People – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Mon, 13 Jan 2025 14:12:32 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ‘โมชิ โมชิ’ กับการเทคออฟสู่ปีที่ 9 แบบไม่แคร์เศรษฐกิจ ไม่กลัวคู่แข่ง และหมุดหมายต่อไปการเติบโต ‘นอกประเทศ’ https://positioningmag.com/1506211 Mon, 13 Jan 2025 08:55:35 +0000 https://positioningmag.com/?p=1506211 จากร้านเล็กๆ ที่เปิดสาขาแรก ณ แพลตตินั่ม ประตูน้ำ มาถึงตอนนี้ ‘โมชิ โมชิ’ (Moshi Moshi) กลายเป็นร้านไลฟ์สไตล์สัญชาติไทยที่สามารถต่อกรกับร้านดังทั้งจากญี่ปุ่นและจีนได้แบบไม่หวั่น ซึ่งในปีนี้โมชิ โมชิ กำลังก้าวสู่ปีที่ 9 และมีหลายเป้าหมายที่อยากไปให้ถึง รวมถึงการไปเติบโต ‘นอกประเทศ’

 

ปัจจุบันร้านโมชิ โมชิ มีสาขารวมแล้วประมาณ 158 สาขา ครอบคลุมพื้นที่กว่า 65 จังหวัด ส่วนผลประกอบการก็มีเติบโตทุกปีทั้งในส่วนของรายได้และกำไร โดย

 

ปี 2564 ทำรายได้ไป  1,263.84 ล้านบาท กำไร 131.27 ล้านบาท

ปี 2565  ทำรายได้ไป  1,895.89 ล้านบาท กำไร 253.17 ล้านบาท

ปี 2566 ทำรายได้ไป  2,543.26 ล้านบาท กำไร 401.51 ล้านบาท

9 เดือน ปี 2567 ทำรายได้ไป 2,076.47 ล้านบาท กำไร 314.74 ล้านบาท

 

ความเข้าใจลูกค้าคือกุญแจความสำเร็จ

 

‘สง่า บุญสงเคราะห์’ ผู้ก่อตั้ง และ CEO  บริษัท โมชิ โมชิ รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารโมชิ โมชิ เล่าให้ Positioning ฟังว่า นับตั้งแต่เริ่มต้นธุรกิจช่วงปลายปี 2559 เขาต้องการให้ร้านแห่งนี้เป็น ‘เบอร์ 1 ของธุรกิจร้านไลฟ์สไตล์’ แม้จะเป็นเรื่องยาก แต่ด้วยการเข้าใจตลาดและสามารถตอบสนองพฤติกรรมของผู้บริโภคไทยได้อย่างตรงใจ ภายใต้จุด ‘จุดขาย’ ที่เป็น ‘จุดแข็ง’ ของร้าน นั่นคือ ‘สวย ถูก ดี’

 

โดย ‘สวย’ หมายถึง ไม่ว่าจะเป็นตัวสินค้าหรือการจัดหน้าร้าน ต้องมีดีไซน์สวยงาม อยู่ในเทรนด์แฟชั่นที่ผู้บริโภคชื่นชอบ, ‘ถูก’ หมายถึง ราคาสินค้าต้องจับต้องได้และเข้าถึงง่าย, ‘ดี’ หมายถึง สินค้าต้องมีคุณภาพ นั่นทำให้โมชิ โมชิ สามารถแจ้งเกิดและแซงหน้าคู่แข่งขึ้นมาเป็นเบอร์ 1 ภายใน 3 ปีแรกของการทำธุรกิจ

เน้นออกสินค้าใหม่ บวก Collab แก้โจทย์ ‘คนไทยเบื่อง่าย’

 

อย่างไรก็ตาม ณ วันที่เริ่มต้นธุรกิจ จนมาถึงวันนี้ก็มีการเปลี่ยนแปลงมากมาย และการทำธุรกิจยากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งในปี 2568 การรับมือกับการแข่งขันและสร้างการเติบโตให้กับโมชิ โมชิ สง่ายังให้ความสำคัญกับการยึด ‘ผู้บริโภค’ เป็นแกนหลัก ดูตั้งแต่ความต้องการและไลฟ์สไตล์ของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป ไปจนถึงชอบหรือไม่ชอบอะไร เพื่อนำมาพัฒนาและออกแบบสินค้าให้โดนและตรงใจลูกค้ามากที่สุด โดยตอนนี้คนอายุ 13-17 ปีถือเป็นฐานลูกค้าหลักของโมชิ โมชิ รองลงมาเป็นกลุ่ม 18-35 ปี

 

“คนไทยแตกต่างจากคนชาติอื่น คือ คนไทยขี้เบื่อ อย่างลูกค้าบางคนมาร้านเราแทบทุกวัน บางคนมา 2-3 วันครั้ง แต่หากมาแล้วไม่เห็นสินค้าใหม่ พวกเขาจะรู้สึกว่า ไม่รู้จะซื้ออะไร ทำให้เราต้องเติมสินค้าใหม่ตลอดเวลา”

 

ปัจจุบันโมชิ โมชิ มีจำนวนสินค้าค้ารวมแล้วมากกว่า 20,000 รายการ ซึ่งปีนี้จะมีการเพิ่มจำนวน รายการสินค้าให้มากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งตอนนี้มีการพัฒนาไปแล้วกว่าหมื่นรายการ จากเดิมวางแผนจะมีการพัฒนาสินค้าใหม่ประมาณ 800-1,000 รายการต่อปี

 

ขณะเดียวกัน ยังเลือกใช้กลยุทธ์ Collaboration จับมือกับพาร์ทเนอร์ต่าง ๆ ในการพัฒนาและออกสินค้าร่วมกัน โดยเป้าหมายต้องการเพิ่มความหลากหลายไม่เฉพาะหมวดสินค้าเท่านั้น ยังหมายถึงความหลากหลายด้านดีไซน์ อีกทั้งต้องการ Value added ให้ตัวสินค้า และขยายฐานลูกค้าสู่กลุ่มใหม่ ๆ ด้วย

 

อย่างช่วงที่ผ่านมาได้จับมือกับหลากหลายพาร์ทเนอร์ ไม่ว่าจะเป็น ค่ายดิสนีย์, ซาริโอ, วอเนอร์บาร์เธอร์, การ์ตูน เน็ตเวิร์ค, สนูปปี้ รวมถึงศิลปินเกาหลีอย่าง NCT Dream ทำโปรเจกต์ Moshi x NCT DREAM DREAM และ TEN (เตนล์) ในโปรเจกต์ Moshi Moshi x TEN & CANELE รวมถึงศิลปินไทยอย่างแบรนด์ ‘Butterclub’ (บัตเตอร์คลับ), แบรนด์ Fluffy Omelet (ฟลัฟ ฟี่ ออม เล็ต) และ Jukka and Friends

เดินหน้าขยายสาขา แบบ ‘ลูกค้าอยู่ตรงไหน จะไปบุกที่นั่น’

 

นอกจากการเพิ่มความหลากหลายของสินค้าทั้งหมวดหมู่และดีไซน์แล้ว ‘การขยายสาขา’ ถือเป็นอีกกลยุทธ์สำคัญในการสร้างการเติบโตให้กับโมชิ โมชิ โดยจะเน้นเปิดแบบ ‘ลูกค้าอยู่ตรงไหน จะไปบุกที่นั่น’

 

สง่าเล่าว่า ตอนนี้โมชิ โมชิ มีสาขารวมแล้วประมาณ 158 สาขา ครอบคลุมพื้นที่กว่า 65 จังหวัด ซึ่งตามแผนในปีนี้จะมีการเปิดสาขาเพิ่มอีก 40 สาขา เพื่อให้มีสาขาครบ 200 สาขา โดยเฉพาะในรูปแบบ ‘สแตนอะโลน’ ที่จะมีการขยายพื้นที่เป้าหมายจาก ‘มหาวิทยาลัย’ ไปยัง ‘พื้นที่ตามชุมชน’

 

“ตอนนี้ร้านสแตนด์อะโลนมี 5 แห่ง ซึ่งช่วงเริ่มต้นเราเน้นพื้นที่ใกล้มหาวิทยาลัยที่มีนักศึกษาอยู่อย่างน้อย 15,000 คน ขนาดร้านราว ๆ 80-100 ตร.ม. แต่ตอนนี้เราจะขยายไปเปิดตามชุมชน ที่จะเห็นในช่วงไตรมาส 1 ของปี 68 ย่านชุมชนโรงเรียนวัดเทียนดัด อ.สามพราน จ.นครปฐม ซึ่งจะเป็นสแตนด์อะโลนที่มีพื้นที่ใหญ่ประมาณ 300 ตร.ม.”

