รู้หรือไม่ว่า รองเท้า On ที่ฮอตฮิตอยู่ในทุกวันนี้เคยเป็นรองเท้าที่จับตลาดผู้สูงวัยมาก่อน แม้กระแสของ On เพิ่งจุดติดได้ไม่นาน แต่จริงๆ แบรนด์ได้ทำตลาดในไทยได้ 8 ปีแล้ว โดยบริษัท เมนทาแกรม เป็นผู้จัดจำหน่ายอย่างเป็นทางการในไทย
เมนทาแกรม ผู้นำเข้า และจัดจำหน่ายสินค้า สปอร์ต-แอคทีฟ ไลฟ์สไตล์ ก่อตั้งเมื่อปี 2553 โดย “ณัฐพล ปัทมพงศ์” ผู้มีบทบาททั้งนักธุรกิจ ผู้บริหาร นักไตรกีฬา และผู้ที่ชื่นชอบกีฬาเอาท์ดอร์ตัวยง เมนทาแกรมได้ตัดสายสะดือ Gopro แบรนด์แอคชั่นคาเมร่าให้เป็นที่รู้จักในไทย นำเข้าสินค้า Gopro เป็นตัวแรกของบริษัท เพราะณัฐพลมีความชอบเป็นการส่วนตัว ในไทยยังไม่มีผู้เล่นในตลาดนี้ หลังจากนั้นเริ่มมีอุปกรณ์กีฬาอื่นๆ จักรยาน บอร์ด เป็นสินค้าจากไลฟ์สไตล์ที่ชอบ
ได้นำเข้ารองเท้า On เมื่อปี 2560 หรือเมื่อ 8 ปีที่แล้ว ตอนนั้นคนไทยยังไม่ค่อยรู้จักมากนัก เพราะกระแสของรองเท้าสนีคเกอร์ยังไม่บูมเท่าที่ควร ตลาดใหญ่ยังเป็นแบรนด์ใหญ่อย่าง Nike และ Adidas เทรนด์การวิ่งก็ยังไม่ค่อยนิยมในหมู่กว้าง
แรกเริ่มรองเท้า On ได้เริ่มจับตลาด “ผู้สูงอายุ” ก่อน เพราะตัวรองเท้ามีความเบาสบาย ใส่ง่าย ไม่ต้องผูกเชือก ผู้ใหญ่มาเห็นแล้วชอบก็ซื้อใส่กัน คล้ายกับสเก็ตเชอร์สที่เบาสบายจนกลายเป็นรองเท้าสำหรับผู้สูงวัยไปแล้ว
อันที่จริงรองเท้า On ได้ถูกสร้างมาเพื่อตอบโจทย์นักกีฬาโดยเฉพาะ เพราะเจ้าของแบรนด์เป็นนักไตรกีฬา แต่ก็มีการทำตลาดแบบค่อยเป็นค่อยไป ค่อยๆ สร้างการรับรู้แก่คนไทย
ณัฐพล เล่าว่า “On ทำตลาดมาได้ 8 ปีแล้ว ตอนนี้เป็นแบรนด์ฮีโร่อีกตัวของบริษัท ตอนแรกเราเริ่มจับตลาดผู้สูงอายุ เพราะรองเท้าเบามาก ใส่ง่าย ไม่ต้องผูกเชือก ผู้ใหญ่ชอบ หลังจากนั้นเริ่มมีคอลเล็กชั่นคอลแล็ปกับโรเจอร์ เฟเดอเรอร์ และ LOEWE แบรนด์ก็โตอย่างก้าวกระโดด”
แต่ก่อนในตลาดสนีคเกอร์ หรือรองเท้าออกกำลังกาย มีเจ้าตลาดหลักเป็น 2 แบรนด์อย่าง Nike และ Adidas แต่ในช่วงหลายปีมานี้เริ่มเห็นแบรนด์ใหม่ๆ มีบทบาทมากขึ้น ทั้ง Hoka, Saucony, Brooks, Neew Balance, Asics และอื่นๆ อีกมากมาย ผู้บริโภคก็เปิดใจรับแบรนด์ใหม่ๆ มากขึ้นด้วย เพราะเทคโนโลยี และความต้องการที่แตกต่างกันของแต่ละบุคคล เช่น หน้าเท้ากว้าง, อุ้งเท้าสูง, เท้าแบน หรือต้องการรองเท้าที่วิ่งในโอกาสที่แตกต่างกัน วันซ้อม วันแข่ง วิ่งระยะยาว วิ่งโซน 2 เป็นต้น
จุดเปลี่ยนสำคัญของ On ก็อยู่ในช่วง COVID-19 เพราะในช่วงนั้นคนเริ่มหันมาออกกำลังกายมากขึ้น ทำกิจกรรมใหม่ๆ เป็นโอกาสของแบรนด์สปอร์ตที่ทำการตลาดแรงขึ้น ในตอนนั้นตลาดอื่นๆ ที่ดรอปลง แต่ตลาดรองเท้าวิ่งกลับเติบโตสวนกระแส
“ตอนช่วง COVID-19 คนเริ่มหันมาวิ่งเยอะขึ้น และเริ่มเปิดใจลองรองเท้าใหม่ๆ ที่ไม่ใช่ 2 แบรนด์ใหญ่ พอคนได้ลองรุ่น Cloud 5 พบว่าใส่สบาย ดีลเลอร์ก็เริ่มถามหามากขึ้น เริ่มขายในอีคอมเมิร์ซ ซึ่ง On เป็นแบรนด์ที่ Niche มากๆ มีความพรีเมียม และจุดเด่นที่ Swiss Made ใส่แล้วไม่เหมือนใคร ตอนนั้นเริ่มมีกลุ่มผู้บริหารใส่มากขึ้น จนคนทั่วไปก็อยากใส่ตาม เรียกว่าเติบโตจนสินค้าขาดตลาด ขายได้ประมาณ 12,000 คู่”
นอกจากคอลเล็กชั่นคอลแล็ปที่ทำให้ภาพลักษณ์ดูพรีเมียมขึ้น อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ On เติบโต เป็นเพราะการบอกต่อแบบปากต่อปากด้วย มีการแนะนำต่อๆ กันในกลุ่มนักวิ่งที่ต้องการซัพพอร์ตเท้า หรือต้องการความเร็ว ยังมีการแนะนำต่อๆ กันในกลุ่มนักท่องเที่ยวญี่ปุ่น จะเห็นในโลกโซเชียลที่หลายคนมักบอกต่อๆ กันว่า ใส่รองเท้า On แล้วเดินเที่ยวทั้งวันก็ยังสบายเท้า ซึ่งญี่ปุ่นขึ้นชื่อเรื่องการเดินเที่ยวอยู่แล้ว จึงเกิดเป็นกระแสคนไทยแห่ซื้อ On ที่ญี่ปุ่น
On เป็นแบรนด์สัญชาติสวิตเซอร์แลนด์ ถ้าใครรู้จักแบรนด์นี้จะรู้ดีว่าถ้าไปซื้อที่บ้านเกิดจะแพงกว่าที่อื่น ณัฐพลบอกว่าประเทศที่หาซื้อ On ได้ถูกที่สุดคือประเทศญี่ปุ่น ถูกกว่าประเทศไทย 30% เพราะบริษัทแม่ลงทุนที่ประเทศญี่ปุ่นเยอะ อีกทั้งที่ญี่ปุ่นยังไม่มีภาษีนำเข้า เลยทำราคาได้ถูก แถมยังขึ้นชื่อว่าเป็น Shopping Destination จึงมีราคาได้ถูกกว่าที่อื่น
