People – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 02 Dec 2025 11:58:34 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 รู้จัก ‘ราอูล โรชา’ นักธุรกิจผู้เข้ามาเขย่าวงการมิสยูนิเวิร์ส และกำลังถูกหมายจับข้อหา ‘ค้ายา อาวุธ น้ำมันเถื่อน’ https://positioningmag.com/1549891 Tue, 02 Dec 2025 08:33:32 +0000 https://positioningmag.com/?p=1549891 คนไทยอาจไม่ค่อยคุ้นเคยกับชื่อของ ราอูล โรชา คานตู (Raúl Rocha Cantú) นักธุรกิจชาวเม็กซิกัน จนกระทั่งเขาได้เข้าซื้อหุ้น 50% ขององค์กรมิสยูนิเวิร์ส จาก บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ของ แอน จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ ดังนั้น Positioning จะพาไปทำความรู้จักกับ ราอูล ว่าเป็นใคร รวยแค่ไหน รวมถึงข่าวฉาวด้านมืด

ราอูล คือใคร?

ต้องบอกก่อนว่า ราอูล โรชา คานตู ไม่ได้เริ่มต้นจากศูนย์ เพราะครอบครัวเขาถือเป็นตระกูลเศรษฐีเก่าของประเทศเม็กซิโก ของครอบครัวใหญ่ที่ดำเนินกิจการมานานกว่าร้อยปี โดยเขาถือเป็นทายาทรุ่นที่ 3

เขาเริ่มฉายแววตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น ด้วยการจบปริญญาตรีด้านบริหารธุรกิจเพียงอายุ 19 ปี ก่อนจะก้าวขึ้นเป็นซีอีโอของบริษัท CYMSA Corporation ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนเครื่องจักรขนาดใหญ่ของเม็กซิโก และสามารถพัฒนาบริษัทนี้ให้เป็นผู้เล่นหลักในภูมิภาค 

ก่อตั้งอาณาจักร LHG

หลังจากนั้น ราอูล ก็ได้สร้างอาณาจักร Legacy Holding Group (LHG) ที่มีตั้งแต่ธุรกิจ พลังงาน การก่อสร้าง การบินส่วนตัว การตลาด เทคโนโลยีค้าปลีก ยานยนต์ ร้านอาหาร และธุรกิจบันเทิง เรียกได้ว่าแทบจะครอบคลุมทุกอุตสาหกรรม

ปัจจุบัน อาณาจักรของเขาอยู่มายาวนานกว่า 35 ปี อยู่ใน 5 ภูมิภาคของโลก ผ่านบริษัทในเครืออย่าง Legacy Energy, BSE Combustibles, Century Aviation, Expansión 2000, Punto X Punto Promociones, TicketApp และ Ariston Automotive 

เข้าสู่ธุรกิจนางงาม

จนมาปี 2024 ชื่อของเขากลายเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก หลังจากที่บริษัท Legacy Holding Group USA ของเขาได้เข้าซื้อหุ้น 50% ขององค์กรมิสยูนิเวิร์ส จาก บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ของ แอน จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ ด้วยมูลค่า 16 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 515 ล้านบาท) 

การซื้อขายครั้งนี้ทำให้เขากลายเป็น ประธานและเจ้าของร่วม (Co-owner) องค์กรมิสยูนิเวิร์ส โดยมีเป้าหมายที่จะนำความเชี่ยวชาญทางธุรกิจระดับโลกมาใช้ในการขยายแบรนด์ MUO ให้เป็นแบรนด์ไลฟ์สไตล์ระดับพรีเมียม

ดราม่าแวดวงนางนาม

หลังจากการประกวดมิสยูนิเวิร์ส 2568 ที่เม็กซิโกคว้ามงกุฎไปครอง ก็เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักเกี่ยวกับความโปร่งใส โดยเฉพาะจากนักธุรกิจชาวฝรั่งเศสเชื้อสายเลบานอนที่ลาออกจากคณะกรรมการตัดสิน ได้ออกมากล่าว อ้างว่า ราอูลมีสายสัมพันธ์ทางธุรกิจกับผู้บริหารของบริษัทน้ำมันแห่งชาติเม็กซิโก ซึ่งเป็นบิดาของผู้ชนะการประกวด และมีการขอให้ลงคะแนนเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ

นอกจากนี้ยังมีดราม่าระหว่าง ราอูล กับ ณวัฒน์ อิสรไกรศีล ที่ซื้อลิขสิทธิ์ MUT จาก JKN Global ในการเป็นเจ้าภาพจัดการประกวด มิสยูนิเวิร์สครั้งที่ 74 ที่ประเทศไทย โดยรับผิดชอบการเก็บตัวทำกิจกรรม การดูแลด้านการผลิตและการตลาด การจำหน่ายบัตร รวมถึงด้านอื่นๆ แบบครบวงจร 

เหตุการณ์เกิดจาก ณวัฒน์ ได้มีการโต้เถียงกับ ฟาติมา บอช (Fatima Bosch) Miss Universe เม็กซิโก 2025 ที่ปฏิเสธการทำงานกับสปอนเซอร์จนทำให้นางงามกลุ่มลาติน รวมถึงมิสเม็กซิโก Walk Out ออกจากห้องประชุม

จนทาง ราอูล ได้ออกมาแถลงการณ์ประณามการกระทำของนายณวัฒน์ และได้ประกาศสั่ง จำกัดบทบาทหรือยกเลิกบทบาทของนายณวัฒน์ ในการประกวดทั้งหมดทันที โดยทาง ณวัฒน์ ได้ออกมาชี้แจ้งว่ามีการ ลักลอบโปรโมตเว็บกาสิโนออนไลน์ผิดกฎหมาย 

ภาพจากเว็บไซต์ผู้จัดการ

แอน JKN หนีซุกปีก ราอูล

อีกประเด็นที่หลายคนจับตามองก็คือ ข่าวลือจากรายการ คุยทุกเรื่องกับสนธิ หรือ สนธิทอล์ก โดย สนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการ ที่เล่าว่า แอน JKN ที่ผิดนัดชำระหนี้ และยื่นล้มละลาย จนถูกออกหมายจับนั้น ได้หอบเงิน 6,000 ล้านบาท ที่แปลงเป็นคริปโตเคอเรนซี หนีไปอยู่ที่แม็กซิโก โดยได้ ราอูล ช่วยเหลือ โดยได้สัญชาติ สามารถใช้ชีวิตอยู่ในเม็กซิโกได้อย่างไม่ต้องระแวงกับผลพวงจากวิกฤติการเงินที่ตัวเองก่อขึ้นกับผู้เสียหาย

ข่าวฉาวเกี่ยวกับอาชญากรรมร้ายแรง

ย้อนไปในปี 2011 ราอูลเคยตกเป็นข่าวระดับโลก หลังจากที่มีเหตุการณ์ กลุ่มค้ายาเสพติด Los Zetas โจมตี Casino Royale ซึ่งเป็นหนึ่งในกิจการภายใต้การบริหารของเขา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 50 ราย โดย ราอูล ได้ถูกสอบสวนในฐานะเจ้าของกิจการจากข้อหาความบกพร่องด้านความปลอดภัยของอาคาร แต่ภายหลังเขายืนยันว่าไม่เคยถูกหมายจับ และสามารถพิสูจน์ความบริสุทธิ์จนชนะคดีได้ 

ล่าสุด สำนักงานอัยการสูงสุดเม็กซิโกได้รายงานการออกหมายจับผู้ต้องสงสัยหลายรายในข้อหาเกี่ยวข้องกับ การเป็น ผู้นำองค์กรอาชญากรรม ที่ลักลอบค้ายาเสพติด, อาวุธสงคราม, และน้ำมันเถื่อนระหว่างกัวเตมาลาและเม็กซิโก หลังจากมีการเปิดการสอบสวนมานานกว่า 1 ปี ก่อนจะยื่นนขอหมายจับราอูลตั้งแต่เมื่อเดือนส.ค. ที่ผ่านมา

โดยในระหว่างการสืบสวน สำนักงานอัยการฯ ได้บุกค้นบ้านพักหลายแห่งและอ้างว่าพบหลักฐานการโอนเงินจำนวน 2.1 ล้านเปโซจากราอูลา เพื่อสนับสนุนองค์กรอาชญากรรมดังกล่าว นอกจากนี้ยังพบความเชื่อมโยงกับนักการเมืองและเจ้าหน้าที่ทุกระดับ เพื่อดำเนินภารกิจต่าง ๆ

ทั้งนี้ ตามรายงานของ Reforma ระบุว่า ราอูล ได้เจรจากับสำนักงานอัยการสูงสุดในเดือนต.ค. เพื่อขอทำข้อตกลงการยอมให้ข้อมูลสำคัญเพื่อแลกกับ ความคุ้มครองทางกฎหมาย

]]>
1549891
สรุปภาพรวม ‘การจ้างงาน’ ในไทย ปี 69 เป็นอย่างไร https://positioningmag.com/1549347 Sat, 29 Nov 2025 10:40:55 +0000 https://positioningmag.com/?p=1549347 ‘บริษัท โรเบิร์ต วอลเทอร์ส’ ได้ทำการสำรวจพนักงานและองค์กรกว่า 900 แห่งในไทย ระหว่างเดือน ก.ย.-ต.ค. 68 เพื่อนำเสนอภาพรวมของตลาดแรงงาน ทักษะที่เป็นที่ต้องการ และ แนวโน้มเงินเดือน ในปี 69 ซึ่งมีประเด็นน่าสนใจ ดังต่อไปนี้

 

ภาพรวมตลาดการจ้างงานในไทย ปี 2569

 

ฝั่งนายจ้าง

 

-กว่า 33% ขององค์กรมีแผนจ้างงานเพิ่ม 5–10%

-40% จะรักษาระดับการจ้างงานเท่าเดิม

-40% จ้างงานเพิ่มขึ้น

-12% มีแผนลดการจ้างงาน

-67% ขององค์กร ระบุว่า ‘ขาดผู้สมัครที่มีทักษะและประสบการณ์ตรงตามความต้องการ’ เป็นอุปสรรคสำคัญที่สุดในการสรรหาบุคลากรที่ได้คุณภาพ

-97% มีแผนปรับเพิ่มเงินเดือน

 

สำหรับทักษะด้าน Soft Skills ที่นายจ้างให้ความสำคัญสูงสุด ได้แก่

1.ทักษะการแก้ปัญหาและการคิดวิเคราะห์ (58%)

2.การสื่อสารและและการทำงานร่วมกัน (57%)

3.ความฉลาดทางอารมณ์ ความเห็นอกเห็นใจ และการมีทัศนคติที่ดี (52%)

 

ฝั่งพนักงาน

 

-60% กังวลไล่ตามความสามารถของ AI ไม่ทัน เนื่องจากขาดการฝึกอบรม

-กว่า 60% การได้รับค่าตอบแทน/สวัสดิการไม่ตรงความคาดหวัง คือปัญหาใหญ่ในการหางาน

-กว่า 93% คาดว่าจะได้รับการขึ้นเงินเดือน

 