 

นอกจากนี้ยังมีเป้าหมายขยายสาขาของร้านให้ครบพื้นที่ 77 จังหวัดหรือครอบคลุมทั่วทั้งประเทศในเร็ว ๆ นี้ด้วย

 

ขอโตนอกประเทศ

 

ณ วันนี้ แม้โมชิ โมชิ จะมีการเติบโตทั้งการขยายสาขาและรายได้ แต่ด้วยภาพที่สง่ามองตลาดไลฟ์สไตล์เป็น ‘ตลาดค่อนข้างใหญ่’ หากทำดี ๆ จะสามารถขยายตลาดได้มากและกว้างกว่านี้ โดยเป้าหมายสูงสุดของเขา คือ ต้องการทำให้โมชิ โมชิ เป็น One stop shopping มีสินค้าครบที่สุด และเป็นแบรนด์ในใจของผู้บริโภค

 

แน่นอนว่า เป้าหมายที่วางไว้จะไม่เกิดขึ้นเฉพาะในประเทศไทย แต่หมายถึงการไปปักหมุดธุรกิจให้เติบโตในตลาดต่างประเทศด้วย เบื้องต้นจะโฟกัสในภูมิภาคเอเชีย และ CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม) โดยรูปแบบที่จะไปจะเป็น Join venture หรือการร่วมทุน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจา

 

“แผนไปต่างประเทศเราศึกษาตลาดมาระยะหนึ่งแล้ว ในเรื่องสินค้าไม่ต้องปรับตัวอะไรมาก อาจจะปรับ เช่น ความต้องการ พฤติกรรม การใช้จ่ายของคนในแต่ละประเทศมากกว่า และมีโอกาสไปได้สูงที่ในอีก 3 ปีต่อจากนี้จะเห็นการเปิดสาขาของโมชิ โมชิในต่างประเทศ”

 

พร้อมสู้ทั้งเศรษฐกิจและคู่แข่ง

 

คุยมาถึงตรงนี้ เราถามผู้ก่อตั้ง และซีอีโอ โมชิ โมชิ ว่า ในปี 2568 อะไรคือความท้าทายในฐานะผู้นำและคนทำธุรกิจแบบเขา

 

สง่าตอบว่า ความท้าทายในปี 2568 ของเขา คือ การเข้ามาของ ‘ผู้เล่นรายใหม่’ ที่คาดว่า ในปีนี้จะเข้ามาอย่างน้อย 2-3 ราย แต่ไม่ได้รู้สึกกังวล เพราะมีการติดตามศึกษาคู่แข่งและวางแผนรับมือ เพื่อให้ตัวเองมีความแข็งแกร่งและพร้อมสู้มาโดยตลอด

ขณะที่ภาวะเศรษฐกิจหรือกำลังซื้อ เป็นเรื่องปกติที่ทุกธุรกิจต้องเผชิญ และแม้ในปีที่เศรษฐกิจไม่ดี หรือกระทั่งปีที่เกิดวิกฤตโควิด โมชิ โมชิ ก็สามารถเติบโตได้ทุกปี เฉลี่ยปีละ 10-20% อย่างในปีนี้ตั้งเป้าเติบโต 15-20%

 

“ย้อนกลับไปเมื่อ 8 ปีก่อนวันที่เริ่มต้นธุรกิจโมชิ โมชิ ก็มีผู้เล่นเข้ามาในบ้านเราจำนวนมากทั้งจากญี่ปุ่น และจีน โดยเฉพาะจีน ที่ตอนนั้นมีเข้ามา 4-5 ราย แต่ตอนนี้เหลือ 2 รายที่แข็งแรง ขึ้นอยู่กับเราจะปรับตัวได้มากแค่ไหน”

 

สำหรับโมชิ โมชิ เอง การเข้าใจ ‘ตลาด’ และ ‘ลูกค้า’ ยังคงเป็นหัวใจสำคัญในการรับมือกับการแข่งขันและสร้างการเติบโต โดยในปีนี้นอกจากจุดขายเดิม ‘สวย-ถูก-ดี’ แล้ว ยังเพิ่ม ‘ความยั่งยืน’ เข้าไป โดยตอนนี้สินค้าของโมชิ โมชิ นอกจากสวย ราคาถูก และมีคุณภาพดี ยังคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สามารถนำไปรีไซเคิลได้ และต้องมีประโยชน์ต่อชุมชนด้วย

 

เพราะความยั่งยืน ถือเป็นเทรนด์ที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญ และเป็นโจทย์ที่องค์กรต่าง ๆ ต้องนำมาคิด เพื่อกำหนดเป็นหนึ่งในนโยบายสำหรับทำธุรกิจในยุคปัจจุบัน

]]>
1506211
รับได้ไหม? หากบริษัทให้ทำงานแบบ hybrid แต่จะลดเงินเดือน 5-15% https://positioningmag.com/1506205 Mon, 13 Jan 2025 04:24:56 +0000 https://positioningmag.com/?p=1506205 ปัจจุบันมีหลายบริษัทเริ่มให้พนักงานกลับมาทำงานในออฟฟิศมากขึ้น ขณะเดียวกันก็มีแนวโน้มจะลดเงินเดือนลงหากพนักงานมีความต้องการทำงานแบบ Hybrid หรือ Remote ที่ไม่ต้องเข้าออฟฟิศเป็นประจำทุกวัน

 

นับตั้งแต่เกิดการระบาดของโควิด-19 โลกของการทำงานได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก โดยการทำงานแบบ Hybrid หรือ Remote กำลังกลายเป็นประเด็นสำคัญระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง ซึ่งเมื่อเราก้าวเข้าสู่ปี 2025 แนวโน้มใหม่กำลังเกิดขึ้น คือ คนทำงานเต็มใจที่จะทำงานจากที่บ้าน และยอมรับเงินเดือนที่น้อยลง

 

Fortune ระบุว่า มนุษย์เงินเดือนบางคนยอมรับเงินเดือนน้อยลง 5-15% เพื่อแลกกับการทำงานแบบยืดหยุ่นไม่ต้องเข้าออฟฟิศประจำ โดยเฉพาะคนที่ให้ความสำคัญกับสมดุลชีวิตและการงาน หรือในคนที่ต้องการประหยัดค่าเดินทาง ซึ่งทำให้หลายบริษัทมีแนวโน้มจะใช้เรื่องนี้เพื่อดึงดูดให้คนเข้ามาทำงานด้วย 

 

อย่างไรก็ตาม การคิดว่า การเสนอเงินเดือนที่น้อยลงกว่ามาตรฐานเพื่อแลกกับการทำงานที่ไม่ต้องเข้าออฟฟิศเป็นประจำ โดยหวังจะสร้างแรงจูงใจคนทำงานยุคใหม่ให้มาทำงานด้วยนั้น ก็อาจสร้างความเสี่ยงให้กับบริษัทได้เช่นเดียวกัน 

 

เพราะพนักงานยังคงต้องการทั้งสวัสดิการที่ดีและเงินเดือนที่เหมาะสมอยู่นั่นเอง โดยจากผลการวิจัยของ Robert Half เผยให้เห็นว่า ผู้สมัครงาน 76% ยินดีที่จะทำงานในออฟฟิศเต็มตัวเพื่อแลกกับเงินเดือนที่สูงขึ้น โดยการขอปรับเงินเดือนขึ้นโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 23% 

 

ที่มา

https://fortune.com/2025/01/05/job-recruiters-managers-pay-remote-work-from-home-return-to-office/

https://www.techspot.com/news/106207-employees-accept-lower-wages-work-home-flexibility-amid.html

]]>
1506205
HAAB ขนมไข่สงขลาบรรทัดทอง กับยอดขายเดือนละ 3 ล้านชิ้น ฝันอยากเป็น “คริสปี้ครีม” ขนมที่คนต้องซื้อฝาก https://positioningmag.com/1506157 Fri, 10 Jan 2025 10:24:39 +0000 https://positioningmag.com/?p=1506157
  • HAAB แบรนด์ขนมไข่พรีเมียมเจ้าดังย่านบรรทัดทอง กับการยกสูตรขนมไข่สงขลาเข้ากรุง ใส่เนยฉ่ำๆ 
  • ใช้งบลงทุนเริ่มต้น 20,000 บาท เริ่มจากซุ้มเล็กๆ จนล่าสุดมี 11 สาขา พร้อมกับยอดขายรวม 3 ล้านชิ้น/เดือน
  • ตั้งเป้าเป็นเชนร้านอาหารที่มีสาขาครอบคลุม และอยากเป็นแบบคริสปี้ครีมที่คนนิยมซื้อฝากเวลากลับบ้าน
  • เริ่มจากทำอีคอมเมิร์ซ จนพัฒนาสูตรขนมไข่จากคุณยาย

    ใครที่เป็นสายขนมหวาน หรือเป็นบรรทัดทองเลิฟเวอร์ต้องคุ้นเคยกับแบรนด์ HAAB (หาบ) ร้านขนมไข่ฉ่ำเนยผู้เคยสร้างกระแสบนโลกออนไลน์มาแล้ว หลายคนอาจจะเรียกว่าเป็นขนมไข่ชื่อดังย่านบรรทัดทองเลยก็ได้ เพราะเป็นย่านที่ทำคลอดแบรนด์นี้ให้แจ้งเกิด  

    HAAB ขนมไข่บรรทัดทอง

    Positioning พาไปพูดคุยกับ “มอส-จรรยธร บิลพัฒน์” ผู้ร่วมก่อตั้งแบรนด์ HAAB ร้านขนมไข่สุดโมเดิร์น ยกระดับขนมท้องถิ่นให้พรีเมียม แถมยังไปไกลถึงต่างประเทศแล้ว โดยเริ่มต้นจากบริษัท e-Commerce จนมองเห็นช่องวางในการขายอาหารที่ย่านบรรทัดทอง จึงเริ่มจากขายขนมไข่สงขลา

     

