแรงจูงใจให้คนก่อหนี้ โดยเฉพาะปัญหาการก่อหนี้ที่น่ากลัวจากเทรนด์ใหม่ ‘ซื้อก่อน จ่ายทีหลัง’ หนึ่งในบริการของแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่ทำให้ก่อหนี้ได้ง่ายขึ้น กระทั่ง ‘กาแฟหนึ่งแก้ว’ หรือ ‘ลิปสติกแท่งละ 150 บาท’ และสินค้าอื่นๆ ก็สามารถผ่อนได้

 

ขณะเดียวกัน สุรพลได้เตือนว่า นโยบายการเมืองในอนาคต โดยเฉพาะข้อเสนอให้แก้ไขระบบเครดิตบูโร ที่ต้องการให้ ‘ลบประวัติเสียทันที’ หากชำระหนี้ครบ หรือผ่อนต่อเนื่อง 6 เดือน ซึ่งเป็นความเสี่ยง เพราะผู้ให้สินเชื่อไม่รู้ว่า ลูกหนี้ดีกับลูกหนี้เสีย จะถูกลบประวัติเหมือนกัน ทำให้ปล่อยกู้ยากกว่าเดิม

 

หนี้สินเสมือน ‘ไฟ มีทั้งคุณอนันต์และโทษมหันต์

 

ด้าน ‘ศ.ดร.ธานี ชัยวัฒน์’ คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้พูดถึง ‘วัฒนธรรมหนี้ 2 ทศวรรษของข้อมูลเครดิตกับเศรษฐกิจไทย’ โดยฉายภาพของการก่อหนี้ว่า หนี้สินเสมือน ‘ไฟ’ มีทั้งคุณอนันต์และโทษมหันต์ และตอนนี้เป็นปัญหาที่น่ากังวล นั่นคือ

 

-อดีตคนไทยก้าวเข้าสู่ระบบหนี้ครั้งแรกจาก ‘หนี้ก้อนใหญ่’ จากการซื้อบ้านหรือรถ แต่มาจากหนี้ก้อนเล็ก ซึ่งส่วนใหญ่เป็น ‘การเช่าซื้อ’ เพื่ออุปกรณ์ไอที, โทรศัพท์มือถือ, หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าเล็กๆ น้อยๆ

-คนรุ่นใหม่อายุต่ำกว่า 25 ปี ถูกดึงเข้าสู่ระบบหนี้ด้วยการผ่อนโทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์ไอทีอย่างรวดเร็ว แต่ที่น่าห่วงคือ หนี้จากการผ่อนซื้อทำให้คนรุ่นใหม่จำนวนมากมีปัญหาเรื่องเครดิตบูโร เพราะมีการผ่อนมากขึ้นจนไม่สามารถจ่ายได้

-กลุ่มเสี่ยงที่สุดคือ ‘นักจ่ายขั้นต่ำ’ ที่มีจำนวนเพิ่มขึ้น โดยจากข้อมูลพบว่า คนที่จ่ายขั้นต่ำกว่า 30% ของยอดคงค้าง มีอัตราการมีปัญหาเป็นหนี้เสียสูงถึง 43.89% และมีระยะเวลาที่เริ่มมีปัญหาเร็วกว่ากลุ่มอื่น

 

สำหรับทางออก รศ.ดร.ธานีบอกว่า ก่อนก่อหนี้ต้อง ‘ประเมินตนเอง’ และต้องมีความรู้ทางการเงิน เพื่อไม่ให้เล่นกับไฟ จนควบคุมไม่ได้

]]>
1548657
หมดยุค ‘Labubu’! รู้จัก ‘Fuggler’ ตุ๊กตาหน้าแปลกที่กำลังเป็นกระแส จากเสน่ห์ “ความน่าเกลียดแบบน่ารัก” https://positioningmag.com/1547948 Thu, 20 Nov 2025 00:35:05 +0000 https://positioningmag.com/?p=1547948 หลังจากที่กระแสของ ลาบูบู้ (Labubu) จะซาลงไป ของเล่นชิ้นใหม่ที่กำลังมีกระแสตอนนี้ก็ยังคงเป็นของเล่นที่มีดีไซน์แหวกแนวอย่าง Fuggler (ฟักเกลอร์) ตุ๊กตาหน้าตาประหลาดที่ปฏิเสธความน่ารักแบบดั้งเดิม (Anti-Cute) และเลือกที่จะนำเสนอความขี้เหร่มาอย่างภาคภูมิ จนกลายเป็นกระแสและสร้างฐานแฟนคลับขนาดใหญ่ได้อย่างไม่น่าเชื่อ โดย Positioning จะพาไปรู้จักกับเจ้า Fuggler กัน

