People – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 19 Nov 2024 11:17:49 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ‘คัลแลน-พี่จอง’ เอฟเฟกต์! ทำแคมเปญไม่ถึงอาทิตย์ ดันยอดขาย ‘กาแฟพันธุ์ไทย’ โต 1.5 เท่า มียอดสมาชิกเพิ่ม/วัน 50% https://positioningmag.com/1499761 Tue, 19 Nov 2024 11:17:25 +0000 https://positioningmag.com/?p=1499761 พลังเหล่าแฟนด้อมใจฟูเป็นเหตุ โดยหลังจากกาแฟพันธุ์ไทยคว้าคัลแลนพี่จองมาทำหน้าที่พรีเซ็นเตอร์คู่แรก และส่งแคมเปญการ์ดพันธุ์ไทยใจฟูการ์ดจุ่มของทั้งคู่ออกมาเมื่อวันที่ 15 ..ที่ผ่านมา ก็ทำให้ยอดขายของกาแฟพันธุ์ไทยโต 1.5 เท่า และเพิ่มยอดสมัครสมาชิกเพิ่มขึ้น 50% ต่อวัน ซึ่งหลังจากนี้จะต่อยอดความสำเร็จด้วยการออกหนังโฆษณา ก่อนจะจัด Fan Meet ของทั้งคู่ช่วงต้นปีหน้า

เป็นความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจของกาแฟพันธุ์ไทยเมื่อประกาศใช้กลยุทธ์พรีเซ็นเตอร์เป็นครั้งแรกในรอบ 12 ปีนับตั้งแต่ก่อตั้งมา และเลือกสองหนุ่มยูทูปเปอร์คนดังอย่างคัลแลนพี่จองมารับหน้าที่นี้

อนันต์ รัตนมั่นคง’ Vice President of Food and Beverages Group บริษัท กาแฟพันธุ์ไทย เล่าว่า

การดีลกับสองหนุ่มคนดังให้มารับหน้าที่พรีเซ็นเตอร์เกิดขึ้นเมื่อครึ่งปีที่ผ่านมา ภายใต้โจทย์ทางธุรกิจ เพื่อสร้าง Brand Awareness และขยายฐานลูกค้าคนรุ่นใหม่ในกลุ่มอายุ 30 ปีลงมา ซึ่งเป็นลูกค้ากลุ่มใหญ่และมีความน่าสนใจ จากเดิมลูกค้าหลักของกาแฟพันธุ์ไทยจะมีอายุ 40 ปีขึ้นไป โดยตั้งเป้าหมาย จะเพิ่มฐานลูกค้าคนรุ่นใหม่จาก 20% เป็น 30% ในปีหน้า

เราทำรีเสิร์ชมาพบว่า ผู้บริโภคมองแบรนด์เราเป็นกาแฟปั๊ม ดูเก่าแก่ เราจึงอยากปรับภาพลักษณ์ของแบรนด์เราเด็กลง ให้สามารถเข้าถึงคนรุ่นใหม่ได้มากขึ้น  และคัลแลนกับพี่จองทำหน้าที่นี้ได้ดี ที่สำคัญทั้งคู่เป็นแฟนของกาแฟพันธุ์ไทย เป็น Real Customer ของเราจริง ๆ และชอบดื่มอเมริกาโน่อยู่แล้ว

คัลแลนพี่จองเอฟเฟกต์

ความร่วมมือระหว่างกาแฟพันธุ์ไทย กับคัลแลนพี่จอง เริ่มตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายน 2567 และไปจบเดือนเมษายน 2568 ประเดิมด้วยแคมเปญการ์ดพันธุ์ไทยใจฟู การออกการ์ดจุ่มของทั้งคู่ให้บรรดาแฟนด้อมได้สะสม โดยลูกค้าที่ซื้อเมนูไทยริกาโน 3 แก้วต่อใบเสร็จ จะได้รับการ์ดพันธุ์ไทยใจฟูแบบสุ่มจากคัลแลนและพี่จอง 1 ใบ มีให้เลือกสะสม 5 แบบ และ 1 แบบซีเคร็ท    

หลังจากเปิดตัวไปเมื่อวันที่ 15 .. 2567 มาถึงตอนนี้ไม่ถึงอาทิตย์ปรากฏว่านอกจากในโซเชียลจะมีกระแสพูดถึงและเอนเกจเม้นท์จำนวนมากทั้งกลุ่มแฟนของกาแฟพันธุ์ไทยเดิมและกลุ่มที่ไม่ได้เป็นลูกค้าแล้ว

แคมเปญดังกล่าวยังสามารถทำให้ยอดขายของกาแฟพันธุ์ไทยเติบโตขึ้น 1.5 เท่า และมียอดสมัครสมาชิก MAX Card บัตรสมาชิกที่ใช้สะสมแต้ม เพื่อสร้างรอยัลตี้ โปรแกรมกับลูกค้าในเครือ PTG เพิ่มขึ้น 50% ต่อวัน

ความสำเร็จที่เกิดขึ้น อนันต์บอกว่าเกินคาด และเตรียมต่อยอดความสำเร็จจากพรีเซ็นเตอร์คู่นี้ผ่านกิจกรรมที่หลากหลาย อย่างในระยะอันใกล้นี้ได้เตรียมปล่อยหนังโฆษณาชุดใหม่ของกาแฟพันธุ์ไทยที่มีคัลแลนกับพี่จองร่วมแสดงออกมา และจะมีการจัด Fan Meet ของทั้งคู่ประมาณช่วงต้นปีหน้า

หลายคนถามว่า แฟนด้อมที่ไม่ดื่มกาแฟ แต่มาซื้อพันธุ์ไทยเพราะอยากได้การ์ด เมื่อหมดแคมแปญอาจทำให้ลูกค้ากลุ่มนี้จะหายไป และการเติบโตของเราจะไม่ยั่งยืน แต่เรามั่นใจในรสชาติและคุณภาพของกาแฟเรา บวกกับการทำมาร์เก็ตติ้งที่ได้มาจากการวิเคราะห์ข้อมูลจากบัตรสมาชิก เราเชื่อมั่นจะดึงพวกเขากลับมาเป็นลูกค้าได้อย่างแน่นอน

เดินหน้าลบภาพกาแฟในปั้ม

นอกจากจะใช้พลังแฟนด้อมใจฟูมาลบภาพกาแฟในปั๊ม ที่ดูเก่าแก่ และแบรนด์มีอายุ เพื่อพิชิตใจลูกค้าคนรุ่นใหม่แล้ว กาแฟพันธุ์ไทยยังมีการวางกลยุทธ์เพื่อขยายฐานลูกค้าดังกล่าวสำหรับสร้างการเติบโตไว้ 

1. การเร่งขยายสาขาในตัวเมือง โดยเฉพาะเขต CBD (Central Business District) รวมไปถึงโลเคชั่นในสถานศึกษาและตามมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ซึ่งตามแผนกาแฟพันธุ์ไทยตั้งเป้าจะมีสาขารวมในปี 2567 อยู่ที่ 1,282-1,300 แห่ง และครบ 2,000 แห่งในปี 2568 จากปัจจุบันมีสาขากว่า 1,200 แห่ง ก่อนจะเพิ่มเป็น 5,000 สาขาในปี 2570

2. การเพิ่มโปรดักท์ในกลุ่ม Specialty Coffee เพื่อให้ภาพของกาแฟพันธุ์ไทยมีวาไรตี้และจับกลุ่มลูกค้าได้หลากหลาย รวมถึงสอดคล้องกับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบและนิยมดื่มกาแฟประเภทนี้มากขึ้น อย่างล่าสุดได้เปิดตัวกาแฟดริปคอลเลคชั่นใหม่ที่ได้ร่วมมือกับ 10 นักสร้างสรรค์กาแฟไทย ภายใต้โจทย์ดริปสร้างชีวิตไม่รู้จบ

3. ขยายโปรดักท์ในกลุ่ม Non coffee ไม่ว่าจะเป็นชาไทยโกโก้และเมนูอื่นๆที่ไม่มีส่วนผสมของกาแฟให้มากขึ้นเพื่อสร้างความรู้จักและกระตุ้นให้เกิดการทดลองดื่มจากกลุ่มลูกค้าที่ไม่ดื่มกาแฟ

4. การมุ่งทำมาร์เก็ตติ้งในรูปแบบต่าง ๆ โดยในส่วนนี้จะใช้ข้อมูลจาก MAX Card ที่ปัจจุบันมีฐานสมาชิกราว ๆ ล้านใบ วิเคราะห์เจาะลึก Customer Journey ของลูกค้าตั้งแต่เพศอายุการใช้จ่ายพฤติกรรมและความชอบเพื่อนำมากำหนดกลยุทธ์ตลอดจนแคมเปญการตลาดให้เหมาะสมและตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มใหม่ๆได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ทางผู้บริหารกาแฟพันธุ์ไทยเชื่อมั่นว่า จากการกลยุทธ์ทั้งหมดเมื่อจบปี 2567 กาแฟพันธุ์ไทยจะมีรายได้กว่า 2,000 ล้านบาท

ขณะที่ภาพรวมของตลาดกาแฟในไทยประเมินไว้ว่า จะมีการเติบโตประมาณ 10% คิดเป็นมูลค่าตลาดกว่า 60,000 ล้านบาท แบ่งเป็นตลาดกาแฟในบ้าน 33,000 ล้านบาท และตลาดกาแฟนอกบ้านกว่า 27,000 ล้านบาท

]]>
1499761
คุยกับ “แวว-วาศิณี” เบื้องหลัง 18 ปี “White Story” กว่าจะมาเป็นธุรกิจ “ข้าวกล่อง” ขวัญใจคนเมือง https://positioningmag.com/1493748 Thu, 10 Oct 2024 05:00:10 +0000 https://positioningmag.com/?p=1493748 ร้านขายข้าวกล่องและเบเกอรี “White Story” รุกคืบไปทั่วทุกศูนย์การค้าและออฟฟิศใจกลางเมืองอย่างเงียบๆ จนปัจจุบันมีถึงกว่า 80 สาขา และกลายเป็นที่พึ่งฝากท้องของคนเมืองยามต้องการอาหารทำสดใหม่ ราคาไม่แรง และมั่นใจได้ในเรื่องรสชาติ คุณภาพ และความสะอาด

อย่างไรก็ตาม กว่าจะมาถึงวันนี้ได้ White Story มีการปรับตัวและผ่านจุดเปลี่ยนสำคัญๆ มาตลอด 18 ปี จากฝีมือของ “แวว-วาศิณี สุรชาติชัยฤทธิ์” ซีอีโอ บริษัท โซดา น้ำชา จำกัด ผู้ปลุกปั้นจนบริษัทเดินหน้าสู่รายได้ 600 ล้านบาทในปีนี้

วาศิณีเล่าย้อนประวัติการสร้างธุรกิจให้ Positioning ฟังก่อนว่า แต่เดิมเธอเป็นพนักงานด้านการตลาดในบริษัทผลิตสินค้าอุปโภคบริโภครายใหญ่แห่งหนึ่ง แต่หลังทำงานไปสักระยะก็เข้าสู่จุดอิ่มตัว และอยากจะสร้างธุรกิจของตัวเองมากกว่า ทำให้เธอเลือกที่จะเปิดร้านอาหาร เพราะการทำอาหารเป็นงานอดิเรกที่ตนเองชอบอยู่แล้ว

เริ่มแรกเลือกที่จะเปิดร้านในย่านวงเวียนพระราม 5 ซึ่งสมัยนั้นเป็นโซนที่อยู่อาศัยใหม่และยังไม่มีร้านอาหารบริการมากนัก จึงเป็นช่องว่างตลาดให้ร้านอาหารหน้าใหม่ “White Story”

White Story
“แวว-วาศิณี สุรชาติชัยฤทธิ์” ซีอีโอ บริษัท โซดา น้ำชา จำกัด

“เราเลือกเช่าบ้านเก่ามาหลังหนึ่ง รีโนเวตเปลี่ยนเป็นคาเฟ่ขนาด 10 โต๊ะ ขายแค่เค้กกับกาแฟ แต่ทำไป 3 เดือนก็เริ่มสังเกตได้ว่าไม่ตอบโจทย์เพราะกาแฟกับขนมจะขายได้แค่ช่วงเช้า เราเลยเพิ่มเมนูข้าวเข้ามาด้วยเพื่อให้ลูกค้ามาทานช่วงกลางวันจนถึงเย็น” วาศิณีกล่าว “ตอนเปิดร้านใหม่ๆ อายุ 27 ปี ต้องเริ่มทำทุกอย่างเองจากศูนย์ แต่เป็นพื้นฐานที่ดีที่ทำให้เรารู้ทุกอย่างในงานร้านอาหาร”

 

ขึ้นห้างฯ ครั้งแรก

หลังจากนั้น White Story เติบโตจนเป็นร้านอาหารขึ้นชื่อของย่านพร้อมๆ กับความเจริญของพื้นที่ จ.นนทบุรี ทำให้ศูนย์การค้าใหม่ที่จะเข้ามาเปิดในบริเวณคือ The Walk ราชพฤกษ์” ชักชวนให้ร้านย้ายมา “ขึ้นห้างฯ” เป็นครั้งแรกในปี 2555 โดยให้พื้นที่เช่ามาถึง 160 ตารางเมตร

“พื้นที่มันใหญ่มาก ถ้าทำเป็นร้านนั่งทานทั้งหมดคงไม่ไหว เราเลยคิดแบ่งครึ่งหนึ่งของร้านเป็น Dine-in อีกครึ่งหนึ่งเป็นแผนก Grab & Go” วาศิณีกล่าว “ส่วนหนึ่งคือเราเห็นแล้วว่า Lazy Economy กำลังเกิดขึ้นในไทย คนเริ่มไม่มีเวลาทำอาหาร การขายแบบซื้อกลับบ้านน่าจะตอบโจทย์ลูกค้าได้”

ตัวอย่างเมนูอาหาร White Story

นั่นคือจุดเริ่มต้นการสร้างธุรกิจ Grab & Go ครั้งแรกของ White Story โดยเริ่มจากการขายเฉพาะกลุ่มเบเกอรีก่อน แต่เมื่อลูกค้าแนะนำว่าต้องการจะซื้ออาหารกลับบ้านบ้าง ร้านจึงเริ่มผลิตอาหารกล่องออกจำหน่ายด้วย

“เราฟังลูกค้าเยอะว่าเขาอยากได้อะไร ก็จะได้ไอเดียใหม่ๆ ในการทำธุรกิจตลอด” วาศิณีกล่าว “วันนั้นเรารับฟังลูกค้าเยอะแบบไหน วันนี้เราก็ยังทำแบบนั้น ถ้าลูกค้าส่งข้อความมาในเพจว่าต้องการให้ปรับปรุงอะไร เราจะรับฟังและหาทางแก้ไขให้เสมอ”

 

สู่ใจกลางเมือง

จุดเปลี่ยนครั้งต่อมาของ White Story เกิดขึ้นในอีก 3 ปี และเป็นอีกครั้งที่การสร้างพื้นฐานให้ดีทำให้มีโอกาสขยายธุรกิจได้ง่ายขึ้น

“มีวันหนึ่งที่เราพบว่ามีลูกค้าซื้อของบิลเดียวทะลุ 1,000 บาทซึ่งแปลว่าเขาซื้อไปเยอะมากๆ เราตกใจก็เลยลองสอบถามดู สรุปลูกค้าบอกว่าจริงๆ เขาอาศัยอยู่ในเมือง แต่ชอบสินค้าร้านเรามากจนแวะมาทีก็จะซื้อไปตุนที แล้วเขาก็แนะนำว่าให้เราไปเปิดสาขาในเมืองดู บังเอิญที่ลูกค้าเขารู้จักกับผู้บริหารเอ็มควอเทียร์ ห้างฯ ใหม่ที่กำลังจะเปิดตัว และช่วยติดต่อให้ได้คุยกัน กลายเป็นการเปิดประตูบานใหม่ให้เราได้โอกาสเข้าเมืองเป็นครั้งแรก” วาศิณีกล่าว

