เส้นทาง 15 ปีของ April’s Bakery เป็นอย่างไรบ้าง Positioning จะพาไปรู้จักกัน
April’s Bakery (เอพริล เบเกอรี่) ก่อตั้งโดย “อร – กนกกัญจน์ มธุรพร” เจ้าของแบรนด์ผู้มีใจรักในการทำขนม ตั้งชื่อแบรนด์ว่า April’s Bakery เพราะเกิดเดือนเมษายน และชื่อบริษัท สิงหาฟู้ดส์ อินดัสทรีส์ (ประเทศไทย) จำกัด ก็มาจากลูกๆ 3 คน (จากทั้งหมด 4 คน) ของเธอเกิดเดือนสิงหาคมอีกด้วย
กนกกัญจน์ เริ่มเส้นทางสายอาชีพด้วยการเป็นแอร์โฮสเตสสายการบิน EVA Air อยู่ 3 ปี แต่ด้วยความที่เป็นสัญญาแบบ 3 ปี จึงคิดว่าออกมาทำธุรกิจเองดีกว่า ตอนนั้นมีเงินเก็บอยู่ก้อนนึงราวๆ 700,000 บาท ลงทุนเปิดคาเฟ่ร้านกาแฟขนาด 15 ตารางเมตร ที่ศูนย์การค้า CDC ขนมก็ทำเองที่บ้าน แต่ด้วยความที่กนกกัญจน์เป็นคนไม่ดื่มกาแฟ รสชาติเลยอาจสู้ร้านอื่นไม่ได้ และประเมินตลาดผิด ทำให้ยอดขายไม่ดี จนต้องปิดไป
หลังจากนั้นในปี 2553 กนกกัญจน์เริ่มทำ April’s Bakery ตอนอายุ 26 ปี ตอนที่มีโอกาสไปฮ่องกงแล้วเจอพายหมูแดงเจ้าหนึ่ง เป็นร้านลับที่ฮิตในหมู่คนไทย เรียกว่าคนไทยไปต้องสั่งทุกคน เลยมาคิดว่าตอนนั้นในเมืองไทยยังไม่มีพายหมูแดงฮ่องกงแบบนี้ จึงมาปรับสูตรให้ถูกปากคนไทย แบบแป้งบาง ไส้หนา
“ตอนเลิกเป็นแอร์โฮสเตสเรามีเงินอยู่ก้อนหนึ่ง 700,000 บาท มาเปิดคาเฟ่ขนาด 15 ตารางเมตรที่ CDC เราคิดแค่ว่าตอนเป็นแอร์ฯ ได้เงินเดือน 40,000 บาท ถ้าขายกาแฟได้ 40,000 ก็อยู่ได้เหมือนกัน ตอนนั้นขายขนมปัง ขายเค้กไปด้วย แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าไหร่ บางวันขายได้ 200-400 บาท กินเนื้อเข้าเรื่อยๆ แต่ก็สู้มาตลอด เพิ่มเก้าอี้ เพิ่มเปลเพื่อดึงลูกค้า แต่ก็ไม่ไหว จนมีจุดเปลี่ยนแรกก็คือ มีโอกาสได้นำขนมไปเสนอขายในศูนย์การค้า เป็นขายขนมทั่วๆ ไป แรกๆ ขายได้วันละ 27,000 บาท แต่ไม่กี่วันยอดก็ตก ทางศูนย์เลยบอกบอกให้หาสินค้าใหม่ เลยเอาพายหมูแดงมาขาย เป็นขนมที่ทำเองทุกวัน มั่นใจว่าขายได้ กินไม่เบื่อ จึงเริ่มขายตั้งแต่ตอนนั้น”
จากนั้น April’s Bakery ได้ขยายสาขาตามศูนย์การค้า สินค้าหลักยังคงเป็นพายไส้ต่างๆ ผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายช่วง ผ่านการลองผิดลองถูกมาไม่น้อย จนเมื่อปี 2562 ได้เริ่มนำสินค้าวางจำหน่ายในเซเว่น เริ่มจากโปรดักส์ลูกรักอย่างพายหมูแดง แต่ก็ยอดขายไม่ดีเท่าที่ควร เพราะลูกค้าไม่เก็ตกับการที่พายอยู่ในตู้เย็น ต้องนำไปอุ่นอีก จึงพัฒนาสินค้าตัวอื่นๆ จนมาลงตัวที่ “ขนมเปี๊ยะลาวาไข่เค็ม” ที่ขายดี
กนกกัญจน์มองว่าการที่ได้เข้าเซเว่นฯ เป็นโอกาสที่สำคัญในหลายๆ อย่าง ช่วยเรื่องยอดขาย และในการเปลี่ยนขนาดบริษัทจาก SME ขนาดเล็ก ขึ้นมาเป็นระดับกลาง คนรู้จักแบรนด์มากขึ้น ถ้าใครถามว่าเสี่ยงมั้ยกับการขายในเซเว่นฯ ส่วนตัวมองว่าไม่เสี่ยง เพราะเซเว่นฯ ช่วยไว้เยอะมาก
เมื่อเข้าขายในเซเว่นฯ ทำให้ต้องพัฒนาสินค้าใหม่ๆ เป็นกลุ่มเบเกอรี่อื่นๆ ทั้งขนมเปี๊ยะ เค้กต่างๆ ขนมตามกระแส เนื่องจากต้องจับกลุ่มเป้าหมายระดับแมส ต้องทำราคาให้เข้าถึงได้ ส่วนใหญ่จะไม่เกิน 39 บาท
ปัจจุบันมีสินค้าขายในเซเว่นฯ ทั้งหมด 18 รายการ มีเข้าใหม่ และเอาออกไปเยอะ ตอนนี้สินค้าที่ขายดี 3 อันดับ ได้แก่ ช็อกโกแลตดูไบ, เปี๊ยะไข่เค็มลาวา และเค้กทุบ
จนถึงปีนี้ April’s Bakery ได้เป็นพาร์ทเนอร์กับเซเว่นฯ มา 5 ปีแล้ว มีช่วงยอดขายที่ขึ้นลงตามกระแส แต่เมื่อช่วงต้นปี 2567 บริษัทเริ่มเจอปัญหาเรื่องเศรษฐกิจพ่นพิษ ผู้บริโภคกำลังซื้อน้อยลง ทำให้ยอดขายไม่ถึงเป้า แต่แล้วในช่วงปลายปีก็ได้ “ช็อกโกแลตดูไบ” มาเป็นฮีโร่ ด้วยราคาที่สุดแสนจะจับต้องได้อยู่ที่ 39 บาท ทำให้สินค้าตัวนี้กลายเป็นไวรัลที่ตามหากันทั่วไทย ทั้งกระแสด่าว่าไม่อร่อย และกระแสตามหาช่วยทำยอดขายถล่มทลาย และยังทำให้บริษัทยังโตได้ตามเป้า
“เมื่อตอนปลายปีที่แล้วเราจับจุดผู้บริโภคได้ถูก โดยการออกช็อกโกแลตดูไบ เป็นกระแสโด่งในบนโลกโซเชียล จากปกติมียอดขายรวมวันละ 50,000-70,000 ชิ้น ตอนนี้มียอดขายรวม 150,000 ชิ้น แค่ช็อกโกแลตดูไบอย่างเดียว 70,000 ชิ้น