ปัจจัยที่ผู้สมัครให้ความสำคัญในการเลือกองค์กร ได้แก่

1.ค่าตอบแทนที่ดึงดูด (60%)

2.ความยืดหยุ่นในการทำงาน (44%)

3.ความมั่นคงในอาชีพ (37%)

 

‘ปุณยนุช ศิริสวัสดิ์วัฒนา’ ผู้จัดการประจำประเทศไทย ของบริษัท โรเบิร์ต วอลเทอร์ส เล่าว่า ความกังวลต่อสภาวะตลาดที่ผันผวนและคาดการณ์ได้ยาก ทำให้หลายองค์กรชะลอการจ้างงานออกไป โดยเมื่อมีความจำเป็นต้องจ้างจะมุ่งเน้นไปยัง ‘ผู้บริหารระดับสูง’ มากกว่า ‘ผู้บริหารระดับกลาง’ เพราะต้องการผู้นำที่มีประสบการณ์ สามารถปรับตัวได้เร็ว เพื่อนำองค์กรฝ่าความไม่แน่นอนไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนได้

 

ขณะที่ ‘ผู้สมัคร’ ที่มีทักษะพร้อมใช้งานทันที สามารถเรียกค่าตอบแทนได้สูงขึ้น เนื่องจากการแข่งขันกันดึงดูดบุคลากรคุณภาพ โดยผู้ย้ายงานที่มีทักษะเฉพาะทางซึ่งเป็นที่ต้องการและสามารถเริ่มงานได้ทันที มีแนวโน้มได้รับเงินเดือนเพิ่มขึ้น 15–20%

 

พนักงานใหม่ กว่า 35% ขององค์กรคาดว่าจะปรับเงินเดือนให้พนักงานใหม่ 1–5% และอีกกว่า 21% วางแผนปรับเพิ่มถึง 11–15% เพื่อดึงดูดบุคลากรที่มีศักยภาพเข้าสู่องค์กร

 

แนวโน้มการปรับเงินเดือนแบ่งตามรายเซ็กเมนต์ สำหรับผู้ที่จะเปลี่ยนงาน

 

1.การขายและการตลาด B2B และ FMCG ปรับขึ้น 15-25%

2.การขายและการตลาด-เภสัชกรรมและสุขภาพ ปรับขึ้น 20-25%

3.การขายและการตลาด-ค้าปลีก ปรับขึ้นประมาณ 20%

4.การขายและการตลาด-ดิจิทัล ปรับขึ้นประมาณ 20%

5.ทรัพยากรบุคคล ปรับขึ้น 15-25%

6.วิศวกรรมและซัพพลายเชน ปรับขึ้น 10-15%

7.บัญชีและการเงิน ปรับขึ้น 15-20%

8.กฎหมาย ปรับขึ้น 15-30%

9.การเงินและการธนาคาร ปรับขึ้น 15-20%

10.เทคโนโลยีสารสนเทศ ปรับขึ้น 15-25%

]]>
1549347
คุยกับ CEO วีรันดา ‘ไทย’ ยังเป็น Destination ที่มี ‘เสน่ห์’ อยู่หรือไม่ https://positioningmag.com/1548892 Wed, 26 Nov 2025 13:20:15 +0000 https://positioningmag.com/?p=1548892 คุยกับ ‘ภวัฒภ์ องค์วาสิฏฐ์’ CEO บริษัท วีรันดา รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) ถึงมุมมอง ‘ไทย’ ยังเป็น Destination ที่มี ‘เสน่ห์’ อยู่หรือไม่ และอนาคตธุรกิจท่องเที่ยวไทยจะเป็นอย่างไรในวันนี้ที่ต้องเผชิญความท้าทายรอบด้าน รวมถึงวิธีคิดการพาองค์กรเดินหน้าต่อบนเส้นทางที่มีหลายปัจจัยยังไม่แน่นอน

 

ก่อนหน้านี้ธุรกิจท่องเที่ยวไทย ถือเป็นเครื่องยนต์หลักสำหรับขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโต แต่ตอนนี้กำลังอ่อนกำลังลง จากความท้าทายหลายเรื่องทั้งสภาพเศรษฐกิจโลก ความไม่เชื่อมั่นในเรื่องปลอดภัย จากข่าวการลักพาตัวของดาราจีน และเหตุแผ่นดินไหว ส่งผลให้นักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทยลดลงชัดเจน

 

โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน กลุ่มนักท่องเที่ยวหลักของไทยที่หายไปตั้งแต่ช่วงตรุษจีนที่ผ่านมา จนปัจจุบันก็ยังไม่ฟื้นคืนมาอย่างที่ควรจะเป็น เมื่อรวมกับการแข่งขันจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งตอนนี้มีกระแสพูดถึงในประเด็น ประเทศไทยกำลังจะเสียแชมป์ด้านการท่องเที่ยวให้กับ ‘เวียดนาม’

 

ภาพเหล่านี้ล้วนสะท้อนให้เห็นถึงสถานการณ์ของธุรกิจท่องเที่ยวไทยที่ถูกสั่นคลอน

CEO วีรันดา ยืนยันว่า เขายังเชื่อมั่นใน ‘ศักยภาพ’ ของธุรกิจนี้ในบ้านเรา พร้อมยืนยันไทยยังเป็น Destination ที่มี ‘เสน่ห์’ และมี ‘จุดเด่น’ ที่หลากหลายสำหรับดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติให้หลงรักและกลับมาเที่ยวซ้ำ ขณะที่บางประเทศไปครั้งเดียว ไม่ไปซ้ำอีก

 

“แต่ละประเทศมีคาแรกเตอร์ต่างกัน ไทยมี Soft power แข็งแรงและหลากหลาย ทั้งอาหาร, วัฒนธรรม, สิ่งแวดล้อม, เสน่ห์ของคนไทย, Hospitality และช้อปปิ้งมอลล์ ผมไม่คิดว่า ไทยด้อยกว่าที่อื่นตรงไหน ส่วนการที่หลายคนมองไทยจะแพ้เวียดนามเรื่องท่องเที่ยว ผมว่าเป็นการมองที่ไกลไป ต้องมองในเชิงลึก เพราะเวียดนามใกล้กับจีน ทำให้ข้ามพรมแดนได้ง่าย ทำให้มีจำนวนเยอะขึ้น เหมือนกับคนมาเลเซียมาเที่ยวไทยเพิ่ม ก็มีผลมาจากคนข้ามดินแดน”

 

ในฐานะนักลงทุน เขาจึงมองธุรกิจท่องเที่ยวและโรงแรมของไทยยังมีโอกาสอยู่ แค่ใครจะมองเห็นและจับมาเป็นจุดแข็ง เพื่อชิงโอกาสทางธุรกิจได้

 

‘Positioning’ และ ‘จุดแข็ง’ ต้องชัด

 

สำหรับวีรันดาเองวาง Positioning ชัดเจน นั่นคือ การเป็น Lifestyle Destination เน้นเรื่องดีไซน์ และ ‘Instagrammable’ การออกแบบและตกแต่งให้สามารถถ่ายลงอินสตาแกรมได้ รวมถึงให้ความสำคัญกับการส่งมอบประสบการณ์ คุณค่า ในราคาเข้าถึงได้

 

นั่นจึงทำให้วีรันดาเติบโตได้ เห็นได้จากผลประกอบการของบริษัทฯ ช่วง 9 เดือน ปี 2568 ที่มีรายได้รวม 1,103 ล้านบาท เติบโต 14% กำไรสุทธิ 57 ล้านบาท เติบโต 35% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ส่วนแนวโน้มช่วงไตรมาส 4 ซึ่งเป็นไฮซีซันของการท่องเที่ยว ทาง CEO วีรันดาเชื่อว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวจากรัฐบาลช่วงไตรมาสสุดท้าย ปี 2568 จะส่งผลดีต่อผู้ประกอบการในภาคบริการ โดยเฉพาะธุรกิจโรงแรมจากการได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่จากมาตรการ ‘เที่ยวดีมีคืน 2568’ ที่เริ่มตั้งแต่ 29 ต.ค. – 15 ธ.ค. 2568 ให้นำค่าใช้จ่ายจากการเข้าพักในโรงแรมและค่าอาหารมาลดหย่อนภาษีได้ 20,000 บาท

 

นอกจากนี้ การที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ดึง ‘ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล’ หรือ ‘ลิซ่า Blackpink’  มาทำหน้าที่ Amazing Thailand Ambassador จะช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวของไทยได้

 

และแม้ตลาดนักท่องเที่ยวจีนจะชะลอตัว ก็มีตลาดยุโรป อเมริกา และอินเดียที่โตต่อเนื่องโดยเฉพาะอินเดีย ซึ่งเป็นตลาดแห่งความหวังในอนาคตของไทย เนื่องจากจำนวนประชากรกลุ่มระดับกลางมีการขยับเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้มีการเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศเพิ่มขึ้น บวกกับด้วยอินเดียใกล้ไทย เดินทางง่าย ถ้ามีบินไฟลต์ตรงยิ่งจะให้เดินทางมาท่องเที่ยวไทยมากขึ้นอีก

 

“ปีนี้เราตั้งเป้าโต 20% อาจไม่ถึงเป้าเดิมที่วางไว้ 25% แต่ทั้งหมดผมมองเป็นภาพบวกนะ หลังจากนี้จะดีขึ้น”

 

AI อีกตัวแปรสำคัญของธุรกิจ

 

อีกส่วนที่ถือเป็นความท้าทายใหม่ของธุรกิจโรงแรม หนีไม่พ้นเรื่อง AI จากเมื่อก่อนการเข้าถึงลูกค้าจะผ่าน Google search เป็นหลัก แต่ตอนนี้ AI และโซเชียล มีเดียอื่น อาทิ TikTok และ IG ฯลฯ เข้ามามีบทบาทมากขึ้น แถมมีให้เลือกใช้หลายตัว 

 

ดังนั้น จุดที่ต้องทำ คือ ต้องให้ชื่อและเรตติ้งของโรงแรมติดอันดับเมื่อลูกค้าเสิร์ชหาผ่าน AI หรือโซเชียลมีเดียอื่น ๆ ให้ได้มากที่สุด ซึ่งเป็นเรื่องที่ทางวีรันดาศึกษาและให้ความสำคัญมาระยะหนึ่งแล้ว

 

“เรื่อง AI และโซเชียลอื่นสำคัญ เช่นเดียวกับการใช้อินฟลูฯ หลัง ๆ เองเราใช้อินฟลูฯ ที่เป็นต่างชาติเยอะขึ้น เพราะนอกจากคนไทยเห็น คนประเทศเขาก็เห็น และเราทำแล้วเวิร์คด้วย เพราะเน้นโรงแรมที่เป็นดีไซน์ เน้นรูปถ่าย สถานที่สวยคนชอบแชร์อยู่แล้ว