White Story
บรรยากาศร้านแบบ Grab & Go

เมื่อจะเข้าไปขายกลางเมือง วาศิณีจึงออกแบบโมเดลธุรกิจใหม่ว่าจะเป็นการขยายเฉพาะส่วน Grab & Go เข้าไป เพราะมองว่าชีวิตคนเมืองเป็นชีวิตที่เร่งรีบและค่าเช่าที่จะสูงกว่านอกเมือง ทำให้การขายเฉพาะกลุ่มซื้อกลับบ้านน่าจะได้ผลตอบแทนทางธุรกิจดีกว่า และยังขยายได้ง่ายกว่าหาก White Story จะมีโอกาสขยายตัวในเมืองเพิ่มอีกในระยะยาว

 

โอกาสเป็นของคนที่พร้อม

ความสำเร็จจากสาขาที่มีเฉพาะ Grab & Go แห่งแรกที่เอ็มควอเทียร์ ทำให้ประตูบานต่อๆ มาเปิดออก มีศูนย์การค้าแห่งอื่นเชิญ White Story เข้าไปเปิดสาขาเพิ่มอีกจนขยายไปได้ 6-7 สาขา ถึงจุดนี้วาศิณีบอกว่าเธอเริ่มมีความฝันถึงการขยายไปให้ทั่วกรุงเทพฯ แล้ว

“ปี 2561 ช่วงนั้นเราไปต่อคิวขอเช่าพื้นที่ในศูนย์การค้าทุกที่ที่ดังๆ ใจกลางเมืองเราไปต่อคิวหมดทุกแห่ง แต่ก็ไม่ค่อยมีที่เช่าหลุดมาเลยเพราะเป็นช่วงเศรษฐกิจดี” วาศิณีกล่าว “แต่ถึงแม้จะยังไม่มีที่ไหนคอนเฟิร์ม แต่เราก็เริ่มสร้างครัวกลางรอแล้ว เพราะเราเชื่อว่าวันหนึ่งเราจะต้องได้ที่แน่”

White Story

ครัวกลางของ White Story สร้างเสร็จก่อนโควิด-19 ระบาดพอดี และกลายเป็นความพร้อมส่วนนี้ที่ทำให้ร้านคว้าโอกาสมาได้เต็มมือ เพราะโรคระบาดและการปิดร้านอาหารแบบนั่งทานทำให้มีล็อกว่างบนศูนย์การค้า ร้าน Grab & Go แบบ White Story จึง ‘เนื้อหอม’ ได้รับคำเชิญให้เปิดสาขาจำนวนมาก

ตั้งแต่ปี 2562 ร้านจึงบุกเปิดสาขาใหม่เฉลี่ยปีละ 10-20 สาขา ทะยานสู่ 80 สาขาได้ในปี 2567 ใช้เวลาเพียงไม่นานมีสาขาร้านอยู่ทั่วกรุงเทพฯ

 

สินค้าคุณภาพดีและมี ‘กิมมิก’ การตลาด

นอกจากความพร้อมที่จะขยายสาขาแล้ว สิ่งสำคัญที่ทำให้ White Story ประสบความสำเร็จคือ “ตัวสินค้า” และ “แบรนดิ้ง” ที่ชัดเจนของร้าน

โดยวาศิณีเล่าว่า เธอมีการวางพื้นฐานของแบรนด์ไว้ตั้งแต่แรกว่า White Story ไม่ได้เป็นแค่การขายอาหารหรือขนมปัง แต่สิ่งที่ขายคือ “ความไว้ใจ” ไม่ว่าตัวสินค้าจะเป็นอะไร สิ่งที่ร้านยึดถือว่าจะขายให้ลูกค้าคือการคัดสรรสิ่งที่ดีที่สุด อร่อยที่สุด ดีต่อสุขภาพที่สุด สินค้าจึงใช้วัตถุดิบเกษตรอินทรีย์คุณภาพดีที่ใช้สารเคมีที่น้อยที่สุด

พนักงานร้านในยูนิฟอร์มผูกผ้ากันเปื้อนและหมวกคลุมผม ช่วยสร้างแบรนด์ให้กับ White Story

“เราเชื่อว่าการที่เราสร้างสินค้าที่ดีและภาพลักษณ์แบรนด์ที่ดีมาตั้งแต่วันแรกหรือสาขาแรก มันคือการส่งต่อให้เกิดสาขาที่สองและสาขาต่อๆ มาได้” วาศิณีกล่าว

เห็นได้ว่าภายใต้โมเดลธุรกิจที่ดูเหมือนเรียบง่ายเพียงขายข้าวกล่องและเบเกอรีซื้อกลับบ้าน แต่มีกลยุทธ์การตลาดที่วาศิณีซ่อนไว้อยู่เหมือนกัน เพราะเมื่อมีสินค้าที่ดี ทำเลร้านดีแล้ว สิ่งที่จะดึงลูกค้าเข้าร้านหรือมัดใจให้อยู่กันไปนานๆ ได้อีกอย่างหนึ่งคือต้องมี Engagement’ ร่วมกันกับลูกค้า

White Story
สติ๊กเกอร์เขียนคำอธิบายอาหารแบบน่ารักๆ เป็นกิมมิกที่ทำให้คนจดจำร้านได้

กลยุทธ์ที่ White Story คิดขึ้นคือ “สติ๊กเกอร์” แปะบนหน้ากล่องอาหารและเบเกอรี ถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นว่าคำอธิบายเมนูสินค้าจะมี “กิมมิก” ที่น่ารักและผ่านการคิดมาอย่างเฉียบคม เช่น สปาเก็ตตี้แซลมอนเทอริยากิ ว่ายทวนน้ำมาจากนอร์เวย์ ว่ายจนเซ ใจโลเลไปหาเธอ, ถั่วเขียวต้มหวานน้อยมาก กินอาหารถูกหลัก ถึงอกหักก็แข็งแรง, ขนมปังไดฟูกุ ชาเขียว ถั่วแดงญี่ปุ่น หวานน้อย คาร์บเชิง (ซ้ำ) ซ้อน

คำอธิบายเมนูที่แปลกไม่เหมือนใครแบบนี้ทำให้ White Story เป็นที่จดจำของลูกค้า และสร้างความรู้สึกดีๆ ต่อกันว่าเป็นร้านที่ “ใส่ใจลูกค้า” และ “มีอารมณ์ขัน” อีกด้วย

 

ปี 2568 ทะลุ 100 สาขาแน่นอน!

มาจนถึงวันนี้ White Story มีสินค้าขายถึง 300 SKUs รวมทั้งอาหารกล่อง เบเกอรี และของแห้ง-เครื่องปรุงในหมวด “White Story Selected” ที่บริษัทคัดเลือกสินค้าจากแหล่งที่ดีมาจำหน่าย เช่น น้ำผึ้ง, เต้าเจี้ยว, Vinegar และยังคงคิดเมนูใหม่ๆ หรือคัดเลือกสินค้าใหม่เข้าร้านเสมอ

เราต้องวาดฝันไว้ว่าถ้าโอกาสมาถึงเราจะต้องพร้อมอย่างไร จัดลำดับความสำคัญว่าต้องทำอะไรบ้าง เพราะเมื่อโอกาสมาแล้วเราต้องคว้าให้ได้ อย่านั่งรอเฉยๆ ให้โอกาสมาถึง

วาศิณีกล่าวว่า ความฝันต่อไปของบริษัทคือการขยายร้านอย่างต่อเนื่อง โดยปี 2568 เชื่อว่าจะครบ 100 สาขาอย่างแน่นอน และระบบการบริหารภายในขณะนี้กำลังขยายเพื่อให้รองรับได้มากกว่า 150 สาขา!

อย่างไรก็ตาม ทำเลการขายน่าจะยังเน้นในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑลก่อน (ปัจจุบันสาขาที่ไกลเมืองที่สุดคือ เซ็นทรัล นครปฐม) เพราะมองว่ายังมีทำเลที่ร้านเปิดได้อีกมากในกลุ่มอาคารสำนักงาน คอมมูนิตี้มอลล์ และโรงพยาบาล

“เราต้องวาดฝันไว้ว่าถ้าโอกาสมาถึงเราจะต้องพร้อมอย่างไร จัดลำดับความสำคัญว่าต้องทำอะไรบ้าง เพราะเมื่อโอกาสมาแล้วเราต้องคว้าให้ได้ อย่านั่งรอเฉยๆ ให้โอกาสมาถึง” วาศิณีกล่าวปิดท้าย

 

อ่านบทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

]]>
1493748
ครบรอบ 30 ปี “รร.นานาชาติรีเจ้นท์” สถาบันปั้นเยาวชนสู่อนาคต “ผู้นำ” ที่ครบเครื่องรอบด้าน https://positioningmag.com/1478894 Mon, 30 Sep 2024 09:34:05 +0000 https://positioningmag.com/?p=1478894 “โรงเรียนนานาชาติรีเจ้นท์” เป็นหนึ่งในโรงเรียนนานาชาติแห่งแรกๆ ของประเทศไทย ด้วยระบบการเรียนการสอนแบบอังกฤษผสมกับ IB ทำให้เยาวชนที่จบจากโรงเรียนนี้ทั้ง “รู้วิชาการ” และมี “จิตใจดี” พร้อมที่จะเป็น “ผู้นำ” ที่ครบเครื่องรอบด้านทั้งเชิงปัญญาและเชิงสังคมในอนาคต

โรงเรียนนานาชาติรีเจ้นท์ ถือเป็นโรงเรียนนานาชาติแห่งแรกๆ ที่ก่อตั้งขึ้นในไทย โดยใช้ระบบผสมผสานการเรียนหลักเป็นหลักสูตรจาก “อังกฤษ” และช่วง 2 ปีสุดท้าย (Year 12-13) เป็นระบบ IB (International Baccalaureate)

โรงเรียนนานาชาติรีเจ้นท์

“ดร.วีระชัย เตชะวิจิตร์” ผู้ก่อตั้งและประธานบริหาร โรงเรียนนานาชาติรีเจ้นท์ กล่าวว่า เหตุที่เลือกผสมผสานหลักสูตรลักษณะนี้ ต้องย้อนไปที่จุดมุ่งหมายของโรงเรียนซึ่งต้องการสร้างเยาวชนให้เป็น Well-rounded Leaders of the Future” หรือผู้นำที่มีความครบเครื่องรอบด้านแห่งอนาคต

คำว่า “ครบเครื่อง” ของรีเจ้นท์ หมายถึง เยาวชนจะไม่เพียงแต่เก่งด้านวิชาการอย่างเดียว แต่ต้องมีจิตใจที่ดี พร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสังคม มีทักษะทางสังคมในลักษณะที่จะเป็นผู้นำ และสร้างประโยชน์ให้แก่ผู้อื่นได้

เมื่อจุดหมายเป็นเช่นนี้ ดร.วีระชัยจึงมองว่าหลักสูตรการเรียนของอังกฤษซึ่งมีความเข้มข้นในด้านวิชาการแล้วนั้นยังไม่เพียงพอ ต้องมีการนำหลักสูตร IB เข้ามาใช้ในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนจบมัธยมศึกษาด้วย

เนื่องจากหลักสูตร IB จะมีเกณฑ์วัดผลนอกเหนือจากคะแนนสอบในเชิงวิชาการ 6 วิชาด้วย คือ ผู้เรียนจะต้องทำ “วิทยานิพนธ์ฉบับย่อ 4,000 คำ” หัวข้อที่ทำจะต้องเกี่ยวข้องกับปัญหาสังคมที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข เช่น ปัญหาโลกร้อน การคอร์รัปชัน สงคราม เป็นต้น ผู้เรียนจะต้องค้นคว้าหาข้อมูลเกี่ยวกับปัญหานั้นและนำเสนอหนทางแก้ไขด้วย โดยคะแนนจากวิทยานิพนธ์มีคะแนนเต็ม 3 คะแนน ถือเป็นงานที่ หินมากสำหรับเยาวชนวัยนี้ที่จะต้องคิดตรึกตรองถึงปัญหา ทำให้ในแต่ละปีนักเรียนที่ส่งวิทยานิพนธ์ในหลักสูตร IB มีแค่ 0.25% เท่านั้นที่ได้ 3 คะแนนเต็ม!

อีกส่วนที่เป็นเกณฑ์ในหลักสูตร IB คือนักเรียนจะต้องทำ “กิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม” ให้ครบ 150 ชั่วโมง และกิจกรรมนั้นจะต้องถูกออกแบบตามหลัก CAS หมายถึง Creativity (สร้างสรรค์), Actions (ลงมือปฏิบัติ) และ Services (งานบริการ) ส่วนใหญ่นักเรียนจะใช้เวลาวันเสาร์-อาทิตย์เพื่อไปทำกิจกรรมให้ครบ

“ตัวอย่างกิจกรรม CAS เช่น นักเรียนกลุ่มที่ฝันอยากเป็น ‘หมอ’ อาจจะรวมกลุ่มกันไปเป็นเยาวชนอาสาในโรงพยาบาล ได้หยิบจับช่วยเหลือผู้ป่วย ทำให้เด็กได้ขัดเกลาจิตใจในการช่วยเหลือคนและเสียสละ และยังได้รู้จักตนเองว่าเหมาะสมหรือไม่ที่จะทำงานในวงการสาธารณสุข” ดร.วีระชัยกล่าว “เรามองว่าเป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องสร้าง ผู้นำ ที่มีทั้งสมองและจิตใจเพื่อไปแก้ไขปัญหาสังคมในภายภาคหน้า”

โรงเรียนนานาชาติรีเจ้นท์
โรงเรียนนานาชาติรีเจ้นท์

 

มาเรียนต้อง “มีความสุข”

ดร.วีระชัยกล่าวว่า ประเด็นต่อมาที่โรงเรียนนานาชาติรีเจ้นท์ให้ความสำคัญในการพัฒนาการศึกษาคือ โรงเรียนนี้จะต้องเป็นสถานที่แห่ง “ความสุข” สำหรับนักเรียน

“คุณคิดว่านักเรียนที่ไม่อยากมาโรงเรียนเป็นเพราะอะไร? ส่วนใหญ่เพราะสองสาเหตุใหญ่คือ เขาเรียนไม่รู้เรื่อง และถูกเพื่อนหรือครูรังแก เมื่อเรียนตามไม่ทันก็ไม่มีความสุขและไม่อยากมาอีก ยิ่งถูกเพื่อนรังแกหรือครูคอยจิกก็หนีเรียนเลย” ดร.วีระชัยกล่าว

การออกแบบห้องเรียนของรีเจ้นท์จึงจัด “ระบบแบ่งระดับรายวิชา” ในแต่ละวิชานักเรียนจะถูกจัดเซทหรือกลุ่ม 1,2 และ 3 แยกตามระดับความเก่งในวิชานั้นๆ ทำให้การเรียนในห้องจะตามกันทันได้ง่ายกว่า และยังเป็นระบบที่สอนเด็กในเชิงจิตวิทยาด้วยว่า “ไม่มีใครที่เก่งไปหมดทุกเรื่อง” เพราะบางคนอาจจะเก่งคณิตมากจนได้อยู่กลุ่ม 1 วิชาคณิต แต่อ่อนวิชาภาษาอังกฤษจนไปอยู่กลุ่ม 3 วิธีนี้จะทำให้เด็กนักเรียนไม่ทะนงตัวจนเกินไป ในทางกลับกันก็ทำให้นักเรียนบางคนเห็นว่าตัวเองมีจุดเด่นเช่นกัน

นอกจากนี้ รีเจ้นท์ยังจัดให้ครูที่เก่งที่สุดได้สอนกลุ่มนักเรียนที่อ่อนที่สุดในระบบนี้ด้วย เพราะครูที่เก่งต้องทำให้เด็กในกลุ่ม 3 สามารถพัฒนาตัวเองขึ้นมาให้ได้มากที่สุด

