Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Sun, 14 Dec 2025 14:01:20 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ชำแหละศึกชิง ‘Warner Bros.’ ระหว่าง ‘Netflix vs. Paramount’ ผู้ชนะจะสร้างผลกระทบอะไรให้ตลาดบ้าง? https://positioningmag.com/1551340 Sun, 14 Dec 2025 13:59:05 +0000 https://positioningmag.com/?p=1551340 ในวงการอุตสาหกรรมภาพยนตร์ฮอลลีวูด คงไม่มีประเด็นไหนจะร้อนแรงและสั่นสะเทือนวงการไปได้กว่าการเสนอควบรวมกิจการระหว่าง Netflix กับ Warner Bros. Discovery (WBD) โดยมีคู่แข่งสำคัญอย่าง Paramount/Skydance ที่ยื่นข้อเสนอเข้าชิง คำถามว่า ทางเลือกไหนจะสร้างผลกระทบในมิติไหนกันบ้าง โดยเฉพาะ คนดู อย่างเรา ๆ 

ทำไมใคร ๆ ก็อยากได้ WBD?

ถ้าใครเป็นแฟนหนังและซีรีส์ ก็คงจะรู้ว่า WBD เป็นค่ายใหญ่ที่มีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนานตั้งแต่ปี 1923 จนปัจจุบัน มี ทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual Property – IP) ชื่อดังไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นจักรวาล DC, จักรวาล Wizarding World: (Harry Potter), The Lord of the Rings, Game of Thrones เป็นต้น

แค่ IP ที่ WBD ถือครอง ก็ไม่น่าแปลกใจที่ใคร ๆ ก็อยากจะได้มาครอบครอง โดยเฉพาะกับ Netflix ที่เรื่องของ IP นับเป็น จุดอ่อน เมื่อเทียบกับคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกัน แน่นอนว่าที่ผ่านมา Netflix มีออริจินอลคอนเทนต์ของตัวเองมากมายที่ประสบความสำเร็จ เช่น Stranger Things, The Witcher แต่นั่นก็ยังไม่ใช่ IP ที่ ขลัง หรือมีประวัติศาสตร์ยาวนานและเป็นที่รักของผู้ชมทั่วโลกเหมือนที่ WBD และ Disney มี

ดังนั้น การทุ่มเงิน 82,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเข้าซื้อ Warner Bros. Discovery (เฉพาะส่วนสตูดิโอและสตรีมมิ่ง) ของ Netflix จึงเป็น ทางลัด สู่การเป็นผู้เล่นที่แข็งแกร่งขึ้นไปอีก เพราะการที่ได้ IP ชื่อดัง จะสามารถทำให้ Netflix สามารถแข่งขันในตลาดได้ดียิ่งขึ้น เพราะ Netflix สามารถสร้างสินค้า, เกม, และคอนเทนต์ภาคแยก (Spin-offs) จาก IP เหล่านี้ไปได้อีกนาน ช่วย ลดความเสี่ยง ในการสร้างคอนเทนต์ใหม่ทั้งหมดด้วยตัวเอง

ขณะเดียวกัน Netflix ก็เหนื่อยน้อยลง เพราะถือเป็นการ ลดคู่แข่ง ไปอีกราย ซึ่งก็จะช่วยให้ Netflix มีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นจากจำนวนสมาชิก HBO Max มาอยู่กับ Netflix โดยเว็บไซต์ flixpatrol คาดการณ์ว่า บริการสตรีมมิ่ง Top 4 ของโลก ได้แก่ 

  • Netflix: (302 ล้านคน)
  • Amazon Prime Video: (200 ล้านคน)
  • Disney+: (131 ล้านคน)
  • HBO Max: (128 ล้านคน) 

นอกจากนี้ Netflix เชื่อว่าการควบรวมจะทำให้การทำงานดีขึ้น เนื่องจากการรวมบริการสตรีมมิ่งที่ทับซ้อนกัน ซึ่งจะช่วยให้สามารถประหยัดต้นทุนการดำเนินงานได้สูงถึง 2-3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ภายในปีที่สามหลังปิดดีล