เราเห็นกระแสมา ดูคลิป และคิดสูตรเอง เสนอทางเซเว่นฯ เทสกันอยู่พักหนึ่งก็สามารถออกขายได้ภายใน 1 เดือน จริงๆ ตอนนั้นก็เริ่มเป็นช่วงท้ายๆ ของเทรนด์แล้ว แต่ด้วยความที่เป็นสินค้าหาทานยาก ราคาสูง พอเราออกมาในราคา 39 บาทก็เลยกลับมาเป็นกระแส”
ช็อกโกแลตดูไบเป็นกระแสอยู่พักใหญ่ ทั้งมีการพรีออเดอร์จากเกาหลี หรือร้านเบเกอรี่ใหญ่ๆ ทำออกมาขาย แต่ส่วนใหญ่จะมีราคาสูงตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงหลักพัน เพราะวัตถุดิบมีทั้งช็อกโกแลต และถั่วพิสตาชิโอ้ที่ขึ้นชื่อว่าราคาสูง
April’s Bakery มองเห็นกระแส แต่อยากทำให้อยู่ในราคาที่จับต้องได้ ยิ่งขายในเซเว่นฯ ราคาต้องย่อมเยา ซึ่งเซเว่นฯ จะมีไกด์ราคาอยู่ว่าราคาไม่ควรเกิน 39 บาทถึงจะขายได้ ถ้าสูงกว่านั้นจะขายยากแล้ว
แต่ด้วยราคาวัตถุดิบที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโกโก้ หรือช็อกโกแลตที่เพิ่มขึ้น 400% โรงงานมีปรับขึ้นราคาด้วยเช่นกัน แต่กนกกัญจน์บอกว่า ตอนนี้ยังคุมต้นทุนได้อยู่ เพราะใช้วิธีสั่งล็อตใหญ่ล่วงหน้าทำให้ได้ราคาเดิม แต่ถ้าของในสต๊อกหมดก็อาจจะใช้วิธีลดไซส์ แต่ราคาเดิม
“ตอนนี้โรงงานที่สั่งวัตถุดิบมีการปรับราคาขึ้นจริงๆ แต่จะใช้วิธีสั่งล่วงหน้า สั่งล็อตใหญ่ มัดจำของทั้งปีไว้ ทำให้ยังเมนเทนยอด และคุมต้นทุนได้ แต่ถ้าของในสต๊อกหมด ก็อาจจะมาคุยกับเซเว่นฯ ว่าขอลดไซส์ได้หรือไม่ แต่ราคาเดิม เพราะแค่ขึ้นราคา 2 บาท ยอดขายตกทันที ถึงแม้จะกลับมาขายราคาเดิม ยอดขายก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว”
กนกกัญจน์ ทราบดีว่าช็อกโกแลตดูไบเป็นสินค้ากระแส หรือจะเรียกว่าสินค้าแฟชั่นก็ไม่ผิด เมื่อหมดกระแสก็ทำให้ยอดขายลดลงตามความนิยม ซึ่งก็เป็นคามเสี่ยงอย่างหนึ่ง แต่เธอบอกว่าเตรียมวางแผนที่จะออกสินค้ากระแสมาแทนช็อกโกแลตดูไบไว้เรียบร้อย พอมาอยู่ตรงนี้จะช้าไม่ได้เด็ดขาด
ตอนนี้ April’s Bakery ได้เดินทางมา 15 ปีแล้ว กนกกัญจน์บอกว่าช่วงเวลาที่ยากที่สุดเป็นช่วงทำรายได้ 100 ล้านบาทแรก เนื่องจากต้องใช้เงินทุนของตัวเองเยอะ ช่วงแรกๆ ธนาคารยังไม่ปล่อยกู้ ใช้วิธีหมุนเงินด้วยสินทรัพย์ต่างๆ จนเมื่อมีรายได้ธนาคารก็เริ่มให้โอกาสเรื่องสินเชื่อมากขึ้น
“ที่ผ่านมามีช่วงที่ท้อหลายครั้ง จะเลิกทำหลายครั้ง หมุนเงินไม่ทันบ้าง ขาดทุนจากที่ลงทุนบ้าง แต่ก็ได้เรียนรู้ว่าชีวิตคนเราเป็น Life Cycle ถ้าอดทนได้ก็จะมีอะไรดีๆ เข้ามา”
โดยในปีที่ 2567 ที่ผ่านมามีรายได้รวมทุกช่องทางจำหน่ายอยู่ที่ 630 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 20% แบ่งสัดส่วนรายได้เป็นผ่านช่องทางเซเว่นฯ 80%, พายอบสดในร้าน 15% และส่งขนมตามร้านทั่วไป 5%
ช่องทางในเซเว่นฯ ตั้งเป้ามีสินค้าใหม่มากกว่า 20 รายการ หรือเฉลี่ยเดือนละ 2 รายการ
รวมไปถึงตั้งเป้าการเติบโตที่ปีละ 20% คาดว่าจะมีรายได้ถึง 1,000 ล้านบาทภายในสิ้นปีนี้
“เรามีตัวเลขที่ว่าพันล้านหาร 12 เดือนจะต้องได้ยอดเดือนละเท่าไหร่ ตอนนี้ตั้งแต่ต้นปีสามารถทำได้ตามเป้า ถ้าเมนเทนยอดได้ก็สามารถถึงพันล้านในปีนี้ได้ ถ้าช็อกโกแลตดูไบยอดตก ก็เตรียมเอาตัวอื่นเข้ามาแทน ถ้าเราจะเล่นตลาดสินค้าแฟชั่นจะช้าไม่ได้ เมื่อก้าวเข้ามาตรงนี้จะถอยไม่ได้แล้วด้วย ถ้ามัวขายแต่พาย กับขนมเปี๊ยะเป็นสินค้าหลัก ยอดขายคงไม่ได้เท่านี้ แต่พยายามให้น้ำหนักความสำคัญเท่าๆ กัน”
นอกจากนี้กนกกัญจน์ ยังต่อยอดด้วยการซื้อพื้นที่ 10 ไร่ที่เชียงใหม่เพื่อทำสวนโกโก้ ต่อยอดในการทำขนมช็อกโกแลต เพื่อเสริมสตอรี่แบรนด์ว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านช็อกโกแลตมากขึ้น
โดยคุณทองมา ฉายภาพ “ตลาดที่อยู่อาศัย” ต่อจากนี้ไปมีแนวโน้มเล็กลง หดตัวลงทุกปี จากเคยสูงสุดกว่า 5 แสนล้านบาทต่อปี เหลือเพียง 3.5 แสนล้านบาท และในอีก 5-6 ปีข้างหน้าอาจจะเหลือเพียง 2 แสนล้านบาท
ขณะที่โฟกัสภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัย ปี 2567 ที่ผ่านมา ก็ไม่สดใสนัก