    จรรยธรเริ่มเล่าว่า “แต่เดิมทำบริษัทขายสินค้า e-Commerce ก่อตั้งได้ 5 ปี ตั้งแต่ช่วงก่อน COVID-19 เคยขายตั้งแต่เครื่องซีลสูญญากาศ, เครื่องฉายโปรเจ็คเตอร์ ไปจนถึงแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ มีโต๊ะ DreamDesk เป็นฮีโร่โปรดักส์ พอทำแบรนด์เริ่มอยู่ตัว เริ่มหาไอเดียสินค้าใหม่ๆ ด้วยความออฟฟิศอยู่ที่บรรทัดทองพอดี เลยได้เห็นพัฒนาการของย่านนี้ จากเงียบๆ จนเติบโต เลยคิดที่จะหาของมาขาย ส่วนตัวเป็นคนสงขลาเลยหาไอเดียขนมไข่สงขลา จะแตกต่างจากขนมไข่ กทม. ที่จะหวานๆ กรอบๆ แต่ขนมไข่สงขลาจะมีไส้เนย ประกอบกับที่ตอนนั้นบรรทัดทองมีแต่ร้านอาหาร ยังไม่มี Grab&Go ที่เดินกิน เลยทำเป็นขนมไข่ขาย”

    HAAB

    โดยที่ตอนนี้บริษัทก็ยังคงทำในส่วนของ e-Commerce อยู่ แต่เน้นโฟกัสในส่วนของธุรกิจอาหารมากกว่า มีการแบ่งทีมชัดเจน มีบางคนทำแค่ DreamDesk บางคนขอทำ 2 แบรนด์

    เริ่มต้นจาก 20,000 บาท

    จรรยธรเรียนจบทางด้านเศรษฐศาสตร์ แรกเริ่มได้ทำงานในส่วนของที่ปรึกษา แต่ด้วยความมีหัวทางด้านการค้า จึงเปิดบริษัทขายของ แต่เป็นคนชอบทานขนมไข่ จึงได้นำสูตรขนมไข่จากคุณยายมาทำแบรนด์ เพราะหลายคนยังไม่รู้จักขนมไข่สงขลา 

    แบรนด์ HAAB เริ่มต้นขึ้นเมื่อเดือนกรกฎาคม 2566 ใช้เวลาพัฒนาสูตร 1 เดือน ทดลองการใช้ไฟ ใช้แป้ง ใช้เนยขนาดเท่าไหร่ให้เหมาะสม ทดลองทานกันในออฟฟิศก่อน

    บูทเล็กๆ สาขาแรกที่ซอยจุฬา 14

    ส่วนชื่อแบรนด์ HAAB มีแนวคิดที่อยากใช้คำที่มีความเป็นไทย คอนเซ็ปต์โมเดิร์น ขายขนมไทยที่หาทานยาก เลยจบที่ HAAB (Heart Attack Amount of Butter) หรืออ่านว่าหาบ ประมาณว่าใส่เนยจุกๆ จนหัวใจจะวาย แปลอีกนัยหนึ่งว่าหาบเร่แผงลอยก็ได้ 

    จรรยธร บอกว่าใช้งบลงทุนเริ่มต้นที่ 20,000 บาท เริ่มตั้งบูทเล็กๆ ในซอยจุฬา 14 มีโต๊ะ 1 ตัว กับเตาอั่งโล่ เริ่มจากสเกลเล็ก เน้นแจกฟรีก่อน ส่วนใหญ่คนที่ลองชิม 90% จะเดินกลับมาซื้อ รวมถึงมี KOL มารีวิวช่วยโปรโมต วันแรกมียอดขาย 2,000 บาท 

    HAAB

    จากนั้นแบรนด์ก็เติบโตขึ้นเรื่อยๆ จนขยายจุดขายอีกจุดหนึ่งในซอยเดียวกัน พอเริ่มขายในแกร็บก็เริ่มทำไม่ทัน บางวันลูกค้ารอนาน 3-4 ชั่วโมง แล้วมาจับจุดได้ว่าลูกค้าซื้อขนมไข่กลับบ้าน ไม่ได้ทานเดี๋ยวนั้น ไม่จำเป็นต้องทำสดๆ ก็ได้ เลยทำเป็นครัวกลางทำแบบกล่องเตรียมไว้จะได้ขายได้เร็ว 

    เปิดร้านแฟล็กชิปสโตร์ที่บรรทัดทอง

    หลังจากที่ในปี 2567 ได้เปิดร้านครบ 1 ปี จรรยธรจึงหาทำเลที่เปิดร้านเป็นแฟล็กชิปสโตร์ยังอยู่ในเส้นบรรทัดทอง ระหว่างซอยจุฬา 14 และจุฬา 16 ดีไซน์เป็นคอนเซ็ปต์สงขลา ใช้เก้าอี้ชานชลารถไฟมาเป็นที่นั่งคอย เพราะสงขลาเป็นชุมทางรถไฟ ทำเป็นครัวเปิดเพื่อให้ลูกค้าได้เห็นการทำขนมไข่ และใช้ถ่านแบบพรีเมียม ไร้ควัน 

    HAAB

    ทำให้ปัจจุบันที่ย่านบรรทัดทอง HAAB มีจุดขาย 3 จุด ก็คือ แฟล็กชิปสโตร์, ซอยจุฬา 14 และครัวกลาง

    “เราทราบดีว่าเราเป็น Social Food ก็มาคิดว่าต้องทำยังไงให้ลูกค้าอยากทานอีกเรื่อยๆ เราดึงลูกค้ามาด้วยความโมเดิร์น แต่โฟกัสที่รสชาติ หาเมนูใหม่ๆ ดิปใหม่ๆ ทำให้ทานได้ทุกวัน โฟกัสความรู้สึกลูกค้า อยากให้ซื้อกลับไปฝากพ่อแม่ เหมือนที่พอ่แม่ชอบซื้อขนมไข่มาวางไว้บนโต๊ะกินข้าวที่บ้าน อยากเป็นขนมไข่ในดวงใจของคนไทย อยากหาบตัวเองไปอยู่ใกล้ลูกค้ามากขึ้น” 

    อยากเป็นแบบ “คริสปี้ครีม” ที่คนต้องซื้อฝาก

    จรรยธรบอกว่า ตอนนี้บริษัทมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว ในช่วงแรกมีทีมงานอยู่ 20 คน ปัจจุบันมีกว่าร้อยคนแล้ว ในกลุ่มธุรกิจอาหารมีแบรนด์ HAAB และ Layers ที่มีร้านที่บรรทัดทองเช่นกัน ตั้งเป้าภายใน 1-2 ปีนี้จะต้องมี 3 แบรนด์ อยากเป็นเชนร้านอาหารที่มีสาขาครอบคลุมในต่างจังหวัด และมีความฝันอยากเป็นเหมือน “คริสปี้ครีม” ที่คนนิยมซื้อเป็นของฝาก

    “ภายในปีหน้าอยากทำบริษัทให้เป็นเชนร้านอาหารที่มีหลายสาขาในต่างจังหวัด ตอนนี้มีโอกาสขยายสาขาไปในสนามบินดอนเมือง มีความฝันอยากเป็นเหมือนแบรนด์คริสปี้ครีม ที่หลายคนนิยมซื้อเป็นของฝากเวลากลับต่างจังหวัด ถ้าแบรนด์ไปต่างจังหวัดคนก็รู้จักมากขึ้น”

    ปัจจุบัน HAAB มีหน้าร้านรวม 11 แห่ง ได้แก่ HAAB Flagship Store สาขาบรรทัดทอง, จุฬาซอย 14, จุฬา ซอย 1, สยามพารากอน, One Bangkok, เซ็นทรัล เวสต์เกต, สามย่านมิตรทาวน์, ซีคอนสแควร์, สนามบินดอนเมือง, เซ็นทรัลปิ่นเกล้า และตลาดสดธนบุรี รวมถึงสาขาในประเทศมาเลเซียอีก 4 แห่ง เป็นการลงทุนในโมเดลร่วมทุนกับบริษัทโลคอลที่นั่น เตรียมหาพาร์ทเนอร์ในต่างประเทศอยู่เรื่อยๆ

    ตอนนี้ HAAB มียอดขายเฉลี่ยรวมวันละ 80,000-100,000 ชิ้น หรือประมาณเดือนละ 3 ล้านชิ้น มียอดขายประมาณ 250 ล้านบาท

    ]]>
    1506157
    จุฬาฯ เปิด “ChulaGenie” Gen AI สัญชาติไทยแท้ มองการศึกษายุคใหม่ ปรับทักษะสู้เอไอถึงอยู่รอด https://positioningmag.com/1505919 Thu, 09 Jan 2025 10:03:56 +0000 https://positioningmag.com/?p=1505919 ปัจจุบันจากสภาพสภาวะสังคม เศรษฐกิจ และเทคโนโลยี ทำให้รูปแบบการทำธุรกิจเปลี่ยนแปลงเร็ว ส่งผลให้ทักษะแรงงานในอนาคตก็เปลี่ยนไปเช่นเดียวกัน

    AI เขย่าตลาดแรงงานโลก

    ศ.ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า เทคโนโลยี โดยเฉพาะปัญญาประดิษฐ์ (AI) มีส่วนสำคัญในการเปลี่ยนทิศทางตลาดงาน เนื่องจากบางตำแหน่งงานสามารถทดแทนได้ด้วย AI