เช่นเดียวกับ Paramount Skydance ที่ก็ต้องการ IP ของ Warner Bros. เพื่อเสริมแกร่งให้สามารถแข่งขันกับผู้เล่นยักษ์ใหญ่รายอื่น เพราะอย่าง Disney ก็ถือว่าเป็นคู่แข่งสุดแกร่ง เพราะมีทั้งเจ้าหญิงดิสนีย์, จักรวาล Marvel และ Star wars อยู่ในมือ ซึ่งนั่นทำให้ Paramount ถึงทุ่มเงินมหาศาลและตัดสินใจยื่นข้อเสนอแบบไม่เป็นมิตร (Hostile Bid) ในมูลค่าถึง 1.084 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อซื้อทั้งบริษัท (ไม่ได้ซื้อแค่เฉพาะส่วนสตูดิโอและสตรีมมิ่งเหมือน Netflix)

และที่ข้อเสนอของ Paramount คือ ซื้อทั้งบริษัท เป็นเพราะ Paramount ยังมองเห็นมูลค่าในสินทรัพย์สายเคเบิลของ WBD (เช่น CNN, Discovery Channel, TNT) อยู่ แม้ว่าธุรกิจนี้จะกำลังหดตัว แต่ยังคง สร้างกระแสเงินสด (Cash Flow) ที่ดี ซึ่งจำเป็นต่อการสนับสนุนธุรกิจสตรีมมิ่งที่ยังต้องลงทุนสูง

นอกจากนี้ Paramount เชื่อว่าการซื้อทั้งหมดและบริหารจัดการสตูดิโอ, สตรีมมิ่ง, และเคเบิลไปพร้อมกัน จะช่วยให้เกิดการประหยัดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพโดยรวมได้มากกว่าการแยกธุรกิจเคเบิลออกไป

Warner Paramount

Netflix ได้ไปจะเกิดอะไรขึ้น

ความกังวลแรกหาก Netflix ได้ WBD ไปก็คือ ระยะเวลาฉายโรง แม้ว่า Netflix จะยืนยันว่าจะรักษาการดำเนินงานปัจจุบันของ Warner Bros ไว้ โดยเฉพาะการออกฉายภาพยนตร์ในโรง แต่ที่คนในอุตสาหกรรมกังวลก็คือ Windowing หรือระยะเวลาในการฉายหนังในโรงก่อนจะเข้าสู่ระบบสตรีมมิ่ง

เพราะที่ผ่านมา เครือข่ายโรงภาพยนตร์เคยร้องขอระยะเวลาขั้นต่ำไว้ที่ 45 วัน แต่หาก Netflix เข้ามามีบทบาท อาจบีบให้ระยะเวลาดังกล่าวสั้นลงเหลือเพียง 17 วัน ซึ่งผู้ประกอบการโรงภาพยนตร์เกรงว่าจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อรายได้

ในแง่ของ คนทำงาน คนในอุตสาหกรรมจำนวนหนึ่งรู้สึก สบายใจกว่า เพราะ Netflix เป็นแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งเป็นหลัก ส่วน WBD เป็นสตูดิโอผู้ผลิตคอนเทนต์ การรวมกันจึงเป็นการ ต่อเติม กิจการ ไม่เกิดความซ้ำซ้อนของตำแหน่งงานมากนัก

ส่วน แฟนสตรีมมิ่ง กลุ่มนี้จะ ได้ประโยชน์สูงสุด เพราะคอนเทนต์จะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล แต่ก็ยังไม่แน่ว่า ราคาจะสูงขึ้น หรือไม่ เพราะมีทางเลือกน้อยลง (หลัก ๆ ก็ Disney+, Prime Video และ Apple TV)

Paramount ได้ไปจะเกิดอะไรขึ้น

ถ้า Paramout ได้ไป เป็นสิ่งที่ คนทำงาน รู้สึกว่า น่ากังวลที่สุด เพราะทั้ง Paramount และ WBD ต่างเป็นสตูดิโอภาพยนตร์ที่ดำเนินธุรกิจใกล้เคียงกัน การรวมกันจะทำให้เกิด การซ้ำซ้อน ของตำแหน่งงานอย่างมหาศาล ซึ่งคาดการณ์กันว่า หาก Paramount ควบรวมสำเร็จ จะสามารถประหยัดเงินได้ถึง 6,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่า ส่วนใหญ่มาจากการ ปลดพนักงาน ในตำแหน่งที่ซ้ำซ้อนทิ้งไป