 

“ส่วนสงครามราคา เราเห็นมาตลอด แต่ผู้ประกอบการจะเลือกใช้ให้เหมาะกับตลาดมากขึ้น เช่น ภูเก็ต ไม่มีใครลงราคาให้นะ และเดี๋ยวนี้มี AI มาตั้งราคาให้ด้วย คือ จะเช็กราคาคู่แข่งในตลาดขึ้นราคาแล้ว ถ้าห้องเหลือน้อย AI จะเปลี่ยนราคาขึ้นให้เลย อันนี้เป็นเรื่องน่าจับตามอง”

 

‘มุ่งมั่นอย่ายอมแพ้’ คาถาฝ่าความท้าทาย

 

มาถึงช่วงท้ายของการพูดคุย เราถามภวัฒภ์ว่า มี ‘หลักคิด’ อะไรเมื่อต้องเผชิญกับปัญหาหรือความท้าทาย ซึ่งเขาตอบว่า Perseverance ต้องพากเพียร มุมานะ และอย่ายอมแพ้ เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย

 

เพราะไม่ว่าจะทำอะไร ในช่วงเวลาไหน ปัญหามีเป็นปกติอยู่แล้ว และเขาเชื่อว่า ‘ทุกปัญหามีทางออก’ เพียงต้องพยายามและหาทางไปเรื่อย ๆ แม้จะไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุด แต่จะทำให้ไปต่อไป อย่างช่วงเกิดโควิด-19 ซึ่งกระทบธุรกิจท่องเที่ยวและโรงแรมอย่างหนัก

 

ช่วงนั้นทางวีรันดาหันมาโฟกัสตัวเอง ทำให้องค์กร Lean มีไขมันน้อยที่สุด ขณะเดียวกันก็เตรียมความพร้อม เมื่อสถานการณ์เริ่มคลี่คลายและโอกาสมา ทำให้วีรันดาสามารถวิ่งได้ดีและเร็วกว่าคนอื่น

 

ส่วนผู้นำที่ดี ต้องมีคุณสมบัติอย่างไร? 

 

ทาง CEO วีรันดา ไม่ได้จำกัดความไว้ แต่มองว่าผู้นำที่ปรับตัวตามสถานการณ์ได้ดี ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นและทำให้วีรันดาผ่านวิกฤตมาได้หลายต่อหลายครั้ง 

 

“แต่ละวิกฤตสอนไม่เหมือนกัน แต่บทเรียนที่ได้เรียนรู้หลัก ๆ คือ มาแบบไหนก็ต้องอยู่ได้ ต้องปรับตัวให้เร็ว และทันสถานการณ์ คนต้องรู้จักยืดหยุ่น ทำให้ได้หลายหน้าที่ อีกอย่างที่ผมพยายามถ่ายทอดให้ทีม คือ ความคิดแบบเจ้าของ หรือ Entrepreneur เพราะเมื่อมีจะทำให้เราทุ่มเท มองรอบด้าน และเป็นนักสู้มากขึ้น

 

“อย่างช่วงโควิดผมลงมาดูรายละเอียดทุกอย่างอย่างใกล้ชิด ทั้งค่าใช้จ่าย การจัดการหารายได้ และกลยุทธ์การตลาดหนึ่งในการปรับตัวที่สำคัญคือ เราต้องเน้นลูกค้าชาวไทยมากขึ้น ทำ แพ็กเกจโปรโมชั่นที่เข้าถึงได้ง่าย ทำไลฟ์ขายวอเชอร์โรงแรมเป็นเจ้าแรกๆ และปรับรูปแบบการทำงานของทีมให้สอดคล้องกับสถานการณ์ รวมถึงคำชี้แนะอย่างใกล้ชิดกับทีมงานเพื่อความรวดเร็วในการทำงานและผ่านช่วงที่ท้าทายนี้ไปได้”

]]>
1548892
‘พีช-พชร จิราธิวัฒน์’ เวลานี้คือโอกาสทองที่ SMEs จะโตเร็วที่สุด ถ้าว่องไวและทำให้เกิด Value มากพอ https://positioningmag.com/1548198 Fri, 21 Nov 2025 11:28:44 +0000 https://positioningmag.com/?p=1548198 ไม่บ่อยนักที่ ‘พีช-พชร จิราธิวัฒน์’ จะขึ้นมาแชร์มุมมองในฐานะผู้ก่อตั้งบริษัท ร็อคส์ พีซี จำกัด ที่พา Potato Corner ในไทยเติบโตได้เร็วมาก ยังไม่รวม UNO Coffee และข้าวโซอิ ซึ่งขณะที่หลายคนกำลังบ่นและกังวลเรื่องสภาพเศรฐกิจ เขากลับบอกว่า เวลานี้คือโอกาสทองที่ SMEs จะสามารถโตได้อย่างเร็ว ถ้าว่องไวและพยายามทำให้เกิด Value มากพอ

นอกจากนี้ ยังเชื่อว่า แม้ Personal Branding หรือการมีชื่อเสียง จะส่งผลต่อการรับรู้แบรนด์และทำให้ธุรกิจเติบโต แต่นั่นเป็นสิ่งสำคัญเฉพาะช่วงเริ่มต้นธุรกิจ เพราะในระยะยาวแล้ว แบรนด์ต้องสามารถยืนหยัดอยู่ได้ด้วยตัวเอง

เรื่องราวเหล่านี้ ‘พีช-พชร’ ได้แชร์บนเวทีเสวนาเรื่อง ทางรอด SMEs ไทย ในงาน BITKUB SUMMIT 2025 โดยเริ่มต้นเล่าถึงการเข้ามาในธุรกิจอาหารว่า เป็นความฝันตั้งแต่เป็นเด็กประถมที่อยากมีร้านอาหารเป็นอย่างตัวเอง เพราะเป็นคนชอบกิน และเมื่อเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัยในคณะพาณิชย์ศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เจอเพื่อนกลุ่มนึงจึงอยากลองทำธุรกิจดู

“ตอนเข้ามหาวิทยาลัยเลือกเรียนด้านธุรกิจ แล้วช่วงนั้นมีเพื่อนที่เรียนด้วยกันมาชวนว่า อยากลองทำอะไรใหม่ ๆ ซึ่งถ้าเป็นวัยรุ่นทั่วไปอาจจะตั้งวงดนตรี แต่เพื่อนเล่นดนตรีไม่เป็น เลยมองหากิจกรรมอื่นทำด้วยกันแทน”

กิจกรรมที่ว่า ก็คือ การทำร้านอาหาร โดยตอนแรกลองทำหลายโมเดล ทั้งร้านอาหารแบบ full service, ร้าน dining เต็มรูปแบบ แต่ด้วยประสบการณ์น้อยเมื่อลงมือทำจริงกลับพบปัญหามากมาย ไม่ว่าจะเป็น การบริหารจัดการ ทั้งสต็อกวัตถุดิบและต้นทุนที่คุมยาก ทำให้ปรับโมเดลเรื่อย ๆ

กระทั่งเจอโปรดักต์ที่เหมาะกับตัวเอง นั่นคือ ‘ของกินเล่น’ ที่บริหารจัดการง่าย ไม่ซับซ้อน และตรงกับความชอบส่วนตัวของเขาที่ชอบกินสแน็กอยู่แล้ว จึงรวมตัวกันทำธุรกิจ ‘Potato Corner’ แฟรนไชส์ชื่อดังจากประเทศฟิลิปินส์

“โชคดีที่เพื่อนเล่นดนตรีไม่เป็น เพราะนั่นทำให้ได้มาทำธุรกิจด้วยกันจนถึงทุกวันนี้” 

เขาเล่าอีกว่า Potato Corner ในฟิลิปปินส์ จะเป็นร้านรถเข็นหรือคีออสขนาดเล็กมีรูปแบบง่าย ๆ ตั้งขายอยู่ตามตลาด ไม่มีที่นั่งกิน และแม้แบรนด์ดังกล่าวจะมี Playbook จาก Global Brand อยู่แล้ว แต่ด้วยคนไทยรสนิยมและพฤติกรรมการกินแตกต่างจากประเทศอื่น ทำให้การนำ Potato Corner เข้ามาไทยต้องทำการบ้านกันอย่างหนัก โดยเฉพาะเรื่องสูตรอาหารและบรรยากาศของร้าน

สำหรับรสชาติอาหาร แบรนด์จะมี 4 รสชาติหลักที่เป็นเอกลักษณ์และเปลี่ยนไม่ได้ แต่ในรายละเอียดของรสชาติเรามีการปรับสูตรใหม่ทั้งหมดใช้เวลาทำ R&D นานถึงปีครึ่ง เพื่อให้ตรงกับรสนิยมการกินของคนไทยถึงเปิดตัวจริง และทดลองซ้ำแล้วซ้ำอีก จนได้สิ่งที่ถูกปากถูกใจลูกค้าไทย

ดังนั้น Potato Corner ในไทย จึงเป็นการ Localization ปรับให้เข้ากับคนในพื้นที่ ซึ่งนอกจากสูตรอาหารแล้ว    ยังรวมไปถึงรูปแบบร้าน และวิธีทำการตลาด ที่เรียกว่า ต้องออกแบบขึ้นมาใหม่ทั้งหมดเพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมและความคาดหวังของผู้บริโภคไทยโดยเฉพาะ

“การแข่งขันของตลาด F&B ในไทยดุเดือดมาก ดังนั้นต้องจัดหนักกว่าตลาดอื่น ๆ ทั้งความคิดสร้างสรรค์และความละเอียดในการสื่อสาร แบบที่เรียกได้ว่า แทบจะต้องรื้อ Playbook จากต่างประเทศทิ้ง แล้วเขียนขึ้นใหม่ให้เหมาะกับบริบทของบ้านเรา”

หลายคนอาจมองว่า การเป็นคนดังมีชื่อเสียง พ่วงด้วยตำแหน่ง ‘ทายาทตระกูลจิราธิวัฒน์’ น่าจะเป็นใบเบิกทางชั้นดีกับธุรกิจของพีช-พชร ซึ่งเขาบอกว่า Personal Branding เป็นสิ่งสำคัญและมีประโยชน์สำหรับการเริ่มต้นธุรกิจ แต่ในระยะยาวแล้ว แบรนด์ต้องสามารถยืนหยัดอยู่ได้ด้วยตัวเอง

“ผมมองว่า Personal Branding ช่วยให้การเริ่มต้นของแบรนด์เดินได้เร็วขึ้น เพราะคนรู้จักเรา แต่วันหนึ่งถ้าเราไม่อยู่ แบรนด์จะไปต่อยังไง ถ้ามันผูกติดอยู่กับตัวเรามากเกินไป โดยสิ่งที่ผมคิดถึงความยั่งยืนในระยะยาวของธุรกิจ คือจะสร้างระบบยังไงให้แบรนด์อยู่ได้โดยไม่ต้องพึ่งตัวเรา”

เพราะในฐานะเจ้าของธุรกิจมีความรับผิดชอบต่อทีมงาน ต่อคนที่ร่วมเดินทางกับเรา หากวันหนึ่งหากอยากไปทำอย่างอื่น หรือหลีกไปทำบทบาทอื่น ระบบที่สร้างไว้จะทำให้ธุรกิจสามารถเดินหน้าต่อได้ด้วยตัวเอง เป็นของที่ส่งต่อให้เขาได้จริง ๆ

ส่วนการใช้ Personal Branding เข้ามาช่วยสร้างธุรกิจจะดีหรือไม่ดี?