ส่วนผลงานของ On ในประเทศไทยก็ไม่ได้น้อยหน้าแต่อย่างใด ขึ้นชื่อว่าตลาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ในเอเชียรองจากญี่ปุ่นด้วยซ้ำ ตลาดใหญ่พอๆ กับประเทศจีน
“ในประเทศไทยตอนแรกเป็นรองเท้าที่ผู้ใหญ่ใช้เยอะ หลังจากนั้นเน้นไลฟ์สไตล์มากขึ้น ใส่ได้ทุกโอกาส คนไทยจึงใส่เยอะขึ้น ทั้งใส่เดิน ใส่วิ่ง เพราะเมื่อ 2 ปีก่อนบริษัทแม่ได้เข้าตลาดฯ จึงได้ออกสินค้าใหม่เยอะ”
ในประเทศไทย 3 รุ่นที่ขายดีที่สุด ได้แก่ On Cloud 6, Cloudmonster และ Cloudtilt โดยรองเท้ามีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 5,400-7,000 บาท สีที่ขายดีที่สุด ได้แก่ ขาว, ดำ และครีม ลูกค้ามีการซื้อเฉลี่ย 2 คู่/บิล
แต่เดิมเมนทาแกรมมีธุรกิจหลักเป็นดิสทริบิวเตอร์ หรือผู้นำเข้า และจัดจำหน่ายเท่านั้น ซึ่งการเลือกแบรนด์เข้ามาทำตลาดก็เน้นจากความชอบส่วนตัวของณัฐพล และดูเทรนด์ของตลาด แต่การมาของ COVID-19 ทำให้ตลาดเปลี่ยนแปลงทั่วโลก เมนทาแกรมก็ต้องปรับกระบวนท่าเปิดตัวธุรกิจรีเทลของตัวเอง
เมนทาแกรมได้เปิดตัว MLAB เป็นร้านมัลติแบรนด์ที่รวมแบรนด์สปอร์ต-แอคทีฟ ไลฟ์สไตล์ ซึ่งเป็นแบรนด์ในเครือไว้ด้วยกัน จะมีทั้งสินค้ากีฬา แฟชั่นไลฟ์สไตล์ และอุปกรณ์เสริมต่างๆ
ณัฐพลบอกว่า มองเห็นโอกาสในการทำธุรกิจรีเทลเป็นของตัวเอง เพราะมี Pain Point จากช่วง COVID-19 ที่ร้านค้าต่างๆ ปิด จึงเกิดช่องทางออนไลน์ เลยมาคิดว่าถ้าไม่มีร้านก็ทำให้ธุรกิจชะงัก เลยเริ่มทำรีเทลช้อปของตัวเอง แต่เริ่มจากอีคอมเมิร์ซก่อน
“ผมทำดิสทริบิวเตอร์มา 10 กว่าปี ไม่อยากทำรีเทลเอง เพราะไม่อยากแข่งกับดีลเลอร์ แต่พอ COVID-19 มา ทุกคนไม่ลงทุนอะไรใหม่ ตอนนั้นเลยต้องแจ้งกับดีลเลอร์ว่าต้องมาทำอีคอมเมิร์ซเอง แล้วพอช่วงปี 2565 ตลาดก็ยังไม่กลับมาเหมือนเดิมเท่าไหร่ เลยคิดว่าต้องมีหลายช่องทาง เปิดร้านมัลติแบรนด์ตั้งชื่อ MLAB เพราะต้องการให้คนมาลองหลายแบรนด์ รวมสินค้า สปอร์ต ไลฟ์สไตล์ แอคทีฟ แฟชั่น ไว้ด้วยกัน”
MLAB รวมแบรนด์ต่างๆ เช่น On รองเท้าวิ่งที่มีเทคโนโลยี CloudTec®, Sunski แว่นกันแดดผลิตจากวัสดุรักษ์โลกจากซานฟรานซิสโก, Flower Mountain แบรนด์รองเท้าแฟชั่นสัญชาติญี่ปุ่น, Birkenstock รองเท้าแตะจากเยอรมนี, Athletics FTWR รองเท้าที่ผสานแฟชั่นเข้ากับฟังก์ชันการใช้งาน, Hyperice อุปกรณ์ฟื้นฟูร่างกายที่มาในรูปแบบของเครื่องนวดที่มีให้เลือกหลายรุ่นหลายขนาด และ Cannondale แบรนด์จักรยานที่โดดเด่นด้านเทคโนโลยี
ปัจจุบัน MLAB มี 12 สาขา ได้แก่ เซ็นทรัลเวิลด์, สยามพารากอน, เอ็มโพเรียม, แฟชั่นไอส์แลนด์, เมกาบางนา, เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ บางกะปิ, เซ็นทรัลลาดพร้าว, เซ็นทรัลเวสเกต, สเปลล์รังสิต, เซ็นทรัลปิ่นเกล้า, เซ็นทรัลเฟสติวัล เชียงใหม่ และเซ็นทรัล เฟสติวัล ภูเก็ต เตรียมแผนขยายเพิ่มอีก 5 สาขาในปีนี้
สัดส่วนรายได้ของเมนทาแกรม แบ่งเป็น On 50% สินค้าแกดเจ็ต 30% สินค้าไลฟ์สไตล์ 20%
ในปีนี้เมนทาแกรมจะนำเข้าอีก 3 แบรนด์ ได้แก่ Flower Mountain, Nixx และ Lomer
]]>
ย้อนกลับไปในปี 2512 สหฟาร์มได้ถือกำเนิดขึ้นจากดร.ปัญญา อดีตนายแพทย์ทหารเรือที่ขณะนั้นทำงานอยู่กระทรวงสาธารณสุขในตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญด้านมาตรการป้องกันโรคได้เลี้ยงไก่ 500 ตัวที่คนอื่นคัดทิ้งมาเลี้ยง
จากนั้นได้เปิดซูเปอร์มาร์เก็ตสหฟาร์มย่านอโศก (ปิดตัวไปแล้ว) เพื่อขายผลิตภัณฑ์จากไก่ที่ตัวเองเลี้ยง กระทั่งอยู่มาวันนึงมีลูกค้าชาวญี่ปุ่นมาแนะนำให้ทำธุรกิจส่งออกเพราะไก่ของสหฟาร์มมีคุณภาพดีมาก ทำให้ดร.ปัญญา ตัดสินใจเริ่มทำธุรกิจส่งออกไก่ไปขายยังต่างประเทศ
ประเดิมที่ญี่ปุ่นเป็นประเทศแรก ก่อนจะขยายไปประเทศอื่น ๆ รวมแล้วปัจจุบันมีการส่งออกไปในกว่า 30 ประเทศ อาทิ เกาหลี จีน สิงคโปร์ ฮ่องกง และอีกหลายประเทศในแถบยุโรป ฯลฯ ติดอันดับหนึ่งในผู้ส่งออกไก่รายใหญ่ของไทยมีรายได้หลักหมื่นล้านบาท
แต่มาถึงวันนี้สหฟาร์มได้ขาดเสาหลักอย่าง ดร.ปัญญาไป หลังจากเมื่อปลายปีที่ผ่านมาท่านเสียชีวิตไปในวัย 93 ปี จึงน่าสนใจว่าอาณาจักรหมื่นล้านแห่งนี้จะเดินหน้าต่ออย่างไร?