หลายครั้งที่ครูเก่งๆ สอนแต่เด็กเก่งๆ ซึ่งไม่ใช่วิธีที่ถูก ครูที่เก่งจริงจะต้องสอนให้เด็กในห้องเดียวกันเรียนตามกันทันได้ทั้งหมด ไม่ทิ้งใครเอาไว้

“หลายครั้งที่ครูเก่งๆ สอนแต่เด็กเก่งๆ ซึ่งไม่ใช่วิธีที่ถูก ครูที่เก่งจริงจะต้องสอนให้เด็กในห้องเดียวกันเรียนตามกันทันได้ทั้งหมด ไม่ทิ้งใครเอาไว้” ดร.วีระชัยกล่าว

บุคลากร “ครู” ที่โรงเรียนนานาชาติรีเจ้นท์จึงสำคัญยิ่ง โดยครูที่จะเข้ามาสอนได้นั้นจะต้องมีใบประกาศนียบัตรวิชาชีพครู หรือ QTS (Qualified Teacher Status) จากอังกฤษและมีประสบการณ์การสอนในอังกฤษมาแล้วเท่านั้น

อีกเหตุผลหนึ่งที่ ดร.วีระชัยเห็นว่าเป็นอุปสรรคความสุขของนักเรียนคือ “การรังแกกัน” (Bully) ในโรงเรียน ถือเป็นสิ่งที่รีเจ้นท์ให้ความสำคัญสูงสุดว่านักเรียนที่นี่จะต้องไม่มีพฤติกรรมการข่มเหงรังแกผู้อื่นโดยเด็ดขาด

เรื่องการฝึกฝนให้นักเรียนไม่รังแกกันนั้นพูดง่ายกว่าการปฎิบัติ​จริง ดังนั้น ​รีเจ้นท์จึงสร้างกิจกรรมร่วมหลักสูตรชื่อ “Roundsquare” ขึ้น​​มาเพื่อให้นักเรียนทุกคนได้ฝึกปฎิบัติ พัฒนาทักษะสังคมที่จำเป็น จนเกิดความสุขของการอยู่ร่วมกันอย่างเป็นมิตรกับทุกคนและทุกสิ่งที่อยู่รอบตัว และดร.วีระชัยยังได้กล่าวเชิญชวนให้ผู้ปกครองนำลูกหลานของท่านมาสัมผัสบรรยากาศที่ปราศจากการรังแกกัน อิจฉากัน หรือความเห็นแก่ตัวที่ยากที่จะหาพบได้ในที่อื่น

 

“รร.นานาชาติ” คำตอบการมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้บุตรหลาน

ระยะหลังมานี้มีโรงเรียนนานาชาติเปิดใหม่เป็นจำนวนมาก ซึ่งดร.วีระชัยมองว่าซัพพลายโรงเรียนใหม่เปิดมาก เพราะดีมานด์ความต้องการของผู้ปกครองก็มากไม่แพ้กัน

ดร.วีระชัย เตชะวิจิตร์

“ทุกคนมองว่าถ้าเรียนในโรงเรียนรัฐปกติจะไม่ได้ภาษาและทักษะทางสังคม เพราะฉะนั้นถ้าคนที่พอจะมีฐานะ เขาก็จะผลักดันลูกหลานให้เข้าโรงเรียนนานาชาติถ้าทำได้” ดร.วีระชัยกล่าว “ผู้ปกครองอยากให้เข้านานาชาติเพื่อให้เรียนในระบบการศึกษาที่ดี มีโอกาสเรียนต่อในมหาวิทยาลัยชั้นนำในต่างประเทศ และสังคมก็มีส่วน ทำให้ลูกมีเครือข่ายเพื่อนฝูงที่ดี”

สำหรับโรงเรียนนานาชาติรีเจ้นท์เอง ดร.วีระชัยเปิดเผยว่ามีแนวคิดที่จะขยายแคมปัสใหม่เช่นกัน หรืออาจจะเป็นการขยายขนาดแคมปัสในบริเวณเดิมเพื่อให้รองรับนักเรียนได้มากขึ้น หรือหาทำเลดีมีหมู่บ้านระดับดี ทันสมัย เพื่อสร้างแคมปัสแห่งใหม่

เฉลิมฉลองครบรอบ 30 ปีโรงเรียนนานาชาติรีเจ้นท์ ขอเชิญชวนผู้ปกครองและบุตรหลาน มาร่วมงานเปิดบ้านแนะนำหลักสูตรโรงเรียนนานาชาติระบบอังกฤษในงาน “Whole School Open House and our 30th Year Anniversary, celebrating three decades of academic success!” ที่โรงเรียนนานาชาติรีเจ้นท์กรุงเทพฯ เพื่อพบปะพูดคุยกับทีมครูชาวอังกฤษระดับมืออาชีพ พร้อมทั้งเยี่ยมชมบรรยากาศการเรียนการสอนตั้งแต่ระดับอนุบาล – Year 13

พบกันวันพุธที่ 23 ตุลาคม 2024 เวลา 9.00-11.30 น. ที่ Regent’s International School Bangkok แคมปัสพระรามเก้า สำรองที่นั่งเพื่อรับสิทธิพิเศษและส่วนลดมากมายภายในงาน ลงทะเบียนได้ที่ https://forms.gle/9fcBRtxhA7Cd7MJW7 ผู้ปกครองที่สนใจสมัคร สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 092-362-8888 Line@regentsschoolbkk (หรือสแกน QR CODE ด้านล่าง), [email protected] www.regents.ac.th

 

]]>
1478894
เปิดเบื้องหลังดีล Supersports ควัก 468 ล้าน เข้าซื้อ REV Edition เสริมแกร่งกลุ่ม “วิ่ง” สาย Specialty   https://positioningmag.com/1491931 Thu, 26 Sep 2024 09:03:53 +0000 https://positioningmag.com/?p=1491931
  • CRC Sports ผู้บริหารร้าน Supersports ในเครือ CRC เข้าซื้อ REV Edition ถือหุ้นใหญ่ 75% คิดเป็นมูลค่า 468 ล้านบาท 
  • การเข้าซื้อครั้งนี้จะช่วยเสริมแกร่งสินค้ากีฬาของ CRC Sports ให้มีความหลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะต้องการเจาะสาย “วิ่ง” แบบ Specialty 
  • เตรียมนำแบรนด์ Sport Retail สัญชาติไทย ไปปักธงในอาเซียน 
  • นายทุนใหญ่ กับนักสร้างแบรนด์มาเจอกัน

    หลังจากที่เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ทาง CRC Sports (บริษัท ซี อาร์ ซี สปอร์ต จำกัด) ในเครือเซ็นทรัล รีเทล ได้ประกาศดีลใหญ่ในวงการกีฬา ด้วยการเข้าซื้อกิจการ REV Edition โดยถือหุ้นใหญ่สัดส่วน 75% คิดเป็นมูลค่า 468 ล้านบาท ซึ่งเป็นการต่อยอดกันระหว่าง Sport Retail เพียงแต่สเกลต่างกัน และมีจุดแข็งที่ต่างกัน

    ปัจจุบัน CRC Sports แบ่งธุรกิจเป็น 2 ขาด้วยกัน ได้แก่ 1. ร้านมัลติสปอร์ตภายใต้ Supersports 2. เป็นตัวแทนจัดจำหน่ายแบรนด์กีฬาทั้งหมด 7 แบรนด์ ได้แก่ Reebok, Columbia, LFC, Merrell, Speedo, Wilson และ Umbro

    ส่วน REV Edition เป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายแบรนด์สินค้ากลุ่ม Sports Performance & Lifestyle ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2543 ในฐานะผู้บริหารร้านไนกี้ แฟลกชิปสโตร์ แห่งแรกในประเทศไทย และเป็นผู้บุกเบิก และบริหารร้านกีฬา REV RUNNR ซึ่งเป็นร้านอุปกรณ์กีฬาสำหรับผู้ที่รักการวิ่งโดยเฉพาะ

    โดยที่ REV Edition มีธุรกิจหลัก 2 ขาเช่นเดียวกัน 1. ร้าน REV RUNNR ร้านสำหรับสายวิ่ง ปัจจุบันมี 40 สาขา และ 2. ตัวแทนจัดจำหน่ายแบรนด์กีฬา และไลฟ์สไตล์แบรนด์รวม 13 แบรนด์ ได้แก่ Hoka, Saucony, Goodr, 2XU, CEP, Qiaodan, XTEP, Kailas, Champion, Aonijie, Teva, Oakley และกำลังจะเปิดตัว National Geographic อีกหนึ่งแบรนด์ในช่วงปลายปีนี้

    CRC Sports เป็นเหมือนพี่ใหญ่ที่ทำตลาดมา 27 ปี มีบทบาทเป็นนายทุนที่มีระบบอินฟราสตรัคเจอร์พร้อม รวมถึงเม็ดเงินในการลงทุน โลเคชั่นในการขยายสาขา ส่วนทาง REV Edition เป็นน้องชายที่ทำตลาดมา 24 ปี แม้จะสเกลเล็กกว่า แต่เปี่ยมไปด้วยแพชชั่นในเรื่องกีฬาเต็มที่ และเก่งในเรื่องการสร้างแบรนด์ มองเทรนด์ และคาดการณ์ความนิยมของแบรนด์ได้ดี

    พรศักดิ์ ชินวงศ์วัฒนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เรฟ อีดิชั่น จำกัด เล่าว่า

    “REV Edition ก่อตั้งเมื่อปี 2543 วางจุดยืนเป็นการทำธุรกิจกีฬารูปแบบใหม่ ในตอนนั้นประเทศไทยยังไม่มีรูปแบบคอนเซ็ปต์ช็อป หรือคอนเซ็ปต์สโตร์เลย เรามีวิธีคิดที่ว่าตอนนำแบรนด์เข้ามาทำตลาดในไทย ไม่ได้เลือกแบรนด์ดังที่สุด แต่เป็นแบรนด์ที่มีนวัตกรรม มีศักยภาพ ถ้าย้อนกลับไป 6 ปีก่อนตอนนั้นไม่มีคนรู้จักแบรนด์ HOKA เลย แต่ตอนนี้คนรู้จักเยอะขึ้น หรืออย่างแบรนด์ Saucony ที่เริ่มนำเข้ามาได้ 4 ปี ตอนนี้ก็มีการเติบโตสูง สร้างรายได้ที่ดีให้บริษัท การร่วมมือกันครั้งนี้จะช่วยทำให้บริษัท Sport Retail สัญชาติไทยออกไปต่อสู้ตลาดต่างประเทศได้”

    ยุคทองของ Specialty กีฬาก็ยังต้อง Specialty

    เรียกได้ว่ายุคนี้เป็นของสินค้าพรีเมียม หรือยุคของสาย Specialty ของแท้ เพราะไม่ว่าจะอาหารการกิน กาแฟ ชาไทย ก็มีแบรนด์ที่เป็น Specialty ที่เชี่ยวชาญด้านนั้นโดยเฉพาะ ในแง่ของสินค้าผู้บริโภคก็มองหาสินค้าเฉพาะทางมากขึ้นด้วยเช่นกัน ยอมจ่ายแพงขึ้นเพื่อให้ได้คุณภาพตามใจต้องการ

    ถึงแม้ว่า CRC Sports และ Supersports จะดำเนินธุรกิจมานาน มีแบรนด์ที่หลากหลาย แต่ก็อาจจะยังไม่หลากหลายมากพอกับความต้องการของผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน ซึ่งถ้าดูแบรนด์เครือที่เป็นตัวแทนจำหน่ายก็ค่อนข้างแมสพอสมควร

    ดีลนี้ได้ทำการพูดคุยกันเป็นเวลา 1 ปี ถึงได้ตกลงปลงใจในการซื้อขายกัน การข้าซื้อ REV Edition จึงเป็นการลงทุนที่ตอบโจทย์มากที่สุด เพราะได้แบรนด์กีฬา และไลฟ์สไตล์เข้ามาอยู่ในมือเพิ่มอีก 13 แบรนด์ และยังเป็นแบรนด์ดาวรุ่งที่มีการเติบโตสูงขึ้นทุกปี

    สุฑาทิพย์ มนูญผล ผู้ช่วยกรรมการ ผู้จัดการใหญ่อาวุโสฝ่ายกลยุทธ์ และพันธมิตร กลุ่มเซ็นทรัลแบรนด์แอนด์สเปเชียลตี้ ในเครือเซ็นทรัล รีเทล เล่าว่า

    “การเข้าซื้อ REV Edition เป็นไปตามวิสัยทัศน์ที่ต้องการหาสินค้าที่มีความหลากหลายมากขึ้น ทั้งกลุ่มกีฬา แฟชั่น ไลฟ์สไตล์ ซึ่งตอนนี้กีฬาไม่ใช่เทรนด์อีกต่อไป แต่เป็นวิถีชีวิตของคนไปแล้ว ตลาดนี้คาดว่ามีมูลค่าถึง 35,000 ล้านบาท และมีการเติบโตขึ้นทุกปี REV Edition เป็นบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญด้าน Running Category ธุรกิจแบรนด์กีฬา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่ม Performance และ ไลฟ์สไตล์ การร่วมมือกันครั้งนี้ยิ่งช่วยเสริมความแข็งแกร่งมากขึ้น”  

    ทางด้าน อเล็กซองต์ อัมเบล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซี อาร์ ซี สปอร์ต จำกัด ในเครือเซ็นทรัล รีเทล เปิดเผยว่า

    “ในช่วง 2 ปีที่ผ่ามา Supersports ได้มีการทรานส์ฟอร์มใหม่ ทั้งปรับปรุงสโตร์ให้ทันสมัย หาพื้นที่ใหม่ๆ ในการสร้างการเติบโต ทาง REV Edition มีลูกค้าที่มี Loyalty สูง ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าโดยเฉพาะสายวิ่ง และเป็นดิสทริบิวเตอร์ให้กับหลายแบรนด์ ทาง Supersport มองหาการยกระดับชีวิตลูกค้าผ่านการออกกำลังกายมากขึ้น” 

    เจาะขุมทรัพย์นักวิ่งสายเปย์

    คำพูดที่บอกไว้ว่า “วิ่งเป็นกีฬาที่ประหยัดที่สุด มีแค่รองเท้าคู่เดียวก็ออกไปวิ่งได้แล้ว” กลายเป็นประโยคที่สร้างเสียงหัวเราะมากที่สุดสำหรับวงการวิ่ง

    หลายปีที่ผ่านมากระแสการวิ่งได้รับความนิยมสูงขึ้น เนื่องจากเทรนด์การจัดงานวิ่งมาราธอน หรือจะเป็นการออกกำลังกายแบบ Solo ที่เริ่มออกกำลังกายคนเดียวมากขึ้น

    ทำให้กีฬาวิ่งมีมูลค่าตลาดราวๆ 5,000 ล้านบาท สูงที่สุดในบรรดากีฬาอื่นๆ ซึ่งจักรวาลของการวิ่งไม่ได้มีแค่รองเท้าวิ่งอย่างเดียว แต่ยังมีทั้งนาฬิกาสมาร์ทวอทช์, เสื้อผ้า, แว่นตา ยิ่งถ้าเป็นสายขาแรงหน่อยก็อาจจะมีอุปกรณ์เสริมอื่นๆ เช่น ถุงเท้ารัดน่อง ผ้าบลัฟ เจลให้พลังงาน เป็นต้น

    และกีฬาวิ่งนี่เอง เป็นกีฬาที่เวลาจัดงานสามารถมีผู้ร่วมงานได้หลักหมื่นคน เมื่อเทียบกับกีฬาอื่นๆ ที่อาจจะมีผู้เข้าร่วมได้แค่หลักร้อย หลักพันเท่านั้น ซึ่งเมื่อ 4 ปีก่อนมีตัวเลขที่ทำการเซอร์เวย์ว่าเมืองไทยมีนักวิ่งราวๆ 13 ล้านคน ปัจจุบันได้เพิ่มเป็น 15 ล้านคนแล้ว