พีช-พชร มองว่า ขึ้นอยู่กับธรรมชาติของแต่ละธุรกิจและแนวคิดของแต่ละคน แต่สิ่งที่เขาเชื่อ คือ ถ้าไม่ผูกตัวเองกับแบรนด์มากเกินไป จะมีอิสระในการสร้างสรรค์มากขึ้นเพราะแบรนด์จะมี flexibility และ agility ในการเติบโต

สำหรับสถานการณ์ปัจจุบันที่เศรษฐกิจไม่ดี จนหลายคนออกปาก ‘เป็น SMEs ลำบาก’ ทว่าเขากลับมองต่างออกไป โดยเชื่อว่า เวลานี้คือช่วงเวลาที่ SMEs จะโตได้เร็วที่สุด เพราะองค์กรใหญ่จะขับเคลื่อนได้ยากลำบากกว่า จากต้นทุนและภาระต่าง ๆ ที่แบกเอาไว้สูง

ขณะที่ SMEs สามารถเคลื่อนไหวได้เร็วกว่า คล่องตัวกว่า และถ้าว่องไว พยายามทำให้เกิด Value ให้มากสุด ซึ่งพีช-พชร บอกว่า นั่นคือโอกาสทอง

“ช่วงนี้หลายคนเหนื่อย หลายคนท้อ ผมอยากให้กำลังใจว่า มันคือเวลาของเราจริง ๆ คือเวลาที่ทุกคนต้องสู้”

เมื่อมองย้อนมาดูผลประกอบการของบริษัท ร็อคส์ พีซี จำกัด จากข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์จะพบว่า มีการเติบโตที่ดี

  • ปี 2564 รายได้ 414.2 ล้านบาท กำไร 1.7 ล้านบาท
  • ปี 2565 รายได้ 528.2 ล้านบาท กำไร 25.3 ล้านบาท
  • ปี 2566 รายได้ 652.9 ล้านบาท กำไร 35.4 ล้านบาท
  • ปี 2567 รายได้ 790.5 ล้านบาท กำไร 62.1 ล้านบาท
]]>
1548198
เปิดอาณาจักร 100 ล้าน ของ “วู้ดดี้ เวิลด์” ตอนนี้มีคอนเทนต์ และธุรกิจอะไรบ้าง https://positioningmag.com/1546140 Mon, 10 Nov 2025 06:52:09 +0000 https://positioningmag.com/?p=1546140 ประเด็นร้อนแรงบนโลกออนไลน์ในช่วงไม่กี่วันมานี้คงหนีไม่พ้นเรื่อง “นมโคไทย” ที่จุดตั้งต้นมาจากรายการหนึ่งในเครือของ Woody World (วู้ดดี้ เวิลด์) ที่เนื้อหาเกิดการสร้างความเข้าใจผิดในสังคมอย่างมาก รวมไปถึงสร้างความกลัวให้กับคนดื่มนม ทำให้นักวิชาการ นักวิทยาศาสตร์ รวมไปถึงสัตว์แพทย์ หรือผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องกับระบบนี้ต่างออกมาให้ข้อมูลข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง

แต่ดราม่าก็ยังทวีคูณไปจนถึงแขกรับเชิญที่มาพูดในรายการ และที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือรายการของวู้ดดี้เองก็คือ Woody Avengers ที่มีคอนเซ็ปต์เชิญกูรูในแต่ละด้านมาคุยกัน ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องราวเกี่ยวข้องกับสุขภาพ 

ปัจจุบัน “วู้ดดี้ – วุฒิธร มิลินทจินดา” ได้บริหารบริษัท วู้ดดี้ เวิลด์ จำกัด ธุรกิจหลักจะเป็นการผลิตสื่อบันเทิง รายการคอนเทนต์ออนไลน์ และงานอีเวนต์ ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ พบว่ามีรายได้ย้อนหลัง 3 ปี ดังนี้

  • ปี 2567 รายได้ 115 ล้านบาท กำไร 28 ล้านบาท
  • ปี 2566 รายได้ 96 ล้านบาท กำไร 28.2 ล้านบาท
  • ปี 2565 รายได้ 77 ล้านบาท กำไร 9 ล้านบาท

ในอดีตเราคุ้นเคยกับวู้ดดี้ในบทบาทของพิธีกร มีรายการที่โด่งดังทั้งวู้ดดี้ เกิดมาคุย และวู้ดดี้ ตื่นมาคุย ที่ออกอากาศทางช่อง 9 แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยน วู้ดดี้ได้เบนเข็มมาช่องทางออนไลน์ 100% 

ทำให้ในปัจจุบันธุรกิจภายใต้วู้ดดี้ เวิลด์ แบ่งออกเป็น 4 กลุ่มด้วยกัน ได้แก่

1. คอนเทนต์ : สร้างรายได้ทั้งหมด 40% แบ่งเป็นอีก 2 กลุ่ม ก็คือ รายการที่มีวู้ดดี้ เช่น Woody FM, Woody Interview, Woody Review และวอดอวอแว เป็นต้น เป็นรายการที่วู้ดดี้เป็นคนดำเนินรายการเอง และอีกกลุ่มคือรายการที่ไม่มีวู้ดดี้ (Non-Woody) เช่น Life Dot, WE DO, Alive Dot, Tuck Talk, เบิ้ล AM และเกิดมาเว่า เป็นรายรายที่ให้พิธีการ หรือดารา เซเลบคนอื่นๆ มาดำเนินรายการ ส่วนใหญ่เป็นเนื้อหาเกี่ยวกับสุขภาพ เวลเนส การใช้ชีวิต และความสวยความงาม เป็นต้น ทุกรายการจะอยู่บนช่องทางออนไลน์ทั้งหมด ทั้ง YouTube, TikTok, Instagram และ Facebook โดยที่ช่องของ Woody ใน YouTube มีคนติดตามกว่า 4.24 ล้านแอคเคาท์

2. อีเวนต์ : สร้างรายได้ในสัดส่วน 40% เช่นกัน ได้แก่ S2O Festival, Dragonfly Summit, Fit Fest และล่าสุดกับงาน Life Expo ปัจจุบันงาน S2O ได้ไปเปิดตลาดหลายเมืองแล้ว ได้แก่ ไต้หวัน, เกาหลี, นิวยอร์ก, ลอสแองเจลิส, ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย

3. สินค้า : มีสัดส่วนรายได้ 20% แต่เดิมวู้ดดี้เองมีการร่วมทุนในหลายๆ บริษัทในโมเดลพาร์ทเนอร์ อย่างที่เคยเห็นในกระทะโคเรียนคิงส์ และวู้ดดี้ ซี+ ล็อค ปัจจุบันมีสินค้าขายในแบรนด์ WANDO วิตามินดูแลผม 

4. ธุรกิจ Talent Management : เป็นธุรกิจที่จะเปิดในอนาคตในชื่อ Dot Talent เน้นการบริหารศิลปิน นักแสดงรุ่นใหม่

หลังจากที่เกิดประเด็นดราม่าดังกล่าว ทางวู้ดดี้ได้ออกมาชี้แจงผ่านเฟซบุ๊กว่าน้อมรับทุกคำแนะนำ และระงับคลิปชั่วคราว พร้อมจะทำรายการพิเศษเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ถูกต้องกับผู้เชี่ยวชาญโดยตรง 

กลายเป็นกรณีศึกษาในการทำคอนเทนต์บนโลกออนไลน์ ยิ่งเป็นประเด็นละเอียดอ่อน ยิ่งต้องอาศัยข้อมูลข้อเท็จจริงหลายส่วน ใช้เพียงความรู้สึกส่วนตัวไม่ได้ ทางด้านรายการ และตัวสื่อเองก็ต้องมีความรับผิดชอบที่เพียงพอต่อสังคมในการส่งต่อข้อมูลที่ถูกต้อง ไม่สร้างความตระหนก สร้างความกังวลเพิ่มขึ้น ต้องรอติดตามว่าวู้ดดี้จะแก้เกมครั้งนี้อย่างไร

อ่านเพิ่มเติม

]]>
1546140
‘Meta’ โดนแหก! พบโกยเงินจาก ‘มิจฉาชีพ’ ปีละกว่า 5 แสนล้านบาท แถมยังไม่กล้าจัดการเด็ดขาดเพราะกลัว ‘เสียรายได้’ https://positioningmag.com/1545956 Fri, 07 Nov 2025 10:19:23 +0000 https://positioningmag.com/?p=1545956 มิจฉาชีพในปัจจุบันนี้ มีหลายรูปแบบและมาในหลากหลายช่องทาง โดยแพลตฟอร์มในเครือของ Meta ก็ถูกใช้เป็นเครื่องมือของมิจฉาชีพเช่นกัน โดย Reuters ได้ออกมาเปิดเผยถึง เอกสารภายในของ Meta ที่ได้ประเมินว่า บริษัทอาจทำรายได้ถึง 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 5 แสนล้านบาท จากโฆษณาหลอกลวง และสินค้าผิดกฎหมาย

5 แสนล้าน เงินที่มาจากโฆษณามิจฉาชีพ

รอยเตอร์ (Reuters) ได้ออกมาเปิดเผยเอกสารภายในของบริษัท Meta ที่จัดทำระหว่างปี 2021-2025 โดยระบุว่า บริษัทได้คาดการณ์ว่า รายได้ในปี 2024 ประมาณ 10% หรือราว 1.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มาจาก โฆษณาที่เกี่ยวข้องกับการหลอกลวงและสินค้าต้องห้าม และหนึ่งในเอกสารเมื่อเดือนธ.ค. 2024 ระบุว่า Meta แสดงโฆษณาที่จัดอยู่ในกลุ่ม ความเสี่ยงสูง ให้ผู้ใช้เห็นถึง 15,000 ล้านครั้งต่อวัน และสร้างรายได้จากโฆษณาความเสี่ยงสูงถึงปีละ 7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

โดยข้อมูลจากเอกสารดังกล่าว แสดงให้เห็นว่าตลอด 3 ปีที่ผ่านมา Meta ล้มเหลว ในการระบุและหยุดยั้งโฆษณาจากมิจฉาชีพ ทำให้ผู้ใช้หลายพันล้านคนต้องเผชิญกับการหลอกลวงกับการฉ้อโกง, การพนันที่ผิดกฎหมาย, และการขายสินค้าต้องห้าม