    สอดรับกับรายงาน Future Jobs 2025 ที่จุฬาฯ ได้ร่วมกับ World Economic Forum จัดทำเพื่อวิเคราะห์ทิศทางตลาดงาน ในปี 2568-2573 พบว่า 5 ตำแหน่งงานสุ่มเสี่ยงโดนดิสรัปชั่นล้วนแต่เป็นงานรูปแบบดั้งเดิม (Traditional) ได้แก่

    1. เจ้าหน้าที่ไปรษณีย์
    2. พนักงานธนาคารและตำแหน่งที่เกี่ยวข้อง
    3. เจ้าหน้าที่ป้อนข้อมูล
    4. พนักงานแคชเชียร์และพนักงานจำหน่ายตั๋ว
    5. ผู้ช่วยด้านงานธุรการและเลขานุการบริหาร

    ส่วนอีก 5 ตำแหน่งงานที่เป็นที่ต้องการในอนาคต ล้วนเกี่ยวโยงกับเทคโนโลยี ดังนี้

    1. ผู้เชี่ยวชาญด้าน Big Data
    2. วิศวกรด้าน Fintech
    3. ผู้เชี่ยวชาญด้าน AI
    4. นักพัฒนาซอฟต์แวร์และแอปพลิเคชัน
    5. ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการและความปลอดภัย

    “ภายในปี 2573 สองในห้าของทักษะที่มีอยู่จะถูกเปลี่ยนแปลง”

    ทักษะที่สำคัญของไทย คือ

    • ทักษะด้าน AI และ Big Data
    • ทักษะการคิดเชิงวิเคราะห์
    • ทักษะการคิดอย่างสร้างสรรค์
    • ทักษะด้านเครือข่ายและความปลอดภัยทางข้อมูล

    ทักษะสำคัญของระดับโลก คือ

    • ทักษะด้าน AI และ Big Data
    • ทักษะด้านเครือข่ายและความปลอดภัยทางข้อมูล
    • ความฉลาดในการใช้งานเทคโนโลยี
    • ทักษะการคิดอย่างสร้างสรรค์

    “คาดว่าจะมี 92 ล้านตำแหน่งงานที่หายไปจากโลก หรือเปลี่ยนชื่อตำแหน่งตามการปรับทักษะรูปแบบงานก็เป็นได้ แต่ก็จะมี 170 ล้านตำแหน่งงานใหม่เข้ามาทดแทนเช่นกัน”

    มองแรงงานเร่งปรับทักษะ หาสิ่งที่ AI แทนไม่ได้

    ศ.ดร.วิเลิศ กล่าวต่อไปว่า จากปัจจัยท้าทายจาก AI ทำให้แรงงานปัจจุบันต้องเร่งอัพสกิล ขณะที่การศึกษาก็ต้องปรับการสอนให้เป็นรูปแบบบูรณาการกันระหว่างคณะมากขึ้น เพราะ ยุคนี้เน้นความรู้แบบองค์รวม (Holistic) แตกต่างจากอดีตที่เน้นความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน (Specialist)

    “วิธีที่แรงงานจะอยู่รอดต้องปรับทักษะให้สู้ AI ได้ หรือมีในสิ่งที่ AI ทำไม่ได้”

    ดังนั้น จุฬาฯ จึงมุ่งหมายสู่การเป็น มหาวิทยาลัยแห่งปัญญาประดิษฐ์ (The University of AI)

    โดยจะพัฒนาหลักสูตรประกาศนียบัตร (Non-Degree) เน้นพัฒนาทักษะเฉพาะทาง หรือความรู้ในสาขาวิชาใดวิชาหนึ่ง โดยไม่จำเป็นต้องเรียนจบในระดับปริญญา ให้ผู้เรียนเลือกเฉพาะวิชาที่สนใจ หรือกลุ่มวิชาที่ต้องการพัฒนาความรู้ เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในงาน หรือการพัฒนาตนเองได้ทันที ใช้ระยะเวลาเรียนประมาณ 6-7 เดือนให้กับผู้สนใจสาขาเฉพาะในรายคณะการศึกษา

    ต่อยอดจากเดิมในหลักสูตรระดับปริญญาตรี หรือ ปริญญาโท ใช้ระยะเวลาเรียน 4 ปี และ 2 ปี

    ศ.ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

    ปั้น ChulaGenie เจนฯ เอไอสัญชาติไทย อนาคตจ่อเปิดใช้สาธารณะ

    นอกจากนี้ จุฬาฯ ได้ร่วมกับกูเกิล คลาวด์ (Google Cloud) พัฒนา ChulaGENIE แพลตฟอร์ม Generative AI สำหรับสนับสนุนการทำงานของบุคลากรภายในจุฬาลงกรณ์​มหาวิทยาลัย เปิดทดลองใช้ในเมื่อวันที่ 6 ม.ค. 68 ที่ผ่านมา

    รวมไปถึงในอนาคตยังมีความเป็นไปได้ในการต่อยอดแพลตฟอร์มฯ นี้เพื่อเปิดให้บริการเชิงสาธารณะด้วย

    “นอกจากทักษะด้านการใช้งานหรืออด็อปต์เอไอในฐานะยูสเซอร์แล้ว ประเทศไทยควรต่อยอดไปสู่การเป็นเจ้าของหรือผู้พัฒนาเทคโนโลยีของตัวเอง เพื่อสร้างความยั่งยืนในรอบด้านตามเทรนด์โลกที่จะเกิดขึ้นในอนาคตด้วย”

    ]]>
    1505919
    ซิกเว่ เบรกเก้ Come Back ประเทศไทย คุม ‘กลุ่มธุรกิจโทรคมนาคมและดิจิทัล เครือ CP’ มีผล 1 มี.ค. เป็นต้นไป https://positioningmag.com/1505884 Thu, 09 Jan 2025 07:44:31 +0000 https://positioningmag.com/?p=1505884 ‘เครือเจริญโภคภัณฑ์’ หรือ ‘เครือ CP’ ประกาศแต่งตั้ง ‘ซิกเว่ เบรกเก้’ (Sigve Brekke) ให้ดำรงตำแหน่ง ‘ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มธุรกิจโทรคมนาคมและดิจิทัล เครือ CP รับผิดชอบการดำเนินธุรกิจกลุ่มธุรกิจโทรคมนาคมและดิจิทัลในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขึ้นตรงกับ ‘ศุภชัย เจียรวนนท์’ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ โดยจะมีผลในวันที่ 1 มีนาคม 2568

     

    ศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือ CP เปิดเผยว่า การเข้ามาของซิกเว่ เบรกเก้ครั้งนี้ เป็นการเพิ่มศักยภาพให้กับเครือ CP ซึ่งมั่นใจในวิสัยทัศน์และประสบการณ์ของซิกเว่ที่จะพาเครือ CP สู่การเป็น Technology Company ชั้นนำระดับโลก พร้อมเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัล

     

    สำหรับบทบาทและความรับผิดชอบของซิกเว่ จะครอบคลุมถึงการดูแลรับผิดชอบธุรกิจที่เครือเจริญโภคภัณฑ์เข้าไปลงทุน เช่น ธุรกิจเทคโนโลยีโทรคมนาคม ธุรกิจดิจิทัล และธุรกิจด้านการเงินดิจิทัล เป็นต้น

     

    ทั้งนี้ ซิกเว่ เบรกเก้ เคยดำรงตำแหน่ง ‘ประธาน และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร’ ของเทเลนอร์กรุ๊ปเป็นเวลา 9 ปี จนถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2024 ก่อนหน้านี้เคยดำรงตำแหน่ง ‘รองประธานบริหารและหัวหน้าภูมิภาคเอเชีย’ รวมถึงเคยดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ ‘ดีแทคในประเทศไทย’ และเคยดำรงตำแหน่งประธานกรรมการของบริษัทต่าง ๆ หลายแห่งในกลุ่มเทเลนอร์ ทั้งยังเคยเป็นสมาชิกคณะกรรมการของ GSMA ตั้งแต่ปี 2017 ถึงปี 2024

     

    ที่มา : เว็บไซต์ We are CP

    ]]>
    1505884
    เปิด ’10 อาชีพมาแรง’ ที่ไม่ตกยุคและตลาดต้องการตัวเป็นอย่างมาก https://positioningmag.com/1505503 Mon, 06 Jan 2025 09:24:58 +0000 https://positioningmag.com/?p=1505503 ยุคนี้เป็นยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากมายและเป็นไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการเข้ามาดิสรัปต์ของเทคโนโลยีในหลากหลายวงการ ไม่เว้นกระทั่ง ‘โลกของการทำงาน’ อย่างที่จะเห็นได้ว่า ทักษะและความรู้ด้านเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทกับการทำงานไม่น้อย รวมถึงเปลี่ยนภูมิทัศน์ของตลาดแรงงาน จากอาชีพที่เคยโดดเด่นเป็นที่ต้องการของตลาด แต่ตอนนี้อาจจะไม่ใช่เช่นนั้นอีกต่อไป 

     

    บทความนี้เราจึงอยากพาไปดูว่า จากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ส่งผลให้สายงานอาชีพใดมาแรง กลายเป็น ‘อาชีพแห่งอนาคต’ ซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานบ้าง

     

    10 อาชีพมาแรงในอนาคต ประกอบด้วย 

     

    1.Software Developer

     

