ย้อนกลับไปวันเริ่มต้นของการปั้นโปรเจกต์หนังเรื่องนี้ หรือมีชื่อภาษาอังกฤษว่า How To Make Millions Before Grandma Dies ทาง ‘จินา โอสถศิลป์’ ซีอีโอ GDH เล่าว่า ทางบอร์ดบริหารมีการตั้งคำถามและข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องราวของหนังจะมีความ sensitive หรือไม่ เนื่องจากมีเนื้อหาที่หลานตั้งใจจะเอามรดก
แต่ด้วยความเก่งของโปรดิวเซอร์ (วรรณฤดี พงษ์สิทธิศักดิ์) ของผู้กำกับ (พัฒน์ บุญนิธิพัฒน์) ไปจนถึงการเขียนบทที่นำเสนอเรื่องความกตัญญู และความสัมพันธ์ของคนในครอบครัว ซึ่งสามารถทำออกมาได้ดี จนกระทั่งหนังตัดต่อออกมา เมื่อเธอได้ดูแล้วทำให้รู้สึกชื่นชมเป็นอย่างมาก
ส่วนหนังจะไปได้ไกลแค่ไหน คำตอบ ณ ตอนนั้น คือ ‘ไม่รู้’
แต่ด้วยความเชื่อ ‘หนังดี ทุกอย่างจะไปได้ดี’ ทำให้จินาตัดสินใจเรียกทีมงานทั้งหมดเข้ามาพูดคุย โดยถามกับทีมงานมั่นใจหรือไม่ว่าหนังเรื่องนี้ดีและสนุกพอ? ซึ่งทีมงานตอบว่า ‘มั่นใจ’
จึงนำมาสู่คำถามถัดไป ‘คิดว่า จะทำรายได้มากสุดที่เท่าไร’
คำตอบที่ได้รับจากทีมงานทุกคนคือ ‘80 ล้านบาทสุด ๆ แล้ว’ แต่เมื่อเธอได้เห็น cutting สุดท้ายของหนัง ทำให้จินามั่นใจและขอใช้สิทธิ์ซีอีโอฟันธง ‘หนังเรื่องนี้ต้องทำรายได้ 150 ล้านบาท’ ตอนนั้นหลายคนบอกว่า ‘เธอบ้าไปแล้ว’ เพราะด้วยเนื้อหามีความเป็นดราม่า ซึ่งอย่างที่ทราบกัน หนังดราม่า ‘ไม่ใช่หนังที่จะทำเงินได้มากมายนัก’
สำหรับการประสบความสำเร็จของหลานม่าอย่างที่เห็น เกิดขึ้นจากองค์ประกอบหลายอย่าง ทว่าพื้นฐานและเป็นสารตั้งต้นสำคัญของความสำเร็จ ก็คือ ‘ตัวหนังดี’ จากการที่ทุกคนทำงานของตัวเองอย่างเต็มที่เพื่อสร้างสรรค์ผลงานให้ออกมาดีที่สุด
ถัดมา เป็นเรื่องของการตลาด ด้วยการใช้ Word of Mouth สร้างกระแส ‘หนังดี ต้องปากต่อให้คนมาดู’ ซึ่งเป็นวิธีที่จินาเคยใช้สร้างความสำเร็จอย่างถล่มทลายมาแล้วกับหนังเรื่อง ‘แฟนฉัน’ โดยไม่ได้ใช้ Influencer ของหนังอย่างเดียว แต่เป็นการใช้เครือข่ายที่มีทั้งหมดเพื่อดึงคนเข้ามาให้มากที่สุด
“การไปดูหนังมันเสียทั้งเงินและเวลา ยิ่งตอนนี้มีสตรีมมิ่งเสิร์ฟความบันเทิงไปถึงบ้านด้วย คุณจะเอาชนะได้อย่างไร ซึ่งเราเอาชนะได้อย่างเดียวคือ ตัวงาน อันนี้คือพื้นฐาน ทำอย่างไรให้คนดูอดทนรอไปอีก 3-4 เดือนไม่ได้ ตอนนั้นที่ทำโฟกัส กรุ๊ป คนดูเสร็จคนชอบมาก ๆ มีเด็กผู้ชายอายุ 16 ร้องไห้ จนเรามั่นใจ”
จากหนังที่หลายคนมองว่า ทำรายได้ 80 ล้านบาทก็สุด ๆ แล้ว มาถึงวันนี้หลานม่า ได้สร้างหลายปรากฏการณ์ให้เห็นกับวงการหนังไทย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องรายได้ที่ทำเงินไปถึง 2,059 ล้านบาท จากการเข้าฉายใน 36 ประเทศ และกวาดรางวัลจากเวทีประกวดมากมายทั้งในประเทศและระดับนานาชาติ รวมถึงเป็นหนังไทยเรื่องแรกที่ติด 15 เรื่องสุดท้ายที่เสนอเข้าชิงเวทีระดับโลกอย่าง รางวัลออสการ์ครั้งที่ 97 ในสาขา ‘ภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยม’
ส่วนจะสามารถสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ ติด Final list หนัง 5 เรื่องสุดท้ายที่เข้าชิงรางวัลจากเวทีระดับโลกนี้ได้หรือไม่ ต้องติดตามกันวันที่ 17 มกราคม 2025 ขณะที่งานดังกล่าวจะมีการประกาศรางวัลในวันที่ 2 มีนาคม 2025
]]>ยาดมหงส์ไทย หนึ่งในซอฟท์พาวเวอร์สำคัญของประเทศไทยที่เหล่าไอดอล หรือบุคคลดังทั่วโลกต่างต้องเคยซู้ด… ออกสื่อ เรียกว่าเป็นซอฟท์พาวเวอร์แบบออแกนิกไม่ต้องจ่ายค่าโปรโมตเลยทีเดียว แต่กว่าจะมีถึงทุกวันนี้ได้ “เก่ง ธีระพงศ์ ระบือธรรม” ต้องฝ่าฟันอะไรต่างๆ มากมาย
ธีระพงศ์ ระบือธรรม ผู้ก่อตั้ง บริษัท สมุนไพรไทย หงส์ไทย จำกัด หรือที่รู้จักกันในนามยาดมหงส์ไทย ได้แชร์ประสบการณ์ในการสร้างแบรนด์ในงาน MAT CMO Council “1+1>2: Unleashing Local Potential to Global Stage” เป็นการสร้างแบรนด์จากความ “ไม่รู้” แต่ได้เรียนรู้จากข้อผิดพลาดจนก่อเกิดเป็นภูมิต้านทานในการทำธุรกิจจนถึงทุกวันนี้
ธีระพงศ์ เริ่มเล่าว่า เขาเติบโตมาในครอบครัวที่ค่อนข้างลำบาก เห็นพ่อแม่ทำงานหนักมาตั้งแต่เด็ก พ่อขับเท็กซี่ ส่วนแม่เป็นแม่บ้าน เลยมีความคิดที่อยากจะออกมากช่วยพ่อแม่ทำงานตั้งแต่เรียน ป.6 พอเห็นความยากลำบากเลยไม่ได้สนใจเรื่องเรียนเท่าไหร่ เลือกเส้นทางเรียนรู้จากการเป็นลูกจ้างมา 6-7 ที่ แต่ละที่ให้ประสบการณ์ที่แตกต่างกัน