ยอดเปิดตัวใหม่ 421,000 ล้านบาท ลดลง 27% แบ่งเป็น
ยอดขาย (พรีเซล) 313,000 ล้านบาท ลดลง 20% แบ่งเป็น
ขณะที่พอร์ตฯ พฤกษาที่ผ่านมา เป็นกลุ่มทาวน์เฮ้าส์เป็นหลักซึ่งได้รับผลกระทบจากตลาดเต็ม ๆ
ทำให้ผลประกอบการปี 2567 ของพฤกษา ทำรายได้ประมาณ 21,000 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิเหลือ 456 ล้านบาท จากเคยแตะระดับพันล้าน
จากปัจจัยความท้าทายในข้างต้น ทำให้ คีย์แมนพฤกษา ไม่จำกัดตัวเองอยู่แค่ธุรกิจที่อยู่อาศัยอีกต่อไป แต่ยังเฟ้นหาโอกาสเติบโตใหม่ ๆ อยู่เสมอ
]]>“ผมคงเข้ามาทำหน้าที่ดูแลพฤกษาอีก 2-3 ปี ส่วนการทำให้กำไรกลับมา 1,000 ล้านบาทไม่น่าเป็นเรื่องยาก เพราะเคยทำได้ ไม่น่ามีปัญหา ปีนี้ก็ต้องพยายามมากขึ้นด้วยการบริหารเรื่องการขายและค่าใช้จ่ายให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น จะมีส่วนทำให้อัตรากำไรสูงขึ้นได้”
โดย วิน เล่าว่า จุดเริ่มต้นที่ทำเพจต้องย้อนไปเมื่อ 6 ปีก่อน ที่ต้องเริ่มทำเพจเพราะงานในวงการบันเทิงเริ่มน้อยลง ซึ่งในตอนนั้นกำลังคบกับ ตู่ ปิยวดี มาลีนนท์ (ทายาทช่อง 3) เลยต้องหารายได้จากทางอื่นเสริม “ตอนนั้นผมเหลือเงินเดือนแค่สองหมื่นกว่าบาท จะอยู่ยังไง จะคบกับเมียยังไง”
โดยในยุคที่ทุกคนอยากมีส่วนร่วม ไม่อยากตกเทรนด์ แต่วินเลือกที่จะ แตกต่าง โดยมองว่า ต้องสร้างตัวตน ต้องทำแบรนด์ ทำตัวเราให้แข็งแรงเพื่อ Lead คน “ผมเป็นคนไม่ค่อยเออออตามอะไร มีความคิดเป็นของตัวเอง เพราะถ้าเราเดินตามเขา เราก็ได้แค่ตาม เราต้องแตกแยกออกมา”
ด้วยความช่วยเหลือจากคุณตู่ ปิยวดี ภรรยา ที่ช่วยวางแผนและถ่ายทำคลิปให้ในช่วงแรก วินค่อย ๆ สร้างตัวตนผ่านการรีวิวร้านอาหาร โดยเฉพาะ ร้านริมทาง
“ผมเริ่มจากการที่ไม่มี ทำให้รีวิวแรก ๆ ไปได้แค่ร้านข้างทาง มีเงินไม่เกิน 300 บาท” ซึ่งจุดเด่นที่ทำให้เขาแตกต่างคือ การให้พลังบวกกับร้านค้า ซึ่งในตลาดตอนนั้นส่วนใหญ่จะเป็นอินฟลูฯ แนวกินจุ หรือรีวิววิจารณ์ร้าน
“ตอนนั้นยังไม่มีใครที่กินแล้วรู้สึกว่าให้พลังบวกกับร้านค้า ผมอยากเป็นแบบนั้น เพราะผมอร่อยง่าย ผมเคยล้มละลายไม่มีกินมาแล้ว แค่ข้าวจานใหญ่ ๆ น้ำปลาพริก พริกเยอะ ๆ ไส้กรอกชิ้นเดียว 20 บาท มันทำให้ผมอิ่มได้”
แน่นอนว่ากว่าจะเป็น ‘วิน’ ในทุกวันนี้ ไม่ได้ง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ แต่ต้องใช้เวลาและความเชื่อมั่น “ตู่บอกว่าสิ่งที่พวกเราคิด มันไม่สามารถเกิดได้ในปีเดียวหรือ 2 ปี มันต้องค่อย ๆ สร้าง มันต้องใช้การสะสมพลังในตัวเรา และเราต้องเชื่อมั่นในสิ่งที่ทำ ต้องไม่เขว”
นอกจากนี้ ต้อง อย่ากลัวที่จะพลาด พลาดได้แต่ต้อง ไม่พลาดซ้ำ และที่สำคัญ อย่ากลัวที่จะก้าวออกจากเซฟโซน ลงมือทำ ซึ่งแนวคิดเหล่านี้ วิน คอยสอนลูกน้อยอยู่เสมอ และการจะประสบความสำเร็จมันมีวิธีของมัน แต่สอนกันไม่ได้ เพราะอยู่ที่ ประสบการณ์ ซึ่งต้องค่อย ๆ สร้าง
“บางทีเราอาจจะล้มอาจจะพลาด แต่อย่ากลัวที่จะพลาด เราต้องหาวิธีเลี้ยวซ้าย บ่ายขวา เพื่อขึ้นไปข้างหน้าให้ได้ มันไม่ใช่ว่านับ 1 ไปถึง 10 อาจจะเป็นทำ 5 สองครั้งบวกกันได้ 10 ก็ได้”
อีกสิ่งที่มาวินมองว่าช่วยให้เขาสามารถมาถึงจุดนี้ก็คือ ใช้ความเป็นมนุษย์ และ ไม่มีอีโก้ แฟนคลับทุกคนสามารถเข้าถึงได้ หน้าจอเป็นอย่างไร ตัวจริงเป็นอย่างนั้น เพื่อเป็นการสร้างเพอเซ็ปชั่นที่ดีให้กับแฟนคลับ หรือคนที่ไม่รู้จัก ได้อยากทำความรู้จัก
“ถ้าเจอหน้ากัน คนยิ้มให้ผม ผมพร้อมที่จะเดินเข้าไปถามเลยว่าถ่ายรูปกับผมมั้ย ผมไม่มีอีโก้ ไม่กลัวหน้าแตก เพราะเจอกันครั้งเดียว อย่างน้อยเค้าได้ความทรงจำที่ดีติดไป ผมใช้วิธีนี้มาตลอด”
ปัจจุบัน วิน ขยายช่องทางไปยังทุกแพลตฟอร์ม ทั้ง Facebook, Instagram, YouTube และ TikTok เพราะมองว่าการมีครบทุกแพลตฟอร์มเป็นส่วนสำคัญในการขยายฐานคนดู ซึ่งการทำคอนเทนต์ในแพลตฟอร์มใหม่ ๆ ก็ถือเป็นการก้าวออกจากเซฟโซนอย่างหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม เขาเองก็ต้องปรับเนื้อหาให้เหมาะกับแต่ละที่ เช่น YouTube อาจจะต้องเป็นคลิปยาว 20-30 นาที เพราะคนชอบอยู่นาน ๆ แต่ Facebook ต้องย่อยลงมาเหลือ 5 นาที ส่วน Instagram / Reels ต้องบีบให้เหลือแค่ 1.30 นาที เช่นเดียวกับ TikTok คลิปสั้น 1.30 นาที