    โดยปกติแล้วการวิ่งจะแบ่งเป็น 2 เซ็กเมนต์ใหญ่ก็คือ วิ่งถนน และวิ่งเทรล จะใช้รองเท้าต่างกัน พฤติกรรมนักวิ่งจะมีการใช้รองเท้าวิ่งที่ต่างกันด้วย เช่น วันซ้อม, วิ่ง Long Run, วิ่งแบบ Every day Running และวันแข่ง ทำให้นักวิ่งมีรองเท้าเฉลี่ยอย่างน้อยๆ คนละ 4 คู่ ส่วนใหญ่ 1 คู่จะใช้งานได้ประมาณ 600 กิโลเมตร แต่ถ้าเป็นนักวิ่งมืออาชีพ หรือนักวิ่ง Elite อาจจะใช้รองเท้ารุ่นโหดๆ แล้วใช้แข่งแค่ครั้งเดียวก็ทิ้งเลยก็มี

    ทำให้ในบริษัทของ REV Edition มีสัดส่วนรายได้จากกลุ่มวิ่งถึง 40% เรียกว่าเป็นสัดส่วนที่ใหญ่ที่สุด รองลงมากลุ่มฟุตบอล, บาสเก็ตบอล และกอล์ฟ โดยมี 3 แบรนด์หัวหอกที่สร้างรายได้เยอะที่สุดได้แก่ Saucony, Hoka และ Kailas ซึ่ง 3 แบรนด์นี้สร้างรายได้เกิน 50% ของแบรนด์ทั้งหมด ส่วนทาง Supersports มีสัดส่วนรายได้จากกลุ่มวิ่งราวๆ 25-30%

    ร้านกีฬาแบรนด์ไทย ปักธงในอาเซียน 

    การร่วมมือกันของ CRC Sports และ REV Edition จะรวมทั้งในเรื่องของร้านค้า และแบรนด์สินค้า ด้านสิทธิ์การจัดจำหน่ายแบรนด์ต่างๆ จะอยู่ภายใต้การดูแลของ CRC Sports ซึ่งจะยังคงสิทธิ์การบริหารทั้งหมดอยู่กับ REV Edition ทำให้มีแบรนด์รวมกันทั้งหมด 20 แบรนด์ ได้แก่ Hoka, Saucony, Goodr, 2XU, CEP, Qiaodan, XTEP, Kailas, Champion, Aonijie, Teva, Oakley, Reebok, Columbia, LFC, Merrell, Speedo, Wilson, Umbro และ National Geographic ที่กำลังจะเปิดตัว

    โดยตั้งเป้าหมายครองส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นผ่านการขยายสาขาทั้งร้านมัลติแบรนด์อย่าง Supersports และ REV RUNNR รวมถึงแบรนด์สโตร์ เป็น 2 เท่าในประเทศไทย และขยายสาขาไปยังมาเลเซีย เวียดนาม และสิงคโปร์ พร้อมกับเป้าหมายใหญ่ในการเป็นแบรนด์ไทยที่ไปปักธงในอาเซียนให้ได้ ทำตลาดผ่าน REV RUNNR

    ปัจจุบันหน้าร้านในเครือ REV Edition มีทั้งหมด 159 แห่ง ทั้งในประเทศไทย และมาเลเซีย ทั้งในรูปแบบ ร้าน REV RUNNR, แบรนด์ช็อป, เคาน์เตอร์ในสโตร์ (shop in shop) รวมถึงในร้านมัลติแบรนด์ต่างๆ และหน้าร้านออนไลน์ ภายในไตรมาสที่ 4 ของปี 2567 จะขยายหน้าร้านในเครืออีก 19 สาขา รวมถึงร้าน NATIONAL GEOGRAPHIC LIFESTYLE STORE สาขาแรกของไทย และมีแผนจะขยายสาขาทั้งร้านมัลติแบรนด์และแบรนด์สโตร์อีกมากกว่า 20 สาขา ซึ่งรวมถึงสาขาในมาเลเซีย ภายในปี 2568

    ส่วน Supersport มีสาขาทั้งหมด 93 สาขา มีโมโนสโตร์ที่เป็นร้านของแบรนด์ต่างๆ 10 สาขา ปีหน้าจะขยาย 5-10 สาขา ร้าน Supersport จะขยายเพิ่มอีก 1-2 สาขาในปีหน้า

    ]]>
    1491931
    10 สัญญาณเตือนว่าคุณยัง “ไม่พร้อม” ที่จะเป็น “ผู้นำ” https://positioningmag.com/1491309 Mon, 23 Sep 2024 10:22:56 +0000 https://positioningmag.com/?p=1491309 การเปลี่ยนตัวเองจากฐานะสมาชิกทีมมาสู่การเป็น “ผู้นำ” นั้นอาจจะเป็นเรื่องท้าทาย เพราะตำแหน่งใหม่จะมาพร้อมกับการเรียนรู้สิ่งใหม่ในโลกของการทำงาน และหลายครั้งที่คุณอาจจะยัง “ไม่พร้อม” รับตำแหน่งนี้ วัดได้จากสัญญาณเตือนมากมายเหล่านี้

    นาตาลี เพียร์ซ ผู้ร่วมก่อตั้ง The Future Kind มองว่า บุคลิกที่มีเสน่ห์และความมั่นใจอาจจะทำให้คนสนใจและส่งคุณขึ้นเป็น “ผู้นำ” องค์กรได้ แต่นิสัยที่ซ่อนอยู่ต่างหากที่จะตัดสินว่าคุณพร้อมหรือยังที่จะนำองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ และการรู้จักตัวเองตั้งแต่แรกๆ ที่ขึ้นรับตำแหน่งจะทำให้คุณปรับตัวเพื่อสนับสนุน เป็นแรงบันดาลใจให้กับทีม แทนที่จะเป็นอุปสรรคของทีมเสียเอง

    “ผู้นำที่ให้ทีมเป็นศูนย์กลางได้ดีที่สุดที่ผมเคยเห็นมา เป็นคนที่เข้าใจหลักการว่าการเป็นผู้นำไม่ได้หมายถึงคนที่เก่งไปเสียทุกอย่าง” คริส เพอร์ซิวาล ผู้ก่อตั้งและกรรมการผู้จัดการ CJPI กล่าว “แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ผู้นำที่เก่งมักจะเป็นคนที่สามารถดึงแนวคิดที่ดีที่สุดออกมาจากคนอื่นได้ และส่งเสริมให้คนที่เก่งกว่าตนเองสามารถรับผิดชอบงานของตนได้เป็นอย่างดี”

    ทั้งนี้ ทั้งสองผู้บริหารจากองค์กรพัฒนาการเป็นผู้นำมองว่ามี 10 สัญญาณเตือนที่บอกได้ว่าคุณยัง “ไม่พร้อม” ที่จะเป็น “ผู้นำ” และควรจะเร่งปรับตัว ดังนี้

    1.รับเครดิตไปคนเดียว

    สัญญาณเตือนสำคัญของคนที่ยังไม่พร้อมเป็นผู้นำคือ ผู้นำที่ชอบรับเครดิตผลสำเร็จของงานไปคนเดียว บุคคลที่มีลักษณะแบบนี้มักจะเป็น ‘คอขวด’ ในการสร้างนวัตกรรมสิ่งใหม่ของทีมเสียเอง

    2.ลูกน้องเลี่ยงที่จะคุยด้วย

    ถ้าเห็นสัญญาณว่าลูกน้องในทีมหลีกเลี่ยงที่จะคุยหรือมีปฏิสัมพันธ์กับหัวหน้า สะท้อนได้ว่าหัวหน้าไม่สามารถสร้างบรรยากาศปลอดภัยภายในทีมได้ ตัวอย่างเช่น ลูกน้องไม่อยากเปิดกล้องในการประชุมออนไลน์ ไม่อยากทำกิจกรรมนอกเวลางาน ไม่กล้าถามคำถามมากเมื่อได้รับมอบหมายงาน

    3.ไม่เชื่อมั่นในตนเอง

    เมื่อคนที่ไม่เชื่อมั่นในตัวเองมาเป็นผู้นำ ความรู้สึกนั้นจะถ่ายทอดต่อมาที่ทีมงานด้วย ซ้ำร้ายหากลูกน้องในทีมทำได้ดี หัวหน้าลักษณะนี้อาจจะหวั่นเกรงว่าลูกน้องกำลังจะมาแทนที่ตัวเอง ทำให้เกิดความรู้สึกขัดแย้งและไม่เชื่อมั่นกันไปหมด

    4.ไม่รับรู้ว่าทีมชอบช่องทางการสื่อสารและทำงานร่วมกันแบบไหน

    ยุคนี้เป็นยุคแห่งเทคโนโลยีและการทำงานทางไกล ทำให้แต่ละคนต่างก็มีวิธีการและช่องทางสื่อสารที่ตนเองชอบ บางคนอาจจะชอบการประชุมตอบโต้กันทันทีมากกว่า บางคนชอบการเขียนไอเดียมาแลกเปลี่ยนกันโดยไม่ต้องมานั่งอยู่พร้อมกัน การเป็นผู้นำยุคใหม่จึงต้องเข้าใจและจัดสมดุลการสื่อสารในทีมได้ โดยดูจากคนในทีมเป็นหลักมากกว่าความชอบของตัวผู้นำเอง

    5.ปฏิเสธการวิจารณ์ผลงาน (feedback)

    หากใครสักคนไม่ชอบที่จะถูกวิจารณ์งานที่เป็นประโยชน์ คนคนนั้นก็ยังไม่พร้อมที่จะเป็นผู้นำ คนเป็นผู้นำจะต้องสร้างวัฒนธรรมของความเชื่อมั่นและการร่วมมือกันทำงาน สร้างทัศนคติแบบ ‘เน้นผลลัพธ์ของงานก่อน’ เพื่อทำให้ทีมงานรู้สึกปลอดภัยที่จะอภิปรายถกเถียงกันโดยไม่ต้องเกรงใจตำแหน่งหรือการเมืองในบริษัท ซึ่งการจะทำสิ่งเหล่านี้ได้ ผู้นำจะต้องเอาชนะอีโก้ของตัวเองให้ได้เสียก่อน

    6.ไม่รู้จุดอ่อน-จุดแข็งของตัวเอง

    สัญญาณเตือนแรงๆ ว่ายังไม่พร้อมที่จะเป็นผู้นำคือการไม่รู้ตนเอง หากใครสักคนไม่รู้ว่าจุดแข็งของตัวเองคืออะไร และจุดที่ควรจะพัฒนาคืออะไร พวกเขาจะมีปัญหาเมื่อถึงเวลาต้องสนับสนุนและแนะนำคนอื่น ต่างกับผู้นำที่สามารถรับคำวิจารณ์ได้ ยอมรับความผิดพลาดของตนเองได้ จะกลายเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับคนอื่นในการพัฒนาตนเอง และปิดจุดอ่อนของตัวเอง

    7.รู้ไปหมด

    ผู้นำที่เชื่อมั่นตนเองมากเกินไป เชื่อว่าตนเองรู้และเก่งหมดทุกเรื่อง ทั้งที่จริงสิ่งที่ผู้นำประเภทนี้ไม่รู้คือ ไม่รู้ขีดจำกัดของตนเอง ผู้นำแนวนี้จะหยุดการเติบโตและการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ของทีม

    ผู้นำที่ดีควรจะต้องมีความถ่อมตน และเลือกจะพาทีมที่มีความสามารถมาทำงานร่วมกัน สร้างบรรยากาศที่ทำให้ทีมแชร์ความเห็นที่แตกต่างกันได้ เพื่อให้ทุกคนดึงจุดแข็งของตัวเองออกมาสร้างความสำเร็จร่วมกัน

    8.ไม่เห็นค่าการมีส่วนร่วมของทีมงาน

    ผู้นำที่ยังไม่พร้อมมักจะเป็นคนที่ไม่เห็นค่าการทำงานของทีมงานคนอื่น การทำงานเป็นทีมหมายถึงการหาโซลูชันให้ได้ไปพร้อมๆ กันก็จริง แต่ในเวลาเดียวกัน ผู้นำก็ต้องให้เครดิตกับบุคคลแต่ละคนในทีมด้วย เพื่อให้ทีมงานรู้สึกว่าทุกคนต่างก็ได้ทำงานที่มีค่ากับทีม

    9.ไม่ให้เกียรติคนอื่น

    สิ่งที่ผู้นำควรมีมากที่สุดคือ ความฉลาดทางอารมณ์ หากเป็นผู้นำที่ชอบด้อยค่าและหยาบคายกับลูกน้อง ไม่มีความเห็นอกเห็นใจ นั่นหมายความว่าคนคนนั้นไม่มีความอดทนต่อการเรียนรู้และเติบโตของลูกน้อง หากผู้นำไม่สามารถสนับสนุนลูกน้อง ไม่มีมารยาท และไม่ให้เกียรติ ก็จะทำให้องค์กรไม่สามารถดึงคนทำงานไว้ได้นาน

    10.ไม่มีทักษะการฟัง

    การเป็นผู้นำคือการฟังคนอื่นให้เป็น หากขึ้นเป็นผู้นำเพื่อจะทำตามความคิดของตนเท่านั้น แปลว่าคนคนนั้นยังไม่พร้อมที่จะนำองค์กร คนเป็นผู้นำจะต้องฟังทีมงานอยู่เสมอ ต้องปล่อยให้ทีมงานแสดงความเห็นมากกว่าขัดจังหวะไม่ให้พูด และเป็นคนที่ฟังไอเดียและ feedback จากลูกน้องอย่างจริงจัง เพราะการเป็นผู้นำคือการว่าจ้างคนที่เก่งในงานชนิดนั้นๆ และเชื่อมั่นในตัวพวกเขาที่จะปล่อยให้เขาทำในสิ่งที่ถนัด

    Source

     

    อ่านบทความอื่นๆ ต่อ

    ]]>
    1491309
    เปิดเส้นทาง 11 ปี ‘โอ้กะจู๋’ ขายผักจนได้ดี OR มาซื้อหุ้น พร้อมสยายปีกเข้าตลาดหลักทรัพย์ https://positioningmag.com/1491105 Fri, 20 Sep 2024 03:51:27 +0000 https://positioningmag.com/?p=1491105 จากข้อมูลของ Databridge Market Research เผยว่า ตลาดอาหารสุขภาพทั่วโลกมีมูลค่ากว่า 8.8 แสนล้านเหรียญฯ ในปี 2566 และมีการคาดการณ์ว่าจะโตเป็น 1.82 ล้านล้านดอลลาร์ ในปี 2574

    รวมถึง ข้อมูลจากงานวิจัยของ IMARC Group (2023) พบว่า แนวโน้มตลาดอาหารอนาคต หรืออาหารจากพืชทั่วโลกจะมีอัตราการเติบโต 12.11% ในช่วงปี 2566-2571 ซึ่งสอดคล้องกับเทรนด์อาหารในปัจจุบัน ที่ผู้คนทั่วโลกหันมาใส่ใจและบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพกันมากขึ้น 

    และหากจะพูดถึงร้านอาหารสุขภาพในไทย ‘โอ้กะจู๋’ จากบริษัท ปลูกผักเพราะรักแม่ เป็นหนึ่งในแบรนด์ที่หลายคนนึกถึง เพราะด้วยชื่อแบรนด์ที่แปลก และมีสาขาเยอะ ทำให้หาทานได้ง่าย และเป็นแบรนด์ที่ค่อนข้างมาแรงแห่งยุคแบรนด์หนึ่งเลยทีเดียว