จุดเปลี่ยนสำคัญที่เป็นการเริ่มเส้นทางของ “หงส์ไทย” ก็คือ หลังจากออกจากงานประจำมีรายได้ติดตัวอยู่ 18,000 บาท ได้ลงคอร์สเรียนทำพิมเสน 200 บาท แล้วซื้อพิมเสนชุดเล็กมาเดินขายตามตลาด
“ตอนนั้นมีความยากมากๆ เพราะไม่มีคนรู้จักเราเลย ถูกปฏิเสธก็เยอะ แต่มีกำลังใจเพราะมีคนซื้ออยู่บ้าง จริงๆ ไทยเป็นประเทศที่ให้โอกาส… แต่ให้น้อย แต่ก็ยังดีกว่าไม่ให้เลย พอขายได้คนนึงจะใจฟู จากนั้นจะไปหาลูกค้าทุกเดือน เก็บข้อมูลว่าอยากได้อะไรเพิ่ม แล้วเอามาพัฒนา ทีนี้มีช่วงที่เจออุบัติเหตุไม่ได้ผลิตไป 2 ปีกว่า แต่ก็ยังมีลูกค้าตามหา ก็ค้นพบได้ว่าถ้าเราทำอะไรออกมาดีๆ ก็จะไม่มีวันตาย”
พอเริ่มต้นจากทำพิมเสน ได้ฟีดแบ็กจากลูกค้าว่าอยากได้ยาหม่อง ก็เรียนรู้หาสูตรยาหม่อง พอลูกค้าตำหนิ ก็เรียนรู้เรื่อยๆ สูตรยาดม ยาหม่องมาจากคำตำหนิของลูกค้าทั้งหมด
ธีระพงศ์ยังบอกอีกว่า ลูกค้ารายใหญ่ที่สุดในตอนนี้ไม่ใช่เซเว่น หรือร้านขายส่งแต่อย่างใด แต่เป็นลูกค้าล็อตแรกที่ซื้อที่ตลาด สมัยเดินเร่ขาย ลูกค้าคนนี้เคยทำงานอยู่ที่โรงงานนันยางบางแค ตอนนี้สั่งซื้อ 3,500 โหล/สัปดาห์ แล้วไปส่งต่ออีกที
“ลูกค้ากลุ่มนี้มีไม่เกิน 10 คน แต่เป็นลูกค้ามหัศจรรย์ 1 ปีจะมีไปทานข้าวด้วยกันอยู่เสมอ”
หลายคนอาจจะสงสัยว่ายาดมหงส์ไทยมีหลายสี หลายสูตร มีความแตกต่างกันอย่างไร หลักๆ จะมี 3 สีได้แก่ สีเขียว สีเหลือง และสีขาว โดยที่สีเขียวจะมีสูตร 1 กระปุกเขียว ฉลากเขียว และสูตร 2 กระปุกเขียว ฉลากเหลือง ส่วนสีเหลืองเป็นสมุนไพรเหมือนกัน แต่มีส่วนผสมของพิมเสนมากกว่าสีเขียว ส่วนสีขาวเป็นยาดมพิมเสนน้ำ
แน่นอนว่าสูตรที่ขายดีที่สุดต้องเป็นกระปุกเขียวฉลากเหลืองในตำนาน สูตร 2 ในประเด็นนี้ ธีระพงศ์ ได้บอกไว้ว่า ที่จริงแล้วทั้ง 2 สูตรเป็นสูตรเดียวกัน ไม่มีความแตกต่างกัน เพียงแต่เป็นเทคนิคในการขอ อย. เพราะโดนตีออกบ่อย เลยขอไปเผื่อ 3 สูตรเลย
“จริงๆ แล้วสูตร 2 เป็นเทคนิกการขอ อย. เคยขอสูตร 1 แล้วโดนตีออก พอโดนตีออกเข้าบ่อยเลยขอไปทีเดียว 3 สูตรเลย ซึ่งจริงๆ แล้วก็สูตรเดียวกัน ขอมา 9 ปีไม่ได้ เพิ่งได้มาเมื่อปี 2562”
ส่วนฟีดแบ็กที่ว่าถุงตาข่ายชอบหล่น ทำให้สมุนไพรหล่น ธีระพงศ์ก็บอกว่าปีหน้าเตรียมเย็บถุงตาข่ายแน่นอน มีตาข่ายเป็นรูปหงส์ แล้วเย็บปิด ทำให้ไม่หลุด แม้ต้นทุนจะเพิ่ม แต่ยืนยันว่าไม่ขึ้นราคา ตอนนี้ซื้อจักรมาแล้ว เตรียมเซตระบบ และปีหน้าจะได้เห็นถุงตาข่ายแบบใหม่
ปัจจุบันหงส์ไทยมีสินค้ารวม 50 รายการ แบ่งเป็น 5 กลุ่ม ได้แก่ ยาดม, ยาหม่อง, สเปรย์, น้ำมัน และยาหม่องหัวปั๊ม เป็นสินค้าที่ติดตลาด 10 กว่าตัว ยาดมเป็นรายได้หลักเกือบ 80% มีการตั้งเป้าว่าในปี 2570 อยากทำให้สินค้าติดตลาด 30 ตัวให้ได้
แต่ในสินค้า 50 รายการ มีขาดทุนอยู่ 7 รายการ ยกตัวอย่างเช่น สเปรย์นวดขวัญใจคนยาก ไว้ใช้สำหรับนวดแก้ปวดเมื่อย ธีระพงศ์บอกว่าทำแรกๆ ก็ได้กำไร แต่หลังๆ ขาดทุน เพราะมันไม่มีคุณภาพ เนื่องจากพยายามกดราคาที่ 95 บาท เพื่อให้ไม่เกิน 100 บาท แต่ค่าครองชีพขึ้นเรื่อยๆ ต้นทุนก็สูงขึ้น ถ้าจะเอากำไรจริงๆ ต้องราคา 100 บาทขึ้นไป
“ผมพัฒนาสินค้า 500 กว่ารอบ มีสินค้าขาดทุน 7 ตัว แต่สามารถสร้างชื่อ สร้างแบรนด์ สร้างความรัก สร้างความพึงพอใจ รวมถึงให้ลูกค้ารากหญ้าที่มีรายได้น้อยได้มีสิทธิ์ซื้อสินค้ามีคุณภาพ แม้วันที่วันที่ไม่มีเงิน หรือเริ่มมีเงิน ก็ยังเป็นลูกค้าเรา มีสินค้าที่มีกำไรเกือบ 40 ตัวก็เลยสมดุลกัน”
ปัจจุบันยาดมสมุนไพรสีเขียวสูตร 2 ไซส์ใหญ่ขายดีที่สุด ผลิตทุกวันตั้งแต่ 8.00-22.00 น. มีกำลังการผลิต 200,000 ชิ้นต่อวัน และจะเพิ่มเป็น 300,000 ชิ้นในเร็วๆ นี้ ตอนนี้กำลังประสบปัญหาผลิตไม่ทัน แม้จะเพิ่มกำลังคนแล้วก็ตาม
แต่ในอีก 2 ปีข้างหน้าเตรียมแผนที่จะสร้างโรงงานใหม่ย่านพุทธมณฑลสายสี่เพื่อรองรับการส่งออก ด้วยพื้นที่ 4 ไร่ มี 3 อาคาร
ในปีที่แล้วบริษัทมีรายได้ 300 ล้านบาท ปีนี้คาดว่าจะเติบโตมากกว่าเท่าตัว เพราะได้แรงหนุนจากพลังโซเชียล และพลังปากต่อปากที่ช่วยสร้างหงส์ไทยให้เป็นซอฟท์พาวเวอร์ตัวจริง
]]>
CNBC Make It ได้รายงานถึงผลสำรวจล่าสุดของ Jobseeker ในการจัดอันดับประเทศที่ผู้คนทั่วโลกต้องการย้ายไปทำงานมากที่สุด พบว่า ประเทศที่ผู้หางานต้องการย้ายไปทำงานมากที่สุด ได้แก่