“น้ำผึ้งมีความเชื่อว่า ลูกหลานโชติเทวัญเป็นคนเก่ง แล้วมีคุณแม่ (ดร.มนูญศรี) ที่ตอนนี้มานั่งตำแหน่งประธานกรรมการแทนคุณพ่อก็เป็นผู้หญิงเก่งและคุณพ่อยกให้เป็นศิษย์เอกของท่าน บวกกับมีทีมกุนซือหลายคนที่เป็นผู้บริหารอยู่กับเรามานาน 30-40 ปี จึงเชื่อว่า สหฟาร์มจะเดินทางได้อย่างแข็งแกร่ง และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นพวกเราก็พร้อมสู้ไปกับทุกสถานการณ์เหมือนที่เคยผ่านวิกฤตมาหลายต่อหลายครั้ง”
‘น้ำผึ้ง-ดร.จารุวรรณ โชติเทวัญ’ ประธานสายการตลาดต่างประเทศ บัญชี การเงิน และเลขานุการประธานกรรมการบริหาร บริษัท สหฟาร์ม จำกัด หนึ่งในทายาทรุ่น 2 และลูกไม้ใต้ต้นของ ดร.ปัญญา ตอบด้วยความมั่นใจถึงอนาคตของอาณาจักรแห่งนี้หลังจากผู้ก่อตั้งไม่อยู่แล้ว
ตอนนี้คุณแม่ ซึ่งเป็นผู้ร่วมก่อตั้งยังบริหารดูภาพรวม วางวิสัยทัศน์ต่าง ๆ แล้วให้รุ่นลูกเป็นผู้ลงมือทำ แต่จริง ๆ การส่งไม้ต่อทางธุรกิจได้เกิดขึ้นเมื่อ ปี 2565 เป็นช่วงที่สหฟาร์มออกจากแผนฟื้นฟูกิจการ โดยคุณพ่อให้ลูกทั้งหมดเข้ามาทำงานที่สหฟาร์ม
สำหรับตัวน้ำผึ้งเองซึมซับและคลุกคลีการทำงานของคุณพ่อตั้งแต่เด็ก เพราะคุณพ่อพาไปทำงานด้วย วันหยุดก็มานอนเฝ้าแม่ที่ออฟฟิศ แต่ที่เข้ามาทำงานที่สหฟาร์มแบบจริงจังก็เมื่อกว่า 20 ปีก่อนหน้านี้ คือพอเรียนจบก็มาเลย โดยดูแลงานด้านบัญชีการเงิน เป็นเลขานุการของประธานกรรมการ และดูแลในส่วนของการตลาดต่างประเทศ
ช่วงหลายปีที่ผ่านมาคุณพ่อให้วิชามาแบบเต็มที่ ไม่มีกั๊กเลย ไม่มีวิชาไหนเด็ดสุด สิ่งที่เด็ดสุดคือ การนำความรู้เหล่านั้นมาอยู่ในตัวเราได้อย่างไร หยิบมาใช้ได้อย่างไรมากกว่า น้ำผึ้งคุยกับคุณพ่อเยอะมาก ตอนนี้ก็คุยกับคุณแม่มากขึ้น ซึ่งนอกจากจะดูดซับวิชามาแล้ว ต้องให้กำลังใจท่านเพราะตอนนี้คุณแม่ก็อายุเจ็ดสิบกว่าแล้ว
หน้าที่ของเราคือ ทำอย่างไรให้อยู่อย่างมีความสุขที่สุด เพราะสหฟาร์มเป็นบริษัทที่ใหญ่มีพนักงานกว่า 20,000 คน ใครก็ตามที่แบกภาระตรงนี้ มันหนักโดยไม่ต้องทำอะไรเลย หน้าที่ของเราการเป็นลูกกตัญญูจะทำอย่างไรที่จะแบ่งเบาภาระของเขาให้มากที่สุด
หลัก ๆ คือ การนำพาสหฟาร์มสู่ความมั่นคงและเติบโตอย่างยั่งยืน แม้ตอนนี้ธุรกิจเราจะออกจากแผนฟื้นฟูแล้ว แต่ยังต้องชำระหนี้ไปจนถึงปี 2570 ซึ่งเป็นโจทย์ทำได้ เพราะเป็นสิ่งที่มุ่งมั่นตั้งใจ และด้วยตอนนี้ Value มีมูลค่าธุรกิจหลักหมื่นล้านบาท การเดินสู่เป้าหมายเป็นไปได้แน่นอน
ทิศทางของเราจะเติบโตอย่างมั่นคงวางแผนจะโตปีละ 10% เพราะหนึ่งในพันธกิจสำคัญ คือ ชำระหนี้ที่เราต้องทำให้ได้และผิดแผนไม่ได้ ดังนั้น จะเร่งโตไม่ได้ เนื่องจากการเติบโตต้องมีการลงทุน ถือเป็นการเพิ่มหนี้
อย่างแผนในปีนี้มีทั้งการขยายตลาด ซึ่งดีเทลข้างในไม่สามารถเปิดเผยได้ ส่วนการเพิ่มแบรนด์ใหม่ ยังคงไม่เห็นเพราะจะทำภายใต้แบรนด์สหฟาร์มมีการทำรีเทลมากขึ้น เพื่อขยายตลาดในประเทศจากเมื่อก่อนจะเน้นส่งออก 100%
เหตุผลของการจะทำรีเทลมากขึ้น เพราะตอนไปออกงาน THAIFEX – ANUGA ASIA 2024 มีคนเรียกร้องสินค้าสหฟาร์ม แต่ไม่รู้จะหาซื้อที่ไหนนอกจากซูเปอร์มาร์เก็ตที่สำนักงานใหญ่ ทำให้เห็นโอกาส ซึ่งสัดส่วนของรายได้จะเปลี่ยนไป จากปัจจุบันรายได้ในประเทศ 30% ส่งออก 70%
ส่วนแบรนด์พอลดีย์ (Pauldy) ที่น้ำผึ้งสร้างขึ้นมาช่วงโควิดเพื่อต่อยอดจากสหฟาร์มในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าทั่วไป ปีนี้อาจมีการแตกไลน์สินค้าพร้อมรับประทาน หรือ Ready to eat ตอบโจทย์เทรนด์ผู้บริโภคที่ต้องการความสะดวกสบายในปัจจุบัน หรืออาจจะมีการทำ Co-Branding เพื่อเพิ่มมาร์เก็ตแชร์ในตลาด ซึ่งอยู่ระหว่างการวางแผน แต่เห็นในปีนี้
สำหรับน้ำผึ้งคือการทำงานเป็นทีมเวิร์ก เนื่องจากส่วนตัวมองว่า เราไม่สามารถประสบความสำเร็จได้ด้วยตัวคนเดียว ฉะนั้นเราต้องมีทีมเวิร์ก ตอนนี้พี่ชายกับน้องชายของน้ำผึ้งเข้ามาดูแลสหฟาร์มด้วย คือ พี่ก้อง (ดร.ก้องเทวัญ โชติเทวัญ) ดูในตำแหน่งประธานสายโรงงานแปรรูปการผลิต และโรงงานอาหารสำเร็จรูป
ส่วนน้องชาย (สิรวิชญ์ โชติเทวัญ) ดูแลในตำแหน่งรองประธานสายกิจการต่างประเทศ และยังมีผู้บริหารซึ่งเสมือนขุนพลของเราที่เข้ามาทำงาน 30-40 ปี มีพนักงานที่เป็นขุมกำลังทำงานเป็นทีมเดียวกัน มี mindset เดียวกัน เพื่อพาองค์กรเดินหน้าสู่การเติบโตไปข้างหน้าอย่างยั่งยืน
แล้วส่วนตัวน้ำผึ้งเอง เป็นคนมุ่งมั่นจะทำอะไร จะต้องทำอันไหนจนสำเร็จ เพราะคุณพ่อของน้ำผึ้งจะสอนเสมอว่า ชีวิตเราจะต้องฝ่าฟันอุปสรรค และการทำธุรกิจเสมือนกับการทำสงคราม ดังนั้นทุกคนในองค์กรที่เหมือนกับกองทัพ จำเป็นต้องร่วมแรงร่วมใจกันต่อสู้เพื่อชัยชนะ
เป็นเรื่องของ mind set ที่เป็นปรัชญาของเขา คือ เวลาเราเจอปัญหาหรืออุปสรรคต่าง ๆ ให้คิดว่า มันคือโอกาส ที่เราจะได้ใช้ความคิด สติปัญญา ความสามารถ ต่อสู้ให้ผ่านพ้นจุดนั้นมาได้ และจะเป็นวิชาสำหรับเรา ซึ่งไม่ว่าจะเกิดวิกฤตอะไร น้ำผึ้งจะหาโอกาสทุกครั้งเสมอ อย่างช่วงโควิดที่แจ้งเกิดแบรนด์พอลดีย์ขึ้นมา