จุดเริ่มต้นจากฟันปลอม

หากพูดถึง ฟันปลอม กับ ตุ๊กตา น่าจะเป็น 2 สิ่งที่ไม่น่าเข้ากันได้ แต่ไม่ใช่ในสายตาของ Louise McGettrick (ลูอีส แมคเกตทริก) ศิลปินชาวอังกฤษที่เป็นผู้สร้างสรรค์ Fuggler Monster โดยจุดเริ่มต้นมาจากในปี 2010 ที่สามีของเธอได้เผลอ ซื้อฟันปลอม ที่ดูสมจริงจำนวนหนึ่ง ขณะกำลังหาของแปลก ๆ บน eBay

จากนั้น Louise ก็คิดเล่น ๆ ว่า “ถ้าเอาฟันปลอมไปยัดใส่ปากตุ๊กตาหมีก็คงจะฮาไม่น้อย” และนั้นทำให้เธอปิ๊งไอเดียอย่างแรง ที่นำฟันปลอมเข้ากับตุ๊กตาผ้าเพื่อสร้างตุ๊กตาน่าเกลียดที่มีเอกลักษณ์ อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

โดยชื่อของ Fuggler มีชื่อเต็มว่า Funny Ugly Monster (อสูรน่าเกลียดสายฮา) โดยคอนเซ็ปต์หลักคือ ความน่าเกลียด, ความประหลาด, ความตลก แต่ก็สร้างเสน่ห์แบบ ความน่าเกลียดแบบน่ารักน่าเอ็นดู เพื่อสื่อว่า ถึงฉันจะไม่หล่อไม่สวย แต่ก็พร้อมจะทำให้หัวใจคุณละลาย

ในตอนแรก Louise ตัดออกแบบและสร้างเจ้า Fuggler โดยการนำตุ๊กตาสัตว์ยัดนุ่น (Plush Toys) ทั่วไปมาดัดแปลง เช่น นำลูกตาออก, ใส่ฟันปลอมของมนุษย์ ก่อนจะเริ่มขายออนไลน์ในกลุ่มเล็ก ๆ ผ่านร้านค้าออนไลน์อย่าง Etsy แต่ด้วยรูปลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร พร้อมด้วยท่าทางที่ดูซุกซนกวนโอ๊ย ทำให้ Fuggler กลายเป็นที่พูดถึงอย่างรวดเร็วในโลกออนไลน์ ซึ่งเป็นแรงกระตุ้นให้ Louise สร้างสรรค์ Fuggler รูปแบบใหม่ ๆ ทยอยตามมา

สู่ IP ระดับโลก

ในวันที่ความนิยมของเจ้า Fuggler เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และ Louise ไม่สามารถผลิตตุ๊กตาด้วยมือได้เพียงพอต่อความต้องการ ประกอบกับศักยภาพอันมหาศาลของ Fuggler ก็เข้าตาบริษัทของเล่นสัญชาติแคนาดาอย่าง Spin Master (ผู้ผลิต Hatchimals และ Paw Patrol) ได้เข้าซื้อลิขสิทธิ์ Fuggler อย่างเป็นทางการในปี 2018

ซึ่ง Spin Master ก็ได้ปรับเปลี่ยนการผลิตเพื่อให้สามารถผลิตจำนวนมากได้ อย่างเช่นฟันปลอมมนุษย์จริงจึงถูกแทนที่ด้วย ฟันเรซินคุณภาพสูง แต่ก็ยังคงเอกลักษณ์รูปแบบของดวงตาที่หลากหลาย ขนสัตว์ที่มีสีสันจัดจ้าน และรูกระดุม (“BUTT-on hole”) ที่เย็บไว้ตรงก้น

นอกจากนี้ บริษัทได้เปิดตัว Fuggler ในหลายขนาดและหลายคอลเลกชั่น และได้สร้างให้ตุ๊กตาแต่ละตัว มีชื่อและบุคลิกเฉพาะตัว เช่น Grin Grin, Gap Tooth, Sir Reginald Fluff และ Sasquatch เป็นต้น