อันดับ 1 แคนาดา
อันดับ 2 ออสเตรเลีย
อันดับ 3 สหรัฐอเมริกา และสวิตเซอร์แลนด์
อันดับ 4 เดนมาร์ก, สิงคโปร์, ซาอุดีอาระเบีย และสหราชอาณาจักร
อันดับ 5 ญี่ปุ่น, กาตาร์, เยอรมนี, สเปนและนิวซีแลนด์
Reyhaneh Mansouri ผู้เชี่ยวชาญด้านอาชีพของ Jobseeker กล่าวว่า เหตุผลที่ ‘แคนนาดา’ เป็นประเทศที่ผู้คนปรารถนาอยากย้ายไปทำงานมากที่สุด โดยเฉพาะกลุ่มผู้หางานจากคอสตาริกา เยอรมนี อินเดีย ญี่ปุ่น เม็กซิโก แอฟริกาใต้ ซาอุดีอาระเบีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เป็นเพราะว่า แคนนาดาเป็นประเทศที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก และเป็นประเทศที่เปิดรับผู้คนที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม
นอกจากนี้ยังมาจากเรื่องของภาษา และกระบวนการตรวจคนเข้าเมือง ตลอดจนการขอใบอนุญาตทำงานที่ดำเนินการอย่างรวดเร็ว เมื่อเทียบกับประเทศในสหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา และสหราชอาณาจักร
รวมถึงมีค่าเฉลี่ยที่ดีทั้งรายได้ การศึกษา สุขภาพ คุณภาพสิ่งแวดล้อม ความสัมพันธ์ทางสังคม และความพึงพอใจในชีวิต ตามดัชนี OECD Better Life โดย 70% ของประชากรในประเทศที่มีอายุ 16-64 ปี เป็นผู้มีงานทำ และคนอายุ 25-64 ปีถึง 92% สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ทำให้แรงงานส่วนใหญ่ของประเทศมีคุณภาพและมีส่วนสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ
ขณะที่ ‘ออสเตรเลีย’ เป็นประเทศที่มีคนต้องการย้ายไปทำงานมากที่สุดเป็นอันดับ 2 เพราะออสเตรเลียเป็นตลาดงานที่แข็งแกร่งแห่งหนึ่งของโลก รวมถึงเป็นประเทศที่มีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และมีคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่งการย้ายไปทำงานออสเตรเลีย จะเน้นคนทำงานที่มีทักษะ และมีประสบการณ์ในอาชีพ
นอกจากนี้ ออสเตรเลียได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในประเทศที่มีความสุขที่สุดจากรายงาน World Happiness Report 2024 โดยประชากรประมาณ 73% อายุระหว่าง 15-64 ปีในออสเตรเลียมีงานทำ และมีรายได้สุทธิต่อหัวเฉลี่ยอยู่ที่ 37,433 ดอลลาร์ต่อปี เป็นไปตามดัชนี OECD Better Life
ส่วน ‘สวิตเซอร์แลนด์’ เป็นประเทศที่ผู้คนปรารถนาย้ายไปทำงานมากที่สุดเป็นอันดับ 3 อันเนื่องมาจากพนักงานได้รับประโยชน์จากชั่วโมงการทำงานที่น้อยลง มีนโยบายวันหยุดพักร้อนที่น่าสนใจ รวมถึงมีวัฒนธรรมให้ความสำคัญกับความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน ซึ่งเป็นแรงดึงดูดหลักให้ผู้คนต้องการย้ายไปทำงานที่นั่น
อ้างอิง
https://www.cnbc.com/2024/12/11/jobseeker-most-desirable-countries-relocation.html
https://www.jobseeker.com/en/resume/articles/where-the-world-wants-to-work
]]>
หนึ่งในนั้น คือ ‘การจะสร้างผลงานที่ยอดเยี่ยมได้ ต้องรักในสิ่งที่ทำ’ โดยจ็อบส์ได้ถ่ายทอดบทเรียนนี้ผ่านสุนทรพจน์ในงานรับปริญญาของนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดเมื่อปี 2005 ซึ่งเป็นหนึ่งในสุนทรพจน์อันโด่งดังของจ็อบส์ ที่ได้บอกเล่าเรื่องราวชีวิตของเขาในช่วงโดนไล่ออกจาก Apple บริษัทของตัวเอง และนั่นทำให้เขาสูญเสียสิ่งที่รักไป
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับกลายเป็นเรื่องดีต่อชีวิตของจ็อบส์ เพราะถ้าไม่มีเรื่องนี้เกิดขึ้น เขาบอกว่า คงไม่ได้สร้าง NeXt บริษัทผู้สร้างระบบปฏิบัติการ Operating System ที่เหนือชั้นอย่าง NeXTStep และ Pixar บริษัทแอนิเมชั่นชั้นนำของโลกขึ้นมา
“บางครั้งชีวิตของคุณจะเจอเรื่องแย่ ๆ จงอย่าเสื่อมศรัทธา ผมเชื่อว่าสิ่งเดียวที่ทำให้ผมเดินต่อได้คือการที่รักในสิ่งที่ทำ คุณต้องค้นหาสิ่งที่รักให้เจอ และจริงใจกับงานให้เหมือนกับความจริงใจที่มีให้คนรัก งานของคุณจะเติมเต็มชีวิตส่วนใหญ่ของคุณ และทางเดียวที่จะทำให้ตัวคุณพอใจกับการใช้ชีวิตคือทำในสิ่งที่เชื่อว่าดีที่สุด และหนทางเดียวที่จะสร้างผลงานยอดเยี่ยมได้ คือการรักในสิ่งที่คุณทำ ถ้าคุณหามันไม่เจอ ก็หามันต่อไป อย่าหยุด และเมื่อคุณหามันเจอ หัวใจจะบอกคุณเองว่า นี่แหละใช่เลย”
แล้วบรรดาแฟน ๆ ของ Positioning ล่ะ ค้นหาสิ่งที่ตัวเองรักเจอหรือยัง และได้ลงมือทำอย่างเต็มที่แล้วหรือไม่ ?