    ที่มาที่ไปของโอ้กะจู๋ เริ่มต้นจาก “อู๋-ชลากร เอกชัยพัฒนกุล” กับ “โจ้-จิรายุทธ ภูวพูนพล” สองเพื่อนซี้ชาวเชียงใหม่ที่มีพื้นฐานครบครัวเป็นเกษตรกรและมีความสนใจในเรื่องการปลูกผักแบบผสมผสานเกษตรสมัยใหม่กับวิธีการเกษตรแบบดั้งเดิม จากการที่ได้ไปทัศนศึกษาที่คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในสมัยที่ยังเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลาย จนเกิดแรงบันดาลใจที่จะลงทุนทำธุรกิจเกี่ยวกับการเกษตรร่วมกัน  

    กระทั่งเรียนจบจากรั้วมหาวิทยาลัย ความสนใจและความฝันยังไม่จางหาย ผนวกกับเจอปัญหาเวลาไปซื้อผักที่ตลาดแล้วอยากได้ผักปลอดสารพิษมาทำทานในครอบครัว ซึ่งในสมัยนั้นผู้ผลิตผักปลอดสารในเชียงใหม่นั้นมีน้อยมาก ทำให้ทั้งคู่จับมือมาธุรกิจฟาร์มผักออแกนิกส์กันในปี 2553 บนพื้นที่เพาะปลูกของครอบครัวที่มีขนาด 1 ไร่เศษ ก่อนขยับขยายนำผักที่มีเยอะจนกินจนแจกไม่หมดไปส่งขายในตลาด 

    ขายผักจนได้ดี อัพสเกลเปิดร้านอาหาร

    แม้รายได้จากการปลูกผักส่งขายจะไม่ได้แย่ แต่ก็ประสบปัญหาคนไม่ค่อยซื้อ เพราะผักที่นำไปขายนั้นมีเศษดินเศษหญ้าที่คนที่รับซื้อบอกว่าดูแลยาก ทำให้ทั้งคู่กลับมาคิดหาทางออก ก่อนที่ในปี 2556 ได้ตกลงปลงใจเปิดเป็นร้านเล็กๆ ขึ้นมาในอำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ โดยใช้ชื่อว่า ‘โอ้กะจู๋’ ที่ผวนคำมาจาก อู๋กับโจ้ ที่เป็นชื่อของทั้งคู่นั่นเอง แม้ชื่ออาจจะดูทะลึ่งตึงตัง แต่ก็ทำให้คนทั่วไปจดจำได้อย่างดี พร้อมกับจัดตั้งบริษัท ปลูกผักเพราะรักแม่ จำกัด ขึ้น และก็ได้ “ต้อง-วรเดช สุชัยบุญศิริ” เข้ามาเป็นกำลังเสริมในการทำธุรกิจ 

    ซึ่งผลตอบรับที่ได้จากการเปิดร้านนั้นดีมาก จนขยายสาขาเพิ่มเป็นสาขาที่ 2 ในตัวเมืองเชียงใหม่ ย่านนิ่มซิตี้เดลี่ ทำให้ได้รับความนิยมขึ้นไปอีก จนมีลูกค้าจากต่างจังหวัด โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวกรุงเทพฯ มาใช้บริการบ่อย เกิดเป็นเสียงเรียกร้องให้ โอ้กะจู๋ มาตั้งรกรากเปิดสาขาที่กรุงเทพฯ บ้าง ทำให้ในปี 2560 โอ้กะจู๋ สาขาสยามสแควร์วัน ได้ถือกำเนิดขึ้นเป็นสาขาที่ 3 นั่นเอง

    และในปี 2561 – 2563 เวลาเพียง 3 ปี โอ้กะจู๋ มีสาขาเพิ่มรวมเป็น 13 สาขา ทั้งในกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมถึงการเปิดร้านในรูปแบบ Delivery เป็นครั้งแรก เนื่องจากเป็นช่วงโควิด-19 ที่มีมาตรการไม่ให้ลูกค้านั่งทานอาหารในร้าน ทำให้โอ้กะจู๋สามารถผ่านวิกฤตในครั้งนั้นมาได้ด้วยดี

    จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ OR มาซื้อหุ้น

    จนในปี 2564 ถือเป็นจุดเปลี่ยนและโอกาสครั้งใหญ่ของโอ้กะจู๋ เพราะ OR หรือ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) ได้เข้ามาลงทุนเป็นผู้ถือหุ้นในโอ้กะจู๋กว่า 20% เพราะ OR เองก็ต้องการกระจายความเสี่ยงจากธุรกิจน้ำมัน ในการลงทุนกับธุรกิจค้าปลีก และไลฟ์สไตล์มากขึ้น 

    การได้เข้าไปอยู่ในครอบครัว OR ก็ทำให้โอ้กะจู๋ได้ขยายกิจการเข้าไปเปิดร้านใน PTT Station และมีจำนวนสาขาทั้งหมด 16 สาขา ก่อนที่ในปี 2565 โอ้กะจู๋ได้ขยายธุรกิจโดยการพัฒนาสินค้าเพื่อนำเข้าไปจัดจำหน่ายใน Cafe Amazon อีก 7 สาขา รวมเป็น 23 สาขา 

    และในปี 2566 ขยายร้านไปยังภาคตะวันออกในพัทยา ชลบุรี และระยอง ทำให้มีสาขาในประเทศรวมกันทั้งหมด 33 สาขา พร้อมตั้งเป้าขยายสาขาไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตามจังหวัดและหัวเมืองที่สำคัญ ภายในปี 2567 และตั้งเป้าให้โอ้กะจู๋มีสาขาครบ 67 สาขา ครอบคลุมทั่วประเทศภายในปี 2571 

    และหากมาดูรายได้รวมและกำไรสุทธิของบริษัทคร่าวๆ 5 ปีย้อนหลัง โดย

    • ปี 2562 รายได้ 643,046,569 บาท มีกำไรสุทธิ 79,831,262 บาท
    • ปี 2563 รายได้ 836,802,908 บาท มีกำไรสุทธิ 33,088,223 บาท
    • ปี 2564 รายได้ 803,016,024 บาท มีกำไรสุทธิ -83,379,787 บาท
    • ปี 2565 รายได้ 1,214,905,550 บาท มีกำไรสุทธิ 38,317,764 บาท
    • ปี 2566 รายได้ 1,716,847,079 บาท มีกำไรสุทธิ 140,647,983 บาท

    ปัจจุบันรายได้หลักมาจากธุรกิจร้านโอ้กะจู๋กว่า 98% โดยมียอดใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนต่อครั้งอยู่ที่ 450 บาท โดยเป็นรายได้ที่มาจากฐานสมาชิกของร้านกว่า 25% จากปี 2566 ที่มีฐานสมาชิก 20% เฉลี่ยยอดใช้จ่ายต่อคนต่อปีอยู่ที่ 13,000 บาท 

    สำหรับผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกปี 2567 บริษัทฯ มีรายได้รวม 1,110.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 42.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 778.0 ล้านบาท ขณะที่มีกำไรสุทธิ 102.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 73.9 ล้านบาท 

    นอกจากนั้น โอ้กะจู๋ ยังมีการแตกแบรนด์ออกมาเพิ่มอีก 2 แบรนด์ในปีนี้ คือ Ohkajhu Wrap & Roll ธุรกิจอาหารพร้อมทาน (Grab&Go) ที่มีอยู่ด้วยกัน 1 สาขาถ้วน และ Oh! Juice ธุรกิจน้ำผักผลไม้เพื่อสุขภาพ ที่มีถึง 6 สาขา เรียกได้ว่าบริษัทฯ มีอัตราการขยายตัวของธุรกิจค่อนข้างไว

    ตลาดเชนร้านสลัดในไทยก็ร้อนระอุไม่แพ้ตลาดอื่นๆ เพราะด้วยเทรนด์ดูแลสุขภาพ คนไทยนิยมทานอาหารที่มีประโยชน์มากขึ้น ทำให้แบรนด์สลัดเป็นที่นิยม โดยที่มีผู้เล่นใหญ่อีก 2 รายด้วยกัน อย่าง โจนส์สลัด (บริษัท โจนส์สลัด จำกัด) ที่ก่อตั้งเมื่อปี 2556 ปัจจุบันมี 34 สาขา และมีการแตกแบรนด์เพิ่ม 2 แบรนด์คือ ผงสลัดชงดื่ม และ สมุนตุ๋น ร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อตุ๋น ที่มีอยู่ด้วยกัน 1 สาขา และ สลัด แฟคตอรี่ (บริษัท กรีน ฟู้ด แฟคทอรี่ จำกัด) ที่ก่อตั้งเมื่อปี 2556 ปัจจุบันมีสาขาอยู่ 38 สาขาในพื้นที่กรุงเทพฯ รวมถึงมีการแตกไลน์แบรนด์ ชาดา เครื่องดื่มสมุนไพรจากใบเชียงดา มาเพิ่มเติม

    สยายปีกเข้าตลาดฯ รองรับการเติบโต

    จุดแข็งของโอ้กะจู๋ คือการคิดค้นและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย รวมถึงการพัฒนาสูตรอาหาร และเครื่องดื่ม โดยร่วมกับฝ่ายการตลาดที่ศึกษาพฤติกรรม ความต้องการ และกระแสนิยมของผู้บริโภค ทำให้บริษัทฯ สามารถออกเมนูใหม่ๆ ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่หลากหลาย และแตกต่างจากอาหารเพื่อสุขภาพทั่วไป และแม้จะส่งผลให้มีรายได้เพิ่มขึ้น ทั้งการเติบโตของยอดขายจากสาขาเดิม และยอดขายจากสาขาที่เปิดเพิ่มเติม 

    แต่บริษัทฯ ก็ยังมีความต้องการในการขยายขีดจำกัดในการเติบโต ทำให้ล่าสุด ประกาศตัวว่ากำลังจะ IPO หรือพาบริษัท ปลูกผักเพราะรักแม่ จำกัด เข้าตลาดหลักทรัพย์ กลายเป็นบริษัทมหาชน กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญแก่ประชาชนทั่วไปที่ราคา 6.70 บาทต่อหุ้น คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (P/E) 24.13 เท่า

    ซึ่งเมื่อพิจารณาผลกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ในช่วง 12 เดือนย้อนหลัง ราคา 6.70 บาทต่อหุ้น ก็ถือเป็นราคาที่เหมาะสมที่สะท้อนพื้นฐานและศักยภาพการเติบโตของบริษัทฯ โดยเตรียมเปิดให้นักลงทุนจองซื้อหุ้น IPO ในวันที่ 23 – 25 กันยายน 2567 โดยคาดว่าจะนำหุ้นเข้าจดทะเบียนและซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ภายในเดือนตุลาคมนี้ 

    โดยภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ บริษัทฯ จะนำเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้น IPO ไปใช้ขยายสาขา สร้างครัวกลางแห่งใหม่ เพิ่มศักยภาพการดำเนินธุรกิจ และต่อยอดการเป็นพันธมิตรกับ OR ก็ได้ส่งบริษัทลูกอย่าง บริษัท มอดูลัส เวนเจอร์ จำกัด (Modulus) มาทำสัญญาซื้อขายหุ้น เพื่อรักษาสัดส่วนการถือหุ้นที่ 20% เอาไว้ และคาดว่า ผู้บริโภคอาจจะได้เห็นความร่วมมือในการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ อาหารเพื่อสุขภาพ หรือเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่เหมาะสม และตรงกับกลุ่มเป้าหมายเพื่อวางจำหน่ายในร้าน Café Amazon ต่อไปในอนาคต

    ]]>
    1491105
    สรุปบทสัมภาษณ์ ‘Wang Ning’ ผู้ก่อตั้ง ‘POP MART’ ที่มีวันนี้ได้เพราะเชื่อในพลัง ‘ออฟไลน์’ https://positioningmag.com/1490835 Thu, 19 Sep 2024 03:21:10 +0000 https://positioningmag.com/?p=1490835 เชื่อว่าตอนนี้คงไม่มีใครไม่รู้จัก POP MART เพราะจากกระแส ลาบูบู้ ที่ทำให้ทุกวันนี้หน้าร้านทุกสาขาก็ยังมีคนยินดีไปเฝ้า เพื่อให้ได้จับจองเป็นเจ้าของ แต่อะไรที่ทำให้ POP MART ประสบความสำเร็จ ทาง Wang Ning ผู้ก่อตั้งก็ได้มาเปิดเผยถึงแนวคิดการทำธุรกิจในตอนนี้ที่มาเปิดสาขาใหม่ในไทย

    เพราะทำให้ผู้ใหญ่ สนุกกับการซื้อของเล่นอีกครั้ง

    POP MART ถือกำเนิดตั้งแต่ปี 2010 จากการเป็น ร้านขายสินค้าไลฟ์สไตล์ จนมาปี 2014 ที่ Wang Ning (หวัง หนิง) ตกผลึกถึงสินค้าขายดีในร้านก็คือ อาร์ตทอย (Art Toys) โดย Wang Ning มองว่า เขาโชคดีที่ ค้นพบและเข้าถึงความต้องการที่มหาศาลซึ่งแต่เดิมถูกละเลย ซึ่งปัจจุบันกลุ่มลูกค้าหลักของ POP MART คือ วัยรุ่นอายุ 18-35 ปี

    “เราได้เปิดโอกาสให้ผู้ใหญ่ค้นพบความสนุกสนานในการซื้อของเล่นอีกครั้ง สินค้าเราไม่เพียงแต่ตอบสนองความต้องการและความรู้สึกของตัวลูกค้าเท่านั้น แต่สินค้าของเรายังทำให้เกิดคอมมูนิตี้ ซึ่งตอนนี้ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตไปแล้ว”

    ยึดความคิดบริษัทที่ช้า และเชื่อมั่นในออฟไลน์

    สำหรับแนวทางในการทำธุรกิจ Wang Ning เล่าว่า เขายึดมั่นในแนวคิด บริษัทที่โตช้าแต่มั่นคง แม้ว่าภายนอกดูเหมือนว่า POP MART จะเติบโตอย่างรวดเร็วทุกปีก็ตาม โดยเขาอธิบายว่า ในช่วงเริ่มต้นธุรกิจเป็นยุคของ อีคอมเมิร์ซ แต่เพราะ POP MART ต้องการจะ สร้างแบรนด์ ทำให้เขาจึงเลือกเดินในเส้นทางที่ยากอย่าง ออฟไลน์ มากกว่า แม้ในตอนนั้นจะดูเสี่ยงก็ตาม ดังนั้น อาจจะดูเชื่องช้า แต่ Wang Ning มองว่า เขาเลือกจะ เชื่อสัญชาตญาณตัวเอง มากกว่าจะเดินตามเทรนด์หรือสิ่งล่อใจอื่น ๆ

    “เพราะเราเลือกที่จะเดินไปตามทางที่เราเชื่อ ทำให้เราโดดเด่นขึ้นในตลาดที่มีการแข่งขันสูง เช่นเดียวกันกับในตลาดต่างประเทศ POP MART ยังคงยึดมั่นในการทำตลาดออฟไลน์ แม้จะดูช้า แต่มันคือกุญแจสู่ความสำเร็จ”

    ความท้าทายคือ สร้างสมดุลของศิลปะและธุรกิจ

    หน้าที่ของ POP MART คือการ ค้นหาและพัฒนา IP ผลงานที่ยอดเยี่ยมจากศิลปิน เปลี่ยนจากการบริโภคเฉพาะกลุ่มให้กลายเป็นของเล่นที่เป็นกระแสในวงกว้าง โดยทำให้ ผลงานศิลปะกลายเป็นกระแสและผลิตจำนวนมาก ซึ่งความสำคัญคือ สมดุล ในการทำให้ผลงานศิลปะเฉพาะกลุ่มมีมาตรฐานและกลายเป็นสินค้าบริโภคที่เป็นที่นิยมมากขึ้น