พี่จีนช่วยจุดกระแส

ที่ผ่านมา ความนิยมของ Fuggler ส่วนใหญ่จะอยู่ในสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และแคนาดา แต่จุดที่ทำให้ Fuggler ได้รับความนิยมในช่วง 1-2 ปีนี้ เป็นเพราะสินค้าได้ผลิตโดย ZURU Toys ที่นอกจากศักยภาพในการผลิตแล้ว ยังช่วยกระจายสินค้าไปยังร้านค้าปลีกทั่วโลกได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะ จีน ที่เพิ่งเข้าไปทำตลาดในปี 2024 ที่ผ่านมา

ด้วยความที่เจ้า Fuggler จะมาพร้อมกับ ใบรับเลี้ยง (Adoption Certificate) ที่จะบ่งบอกถึงลักษณะนิสัย พร้อมให้เจ้าของตั้งชื่อ นั่นทำให้แฟน ๆ ที่ซื้อ Fuggler ก็จะสร้างสรรค์เรื่องราวหรือบุคลิกสุดป่วนลงในโซเชียลมีเดีย ซึ่งก็กระตุ้นให้คนค้นหาว่าตุ๊กตาประหลาดตัวนี้คืออะไร

และนั่นทำให้ Fuggler กลายเป็นไวรัลบนแพลตฟอร์มอย่าง TikTok และ Xiaohongshu ถึงขนาดที่ชาวโซ เชียลจีนบางส่วนประกาศว่า Fuggler เป็นคู่แข่ง ของ Labubu เลยทีเดียว

โต 247% ในปีเดียว

นอกเหนือจากที่เจ้า Fuggler จะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และมีให้เลือกหลากหลายแล้ว บริษัทยังได้ร่วมมือกับ IP ดังอื่น ๆ อย่างต่อเนื่อง อาทิ DC Universe, SpongeBob SquarePants และ The Lord of the Rings โดยการใส่ฟันอันเป็นเอกลักษณ์และสไตล์เฉพาะตัวเข้าไปในตัวละครที่หลายคนชื่นชอบ ก็ยิ่งกระตุ้นให้แฟน ๆ ตามสะสมอยู่เสมอ

The Entertainer ร้านค้าปลีกของเล่นรายใหญ่สัญชาติอังกฤษ เปิดเผยว่า ในปี 2024 ยอดขาย Fuggler เพิ่มขึ้นถึง +247% โดยเฉพาะในไตรมาสสุดท้ายของปี 2024 ต่อเนื่องถึงต้นปี 2025 บริษัทสามารถขาย Fuggler ได้มากกว่า 650,000 ตัว ซึ่ง Fugglers เป็นนิยมในหมู่เด็กเล็กอายุตั้งแต่ 5 ขวบ ไปจนถึงกลุ่มวัยรุ่นและผู้ใหญ่

สำหรับประเทศไทย Fuggler ยังไม่มีตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ แต่ก็หาซื้อได้ในราคาประมาณ 490 – 950 บาท ขึ้นอยู่กับคอลเลกชั่น

toylandhk / 8days / fuggler.com

]]>
1547948
หมดยุครูดปี๊ด? คนไทยปิดบัตรเครดิต มากกว่าเปิดใหม่ ลดก่อหนี้ไม่จำเป็น https://positioningmag.com/1546821 Thu, 13 Nov 2025 06:34:56 +0000 https://positioningmag.com/?p=1546821 กรุงศรี คอนซูมเมอร์ เผยเห็นเทรนด์ผู้บริโภคระมัดระวังการใช้จ่าย สะท้อนจากจำนวนการปิดบัตรเครดิตเพิ่มขึ้น มากกว่าเปิดบัตรใหม่ และลดการใช้จ่ายผ่านบัตร หวังลดการก่อหนี้ที่ไม่จำเป็น และลดภาระค่าใช้จ่าย ซึ่งเห็นพฤติกรรมนี้ในทุกกลุ่มลูกค้า

 