]]>
ภายในงานนอกจากเจ้าสัวธนินท์จะพูดถึงเนื้อหาภาพยนตร์ที่มีทั้งความสนุก และยังมีประโยชน์สำหรับคนที่เริ่มต้นสร้างธุรกิจใหม่ หรือผู้ที่รับช่วงต่อธุรกิจจากครอบครัวโดยไม่มีประสบการณ์ รวมถึงให้ข้อคิดในเรื่องมิตรภาพระหว่างเพื่อนแล้ว ยังได้ฝากข้อคิดให้กับบรรดาสตาร์ทอัพและเหล่าคนรุ่นใหม่ที่ได้ก้าวสู่เส้นทางธุรกิจไว้ว่า
“ยุคนี้จะกลับไปเหมือนยุค 70-80 ปี ที่บริษัทใหญ่มีไม่มาก การจ้างงานก็น้อย ส่วนใหญ่จะเป็นสตาร์ทอัพและนักธุรกิจรายย่อย ซึ่งต่อมากลายเป็นนักธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ และอยู่ในระดับโลกก็มี เช่นเดียวกับยุคนี้แต่ทำได้ง่ายกว่า ดีกว่าและมีโอกาสมากกว่า เพราะมีโอกาสมาจากทั่วโลก
“ที่สำคัญคนทุกคนสามารถหาและมีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลได้ง่ายต่างจากยุคก่อน ยุคนี้แค่เสิร์ชใน google เข้าเว็บไซต์ หาจาก TikTok แถมตอนนี้มี ChatGPT เรื่องราวเหล่านี้เป็นเรื่องน่าสนใจมาก
“ในยุคใหม่นี้ จะมีธุรกิจเกิดขึ้นใหม่มากมาย โดยเฉพาะด้านไฮเทค นับว่า เป็นโอกาส แต่การจะประสบความสำเร็จก็ไม่ใช่เรื่องง่าย คนทำต้องทุ่มเท พยายาม และต้องผนึกกำลังกัน โดดเดี่ยวไม่ได้ แม้กระทั่งธุรกิจใหญ่ก็ไม่สามารถไปคนเดียวได้”
]]>
สำหรับ ‘คนว่างงานที่เคยทำงานมาก่อน’ มีอัตราว่างงานเพิ่มสูงขึ้น 2.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน หรือคิดเป็นจำนวน 180,000 คน ส่วนใหญ่เป็นการออกมาจากภาคธุรกิจขายปลีก-ขายส่ง และภาคอุตสากรรมการผลิต
แต่ที่น่าสนใจ ก็คือ ‘เด็กจบใหม่’ หรือ ‘ผู้ไม่เคยทำงานมาก่อน’ มีแนวโน้มตกงานเพิ่มขึ้น และนานขึ้น โดยสภาพัฒน์พบว่า คนกลุ่มนี้มีอัตราว่างงานสูงขึ้น 3.5% หรือมีจำนวนไม่ต่ำ 230,000 คน ส่วนใหญ่จบการศึกษาระดับสูงสุดของระดับอุดมศึกษา, มัธยมศึกษาตอนปลายไปจนถึงมัธยมตอนต้น
นอกจากนี้เด็กจบใหม่ยังเป็นกลุ่มผู้ว่างงานที่ยาวนานขึ้นตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไปเพิ่มสูงขึ้น 16.2% หรือราว ๆ 81,000 คน โดยกว่า 65% ของคนในกลุ่มนี้ระบุว่า หางานไม่ได้ ขณะที่ 71.3% ไม่เคยทำงานมาก่อน ซึ่งในจำนวนนี้เกือบ 3 ใน 4 อยู่ในช่วงอายุ 20 – 29 ปี
สำหรับเหตุผลของการที่เด็กจบใหม่หรือผู้ไม่เคยทำงานมาก่อนมีแนวโน้มตกงานเพิ่มขึ้นและนานขึ้นนั้น ทางสภาพัฒน์ให้เหตุผลว่า ส่วนหนึ่งมาจากมีอุตสาหกรรมที่มีผลต่อการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทย อาทิ Data Center ขนาดใหญ่, งานประกอบแผงวงจร การผลิตอุปกรณ์และแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ ฯลฯ ซึ่งแรงงานที่ผลิตออกมาอาจไม่สอดคล้องกับอุตสาหกรรมดังกล่าว
ดังนั้น จึงอยากส่งเสริมให้ผู้ประกอบการมีส่วนในการ Upskill และ Reskill กับกลุ่มแรงงานให้เหมาะสมกับการเปลี่ยนผ่านของอุตสาหกรรม
]]>
ผลสำรวจดังกล่าว เป็นการสำรวจของ ‘บริษัท โรเบิร์ต วอลเทอร์ส’ ที่ปรึกษาด้านการจัดหางานระดับโลกที่ได้สำรวจในหัวข้อ The 4-day work week: Is Asia ready for it? ด้วยการสอบถามบุคลากรและองค์กรกลุ่มตัวอย่างกว่า 5,000 แห่งใน 11 ประเทศทั่วเอเชีย รวมถึงประเทศไทย พบว่า
พนักงานที่อยากทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์มากสุดในอาเซียน ได้แก่ คนไทย 95%, มาเลเซีย 94%, สิงคโปร์ 93%, ฟิลิปปินส์ 89% ขณะที่อินโดนีเซีย และเวียดนาม มีความต้องการในเรื่องในสัดส่วนเท่ากันอยู่ที่ 88%
ผลสำรวจยังระบุอีกว่า สาเหตุที่พนักงานในไทยส่วนใหญ่อยากลดชั่วโมงทำงานเหลือ 4 วันต่อสัปดาห์นั้น
อันดับ 1 ต้องการ Work-Life Balance มีสมดุลชีวิตส่วนตัวกับการทำงาน 73%
อันดับ 2 อยากเพิ่ม Productivity 58%
อันดับ 3 อยากมีเวลาให้ครอบครัวมากขึ้น และอยากประหยัดค่าเดินทาง 42%
นอกจากนี้ มนุษย์เงินเดือนไทยจากกลุ่มตัวอย่างมากถึง 59% บอกว่า ยินดีที่จะทำงานเพิ่มขึ้นอีก 2 ชั่วโมงต่อวัน เพื่อให้สามารถทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ได้ โดยยังคงได้รับค่าจ้างเท่าเดิม และ 45% ของพนักงานยังยินดีที่หยุดการทำงานแบบไฮบริดหรือกิจกรรมงานสังคมต่างๆ อีกด้วย
ขณะที่ 58% ของพนักงานที่ต้องการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์เชื่อว่า จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของพวกเขาได้ และการได้ลดเวลาทำงานเหลือ 4 วันต่อสัปดาห์ ยังเป็นแรงจูงใจในการเลือกงานใหม่ของพนักงานถึง 41% รองลงมา 29% ทำงานจากที่ไหนก็ได้ และ 27% เป็นเรื่องผลตอบแทน
อย่างไรก็ตาม 36% ในกลุ่มพนักงานที่ไม่เห็นด้วยกับนโยบายนี้มีความกังวลในเรื่องความเครียดที่จะเพิ่มขึ้นจากการทำงานในจำนวนวันน้อยลง แต่ยังต้องทำงานในปริมาณงานเท่าเดิม และ 27% กังวลว่า อาจจะมีการลดค่าจ้างตามมา
แล้วฝั่งนายจ้างหรือบริษัทมีความคิดเห็นอย่างไรกับนโยบายนี้ ?