“อย่างเมื่อก่อนผมจะไม่มีแฟนคลับที่เป็นเด็กประถมเลย แต่ตอนนี้มี TikTok เด็กโรงเรียนต่างจังหวัดบอก follow พี่อยู่ มันเป็นการสร้างฐานใหม่”
ไม่ใช่แค่การรีวิวอาหาร แต่ วิน ยังเป็นหนึ่งในผู้จุดกระแส อาร์ตทอย ในไทยอีกด้วย เพราะมองว่าตอนที่อยู่สายอาหารมันถึงจุดสูงสุดที่ไปได้แล้ว ดังนั้น จะทำอย่างไรให้คนในวงการอื่น ๆ รู้จัก ซึ่งการทำให้ผู้ติดตามใน Instagram เพิ่มจาก 6 แสน เป็น 1 ล้านราย
“ตอนนั้นผมไปเดินงานอาร์ตทอย ไม่มีใครรู้จักผม ดังนั้น ผมเลยอยากลองข้ามสาย เพื่อเพิ่มฐานผู้ติดตาม ให้คนในสายอื่นมารู้จักผมด้วย เพราะเมื่อสายเราตึง เราต้องขยับไปทางอื่น และผมอยากให้คนอื่นรู้ผมทำได้มากกว่า ไม่ใช่แค่สายเดียว”
วิน ยืนยันว่า เขายังคงเน้นการหาร้านข้างทางเพื่อรีวิว เพราะมันคือการซื้อประสบการณ์ ได้คุยกับพ่อค้าแม่ค้า บางร้านที่ไปรีวิวให้ จากเดิมที่เริ่มจากรถเข็น พอไปอีกทีเขาเริ่มมีเก้าอี้ มีโต๊ะ พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ จนบางร้านสามารถปลดหนี้ได้ ส่งลูกเรียนได้ มันเป็นความสุขทางใจ แน่นอนว่า เงินเป็นปัจจัยหลัก ที่ทำให้ต้องทำงาน แต่เราต้องเรียนรู้ที่จะหาเงินโดยไม่เบียดเบียนใคร
]]>“ผมจะยืนอยู่ข้างร้านค้าเสมอครับ ผมมองว่าร้านค้าคือ อู่ข้าวอู่น้ำของครอบครัวเขา ผมจะบอกคนที่มารีวิวว่า อย่าเอาแต่ลิ้นไปตัดสินเขา ถ้ากินแล้วไม่อร่อย ให้มองรอบ ๆ ดู ถ้าคนอื่นยังยิ้มและหัวเราะกันอยู่ แสดงว่าคุณอยู่ผิดที่ ควรเอาตัวเองออกมาแล้วไปกินร้านอื่น อย่าสร้างปัญหาให้เขา”
ออน สมฤทัย ติดทำเนียบคนดังบนโลกโซเชียลได้อย่างไร Positioning จะพาไปรู้จักกัน
“ออน สมฤทัย” นักธุรกิจสาววัย 31 ปี เจ้าของแบรนด์ Perrine Porter ร้านซื้อ-ขายสินค้าแบรนด์เนมมือสองเบอร์ต้นๆ ของไทย ก่อนหน้านั้นออนเคยเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง SF Brandname ด้วย โดยมี “สุด-วัฒนพล” เป็นพาร์ทเนอร์อีกคน
ออนมีความชอบสินค้าแบรนด์เนมมาตั้งแต่เด็ก จึงเริ่มทำธุรกิจซื้อขายสินค้าแบรนด์เนมมือสอง ถ้าใครที่อยู่ในวงการสินค้าแบรนด์เนมมือสอง จะต้องคุ้นเคยชื่อ SF Brandname เป็นอย่างดีแน่นอน เพราะเป็นแบรนด์แรกๆ ที่ทำคอนเทนต์บนอินสตาแกรม
ด้วยความที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับสินค้าแบรนด์เนม ทำให้ออนต้องทำคอนเทนต์ที่ล้อไปกับธุรกิจนั่นเอง ในช่วงแรกคอนเทนต์ส่วนใหญ่จึงเป็นการโชว์ไลฟ์สไตล์ติดแกลม ท่องเที่ยวต่างประเทศ ช้อปปิ้งสินค้าหรู นั่งเครื่องบิน Business Class ไปจนถึงคอนเทนต์การเลือกซื้อกระเป่าแบรนด์เนม เปิดกรุแบรนด์เนมกับคนดังต่างๆ
ออนมีผู้ติดตามใน TikTok 5.6 ล้านยูสเซอร์ และมีผู้ติดตามใน Instagram 1.5 ล้านยูสเซอร์ โดยมียอดเอ็นเกจเมนต์แต่ละคลิปถือว่าสูงมาก ส่วนใหญ่มียอดวิวในระดับหลักล้านขึ้นไปทั้งนั้น
ออน สมฤทัย เริ่มเป็นไวรัลเมื่อปี 2024 โดยมีการทำคอนเทนต์แนวอวดรวย อวดชีวิตลักชูฯ พร้อมการพูดภาษาอังกฤษในสำเนียงลูกคุณ
คอนเทนต์อวดรวยของออน สมฤทัยจะเป็นในแนวใส่เสื้อผ้าหรูหรา เวอร์วัง พรอพเยอะ ขับรถซูเปอร์คาร์ ช้อปปิ้งตามห้างฯ หรู ร้านแบรนด์เนม เวลาช้อปจะใช้วิธีเหมาทุกสี เหมาทั้งชั้น แต่เป็นการเหมาแบบคอนเทนต์เฉยๆ ไม่ได้เหมาจริงๆ
คอนเทนต์ของออน สมฤทัยจะมีตัวละครหลักอีก 2 คนก็คือ “เต้” บอดี้การ์ดประจำกาย ที่จะพบเห็นเกือบทุกคลิป เจ้าของชื่อ Kateyki จากวลี Thank You Kateyki นั่นเอง ออนเคยเล่าว่าเต้เป็นบอดี้การ์ดสมัยที่ SF Brandname จัดงานเซลครั้งใหญ่ประจำปี จำเป็นต้องมีบอดี้การ์ดเพื่อดูแลความปลอดภัย เพราะมีของมูลค่าสูง
แต่เป็นเพราะจังหวะที่ช่วงนั้นออนกำลังจะถ่ายคลิปทำคอนเทนต์ แล้วเต้อยู่ใกล้ๆ พอดี จึงเรียกว่าถ่ายคอนเทนต์ด้วย พอถามชื่อเจ้าตัวบอกชื่อเต้ แต่มองว่าเป็นชื่อแมนๆ เกินไป จึงเปลี่ยนเป็น “เทกี้” พร้อมกับเรียกว่าคุณเทกี้ แต่เรียกไปเรียกว่าเป็น Kateyki จนถึงทุกวันนี้