อีกเรื่อง Positive Thinking มีอะไรให้คิดบวกเข้าไว้ คุณพ่อจะสอนเสมอว่า ถ้าเราคิดว่า เราสำเร็จ เราจะหาร้อยแปดเหตุผล พยายามหาวิธีทุกอย่างมาทำให้เราสำเร็จ แต่เมื่อไรที่เราคิดว่า ทำไม่ได้ เราก็จะหาเหตุผลต่าง ๆ นานามา บอกว่า ทำไม่ได้ ซึ่งการมี Negative Thinking จะทำให้เราไม่มีวันสำเร็จได้เลย
ที่สำคัญ ต้องลงมือทำ แล้วหากทำไม่สำเร็จ เราต้องพยายามคิดเปลี่ยนแผนเพื่อให้ทำจนสำเร็จให้ได้ การปรับตัวเร็วก็เป็นสิ่งจำเป็น การพลิกแพลงไปตามสถานการณ์ และการตัดสินใจสำคัญมากเช่นกัน หลายคนอาจตัดสินใจไม่ได้จะทำอย่างไร พอตัดสินใจไม่ได้ ทุกอย่างจะช้าไม่ทันการ
]]>ข้อมูลจาก โรงพยาบาลสุขภาพจิต BMHH ได้เปิดเผย 6 สัญญาณ ที่บอกว่าความคาดหวังกำลังกลายเป็นแรงกดดัน ดังนี้
ธุรกิจอาหารยังขึ้นชื่อว่าเป็นธุรกิจดาวรุ่งในประเทศไทยที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้จะผ่านช่วง COVID-19 มาแล้ว แต่อุตสาหกรรมยังเติบโตได้ดี แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาอาจต้องเจอความท้าทายรอบด้านทั้งต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น ค่าแรงที่สูงขึ้น รวมไปถึงการตีตลาดของกลุ่มทุนจีน ก็เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ผู้ประกอบการร้านอาหารต้องแก้เกมกันอย่างหนัก
ไทยเบฟเวอเรจเป็นอีกหนึ่งบริษัทยักษ์ใหญ่ที่พอร์ตใหญ่เป็นกลุ่มเครื่องดื่ม แต่ก็ให้น้ำหนักกับธุรกิจอาหารไม่แพ้กัน เพราะเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการจำหน่ายเครื่องดื่มได้ ซึ่งไทยเบฟฯ ได้ปั้นกลุ่มธุรกิจอาหารมาเป็นเวลานาน แต่เดิมเน้นที่ร้านอาหารญี่ปุ่นภายใต้โออิชิ กรุ๊ป แต่ได้เพิ่มเติมพอร์ตด้วยอาหารกลุ่มอื่นๆ ให้มีความหลากหลายมากขึ้น
ไพศาล อ่าวสถาพร ถือว่าเป็นลูกหม้อของโออิชิมายาวนาน ตั้งแต่สมัยอยู่กับ “ตัน ภาสกรนที” มาจนถึงโออิชิเข้ามาอยู่ในเครือไทยเบฟฯ ทำให้มีภาพลักษณ์เป็นเจ้าพ่อร้านอาหารญี่ปุ่นมาตลอด แต่เมื่อเดือนตุลาคม 2564 มีการปรับโครงสร้างใหม่ ไพศาลได้ไปดูแล Bistro Asia เป็นอาณาจักรร้านอาหารนานาชาติ กับตำแหน่งกรรมการ ผู้จัดการ บริษัท บิสโตร เอเชีย จำกัด โดยผลงานแรกสามารถพลิกขาดทุนเป็นกำไรได้ภายใน 7 เดือน
เมื่อเดือนมกราคม 2568 ไทยเบฟฯ ได้เขย่าผังองค์กรอีกครั้ง ให้ไพศาลกลับมาคุมทัพ พร้อมตำแหน่งใหม่ ผู้อำนวยการอาวุโส ผู้บริหารสูงสุด สายธุรกิจอาหาร (ประเทศไทย) โดยจัดพอร์ตใหม่แบ่งเป็น 3 บริษัท ได้แก่
1. Bistro Asia มีร้านอาหารในเครือ 8 แบรนด์ ได้แก่ บ้านสุริยาศัย, HYDE & SEEK, หม่าน ฟู่ หยวน, โซ อาเซียน, สโมสรราชพฤกษ์, ศูนย์อาหารฟู้ด สตรีท, แวนเทจ พอยท์, BAB Cafe
2. Max Asia มีร้านในเครือ 2 แบรนด์ ได้แก่ MX Cakes & Bakery, Homebake by MX
3. Spice of Asia มี 5 ร้านในเครือ ได้แก่ สโมสร, Chilli, Cafe Chilli, เสือใต้ และเลิศเหลา
4. Red Lobster Retail Asia มี 1 ร้าน ได้แก่ Red Lobster
5. The C Canvas มี 1 ร้านในเครือ ได้แก่ ช้าง แคนวาส (Chang CANVAS)
ถ้าถามว่าหนึ่งในมิชชั่นสำคัญของการเป็นแม่ทัพกลุ่มอาหารของไทยเบฟฯ คืออะไรบ้าง ไพศาลตอบอย่างรวดเร็วเลยว่า “ปรับโฉมให้โออิชิ” ที่ต้องบอกว่าเป็นลูกรักของไพศาลก็ไม่ผิด เพราะปั้นมาเองกับมือ ซึ่งในช่วงหลังธุรกิจอาหารญี่ปุ่นเจอความท้าทายรอบด้าน มีคู่แข่งเยอะมากขึ้น ทำให้โออิชิค่อนข้างดรอปลงไป
ถ้าดูในเรื่องผลประกอบการ หรือการขยายสาขา โออิชิยังทำได้ตามเป้า เพียงแต่ “ไม่เซ็กซี่” เหมือนเดิม ไพศาลต้องการปรับลุค ปรับภาพลักษณ์ให้กลับมาสนุก และมีมูฟเมนต์ใหม่ๆ มากขึ้น โดยสมัยที่ไพศาลยังดูแลกลุ่มอาหารของโออิชิ กรุ๊ป มีการเปิดแบรนด์ใหม่ และแคมเปญใหม่อย่างต่อเนื่องหรือแม้แต่ตอนไปดู Bistro Asia ก็มีเปิดแบรนด์ใหม่ด้วยเช่นกัน
อีกหนึ่งก้าวสำคัญของกลุ่มธุรกิจอาหาร ไทยเบฟ ในปีนี้ คือ การเปิดร้านอาหารภายใต้โครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ “วัน แบงค็อก” ด้วยงบลงทุนรวมกว่า 400 ล้านบาท เพื่อเป็นโชว์เคสรวมแบรนด์ร้านอาหารในเครือไว้ในที่เดียว มากถึง 15 แบรนด์ โดยใช้กลยุทธ์ “1 ร้าน 1 แบรนด์” ไม่แข่งกันเอง แต่เสริมกันครบพอร์ต ได้แก่
โฮว ยู (Hou Yuu), ซาคาเอะ (Sakae), ชาบูชิ อิชิเทน (Shabushi ICHITEN), โออิชิ บิซโทโระ (OISHI Biztoro), เคเอฟซี (KFC), บ้านสุริยาศัย (Baan Suriyasai), หม่าน ฟู่ หยวน (Man Fu Yuan), แวนเทจ พอยท (Vantage Point), ไฮด์ แอนด์ ซีค (Hyde & Seek), ฟู้ด สตรีท (Food Street), โฮมเบค บาย เอ็ม เอกซ์ (Home by mx), สโมสร (Samosorn), เลิศเหลา (Lert Laow), คาเฟ่ ชิลลี่ (Cafe Chilli) และช้าง แคนวาส (Chang CANVAS)
โดยไฮไลต์สำคัญของโปรเจกต์นี้ คือ “ช้าง แคนวาส” ด้วยงบลงทุนกว่า 300 ล้านบาท เป็น Iconic Social Brewhouse มีการออกแบบพื้นที่สไตล์โมเดิร์น และประสบการณ์แบบ Multi-sensory ที่แตกต่างจากร้านอาหารทั่วไป นอกจากนี้ ยังมี “สโมสร” ร้านอาหารไทยร่วมสมัย และ “เลิศเหลา” ร้านเกาเหลาหม้อไฟระดับพรีเมียม ตอบโจทย์คนรักเนื้อ และผู้ที่ชื่นชอบอาหารแนว comfort food แบบมีคลาส