เมื่อเทียบกับประเทศอื่นในเอเชีย การใช้นโยบายทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ ในประเทศไทยมีแนวโน้มปรับแบบค่อยเป็นค่อยไป โดย 90% ของบริษัทในไทยมองนโยบายนี้มีความเป็นไปได้ และเชื่อว่าจะช่วยส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีให้กับพนักงาน, 77% คิดว่า การทำงานในรูปบบนี้ จะช่วยดึงดูดและรักษาพนักงานไว้ และ 46% เชื่อว่า นโนบายนี้จะเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานได้
นอกจากนี้ นายจ้างและบริษัทในประเทศไทย 77% มองว่า การทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์มีความเป็นไปได้ แต่มีนายจ้างเพียง 26% เท่านั้นที่วางแผนจะนำนโยบายนี้ไปใช้จริงในภายใน 1-2 ปีข้างหน้า ส่วนนายจ้างอีก 50% มองว่า การทำงานในรูปแบบดังกล่าว ไม่น่าจะเกิดการทดลองใช้ในอีก 1-2 ปีข้างหน้า
ขณะเดียวกัน ก็มีอีกหลายบริษัทที่มองว่า รูปแบบการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ ‘ไม่สามารถทำได้จริง’ และมีความกังวลต่อนโยบายดังกล่าว โดย 67% กังวลจะพนักงานไม่เพียงพอในการให้บริการลูกค้า, 50% กังวลจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจากการดำเนินโครงการล่าช้า และ 42% ห่วงว่า การนำนโยบายนี้ไปใช้จะนำไปสู่คงวามไม่พอใจในหมู่พนักงาน
]]>เป็นความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจของ ‘กาแฟพันธุ์ไทย’ เมื่อประกาศใช้กลยุทธ์พรีเซ็นเตอร์เป็นครั้งแรกในรอบ 12 ปีนับตั้งแต่ก่อตั้งมา และเลือกสองหนุ่มยูทูปเปอร์คนดังอย่าง ‘คัลแลน–พี่จอง’ มารับหน้าที่นี้
‘อนันต์ รัตนมั่นคง’ Vice President of Food and Beverages Group บริษัท กาแฟพันธุ์ไทย เล่าว่า
การดีลกับสองหนุ่มคนดังให้มารับหน้าที่พรีเซ็นเตอร์เกิดขึ้นเมื่อครึ่งปีที่ผ่านมา ภายใต้โจทย์ทางธุรกิจ เพื่อสร้าง Brand Awareness และขยายฐานลูกค้าคนรุ่นใหม่ในกลุ่มอายุ 30 ปีลงมา ซึ่งเป็นลูกค้ากลุ่มใหญ่และมีความน่าสนใจ จากเดิมลูกค้าหลักของกาแฟพันธุ์ไทยจะมีอายุ 40 ปีขึ้นไป โดยตั้งเป้าหมาย จะเพิ่มฐานลูกค้าคนรุ่นใหม่จาก 20% เป็น 30% ในปีหน้า
“เราทำรีเสิร์ชมาพบว่า ผู้บริโภคมองแบรนด์เราเป็นกาแฟปั๊ม ดูเก่าแก่ เราจึงอยากปรับภาพลักษณ์ของแบรนด์เราเด็กลง ให้สามารถเข้าถึงคนรุ่นใหม่ได้มากขึ้น และคัลแลนกับพี่จองทำหน้าที่นี้ได้ดี ที่สำคัญทั้งคู่เป็นแฟนของกาแฟพันธุ์ไทย เป็น Real Customer ของเราจริง ๆ และชอบดื่มอเมริกาโน่อยู่แล้ว”
ความร่วมมือระหว่างกาแฟพันธุ์ไทย กับคัลแลน–พี่จอง เริ่มตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายน 2567 และไปจบเดือนเมษายน 2568 ประเดิมด้วยแคมเปญ ‘การ์ดพันธุ์ไทยใจฟู’ การออกการ์ดจุ่มของทั้งคู่ให้บรรดาแฟนด้อมได้สะสม โดยลูกค้าที่ซื้อเมนูไทยริกาโน 3 แก้วต่อใบเสร็จ จะได้รับการ์ดพันธุ์ไทยใจฟูแบบสุ่มจากคัลแลนและพี่จอง 1 ใบ มีให้เลือกสะสม 5 แบบ และ 1 แบบซีเคร็ท
หลังจากเปิดตัวไปเมื่อวันที่ 15 พ.ย. 2567 มาถึงตอนนี้ไม่ถึงอาทิตย์ปรากฏว่านอกจากในโซเชียลจะมีกระแสพูดถึงและเอนเกจเมนต์จำนวนมากทั้งกลุ่มแฟนของกาแฟพันธุ์ไทยเดิมและกลุ่มที่ไม่ได้เป็นลูกค้าแล้ว
แคมเปญดังกล่าวยังสามารถทำให้ยอดขายของกาแฟพันธุ์ไทยเติบโตขึ้น 1.5 เท่า และมียอดสมัครสมาชิก MAX Card บัตรสมาชิกที่ใช้สะสมแต้ม เพื่อสร้างลอยัลตี้ โปรแกรมกับลูกค้าในเครือ PTG เพิ่มขึ้น 50% ต่อวัน
ความสำเร็จที่เกิดขึ้น อนันต์บอกว่า ‘เกินคาด’ และเตรียมต่อยอดความสำเร็จจากพรีเซ็นเตอร์คู่นี้ผ่านกิจกรรมที่หลากหลาย อย่างในระยะอันใกล้นี้ได้เตรียมปล่อยหนังโฆษณาชุดใหม่ของกาแฟพันธุ์ไทยที่มีคัลแลนกับพี่จองร่วมแสดงออกมา และจะมีการจัด Fan Meet ของทั้งคู่ประมาณช่วงต้นปีหน้า
“หลายคนถามว่า แฟนด้อมที่ไม่ดื่มกาแฟ แต่มาซื้อพันธุ์ไทยเพราะอยากได้การ์ด เมื่อหมดแคมแปญอาจทำให้ลูกค้ากลุ่มนี้จะหายไป และการเติบโตของเราจะไม่ยั่งยืน แต่เรามั่นใจในรสชาติและคุณภาพของกาแฟเรา บวกกับการทำมาร์เก็ตติ้งที่ได้มาจากการวิเคราะห์ข้อมูลจากบัตรสมาชิก เราเชื่อมั่นจะดึงพวกเขากลับมาเป็นลูกค้าได้อย่างแน่นอน”
นอกจากจะใช้พลังแฟนด้อมใจฟูมาลบภาพ ‘กาแฟในปั๊ม’ ที่ดูเก่าแก่ และแบรนด์มีอายุ เพื่อพิชิตใจลูกค้าคนรุ่นใหม่แล้ว กาแฟพันธุ์ไทยยังมีการวางกลยุทธ์เพื่อขยายฐานลูกค้าดังกล่าวสำหรับสร้างการเติบโตไว้
1. การเร่งขยายสาขาในตัวเมือง โดยเฉพาะเขต CBD (Central Business District) รวมไปถึงโลเคชั่นในสถานศึกษาและตามมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ซึ่งตามแผนกาแฟพันธุ์ไทยตั้งเป้าจะมีสาขารวมในปี 2567 อยู่ที่ 1,282-1,300 แห่ง และครบ 2,000 แห่งในปี 2568 จากปัจจุบันมีสาขากว่า 1,200 แห่ง ก่อนจะเพิ่มเป็น 5,000 สาขาในปี 2570
2. การเพิ่มโปรดักส์ในกลุ่ม Specialty Coffee เพื่อให้ภาพของกาแฟพันธุ์ไทยมีวาไรตี้และจับกลุ่มลูกค้าได้หลากหลาย รวมถึงสอดคล้องกับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบและนิยมดื่มกาแฟประเภทนี้มากขึ้น อย่างล่าสุดได้เปิดตัวกาแฟดริปคอลเลกชั่นใหม่ที่ได้ร่วมมือกับ 10 นักสร้างสรรค์กาแฟไทย ภายใต้โจทย์ ‘ดริป…สร้างชีวิตไม่รู้จบ’
3. ขยายโปรดักส์ในกลุ่ม Non coffee ไม่ว่าจะเป็นชาไทยโกโก้และเมนูอื่นๆ ที่ไม่มีส่วนผสมของกาแฟให้มากขึ้นเพื่อสร้างความรู้จักและกระตุ้นให้เกิดการทดลองดื่มจากกลุ่มลูกค้าที่ไม่ดื่มกาแฟ