อีกคนก็คือ “คุณน้อย” แม่บ้านสายซัพพอร์ต สายชม สายอวย ไม่ว่าคุณออนจะทำอะไรคุณน้อยจะชมเสมอ ส่วนหมอสองมาให้พบเห็นบ้างไม่กี่คลิปในบทบาท “Doctor”
ในแต่ละคลิปออนมักจะพูด Thank You Kateyki ทุกครั้งที่บอดี้การ์ดบริการอะไร ไม่ว่าจะเปิดประตู ช่วยถือของ หยิบของมาให้ ถ่ายรูปให้ หรือแม้กระทั้งช่วยเลือกของต่างๆ บวกกับสำเนียงสไตล์ลูกคุณ ทำให้วลีนี้โด่งดังบนโลกโซเชียล
วลีนี้ฮิตถึงขนาดที่ว่า “ลิซ่า BLACKPINK” เคยพูดในไลฟ์ของตนเอง รวมถึง “แบมแบม” ก็เคยถ่ายคลิปร่วมกับออน และเคยพูดประโยคนี้เช่นกัน
ด้วยคอนเทนต์สไตล์อวดรวยแบบออน สมฤทัย ใช้ของแบรนด์เนม ใช้สินค้าหรู ถ้าเป็นคนอื่นจะรู้สึกหมั่นไส้แน่นอน หรืออาจจะรู้สึกว่าปลอม เฟค ไม่จริงใจ แต่เชื่อหรือไม่ว่าคอนเทนต์ของออน สมฤทัยเป็นคอนเทนต์อวดรวยแบบฉ่ำที่ชาวเน็ตไม่ค่อยหมั่นไส้เท่าไหร่ เพราะด้วยคาแรกเตอร์ตัวเล็กตัวน้อย เป็นคนใจดีกับแม่บ้าน บอดี้การ์ด
ในแต่ละคอนเทนต์ชาวเน็ตจะคอยดูไอเทมของออน และประทับใจในความรวย เช่น การมีบัตร AMEX Platinum Card แสดงว่าต้องระดับไหน รวมไปถึงการใช้สมาร์ทโฟน Vertu Phone สมาร์ทโฟนระดับลักชัวรี่ที่ราคาสูงถึงเครื่องละ 700,000 บาท
ในแต่ละคลิปชาวเน็ตจะรู้สึกชอบใจเมื่อได้ยินออนพูด Thank You Kateyki ถ้าหากคลิปไหนมีตัวละครหายไปก็จะติดตามต่อเรื่อยๆ เป็นการสร้างแบรนด์ดิ้งตัวเองได้อย่างดี
แต่เดิมชาวเน็ตก็รู้จักออน สมฤทัยอยู่แล้ว แต่ยิ่งเป็นที่รู้จักมากขึ้นเมื่อหมอสองได้ทำการขอแต่งงาน ทำให้มีข่าวปรากฏในสื่อมากขึ้น ยิ่งทำให้เป็นที่รู้จักมากขึ้นไปอีก
ในยุคปัจจุบันการเป็นศิลปินไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป ไม่จำเป็นต้องผ่านค่ายยักษ์ใหญ่ ทำเพลงและเผยแพร่ผ่าน YouTube และช่องทางอื่นๆ ได้ ทำให้แจ้งเกิดศิลปินใหม่ๆ จากค่ายเล็กๆ มากขึ้น
ออน สมฤทัยมีไลฟ์สไตล์ชอบร้องเพลงเช่นกัน มีอยู่หลายคลิปที่มีการคัฟเวอร์เพลงแบบสไตล์ตัวเอง จนในที่สุดก็มีซิงเกิ้ลเป็นของตัวเอง โดยเอาวลีฮิต Thank You Kateyki (Lalala) มาเป็นชื่อเพลง ซึ่งเพลงนี้ได้ “นิว นภัสสร สุวรรณานนท์” หรือที่รู้จักกันในนามดูโอ้ “นิวจิ๋ว” มาเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเพลงนี้
เนื้อเพลงก็ได้หยิบคำที่ออนชอบพูดในคลิปมาใส่ พร้อมกับใส่สำเนียงแบบในคลิป เริ่มปล่อยเพลงเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 68 ที่ผ่านมา
Zuckerberg บอกว่า ช่วงที่เรียนในมหาวิทยาลัยการเลือกคบคนเป็น ‘การตัดสินใจที่สำคัญที่สุด’ โดยเขาบอกว่า “คนรอบตัวเป็นอย่างไร คุณก็จะกลายเป็นคนแบบนั้น” และ อยากให้คำนึงการสร้างความสัมพันธ์กับคนรอบข้างมากกว่าการมุ่งเน้นที่เป้าหมายจนเกินไป
อย่างตัวเขาเองช่วงเรียนอยู่ฮาร์วาร์ด ได้พบกับ Eduardo Saverin, Dustin Moskovitz, Chris Hughes และ Andrew McCollum เพื่อนๆ และกลุ่มผู้ร่วมก่อตั้ง Facebook หนึ่งในบริษัทที่ปฏิวัติวงการ โซเชียลมีเดียและกลายเป็นหนึ่งบริษัทใหญ่ที่สุดของโลก
แม้ท้ายที่สุดพวกเขาทั้ง 5 คนต้องแยกย้ายกันไปแบบไม่ลงรอย แต่การให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์มากกว่าเป้าหมายยังคงเป็นคติประจำชีวิตของ Zuckerberg อยู่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน ‘การจ้างงาน’ เช่น เมื่อต้องประเมิน ผู้สมัครงาน เขาจะจินตนาการว่า ถ้าตนเองทำงานกับคนนั้นจะเป็นอย่างไร แทนที่จะคิดว่า เป็นเจ้านายของพวกเขา
Zuckerberg เชื่อว่ากลยุทธ์ดังกล่าวจะช่วยสร้างสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ทั้งเหนียวแน่น มีความเป็นหนึ่งเดียวกัน และแน่นอนย่อมมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นด้วย หากคุณทำงานร่วมกับผู้คนที่มีค่านิยมแบบเดียวกันและมีแนวโน้มจะบรรลุเป้าหมายในการทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่นมากขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเรื่องของการค้นหาความเข้ากันได้ระหว่างคนในองค์กร ไม่ต่างไปจากการเลือกคบเพื่อนหรือคู่ครอง