    ดังนั้น ความท้าทายของ POP MART ทาง Wang Ning มองว่า คือการ สร้างสมดุลระหว่างศิลปะและธุรกิจ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะทั้งสองอย่างนี้มีลักษณะที่ขัดแย้งกัน ศิลปะเป็นสิ่งที่มีอารมณ์และมุ่งเน้นความเป็นเอกลักษณ์ ในขณะที่ธุรกิจเป็นสิ่งที่มีเหตุผลและมุ่งเน้นความเป็นสากล นี่จึงเป็นความท้าทายสำคัญของ POP MART เพราะการเติบโตที่รวดเร็ว และมีแนวโน้มว่ากระแสจะไปสู่ตลาดโลก

    “ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา เราได้รวบรวมศิลปินที่มีความสามารถจากทั่วโลกจำนวนมาก สะสมประสบการณ์ในการดำเนินงานอย่างครบถ้วน และสร้างทีมงานที่มีความยอดเยี่ยมเป็นอย่างยิ่ง ทำให้มีผู้คนจำนวนมากขึ้นหลงใหลในของเล่นสุดฮิต และชื่นชอบ IP ของเรา”

    คาซิง ลุง (Kasing Lung) ศิลปินเจ้าของผลงาน Labubu

    ต้องมี IP สากล มีแค่งานจากศิลปินไม่ได้

    อย่างไรก็ตาม Wang Ning ยอมรับว่า ไม่ใช่ผู้บริโภคทุกคนที่จะรู้จักผลงานของศิลปิน ดังนั้น การทำงานร่วมกับ IP ระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น Disney, Marvel หรือ Harry Potter จึงเป็นอีกส่วนสำคัญที่จะดึงให้ผู้บริโภคเข้ามาทำความรู้จักกับ POP MART และได้รู้จักกับผลงานของศิลปิน

    ดังนั้น IP ที่มีลิขสิทธิ์ใหญ่มีผลต่อแฟน ๆ ที่เพิ่งเริ่มรู้จัก POP Mart แน่นอน แต่ IP หลักของธุรกิจยังคงเป็นผลงานของศิลปิน

    “แน่นอนว่าลูกค้าบางกลุ่มที่เห็นผลงานของศิลปิน และมองว่ามันน่ารักก็จะซื้อทันที แต่ก็จะมีลูกค้าที่ต้องใช้ IP ที่เขารู้จักเพื่อดึงดูดให้เข้า POP MART”

    เริ่มมองหาศิลปินในประเทศที่จะทำตลาด

    สำหรับแนวทางการคัดเลือก ศิลปิน ที่จะมาต่อยอดเป็นสินค้า Wang Ning มองว่า ต้องมี แนวคิดการออกแบบและธีมการแสดงออกที่ชัดเจน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากที่ทำให้ IP ของศิลปินได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น MOLLY, LABUBU หรือ SKULL PANDA ที่ศิลปินออกแบบโดยมีจุดประสงค์เพื่อช่วยให้ผู้คนยอมรับตัวเอง เปิดใจรับรู้ถึงความอบอุ่นจากผู้คน สถานการณ์ และสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัว

    อย่างไรก็ตาม ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา POP MART พยายามจะหา ศิลปินท้องถิ่นจากประเทศต่าง ๆ เพื่อช่วยศิลปินเหล่านี้พัฒนา IP ของตัวเองจนเป็นที่นิยมทั้งในประเทศตัวเอง และตลาดโลก อย่างในไทยก็มี CRYBABY ที่ออกแบบโดยศิลปินชาวไทย หรืออย่าง Peach Riot ที่ออกแบบโดยศิลปินชาวอเมริกัน ซึ่งก็ได้รับการตอบรับดีมากในตลาดสหรัฐฯ

    มุ่งสู่ระดับโลก

    ในปี 2023 ที่ผ่านมา POP MART มีรายได้รวม 6.3 หมื่นล้านหยวน โตขึ้น 36.5% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว และมี กำไรสุทธิ ที่ 1.19 หมื่นล้านหยวน เพิ่มขึ้น 107.6% โดยทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ทั้งรายได้และกำไรสุทธิ ส่วนปีนี้มั่นใจว่าจะยังเติบโต เพราะ POP MART มุ่งมั่นในการวางแผนที่จะก้าวไปสู่แบรนด์ระดับโลก และเป็นวัฒนธรรมความบันเทิงกระแสหลักของโลก

    ดังนั้น POP MART จะยังคงขยายสาขาเพื่อเข้าถึงตลาดทั่วโลกต่อไป โดยปัจจุบัน ตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นตลาดที่เติบโตเร็วที่สุด ของ POP MART และกำลังมีแผนจะขยายไปยังอินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ในอนาคต ส่วนตลาด ไทย ยังคงเป็นตลาดที่สำคัญมาก เพราะสินค้าหลายอย่างมักจะขายหมดเสมอ อย่างยอดขายของสาขาที่ 6 ที่เพิ่งเปิดก็สามารถทำยอด ทะลุ 10 ล้านหยวนในวันแรก

    Globalization ไม่เพียงแต่จะทำให้แบรนด์และผลิตภัณฑ์ของเราไปสู่โลก แต่ยังสามารถช่วยสนับสนุนตลาดในประเทศและผลักดันการพัฒนาแบรนด์ในประเทศให้ก้าวหน้าอีกด้วย”

    เชื่ออาร์ตทอยยังไปได้ไกล เพราะศิลปะเป็นสากล

    สุดท้าย Wang Ning เชื่อว่า อาร์ตทอยจะเป็นที่นิยมไปทั่วโลก ไม่ใช่แค่กระแส เพราะมองว่าศิลปะมีความเป็น สากล และ นำความสุขมาสู่ผู้คน นอกจากนี้ ของเล่นเองก็เป็นสิ่งที่ก้าวข้ามวัฒนธรรมและภูมิภาค ดังนั้นในอนาคต อาร์ตทอยจะยิ่งได้รับความนิยมในระดับโลกมากขึ้น และยังมีพื้นที่ในการพัฒนาอีกมาก

    “เรามีศิลปินที่ร่วมงานมาจากทั่วทุกมุมโลก เรายังได้ร่วมมือกับแบรนด์ที่มีชื่อเสียง ซึ่งการร่วมมือเหล่านี้ช่วยให้เราสามารถเข้าถึงวัฒนธรรมในภูมิภาคต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว และมีความเป็นสากล ในขณะเดียวกัน เรายังให้ความสำคัญกับการดำเนินงานในท้องถิ่นอย่างมาก ซึ่งกลยุทธ์การทำตลาดนี้ทำให้เราสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในประเทศและภูมิภาคต่าง ๆ ได้ดียิ่งขึ้น”

    ]]>
    1490835
    ลิซ่าเอฟเฟกต์! ดันยอดขาย “เดนทิสเต้” โต 100% ฉีกภาพยาสีฟันคู่รัก สู่ Global Brand https://positioningmag.com/1489906 Thu, 12 Sep 2024 14:24:09 +0000 https://positioningmag.com/?p=1489906 หากพูดถึง ลิซ่า-แบล็กพิงก์ (Lisa-BLACKPINK) หรือ ลลิษา มโนบาล แร็ปเปอร์ นักร้อง และนักเต้นสาวชาวไทย หนึ่งในสมาชิกของเกิร์ลกรุ๊ปเกาหลีอย่าง BLACKPINK (แบล็กพิงก์) ภายใต้สังกัด YG Entertrainment แล้วล่ะก็ เรียกว่าเป็นบุคคลที่ได้รับความนิยม จากทั้งคนไทยชาวต่างชาติเป็นอย่างมาก 

    ซึ่งในประเทศไทยที่หลายกระแสนั่นได้รับอิทธิพลมาจากลิซ่า ไม่ว่าจะกระแสลูกชิ้นยืนกิน กระแสยาดมหงส์ไทย กระแสโรตีสายไหม กระแสใส่ผ้าซิ่นเที่ยวอยุธยา รวมถึงกระแสอาร์ตทอยอย่าง ลาบูบู้ ที่ได้รับความนิยมขึ้นเป็นเท่าตัว หลังลิซ่าถือถ่ายรูปลงอินสตาแกรมของเธอ รวมถึงการเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ให้กับแบรนด์ระดับโลกทำให้สินค้าขายดีเป็นเทน้ำเทท่า เรียกว่าไม่ว่าจะพูดหรือหยิบจับอะไรก็เป็นเงินเป็นทองไปหมด 

    ย้อนรอย Lisa X Dentiste’ 

    ด้วยความดังเปรี้ยงปร้าง ทำให้ลิซ่าเนื้อหอมมากจนแบรนด์ต่างๆ พากันดีลทำสัญญา โดยเฉพาะแบรนด์ดังระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น BVLGARI ในฐานะของการเป็น Global Brand Ambassador ในแคมเปญโฆษณาเครื่องประดับคอลเลกชั่น Magnifica ของ BVLGARI แบรนด์เครื่องประดับชื่อดังระดับโลก ลิซ่ายังสามารถสร้างเอ็นเกจเมนต์ได้มากถึง 10% จากฐานของคนติดตามทั้งหมด ซึ่งหาได้ยากมากในหมู่ของคนดังที่มีผู้ติดตามจำนวนมาก 

    ตามมาด้วย CELINE แบรนด์แฟชั่น Luxury ระดับโลก ที่หลังจากลิซ่าได้เข้าร่วมชมแฟชั่นโชว์ในตำแหน่ง Front Row อยู่บ่อยครั้ง รวมไปถึงการไปร่วมถ่ายแบบแคมเปญแฟชั่นของแบรนด์อยู่บ่อยๆ ทำให้หลายๆ ไอเท็มจาก CELINE ที่ลิซ่าสวมใส่กลายเป็นกระแสที่หลายๆ คนตามหา จนเกิดปรากฏการณ์ Sold out ในทุกช็อปจากทั่วโลก สู่การที่ CELINE เป็น Global Brand Ambassador คนใหม่ให้กับแบรนด์อย่างเป็นทางการ ทำให้มูลค่าแบรนด์ของ CELINE มีมูลค่าเพิ่มขึ้น 118% เป็น 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐเมื่อปี 2021 และกลายเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่มีการเติบโตรวดเร็วมากที่สุดในเครือ LVMH รวมทั้งล่าสุดแบรนด์แฟชั่นสุดหรูเบอร์ต้นๆ ของโลกอย่าง Louis Vuitton ได้ประกาศแต่งตั้งลิซ่า ขึ้นแท่นเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ระดับโลกเป็นที่เรียบร้อย

    ส่วนในประเทศไทยเอง ก็มีหลายแบรนด์รุมจีบลิซ่าไม่น้อยเช่นกัน เพราะถ้าย้อนไปเมื่อปี 2019 ลิซ่า ได้เป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับ AIS โดยถือเป็นแบรนด์แรกในไทยที่คว้าตัวลิซ่ามาเป็นพรีเซ็นเตอร์ได้สำเร็จ จากนั้นในปี 2023 ลิซ่าก็ไม่ได้ต่อสัญญา เนื่องจากค่าย YG ปฏิเสธการต่อสัญญา และไปดีลกับบริษัทที่มี Conflict of interest 

    ต่อมาในต้นปี 2023 TrueID (ทรู ไอดี) แพลตฟอร์มคอนเทนต์ในเครือทรูฯ ได้ประกาศคว้าลิซ่าเป็นพรีเซ็นเตอร์ พร้อมกับทรูมันนี่ (True Money) ที่ยังไม่เคยมีพรีเซ็นเตอร์ของแบรนด์อย่างจริงจัง ก็ได้เลือกจะทุ่มเงินดึงลิซ่ามาเป็นพรีเซ็นเตอร์ เพื่อสร้างการรับรู้ในวงกว้างมากขึ้น 

    อีกหนึ่งแบรนด์ที่สร้างเสียงฮือฮาไม่น้อยก็คือ Dentiste’ (เดนทิสเต้) เพราะเป็นแบรนด์ FMCG ที่สามารถดึงลิซ่ามาเป็นพรีเซ็นเตอร์ได้ เดนทิสเต้ เป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปากสัญชาติไทย ภายใต้บริษัท สยามเฮลท์ กรุ๊ป จำกัด หรือเรียกง่ายๆ ว่าเป็นแบรนด์พี่น้องของ Smooth E ที่อยู่ในเครือเดียวกัน ซึ่งก่อตั้งโดย ดร.แสงสุข พิทยานุกุล เภสัชกรที่มีหลายบทบาท ทั้งอาจารย์ และนักธุรกิจ โดยที่ปัจจุบันมีทายาทรุ่น 2 เข้ามาช่วยดูแลบริหารงาน

    ปัจจุบันเดนทิสเต้ทำตลาดมาได้ 18 ปี แรกเริ่มเดิมทีเดนทิสเต้ว่าจุดยืนเป็นยาสีฟันระดับพรีเมียม ที่ในยุคนั้นยังไม่มีผู้เล่นชัดเจนในเซ็กเมนต์นี้ แล้วชูจุดขายด้วยการเป็น “ยาสีฟันคู่รักยาสีฟันก่อนนอน เพราะพฤติกรรมคนไทยในตอนนั้นไม่ค่อยแปรงฟันก่อนนอน เพราะคิดว่าไม่ต้องพูดคุยกับใครแล้ว ซึ่งเป็นบ่อเกิดทำให้ฟันผุได้

    (ซ้ายมือ) คุณศิวกร พิทยานุกุล (กลาง) คุณศุภาพิชญ์ พิทยานุกุล และ (ขวามือ) ดร.แสงสุข พิทยานุกุล ทีมผู้บริหารบริษัท สยามเฮลท์ กรุ๊ป จำกัด

    เดนทิสเต้จึงสื่อสารผ่าน Healthy Relationship เน้นความสัมพันธ์ของคู่รักเป็นหลัก สื่อว่าใช้ยาสีฟันเดนทิสเต้แล้วตื่นเช้ามาไม่มีกลิ่นปาก แสดงความรักด้วยการจุ๊บกันในตอนเช้าได้ พร้อมใช้คู่รักเบอร์ต้นๆ ของไทยมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ ได้แก่ เคน-ธีรเดช กับ หน่อย-บุษกร, พอลล่า-เทเลอร์ กับ เอ็ดเวิร์ด-อดีตสามีนักธุรกิจ, ชมพู่-อารยา กับ น็อต-วิศรุต รวมถึง หมาก-ปริญ กับ คิมเบอร์ลี่ 

    เดนทิสเต้จึงมีภาพชันเจนในเรื่องยาสีฟันคู่รักไปโดยปริยาย ทำให้กลุ่มเป้าหมายก็เป็นกลุ่มคู่รัก และกลุ่มผู้ใหญ่ที่มีกำลังซื้อหน่อย เพราะมีราคาค่อนข้างสูง แต่แล้วในช่วงหลายปีที่ผ่านมาโจทย์ใหญ่ของเดนทิสเต้ได้เปลี่ยนไป ต้องการขยายฐานกลุ่มลูกค้าใหญ่ขึ้น และเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เด็กลง พร้อมการเปลี่ยนพฤติกรรมคนไทยให้หันมา “แปรงแห้ง” มากขึ้น จึงทำให้การสื่อสารเปลี่ยนสู่ Best Moment ทำให้สื่อสารได้กว้างขึ้น ยิ่งใหญ่ขึ้น สามารถสื่อสารได้หลายกลุ่ม คู่รัก เพื่อน หรือตัวเองก็ได้

    ในปี 2564 เดนทิสเต้จึงเลือกลิซ่าเป็นพรีเซ็นเตอร์ เพื่อสื่อสารกับคนรุ่นใหม่ และชูโปรดักส์ตัวใหม่ DENTISTE’ Anticavity Max Fluoride เป็นยาสีฟันที่เป็นนวัตกรรมการแปรงฟันแห้ง ถือว่าเป็นการเคลือบฟลูออไรด์ที่ดีที่สุด รวมทั้งการได้ลิซ่ามา เป็นการปูทางสู่ Global Brand ในอนาคตด้วย