อีกความกังวลก็คือ นัยยะทางการเมือง เนื่องจากข้อเสนอของ Paramount นำโดย เดวิด เอลลิสัน (David Ellison) ซึ่งถูกมองว่า ไม่โปร่งใส และมี นัยยะทางการเมืองสูง เพราะในขณะที่แหล่งเงินทุนของ Netflix มาจากเงินสด กับหุ้น Netflix ที่จะเอามาแลก แต่แหล่งเงินทุนของ Paramount  มาจากกลุ่มเงินทุนจากซาอุดีอาระเบีย กาตาร์ และกลุ่มกองทุนที่มีแนวคิดการเมืองขวาจัด นอกจากนี้ ยังมีการดึงตัว จาเร็ด คุชเนอร์ (ลูกเขยของโดนัลด์ ทรัมป์) เข้ามาช่วยล็อบบี้อีกด้วย

ทำให้นักวิเคราะห์ชี้ว่า เอลลิสันไม่ได้ต้องการแค่บริษัทผลิตภาพยนตร์ แต่ต้องการใช้ WBD เป็น เครื่องมือสร้างอิทธิพลและอำนาจสื่อ ในการต่อรองทางการเมือง และช่วยหาเสียงให้กับพรรครีพับลิกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ชาวอเมริกันจำนวนมากกังวลว่าอาจส่งผลเสียต่อภูมิทัศน์สื่อโดยรวม

ในมุมของอุตสาหกรรมจ ลดความเสี่ยงการผูกขาดสตรีมมิ่ง เนื่องจาก Netflix เป็นผู้นำตลาดสตรีมมิ่งอยู่แล้ว การเข้าซื้อ HBO Max จะยิ่งทำให้ Netflix มีส่วนแบ่งตลาดสูงขึ้น ขณะที่การรวม Paramount และ HBO Max ต่างก็เป็นบริการสตรีมมิ่งที่มีขนาดเล็กกว่า Netflix และ Disney+ ดังนั้น การรวมตัวกันของทั้งสองบริษัทจึงถูกมองว่าเป็นการ เพิ่มการแข่งขัน ในตลาด แทนที่จะเป็นการผูกขาด

อีก 2 ปีดีลถึงจะจบ

อย่างไรก็ตาม การควบรวมครั้งนี้ยังต้องรอดูผลภายในกรอบเวลาประมาณ 2 ปี (ก่อนปี 2027) รวมถึงต้องมาลุ้นกันว่าจะได้รับการอนุมัติจากฝั่งกำกับดูแลเรื่องการ ผูกขาด หรือไม่ เพราะถ้าเป็นฝั่ง Paramount อาจไม่น่ากังวลเท่ากับทาง Netflix 

แม้ว่าทาง Netflix จะพยายามย้ำว่า ไม่อยากให้มองว่า Netflix ต้องสู้แค่ในตลาดสตรีมมิ่ง แต่กำลังอยู่ในตลาด Media Consumer Market เพราะนอกเหนือจากแพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิ่งที่ลงทุนกันมหาศาลแล้ว ยังมีแพลตฟอร์มอื่น ๆ ที่มาแย่งชิงเวลา ไม่ว่าจะเป็น YouTube, TikTok, และโซเชียลมีเดียอื่น ๆ อีก

แล้วแฟน ๆ เชียร์ให้ใครได้ WBD ระหว่าง Netflix หรือ Paramount 

AP / finance.yahoo / bbc / flixpatrol / latimes / truthonthemarket / theguardian

]]>
1551340
บินลัดฟ้าข้ามทวีป เช็คอิน Selfridges ที่อังกฤษ หนึ่งในตระกูลห้างหรู “กลุ่มเซ็นทรัล” https://positioningmag.com/1551555 Sun, 14 Dec 2025 04:44:15 +0000 https://positioningmag.com/?p=1551555
  • พาสำรวจ Selfridges ห้างสรรพสินค้าสุดหรู ตำนานกว่า 116 ปี แห่งสหราชอาณาจักร ได้รับการยกย่องว่าเป็น  “ห้างสรรพสินค้าที่ดีที่สุดในโลก” ถึง 4 ครั้งจากเวที Global Department Store Summit
  • ฟินไปกับโลกแห่งเทพนิยายกับ Disney เนรมิตทั้งห้างฯ เพื่อมอบความสุขในช่วงคริสมาสต์
  • ห้างสรรพสินค้าที่มอบประสบการณ์มากกว่าการช้อปปิ้ง แต่เป็นการเติมเต็มการใช้ชีวิตให้ดีขึ้น 
  • ยุคสมัยนี้การที่ได้ออกเดินทางเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ใหม่ๆ ล้วนเป็นการมอบรางวัลให้กับตัวเองหลังจากที่ทำงานหนักมาทั้งปี การได้ออกท่องโลกไปยังดินแดนใหม่ๆ หรือทวีปใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยไป เป็นการสร้างความทรงจำที่สุดประทับใจไม่น้อย 