มาตรการป้องกันที่ใจดีเกิน

หนึ่งในปัญหาที่ทำให้ผู้ใช้งานบนแพลตฟอร์มเผชิญหน้ากับโฆษณาจากมิจฉาชีพก็คือ ระบบการปรับโฆษณาให้เป็นส่วนตัวของ Meta ซึ่งพยายาม ยิงโฆษณาตามความสนใจของผู้ใช้ ซึ่งทำให้หากผู้ใช้หลงคลิกที่โฆษณาหลอกลวง ผู้ใช้คนนั้นจะมีแนวโน้มที่จะ เห็นโฆษณาเหล่านั้นมากขึ้น

ในขณะที่มาตรการลงโทษของ Meta นั้น ใจดีเกิน เพราะระบบต้อง มั่นใจ 95% ว่าผู้ลงโฆษณากำลังฉ้อโกง ถึงจะลงโทษแบน แต่ถ้ายังมั่นใจไม่ถึง 95% ระบบจะใช้วิธี ขึ้นค่าโฆษณา (Penalty Bids) ในอัตราที่สูงขึ้น เพื่อพยายามขัดขวางไม่ให้โฆษณาเข้าถึงผู้ใช้มากนัก แต่นั่นก็ทำให้ บริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้น จากแหล่งที่มาที่น่าสงสัยนี้

นักวิเคราะห์มองว่า ข้อมูลดังกล่าวแสดงให้เห็นถึง ความลังเล ในการจัดการกับปัญหาอย่างเด็ดขาด เพราะอาจ กระทบต่อรายได้ ทำให้บริษัทเลือกจะ จัดการอย่างช้า ๆ

ภาพจาก Unsplash

ยอมรับว่าแพลตฟอร์มใช้โกงง่าย

นอกจากนี้ เอกสารภายในของ Meta ยังยอมรับว่า แพลตฟอร์มของบริษัทนั้น ง่ายกว่า Google ในการลงโฆษณาหลอกลวง นอกจากนี้ Meta ยังประเมินเองว่า แพลตฟอร์มของตนมีส่วนเกี่ยวข้องกับการฉ้อโกงที่สำเร็จในสหรัฐฯ ถึง 1 ใน 3

และนอกเหนือจากโฆษณาจากมิจฉาชีพแล้ว ผู้ใช้ยังต้องเผชิญกับความพยายามหลอกลวงจากโพสต์ปลอมหรือโปรไฟล์ปลอม (ที่ไม่ต้องเสียเงิน) อีก 22,000 ล้านครั้งต่อวัน

ขณะที่หน่วยงานกำกับดูแลของ สหราชอาณาจักร เปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์ของ Meta มีส่วนเกี่ยวข้องกับ 54% ของการสูญเสียการหลอกลวงที่เกี่ยวข้องกับการชําระเงินทั้งหมดในปี 2023 หรือ มากกว่าสองเท่า ของแพลตฟอร์มโซเชียลอื่น ๆ ทั้งหมดรวมกัน

Photo : Shutterstock

โดนปรับก็ยังคุ้ม

มีเอกสารภายในบางฉบับบ่งชี้ว่า บริษัทนำ ค่าปรับ มาพิจารณาถึง ความคุ้มค่าทางธุรกิจ โดยคาดว่าจะเผชิญค่าปรับสูงสุดราว 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเทียบกับรายได้จากโฆษณาหลอกลวง ซึ่งทุก ๆ 6 เดือน Meta มีรายได้จากตรงนี้ถึง 3,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

และในเอกสารปี 2025 ระบุว่า ทีมผู้บริหารได้จำกัดการดำเนินการกับมิจฉาชีพให้ไม่เกิน 0.15% ของรายได้ หรือราว 135 ล้านดอลลาร์ จากรายได้รวม 90,000 ล้านดอลลาร์ในครึ่งแรกของปี 2025 อย่างไรก็ตาม Meta ก็ตั้งเป้าที่จะ ลดสัดส่วนรายได้จากโฆษณาหลอกลวง จาก 10.1% ในปี 2024 ลงเหลือ 7.3% ภายในสิ้นปี 2025 และลดต่อเนื่องเหลือ 6% ในปี 2026 และ 5.8% ในปี 2027

Meta โต้ ข้อมูลบิดเบือน

อย่างไรก็ตาม Andy Stone โฆษกของ Meta กล่าวในแถลงการณ์ว่า เอกสารที่รอยเตอร์ได้เห็นนั้นนำเสนอมุมมองแบบเลือกสรรที่บิดเบือนแนวทางของ Meta ในการจัดการกับการฉ้อโกงและการหลอกลวง โดยออกมาแย้งว่า ตัวเลขรายได้ 10% ที่มาจากโฆษณาหลอกลวงนั้น เป็นเพียงการประเมินแบบคร่าว ๆ เพราะการประเมินดังกล่าวได้รวมโฆษณาที่ถูกกฎหมายเข้าไปด้วย โดยบริษัทได้ประเมินใหม่และพบว่าตัวเลขจริงต่ำกว่านั้น อย่างไรก็ตาม Stone ปฏิเสธที่จะเปิดเผยตัวเลขที่แท้จริงในปัจจุบัน

Stone กล่าวต่อว่า ในช่วง 18 เดือนที่ผ่านมา Meta สามารถลดจำนวนการรายงานปัญหาพบโฆษณาหลอกลวงทั่วโลกได้ 58% และในปี 2025 เพียงปีเดียว ได้ลบเนื้อหาโฆษณาหลอกลวงไปแล้วกว่า 134 ล้านรายการ ซึ่งข้อมูลดังกล่าวสอดคล้องกับเอกสารภายในบางส่วนที่ ระบุว่า Meta มีแผนจะจัดการกับโฆษณาหลอกลวงมากขึ้น และตั้งเป้าลดโฆษณาหลอกลวงในบางประเทศลง 50% ในปี 2025

“เราต่อสู้กับการฉ้อโกงและการหลอกลวงอย่างแข็งขัน เพราะผู้คนบนแพลตฟอร์มของเราไม่ต้องการเนื้อหาเหล่านี้   ผู้ลงโฆษณาที่ถูกต้องตามกฎหมายก็ไม่ต้องการ และเราเองก็ไม่ต้องการเช่นกัน”

]]>
1545956
ผ่าดราม่า “หงส์ไทย” ยาดมสมุนไพร 300 ล้าน แต่กำไรแค่ 2 ล้าน?  https://positioningmag.com/1545168 Mon, 03 Nov 2025 09:32:09 +0000 https://positioningmag.com/?p=1545168 ยาดมหงส์ไทย กระปุกเขียวขนาดเหมาะมือที่เริ่มต้นจากซุ้มในตลาดนัด กลายเป็นปรากฏการณ์ระดับโลกเมื่อ “เจ้าฟ่าง” ธีรพงศ์ ศิลาชัย ยกน้ำหนักคว้าเหรียญเงินโอลิมปิกปารีส 2024 พร้อมดมยาดมหงส์ไทยหน้ากล้อง จนสื่อต่างชาติอย่าง BBC และ CNN เรียกว่า “Thai Magic Inhaler” ยอดค้นหาบน Google พุ่ง 500% กลายเป็นกระแสต่อเนื่องจากภาพลิซ่า Lisa BLACKPINK ที่พกติดตัวในทริปต่างประเทศ ส่งให้ยอดขายออนไลน์ทะลุหลายเท่าตัว

แต่เบื้องหลังความสำเร็จที่ดูเหมือนสมบูรณ์แบบนี้ กลับมีปริศนาทางการเงินที่ทำให้นักสังเกตการณ์ต้องหยุดคิด ว่าทำไมแบรนด์ที่ครองส่วนแบ่งตลาดหลักในตลาดยาดมไทย 4,500 ล้านบาท มีกำลังการผลิตเดือนละหลายแสนกระปุก และมียอดขายหลักล้านยูนิตต่อปี กลับมีกำไรเพียง 2-3 ล้านบาท?

จากขาดทุนสู่กำไร ตัวเลขนี้ (ไม่ค่อย) สมเหตุสมผล

หากย้อนดูข้อมูลผลประกอบการจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ บริษัท สมุนไพรไทย หงส์ไทย จำกัด ซึ่งก่อตั้งในปี 2549 โดย “เก่ง” ธีระพงศ์ ระบือธรรม ด้วยสูตรสมุนไพรผสมพิมเสนและสมุนไพรไทยกว่า 10 ชนิด มีภาพรวมทางการเงินที่น่าสนใจ ดังนี้

  • ปี 2559-2564: ขาดทุนต่อเนื่อง 6 ปี (รวมขาดทุนกว่า 27 ล้านบาท) แม้รายได้เติบโตจาก 8.4 ล้านเป็น 24.8 ล้านบาท
  • ปี 2565: รายได้กระโดดเป็น 62.7 ล้านบาท พลิกมาทำกำไร 782,832 บาท
  • ปี 2566: รายได้พุ่งสูงสุด 215.7 ล้านบาท แต่กำไรเพียง 1.4 ล้านบาท (อัตรากำไรสุทธิ 0.66%)
  • ปี 2567: รายได้ทะลุ 366 ล้านบาท กำไรเพิ่มเป็น 2 ล้านบาท (อัตรากำไรสุทธิ 0.56%)

hongthai

ตัวเลขเหล่านี้ชวนให้ตั้งคำถาม ว่าธุรกิจที่มีรายได้เกิน 300 ล้านบาทต่อปี ครองส่วนแบ่งตลาดใหญ่ชัดเจนในอุตสาหกรรม แต่ทำไมกำไรถึงบางจนน่าตกใจ? ทั้งที่สินค้าขายหมดสต็อก มีกระแส viral ระดับโลก และราคาต้นทุนการผลิตยาดมสมุนไพรไม่ได้สูงมากนัก

ทฤษฎีเบื้องหลังตัวเลขเหล่านี้อาจสันนิษฐานได้ไม่ต่ำกว่า 4 มุม หนึ่งในนั้นคือโครงสร้างหนี้ที่ไม่มีวันจบ

ในบางธุรกิจ บริษัทอาจมีหนี้สินจากการกู้เงินจากผู้ถือหุ้น โดยบริษัทเลือกจ่ายแต่ดอกเบี้ยไปเรื่อยๆ แทนที่จะชำระเงินต้น ผู้ถือหุ้นเหล่านี้อาจเป็นญาติพี่น้องหรือบุคคลใกล้ชิด ทำให้หนี้ไม่มีวันลดลง แต่สร้างรายจ่ายดอกเบี้ยที่กัดกร่อนกำไรอย่างต่อเนื่อง ซึ่งยังไม่มีการเปิดเผยว่าหงส์ไทยอยู่ในกรณีนี้หรือไม่

ขาดทุนเชิงบัญชี?