‘อธิศ รุจิรวัฒน์’ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านกรุงศรี คอนซูมเมอร์ กล่าวว่า ปีนี้เป็นปีที่ท้าทายและเหนื่อยสำหรับธุรกิจบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคล เนื่องจากตั้งแต่ต้นปี 2568 เห็นสัญญาณของผู้บริโภคที่มียอดปิดบัตรเครดิต มากกว่ายอดเปิดบัตรใหม่ และมีการใช้จ่ายผ่านบัตรลดลง ซึ่งเกิดขึ้นกับลูกค้าทุกกลุ่ม รวมถึงกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง

 

สาเหตุหลักมาจากการผู้บริโภคเกิดความไม่เชื่อมั่นทั้งสภาพเศรษฐกิจโดยรวม และอีกหลายปัจจัยที่ไม่แน่นอน ทำให้ระมัดระวังการใช้จ่าย และลดการก่อหนี้ที่ไม่จำเป็น ซึ่งการยกเลิกบัตรส่วนใหญ่ลูกค้าให้เหตุผลว่า ไม่อยากถือบัตรเครดิตหลายใบ เพราะต้องการลดภาระค่าใช้จ่ายและจำกัดการใช้เงิน

 

“คนยังมีเงิน แต่หลัก ๆ คือ อารมณ์และความรู้สึกที่ไม่เชื่อมั่นจากข่าวต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศ ทำให้ชะลอการจับจ่าย เนื่องจากเราดูการใช้จ่ายผ่านบัตรของลูกค้าพบว่า ค่อนข้างสวิง คือ เมื่อมีเหตุการณ์หรือข่าวด้านลบเข้ามากระทบ การใช้จ่ายผ่านบัตรจะลดลง พอไม่มีข่าวก็มีการใช้จ่ายสูงขึ้น”

 

สถานการณ์ที่เกิดขึ้น กระทบต่อธุรกิจบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคล โดยกรุงศรี คอนซูมเมอร์ วางกลยุทธ์เพื่อรับมือกับสภาวะตลาดที่ซบเซา ด้วยการกลับมาโฟกัส ‘ตัวเอง’ คำนึงถึงจุดแข็งและโปรดักต์ที่สร้างรายได้หลักให้กับบริษัท มากกว่ามุ่งเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ควบคู่กับการดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวังและการบริหารต้นทุน

 

ขณะที่การทำโปรโมชั่นและให้สิทธิประโยชน์ จะเน้น ‘ความคุ้มค่า’ และเป็นตัวช่วยในการแบ่งภาระค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เช่น การให้เครดิตเงินคืน เพิ่มคะแนนการใช้จ่าย แทนการอัดโปรโมชั่นแรง ๆ

 

“ตอนนี้เหมือนสู้กับจุดที่ทำให้คนตัดสินใจซื้อ ซึ่งเราไม่รู้ว่า จุดนี้ของแต่ละคนอยู่ตรงไหน ถ้ายิ่งทำ อาจจะเจ็บตัวหนัก เราเลยเลือกที่จะไม่ทำในจังหวะนี้”

 

สำหรับผลประกอบการของกรุงศรี คอนซูมเมอร์ ตั้งแต่เดือน ม.ค. – ก.ย. 2568 ในภาพรวมยังเติบโตดีกว่าตลาดทั้งในด้านจำนวนบัตรและยอดใช้จ่ายผ่านบัตร โดยมียอดบัญชีลูกค้าใหม่ 422,800 บัญชี ลดลง 4.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน, ยอดใช้จ่ายผ่านบัตร 286,300 ล้านบาท เติบโต 1%, ยอดสินเชื่อใหม่ 68,400 ล้านบาท ลดลง 2.2% และยอดสินเชื่อคงค้าง 134,300 ลดลง 2.6%

 

ขณะที่อัตราส่วนหนี้ที่ค้างชำระเกิน 90 วัน อยู่ที่ระดับ 1.3% สำหรับบัตรเครดิต และ 2.2% สำหรับสินเชื่อส่วนบุคคล ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในธุรกิจ เนื่องจากมีการบริหารความเสี่ยงที่รัดกุม

 

ส่วนหมวดใช้จ่ายผ่านบัตรสูงสุดเรียงตามยอดใช้จ่าย ได้แก่ 1. ประกันภัย, 2. ซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านสะดวกซื้อ, 3.ปั๊มน้ำมัน, 4. ตกแต่งบ้านและเครื่องใช้ในครัวเรือน และ 5. ช้อปออนไลน์