    ในครั้งนี้หมุดหมายสำคัญของเราคือประเทศ “อังกฤษ” โดย กลุ่มเซ็นทรัล ผู้นำธุรกิจค้าปลีกและบริการทั้งในไทยและต่างประเทศ ได้ร่วมมือกับ เตอร์กิช แอร์ไลน์ส สายการบินแห่งชาติของประเทศตุรกี จัดทริปสุดเอ็กซ์คลูกซีฟนำคณะสื่อมวลชนเยือนห้าง Selfridges ในสหราชอาณาจักร

    เปิดเส้นทางบริหารห้างหรูในยุโรปของกลุ่มเซ็นทรัล

    “กลุ่มเซ็นทรัล ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในมหาอำนาจของกลุ่มรีเทลระดับโลก” ซึ่งคำนี้ไม่เกินจริงโดยประการใด เพราะนอกจากจะมีธุรกิจที่แข็งแกร่งในประเทศไทยแล้ว ยังสยายปีกไปยังยุโรปดินแดนที่ขึ้นชื่อว่ามีประวัติรีเทลอันยาวนาน และมีคาแรคเตอร์แต่ละประเทศที่ชัดเจน มีความเป็นชาตินิยมสูง

    ปี 2554 กลุ่มเซ็นทรัลเริ่มต้นการขยายธุรกิจสู่ยุโรปอย่างยิ่งใหญ่ ด้วยการเข้าซื้อกิจการห้างสรรพสินค้าหรูอันดับหนึ่งของอิตาลี “รีนาเชนเต” ที่มีทั้งหมด 9 สาขาในเมืองสำคัญทั่วประเทศ

    ปี 2556 เข้าซื้อกิจการห้างสรรพสินค้า “อิลลุม” ห้างลักชัวรี่ชื่อดังใจกลางกรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก เสริมความแข็งแกร่งในพอร์ตโฟลิโอห้างหรูของกลุ่มเซ็นทรัล

    ปี 2558 ร่วมทุนเข้าซื้อกิจการ กลุ่มคาเดเว ห้างสรรพสินค้าพรีเมียมที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานในเยอรมนี ได้แก่ คาเดเว (เบอร์ลิน), โอเบอร์โพลลิงเกอร์ (มิวนิก) และอัลสแตร์เฮ้าส์ (ฮัมบูร์ก) ขยายบทบาทในตลาดค้าปลีกระดับไฮเอนด์

    ปี 2563 เข้าซื้อ โกลบุส ห้างสรรพสินค้าหรูระดับตำนานของสวิตเซอร์แลนด์ รวม 9 สาขาในทำเลสำคัญ ต่อยอดพอร์ตโฟลิโอค้าปลีกพรีเมียม และส่งมอบประสบการณ์ช้อปปิ้งระดับโลกให้แก่ทั้งชาวท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวทั่วโลก

    ปี 2565 สร้างปรากฏการณ์ครั้งสำคัญในวงการค้าปลีกยุโรป ด้วยการร่วมทุนเข้าซื้อกิจการกลุ่มเซลฟริดเจส ซึ่งประกอบด้วยห้างสรรพสินค้า 18 แห่ง จาก 4 แบรนด์ ใน 3 ประเทศ ได้แก่ เซลฟริดเจส (Selfridges) ในสหราชอาณาจักร, บราวน์ โทมัส และอาร์นอตส์ (Brown Thomas & Arnotts) ในไอร์แลนด์, และดี แบนคอร์ฟ (de Bijenkorf) ในเนเธอร์แลนด์ รวมถึงธุรกิจด้านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซทั้งหมด

    ปี 2567 ก้าวสู่ความสำเร็จครั้งสำคัญ ด้วยการรวมกิจการ กลุ่มเซลฟริดเจส กลุ่มคาเดเว และโกลบุส ไว้ภายใต้การบริหารของกลุ่มเซ็นทรัลอย่างสมบูรณ์ ส่งผลให้กลุ่มเซ็นทรัลเป็นเจ้าของเครือข่ายห้างสรรพสินค้าลักชัวรี่ที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป สร้างความภาคภูมิใจให้แก่คนไทย ในฐานะบริษัทของคนไทยในเวทีค้าปลีกโลก