“ร้านอาหารที่เราเปิดใน วัน แบงค็อก ไม่ได้เป็นเพียงแค่การขยายจุดให้บริการ แต่คือการนำเสนอภาพรวมของพลังแบรนด์ในกลุ่มธุรกิจอาหารของไทยเบฟ ที่สามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้ทุกเซกเมนต์ ตั้งแต่ street food ไปจนถึง fine dining ซึ่งเราตั้งใจให้ที่นี่เป็นเสมือนโชว์เคสที่สะท้อนความพร้อมของกลุ่มฯ ทั้งด้านคุณภาพสินค้า บริการ ประสบการณ์ที่แตกต่าง และศักยภาพในการแข่งขันในตลาดระดับบน ซึ่งทั้งหมดนี้จะเป็นจุดเชื่อมโยงที่ดี ระหว่างแบรนด์ของเรา กับผู้บริโภคยุคใหม่ที่มองหาไลฟ์สไตล์ที่มีความหมาย”
ปัจจุบันกลุ่มธุรกิจอาหารทั้ง 3 บริษัท รวม 28 แบรนด์ มีสาขารวมทั้งหมด 847 สาขา โดยที่กลุ่ม QSA มีสาขามากสุดที่ 500 สาขา กลุ่มโออิชิ 284 สาขา และกลุ่ม FOA 63 สาขา
ในปีนี้คาดการณ์ว่าจะขยายสาขาเพิ่มอีก 31 สาขา และอาจจะมีเปิดตัวแบรนด์ใหม่อีก 2-3 แบรนด์
]]>
The Harris Poll ได้ทำการสำรวจซีอีโอกว่า 500 คนในยุโรป โดย 1 ใน 4 เป็นบริษัทด้านเทคโนโลยี พบว่า ซีอีโอถึง 74% ยอมรับว่า ตนเองอาจจะต้องออกจากงานภายใน 2 ปี หากยังไม่สามารถใช้ AI มาเป็นตัวขับเคลื่อนหลักเพื่อสร้างผลกำไร
เมื่อเทียบกับคู่แข่ง ซีอีโอ 70% คาดการณ์ว่า ภายในสิ้นปีนี้จะมีซีอีโอคนอื่น ๆ อย่างน้อยหนึ่งคนจะถูกปลดออกจากตำแหน่ง เนื่องจากกลยุทธ์ AI ที่ล้มเหลว ขณะเดียวกันซีอีโอราว 54% ยอมรับคู่แข่งมีการนำกลยุทธ์ AI ที่เหนือกว่ามาใช้แล้ว ซึ่งย้ำให้องค์กรต่าง ๆ เห็นถึงความเร่งด่วนในการนำ AI มาใช้อย่างเป็นรูปธรรม
ผลการวิจัยชิ้นนี้ ยังชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในการรับผิดชอบของผู้บริหาร โดยซีอีโอถึง 94% ยอมรับว่า AI สามารถให้คำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจได้เท่าเทียมหรือดีกว่าบอร์ดบริหารที่เป็นมนุษย์
และซีอีโอ 89% เชื่อว่า AI สามารถพัฒนาแผนยุทธศาสตร์ได้เท่าเทียมหรือดีกว่าผู้นำฝ่ายบริหารในระดับ รองประธาน ไปจนถึง C-Level เสียอีก
ที่มา
.
https://www.businessinsider.com/ceos-insecure-about-ai-strategy-2025-3
]]>
แอนดี้ เกิดเมื่อปี 2536 โดยเขาเป็นศิลปินแนวป๊อป เซอร์เรียล (Pop Surreal) ที่หลงใหลในศิลปะมาตั้งแต่เด็ก ๆ และได้รับแรงบันดาลใจจากหนังสือ I AM PLASTIC ที่บอกเล่าเรื่องราวของต้นกำเนิด ตลอดจนวิวัฒนาการ ‘ของเล่น’ ซึ่งปลุกพลังความคิดสร้างสรรค์ของเหล่าศิลปินเพื่อดีไซน์ของเล่นให้มีความโดดเด่นและแปลกใหม่
ด้วยความต้องการที่จะเดินบนเส้นทางที่ตัวเองรัก เขาเลือกเรียนสาขาออกแบบอุตสาหกรรม และตัดสินใจเรียนต่อในระดับปริญญาโท ที่ Pratt Institute ในนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เพื่อผสานทักษะการออกแบบให้เข้ากับศิลปะ
แอนดี้เล่าให้ Positioning ฟังว่า การเข้าสู่วงการ Art Toy เกิดจาก Passion ที่อยากทำ จึงเริ่มต้นลองปั้นและหล่อแบบขึ้นมาเอง โดยผลงานตัวแรกก็คือ Rosado มอนสเตอร์ขนฟูในชนเผ่าปลูกเห็ด ผู้บุกเบิกอาณาจักร MRKREME
“การดีไซน์พื้นฐานมาจากความชื่นชอบของตัวเองจริง ๆ คือผมชอบมอนสเตอร์อยู่แล้วตั้งแต่เด็ก โดยเฉพาะมอนสเตอร์ยุค 80 ซึ่งเป็นยุคที่มีเสน่ห์และเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่ว่าจะเป็น การมีสีสันฉูดฉาด ดีไซน์เหนือจินตนาการ เพราะเป็นยุคที่ผู้คนต้องการมีความสุขหลังต้องเผชิญกับสงคราม”
ตอนแรกเขาไม่คิดว่า ผลงานจะขายได้ แต่เมื่อโพสต์ไปในโลกโซเชียลปรากฏมี ‘คนสนใจซื้อ’ และเมื่อนำไปออกงาน Art Toy ก็มีค่ายไต้หวันให้ความสนใจและเซ็นสัญญาเพื่อนำไปผลิตสำหรับวางขาย
นั่นทำให้แอนดี้เห็นว่า Art Toy เป็นอาชีพที่สามารถทำรายได้ให้ได้
จากตัวแรก Rosado เขาได้ขยายโลกแห่งมอนสเตอร์ของตัวเองให้กว้างกว่าเดิม ด้วยผูกเรื่องราวและสร้างตัวละครต่าง ๆ ได้อย่างน่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็น Mushkin มอนสเตอร์ขนฟูสีขาวที่มากินเห็ดของ Rosado แบบไม่ได้รับอนุญาต จนทั้งคู่กลายเป็นศัตรูกัน และขยายสู่ตัวอื่น ๆ กระทั่งตอนนี้โลกมอนสเตอร์ของแอนดี้มีคาแรกเตอร์มากกว่าร้อยตัว อาทิ Corkin, Zable, Gally, Odey ฯลฯ ที่ยังคงเอกลักษณ์ซึ่งเป็นจุดขายไว้อย่างเหนียวแน่น นั่นคือ เป็นมอนสเตอร์ขนฟู สีสันฉูดฉาด แต่แฝงไปด้วยความน่ารัก
โดยปัจจุบัน MRKREME เป็นผลงาน Art Toy ที่วางขายในหลายประเทศ อาทิ ไทย ไต้หวัน, ฮ่องกง, สิงคโปร์, สหรัฐอเมริกา, ฝรั่งเศส, อังกฤษ เป็นต้น ซึ่งงานของเขาติดอันดับ Art Toy ของศิลปินไทยที่หายากและคนยอมจ่ายแม้ราคาจะสูงก็ตาม
นอกจากนี้ ยังได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง ทั้งจากการร่วมงานกับแบรนด์ระดับโลกอย่าง Birkenstock, Samsung และ The Standard X รวมถึงการแสดงงานทั่วโลกในสหรัฐฯ ฝรั่งเศส สิงคโปร์ และอื่น ๆ
การสร้างสรรค์งานให้โดดเด่นได้นั้น แอนดี้บอกว่า ไม่มีสูตรตายตัว แต่หลัก ๆ มาจากการทำความเข้าใจตัวเอง เพราะทุกคนมีความชอบและลายเซ็นต์ที่เป็นเอกลักษณ์โดดเด่นอยู่แล้ว แค่ศิลปินแต่ละคนเข้าใจตัวเองมากน้อยแค่ไหน และสื่อสารออกมาได้ดีมากน้อยเพียงใด