คำแนะนำนี้ เจ้าพ่อ Meta อยากส่งต่อให้กับคนรุ่นใหม่ ซึ่งอาจจะจริงอย่างที่เขาบอก เพราะผู้คนที่เราเลือกคบหามีผลต่อตัวตนและความคิดของเราอย่างมาก ยิ่งใช้เวลาอยู่ด้วยกันมาก ๆ ดังนั้น การเลือกคบคนจึงสำคัญมาก ๆ
ที่มา : https://www.cnbc.com/2022/03/18/mark-zuckerbergs-young-people-advice-focus-on-building-relationships.html?taid=65ed3e5e26cd0000015febc9&utm_content=makeit&utm_medium=Social&utm_source=Twitter
]]>
ตำแหน่งงานที่มีการประกาศรับสมัครงานออนไลน์ส่วนใหญ่ เป็น ‘ระดับ junior’ (กลุ่มที่ต้องการประสบการณ์ขั้นต่ำ 1-2 ปี) มีจำนวนมากถึง 84,669 ตำแหน่ง หรือคิดเป็น 38.3% รองลงมา คือ ตำแหน่งงานที่ต้องการ ‘ประสบการณ์ 3 ปีขึ้นไป’ จำนวน 54,877 ตำแหน่ง คิดเป็น 24.8%
ส่วนตำแหน่งงานระดับ entry-level ที่ไม่ต้องการประสบการณ์ 49,366 ตำแหน่ง คิดเป็น 22.3% รวมถึงยังมีตำแหน่งงานประกาศที่ไม่ระบุความต้องการประสบการณ์อีกจำนวน 32,427 ตำแหน่ง คิดเป็น 14.7%
จากรายงานดังกล่าวยังระบุ ตำแหน่งงานส่วนใหญ่ต้องการผู้สมัครที่มีประสบการณ์ทำงาน โดยมีตำแหน่งงานที่ต้องการประสบการณ์ทำงานถึง 139,546 ตำแหน่ง คิดเป็น 63.1% นอกจากนี้ ประสบการณ์ที่นายจ้างมีแบบแผนในการต้องการประสบการณ์ของผู้สมัครงาน ได้แก่
1.ด้านระดับการศึกษา พบว่า ตำแหน่งงานที่ต้องการ ‘ผู้มีระดับการศึกษาสูง’ มีแนวโน้มต้องการ ‘ประสบการณ์ทำงานสูง’ ขึ้นด้วย อย่าง ‘ระดับปริญญาตรี’ ตำแหน่งงานส่วนใหญ่กว่า 78.6% ต้องการคนมีประสบการณ์ขั้นต่ำ 1-2 ปี รองลงมา 38.6% ต้องการประสบการณ์ขั้นต่ำ 3 ปีขึ้นไป และมีเพียง 16% บอกไม่ต้องการประสบการณ์
2.ตำแหน่งงานวิชาชีพและมีเส้นทางอาชีพ (career path) ที่ดี เช่น งานด้านการเงิน คอมพิวเตอร์ วิศวกรรม และอาจจะรวมถึงงานด้านกฎหมาย มักต้องการผู้สมัครที่มีประสบการณ์ทำงานมาบ้าง และมีตำแหน่งงานสำหรับผู้เริ่มอาชีพไม่มากนัก ซึ่งอาจจะทำให้เกิดปัญหาไม่สามารถป้อนคนเข้าสู่ตลาดแรงงาน เนื่องจากมีความต้องการรับผู้สมัครงานที่สำเร็จการศึกษาใหม่ไม่มาก และเมื่อผู้สมัครงานไม่มีโอกาสในการทำงาน ก็จะไม่มีประสบการณ์ไปสมัครงาน
ส่วนงานที่มีสัดส่วนการรับผู้ไม่มีประสบการณ์นั้นมักเป็นงานพื้นฐาน หรือเป็นงานที่ไม่ได้ใช้ทักษะความรู้สูงมากนัก เช่น งานด้านการขาย งานการผลิต และงานบริการต่างๆ
นอกจากจะเผยถึงตลาดแรงงานและโอกาสของเด็กจบใหม่แล้ว รายงานดังกล่าวยังมีข้อเสนอแนะ เพื่อลดปัญหาช่องว่างระหว่างผู้ที่สำเร็จการศึกษาแต่ยังขาดประสบการณ์การทำงาน กับความต้องการของนายจ้าง โดยรัฐบาลควรพิจารณาส่งเสริมการฝึกงานสำหรับผู้ที่เพิ่งสำเร็จการศึกษาที่ยังไม่เคยมีประสบการณ์ทำงานมาก่อน (internship หรือ traineeship) ที่อาจศึกษาแนวทางในต่างประเทศ และร่วมหารือกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย เพื่อให้สามารถออกแบบมาตรการที่สามารถใช้แก้ไขปัญหาได้อย่างเหมาะสม
นอกจากนี้ รัฐบาลควรส่งเสริมให้สถานศึกษาจัดการเรียนการสอนในรูปแบบทวิภาคีหรือสหกิจศึกษามากขึ้น เพื่อเปิดโอกาสให้นักศึกษาได้มีประสบการณ์ทำงานอย่างเข้มข้นในสาขาอาชีพที่เรียนมา ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการหางาน และช่วยให้ผู้สำเร็จการศึกษาสามารถปรับตัวเข้าสู่โลกของการทำงานได้ราบรื่นมากขึ้นนั่นเอง
อ่านรายงานฉบับเต็มได้ที่ : https://tdri.or.th/2025/02/online-job-post-bigdata-q4-2024/
]]>
การแสดงความเห็นนี้เกิดขึ้นระหว่างที่เขาโปรโมต Source Code: My Beginnings หนังสือชีวประวัติเล่มใหม่ของตัวเอง ในรายการ The Tonight Show Starring Jimmy Fallon ของ ‘จิมมี่ ฟอลลอน’ (Jimmy Fallon)
ฟอลลอนได้ถามเกตส์ว่า ปัจจุบันใคร ๆ ก็พูดถึง AI แล้วเกตส์คิดว่า มันจะเข้ามามีบทบาทอย่างไรในอนาคต รวมถึงมีข้อดีและข้อเสียในการนำมาใช้งานอย่างไร ?