    ทำให้ปัจจุบันพอร์ตโฟลิโอห้างลักชัวรี่ของกลุ่มเซ็นทรัล ครอบคลุม 7 ประเทศ 36 เมือง 40 สาขาทั่วโลก ประกอบด้วย เซลฟริดเจส (สหราชอาณาจักร), บราวน์ โทมัส และอาร์นอตส์ (ไอร์แลนด์), ดี แบนคอร์ฟ (เนเธอร์แลนด์), กลุ่มคาเดเว (เยอรมนี – คาเดเว กรุงเบอร์ลิน, โอเบอร์โพลลิงเกอร์ มิวนิก, อัลสแตร์เฮ้าส์ ฮัมบูร์ก), โกลบุส (สวิตเซอร์แลนด์), อิลลุม (เดนมาร์ก) และรีนาเชนเต (อิตาลี)

    Selfridges มากกว่าห้างฯ แต่คือโรงละครแห่งประสบการณ์

    ห้างสรรพสินค้าเซลฟริดเจสก่อตั้งขึ้นในปี 1909 โดย แฮร์รี กอร์ดอน เซลฟริดจ์ (Harry Gordon Selfridge) นักธุรกิจผู้พลิกนิยามวงการค้าปลีก ด้วยการเปลี่ยนห้างให้กลายเป็น “โรงละครแห่งประสบการณ์” และวางสิ่งนี้ไว้เป็นหัวใจของแบรนด์ แนวคิดอันล้ำยุคนี้ได้เปลี่ยนพื้นที่แห่งการช็อปปิงให้กลายเป็นเวทีแห่งจินตนาการและแรงบันดาลใจ ที่หลอมรวมศิลปะ แฟชั่น และวัฒนธรรมเข้าไว้ด้วยกัน จิตวิญญาณดังกล่าวยังสืบเนื่องมาจนวันนี้ผ่านการสร้างสรรค์ที่ไม่หยุดนิ่ง และมุ่งมั่นในการยกระดับวัฒนธรรมผ่านประสบการณ์ของลูกค้าอย่างเหนือความคาดหมาย

    ทำให้ Selfridges ถูกจดจำในฐานะจุดหมายปลายทางที่ควรไปสัมผัสสักครั้ง ด้วยประวัติศาสตร์กว่า 116 ปี ที่ผสานความหรูหรา ความคิดสร้างสรรค์ และจิตวิญญาณแฟชั่นร่วมสมัย เซลฟริดเจสได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของกรุงลอนดอน และเป็นห้างเพียงแห่งเดียวที่ได้รับการยกย่องให้เป็น “ห้างสรรพสินค้าที่ดีที่สุดในโลก” ถึง 4 ครั้งจากเวที Global Department Store Summit

    ชูธีม Disney เนรมิตทุกตารางเมตรเหมือนอยู่ในเทพนิยาย

    ในปีนี้ไฮไลท์พิเศษอยู่ที่การร่วมมือกับ Disney ที่สร้างสรรค์ประสบการณ์ใหม่ในการเดินห้างฯ ให้เหมือนกับอยู่ในเทพนิยาย เหมือนหลุดไปอยู่ในการ์ตูนของ Disney ยังไงอย่างนั้น

    โดยที่โปรเจคต์นี้ ทาง Selfridges กับ Disney ได้ร่วมกันวางแผนกันเป็นเวลาถึง 2 ปี ในการเนรมิตทุกสาขาให้เหมือนอยู่ใน Disneyland เพื่อสร้างประสบการณ์พิเศษในช่วงเทศกาลคริสมาสต์ที่จะถึงนี้ 

    เรียกว่าเป็นครั้งแรกของวงการรีเทลที่ Disney มีการร่วมมือเยอะขนาดนี้ ทั้งการตกแต่งภายนอกและภายในห้างฯ สินค้าที่ขายในธีมปาร์คก็มีจำหน่ายที่นี่ ภาพยนตร์ดิสนีย์ก็มีฉายที่โรงภาพยนตร์ รวมไปถึงทำสินค้าเอ็กซ์คลูซีฟที่ขายเฉพาะที่ Selfridges อีกด้วย เช่น หมีพูห์สีเหลือง เป็นครั้งแรกอีกเช่นกันที่ทาง Disney ให้คาแรคเตอร์ของตัวเองเปลี่ยนสีจากต้นฉบับ เนื่องจากต้องการสร้างกิมมิค เพราะสีเหลืองเป็นสีประจำ Selfridges มีไอคอนิกสำคัญคือ ถุงกระดาษสีเหลือง 