เมื่อก่อนหลายคนคิดว่า Art Toy ไม่สามารถสร้างรายได้และเป็นอาชีพสำหรับดำรงชีวิตได้ แต่เขายืนยันว่า ‘ได้’ และ ‘มีแนวโน้มการเติบโตที่ดี’ ซึ่งหากใครอยากเข้ามาวงการนี้ นอกจากการทำความเข้าใจตัวเอง และการถ่ายทอดงานออกมาให้ดีที่สุดแล้ว ต้องยืนระยะให้ยาว ‘ทำในสิ่งที่เราทำ แล้วทำให้ดีไปเรื่อย ๆ อย่าโอนเอนไปกับเทรนด์’ เพื่อรักษาตัวตนและเอกลักษณ์ของตัวเองไว้
เพราะเมื่อจังหวะมาหา เราจะสามารถคว้าโอกาสนั้นไว้ได้ และทำในสิ่งที่ทำได้ดี
สำหรับเป้าหมายของแอนดี้ ไม่ได้อยากให้งานของตัวเองแมสหรือโด่งดังในระดับโลก ขอแค่มีสเปซดี ๆ มิวเซียมดี ๆ ให้ได้เล่าเรื่องราวที่อยากจะเล่า ได้ลองทำในสิ่งใหม่ ๆ ก็รู้สึกพอใจมากแล้ว
อย่างนิทรรศการ THE BOOTLEG SHOW: การสำรวจต้นฉบับและการบิดเบือน จัดขึ้นตั้งแต่ 5 เม.ย.- 29 มิ.ย.2568 ณ MOCA BANGKOK ที่เริ่มต้นจากคำถามง่าย ๆ ว่า แต่ลึกซึ้ง ‘ความเป็นต้นฉบับคืออะไร?’ ซึ่ง MRKREME เริ่มต้นจากการออกแบบคาแรกเตอร์ Mushkin เพื่อผลิตเป็นอาร์ตทอย แต่เมื่อเข้าสู่กระบวนการผลิตจริง คาแรกเตอร์ที่ออกมานั้นกลับแตกต่างจากต้นแบบอย่างชัดเจน
ความคลาดเคลื่อนที่เกิดขึ้นไม่ได้ทำให้ศิลปินหยุด หากกลับกลายเป็นจุดตั้งต้นของการสำรวจใหม่ว่า แก่นแท้ของความคิดสร้างสรรค์อาจไม่ได้อยู่ที่ความสมบูรณ์แบบ แต่อยู่ที่ความผิดเพี้ยน การตีความ และมุมมองมากกว่า
เช่นเดียวกับตัวเขาที่อยากเรียนรู้และทำความเข้าใจตัวเองผ่านงานศิลปะไปเรื่อย ๆ
]]>คุณเคยใช้ Kahoot! หรือไม่? หากเคย ภาพแรกในใจของคุณคืออะไร? หลายคนคงนึกถึงเกม Quiz สนุก ๆ ที่อาจารย์นำมาใช้ในห้องเรียนเพื่อกระตุ้นให้นักเรียนตื่นตัว แต่ Kahoot! ไม่ได้ต้องการให้คนจดจำแบบนั้น แม้ว่า Kahoot! จะใช้เกมมาเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ก็ตาม
“ตอนนี้เราก้าวข้ามสิ่งนั้นไปไกลแล้ว เรากลายเป็นแพลตฟอร์มการเรียนรู้ที่ก้าวหน้าและขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย เช่น AI โดยเป้าหมายของเราคือช่วยให้ครูผู้สอนนำเวลาไปทุ่มเทให้กับนักเรียน แทนที่จะเสียเวลาไปกับงานที่เทคโนโลยีทำแทนได้” อาเธอร์รัม อธิบาย
ดังนั้น การก้าวออกจากภาพจำที่ว่า Kahoot! เป็นเพียงแค่เกม ถือเป็นภารกิจที่สำคัญของ Kahoot! “เพราะตลอด 12 ปีที่ผ่านมา เราได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ มากมายที่ช่วยสร้างสื่อการเรียนการสอน ไม่ใช่แค่เครื่องมือสร้างแบบทดสอบหรือเกมอีกต่อไป”
ในปีที่ผ่านมา ไทยมีจำนวนผู้ใช้ Kahoot! ถึง 20 ล้านคน และมีการจัดเซสชั่นมากกว่า 2 ล้านเซสชั่น ซึ่งตัวเลขเหล่านี้บ่งบอกถึงศักยภาพอันมหาศาลของตลาดไทย นี่จึงเป็นเหตุผลที่ Kahoot! ตัดสินใจเปิดตัว Kahoot! เวอร์ชั่นภาษาไทย โดยไทยถือเป็น ประเทศแรกในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่ Kahoot! มีเวอร์ชั่นภาษาท้องถิ่นให้ใช้ ตามด้วยประเทศเวียดนาม
“ต้องยอมรับว่า ภาษาอังกฤษเป็นอุปสรรคสำหรับหลายประเทศทั่วโลก ดังนั้น การปรับเป็นภาษาท้องถิ่นจะช่วยให้การใช้งานเติบโตอย่างก้าวกระโดด และเราเชื่อมั่นว่าไทยจะเป็นหนึ่งในตลาดที่มีศักยภาพสูงสุดของเรา”
นอกจากการเปิดตัวภาษาไทยแล้ว Kahoot! ยังร่วมมือกับพันธมิตรด้านเนื้อหาในไทยหลายแห่ง เพื่อสร้างคอนเทนต์ที่เข้าใจง่ายและเหมาะสมกับบริบทของประเทศไทย
“เราได้ไปเยี่ยมโรงเรียน มหาวิทยาลัย และพูดคุยกับครูผู้สอนโดยตรง สิ่งที่น่าประทับใจคือมีครูอาจารย์หลายคนที่รักและชื่นชอบ Kahoot! มาก บางคนถึงกับอาสามาเป็นตัวแทน Kahoot! เพื่อช่วยเผยแพร่และเชื่อมต่อกับผู้ใช้คนอื่น ๆ นี่คือสิ่งที่ทำให้เรายืนยันได้ว่า Kahoot! ให้ความสำคัญกับประเทศไทยเป็นอย่างมาก”
เมื่อถามถึงความกังวลเรื่องอัตราการเกิดที่ต่ำลงทั่วโลก ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อแพลตฟอร์มการศึกษา อาเธอร์รัม มองว่า “ตราบใดที่เรายังมีชีวิตอยู่ในฐานะมนุษย์ การเรียนรู้ก็ไม่มีวันสิ้นสุด” เขากล่าว “โลกทุกวันนี้มีความรู้ใหม่ ๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา และต่อให้อัตราการเกิดจะลดลง ผมไม่เชื่อว่าประชากรโลกที่สนใจในด้านการศึกษาจะหายไป”
ปัจจุบันลูกค้าของ Kahoot! แบ่งเป็นสองส่วนเท่า ๆ กัน ครึ่งหนึ่งคือสถานศึกษา อีกครึ่งเป็นองค์กรธุรกิจ โดยตลาดองค์กรกำลังเติบโตในอัตราที่สูงกว่า ซึ่งแสดงให้เห็นว่าโอกาสของ Kahoot! ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในห้องเรียนอีกต่อไป
“ทุกองค์กรต้องการพัฒนาพนักงานให้มีทักษะที่ทันสมัย โดยเฉพาะในยุค AI ที่กำลังเปลี่ยนแปลงโลกอย่างรวดเร็ว” เขากล่าว “และนี่คือโอกาสอันยิ่งใหญ่ของเรา”
เมื่อถามถึงเคล็ดลับความสำเร็จของ Kahoot! อาเธอร์รัมเผยว่า องค์ประกอบแรกคือ ทุกคนในองค์กรต้องรู้จักแพลตฟอร์มของตัวเองอย่างลึกซึ้ง และเห็นภาพรวมว่า แต่ละคนมีส่วนช่วยให้องค์กรเติบโตได้อย่างไร
แต่สิ่งที่เขาเน้นย้ำมากที่สุดคือ การสื่อสารและความโปร่งใส “ทุกครั้งที่ทีมทำงาน จะต้องแชร์ข้อมูลให้เพื่อนร่วมงานฟังเสมอ ไม่ว่าจะอยู่ที่สำนักงานใหญ่หรือสาขาในต่างประเทศ” เขาอธิบาย “เราต้องแชร์องค์ความรู้ แชร์ฟีดแบ็กจากลูกค้า เพื่อให้ทั้งองค์กรเห็นภาพเดียวกัน”