    เมื่อเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญมากขึ้น แน่นอนว่า Software Developer จึงเป็นอาชีพที่ตลาดต้องการเป็นอันดับต้น ๆ เพราะธุรกิจหรือองค์กรส่วนใหญ่จำเป็นต้องมีเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันของตัวเอง เพื่อเป็นช่องทางสื่อสาร ตลอดจนเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่จะถูกนำมาใช้สร้างความสะดวกสบายให้กับลูกค้าของตนเอง 

     

    สำหรับทักษะที่อาชีพนี้ต้องมีติดตัวไว้ อย่างเช่น Coding Language, Machine Learning, Analytical Skills และ Mathematics และ Statics เมื่อทำงานไปสักระยะ Software Developer อาจต่อยอดไปสู่สายงานอย่าง Programmer Analysts ได้เช่นกัน

     

    ฐานเงินเดือนโดยประมาณ : 25,000-140,000 บาท/เดือน

     

    2.AI & Machine Learning Engineer

     

    หากพูดถึงโลกอนาคต ณ เวลานี้คงหนีไม้พ้นเรื่องของ AI ที่เริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้น และเป็นผลให้ AI Engineer และ Machine Learning Engineer เป็นอาชีพมาแรงที่ตลาดแรงงานในอนาคตต้องการตัวสูง โดยอาชีพนี้ จะอาศัยความเชี่ยวชาญในการด้านการผลิตและการเรียนรู้เครื่องจักรกล เพื่อเป็นการร่วมกันผลิตผลงานโดยมนุษย์และ A​I ให้ออกมามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

     

    ขณะที่ทักษะที่อาชีพนี้จำเป็นต้องมี เช่น Coding และ Computer Skill, Marketing Skill, Machine Learning หรือ Mathematics และ Statics ฯลฯ ส่วนเส้นทางการต่อยอดในสายอาชีพนั้น สามารถเติบโตไปสู่การเป็น Machine Learning Engineer หรือ Data Engineer ได้ในอนาคต

     

    ฐานเงินเดือนโดยประมาณ : 60,000-80,000 บาท/เดือน

     

    3.Data Analysts

     

    ยุคปัจจุบัน เป็นโลกของ Big Data ที่เป็นตัวขับเคลื่อนให้การทำการตลาด หรือการทำธุรกิจเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะช่วยวางแผนในการดำเนินด้านกลยุทธ์ได้อย่างแม่นยำและชนะคู่แข่ง จึงไม่น่าแปลกใจที่อาชีพ Data Analysts จะเป็นที่ต้องการในตลาดแรงงาน

     

    สำหรับหน้าที่ของ Data Analyst คือต้องวิเคราะห์ข้อมูลที่เป็น Insights เพื่อตอบรับเรื่องของการวางกลยุทธ์ วิเคราะห์เรื่องยอดขาย ผสานกับการดูแลเรื่องต้นทุนในธุรกิจของบริษัท รวมไปถึงรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ ที่มี เพื่อนำมาใช้ส่งเสริมการทำงานของฝ่ายการตลาด ฝ่ายจัดการธุรกิจ หรือแผนกที่เกี่ยวข้องกับซัพพลายเออร์ 

     

    ทักษะของสายอาชีพนี้ที่ต้องมี ได้แก่ Mathematics และ สถิติ, Analytical Skill, Communication Skill, Storytelling, Microsoft Excel และ SQL รวมไปถึงการเข้าใจเรื่องของกระบวนการธุรกิจ ในอนาคตหากอยากเติบโตสายอาชีพนี้ก็สามารถพัฒนาไปยังตำแหน่ง Business Development หรือ Static Analysis ได้เช่นกัน

     

    ฐานเงินเดือนโดยประมาณ : 40,000-80,000 บาท/เดือน

     

    4.Data Scientists

     

    อีกหนึ่งอาชีพที่มาแรง ได้แก่ Data Scientists ที่มองเผิน ๆ อาจคล้ายกับ Data Analyst แต่ความจริงมีความแตกต่างกันอยู่ โดย Data Scientists จะเปรียบเหมือน ‘นักวิทยาศาสตร์ที่ทำหน้าที่วิเคราะห์ข้อมูล’ ก่อนจะนำข้อมูลไปสรุปผลออกมาเป็นรายงานที่แม่นยำและมีประสิทธิภาพ เพื่อนำไปต่อยอดในส่วนต่าง ๆ ของธุรกิจ ทั้งการทำตลาด หรือการวางแผนธุรกิจ

     

    หลัก ๆ อาชีพนี้จะทำหน้าที่ 2 ส่วน คือ การวิเคราะห์ผสานโมเดลการทำนายผล และวิเคราะห์เพื่อพัฒนากระบวนการทำงานให้มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น ตลอดจนให้คำปรึกษาและข้อมูลที่แม่นยำแก่ทุกฝ่ายสำหรับนำไปต่อยอดในการกระตุ้นยอดขาย หรือสร้างแคมเปญโปรโมตสินค้าและบริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ คุ้มค่าเม็ดเงินที่ลงทุนไปมากที่สุด

     

    ทักษะที่ Data Scientists ต้องมีคือ Mathematics และ Statics, Machine Learning, Software Engineering, Data Analysis, Data Visualizations รวมไปถึงการเข้าใจด้านการดำเนินธุรกิจ เป็นต้น ส่วนการต่อยอดในอาชีพสามารถพัฒนาไปยังอาชีพ Data Engineer หรือ Programmer 

     

    ฐานเงินเดือนโดยประมาณ : 35,000-80,000 บาท/เดือน

     

    5.Digital Marketing

     

    อาชีพ Digital Marketing เข้ามาบทบาทมากในทำการตลาดในโลกยุคดิจิทัล โดยผู้ที่ทำอาชีพนี้ จะต้องมีความรู้ด้าน Digital Marketing รวมไปถึงสามารถวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้นได้ เพื่อนำไปใช้ต่อยอดหรือโปรโมตธุรกิจให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายผ่านช่องทางต่าง ๆ ได้มากขึ้น อีกทั้งยังต้องทำหน้าที่ในการคิดคอนเทนต์ หรือเนื้อหาต่าง ๆ ให้โดนใจกลุ่มเป้าหมาย และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีให้ลูกค้าผ่านช่องทางดิจิทัลต่าง ๆ ได้ด้วย

     

    อาชีพนี้ จึงต้องมีทักษะ เช่น Marketing Skill, Technical Skill, Creative Data Analytic Skill, Digital Presentation Skill, Content Creator Skill, E-Commerce, SEO/SEM, Graphic Designer รวมไปถึงความรู้ในการใช้ Tools หรือเครื่องมือออนไลน์ต่าง ๆ เพื่อโปรโมตและดึงข้อมูลด้านการตลาดออนไลน์ เป็นต้น

     

    ฐานเงินเดือนโดยประมาณ : 30,000-80,000 บาท/เดือน

     

    6.Digital Marketing Analyst

     

    Digital Marketing Analyst จะเป็นอาชีพที่ผสมผสานระหว่าง Data Analyst และ Digital Marketing เข้าไว้ด้วยกัน โดยหน้าที่หลักคือ จะต้องหาข้อมูล Insight เกี่ยวกับตัวผู้บริโภคและลูกค้าของธุรกิจ รวมถึงทำรีเสิร์ชเกี่ยวกับเทรนด์การตลาดในธุรกิจที่ดูแล และนำข้อมูลเหล่านั้นมาวิเคราะห์ ก่อนการทำการตลาดออนไลน์ และทำหน้าที่เสนอแผนงานให้ฝ่าย Sales & Marketing หรือ ฝ่าย Business Development ของบริษัทเพื่อร่วมกันพัฒนาธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น

     

    สำหรับทักษะที่ Digital Marketing Analyst ควรมี ได้แก่ Data Analytical Skill, Data Visualization, Marketing Skill, Communication Skill, Presentation Skill ตลอดจนการใช้ ​Tools ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ Digital Marketing

     

    ฐานเงินเดือนโดยประมาณ : 50,000-80,000 บาท/เดือน

     

    7.Business Operations

     

    อาชีพ Business Operations จะเน้นการสื่อสารและพัฒนาภายในองค์กรเป็นหลัก โดยจะทำหน้าที่ในการดูแลระบบการทำงานภายในองค์กร คอยจัดการขั้นตอนการทำงานต่าง ๆ ให้เป็นไปอย่างราบรื่นมีประสิทธิภาพมากที่สุด และป้องกันการเกิดปัญหาภายในองค์กรให้น้อยที่สุด เพราะหากภายในบริษัทมีระบบรากฐานที่ดี ก็จะช่วยให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และทำให้อาชีพนี้มาแรง เป็นที่ต้องการของตลาด

     

    ผู้ที่ต้องการก้าวสู่สายอาชีพนี้ ต้องมีทักษะ เช่น Business Development, Project Management, Communication Skill หรือ Presentation Skill ฯลฯ และในอนาคต Business Operations ยังสามารถต่อยอดด้านอาชีพไปเป็น Project Manager และ Business Development ได้ด้วย

     

    ฐานเงินเดือนโดยประมาณ : 30,000-50,000 บาท/เดือน

     

    8.Organization Development

     

    แม้ AI จะเข้ามามีบทบาทในโลกการทำงานมากขึ้น แต่เรื่องของการบริหารมนุษย์นั้น ยังไงมนุษย์ด้วยกันเองก็สามารถทำหน้าที่ได้ดีกว่า AI แน่นอน ดังนั้นสายงานด้าน Organization Development จึงไม่มีทางตกเทรนด์ และเป็นอาชีพที่ต้องการในอนาคตต่อไป