4. การมุ่งทำมาร์เก็ตติ้งในรูปแบบต่าง ๆ โดยในส่วนนี้จะใช้ข้อมูลจาก MAX Card ที่ปัจจุบันมีฐานสมาชิกราว ๆ ล้านใบ วิเคราะห์เจาะลึก Customer Journey ของลูกค้าตั้งแต่เพศ อายุ การใช้จ่าย พฤติกรรมและความชอบ เพื่อนำมากำหนดกลยุทธ์ตลอดจนแคมเปญการตลาดให้เหมาะสมและตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทางผู้บริหารกาแฟพันธุ์ไทยเชื่อมั่นว่า จากการกลยุทธ์ทั้งหมดเมื่อจบปี 2567 กาแฟพันธุ์ไทยจะมีรายได้กว่า 2,000 ล้านบาท
ขณะที่ภาพรวมของตลาดกาแฟในไทยประเมินไว้ว่า จะมีการเติบโตประมาณ 10% คิดเป็นมูลค่าตลาดกว่า 60,000 ล้านบาท แบ่งเป็นตลาดกาแฟในบ้าน 33,000 ล้านบาท และตลาดกาแฟนอกบ้านกว่า 27,000 ล้านบาท
]]>อย่างไรก็ตาม กว่าจะมาถึงวันนี้ได้ White Story มีการปรับตัวและผ่านจุดเปลี่ยนสำคัญๆ มาตลอด 18 ปี จากฝีมือของ “แวว-วาศิณี สุรชาติชัยฤทธิ์” ซีอีโอ บริษัท โซดา น้ำชา จำกัด ผู้ปลุกปั้นจนบริษัทเดินหน้าสู่รายได้ 600 ล้านบาทในปีนี้
วาศิณีเล่าย้อนประวัติการสร้างธุรกิจให้ Positioning ฟังก่อนว่า แต่เดิมเธอเป็นพนักงานด้านการตลาดในบริษัทผลิตสินค้าอุปโภคบริโภครายใหญ่แห่งหนึ่ง แต่หลังทำงานไปสักระยะก็เข้าสู่จุดอิ่มตัว และอยากจะสร้างธุรกิจของตัวเองมากกว่า ทำให้เธอเลือกที่จะเปิดร้านอาหาร เพราะการทำอาหารเป็นงานอดิเรกที่ตนเองชอบอยู่แล้ว
เริ่มแรกเลือกที่จะเปิดร้านในย่านวงเวียนพระราม 5 ซึ่งสมัยนั้นเป็นโซนที่อยู่อาศัยใหม่และยังไม่มีร้านอาหารบริการมากนัก จึงเป็นช่องว่างตลาดให้ร้านอาหารหน้าใหม่ “White Story”
“เราเลือกเช่าบ้านเก่ามาหลังหนึ่ง รีโนเวตเปลี่ยนเป็นคาเฟ่ขนาด 10 โต๊ะ ขายแค่เค้กกับกาแฟ แต่ทำไป 3 เดือนก็เริ่มสังเกตได้ว่าไม่ตอบโจทย์เพราะกาแฟกับขนมจะขายได้แค่ช่วงเช้า เราเลยเพิ่มเมนูข้าวเข้ามาด้วยเพื่อให้ลูกค้ามาทานช่วงกลางวันจนถึงเย็น” วาศิณีกล่าว “ตอนเปิดร้านใหม่ๆ อายุ 27 ปี ต้องเริ่มทำทุกอย่างเองจากศูนย์ แต่เป็นพื้นฐานที่ดีที่ทำให้เรารู้ทุกอย่างในงานร้านอาหาร”
หลังจากนั้น White Story เติบโตจนเป็นร้านอาหารขึ้นชื่อของย่านพร้อมๆ กับความเจริญของพื้นที่ จ.นนทบุรี ทำให้ศูนย์การค้าใหม่ที่จะเข้ามาเปิดในบริเวณคือ “The Walk ราชพฤกษ์” ชักชวนให้ร้านย้ายมา “ขึ้นห้างฯ” เป็นครั้งแรกในปี 2555 โดยให้พื้นที่เช่ามาถึง 160 ตารางเมตร
“พื้นที่มันใหญ่มาก ถ้าทำเป็นร้านนั่งทานทั้งหมดคงไม่ไหว เราเลยคิดแบ่งครึ่งหนึ่งของร้านเป็น Dine-in อีกครึ่งหนึ่งเป็นแผนก Grab & Go” วาศิณีกล่าว “ส่วนหนึ่งคือเราเห็นแล้วว่า Lazy Economy กำลังเกิดขึ้นในไทย คนเริ่มไม่มีเวลาทำอาหาร การขายแบบซื้อกลับบ้านน่าจะตอบโจทย์ลูกค้าได้”
นั่นคือจุดเริ่มต้นการสร้างธุรกิจ Grab & Go ครั้งแรกของ White Story โดยเริ่มจากการขายเฉพาะกลุ่มเบเกอรีก่อน แต่เมื่อลูกค้าแนะนำว่าต้องการจะซื้ออาหารกลับบ้านบ้าง ร้านจึงเริ่มผลิตอาหารกล่องออกจำหน่ายด้วย
“เราฟังลูกค้าเยอะว่าเขาอยากได้อะไร ก็จะได้ไอเดียใหม่ๆ ในการทำธุรกิจตลอด” วาศิณีกล่าว “วันนั้นเรารับฟังลูกค้าเยอะแบบไหน วันนี้เราก็ยังทำแบบนั้น ถ้าลูกค้าส่งข้อความมาในเพจว่าต้องการให้ปรับปรุงอะไร เราจะรับฟังและหาทางแก้ไขให้เสมอ”
จุดเปลี่ยนครั้งต่อมาของ White Story เกิดขึ้นในอีก 3 ปี และเป็นอีกครั้งที่การสร้างพื้นฐานให้ดีทำให้มีโอกาสขยายธุรกิจได้ง่ายขึ้น
“มีวันหนึ่งที่เราพบว่ามีลูกค้าซื้อของบิลเดียวทะลุ 1,000 บาทซึ่งแปลว่าเขาซื้อไปเยอะมากๆ เราตกใจก็เลยลองสอบถามดู สรุปลูกค้าบอกว่าจริงๆ เขาอาศัยอยู่ในเมือง แต่ชอบสินค้าร้านเรามากจนแวะมาทีก็จะซื้อไปตุนที แล้วเขาก็แนะนำว่าให้เราไปเปิดสาขาในเมืองดู บังเอิญที่ลูกค้าเขารู้จักกับผู้บริหารเอ็มควอเทียร์ ห้างฯ ใหม่ที่กำลังจะเปิดตัว และช่วยติดต่อให้ได้คุยกัน กลายเป็นการเปิดประตูบานใหม่ให้เราได้โอกาสเข้าเมืองเป็นครั้งแรก” วาศิณีกล่าว
เมื่อจะเข้าไปขายกลางเมือง วาศิณีจึงออกแบบโมเดลธุรกิจใหม่ว่าจะเป็นการขยายเฉพาะส่วน Grab & Go เข้าไป เพราะมองว่าชีวิตคนเมืองเป็นชีวิตที่เร่งรีบและค่าเช่าที่จะสูงกว่านอกเมือง ทำให้การขายเฉพาะกลุ่มซื้อกลับบ้านน่าจะได้ผลตอบแทนทางธุรกิจดีกว่า และยังขยายได้ง่ายกว่าหาก White Story จะมีโอกาสขยายตัวในเมืองเพิ่มอีกในระยะยาว
ความสำเร็จจากสาขาที่มีเฉพาะ Grab & Go แห่งแรกที่เอ็มควอเทียร์ ทำให้ประตูบานต่อๆ มาเปิดออก มีศูนย์การค้าแห่งอื่นเชิญ White Story เข้าไปเปิดสาขาเพิ่มอีกจนขยายไปได้ 6-7 สาขา ถึงจุดนี้วาศิณีบอกว่าเธอเริ่มมีความฝันถึงการขยายไปให้ทั่วกรุงเทพฯ แล้ว
“ปี 2561 ช่วงนั้นเราไปต่อคิวขอเช่าพื้นที่ในศูนย์การค้าทุกที่ที่ดังๆ ใจกลางเมืองเราไปต่อคิวหมดทุกแห่ง แต่ก็ไม่ค่อยมีที่เช่าหลุดมาเลยเพราะเป็นช่วงเศรษฐกิจดี” วาศิณีกล่าว “แต่ถึงแม้จะยังไม่มีที่ไหนคอนเฟิร์ม แต่เราก็เริ่มสร้างครัวกลางรอแล้ว เพราะเราเชื่อว่าวันหนึ่งเราจะต้องได้ที่แน่”