เกตส์ ตอบว่า AI จะเข้ามามีบทบาทสำคัญและพลิกโฉมรูปแบบของการทำงาน ทำให้มนุษย์ไม่จำเป็นในงานส่วนใหญ่ อาทิ ด้านการผลิต การขนส่ง และการเกษตร เป็นต้น และ AI ยังช่วยให้เข้าถึงบริการสำคัญที่ขาดแคลนผู้เชี่ยวชาญได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็น คำแนะนำทางการแพทย์และการให้คำปรึกษาด้านสุขภาพจิต ฯลฯ
นอกจากนี้ เขายังทำนายอีกว่า ในอนาคตมนุษย์อาจทำงานเพียง 2-3 วันต่อสัปดาห์ เพราะ AI สามารถทำงานที่ซับซ้อนแทนมนุษย์ได้มากขึ้น ทำให้เกิดคำถามสำคัญ คือ เทคโนโลยีนี้จะช่วยให้มนุษย์มีชีวิตดีขึ้น หรือจะทำให้หลายล้านคนต้องตกงาน ?
“ด้วย AI เป็นเรื่องใหม่และยังมีความไม่แน่นอนสูง คนจำนวนมากจึงรู้สึกกังวลกับเรื่องนี้ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลก” เกตส์ตอบ
นอกจากนี้แม้ AI จะมีความก้าวหน้าเป็นอย่างมาก แต่ยังมีกิจกรรมบางอย่างที่ยังคงต้องมีมนุษย์อยู่ เช่น กีฬา เพราะความสนุกมาจากการมีส่วนร่วมของคนจริง ๆ
ก่อนที่เกตส์จะปิดท้ายว่า ตัวเขาเชื่อมั่นในศักยภาพของวิทยาศาสตร์และนวัตกรรม รวมถึงความก้าวหน้าทางด้านสุขภาพที่จะสามารถรักษาโรคยาก ๆ ได้ เช่น โรคอัลไซเมอร์ มาลาเรีย เอชไอวี และโปลิโอ ที่อาจถูกกำจัดได้ภายในไม่กี่ปี
เกตส์ยังเชื่อว่า มนุษยชาติสามารถสามารถนำเทคโนโลยีและการสร้างสรรค์นวัตกรรม เพื่อนำมาช่วยแก้ไขการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศได้ แค่ขอร่วมมือและมีความมุ่งมั่นในการแก้ปัญหาร่วมกัน
]]>
เทรนด์แรก : การมองหาความสัมพันธ์ ‘ชัดแบบตะโกน’ (Loud Looking) ไม่มีแล้วการเล่นเกมทายใจแบบที่ผ่านมา
ปีที่ผ่านมาเป็นปีที่เหล่าคนโสดชาวไทยจะสร้างเรื่องราวของตัวเอง แต่ในปีนี้เรื่องที่พวกเขาต้องการมากที่สุดคือ การมองหาความสัมพันธ์ระยะยาว โดยกว่า 57% ‘หาคนรักจริงหวังแต่ง’ และ 55% ระบุถึงรูปแบบความสัมพันธ์ที่ต้องการมี ‘คู่คนเดียว’ ซึ่งความสัมพันธ์ในลักษณะนี้ทำให้สถานะคนคุยถูกลดบทบาทลงด้วย
เทรนด์ที่ 2 : บางคนเรียกว่า โชคชะตาฟ้าลิขิต แต่เราเรียกว่า ‘รักนี้ชะตาลิขิต’ (Kiss-Met)
ผลสำรวจคนโสดเกือบ 40% ระบุว่า ในปี 2568 จะให้ความสำคัญกับการนัดเดทผ่านการเดินป่าแบบเหงื่อท่วมตัว 34% หรือวางแผนเข้าคลาสปั้นดินเผาที่แม้ว่าจะมีความเลอะเทอะนิดหน่อย (แต่ยังคงความน่ารัก) และทริปซื้อของวินเทจที่จะกลายเป็นงานแฟชั่น
ดังนั้นเทรนด์การเดทในปี 2568 จะเป็นแนวที่เน้นอยู่กับความจริงและปล่อยให้เกิดโมเมนต์อย่างเป็นธรรมชาติที่จะทำให้การเดทเป็นเหตุการณ์น่าจดจำ
เทรนด์ที่ 3 : ไม่มีความสัมพันธ์ไหนที่เล็กเกินกว่าจะนิยามในโลกของ ‘ความสัมพันธ์เล็ก ๆ ระดับนาโน’ (Nano-Ships)
เมื่อปี 2567 พบว่า ช่วงเวลาที่โรแมนติกแม้เพียงน้อยนิดก็เปี่ยมด้วยความหมาย ไม่ว่าจะเป็นจังหวะแรกที่สบตา กับใครบางคนในรถไฟฟ้าใต้ดินที่ทำให้ใจเต้น ซึ่งในปี 2568 ความสัมพันธ์ในรูปแบบนี้ที่เรียกว่า ‘ความสัมพันธ์เล็ก ๆ ระดับนาโน’ ก็จะยังคงเป็นเทรนด์ในกลุ่มคนโสดที่ยังคงอยู่ต่อไป
จากผลสำรวจพบว่า คนโสดเกือบ 1 ใน 4 เน้นความสำคัญในเรื่องการค้นหา ‘พลังบวก’ และ ‘มีความสุขกับโลกใบนี้’ เพราะพวกเขามีมุมมองในแง่ที่ดีกับการออกเดทและความสัมพันธ์ และมักจะชื่นชมกับเรื่องราวดีๆ ที่เป็นเรื่องเล็กน้อยที่เกิดขึ้นระหว่างทาง หมายความว่า บรรดาคนโสดต้องแสดงด้านที่ดีที่สุดของตัวเองออกมา ไม่ใช่แค่เพื่อสร้างความประทับใจต่อคู่เดทเท่านั้น แต่ยังต้องเอาชนะใจบรรดาคนรอบตัวของอีกฝ่ายด้วย
สำหรับคุณสมบัติที่คนโสดมองหาในคู่รัก ได้แก่
– ความน่าเชื่อถือ (40%)
– เสน่ห์ดึงดูดทางกายภาพ (35%)
– ค่านิยมร่วมกัน (31%)
– ความพร้อมทางอารมณ์ (30%)
– ความสนใจร่วมกัน (28%)
ส่วนปัจจัยที่ทำลายความสัมพันธ์ ได้แก่
– ความไม่สะอาด (50%)
– ความหยาบคาย (44%)
– การพูดถึงคนรักเก่าบ่อยเกินไป (34%)