“การทำงานของเราไม่ใช่แบบ Silo หรือแยกส่วน เราเน้นการ Work Cross Function และมีระบบการทำงานร่วมกันที่โปร่งใสมาก เพื่อนำฟีดแบ็กจากการทำงานหรือจากลูกค้ามาปรับปรุงผลิตภัณฑ์และข้อเสนอ นี่คือหัวใจสำคัญอันดับหนึ่งของการบริหารองค์กรที่ประสบความสำเร็จ” อาเธอร์รัม ย้ำ
เมื่อมองไปข้างหน้า อาเธอร์รัมเชื่อว่า Kahoot! จะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในประเทศไทยที่มีศักยภาพสูง “ผมมองเห็นอนาคตที่สดใสของการศึกษาในยุคดิจิทัล และ Kahoot! พร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงนั้น” เขากล่าวทิ้งท้าย
]]>
ร่าง 1 ‘นักผจญเพลิง’ : ขณะที่เกิดปัญหา คนอื่นอาจจะหนีเอาตัวรอด แต่ผู้นำในร่างนักผจญเพลิง จะวิ่งเข้าหาปัญหา โดยคิดและพยายามวางแผน หาทางให้ทั้งตัวเองและคนอื่นรอดปลอดภัย
ร่าง 2 ‘วาทยกร’ : วาทยกร จะทำหน้าที่เป็นผู้ควบคุมวงให้เล่นดนตรีได้ตามจังหวะที่ถูกต้อง เช่นเดียวกับผู้นำที่จะคอยจัดสรรคนหรือพนักงานให้สามารถทำงานได้อย่างราบรื่น มีความเหมาะสมและถูกความสามารถ
ร่าง 3 ‘จิตแพทย์’ : เมื่อมีคนในทีมเข้ามาปรึกษา ผู้นำร่างนี้จะคอยรับฟังแล้ววิเคราะห์อย่างเข้าใจ แต่ไม่ตัดสิน เพื่อให้ทุกครั้งที่มีคนเดินเข้ามาหา แล้วออกไปด้วยความสบายใจ
ร่างที่ 4 ‘เชียร์ลีดเดอร์’ : เวลาทีมเหนื่อยหรือเกิดความท้อ จะคอยให้กำลังใจหรือสร้างแรงกระตุ้นให้คนในทีมสนุกและพร้อมจะแข่งขัน ที่สำคัญไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เชียร์ลีดเดอร์จะต้อง ‘ยิ้ม’ อยู่เสมอ
ร่างที่ 5 ‘โค้ชฟุตบอล’ : ผู้นำร่างนี้จะต้องวางแผน ควบคุมดูแลทีม มองหาทั้งจุดอ่อนและจุดแข็งของแต่ละคน เพื่อจะกดดันและผลักดันทีมให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ สำคัญมากกว่านั้น คือ ต้องทำให้ทุกคนในทีมพร้อมก้าวต่อไปเสมอ
ทั้งนี้ ผู้นำทั้ง 5 ร่าง จะมีจุดเชื่อมโยงกัน นั่นก็คือ Communication skill หรือ ‘ทักษะการสื่อสาร’ ซึ่งหากผู้นำสามารถสื่อสารได้ดี จะส่งผลให้ทิศทางของทีมเดินไปในทางที่ดี พร้อมสู้และฝ่าฟันอุปสรรค
ในทางกลับกันถ้าสื่อสารได้ไม่ดี จะกระทบต่อขวัญและกำลังใจของคนในทีม รวมไปถึงอาจมีความเคลือบแคลงสงสัยในการทำงานตลอดเวลา ขาดความร่วมมือที่ดี และแน่นอนย่อมกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงาน
สำหรับสิ่งสำคัญที่จะทำให้สื่อสารได้ดีนั้น ประการแรก อย่าเริ่มต้นการสื่อสารด้วย ‘จะพูดอะไร’ แต่เริ่มที่ ‘พูดเพื่ออะไร’ เช่น พูดเพื่อให้ข้อมูลข่าวสาร อยากให้เขามีความรู้สึกอย่างไร หรือต้องการให้มีผลอย่างไร เป็นต้น
ผู้พูดไม่ควรพูดแต่เรื่องตัวเอง ต้องคำนึงถึงผู้ฟังด้วยว่าต้องการทราบอะไร เพราะการที่พูดถึงตัวเองอย่างเดียว เป็นการสื่อสารที่จะทำให้เราไม่เห็นความสำคัญของคนอื่น และต่อไปคนอื่นจะไม่เห็นความสำคัญของเราเช่นกัน
ถัดมา ควรใช้คำพูดที่สื่อสารแล้วเข้าใจง่าย มีการรับฟังเพื่อทำความเข้าใจ ไม่ใช่เพื่อ ‘โต้เถียง’ และต้องสื่อสารแบบ Clear+Care เคารพซึ่งกันและแม้จะมีความเห็นหรือจุดยืนต่างกันก็ตาม
]]>
การสำรวจดังกล่าว เมื่อพิจารณากลุ่มอาชีพที่มีสัดส่วนการมีภาระหนี้มากสุด ได้แก่ อันดับ 1 ‘พนักงานของรัฐ’ 68.18% ตามด้วย ‘เกษตรกร’ 57.16% และ ‘พนักงานเอกชน’ 53.15% ขณะที่ ‘นักศึกษาและผู้ไม่ได้ทำงาน’ และ ‘กลุ่มเกษียณอายุ’ มีสัดส่วนภาระหนี้น้อยที่สุดอยู่ที่ 20.51% และ 26.74%
เมื่อแบ่งตามกลุ่มรายได้ จะพบว่า กลุ่มที่มีรายได้สูงขึ้นจะมีสัดส่วนของผู้ที่มีภาระหนี้มากขึ้น โดย
กลุ่มผู้มีรายได้ต่อเดือนตั้งแต่ 100,000 บาทขึ้นไป สัดส่วนอยู่ที่ 81.25%
รองลงมา กลุ่มรายได้ระหว่าง 50,001 – 100,000 บาท สัดส่วนอยู่ที่ 76.15%
กลุ่มรายได้ระหว่าง 40,001 – 50,000 บาท สัดส่วนอยู่ที่ 62.96%
ส่วนสาเหตุของการเกิดหนี้ ได้แก่
การซื้อและผ่อนอสังหาริมทรัพย์ ที่อยู่อาศัย และ ยานพาหนะ 27.47
ภาระหนี้จากค่าใช้จ่ายประจำที่เพิ่มสูงขึ้น 25.56
ภาระหนี้เพื่อการลงทุน 11.94
ประเภทของหนี้สิน ภาระหนี้ในระบบมากสุด 79.89% รองลงมาด้วยการมีภาระหนี้ทั้งในระบบและนอกระบบ 13.53% และภาระหนี้นอกระบบ 6.58% ซึ่งลดลงเล็กน้อยจากผลการสำรวจในปี 2566 ที่ 7.19%
ผลสำรวจนี้ เมื่อมาพิจารณาจำแนกตามกลุ่มอาชีพ จะพบว่า ‘พนักงานของรัฐ’ เป็นผู้มีสัดส่วนภาระหนี้ในระบบมากสุด 90.37% รองลงมาคือ ‘เจ้าของกิจการ’ และ ‘นักศึกษา’
ขณะที่ ‘เกษตรกร’ เป็นอาชีพที่มีสัดส่วนการมีหนี้ทั้งในระบบและนอกระบบมากที่สุด 22.20% และ ‘อาชีพรับจ้างอิสระ’ เป็นอาชีพที่มีสัดส่วนภาระหนี้นอกระบบมากสุด 15.59% ซึ่งอาจเกิดขึ้นจากปัญหาการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของกลุ่มอาชีพที่ไม่มีรายได้ที่ชัดเจนและแน่นอน
และหากจำแนกตามกลุ่มรายได้ พบว่า กลุ่มที่มีรายได้ต่อเดือนไม่เกิน 20,000 บาท เป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนการมีภาระหนี้นอกระบบและภาระหนี้ในทั้งสองระบบมากที่สุด อาจสะท้อนถึงปัญหาภาระหนี้ที่ส่งผลกระทบต่อกลุ่มผู้มีรายได้ไม่สูงมากนัก