ครัวกลางของ White Story สร้างเสร็จก่อนโควิด-19 ระบาดพอดี และกลายเป็นความพร้อมส่วนนี้ที่ทำให้ร้านคว้าโอกาสมาได้เต็มมือ เพราะโรคระบาดและการปิดร้านอาหารแบบนั่งทานทำให้มีล็อกว่างบนศูนย์การค้า ร้าน Grab & Go แบบ White Story จึง ‘เนื้อหอม’ ได้รับคำเชิญให้เปิดสาขาจำนวนมาก
ตั้งแต่ปี 2562 ร้านจึงบุกเปิดสาขาใหม่เฉลี่ยปีละ 10-20 สาขา ทะยานสู่ 80 สาขาได้ในปี 2567 ใช้เวลาเพียงไม่นานมีสาขาร้านอยู่ทั่วกรุงเทพฯ
นอกจากความพร้อมที่จะขยายสาขาแล้ว สิ่งสำคัญที่ทำให้ White Story ประสบความสำเร็จคือ “ตัวสินค้า” และ “แบรนดิ้ง” ที่ชัดเจนของร้าน
โดยวาศิณีเล่าว่า เธอมีการวางพื้นฐานของแบรนด์ไว้ตั้งแต่แรกว่า White Story ไม่ได้เป็นแค่การขายอาหารหรือขนมปัง แต่สิ่งที่ขายคือ “ความไว้ใจ” ไม่ว่าตัวสินค้าจะเป็นอะไร สิ่งที่ร้านยึดถือว่าจะขายให้ลูกค้าคือการคัดสรรสิ่งที่ดีที่สุด อร่อยที่สุด ดีต่อสุขภาพที่สุด สินค้าจึงใช้วัตถุดิบเกษตรอินทรีย์คุณภาพดีที่ใช้สารเคมีที่น้อยที่สุด
“เราเชื่อว่าการที่เราสร้างสินค้าที่ดีและภาพลักษณ์แบรนด์ที่ดีมาตั้งแต่วันแรกหรือสาขาแรก มันคือการส่งต่อให้เกิดสาขาที่สองและสาขาต่อๆ มาได้” วาศิณีกล่าว
เห็นได้ว่าภายใต้โมเดลธุรกิจที่ดูเหมือนเรียบง่ายเพียงขายข้าวกล่องและเบเกอรีซื้อกลับบ้าน แต่มีกลยุทธ์การตลาดที่วาศิณีซ่อนไว้อยู่เหมือนกัน เพราะเมื่อมีสินค้าที่ดี ทำเลร้านดีแล้ว สิ่งที่จะดึงลูกค้าเข้าร้านหรือมัดใจให้อยู่กันไปนานๆ ได้อีกอย่างหนึ่งคือต้องมี ‘Engagement’ ร่วมกันกับลูกค้า
กลยุทธ์ที่ White Story คิดขึ้นคือ “สติ๊กเกอร์” แปะบนหน้ากล่องอาหารและเบเกอรี ถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นว่าคำอธิบายเมนูสินค้าจะมี “กิมมิก” ที่น่ารักและผ่านการคิดมาอย่างเฉียบคม เช่น สปาเก็ตตี้แซลมอนเทอริยากิ ว่ายทวนน้ำมาจากนอร์เวย์ ว่ายจนเซ ใจโลเลไปหาเธอ, ถั่วเขียวต้มหวานน้อยมาก กินอาหารถูกหลัก ถึงอกหักก็แข็งแรง, ขนมปังไดฟูกุ ชาเขียว ถั่วแดงญี่ปุ่น หวานน้อย คาร์บเชิง (ซ้ำ) ซ้อน
คำอธิบายเมนูที่แปลกไม่เหมือนใครแบบนี้ทำให้ White Story เป็นที่จดจำของลูกค้า และสร้างความรู้สึกดีๆ ต่อกันว่าเป็นร้านที่ “ใส่ใจลูกค้า” และ “มีอารมณ์ขัน” อีกด้วย
มาจนถึงวันนี้ White Story มีสินค้าขายถึง 300 SKUs รวมทั้งอาหารกล่อง เบเกอรี และของแห้ง-เครื่องปรุงในหมวด “White Story Selected” ที่บริษัทคัดเลือกสินค้าจากแหล่งที่ดีมาจำหน่าย เช่น น้ำผึ้ง, เต้าเจี้ยว, Vinegar และยังคงคิดเมนูใหม่ๆ หรือคัดเลือกสินค้าใหม่เข้าร้านเสมอ
วาศิณีกล่าวว่า ความฝันต่อไปของบริษัทคือการขยายร้านอย่างต่อเนื่อง โดยปี 2568 เชื่อว่าจะครบ 100 สาขาอย่างแน่นอน และระบบการบริหารภายในขณะนี้กำลังขยายเพื่อให้รองรับได้มากกว่า 150 สาขา!
อย่างไรก็ตาม ทำเลการขายน่าจะยังเน้นในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑลก่อน (ปัจจุบันสาขาที่ไกลเมืองที่สุดคือ เซ็นทรัล นครปฐม) เพราะมองว่ายังมีทำเลที่ร้านเปิดได้อีกมากในกลุ่มอาคารสำนักงาน คอมมูนิตี้มอลล์ และโรงพยาบาล
“เราต้องวาดฝันไว้ว่าถ้าโอกาสมาถึงเราจะต้องพร้อมอย่างไร จัดลำดับความสำคัญว่าต้องทำอะไรบ้าง เพราะเมื่อโอกาสมาแล้วเราต้องคว้าให้ได้ อย่านั่งรอเฉยๆ ให้โอกาสมาถึง” วาศิณีกล่าวปิดท้าย
อ่านบทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
]]>โรงเรียนนานาชาติรีเจ้นท์ ถือเป็นโรงเรียนนานาชาติแห่งแรกๆ ที่ก่อตั้งขึ้นในไทย โดยใช้ระบบผสมผสานการเรียนหลักเป็นหลักสูตรจาก “อังกฤษ” และช่วง 2 ปีสุดท้าย (Year 12-13) เป็นระบบ IB (International Baccalaureate)
“ดร.วีระชัย เตชะวิจิตร์” ผู้ก่อตั้งและประธานบริหาร โรงเรียนนานาชาติรีเจ้นท์ กล่าวว่า เหตุที่เลือกผสมผสานหลักสูตรลักษณะนี้ ต้องย้อนไปที่จุดมุ่งหมายของโรงเรียนซึ่งต้องการสร้างเยาวชนให้เป็น “Well-rounded Leaders of the Future” หรือผู้นำที่มีความครบเครื่องรอบด้านแห่งอนาคต
คำว่า “ครบเครื่อง” ของรีเจ้นท์ หมายถึง เยาวชนจะไม่เพียงแต่เก่งด้านวิชาการอย่างเดียว แต่ต้องมีจิตใจที่ดี พร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสังคม มีทักษะทางสังคมในลักษณะที่จะเป็นผู้นำ และสร้างประโยชน์ให้แก่ผู้อื่นได้
เมื่อจุดหมายเป็นเช่นนี้ ดร.วีระชัยจึงมองว่าหลักสูตรการเรียนของอังกฤษซึ่งมีความเข้มข้นในด้านวิชาการแล้วนั้นยังไม่เพียงพอ ต้องมีการนำหลักสูตร IB เข้ามาใช้ในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนจบมัธยมศึกษาด้วย
เนื่องจากหลักสูตร IB จะมีเกณฑ์วัดผลนอกเหนือจากคะแนนสอบในเชิงวิชาการ 6 วิชาด้วย คือ ผู้เรียนจะต้องทำ “วิทยานิพนธ์ฉบับย่อ 4,000 คำ” หัวข้อที่ทำจะต้องเกี่ยวข้องกับปัญหาสังคมที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข เช่น ปัญหาโลกร้อน การคอร์รัปชัน สงคราม เป็นต้น ผู้เรียนจะต้องค้นคว้าหาข้อมูลเกี่ยวกับปัญหานั้นและนำเสนอหนทางแก้ไขด้วย โดยคะแนนจากวิทยานิพนธ์มีคะแนนเต็ม 3 คะแนน ถือเป็นงานที่ ‘หิน’ มากสำหรับเยาวชนวัยนี้ที่จะต้องคิดตรึกตรองถึงปัญหา ทำให้ในแต่ละปีนักเรียนที่ส่งวิทยานิพนธ์ในหลักสูตร IB มีแค่ 0.25% เท่านั้นที่ได้ 3 คะแนนเต็ม!