โดย ‘การให้เกียรติ’ เป็นสิ่งที่ผู้ใช้ Tinder คนไทยให้ความสำคัญ และ 54% บอกว่า รูปแบบในการแสดงความรักที่ต้องการ คือ ‘การกระทำที่เอาใจใส่’ จึงไม่น่าแปลกใจที่คนโสดเกือบ 45% มองหา ‘คนที่มีลักษณะนิสัยไทป์โกลเด้น’ หรือ คนที่มีความซื่อสัตย์ มีความเป็นมิตร มีพลัง และเป็นคนที่มองโลกในแง่ดีนั่นเอง
]]>
สำหรับเหตุผลที่หัวหน้า HR เลี่ยงที่จะรับบัณฑิตจบใหม่เข้าทำงาน เพราะ
อันดับ 1 ขาดประสบการณ์ในโลกของการทำงานจริง (60%)
อันดับ 2 ขาดทัศนคติแบบสากล (57%)
อันดับ 3 ขาดทักษะการทำงานเป็นทีม (55%)
อันดับ 4 ขาดทักษะการทำงานที่เหมาะสม (51%)
อันดับ 5 ขาดมารยาททางธุรกิจและการทำงาน (50%)
นอกจากนี้ 3 ใน 10 ของหัวหน้า HR เลือกให้ตำแหน่งงานนั้น ‘ว่าง’ ดีกว่าจะจ้างบัณฑิตจบใหม่เข้ามาทำงาน โดย 37% เลือกจะใช้หุ่นยนต์ ไม่ก็ AI เข้ามาทำงานแทน และ 45% เลือกจะจ้างฟรีแลนซ์
ขณะที่บัณฑิตจบใหม่ที่หางานได้สำเร็จ บอกว่า จากการได้เข้าทำงาน ทำให้พวกเขาได้รับประสบการณ์ที่มีค่า โดย
77% ได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ ในระยะเวลาครึ่งปีมากกว่าที่ได้รับจากการเรียนปริญญาตรี 4 ปี เสียอีก
87% นายจ้างสอนทักษะอาชีพได้ดีกว่าในรั้วมหาวิทยาลัย
55% บอกมหาวิทยาลัยไม่ได้เตรียมพร้อมพวกเขาสำหรับงานที่พวกเขากำลังทำอยู่เลย
ภาพเหล่านี้ สะท้อนให้เห็นว่า หลักสูตรแบบเดิม ๆ ในมหาวิทยาลัยที่มีอยู่ อาจไม่ได้สอนในสิ่งจำเป็นที่เอื้อต่อความสำเร็จและสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมการทำงานในยุคปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว รวมถึงมีเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญมากขึ้น
.
อ้างอิง
.
https://www.entrepreneur.com/business-news/employers-would-rather-hire-ai-robots-than-recent-grads/485878
]]>‘ฟรานเชสโก ซิริลโล’ (Francesco Cirillo) เป็นผู้คิดค้นเทคนิคบริหารเวลานี้ ส่วนที่มาของชื่อ เทคนิคมะเขือเทศ เพราะ Pomodoro มาจากภาษาอิตาลีที่หมายถึง ‘มะเขือเทศ’ เนื่องจากเขาได้แรงบันดาลใจมาจากตัวจับเวลาสำหรับทำอาหารในห้องครัวที่มีรูปทรงมะเขือเทศ (Tomato kitchen timer) นั่นเอง
Pomodoro Technique จะเน้นถึงพลังของ ‘การโฟกัส’ ด้วยวิธีการง่าย ๆ โดยมีขั้นตอนหลักอยู่ 5 ขั้นตอน ได้แก่
ทั้งนี้ ฟรานเชสโกผู้คิดค้น Pomodoro Technique แนะนำให้ใส่ความ ‘ยืดหยุ่น’ ลงไปได้ ไม่ว่าจะเป็นการปรับแต่งเทคนิคให้เหมาะสมกับงานและจริตของตัวเราเอง รวมถึงอย่ายึดติดกับตัวเลขมากจนเกินไป
ยกตัวอย่างเช่น ถ้างานเสร็จก่อน 25 นาทีที่กำหนด อาจใช้เวลานั่งทบทวนความถูกต้องอีกครั้ง เพื่อความรอบคอบ หรือ ถ้างานยังไม่เสร็จแม้จะครบ 25 นาทีแล้ว ก็ยังบังคับควบคุมจิตใจตัวเองให้หยุดเลิกทำแล้วไปพัก 5 นาทีก่อน
Pomodoro Technique เป็นเทคนิคบริหารเวลาที่ได้รับการยอมรับและมีความนิยมในวงกว้าง เนื่องจากทำได้ง่ายและสอดคล้องกับกระบวนการทำงานของสมองมนุษย์เราที่เรียกว่า Parkinson’s Law คือ คนเรามักมีแนวโน้มทำงานไปเรื่อย ๆ ตราบเท่าที่มีเวลา ถ้ามีเวลามาก ก็จะทำงานเอื่อยเฉื่อยไปเรื่อย ๆ แต่ถ้ามีเวลาน้อย ก็จะรีบทำงานให้เสร็จ
เมื่อเทคนิคดังกล่าวบังคับจำกัดเวลาลงเหลือแค่ 25 นาที เราจึงมีแนวโน้มพยายามทำให้เสร็จอย่างดีเยี่ยมภายใน 25 นาทีเท่าที่มี
นอกจากนี้ Pomodoro Technique ยังให้พลังกับการ ‘โฟกัส’ ที่งานเพียงชิ้นเดียว ซึ่งผลวิจัยชี้ว่า สมองคนเรามีสมาธิในการทำงานได้ดีกว่าเมื่อเพ่งสมาธิไปกับการทำงานเพียงอย่างเดียว (Single tasking) ขณะที่การกำหนดเวลา 25 นาที เป็นระยะเวลาที่ ‘ไม่มากไป’ และ ‘ไม่น้อยไป’ สำหรับการที่สมองจะโฟกัสตั้งใจทำอะไรได้อย่างมีสมาธิ
สิ่งที่หลายคนชื่นชอบเทคนิคนี้ ก็คือ ‘เวลาเบรกพัก 5 นาที’ เสมือนการทำงานของสมองคนเราที่จะโฟกัสเพ่งสมาธิ สลับกับการหยุดพักเบรก
ขณะเดียวกัน ก็ช่วยลดโอกาสเกิดภาวะออฟฟิศซินโดรม เพราะการได้ลุกออกเดินขณะพักเบรค 5 นาที จะทำให้เราไม่เครียดจัดจนเกินไป ซึ่งจะส่งผลเสียต่อทั้งร่างกายและจิตใจของเราได้
อ้างอิง