ที่มา: https://tpso.go.th/news/2503-0000000013
]]>ก่อนหน้านี้ วิน วิลเลียม ไลฟ์ฉลองครบรอบวันเกิดไป Birthday Super Big Sale โดยการไลฟ์แค่วันเดียว! ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง! มีคนแห่ซื้อไปมากกว่า 500,000 ออเดอร์ ภายในเวลาแค่ 15 นาที! โดยยอดขายรวมล่าสุด ทะลุหลัก 100 ล้านไปแล้ว เป็นยอดขายสูงสุดในประวัติศาสตร์การไลฟ์ขายครั้งเดียวทาง TikTok Thailand
วิน วิลเลียมเคยสร้างความฮือฮามาหลายครั้งแล้ว เช่น บินไปถึงเมืองเฉิงตู จีน เพื่อไลฟ์ขายตุ๊กตาฮอต ลาบูบู้ ให้ทาง POP Mart ยังบินไปจีนอีกครั้ง เพื่อไลฟ์ขายรถยนต์ BYD จนคนแห่ซื้อทะลุเป้า
จุดเริ่มต้นของปรากฏการณ์วิน วิลเลียม ถูกมองว่าคล้ายกับพิมรี่พาย คือแจกเงินรัวๆ จนได้ใจคนสมัยใหม่ที่ชื่นชอบการตลาดแบบแจกเงินแบบเห็นได้ชัด ความใจบุญทำให้ “ได้เอนเกจเมนต์สูงมาก” มีคำวิจารณ์ว่าการแจกเงิน 1 ล้าน นำมาสู่การได้รับยอดไลก์-ยอดแชร์ มากกว่าการชื้อพื้นที่สื่อถึง 10 เท่า
สำหรับคลิปไวรัลของวิน วิลเลียม นั้นมีทั้งคลิปที่วินเข้าไปในร้านอาหาร แล้วชวนพนักงานเสิร์ฟให้เล่นเกมง่ายๆ โดยให้เลือกระหว่างเงินสด 10,000 บาท กับกล่องปริศนา ซึ่งเมื่อเปิดกล่องออกมาก็ปรากฏว่าในกล่องมีเงินสดถึง 100,000 บาท พร้อมมอบให้พนักงานคนนั้นไปทันที คลิปนี้สร้างความประทับใจและกลายเป็นไวรัลบนโลกโซเชียล อย่างรวดเร็ว
อินฟลูเอนเซอร์ใจบุญมีอีกบทบาทหนึ่งคือเป็นพ่อค้าออนไลน์ที่มีผู้ติดตามมากที่สุดบน TikTok แซงหน้าพิมรี่พายไปด้วยสถิติ 18.2 ล้านคน (พิมรี่พายมี 13 ล้านคน) ถามว่าวินทำได้อย่างไร? คำตอบอาจเป็นเพราะผู้ชมชอบฟังวิลเลียม ที่พูดเพราะไม่หยาบคาย
วิน วิลเลียม เป็นนักธุรกิจหนุ่มชาว สปป.ลาว ที่โด่งดังจากคอนเทนต์แจกเงินหมื่น แจกเงินแสน ทอง และสิ่งของให้ผู้โชคดี
นอกจากแจกเงินหมื่นเงินแสนแล้ว วินยังแจก iPhone, iPad ให้ผู้โชคดีที่ได้พบหน้ากันตามสถานที่ต่างๆ และที่น่าสนใจไปกว่านั้น วินยังเคยเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้ธนาคารชื่อดังแห่งหนึ่งของ สปป.ลาว ร่วมกับสาว “เบลล่า ราณี” อีกด้วย
ไม่ว่าตัวตนของวินจะเป็นอย่างไร แต่หน้ากล้อง วินใช้กลยุทธ์ทำคอนเทนต์สร้างแรงบันดาลใจ เพราะไม่เพียงคลิปแจกเงินและสิ่งของ วินยังทำคลิปเริ่มต้นหารายได้ด้วยเงิน 1 บาท แล้วทำให้กลายเป็นเงินหมื่นภายในเวลาไม่นาน
วิธีการของวินคือไปซื้อผลไม้จากแม่ค้าแถวตลาดจตุจักร แล้วนำไปขายต่อเพื่อทำกำไรทีละเล็กละน้อย พอได้เงินมาส่วนหนึ่งก็เริ่มซื้อของที่ได้กำไรสูงขึ้น ไล่ตั้งแต่น้ำเปล่า เสื้อผ้ามือสอง ภาพวาด งานศิลปะ เสื้อผ้าต่างๆ จนสามารถหาเงินหมื่นได้จริงๆ สร้างแรงบันดาลใจให้คนจำนวนมากว่าหากใครมีความมุ่งมั่นไม่ยอมแพ้ ทุกคนก็สามารถทำทุกอย่างให้สำเร็จได้
หากเปรียบเทียบกับพิมรี่พาย เจ้าแม่ไลฟ์ขายของของเมืองไทย ทั้งวินและพิมรี่พายเป็นพ่อค้าแม่ค้าที่มีคาแรกเตอร์แตกต่างกันอย่างชัดเจน พิมรี่พายนั้นเป็นคนที่มีคาแรกเตอร์จัด พูดจาตรง ฉะฉาน ตรงไปตรงมา มีคำหยาบบ้าง ซึ่งสไตล์นี้ถูกใจลูกค้าสายฮาร์ดคอร์ที่ชื่นชอบความจริงใจแบบไม่มีกั๊ก ส่วนวินนั้นพูดจาดี ไพเราะ นุ่มนวล ออกแนวซอฟต์ๆ มีลูกอ้อน ลูกค้าที่ชอบพ่อค้าแม่ค้าสไตล์นี้ก็จะเทมาหาวิน
ยอดขายถล่มทลายที่แจ้งเกิดวิน คือช่วงวันที่ 9 เดือน 9 หรือ Shopping Day ปี 2024 ซึ่งมีการช้อปปิ้งกันอย่างคึกคัก เวลานั้นมีบันทึกว่าพิมรี่พายมีคนดูไลฟ์ตั้งแต่ 30,000-40,000 คน ขณะที่วินมีคนดูไลฟ์อยู่ประมาณ 60,000 ถึงหลักแสนคน
ไม่ว่าไลฟ์ครั้งต่อไปจะเป็นอย่างไร ยอดผู้ติดตามของทั้งคู่บน TikTok ในเวลานี้เริ่มชัดเจน โดยพิมรี่พายมีผู้ติดตาม 13.3 ล้านคน ยอด Likes คือ 241.6 ล้านครั้ง ขณะที่วินมี 18.2 ล้านคน ยอด Likes เบาๆ 371.3 ล้านครั้ง
สำหรับเรื่องยอดขาย แม้ปัจจุบันยังไม่มีการเปิดเผยอย่างเป็นทางการ แต่จากข้อมูลที่เคยมีการเปิดเผยในช่วงปี 2022 พิมรี่พายเคยบอกว่ามียอดขายคืนละ 100 ล้านบาท แม้บางช่วงยอดอาจจะตกลงมาเหลือประมาณ 50 ล้านบาท แต่ก็ยังถือว่าขายดีมากๆ ฝั่งหนุ่มวินมีการเปิดเผยยอดขายในช่วงวันคล้ายวันเกิด เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2024 ว่าสามารถทำลายสถิติบนแพลตฟอร์ม TikTok เนื่องจากไลฟ์ขายของไปเพียงแค่ 10 นาที มีออเดอร์จากไลฟ์ของเขาถึง 165,000 ออเดอร์ และมียอดคนดูมากกว่า 200,000 คน ที่สำคัญคือสามารถปิดยอดขายในวันนั้นได้มากกว่า 230 ล้านบาทเลยทีเดียว
ที่สุดแล้ว การเป็นอินฟลูเอนเซอร์บน TikTok อาจเป็นทางลัดสู่ความสำเร็จและชื่อเสียง แต่การสร้างรายได้จริงๆ นั้นต้องอาศัยมากกว่าความสนุก ต้องมีความสม่ำเสมอ ความคิดสร้างสรรค์ และภาพลักษณ์ที่ดี โดยหากต้องการประสบความสำเร็จ อินฟลูเอนเซอร์จำเป็นต้องสะสมช่องทางการสร้างรายได้ที่หลากหลาย และต่อยอดความนิยมให้กลายเป็นธุรกิจที่ยั่งยืน
เหมือนที่ “วิน วิลเลียม” ต่อยอดจุดเริ่มต้นความดังด้วยการแจกเงิน แล้วใช้ TikTok สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำได้สำเร็จ
]]>