     

    สำหรับทักษะที่จำเป็นต้องมีหากอยากจะอยู่ในสายอาชีพนี้ ก็คือ Human Resources, Project Management, Communication Skill, Training Skill หรือ Business Development ฯลฯ

     

    ฐานเงินเดือนโดยประมาณ : 40,000-60,000 บาท/เดือน

     

    9.Cybersecurity

     

    ยุคนี้โลกของเราไม่เพียงต้องเจอการระบาดของโรคภัยแล้ว แต่ยังต้องเผชิญกับการระบาดของมิจฉาชีพออนไลน์หรือแก๊งคอลเซ็นเตอร์อีกด้วย Cybersecurity จึงเป็นอีกอาชีพที่มาแรง แถมในตอนนี้ยังขาดแคลนในตลาดแรงงานทั่วโลกอีกด้วย 

     

    โดยทักษะที่จำเป็นที่ต้องมีสำหรับอาชีพ Cybersecurity ได้แก่ ทักษะ Programming หรือ Coding ความรู้ด้านระบบอินเทอร์เน็ต วิศวกรคอมพิวเตอร์ ทักษะด้านซอฟต์แวร์และการใช้เครื่องมือ Cybersecurity ทักษะการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ฯลฯ

     

    ฐานเงินเดือนโดยประมาณ : 60,000-100,000/เดือน 

     

    10.Content Creator

     

    Content Creator เป็น ‘อาชีพมาแรงแห่งยุค’ เพราะจะเห็นได้ว่า เป็นอาชีพที่คนต้องการทำและมีจำนวนเพิ่มขึ้นมากมายในปัจจุบัน ทั้งคนที่ทำอาชีพนี้กันอย่างจริงจัง หรือทำเป็นอาชีพเสริม ซึ่งหากทำแล้วปัง ก็สามารถหารายได้แบบเป็นกอบเป็นกำได้ไม่ยาก

     

    สำหรับทักษะหลัก ๆ ที่ Content Creatorจำเป็นต้องมี ได้แก่ Writing Skill, Copywriting Skill, การพูด, การดำเนินรายการ, การทำกราฟิก, การตัดต่อวิดีโอ, Motion Effect, Marketing Skill, Communication Skill ฯลฯ ซึ่งอาชีพนี้สามารถต่อยอดหรือเติบโตไปเป็น Content Manager, Content Marketing หรือ Creative Director ได้ในอนาคต

     

    ฐานเงินเดือนโดยประมาณ : 25,000-50,000 บาท/เดือน

     

    ที่มา : Jobsb

     

    ]]>
    1505503
    ปีใหม่ทั้งที มาทำตัวเองให้เก่งขึ้น เปิดไอเดีย ‘ปณิธานปีใหม่’ เพื่อพิชิตความสำเร็จในอาชีพ https://positioningmag.com/1505282 Sun, 29 Dec 2024 08:02:40 +0000 https://positioningmag.com/?p=1505282 เมื่อก้าวเข้าสู่ปีใหม่ หลายคนจะมีการตั้ง New Year’s Resolution หรือ ‘ปณิธานปีใหม่’ ตั้งเป้าหมายว่า ในปีใหม่นี้ต้องการปรับปรุงหรือมีเป้าหมายที่ต้องการไปให้ถึงอย่างไรบ้าง เพื่อช่วยเพิ่มแรงจูงใจให้กับตัวเองพัฒนาไปข้างหน้าอย่างมีทิศทาง ซึ่งบทความนี้เราจะมาเสนอไอเดียการตั้งปณิธานปีใหม่ที่จะช่วยสร้างความสำเร็จทางด้านการงาน

     

    ตั้งเป้าให้ตัวเองกระตือรือร้นในการทำงานมากขึ้น

     

    เมื่อพูดถึงเป้าหมายความก้าวหน้าในอาชีพ หากไม่แน่ใจจะเริ่มต้นอย่างไรกับปณิธานด้านอาชีพในปี 2025 อาจเริ่มต้นด้วยการมุ่งมั่นที่จะลงมือทำให้มากขึ้น เพิ่มความกระตือรือร้นและลดความเฉื่อยชาลง โดยอาจจะตั้งเป้าหมายระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว หรือระดมความคิดสำหรับการพัฒนาอาชีพที่คุณต้องการทำในปี 2025 เพื่อกำหนดกรอบและทิศทางพัฒนาตัวเองได้อย่างชัดเจน

     

    เรียนรู้ทักษะใหม่

     

    ด้วยยุคปัจจุบันโลกมีการเปลี่ยนแปลงมากมายและเป็นไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้น หากต้องการความสำเร็จหรือก้าวหน้าในอาชีพ ประเด็นสำคัญ คือ ต้องเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ ให้สอดคล้องกับสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าจะ Upskill และ Reskill โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีที่ตอนนี้มีหลายอย่างเข้ามาดิสรัปต์คนทำงาน เพราะหากคุณตามไม่ทันอาจจะทำให้คุณพลาดโอกาสเติบโต หรือบางครั้งต้องสูญเสียงานไปก็ได้

     

    ลดการผลัดวันประกันพรุ่ง

     

    การผลัดวันประกันพรุ่ง ด้วยการเลื่อนภารกิจหรืองานที่ต้องทำในแต่ละวันออกไปก่อน ก็ถือเป็นพฤติกรรมที่อาจทำให้คุณไม่ประสบความสำเร็จหรือก้าวหน้าในอาชีพการงาน ดังนั้น ปณิธานปีใหม่หลายคนจึงตั้งเป้าที่จะลดพฤติกรรมนี้ออกไป ซึ่งมีหลายวิธีที่จะพัฒนาตัวเองทีละเล็กทีละน้อยเพื่อเลิกนิสัยผลัดวันประกันพรุ่ง

     

    ยกตัวอย่างเช่น ใช้เวลา 5-10 นาทีสุดท้ายของวันทำงาน เขียนสิ่งที่คุณทำสำเร็จ สิ่งที่ไม่ได้เป็นไปตามแผน และ 3 สิ่งที่รู้สึกขอบคุณในวันนี้ เพื่อประมวลผลการทำงานในแต่ละวันว่าเป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งจะช่วยให้คุณเห็นความสำเร็จในแต่ละวัน เป็นกระบวนการง่าย ๆ ที่จะเพิ่มกำลังใจในการทำงาน และอีกส่วนจะเป็นเหมือนคำแนะนำเกี่ยวกับสิ่งที่คุณต้องทำในวันพรุ่งนี้

     

    อุทิศเวลาให้กับการทำงานสร้างสรรค์มากขึ้น

     

    บางครั้งการทำงานในแต่ละวัน เราต้องเสียเวลาไปกับงานที่ไม่เกิดประโยชน์ เช่น การประชุมที่ยืดเยื้อ ไม่มีทิศทางและข้อสรุป ดังนั้น หากต้องประชุมควรจะมีการกำหนดเวลาชัดเจน รวมไปถึงการตั้งเป้าหมายและกรอบของการระดมความคิดเห็น เพื่อให้ได้ข้อสรุปและเป็นไปตามเป้าหมายทีต้องการ

     

    จงใจดีกับตัวเองมากขึ้น ทั้งในที่ทำงานและในชีวิต

     

    การทำงานที่เคร่งเครียดและกดดันตัวเองจนเกินไป ไม่ได้ส่งผลดีต่อประสิทธิภาพในการทำงานและอาจส่งผลกระทบเชิงลบให้กับชีวิตของเรา ฉะนั้น คุณควรจะตั้งคำถามกับตัวเองว่า ความสุขและเป้าหมายของชีวิตคืออะไร? คุณมักจะวิพากษ์วิจารณ์ตัวเองถึงสถานการณ์การทำงานหรือไม่? ตั้งเป้าหมายสูงเกินไปหรือเปล่า? ทำไมไม่ลดแรงกดดันลงบ้างในปี 2025? ซึ่งอาจจะส่งผลดีต่อชีวิตของตัวเองมากกว่า

     

    สำหรับวิธีตั้งเป้าหมายปีใหม่ให้สำเร็จ ไม่ใช่แค่เขียน ‘สิ่งที่ต้องการทำ’ แต่ต้องอาศัยการวางแผน การลงมือทำ และการติดตามผลอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงการวางกรอบเวลาที่อยากจะบรรลุปณิธานไว้อย่างชัดเจน โดยเริ่มต้นจากสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ แล้วค่อยขยายไปสู่เป้าหมายใหม่ เพื่อให้มีกำลังใจในการทำสิ่งต่าง ๆ ที่วางไว้ให้ประสบความสำเร็จ

    ]]>
    1505282
    ‘Google’ เล็งลดจำนวน ‘ผู้บริหารระดับสูง’ ลง 10% เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน https://positioningmag.com/1504815 Wed, 25 Dec 2024 04:33:04 +0000 https://positioningmag.com/?p=1504815 นับตั้งแต่ครึ่งหลังของปี 2023 และปี 2024 เป็นต้นมา กูเกิล (Google) ได้มีการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นและทำงานได้ดีขึ้น ลดความซับซ้อนของโครงสร้างองค์กร และจัดสรรทรัพยากรให้สอดคล้องกับลำดับความสำคัญ โดยการ ลดจำนวนพนักงาน