    แบรนด์ดิ้งชัด ดันยอดขายโต 100% 

    ผลจากลิซ่าเอฟเฟกต์ทำให้เดสทิสเต้ทลายโจทย์ใหญ่ของตัวเองหลายข้อ ทั้งเรื่องยอดขาย ขยายฐานลูกค้า สร้างการรับรู้ และการตีตลาดต่างประเทศ ปีนี้เดนทิสเต้จึงต่อสัญญาลิซ่าเป็นปีที่ 3 เพราะสัญญาเป็นการต่อปีต่อปี ซึ่งการวัดผลที่เห็นชัดที่สุดหลังจากที่ลิซ่าขึ้นเป็นพรีเซ็นเตอร์ ทำให้เดสทิสเต้มีมูลค่าแบรนด์เพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าตัว และยอดขายเพิ่มขึ้น 50-100% และสิ่งที่ได้ทางอ้อมก็คือ “ทำดีก็มีคนก๊อป” ในตอนนั้นมีผู้เล่นเจ้าใหม่ในตลาดยาสีฟัน จากเดิมมีราวๆ 10 ราย ตอนนี้เพิ่มขึ้นเป็น 50-60 ราย

    ถ้าถามว่าสิ่งที่ได้มากที่สุดจากการที่ได้ลิซ่าเป็นพรีเซ็นเตอร์คืออะไร ดร.แสงสุข บอกว่า “แบรนด์ดิ้ง” ภาพลักษณ์แบรนด์ชัดเจนขึ้น เป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพราะช่วยเข้าถึงคนกลุ่มใหม่ๆ ได้ และเข้าถึงชาวต่างชาติ ตอนนี้เดนทิสเต้กลายเป็นสินค้าที่นักท่องเที่ยวซื้อกลับไปเยอะมาก ส่วนหนึ่งเรื่องเรื่องของสมุนไพรไทยที่เป็น Soft Power ไปทั่วโลก และลิซ่าก็ทำให้ภาพโกลบอลแบรนด์ชัดขึ้นด้วย

    สำหรับตลาดผลิตภัณฑ์สำหรับดูแลช่องปาก หรือ ออรัลแคร์ ปี 2566 มีมูลค่า 20,000 ล้านบาท เติบโต 5% ตลาดนี้จะรวมทั้งยาสีฟัน แปรงสีฟัน น้ำยาบ้วนปาก และไหมขัดฟัน ส่วนตลาดยาสีฟันมีมูลค่า 10,000 ล้านบาท เติบโต 5% 

    ปัจจุบัน บริษัท สยามเฮลท์ กรุ๊ป จำกัด มีธุรกิจในเครือแบ่งเป็น 5 กลุ่มด้วยกัน ได้แก่ สมูท อี (Smooth-E) มีสัดส่วนรายได้ 40%, เดนทิสเต้ มีสัดส่วนรายได้ 40%, Smooth Life ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม, ร้านขายยา P&F Smooth Life และโรงงานยาสยามเมดิแคร์ 

    ภาพรวมรายได้ของบริษัท สยามเฮลท์ กรุ๊ป จำกัด 

    • ปี 2561 รายได้ 2,377 ล้านบาท (กำไร 118 ล้านบาท) 
    • ปี 2562 รายได้ 2,679 ล้านบาท (กำไร 130 ล้านบาท) 
    • ปี 2563 รายได้ 2,037 ล้านบาท (กำไร 84 ล้านบาท) 
    • ปี 2564 รายได้ 2,398 ล้านบาท (กำไร 73 ล้านบาท)
    • ปี 2565 รายได้ 2,414 ล้านบาท (กำไร 74 ล้านบาท) 
    • ปี 2566 รายได้ 2,255 ล้านบาท (กำไร 65 ล้านบาท) 

    สำหรับปี 2567 ดร.แสงสุขตั้งเป้าภาพรวมรายได้ของสยามเฮลท์ กรุ๊ปที่ 3,000-4,000 ล้านบาท ตั้งเป้าเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดให้เดนทิสเต้ 3% และขยายตลาดการส่งออก

    ]]>
    1489906
    ย้อนรอยอินฟลูเกาหลีผู้ตกด้อมไทยสายเปย์ ตั้งแต่ “คิวเทอปป้า-พี่จอง คัลแลน” จนถึง “กามิน” https://positioningmag.com/1489630 Wed, 11 Sep 2024 07:27:01 +0000 https://positioningmag.com/?p=1489630 ในหลายปีมานี้เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทและอิทธิพลกับผู้คนมากขึ้น โดยเฉพาะช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เห็นได้ว่าเกิดอาชีพออนไลน์ขึ้นมามากมาย โดยเฉพาะยูทูบเบอร์ อินฟลูเอนเซอร์ หรือบล็อกเกอร์สายต่างๆ ซึ่งไม่ว่าคุณจะเป็นใคร มาจากไหน ก็สามารถทำอาชีพเหล่านี้ได้ และเมื่อกลายเป็นที่รู้จักในวงกว้าง ก็จะกลายเป็นคนที่ทรงอิทธิพลต่อคนหมู่มากบนโลกโซเชียลมีเดียได้เช่นกัน

    ยุคเฟื้องฟูของอินฟลูต่างชาติ

    ในประเทศไทยเอง การเป็นคอนเทนต์ ครีเอเตอร์ได้กลายเป็นอีกหนึ่งอาชีพยอดนิยมไปแล้ว เพราะสามารถสร้างทั้งชื่อเสียง และรายได้ในคราวเดียว เป็นใบเบิกทางสู่การทำธุรกิจได้อีกด้วย บางคนยังก้าวไปอีกขั้นสู่การเป็นอินฟลูเอนเซอร์ 

    ข้อมูลจาก Tellscore พบว่า ประเทศไทยคาดว่ามีคอนเทนต์ ครีเอเตอร์มากถึง 9 ล้านคน ครอบคลุมตั้งแต่ในระดับ Nano – Macro – Mega Creator ทั้งที่เป็น Full-time และ Part time ซึ่งสอดคล้องกับพฤติกรรมการใช้โซเชียลมีเดียและการใช้เวลาท่องโลกออนไลน์ของคนไทยที่มีอัตราสูงในอันดับต้นๆ ของโลก โดยจากข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) พบว่าประชากรไทยมีการอัตราการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตอยู่ที่ประมาณ 89.5% และมีช่องทางโซเชียลมีเดียมากถึง 50 ล้านคน คิดเป็น 71.5% ของประชากรทั้งหมด 

    แน่นอนว่าการเป็นครีเอเตอร์ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ได้ยากเกินไปสำหรับคนรุ่นใหม่ที่เติบโตมากับเทคโนโลยี ซึ่งการที่แต่ละคนมีคาแรกเตอร์ที่ชัดเจนยิ่งทำให้เกิดการจดจำมากขึ้น นำไปสู่การหารายได้เป้นกอบเป็นกำ

    อย่างในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเราได้เห็นกระแสความนิยมของอิฟลูเอนเซอร์ หรือครีเอเตอร์เกาหลีจำนวนมาก หลายคนประสบความสำเร็จในไทย มีรายได้มหาศาล หนึ่งสิ่งที่อธิบายความนิยมของคนไทยได้มากที่สุดคือ “ความเอ็นดู” คนไทยหลายคนรู้สึกปลื้มใจที่เห็นชาวต่างชาติหัดพูดภาษาไทย แม้จะทำกิจกรรมเงอะๆ งะๆ ก็ยังมองว่าน่ารักอยู่ดี ซึ่งลองนึกภาพว่าถ้าเป็นครีเอเตอร์คนไทยทำกิจกรรมเดียวกัน คงให้ความสนใจต่างกัน

    ครีเอเตอร์เกาหลีจึงเบ่งบานในไทยมากขึ้นเรื่อยๆ ไล่เรียงจาก “คิวเท” ยูทูบเบอร์ชาวเกาหลีเบอร์ต้นๆ ที่คนไทยรู้จัก เจ้าของช่อง Kyutae Oppa คิวเทเป็นชาวเกาหลีแท้ๆ ที่เกิด และเติบโตในไทย คิวเทเริ่มทำคลิปวิดีโอแรกตั้งแต่สมัยยังเรียนอยู่ ม. 6 เป็นคลิป “เกาหลีเต้นสายย่อ” และแจ้งเกิดได้จากคลิป “เกาหลีดูหนังผีไทยคนเดียว” ซึ่งเป็นการรีแอคชั่นขณะดูภาพยนตร์ “ชัตเตอร์กดติดวิญญาณ”

    เพียงชั่วระยะเวลา 3 ปีเศษๆ ช่องยูทูบของเขา ก็สามารถมียอดผู้ติดตามสูงถึงเกือบ 8 ล้านคน บวกกับยอดผู้ติดตามในเฟซบุ๊ก อีกกว่า 1 ล้านคน มาพร้อมกับงานโฆษณา งานรีวิวสินค้า แถมปีก่อนยังได้เปิดร้าน SPACE ZOO ร้านไก่ทอดเกาหลี เป็นการร่วมทุนกับ “เบียร์ ใบหยก” อีกด้วย

    ในตอนนี้ต้องยกให้เป็นปีทองของ “พี่จอง คัลแลน” สร้างปรากฏการณ์ “ใจฟู” ดังไปทั่วประเทศ คู่หูดูโอจากช่อง Cullen HateBerry ที่ทำคลิปเกี่ยวกับการท่องเที่ยวในประเทศไทย เป็นการเที่ยวในที่แปลกๆ ที่คนไทยบางคนยังไม่เคยไปด้วยซ้ำ เป็นการท่องเที่ยวสไตล์ง่ายๆ เจอร้านอาหารข้างทางก็แวะ เจอน้องหมาน้องแมวก็ให้ขนม ในคลิปมีการพูดภาษาไทยกันตลอด แม้ทั้งคู่จะเป็นชาวเกาหลีด้วยกัน พูดผิดๆ ถูกๆ แต่ก็สร้างความเอ็นดูให้กับด้อมไทย เกิดกระแสไวรัลไปทั่ว

    ส่งผลให้พี่จอง คัลแลน มีงานพรีเซ็นเตอร์เข้ามากมาย ทั้ง AIS, Samsung, La Roche Posay (ครีมกันแดด), Jerhigh (อาหารสุนัข) และ M-150 รวมไปถึงหลายแบรนด์จ้องที่จะร่วมงานในการส่งสินค้าไปไทอินในคลิป หรือส่งสินค้าไปรีวิว แต่ทางช่องมีการคัดเลือกที่เข้มงวด เนื่องจากไม่อยากให้กระทบเนื้อหา จึงไม่ได้รับงานรีวิวเท่าไหร่นัก  

    รวมไปถึง “พี่ฮง” ​​เจ้าของยูทูบช่อง Oppa Hong หนุ่มเกาหลีอารมณ์ดี ที่ล่าสุดหลายคนก็เชียร์กับกระแสจิ้นกับน้องรถไถ ก็เป็นหนึ่งในอินฟลูเกาหลีที่คนไทยให้ความสนใจด้วยเช่นกัน 

    มหากาพย์ “กามิน” สาวเกาหลีสะเทือนวงการอินฟลู

    นอกจากเหล่าอปป้าเกาหลีที่บรรดาด้อมไทยพร้อมเปย์ใจให้แล้ว ล่าสุดยังมี “กามิน” หรือจีกามิน TikToker สาวชาวเกาหลีที่มีกระแส “ชาลี-กามิน” มหากาพย์นี้ได้เริ่มต้นจาก “แน็ก ชาลี” ที่เห็นไลฟ์ของสาวกามินที่เล่าเรื่องราวของตนเองว่าต้องหาเงินเรียนหนังสือ ต้องกินซีเรียล และบะหมี่ซอง ทำให้ชาลีต้องการยื่นมือช่วยเหลือ 

    ชาลีค่อนข้างมีฐานแฟนคลับ เมื่อนำเรื่องราวมาเล่าก็ทำให้ยอดผู้ติดตามของกามินเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด จนเกิดเป็นกระแสจิ้น และนำไปสู่เส้นทางความรัก พร้อมกับการเดินทางมาทำงานที่ประเทศไทย ทั้งรับงานพรีเซ็นเตอร์ ออกอีเวนต์ รวมถึงไลฟ์สดขายของร่วมกัน ก็สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำเลยทีเดียว

    ซึ่งรายได้ที่กามินได้จากการมาทำงานในประเทศไทยถือว่าไม่น้อยเลยทีเดียว เผลอๆ อาจเทียบเท่าดาราเบอร์ใหญ่ๆ เลยทีเดียว โดยข้อมูลจากผู้จัดการออนไลน์ บอกว่ากามินโกยรายได้ถึง 100 ล้านบาท แน็ก ชาลีเองก็เคยเปิดเผยในไลฟ์สดว่ารายได้ที่กามินหาได้สามารถใช้ได้จนถึงอายุ 50 เลยด้วยซ้ำ แม้จะเป็นการพูดเปรียบเปรยประชดประชัน แต่ก็แสดงให้เห็นว่าเป็นเม็ดเงินมหาศาล 

    สรุปสิ่งที่กามินได้หลังจากการทำงานในไทย 

    – ไลฟ์สดขายของ ไลฟ์งานคู่งานละ 3-4 ล้านบาท โดยไม่คอมเฟิร์มยอดขาย เน้นคนมาร่วมชมไลฟ์สด 

    – งานอีเวนต์ค่าตัวรวมกันหลักล้าน งานพรีเซ็นเตอร์หลัก 10 ล้าน 

    – เป็นโฮสใน PK TikTok ที่กามินอยู่ใต้สังกัดเอเจนซี่ มียอดติดตาม และยอดเปย์ถล่มถลาย ยืน 1 ของเกาหลี และติด Top 3 ระดับโลก 

    – สร้างสถิติท็อปฟอร์มอันดับ 1 บนชาร์ตกิจกรรม TikTok Live เป็นสถิติที่ไม่มีคนเกาหลีคนไหนทำได้มาก่อน 

    – กามินเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ TikTok เกาหลีที่ทำเงินได้ตลอดสัปดาห์เกิน 20 ล้าน รางวัลสำหรับที่ 1 คือ 1. ได้ขึ้นป้ายโฆษณาโปรโมตที่สถานีรถไฟใต้ดินที่เกาหลี ซึ่งรัฐบาลเกาหลีก็พร้อมซัพพอร์ตกามินให้ได้มีภาพบิลบอร์ดติดที่บริเวณสถานีกังนัม ที่มีแต่คนดังเท่านั้นที่ได้ขึ้นบิลบอร์ดในย่านนี้ อาทิ ไช กังนัมสไตล์ แบล็กพิงก์ 2. ได้โล่ทองกิจกรรมพร้อมสลักชื่อ MVP 3. ได้เงินรางวัลประจำสัปดาห์ แบบยังไม่หักรายจ่าย 4. ได้รับเชิญไปงานอีเวนต์ของ TikTok Live เกาหลีที่จะประกาศในอนาคต กิจกรรมเหล่านี้เพิ่มความนิยมให้คนเกาหลีรู้จักกามินมากขึ้น

    ต้องบอกว่าความสำเร็จของกามินมาจากฐานแฟนคลับคนไทยทั้งสิ้น ฐานแฟนคลับของชาลี ที่ต้องการช่วยเหลือ รวมไปถึงการเปย์เพื่อแลกกับความสุขทางใจ แลกกับความบันเทิงที่ทั้งสองทำคอนเทนต์ร่วมกัน จากกามินที่เป็นสาวเกาหลีธรรมดา มีคนดูไลฟ์เพียงแค่ 5 คน ตอนนี้มีเงินเป็นกอบเป็นกำ

    แต่กามินเองก็โดนกระแสแบน กระแสตีกลับ คนไทยแห่อันฟอลโลว์ในทุกช่องทางจนผู้ติดตามหล่นฮวบอย่างต่อเนื่อง เป็นอีกหนึ่งกรณีศึกษาทั้งในด้านของอินฟลูเอง และแฟนคลับสายเปย์