มุมที่ 2 คือกลยุทธ์ภาษีแบบขาดทุนเชิงบัญชี ต้องยอมรับว่าการรายงานกำไรต่ำหรือขาดทุนอาจเป็นกลยุทธ์ในการลดภาระภาษีนิติบุคคล โดยเฉพาะในช่วงที่ธุรกิจเติบโตอย่างรวดเร็ว และการจัดโครงสร้างต้นทุนและค่าใช้จ่าย (เช่น ค่าเสื่อมราคา ค่าการตลาด ดอกเบี้ยจ่าย) ให้กำไรสุทธิอยู่ในระดับต่ำ เป็นเทคนิคที่ SME หลายรายใช้กันมานานแล้ว

มุมที่ 3 คือการขยายตัวแบบก้าวกระโดด เนื่องจากในช่วงปี 2565-2567 หงส์ไทยขยายโรงงานและเพิ่มกำลังการผลิตอย่างมาก ค่าใช้จ่ายในการลงทุนเครื่องจักร การจ้างพนักงานเพิ่ม และการขยายช่องทางจัดจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ อาจส่งผลให้กำไรสุทธิถูกกดลง แม้รายได้จะพุ่งสูง

hongthai

มุมที่ 4 คือต้นทุนซ่อนเร้น เพราะหงส์ไทยต้องบริหารจัดการตัวแทนขายมากมายในการส่งออกต่างประเทศ และการรักษาคุณภาพสมุนไพร ต้องใช้ต้นทุนโลจิสติกส์และการควบคุมคุณภาพที่มีรายละเอียดมาก ซึ่งคาดว่าต้นทุนส่วนนี้จะเพิ่มมากขึ้นอีกหลังจากวิกฤติคุณภาพสินค้า ที่เป็นข่าวดังเมื่อ 28 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา

แม้โครงสร้างทางการเงินของหงส์ไทยจะยังคงเป็นปริศนา แต่สถานการณ์ปัจจุบันของหงส์ไทยได้มอบบทเรียนที่น่าสนใจมากสำหรับธุรกิจไทย เพราะการที่หงส์ไทยถูกบุกตรวจโรงงาน 2 แห่ง และโดนข้อหาผลิตโดยไม่ได้รับอนุญาตเต็มรูปแบบ นำไปสู่การสั่งปิดชั่วคราว นำไปสู่การยึดสินค้า 2.4 ล้านชิ้น มูลค่า 120 ล้านบาทนั้น ถือเป็นบทพิสูจน์ว่าผู้ที่ประกอบธุรกิจในรูปแบบ OEM (Original Equipment Manufacturer) เช่น อาหารเสริม หรือสินค้าความงาม ควรจะต้องระวังและดำเนินการให้รัดกุม เกี่ยวกับเรื่องการทำสัญญาและการบริหารความเสี่ยง

ข้อกำหนดสำคัญที่ธุรกิจต้องระบุในสัญญากับโรงงาน OEM คือการรับรองสูตรและความรับผิดชอบ ในสัญญาควรต้องระบุให้โรงงานผู้ผลิตรับรองว่า สูตรที่มอบให้แก่ผู้ประกอบการนั้น เป็นความรับผิดชอบของโรงงานทั้งหมด โดยโรงงานจะต้องรับรองว่า ไม่มีสารใด ๆ ที่จะทำให้เกิดปัญหาต่อผลิตภัณฑ์ ซึ่งหากเกิดปัญหาขึ้นภายหลังและสัญญามีการระบุข้อตกลงเหล่านี้อย่างชัดเจน โรงงานผู้ผลิตจะเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด

ในเมื่อไม่มีการระบุชัดในสัญญา ธุรกิจหงส์ไทย 20 ปีจึงเสียหายมากมายเช่นในเวลานี้ ขณะเดียวกัน กรณีที่เกิดขึ้นยังสามารถสะท้อนปัญหาโครงสร้างของ SME ไทยที่เติบโตเร็วเกินกว่าระบบการบริหารจัดการจะรองรับได้ และยังเป็นคำถามว่าธุรกิจจะเติบโตไปได้อย่างยั่งยืนหรือไม่ หากโครงสร้างทางการเงินยังคงเป็นปริศนาต่อไป?

ที่มา : MGR 1, MGR 2, DBD

]]>
1545168
เปิดใจ ‘อนันต์จะปั่นชาเย็น’ ร้านชาสุดปั่น ที่จุดเริ่มต้นอาจเอาฮา แต่จากนี้ถึงเวลาขอเอาจริง! https://positioningmag.com/1545017 Fri, 31 Oct 2025 06:53:05 +0000 https://positioningmag.com/?p=1545017 ถ้าให้พูดถึงแบรนด์ที่เข้ากับวัน ฮาโลวีน ก็คงจะไม่มีใครไหนเหมาะไปกว่า อนันต์จะปั่นชาเย็น ทั้งคอนเซ็ปต์ร้าน และชื่อที่ล้อคาถาปราบผี “อนันตปัชไชเย อปัตติเถเถนา” ของ อ.หน่อย เชิญยิ้ม ที่คนไทยคุ้นเคยเป็นอย่างดี โดย Positioning มีโอกาสได้พูดคุยกับ ปอนด์-พงศ์ธวัช บรร ณาสถิตย์กุล และ กิตติญา เอกสรกุล สองผู้ก่อตั้ง ถึงที่มาที่ไป และก้าวต่อไปจากนี้ ที่ตอนแรกอาจจะกำเนิดจากความฮา แต่จากนี้ถึงเวลาขอเอาจริง!

ทำไปก่อน คิดทีหลัง

เชื่อว่าหลายคนน่าจะอยากรู้ที่มาที่ไปของ ชื่อแบรนด์ ที่สุดแสนจะครีเอตนี้ โดย ปอนด์ ก็ได้เล่าให้ฟังอย่างอารมณ์ดีว่า “ตอนแรกไม่ได้คิดจะทำร้านชาเลย แต่ได้ชื่อ อนันต์จะปั่นชาเย็น มาก่อน” โดยตอนนั้นกำลังดูรายการตลกที่พี่ หน่อย เชิญยิ้ม (จุมพจน์ ศรีจามร) เล่นพอดี ชื่อนี้เลยผุดขึ้นมา ทำให้ความตั้งใจแรกอยากเปิด ร้านขนมหวาน เลยเปลี่ยนเป็นเปิดร้านชาแทน เพราะคิดว่าต้องทำเพื่อให้สอดคล้องกับชื่อ

“ถามว่าตอนเริ่มต้นมีคอนเซ็ปต์ชัดเจนไหม บอกตามตรงเลยไม่มี ไม่รู้เรื่องอะไรเลย การทำแบรนด์ดิ้งยังไม่รู้เลย เราแค่คิดว่าชื่อนี้มันน่าจะถูกใจคนหลายคน แต่เราไม่รู้ว่ามันคือ การสร้างแบรนด์ มารู้ตอนหลังตอนเรียนปริญญาโทแล้วว่า โอ้ ไอ้ที่เราทำมันคือ แบรนด์ดิ้งนี่เอง” ปอนด์ เล่า

หลังจากคิดแล้วว่าจะเปิดร้านชาเย็น ก็ได้เพื่อนสนิทที่เป็นเชฟมาช่วย จากนั้นก็ใช้เวลาพัฒนาสูตรประมาณเดือนครึ่ง โจทย์สำคัญของสูตรคือ ต้องแตกต่าง ทำให้ตอนนั้นต้องลองซื้อชามาประมาณ 40 ยี่ห้อจนสุดท้ายก็ได้สูตรที่ต้องการ โดยจะมีกลิ่นหอมอบควันเทียน ซึ่งลูกค้าชอบมาแซวว่าเป็นกลิ่นธูป (ฮา)

จากนั้นก็มาออกแบบฟอนต์ โลโก้ และคอนเซ็ปต์ร้าน ที่ต้องใช้ผีจีนเพราะมองว่า จดจำง่ายกว่าผีไทย ที่มีหลากหลาย แถมยังเชื่อมโยงกับศาลเจ้าที่ชลบุรีที่ครอบครัวมี อายุมากกว่า 60 ปีแล้ว ส่วนชุดเหลืองอาจารย์ปราบผีมันเป็นความบังเอิญมากกว่า ไม่ได้วางแผนไว้

 

จุดเปลี่ยน 3 ครั้ง

ไม่ใช่ว่าเปิดปุ๊บก็ปังปั๊บอย่างที่หลายคนเข้าใจ โดย ปอนด์ เล่าต่อว่า ร้านอนันต์จะปั่นชาเย็นเริ่มเปิดร้านแรกที่รามอินทรา กม.2 ตอนแรกคิดว่าติดร้านเหล้าน่าจะดี แต่คิดผิด คนกินเหล้าไม่กินของหวาน แถมต้องเปิดขาย 18:00-24:00 ตามร้านเหล้า แต่ใครจะไปกินชาเย็นตอนหกโมงเย็น ตอนนั้นเลยขายได้วันละ 1-2 แก้วเท่านั้น เลยตัดสินใจ ปิดร้าน 

จนกระทั่งในวันที่เพจ สัตว์โลกอมตีน ที่แคปจาก LINE MAN มาโพสต์ว่ามีร้านชื่อ อนันต์จะปั่นชาเย็น ด้วย ตอนนั้นคนดูใจกว่า 20,000 ไลก์ ยอดแชร์กว่า 67,000 แชร์ ทำให้ตัดสินใจ เปิดร้านอีกครั้ง และพอดีมีคนเซ้งร้านที่แฟชั่นไอส์แลนด์ เลยได้หน้าร้านใหม่ 

หลังจากเกิดไวรัล ทาง ซีคอนศรีนครินทร์ ก็ติดต่อให้เราออกบูธ ตามมาด้วยบูธที่เดอะมอลล์บางกะปิช่วงฮาโลวีน  ปีก่อน ซึ่งตอนนั้นผลตอบรับดีมาก ขายได้เกือบวันละ 200 แก้ว เริ่มมีคนสนใจทำแฟรนไชส์ ซึ่งนี่ถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งที่ 2 ของร้าน 

จนกระทั่งตัดสินใจปิดร้านที่สาขาแฟชั่นไอส์แลนด์ และมาเปิดร้านที่ซีคอนศรีนครินทร์แทน นี่ถือเป้นจุดเปลี่ยนครั้งที่ 3 เพราะตอนเปิดร้านได้พี่หน่อย เชิญยิ้ม มาเปิดร้านด้วย ซึ่งในตอนแรกไม่ได้รู้จับกับพี่หน่อยเป็นการส่วนตัว แต่บังเอิญ ไปซื้อตู้เย็นมือสอง ซึ่งเจ้าของร้านรู้จักพี่หน่อย เขาช่วยติดต่อให้