    ล่าสุด ทาง Sundar Pichai ซีอีโอ Google และ Alphabet ได้แจ้งถึงพนักงานว่า บริษัทจะ ลดจำนวนผู้บริหารระดับสูงจำนวน 10% อาทิ ตำแหน่งผู้จัดการ, ผู้อำนวยการ และรองประธาน เพื่อสร้างประสิทธิภาพกับบริษัท โดยจำนวนผู้บริหารระดับสูงบางส่วนจะ ถูกโยกไปตำแหน่งอื่น ที่ไม่ใช่ตำแหน่งการจัดการ และบางส่วนอาจต้อง ออกจากบริษัท 

    นับตั้งแต่เดือนกันยายน 2022 บริษัทก็ได้เดินหน้าที่จะปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น 20% ส่งผลให้นับตั้งแต่ต้นปี 2023 บริษัทได้ทำการลิกจ้างพนักงานถึง 12,000 ตำแหน่ง ซึ่งถือเป็นการเลย์ออฟครั้งประวัติศาสตร์

    การเร่งปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานในองค์กรของ Google เกิดขึ้นพร้อม ๆ กับการมาของคู่แข่งอย่าง OpenAI ที่มีผลิตภัณฑ์ที่ถือเป็น ภัยคุกคามธุรกิจเสิร์ชเอนจิ้น ของ Google ส่งผลให้บริษัทต้องเปิดตัว AI อย่าง Gemini และเพิ่มฟีเจอร์ AI เข้าไปในธุรกิจหลัก และเพิ่มบริการ AI ใหม่ ๆ มากมาย เช่น Google Vids” โมเดล AI สร้างวิดีโอจากข้อความและไฟล์เอกสาร

    Source

    ]]>
    1504815
    รู้จัก ‘กฎ 1 ชั่วโมง’ เคล็ดลับความสำเร็จที่ Jeff Bezos ต้องทำในชั่วโมงแรกของ ‘ทุกเช้า’ https://positioningmag.com/1504800 Tue, 24 Dec 2024 12:22:24 +0000 https://positioningmag.com/?p=1504800 นอกจากการนอนหลับให้เพียงพอแล้ว การเริ่มต้นชั่วโมงแรกที่ตื่นขึ้นมา ยังเป็นช่วงเวลาที่บรรดา CEO และผู้นำระดับโลกให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก อย่าง Tim Cook ซีอีโอ Apple จะเริ่มต้นด้วยการตอบอีเมลหลายร้อยอีเมล ขณะที่ Jeff Bezos ผู้ก่อตั้ง Amazon แตกต่างออกไป โดยเลือกใช้ชีวิต 1 ชั่วโมงของวันแบบ ‘สโลว์ไลฟ์’ และไม่ใช้โทรศัพท์มือถือ

     

    Bezos เคยเปิดเผยกิจวัตรยามเช้าของเขาในงาน Economic Club of Washington เมื่อปี 2018 ว่า ในช่วงเช้าเขาจะออกกำลังกายเบา ๆ นั่งกินข้าวกับครอบครัว อ่านหนังสือพิมพ์ ดื่มกาแฟหรือชา ทำนู่นทำนี่ที่ไม่เร่งเร้าสมอง

     

    และกฎข้อหนึ่ง ก็คือ จะไม่ใช้โทรศัพท์มือถือหรือคอมพิวเตอร์ในตอนเช้า เพราะ Bezos เชื่อว่า การไม่ใช้โทรศัพท์มือถือในชั่วโมงแรกหลังตื่น นอกจากจะทำให้เขามีความสุขกับชีวิตมากขึ้นแล้ว ยังช่วยเพิ่มพลังงานและทักษะในการตัดสินใจตลอดทั้งวันได้ดียิ่งขึ้น

     

    ความคิดนี้ของเขา สอดคล้องกับผลการศึกษาของ Standford Lifestyle medicine ที่พบว่า

     

    -การอยู่หน้าจอมือถือ หลังจากเลิกงานมากกว่า 1 ชั่วโมงขึ้นไป มีผลทำให้เนื้อสีเทาในสมองลดน้อยลง และทำให้ความจำไม่ค่อยดี

    -การที่ผู้ใหญ่ดูจอทีวีมากกว่า 5 ชั่วโมงต่อวัน จะทำให้มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นต่อการเป็นโรคสมองเสื่อม โรคอัลไซเมอร์ และโรคพาร์กินสัน

    -การติดหน้าจอมือถือนานๆ มีผลต่อความเมื่อยล้าที่ดวงตา ปวดหลัง ปวดคอ ปวดตา รวมไปถึงมีผลกระทบต่อความเครียด ความแปรปรวนของอารมณ์ และส่งผลกระทบทำให้มีปัญหานอนไม่หลับ

     

    ดังนั้น Stanford Lifestyle Medicine แนะนำว่า ไม่ควรใช้หน้าจอในชั่วโมงแรกของวัน และไม่ควรใช้สมองสู้รบ หรือต่อต้านอะไรที่มากระตุ้นมากเกินไป พร้อมกับเสนอกิจกรรมทางเลือกที่จะส่งผลดีต่อสมองในช่วงเวลาเช้า อาทิ ออกกำลังกาย, โทรหาครอบครัวหรือเพื่อน, นั่งสมาธิ, อ่านหนังสือ, ใช้เวลาอยู่กลางแจ้งและรับแสงแดดยามเช้า เป็นต้น

     

    กฎ 1 ชั่วโมงของ Jeff Bezos อาจจะเป็นเทคนิคง่าย ๆ ในการพัฒนาสมองให้มีความฉลาดและมีความคิดสร้างสรรค์ ที่เราอาจจะลองทำตาม เพื่อเสริมสร้างสุขภาพสมองให้มีการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะส่งผลดีต่อความสำเร็จในชีวิตของเราในระยะยาว

    ]]>
    1504800
    ‘หมีเนย-หมูเด้ง’ ครองตำแหน่งขวัญใจชาวโซเชียล ส่วน ‘หลวงพ่อทันใจ’ เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คนไทยขอพรออนไลน์มากสุด https://positioningmag.com/1504628 Mon, 23 Dec 2024 11:11:04 +0000 https://positioningmag.com/?p=1504628 LINE ประเทศไทยได้เปิดเผยถึงเทรนด์กระแสไวรัลและเทรนด์ฮิตในปี 2024 โดยสรุปผ่าน ‘10 เทรนด์ฮิตชีวิต ดิทัล 2024’ จากผู้ใช้ LINE ในประเทศไทย ซึ่งปีนี้ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ‘หมีเนย – หมูเด้ง – ช็อกโกแลตดูไบ – ไข่พะโล้’ มีการพูดถึงมากที่สุด ขณะที่ ‘กีฬา – สมรสเท่าเทียม – ฉ้อโกง’ กลายเป็นประเด็นฮอต และกระแสร้อนที่คนไทยเกาะติด

     

    1. ‘หมีเนย-หมูเด้ง’ คว้าหัวใจครองโลกดิจิทัล

     

    ในรอบปี 2024 เป็นการจับมือครองโลกออนไลน์กันแบบไม่ต้องสงสัย สำหรับ ‘หมีเนย’ จาก Butterbear และ ‘หมูเด้ง’ ที่ติดอันดับท็อปในหลายบริการบนแอป LINE โดย ‘ด้อมหมีเนย’ ขึ้นแท่นกลุ่มแฟนคลับที่มีสมาชิกมากที่สุดบน LINE OPENCHAT กว่า 40,000 คน ส่วน ‘ด้อมหมูเด้ง’ สร้างสถิติใหม่กวาดแฟน ๆ เข้ากลุ่มเร็วที่สุด โดยมีจำนวนสมาชิกเพิ่มขึ้นจาก 5,000 คน เป็น 10,000 คน ในเวลาเพียง 10 นาที

     

    นอกจากนี้เพลง ‘น่ารักมั๊ยไม่รู้’ ของหมีเนยยังติดท็อปเพลงฮิตที่ผู้ใช้นำมาสร้างคอนเทนต์มากที่สุดบนแพลตฟอร์ม LINE VOOM พร้อมด้วยเป็นหนึ่งในเพลงฮิตที่คว้ารางวัล Black Melody ศิลปินที่มียอดดาวน์โหลดบน LINE MELODY สูงสุดภายใน 2 วัน

     

    2.คนดังแห่ออกสติกเกอร์ เข้าถึงแฟนในทุกโมเมนต์

     

    ฟาก LINE STICKERS ก็พบว่า เป็นปีที่คอลเลกชันสติกเกอร์ ‘คนดัง’ เพิ่มขึ้นสูง จากการเป็นเครื่องมือสื่อกลางที่เข้าถึงกลุ่มแฟนคลับได้ทุกโมเมนต์ ทุกการพูดคุยบนโลกออนไลน์ เพราะมีทั้ง น้องเนย, หมูเด้ง, พี่จอง คัลแลน น้องแดน คุณจูดี้, ครอบครัวตัวฟอร์, หลิง-ออม, เจมิไนน์ – โฟร์ท และนักแสดงที่มีฐานแฟนด้อมอื่น ๆ อีกมากมาย นอกจากนี้ ก็เป็นปีที่สติกเกอร์จากคำฮิตวลีเด็ดบนโลกโซเชียลก็ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง อย่าง birthday but with me (เกิดแต่กับกู) ที่ให้อารมณ์สนุกและกวน ไม่พลาดสักกระแส