    เข้าใจเรื่อง “ภาษี” ได้เยอะ ก็ต้องเสียเยอะ

    อินฟลูเอนเซอร์เป็นหนึ่งอาชีพที่หารายได้ได้เยอะ มาจากทั้งรีวิวสินค้า งานอีเวนต์ งานไลฟ์ต่างๆ สิ่งที่เกิดปัญหาบ่อยครั้งคือหลายคนยังไม่เข้าใจในระบบภาษี บางคนยื่นผิดแบบ ทำให้เจอภาษีย้อนหลังกันอ่วม และเรื่องภาษีนี่เองก็เป็นหนึ่งในรอยร้าวของชาลี กามิน ซึ่งทางฝ่ายหญิงไม่เข้าใจในระบบภาษีของไทยที่เก็บแบบอัตราภาษีก้าวหน้า นั่นคือได้เยอะ ก็ต้องเสียเยอะ สูงสุดที่ 35% 

    อัตราภาษีก้าวหน้า คือ การเก็บภาษีที่เพิ่มขึ้นตามระดับรายได้สุทธิ ยิ่งรายได้สูง อัตราภาษีที่ต้องจ่ายก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย โดยระบบนี้จะแบ่งรายได้ออกเป็นขั้นบันได และคำนวณภาษีตามอัตราที่กำหนดในแต่ละขั้น ในปัจจุบันแบ่งออกเป็น 8 ขั้น โดยเริ่มจาก 0% จนถึง 35% ตามระดับรายได้สุทธิที่แตกต่างกัน

    1. รายได้ไม่เกิน 150,000 บาท: ได้รับการยกเว้นภาษี
    2. รายได้ 150,001 – 300,000 บาท: อัตราภาษี 5%
    3. รายได้ 300,001 – 500,000 บาท: อัตราภาษี 10%
    4. รายได้ 500,001 – 750,000 บาท: อัตราภาษี 15%
    5. รายได้ 750,001 – 1,000,000 บาท: อัตราภาษี 20%
    6. รายได้ 1,000,001 – 2,000,000 บาท: อัตราภาษี 25%
    7. รายได้ 2,000,001 – 5,000,000 บาท: อัตราภาษี 30%
    8. รายได้มากกว่า 5,000,000 บาทขึ้นไป: อัตราภาษี 35%

    สำหรับอัตราภาษีก้าวหน้าของเกาหลีใต้ สำหรับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดานั้นแบ่งออกเป็นหลายช่วง ซึ่งอัตราภาษีจะเพิ่มขึ้นตามระดับรายได้สุทธิของผู้เสียภาษี

    1. รายได้ไม่เกิน 12 ล้านวอน: อัตราภาษี 6%
    2. รายได้ 12 – 46 ล้านวอน: อัตราภาษี 15%
    3. รายได้ 46 – 88 ล้านวอน: อัตราภาษี 24%
    4. รายได้ 88 – 150 ล้านวอน: อัตราภาษี 35%
    5. รายได้ 150 – 300 ล้านวอน: อัตราภาษี 38%
    6. รายได้ 300 – 500 ล้านวอน: อัตราภาษี 40%
    7. รายได้ 500 – 1,000 ล้านวอน: อัตราภาษี 42%
    8. รายได้มากกว่า 1,000 ล้านวอน: อัตราภาษี 45%

    เกาหลีใต้ ยังมีระบบการเก็บภาษีเพิ่มเติมที่เป็นส่วนท้องถิ่น (Local income tax) ซึ่งคิดอัตราเพิ่มเติมที่ 10% ของภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ต้องจ่ายด้วย​​

    ]]>
    1489630
    “เซียนโอ๊ต บางแพ” ชำแหละวงการ “พระเครื่อง” อาร์ตทอยสายพุทธคุณ https://positioningmag.com/1488028 Thu, 29 Aug 2024 09:44:53 +0000 https://positioningmag.com/?p=1488028 พูดคุยกับ “เซียนโอ๊ต บางแพ” ประธานชมรมพระเครื่องกลุ่มสันขวาน ภาคตะวันตก กับชีวิตที่ผันตัวมาเป็นเซียนพระ ชำแหละวงการเซียนพระที่ปัจจุบันกลายเป็นเรื่องพาณิชย์ มีแต่คนจ้องมาหาผลกำไรโดยไม่คำนึงถึงพุทธคุณ พร้อมปั้นแอปพลิเคชัน SK Check ให้ประชาชนทั่วไปส่งพระมาเช็กในแอปในราคาย่อมเยา ป้องกันการถูกหลอก

    รอดตายจากพระเครื่อง เลยมาเป็นเซียนพระ

    วงการพระเครื่องขึ้นชื่อว่าเป็นอีกวงการที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน เพราะประเทศไทยเป็นเมืองพุทธ มีพระเกจิอาจารย์ชื่อดัง พร้อมกับลูกศิษย์เลื่อมใสศรัทธามากมาย แต่เดิมวงการพระเครื่องอาจจะจำกัดอยู่แค่ในวงของคนที่ชื่นชอบจริงๆ หรือเรียกว่าเซียนพระ แต่ปัจจุบันเริ่มมีคนบางกลุ่มมองเห็นโอกาสในการทำธุรกิจ เข้ามาจับธุรกิจพระเครื่องมากขึ้น

    Positioning มีโอกาสพูดคุยกับ อาทิตย์ นวลมีศรี เจ้าของตลาดนัดพระเครื่องภาคตะวันตก (ตลาดกอบกุล) หรือ “เซียนโอ๊ต บางแพ” หัวหอกกลุ่มสันขวานที่เกิดจากการรวมตัวของเหล่าเซียนพระภาคตะวันตก แต่เดิมเซียนโอ๊ตทำงานเหมือนคนปกติทั่วไป แต่เกิดเกิดอุบัติเหตุแล้วรอดตาย จึงเกิดความเชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตนบูชา ประกอบกับลองปล่อยพระที่เคยสะสมแล้วได้กำไรจริงๆ จึงผันตัวมาเป็นเซียนพระอย่างเต็มตัว

    “มาเป็นเซียนพระได้เพราะเกิดจากความชอบ จริงๆ ตอนเด็กๆ กลัวผี คนไทยถูกปลูกฝังเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์มานานอยู่เลยห้อยพระตั้งแต่เด็กๆ มีอยู่ช่วงหนึ่งตอนเรียน ม.รามคำแหง แล้วเคยโดนรถชนแต่ไม่เป็นอะไรเลย ตอนนั้นห้อยพระกิ่งวัดสุทัศน์ พอเรียนจบก็ทำธุรกิจขายอาหารทะเล ต้องขับรถกลางคืนอยู่ตลอด มีเหตุเกือบตายหลายหน แล้วบางทีขายไม่ดีก็พอขอพรจากพระก็ขายได้ เลยรู้ว่าพระเครื่องคุ้มครองเรามีอยู่จริง เลยเริ่มเก็บพระเครื่อง เริ่มดูจากตามหนังสือต่างๆ แต่จุดเปลี่ยนสำคัญคือ พอมีลูกเลยอยากเปลี่ยนอาชีพ เลยเอาพระที่สะสมมาปล่อยเช่า เคยซื้อมา 10 องค์ 1,500 บาท แต่ขายได้ 7 องค์ 75,000 บาท เลยมาคิดว่าความรู้ความสามารถจะไปทำเกี่ยวกับพระได้มั้ย เลยเปลี่ยนอาชีพมาเล่นพระจริงจัง” 

    ปัจจุบันเซียนโอ๊ตมีพระเครื่องไม่ต่ำกว่า 200,000 องค์ ประเมินมูลค่านับ 70 ล้านบาท แต่เป็นตัวเลขที่ประเมินเมื่อ 2 ปีก่อน ตอนนี้มีซื้อขายหมุนเวียนอย่างต่อเนื่อง

    เซียนโอ๊ตบอกว่า การเป็นเซียนพระในตอนนี้ “เกินกว่าความชอบ แต่ชอบแล้วได้ด้วย”

    อาร์ตทอยแห่งวงการพุทธคุณ ปั่นกระแส ปั่นกำไร

    ปัจจุบันพระเครื่องไม่ได้เป็นเพียงวัตถุมงคล แต่กลายเป็นสินค้าที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ โดยประเทศไทยถือเป็นตลาดพระเครื่องที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยรายงานข่าวจาก South China Morning Post ระบุว่าตลาดพระเครื่องของไทยมีเงินหมุนเวียนมากกว่า 45,000 ล้านบาทต่อปี และมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีนที่มีความเลื่อมใสในพุทธคุณและนิยมสะสมพระเครื่อง กลายเป็นซอฟต์พาวเวอร์ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยไปด้วย

    ถ้าถามว่าพระเครื่องเป็นที่นิยมได้อย่างไร แล้วปัจจัยอะไรที่ทำให้วงการนี้ยืนหยัดได้จนถึงวันนี้ แต่วงการนี้มีการเปลี่ยนแปลงไปพอสมควร แต่เดิมพระเครื่องมาจากคนที่ศรัทธาใน “พุทธคุณ” จริงๆ แต่ปัจจุบันคนมองที่ “ผลประโยชน์” จากการเก็งกำไรเสียมากกว่า

    “แต่ก่อนวงการพระเครื่องมาจากคนที่ศรัทธาในพุทธคุณของพระจริงๆ เชื่อว่าพุทธคุณจะคุ้มครอง ช่วยส่งเสริมต่างๆ แต่ปัจจุบันวงการพระเครื่องถูกทำลายโดยมิจฉาชีพ มองเห็นผลประโยชน์ แล้วนำมาเก็งกำไร ใช้ความไม่รู้ของผู้บริโภคเป็นจุดอ่อนในการทำพระใหม่มาขาย ซึ่งวงการนี้ไม่มีกฎหมายคุ้มครอง ขึ้นอยู่กับความเชื่อล้วนๆ”

    เซียนโอ๊ตเสริมอีกว่า วงการพระเครื่องไม่มีเซ็กเมนต์เยอะ มีแค่พระเก่า กับพระใหม่เท่านั้น ซึ่งพระก่อนปี 2500 จะมีมูลค่ามากกว่า สถานการณ์ในปัจจุบันนี้คือ มีบางคนทำพระใหม่ บางครั้งใช้วิธีทำน้อยเพื่อสร้างสถานการณ์ให้หายาก แล้วเก็งกำไรแพงๆ หรือบางคนถึงกับทำเป็นกล่องสุ่ม ใส่เบอร์เหมือนหวยก็มี 

    “ต้องบอกว่าช่องโหว่ในวงการพระเยอะมาก ต้องทำให้คนดูพระเป็นให้ได้ เพื่อไม่ให้ถูกหลอก วงการนี้ขึ้นอยู่กับเซียนพระล้วนๆ จะมาขายก็ต้องให้เซียนพระที่ดูเป็น จะถูกจะแพงอยู่ที่เซียนพระ ถ้าจะเปรียบเป็นอาร์ตทอยก็ไม่ผิดเลย เพราะพระเครื่องก็คือของสะสมอย่างหนึ่ง แต่มีความเชื่อด้วย ตอนนี้อยากให้วงการกลับไปอนุรักษ์พระเครื่อง แต่ก่อนไม่เคยคิดว่ามีการตลาดให้วงการพระ แต่วงการมันผิดเพี้ยนเพราะคนไปทำการตลาด เน้นเรื่องทำกำไร” 

    ลงทุนทำแอป SK Check รับเช็กพระ

    เนื่องจากปัญหาของวงการพระเครื่องในปัจจุบันที่ทำให้คนที่ไม่ได้ศรัทธาในพระเครื่องจริงๆ มาหาผลประโยชน์ ทั้งการปั่นกระแส ปั่นกำไร เซียนโอ๊ตจึงร่วมกับชมรมพระเครื่องสันขวานทำแอปพลิเคชัน SK Check ในการให้ผู้บริโภคส่งพระเข้ามาเช็กได้ ใช้งบลงทุน 3 ล้านบาท

    “ตลาดพระเครื่องเม็ดเงินสูงมาก แต่ไม่มีมาตรฐานกลางว่าอันไหนจริง อันไหนปลอม อันไหนดี อันไหนไม่ดี ต้องพึ่งเซียนเป็นคนดูให้ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเซียน พอเห็นว่ามีคนที่หาผลประโยชน์จากพระ เอาเปรียบคนที่ดูพระไม่เป็นในการกดราคาบ้าง หลอกขายพระปลอมบ้าง เลยทำแอป ให้คนเข้ามาเช็กพระได้ ซึ่งพระก็เหมือนของแบรนด์เนม เอามาเปลี่ยนเป็นเงินสดได้” 

    เซียนโอ๊ต เล่าอีกว่า แอปนี้ใช้เวลาพัฒนา 2 ปี โดยผูกกับ LINE Official ที่เป็นแอปยอดนิยมของคนไทย มีค่าธรรมเนียมในการเช็กพระองค์ละ 100 บาท ที่อื่นเฉลี่ยอยู่ที่ 700 บาท มีเซียนพระผู้ชำนาญในการดูพระกว่า 20 คน ใช้เวลาดูพระราว 10 นาที จากนั้นจะมีบัตรดิจิทัลว่าพระแท้ หรือไม่แท้ เพื่อใช้ในการปล่อยขายได้ ซึ่งจะไปขายเองที่อื่น หรือจะปล่อยเซียนก็ได้ หรือจะลงในกลุ่มแลกเปลี่ยนซื้อขายพระเครื่องก็ได้

    หลังจากเปิดให้ทดลองใช้พรี 3 เดือน ในเดือนแรกมีผู้ส่งเข้ามาเช็ก 46,000 องค์ มีอัตราดูผิดไม่ถึง 5 องค์ ปัจจุบันมีการส่งพระเข้ามาตรวจที่ 200,000 องค์ มีอัตราการดูผิดไม่ถึง 100 องค์ ปัจจุบันสามารถตรวจได้มากสุดที่ 30,000 องค์/เดือน

    ลงทุนพระ ผลตอบแทนดี ไม่ต้องเสียภาษี

    “ความสุขของคนเล่นพระ คือ แยกได้ รู้ว่าแท้ไม่แท้”

    พระเครื่องกลายเป็นอีกหนึ่ง “การลงทุน” ของคนไทย ที่ให้ผลตอบแทน ผลกำไร ไม่ต่างจากการลงทุนหุ้น หรืออสังหาริมทรัพย์เลย เพราะได้ผลกำไรหลายเปอร์เซ็นต์ แถมข้อดีก็คือไม่ต้องเสียภาษี เพียงแต่จุดอ่อนก็คือ ยังไม่มีราคากลาง ไม่มีมาตรฐานที่ชัดเจน ขึ้นอยู่กับมูลค่าทางจิตใจล้วนๆ

    “พระเครื่องจะไม่มีการกำหนดราคากลางที่แท้จริง ราคาของพระเครื่องจะเกิดจากการซื้อซ้ำ ถ้ามีคนซื้อเยอะนั่นจะเรียกว่าราคากลาง ขึ้นอยู่กับพระที่หมดไปแล้ว หรือหลวงพ่อที่มรณภาพไปแล้ว เหรียญเก่าต่างๆ ของที่คาดการณ์ว่าจะเพิ่มมูลค่า หรืออะไรที่สร้างเพิ่มไม่ได้จะมีมูลค่าเยอะ” 

    เซียนโอ๊ตยังปิดท้ายว่า สำหรับการลงทุนพระเครื่อง ยังเป็นวงการที่น่าลงทุนอยู่ เพราะพระเครื่องราคาขึ้นปีละหลักล้านเป็นเรื่องปกติมากๆ อีกทั้งยังไม่ต้องเสียภาษี แต่ก่อนคนเล่นพระไม่ค่อยอยากขาย เพราะอยากเก็บพระรอไปงานประกวดทีเดียว ตอนนี้มีการซื้อขายตลอด ผลตอบแทนหวังผลได้ 100% อย่างน้อยๆ ผลตอบแทนต้องมากกว่า 10% ขึ้นไป

    ]]>
    1488028