 

ขณะที่หมวดใช้จ่ายที่มีอัตราเติบโตสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1.โซเชียลมีเดียและแอปพลิเคชัน, 2. แอปดิลิเวอรี 3.กองทุนรวม, 4.ตัวแทนท่องเที่ยว และ 5.ซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านสะดวกซื้อ สะท้อนให้เห็นถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ระมัดระวังการใช้จ่าย เน้นซื้อสินค้าในหมวดที่จำเป็นมากกว่าสินค้าฟุ่มเฟือย

 

สำหรับผลประกอบการสิ้นปี 2568 ตั้งเป้ามียอดบัญชีลูกค้าใหม่ 578,000 บัญชี ลดลง 2.7%, ยอดใช้จ่ายผ่านบัตร 400,000 ล้านบาท โต 2%, ยอดสินเชื่อใหม่ 94,000 ล้านบาท ลดลง 1.3% และยอดสินเชื่อคงค้าง 143,000 ลดลง 2.2%

]]>
1546821
แบรนด์ใดครองความเป็นผู้นำในตลาด ‘นมพร้อมดื่มไทย’ ที่มีมูลค่ากว่า 3.6 หมื่นล้านบาท https://positioningmag.com/1546247 Mon, 10 Nov 2025 11:39:59 +0000 https://positioningmag.com/?p=1546247 ตอนนี้ ‘ตลาดนมพร้อมดื่ม’ ในไทยกำลังเป็นประเด็นร้อนแรง เราจึงอยากพาดูว่า ตลาดนี้มีความน่าสนใจแค่ไหน?

 

โดย ‘ศูนย์อัจฉริยะเพื่ออุตสาหกรรมอาหาร’ ได้สรุปข้อมูลจาก Drinking Milk Product in Thailand 2024 ของ ‘ยูโรมอนิเตอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล’ (Euromonitor International) ไว้ว่า ตลาดนมพร้อมดื่มในไทยมีมูลค่า 36,814 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.3% จากปี 2566 ที่มีมูลค่าอยู่ประมาณ 34,993 ล้านบาท

 

สำหรับแบรนด์ที่ครองมาร์เก็ตแชร์ 4 อันดับแรก ได้แก่  

 

อันดับ 1 เมจิ ครองมาร์เก็ตแชร์ 15.1%

อันดับ 2 โฟร์โมสต์ ครองมาร์เก็ตแชร์ 13.9%

อันดับ 3 ไทย-เดนมาร์ค ครองมาร์เก็ตแชร์ 13.1%

อันดับ 4 ตราหมี ครองมาร์เก็ตแชร์ 9.1%

แบรนด์อื่น ๆ ครองมาร์เก็ตแชร์ 48.8%

 

คาดการณ์ตลาดเติบโต

 

จากรายงานดังกล่าวยังได้คาดการณ์ไว้ว่า มูลค่าตลาดนมพร้อมดื่มในไทยยังมีแนวโน้มเติบโต

ปี 2568 จะมีมูลค่า 38,488 ล้านบาท

ปี 2569 มีมูลค่า 40,053 ล้านบาท

ปี 2570 มีมูลค่า 41,576 ล้านบาท

ปี 2571 มีมูลค่า 43,164 ล้านบาท

 

สำหรับความท้าทายที่ตลาดนมพร้อมดื่มในไทยต้องเผชิญ หลัก ๆ ก็คือ ‘อัตราการเกิดของประชากรไทยที่ลดลง’ อย่างไรก็ตามตลาดนี้ยังมีแนวโน้มเติบโตในช่องทางค้าปลีก ซึ่งผู้ผลิตแต่ละรายจำเป็นต้องรักษาความสามารถในการแข่งขัน ด้วยการนำนวัตกรรมและความแตกต่างมาใช้ดึงดูดผู้บริโภค โดยต้องตอบสนองทั้งกลุ่มเป้าหมายหลักอย่าง ‘กลุ่มเด็ก’ และ ‘กลุ่มผู้ใหญ่’ ที่มองหาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่าเพิ่ม เช่น นมปราศจากแลคโตส, นมพร้อมดื่มเสริมวิตามินและโอเมก้า เป็นต้น

 

ที่มา

 

https://fic.nfi.or.th/market-intelligence-market-share-detail.php?smid=434

]]>
1546247