     

    3. ยกเครื่อง ‘อิโมจิ’ ครั้งใหญ่ในรอบ 7 ปี

     

    หลายคนอาจเตะตาในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาเวลาแชท เพราะมีการยกเครื่องปรับโฉม ‘อิโมจิ’ ครั้งใหญ่ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปี ที่หยิบมาอิโมจิตัวเดิมที่คุ้นเคย อีกหนึ่งไอเท็มสื่อสารอมตะบนโลกดิจิทัลกลับมาออกแบบใหม่และจัดเรียงตัวให้เหมาะกับการใช้งานจริง สอดคล้องกับพฤติกรรมที่คนใช้อิโมจิเพิ่มมากขึ้น เช่นเดียวกับอิโมจิบน Reaction ข้อความบน LINE ที่มีผู้ใช้งานมากขึ้นเช่นกัน

     

    4. ของกินบนโลกโซเชียลมาแรง รอนานแค่ไหนก็ยอม

     

    ต้องเรียกว่า ปี 2024 เป็นปีที่ ‘ของกิน’ ที่เป็นกระแสบนโลกโซเชียลมีอิทธิพลอย่างมากกับวัฒนธรรมป๊อปในเมืองไทย ทำให้ตลาดอาหารคึกคักแบบไม่ต้องสงสัย อย่าง LINE SHOPPING พบว่า ‘ช็อกโกแลตดูไบ’ เป็นสินค้าขายดีสุดๆ โดยช่วงเดือนกันยายนถึงตุลาคมขายได้รวมกว่า 30,000 ชิ้น หรือร้านเค้กทุเรียน เค้กลอดช่องอย่าง Nie and Ivan ก็ครองสถิติการพรีออเดอร์รอเค้กนานที่สุดถึง 5 เดือน

     

    ฟาก LINE MAN ก็พบว่า ‘ไข่พะโล้’ จากกระแสของ ‘พี่เอ ศุภชัย’ มียอดออเดอร์จากร้านต่าง ๆ รวมกันแล้วโตขึ้นกว่า 2 เท่าใน 1 เดือน เมื่อเทียบกับเวลาปกติ โดยเฉพาะไข่พะโล้ก็ขายจากร้านต่าง ๆ รวมกันทั่วประเทศมากกว่า 260,000 ฟอง ขณะที่ ‘ข้าวขาหมู’ จากกระแสหมูเด้ง ก็ทำให้ยอดค้นหาเมนูข้าวขาหมูบน LINE MAN เพิ่มขึ้น 50% ภายใน 1 สัปดาห์เช่นกัน ซึ่งทุกเมนูล้วนเป็นมีจุดเริ่มต้นจากกระแสบนโลกโซเชียลทั้งสิ้น

     

    5. ‘กีฬา – สมรสเท่าเทียม – ฉ้อโกง’ ประเด็นคอนเทนต์คนไทยมีส่วนร่วมคึกคัก

     

    มหกรรมกีฬาโอลิมปิกปีที่ผ่านมาสร้างบรรยากาศเชียร์ไทยปกคลุมทั่วประเทศ ส่งผลให้คอนเทนต์ของ LINE TODAY ในหมวดกีฬามีผู้รับชมเพิ่มขึ้น 3 เท่าจากช่วงเวลาปกติ เช่น ข่าวเทนนิส-พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ คว้าเหรียญทองแรกให้กับประเทศไทยในการแข่งขันโอลิมปิก 2024 สอดคล้องกับที่แฟน ๆ กีฬาเปิดห้องโอเพนแชทเพื่อพูดคุยและเชียร์กีฬาที่ตัวเองชอบเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงโอลิมปิกเช่นเดียวกัน ขณะที่คนไทยก็ตื่นตัวเสพคอนเทนต์ข่าวสารประเด็น ‘ฉ้อโกง – มิจฉาชีพ’ รวมกว่า 36 ล้านเพจวิว โดยเนื้อหาที่คนเข้าชมมากที่สุดได้แก่ กรณี The Icon Group อันดับสองได้แก่ ทองแม่ตั๊ก และอันดับสาม อย่างแกงค์คอลเซ็นเตอร์ระบาด

     

    ด้านประเด็น ‘สมรสเท่าเทียม ที่สร้างบรรยากาศของการตื่นเต้นยินดี ก็ครองอันดับหนึ่งการรับชมไลฟ์บน LINE TODAY มากที่สุดถึง 1 ล้านคน จากงาน Pride Parade มากกว่าคอนเทนต์ไลฟ์อื่นถึง 3 เท่า

     

    6.วงการเพลงสุดคึกคักเพราะความหลากหลาย

     

    ปีนี้ LINE MELODY มีการมอบรางวัล Black Melody รางวัลที่มอบให้แก่เพลงที่มียอดดาวน์โหลดเร็วและมากที่สุดบนบริการ LINE MELODY มากที่สุดเป็นประวัติการณ์ถึง 18 รางวัล ซึ่งถือได้ว่าเป็นปีที่เพลงที่ได้รับรางวัลมีความหลากหลายสุด ๆ สะท้อนให้เห็นถึงเทรนด์ความนิยมของผู้ใช้งานที่หลากหลายและขยายกว้างมากขึ้น ตั้งแต่ศิลปินสังกัด ศิลปินอิสระ เพลงประกอบวิดีโอของคัลแลน-พี่จอง สองหนุ่มเกาหลีเที่ยวไทยอย่าง Toxic – HateBerry เพลงที่แต่งจากกระแสโซเชียลอย่าง หมูเด้ง Moo Deng (Reggaeton) – Karat K รวมถึงเป็นครั้งแรกที่ผู้ได้รับรางวัล BLACK MELODY เป็นหมีน้อยน่ารักอย่าง ‘น้องเนย’ จากเพลง น่ารักมั้ยไม่รู้ – Butterbear

     

    7. ‘หลวงพ่อทันใจ’ แซง ‘พระแม่ลักษมี’ สิ่งศักดิ์สิทธิ์คนไทยขอพรออนไลน์มากที่สุด

     

    หลวงพ่อทันใจ วัดพระธาตุดอยคำ เชียงใหม่ เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คนไทยใช้บริการขอพรออนไลน์ผ่าน LINE ดูดวงมากที่สุดในปีทีผ่านมา ตามมาด้วยวัดดั๊กดูเศรษฐ์ อินเดีย และ พระแม่ลักษมี เกษรวิลเลจ ที่อยู่ในอันดับสาม นอกจากนี้คนไทยก็ไม่ลืมที่จะ ‘บริจาค’ เพื่อสังคม โดย LINE ดูดวง ร่วมมือกับ ‘เทใจ’ เป็นสื่อกลางในการส่งน้ำใจของคนไทยไปสู่ผู้ประสบภัยน้ำท่วมในหลายจุดทั่วประเทศ ที่เฉพาะในเดือนกันยายนเพียงเดือนเดียวก็ได้รับเงินบริจาคจากพี่น้องชาวไทยกว่า 8 แสนบาท

     

    8.เกมสนุก เว็บตูนไทยปังเกินต้าน

     

    LINE ไอเดิล เรนเจอร์ เกมใหม่ล่าสุดจาก LINE GAME เผยสถิติผู้เล่นในไทยใช้เวลาในโหมด Idle รวมกว่า 242,023 นาที (4,033 ชั่วโมง) ภายในวันแรกที่เปิดให้บริการ หรือเทียบเท่าการออกกำลังกายวันละ 1 ชั่วโมงนานถึง 11 ปี ขณะที่ฟาก LINE WEBTOON “ฉันนี่แหละท่านขุนที่สวยที่สุดในสยาม” ก็ต่อยอดความดัง จัดกิจกรรม Pop-up Store กลางสยาม เอาใจแฟนคลับแห่ร่วมช้อปรวมกว่าหมื่นคน

     

    9. SME ทั่วไทยกว่า 2 ล้านคน ตื่นตัวหาความรู้ใหม่

     

    LINE for Business กระจายความรู้ให้ผู้ประกอบการ SME กว่า 2 ล้านคนทั่วประเทศ ผ่านงานสัมมนามากมาย อาทิ BOOTCAMP DAY และ UPSKILL SME ที่จับมือกับ สสว. รวมถึงงานธุรกิจท่องเที่ยวและร้านอาหารอย่าง  ‘จุดประกายธุรกิจไมซ์ ติดอาวุธธุรกิจอย่างยั่งยืน’ ร่วมกับ TCEB และ THAI MICE Connect รวมทั้งคอร์สออนไลน์อย่าง BOOTCAMP Classroom และรายการโค้ชชวนคุย เป็นต้น

     

    10. ‘หลานม่า – ธี่หยด 2’ ครองหนังซื้อตั๋วผ่าน LINE Pay

    เป็นปีที่หนังไทยคึกคักมากกว่าช่วงหลายปีที่ผ่านมา ภาพยนตร์ไทยในปี 2567 สุดฮิตอย่าง หลานม่า และ ธี่หยด 2 สร้างปรากฏการณ์เป็นหนังที่คนซื้อตั๋วและจ่ายด้วย LINE Pay ที่แท็บ SF Cinema บนแท็บ LINE Wallet มากที่สุดของปี

    ]]>
    1504628