    โลกมหัศจรรย์ของ Disney ภายในห้างฯ Selfridges เต็มไปด้วยประสบการณ์สุดตระการตาแอนิเมชันที่ออกแบบขึ้นเป็นพิเศษ อินเทอร์แอคทีฟวินโดว์ดิสเพลย์ที่มีชีวิตชีวา ตกแต่งเพื่อต้นรับนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกทั้ง 4 สาขา

    แต่ที่ไฮไลท์สุดๆ อยู่ที่ Selfridges สาขาอ็อกซ์ฟอร์ด สตรีท ถูกเนรมิตใหม่อย่างอลังการด้วยฟาซาดและไลท์โชว์ที่ออกแบบเป็นพิเศษ โดยมีปราสาทดิสนีย์ที่สวยงามดั่งเทพนิยาย โดยได้แรงบันดาลใจจาก ปราสาทเจ้าหญิงนิทราใน Disneyland Paris พร้อมวินโดว์ดิสเพลย์ที่หยิบเอาเรื่องราวหลากหลายนิทานคลาสสิกของดิสนีย์มาถ่ายทอดผ่านงานศิลป์ที่วาดด้วยมืออย่างประณีต บางฉากยังมีดนตรีประกอบเพื่อเติมเต็มความรู้สึกแห่งเทศกาลให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น

    ซึ่งปกติแล้ววินโดว์ดิสเพลย์ของห้างฯ จะเป็นจุดที่วางแบรนด์สินค้าต่างๆ หรือสินค้าคอลเล็กชั่นใหม่ๆ แต่ Selfridges จัดวินโดว์ดิสเพลย์ตามเรื่องราวต่างๆ ของ Disney ไม่ว่าจะเป็น ซินเดอเรลล่า, สโนว์ไวท์, พินอคคิโอ, วินนี่ เดอะ พูห์ และปีเตอร์แพน

    ยิ่งถ้าหากมาในช่วงเย็นตั้งแต่ 17.00 เป็นต้นไป จนถึง 21.00 น. บริเวณหน้าห้างฯ จะมีแสดงไฟ จัดเต็มด้วยแสง สี เสียง จะมีการแสดงทุกๆ 15 นาที 

    ส่วนการช้อปปิ้งนั้นก็ไม่น้อยหน้า เพราะมีคอลเลกชันพิเศษที่เกิดจากความร่วมมือระหว่าง Disney และแบรนด์ ชื่อดังระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น Christian Louboutin, Coach, Jo Malone หรือ Bobbi Brown รวมแล้วมีแบรนด์กว่า 70 แบรนด์ ที่ร่วมออกแบบในหลากหลายหมวดสินค้า ทั้งแฟชั่น ของขวัญ อาหาร ความงาม ไลฟ์สไตล์ ไปจนถึงของเล่น ให้ทุกคนได้เลือกสรรอย่างเพลิดเพลินในช่วงเวลาที่อบอุ่นที่สุดของปี

    RESELFRIDGES จากห้างหรู สู่ผู้นำความยั่งยืน

    Selfridges ไม่ได้แค่พูดถึงความยั่งยืน แต่ทำให้กลายเป็นจริงผ่านแนวคิด “Retail Activism” ที่ดำเนินต่อเนื่องมายาวนาน  ไม่ว่าจะเป็นการประกาศยกเลิกการจำหน่ายขนสัตว์ตั้งแต่ปี 2005 หรือการถอดผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่มีพลาสติกกลิตเตอร์ออกจากทุกสาขาในปี 2021

    ภายใต้แนวคิด RESELFRIDGES เราได้สร้างระบบนิเวศของการช็อปปิงที่ใส่ใจโลก รวบรวมผลิตภัณฑ์ บริการ และกิจกรรมเพื่อความยั่งยืนไว้ครบในที่เดียว พร้อมเปิดพื้นที่ RESELFRIDGES แบบถาวรในทุกสาขา รวมถึงบน Selfridges.com โดยนำแนวทาง “Circular Shopping” หรือการช็อปปิงแบบหมุนเวียน มาผสานเข้ากับประสบการณ์ในร้านอย่างกลมกลืน ผ่านบริการ ขายต่อ (Resell), ให้เช่าสินค้า (Rental), ซ่อมแซม (Repair), เติมสินค้า (Refill), และจำหน่ายสินค้ามือสองคุณภาพดี (Pre-loved) เพื่อเปิดโอกาสให้ลูกค้าสามารถเลือกใช้สินค้าที่เป็นมิตรต่อโลกได้มากขึ้น 