“เราตั้งชื่อร้านที่แปลงมาจากมุกของพี่หน่อย แต่พี่หน่อยไม่ได้ว่าอะไรเลย เขาบอกว่า ใช้ได้เลย ทำอะไรก็ได้ เอาไปเลย เขาอยากเห็นเราประสบความสำเร็จ ดังนั้น ผมจะคิดเสมอว่าผมโชคดี โชคดีมาก ๆ เลย ที่เพจสัตว์โลกอมตีนแชร์ จังหวะที่หาร้านเซ้งได้ จังหวะที่ติดต่อพี่หน่อยได้”

 

แค่โชคดีคงไม่พอ

แม้ ปอนด์ จะยอมรับว่า โชค ก็เป็นหนึ่งในส่วนช่วยให้อนันต์จะปั่นชาเย็นกลายเป็นที่รู้จัก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ชื่อ อนันต์จะปั่นชาเย็นติดหูง่าย ได้ยินครั้งเดียวจำได้เลย ที่สำคัญคือ ภาพของแบรนด์มัน เปิดใจคนได้ พอเป็นแบรนด์ที่ภาพลักษณ์ตลก คนก็กล้าเข้ามาคุย บางคนมาแค่ยืนหัวเราะกับชื่อก็มี พอมาซื้อแล้วก็มาคุย มาแนะนำ กลายเป็นลูกค้าประจำที่คุยกับพนักงานได้สบาย ๆ

แม้ชื่อจะตลก แต่ไม่ได้แปลว่าเราทำไม่จริงจัง ปอนด์ ย้ำว่า แบรนด์เลือกใช้แต่วัตถุดิบที่ดี ในราคาสมเหตุสมผล และออกแบบรสชาติให้มีความแตกต่างจากคู่แข่ง เพราะต้องยอมรับว่า ความอร่อยเป็นเรื่องปัจเจก แต่ลูกค้ามั่นใจในคุณภาพได้เลยว่าคัดแต่ของดี 

“เราไม่มั่นใจหรอกว่าจะอร่อยกว่าคนอื่นได้ เพราะความอร่อยมันเป็นปัจเจกบุคคล เราเลยโฟกัสที่วัตถุดิบ เชื่อมั่นว่าสิ่งที่เราคัดมาให้ลูกค้ามันดี เราจะไม่กั๊กวัตถุดิบเลย เพราะเราอายถ้าจะทำของไม่ดีให้ลูกค้า เราไม่อยากทำให้เขาผิดหวัง ดังนั้น เราใช้ของดีจริง ไม่ได้มาฉวยโอกาสจากลูกค้า”

 

ทำเลกับต้นทุน 2 บทเรียนสำคัญ

เมื่อถามถึงสิ่งที่ได้เรียนรู้ตลอดการสร้างแบรนด์อนันต์จะปั่นชาเย็น ปอนด์ ตอบว่า เยอะมาก โดยเฉพาะเรื่อง ทำเล ที่ถือเป็นบทเรียนสำคัญเรื่องแรก อย่างตอนขายข้างร้านเหล้าก็ขายไม่ได้ พอมาอยู่ที่แฟชั่นฯ ก็ขายไม่ค่อยดี เพราะคนก็หาร้านไม่เจอ 

อีกเรื่องคือ การลงทุน ปอนด์เล่าว่า ด้วยความที่เป็นคนไม่ได้มี Business plan ทำให้ตอนลงทุนอะไรจึงไม่ได้คิดให้ถี่ถ้วน ทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นไปเยอะ อย่างไรก็ตาม ปอนด์มองว่า ในข้อเสียก็ถือเป็นข้อดี เพราะถ้าเขา รอจนพร้อม 100% กระแสอาจผ่านไปแล้ว อะไรที่เป็นกระแสรีบคว้าไว้ก่อน

“ผมว่าสิ่งที่ได้มามันคุ้มที่เราเสีย เพราะถ้าเรามารอให้เรารู้ทุกอย่างก่อน ตอนนี้อาจจะยังไม่ได้เปิด เพราะต้องเรียนปริญญาโทฯ ไปพร้อมกับทำธุรกิจ และถ้ารอให้พร้อมจริง ๆ กระแสอาจผ่านไปแล้ว”

หยุดเอาฮา ถึงเวลาเอาจริง

สำหรับเป้าหมายของอนันต์จะปั่นชาเย็นจากนี้ ต้องการเป็น Expert ด้านชา โดยจะเพิ่มเมนูชาใหม่ ๆ เช่น ชาผลไม้ เพื่อรองรับลูกค้าหลากหลายกลุ่ม ส่วนการขยายสาขา เพิ่งเปิดสาขาใหม่ที่ Food stock พัฒนาการ 32 และมีแผนจะขยาย แฟรนไชส์ ในอนาคต

“มีคนถามเรื่องแฟรนไชส์มาตลอด มาขอซื้อตั้งแต่ยังไม่มีหน้าร้าน แต่มองว่ายังไม่พร้อม เพราะอยากซัพพอร์ตคนที่ซื้อให้ดี ไม่ใช่ขายแล้วทิ้งเราต้องไม่ให้เขาผิดหวัง”

“แม้อนันต์จะปั่นชาเย็นเกิดมาจากตลกก็จริง แต่สุดท้ายแล้ว เราก็ต้องเป็นร้านธรรมดาที่บริการได้มาตรฐาน ต้องโตเป็นมืออาชีพ ไม่ใช่แค่ตลก ๆ เพราะเวลาเราตลก ลูกค้าอภัยเวลาผิดพลาด แต่เราจะใช้อย่างนั้นไปตลอดไม่ได้ ต้องปรับปรุงให้เป็นมืออาชีพ แต่ยังรักษาความเป็นกันเองไว้” 

ปอนด์ ทิ้งท้าย

สำหรับใครที่อยากแวะไปลองชิมอนันต์จะปั่นชาเย็น สามารถไปได้ที่ซีคอนสแควร์ ศรีนครินทร์ ฝั่ง Pop mart ชั้น 3 ใกล้ร้าน Miniso และ Food stock พัฒนาการ 32 ติดตามข่าวสารได้ที่ Facebook : อนันต์จะปั่นชาเย็น

]]>
1545017
“อภิรัตน์ หวานชะเอม” บทบาทแม่ทัพ TrueX เมื่อ Telco ไม่ได้ขายแค่สัญญาณ แต่เข้าไปดูแลชีวิตในบ้านแบบครบลูป https://positioningmag.com/1544817 Fri, 31 Oct 2025 02:16:34 +0000 https://positioningmag.com/?p=1544817 TrueX พลิกเกมตลาด Smart Home เมืองไทย เมื่อวงการ Telco ไม่ได้ขายแค่สัญญาณอีกต่อไป แต่เข้าไปดูแลชีวิตลูกค้าถึงบ้าน โดย TrueX วางจุดยืนไม่ใช่แค่เทคโนโลยี แต่คือการสร้างอีโคซิสเท็มที่เข้าใจความต้องการในชีวิตจริงของผู้บริโภค และเปลี่ยน Pain Point ให้กลายเป็นบริการที่ใช้งานง่าย และรองรับคนไทยทุกกลุ่ม

Positioning ได้มีโอกาสพูดคุยกับ “อภิรัตน์ หวานชะเอม” หัวหน้าสายงานด้านดิจิทัล โฮม บริษัท ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป จำกัด ถึงแม้ว่าจะเพิ่งมาเป็นแม่ทัพแห่ง TrueX ได้ไม่นาน แต่สามารถฉายภาพวิสัยทัศน์อย่างแจ่มแจ้ง

สร้างมูลค่าให้มากกว่าเครือข่าย

ในยุคปัจจุบันที่โลกได้เปลี่ยนเข้าสู่ดิจิทัล ทรานฟอร์เมชั่นแบบเต็มตัว โลกของวงการเทเลคอมก็เปลี่ยนไปเช่นกัน    ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การเป็นโอเปอเรเตอร์ในการขายสัญญาณเครือข่าย และอินเทอร์เน็ตอีกต่อไป แต่ต้องขยายไปเป็น Digital Provider เพื่อขยายบริการให้ครอบคลุมความต้องการของลูกค้า

truex

กลุ่มทรูเองได้มีกลยุท์ Convergence มานมนาน ในการผนึกกำลังบริการในเครือทั้ง True, True Vision และ True Online แต่แค่นี้ยังไม่พอ ตอนนี้มีกลุ่ม TrueX ภายใต้สังกัด True Digital Group ที่โฟกัสในเรื่อง Smart Home ต่างๆ ไปจนถึงบริการที่ช่วยอำนวยความสะดวกภายในบ้าน โดยมีวิสัยทัศน์ที่ว่าช่วยทำให้คนไทยมีชีวิตดีขึ้น

อภิรัตน์ หวานชะเอม แม่ทัพคนใหม่ของ TrueX ที่เพิ่งมาร่วมงานได้ไม่ถึงปี ก่อนหน้านี้มีประสบการณ์ในบริษัทยักษ์ใหญ่มากมายทั้ง SCG และ KBank เป็นสายงานเกี่ยวกับดิจิทัลทั้งหมด

อภิรัตน์ได้เล่าถึงจุดเริ่มต้นของ TrueX ก่อนว่า “การก่อตั้ง TrueX มีวิสัยทัศน์ที่ว่า อยากทำให้ True เป็นมากกว่า Telco ซึ่งจะพาไปสู่บทบาทที่ควรจะเป็นในยุคหน้า ยุคก่อนหน้านี้คือ การสื่อสาร ยุคต่อไปเป็นเรื่องเทคโนโลยี ทำให้คนทั่วไปที่อยากใช้ AI สามารถเดินไปที่ทรูได้เลย มีคอนเทนต์ มีบริการติดตั้งในราคาที่ตอบโจทย์ ลด Pain Point ของลูกค้าได้”

truex

อีกมุมหนึ่งก็คือเป็นการเพิ่มมูลค่าให้การ Convergence แข็งแรงยิ่งขึ้น ให้บริการมากกว่าเครือข่าย แต่มีเทคโนโลยีทั้ง IoT และ AI ที่มีความปลอดภัย ประหยัด และสะดวกครบวงจร ทำให้คนไทยเข้าถึง AI มากขึ้น ใช้งานง่าย มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ซึ่งในไทยยังไม่มีบริษัทไหนที่ทำในส่วนของ B2C ส่วนใหญ่จะเป็น B2B ทรูได้ผนวกอุปกรณ์ เข้ากับเครือข่าย และอินเทอร์เน็ตได้

อภิรัตน์เสริมถึงความท้าทายใหญ่ในตลาดก็คือ “ความกังวลของลูกค้า” ทั้งในเรื่องการไม่เข้าใจในตัวอุปกรณ์      อีกทั้งอุปกรณ์มีความถูกลงเรื่อยๆ แต่อาจจะไม่ปลอดภัย โจทย์ใหญ่ก็คือต้องทำให้ลูกค้าเข้าใจทั้งในเรื่องสินค้า และบริการให้ได้