อีกส่วนที่เป็นเกณฑ์ในหลักสูตร IB คือนักเรียนจะต้องทำ “กิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม” ให้ครบ 150 ชั่วโมง และกิจกรรมนั้นจะต้องถูกออกแบบตามหลัก CAS หมายถึง Creativity (สร้างสรรค์), Actions (ลงมือปฏิบัติ) และ Services (งานบริการ) ส่วนใหญ่นักเรียนจะใช้เวลาวันเสาร์-อาทิตย์เพื่อไปทำกิจกรรมให้ครบ
“ตัวอย่างกิจกรรม CAS เช่น นักเรียนกลุ่มที่ฝันอยากเป็น ‘หมอ’ อาจจะรวมกลุ่มกันไปเป็นเยาวชนอาสาในโรงพยาบาล ได้หยิบจับช่วยเหลือผู้ป่วย ทำให้เด็กได้ขัดเกลาจิตใจในการช่วยเหลือคนและเสียสละ และยังได้รู้จักตนเองว่าเหมาะสมหรือไม่ที่จะทำงานในวงการสาธารณสุข” ดร.วีระชัยกล่าว “เรามองว่าเป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องสร้าง ‘ผู้นำ’ ที่มีทั้งสมองและจิตใจเพื่อไปแก้ไขปัญหาสังคมในภายภาคหน้า”
ดร.วีระชัยกล่าวว่า ประเด็นต่อมาที่โรงเรียนนานาชาติรีเจ้นท์ให้ความสำคัญในการพัฒนาการศึกษาคือ โรงเรียนนี้จะต้องเป็นสถานที่แห่ง “ความสุข” สำหรับนักเรียน
“คุณคิดว่านักเรียนที่ไม่อยากมาโรงเรียนเป็นเพราะอะไร? ส่วนใหญ่เพราะสองสาเหตุใหญ่คือ เขาเรียนไม่รู้เรื่อง และถูกเพื่อนหรือครูรังแก เมื่อเรียนตามไม่ทันก็ไม่มีความสุขและไม่อยากมาอีก ยิ่งถูกเพื่อนรังแกหรือครูคอยจิกก็หนีเรียนเลย” ดร.วีระชัยกล่าว
การออกแบบห้องเรียนของรีเจ้นท์จึงจัด “ระบบแบ่งระดับรายวิชา” ในแต่ละวิชานักเรียนจะถูกจัดเซทหรือกลุ่ม 1,2 และ 3 แยกตามระดับความเก่งในวิชานั้นๆ ทำให้การเรียนในห้องจะตามกันทันได้ง่ายกว่า และยังเป็นระบบที่สอนเด็กในเชิงจิตวิทยาด้วยว่า “ไม่มีใครที่เก่งไปหมดทุกเรื่อง” เพราะบางคนอาจจะเก่งคณิตมากจนได้อยู่กลุ่ม 1 วิชาคณิต แต่อ่อนวิชาภาษาอังกฤษจนไปอยู่กลุ่ม 3 วิธีนี้จะทำให้เด็กนักเรียนไม่ทะนงตัวจนเกินไป ในทางกลับกันก็ทำให้นักเรียนบางคนเห็นว่าตัวเองมีจุดเด่นเช่นกัน
นอกจากนี้ รีเจ้นท์ยังจัดให้ครูที่เก่งที่สุดได้สอนกลุ่มนักเรียนที่อ่อนที่สุดในระบบนี้ด้วย เพราะครูที่เก่งต้องทำให้เด็กในกลุ่ม 3 สามารถพัฒนาตัวเองขึ้นมาให้ได้มากที่สุด
“หลายครั้งที่ครูเก่งๆ สอนแต่เด็กเก่งๆ ซึ่งไม่ใช่วิธีที่ถูก ครูที่เก่งจริงจะต้องสอนให้เด็กในห้องเดียวกันเรียนตามกันทันได้ทั้งหมด ไม่ทิ้งใครเอาไว้” ดร.วีระชัยกล่าว
บุคลากร “ครู” ที่โรงเรียนนานาชาติรีเจ้นท์จึงสำคัญยิ่ง โดยครูที่จะเข้ามาสอนได้นั้นจะต้องมีใบประกาศนียบัตรวิชาชีพครู หรือ QTS (Qualified Teacher Status) จากอังกฤษและมีประสบการณ์การสอนในอังกฤษมาแล้วเท่านั้น
อีกเหตุผลหนึ่งที่ ดร.วีระชัยเห็นว่าเป็นอุปสรรคความสุขของนักเรียนคือ “การรังแกกัน” (Bully) ในโรงเรียน ถือเป็นสิ่งที่รีเจ้นท์ให้ความสำคัญสูงสุดว่านักเรียนที่นี่จะต้องไม่มีพฤติกรรมการข่มเหงรังแกผู้อื่นโดยเด็ดขาด
เรื่องการฝึกฝนให้นักเรียนไม่รังแกกันนั้นพูดง่ายกว่าการปฎิบัติจริง ดังนั้น รีเจ้นท์จึงสร้างกิจกรรมร่วมหลักสูตรชื่อ “Roundsquare” ขึ้นมาเพื่อให้นักเรียนทุกคนได้ฝึกปฎิบัติ พัฒนาทักษะสังคมที่จำเป็น จนเกิดความสุขของการอยู่ร่วมกันอย่างเป็นมิตรกับทุกคนและทุกสิ่งที่อยู่รอบตัว และดร.วีระชัยยังได้กล่าวเชิญชวนให้ผู้ปกครองนำลูกหลานของท่านมาสัมผัสบรรยากาศที่ปราศจากการรังแกกัน อิจฉากัน หรือความเห็นแก่ตัวที่ยากที่จะหาพบได้ในที่อื่น
ระยะหลังมานี้มีโรงเรียนนานาชาติเปิดใหม่เป็นจำนวนมาก ซึ่งดร.วีระชัยมองว่าซัพพลายโรงเรียนใหม่เปิดมาก เพราะดีมานด์ความต้องการของผู้ปกครองก็มากไม่แพ้กัน
“ทุกคนมองว่าถ้าเรียนในโรงเรียนรัฐปกติจะไม่ได้ภาษาและทักษะทางสังคม เพราะฉะนั้นถ้าคนที่พอจะมีฐานะ เขาก็จะผลักดันลูกหลานให้เข้าโรงเรียนนานาชาติถ้าทำได้” ดร.วีระชัยกล่าว “ผู้ปกครองอยากให้เข้านานาชาติเพื่อให้เรียนในระบบการศึกษาที่ดี มีโอกาสเรียนต่อในมหาวิทยาลัยชั้นนำในต่างประเทศ และสังคมก็มีส่วน ทำให้ลูกมีเครือข่ายเพื่อนฝูงที่ดี”
สำหรับโรงเรียนนานาชาติรีเจ้นท์เอง ดร.วีระชัยเปิดเผยว่ามีแนวคิดที่จะขยายแคมปัสใหม่เช่นกัน หรืออาจจะเป็นการขยายขนาดแคมปัสในบริเวณเดิมเพื่อให้รองรับนักเรียนได้มากขึ้น หรือหาทำเลดีมีหมู่บ้านระดับดี ทันสมัย เพื่อสร้างแคมปัสแห่งใหม่
เฉลิมฉลองครบรอบ 30 ปีโรงเรียนนานาชาติรีเจ้นท์ ขอเชิญชวนผู้ปกครองและบุตรหลาน มาร่วมงานเปิดบ้านแนะนำหลักสูตรโรงเรียนนานาชาติระบบอังกฤษในงาน “Whole School Open House and our 30th Year Anniversary, celebrating three decades of academic success!” ที่โรงเรียนนานาชาติรีเจ้นท์กรุงเทพฯ เพื่อพบปะพูดคุยกับทีมครูชาวอังกฤษระดับมืออาชีพ พร้อมทั้งเยี่ยมชมบรรยากาศการเรียนการสอนตั้งแต่ระดับอนุบาล – Year 13
พบกันวันพุธที่ 23 ตุลาคม 2024 เวลา 9.00-11.30 น. ที่ Regent’s International School Bangkok แคมปัสพระรามเก้า สำรองที่นั่งเพื่อรับสิทธิพิเศษและส่วนลดมากมายภายในงาน ลงทะเบียนได้ที่ https://forms.gle/9fcBRtxhA7Cd7MJW7 ผู้ปกครองที่สนใจสมัคร สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 092-362-8888 Line@regentsschoolbkk (หรือสแกน QR CODE ด้านล่าง), [email protected] www.regents.ac.th
]]>