    4 แลนด์มาร์ก 4 คาแรคเตอร์

    Selfridges ในประเทศอังกฤษ มี 4 สาขาใน 3 เมืองหลัก ครอบคลุมพื้นที่ค้าปลีกกว่า 96,000 ตารางเมตร ได้แก่ ลอนดอน ออกซ์ฟอร์ด สตรีท, แมนเชสเตอร์ เอ็กซ์เชนจ์ สแควร์, แมนเชสเตอร์ แทรฟฟอร์ด และ เบอร์มิงแฮม พร้อมช่องทางออนไลน์ และแอปพลิเคชันที่จัดส่งสินค้าสู่กว่า 130 ประเทศ โดยแต่ละสาขาถ่ายทอดบุคลิกของเมืองและคาแรกเตอร์ของแบรนด์ในมิติที่แตกต่าง 

    1. เซลฟริดเจส ออกซ์ฟอร์ด สตรีท ลอนดอน 

    จุดเริ่มต้นของตำนานแห่งห้างสรรพสินค้าเซลฟริดเจสซึ่งเปิดทำการตั้งแต่ ปี 1909 ครอบคลุมพื้นที่กว่า 54,951 ตารางเมตร ถือเป็นหัวใจสำคัญของแบรนด์และสัญลักษณ์แห่งความหรูหราของกรุงลอนดอน มอบประสบการณ์พิเศษได้ตั้งแต่ The Cinema at Selfridges โรงภาพยนตร์ลักชัวรีที่ผสมผสาน ความบันเทิงเข้ากับสไตล์อันหรูหรา, The Bowl ลานสเก็ตบอร์ดอินดอร์ที่เปิดโอกาสให้มาเล่นสนุก ท้าทาย หรือลงเรียนคลาสสเก็ตบอร์ดได้อีกด้วย, ไปจนถึง Jellycat Fish & Chips Experience ที่สร้างสรรค์บรรยากาศสุดน่ารักแบบอังกฤษแท้ ที่ผสมผสานความคิดสร้างสรรค์เข้ากับความน่ารักอย่างลงตัว

    ในเดือน พฤษภาคม 2024 เซลฟริดเจส ออกซ์ฟอร์ด สตรีท ได้เผยโฉมใหม่ของโซน Beauty Hall หลังการรีโนเวตกว่า 1 ปี เพื่อเป็นจุดหมายแห่งความงามระดับโลกที่รวมสินค้าจาก 300 แบรนด์ชั้นนำ พร้อมทีมผู้เชี่ยวชาญกว่า 1,000 คน พร้อมเปิดพื้นที่สร้างสรรค์อย่าง The Beauty Spot ที่จุดประกายนวัตกรรมความงามแห่งอนาคต ตอบโจทย์ทุกความต้องการด้านความงามอย่างครบวงจร

    ความตื่นตายังไม่สิ้นสุด ในเดือนสิงหาคม 2025 ได้มีการเปิดตัวโซน Jewellery Destination โฉมใหม่ ที่รวมคอลเลกชัน ร่วมสมัยจากทั้งแบรนด์ระดับโลกและดีไซเนอร์รุ่นใหม่ อาทิ Lie Studio, Misho, Lie Sundial และ Phoria พร้อมบริการเจาะและเชื่อมเครื่องประดับโดย Astrid & Miyu และบริการสลักชื่อย่อที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะสำหรับคุณ โดย Monica Vinader

    2. เซลฟริดเจส แมนเชสเตอร์ เอ็กซ์เชนจ์ สแควร์ 

    เปิดให้บริการ ตั้งแต่ปี 2002 บนพื้นที่กว่า 10,641 ตารางเมตร กลายเป็นจุดหมายแห่งการช็อปปิงระดับลักชัวรีที่ผสานแฟชั่น ศิลปะ และไลฟ์สไตล์เข้าด้วยกันอย่างลงตัว สะท้อนเอกลักษณ์ของเมืองที่มีพลังสร้างสรรค์และความเป็นตัวของตัวเอง