Smart Home แล้ว ต้อง Smart Life ด้วย

จริงๆ TrueX ได้ก่อตั้งมา 3 ปีแล้ว ในช่วงแรกเน้นการทำในส่วนของ Smart Home เป็นหลัก แต่ปัจจุบันมีการเพิ่มในส่วนของกลุ่ม Smart Life มากขึ้น นอกจากจะมีอุปกรณ์ IoT ภายในบ้านแล้ว ยังมีอุปกรณ์กลุ่มแกดเจ็ตต่างๆ

โดยภายใน TrueX มีการแบ่งสัดส่วนเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ สินค้าและบริการ

truex

กลุ่มสินค้าที่ครองส่วนแบ่งใหญ่ที่สุดคือ กลุ่มอุปกรณ์ IoT กล้องวงการปิด กล้องเซ็นเซอร์ อุปกรณ์กันขโมย และดิจิทัลดอร์ล็อก เป็นต้น รองลงมาเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าชนิดใหญ่ เช่น เตาอบ เครื่องซักผ้า เป็นต้น และส่วนสุดท้ายก็คือ แกดเจ็ตต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทวอทช์ หรือแหวนสุขภาพ

ส่วนกลุ่มบริการ แบ่งออกเป็น 2 แบบ 1. Digital Service เป็นกลุ่มเทคโนโลยี มี AI เข้ามาช่วย เช่น AI ใส่ในกล้องวงจรปิด แล้วใช้บริการผ่านแอปพลิเคชัน โหลดบริการมาใส่ในอุปกรณ์ ยกตัวอย่างเช่น ติดกล้องวงจรปิดเพื่อดูคนในบ้าน เด็ก ผู้สูงอายุ สัตว์เลี้ยง สามารถให้ AI สรุปเป็นคลิปสั้นๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในแต่ละวัน หรือต้องการหาเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง เช่น คนมาหน้าบ้าน มีรถสีขาว ก็ให้ AI ช่วยดึงมาให้ ไม่ต้องไปกรอวิดีโอดูเอง บริการนี้มีค่าบริการเริ่มต้นที่ 29 บาทต่อเดือน

  1. บริการที่มีคน เช่น บริการทำความสะอาดบ้าน มีราคาแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับว่าเป็นเหมาทั้งวัน หรือเรทรายชั่วโมง รวมถึงบริการเปลี่ยนหลอดไฟ ดูแลอุปกรณ์อื่นๆ ของ TrueX

ปัจจุบันรายได้หลักของ TrueX มาจากส่วนบริการ 60% มีฐานผู้ใช้รวม 800,000 ราย เติบโตปีละ 30% ตั้งเป้าในปีนี้มีผู้ใช้ถึง 1 ล้านคน ส่วนใหญ่ใช้กล้องใช้กล้องวงจรปิดเป็นหลัก

truex

อภิรัตน์อธิบายว่า การทำ Smart Home ได้ต้องมี 3 แกนหลัก ได้แก่ 1. ความปลอดภัย เช่น อุปกรณ์กันขโมย กล้องวงจรปิด ที่สามารถแจ้งเตือนเวลามีคนล้มได้ มีคนแปลกหน้าเข้าบ้าน 2. ความประหยัด อุปกรณ์ที่ช่วยทำให้บ้านไม่ต้องเปิดไฟตลอดทั้งคืน ช่วยประหยัดพลังงาน และ 3. สุขภาพ การมีน้ำที่สะอาด เมื่อมีคุณค่าทั้ง 3 อย่าง ทำให้อยู่บ้านแล้วสบายใจ อุ่นใจ

โดยฐานของความปลอดภัยเป็นฐานที่ใหญ่ที่สุด เพราะทำมานาน ในอนาคตมีแผนอยากเพิ่มในส่วนของความประหยัดมากขึ้น เช่น การมีบริการ Energy Solution การทำโซลาร์เซลล์ ที่ตอนนี้เริ่มทำมาสักพักใหญ่ๆ แล้ว รวมถึงมองเรื่องระบบระบายอากาศเพิ่มด้วย

ต้องทำให้เข้าถึงได้ และปลอดภัย

สุดท้ายแล้วอภิรัตน์ได้พูดถึงภาพรวมของตลาด Smart Home ที่ตอนนี้มีการเติบโตช้า เพราะความเข้าใจของลูกค้ายังไม่มากพอ ถ้าทำให้ตลาดแมสต้องเป็นโมเดลฟูลเซอร์วิส จากผลสำรวจพบว่ากลุ่มความปลอดภัยเป็นกลุ่มใหญ่ที่สุด เช่น อุปกรณ์กันขโมย ส่วนกลุ่มแสงสว่างเติบโตเร็วที่สุด รวมไปถึงกลุ่มสุขภาพ เช่น Smart Ring ติดตามสุขภาพจากแหวน

truex

“ความท้าทายคือ ทำอย่าไรให้คุณภาพชีวิตลูกค้าดีขึ้น ให้คนเข้าถึง AI ได้ ตอนนี้อยู่ในช่วงกำลังทำเรื่องการใช้เสียงที่สามารถคุยกับเทคโนโลยีด้วยภาษาพูดธรรมดาได้ เช่น ร้อนจังเลย ก็จะเลือกเปิดพัดลม หรือแอร์ทันที จากเดิมต้องมีบทพูดโดยเฉพาะ ให้ไม่ต้องจำคำสั่งเยอะ อยากได้อะไรสามารถบอกให้เลย”

ปัจจุบัน TrueX มีร้านที่เป็นแฟล็กชิปสโตร์อยู่ใน True Shop สาขาใหญ่ๆ เช่น สยามพารากอน และดิ ไอคอนสยาม เป็นโชว์รูมที่โชว์อุปกรณ์ต่างๆ ส่วนสาขาอื่นๆ อาจจะมีโซนเล็กๆ ที่โชว์สินค้าบางส่วน ในอนาคตจะมีทำร้าน TrueX Experience Center ที่จำลองสมาร์ทโฮมที่ True Digital Park

]]>
1544817
4 แนวทางรับมือกับ ‘ความเศร้าจากความสูญเสีย’ และแนวทางการ ‘เยียวยา’ จิตใจ https://positioningmag.com/1544303 Mon, 27 Oct 2025 08:19:35 +0000 https://positioningmag.com/?p=1544303 เชื่อว่าประชาชนชาวไทยล้วนโศกเศร้าเสียใจต่อการเสด็จสวรรคตของ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ซึ่งพระองค์ทรงเป็นที่รักและเคารพยิ่ง ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อพสกนิกรชาวไทยมาอย่างยาวนาน ความรู้สึกสูญเสียนี้จึงส่งผลกระทบต่อจิตใจของคนไทยจำนวนมาก

อย่างไรก็ตาม ความเศร้าโศก เป็นกระบวนการตอบสนองทางธรรมชาติของมนุษย์เมื่อต้องเผชิญกับการสูญเสีย ซึ่งระดับความรุนแรงแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล และปัจจัยที่เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง โดยทั่วไปแล้ว เมื่อรับรู้ได้ถึงการสูญเสีย บุคคลจะเริ่มเข้าสู่กระบวนการ ทำความเข้าใจ ปรับตัว และยอมรับได้ แต่หากมีอาการโศกเศร้าผิดปกติและไม่สามารถยอมรับการสูญเสียที่เกิดขึ้นได้ จะส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงด้านต่าง ๆ ไปอย่างสิ้นเชิง หากปล่อยไว้อาจพัฒนากลายเป็นโรคซึมเศร้าได้ 

ดังนั้น หากใครที่รู้สึกเสียใจจากการสูญเสียครั้งสำคัญนี้ แต่ไม่รู้จะรับมืออย่างไร Positioning มีแนวทางเยียวยาความเศร้าโศกสำหรับการฟื้นฟูจิตใจมาฝาก

  • ปล่อยให้ตัวเองได้อ่อนแอบ้าง และแสดงความอาลัยอย่างเหมาะสม

ความอ่อนแอไม่ใช่เรื่องผิด แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วไม่ควรเก็บไว้คนเดียว การแสดงความอาลัยผ่านกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การเข้าร่วมพิธีถวายความเคารพ การแต่งกายไว้ทุกข์ หรือการเขียนข้อความแสดงความอาลัย เป็นการปลดปล่อยความรู้สึกอย่างเหมาะสมและเป็นที่ยอมรับในสังคม ช่วยลดความรู้สึกโดดเดี่ยว และช่วยให้ก้าวข้ามความเจ็บปวดไปได้

  • ไม่สนใจ ไม่นึกถึงไม่ได้ช่วยแก้ไขปัญหา

ถึงแม้บางครั้งความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นยากเกินกว่าจะยอมรับได้ แต่การพยายามปฏิเสธสุดท้ายแล้วเราก็ต้องกลับมาจมอยู่กับความรู้สึกเสียใจเหมือนเดิมอยู่ดี ดังนั้น เตือนตัวเองไว้ทุกครั้งว่าความสูญเสียเป็นเรื่องธรรมดาและเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตที่ทุกคนต้องพบเจอ

  • หากไม่ไหวก็แค่ขอความช่วยเหลือ

การขอความช่วยเหลือ ไม่ใช่เรื่องน่าอาย หากจัดการกับความรู้สึกของตัวเองไม่ได้ ลองหาคนที่ไว้ใจได้ร่วมพูดคุยหรือแบ่งปันเรื่องราวเล็ก ๆ น้อย ๆ หรือมองหาการสนับสนุนด้านสุขภาพจิตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมสุขภาพจิต หรือผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้มีกำลังใจต่อสู้กับความสูญเสียที่เกิดขึ้น

  • หมั่นเติมพลังบวกให้กับตนเอง และดูแลสุขภาพกายใจ

ด้วยการทำกิจกรรมเพิ่มความผ่อนคลาย เช่น ออกกำลังกายเบา ๆ การทำสมาธิ หรือการทำกิจกรรมตามความชอบส่วนตัว พร้อม ๆ กับการใส่ใจดูแลสุขภาพอย่างการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อย ๆ ก็มั่นใจว่าวันที่จิตใจไม่ไหว ร่างกายยังสู้ต่อได้

ไม่มีใครอยากให้การสูญเสียหรือการพบเจอกับความโศกเศร้าเกิดขึ้น แต่นี่เป็นสัจธรรมของชีวิตมนุษย์ ดังนั้น ขอให้พสกนิกรชาวไทยทุกคนที่ต้องเจอกับเหตุการณ์ดังกล่าวมีแรงกายแรงใจสู้ และมีชีวิตอยู่ต่อในเส้นทางของตัวเอง ผ่านการ น้อมนำเอาพระราชกรณียกิจและพระจริยวัตรอันงดงามของพระองค์ท่าน มาเป็นแรงบันดาลใจในการดำเนินชีวิต การทำความดี หรือการทำประโยชน์ต่อสังคม เพื่อเปลี่ยนความเศร้าโศกให้เป็นพลังบวกและเป็นการระลึกถึงพระองค์ท่านอย่างยั่งยืน

Source

]]>
1544303