    สำหรับสายแฟชั่น ที่นี่คือสวรรค์แห่งการช็อปปิงที่รวมแบรนด์ระดับโลกไว้อย่างครบครัน พร้อมด้วยคอนเซ็ปต์ช็อปพิเศษของ Adanola แบรนด์แฟชั่นจากสหราชอาณาจักรที่ถือกำเนิดขึ้นในเมืองแมนเชสเตอร์เอง และในช่วงเทศกาลปลายปี โซน Christmas Shop บนชั้น 3 บรรยากาศจะงดงามเป็นพิเศษด้วยการตกแต่งอย่างตระการตา

    สายบิวตี้จะหลงรักบริการจากทีม Beauty Concierge มืออาชีพของแบรนด์ดังระดับโลกอย่าง อาทิ SUQQU, Hourglass, Pat McGrath Labs และ Victoria Beckham Beauty พร้อมคำแนะนำด้านความงามเฉพาะบุคคลแบบ one-on-one และหากต้องการความเป็นส่วนตัวมากขึ้น บริการ Personal Shopping Lounge ยังมีให้เลือกทั้งสองสาขาในแมนเชสเตอร์ โดยมีห้องรับรองส่วนตัวสองห้องที่เอ็กซ์เชนจ์ สแควร์ และอีกหนึ่งห้องใหญ่ที่แทรฟฟอร์ด เพื่อเติมเต็มประสบการณ์ช็อปปิงที่หรูหราและเป็นส่วนตัวอย่างแท้จริง

    3. ห้างเซลฟริดเจส สาขาแมนเชสเตอร์ ทราฟฟอร์ด

    ตั้งอยู่ในศูนย์การค้า The Trafford Centre เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 1998 บนพื้นที่กว่า 14,152 ตารางเมตร สาขานี้โดดเด่นด้วยบรรยากาศที่ผสมผสานความหรูหราเข้ากับความอบอุ่นในสไตล์ครอบครัว 

    มื้ออร่อยรออยู่ทุกมุม ไม่ว่าจะเป็นอาหารญี่ปุ่นสไตล์สตรีทจาก YO!, ชานมไข่มุกหลากรสชาติจาก Mooboo, หรือบาร์แชมเปญสุดหรูของ San Carlo สำหรับผู้ที่ชื่นชอบบรรยากาศพักผ่อนอย่างมีรสนิยม สำหรับครอบครัว อย่าพลาด Jellycat General Store ร้านสุดน่ารักที่รวบรวมคอลเลกชันตุ๊กตา Jellycat หลากหลายแบบ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในคอลเลกชันที่ใหญ่ที่สุดของแบรนด์ในสหราชอาณาจักร 

    4. ห้างเซลฟริดเจส สาขาเบอร์มิงแฮม

    เปิดให้บริการในเดือนกันยายน ปี 2003 ภายในอาคารเดอะบูลริง (The Bullring) ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ใจกลางเมืองเซลฟริดเจส เบอร์มิงแฮม ครอบคลุม พื้นที่กว่า 17,169 ตารางเมตร และโดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมร่วมสมัยอันเป็นเอกลักษณ์ จนกลายเป็นหนึ่งในแลนด์มาร์กสำคัญของภูมิภาคมิดแลนด์ และเป็น “สนามเด็กเล่นแห่งแรงบันดาลใจ” สำหรับผู้รักศิลปะ แฟชั่น และวัฒนธรรม

    จะเห็นได้ว่าความสำเร็จของกลุ่มเซ็นทรัลไม่ได้อยู่เพียงแค่ในประเทศไทยเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยุโรปก็เป็นอีกหนึ่งยุทธศาสตร์ที่เติมพอร์ตความเป็นรีเทลระดับโลกให้สมบูรณ์ขึ้น โดยที่ Selfridges เป็นหัวหอกสำคัญที่ช่วยสร้างประสบการณ์ที่ดี เติมเต็มความสุขในทุกขณะที่เดินห้างฯ เลยทีเดียว

    ]]>
    1551555
    GAC AION Thailand กวาดยอดจอง 5,019 คัน ใน Motor Expo 2025 พร้อมเผยโฉม “Govy AirCab” นวัตกรรมการเดินทางแห่งอนาคต ตอกย้ำความเป็นผู้นำยานยนต์ไฟฟ้า https://positioningmag.com/1551547 Fri, 12 Dec 2025 13:11:06 +0000 https://positioningmag.com/?p=1551547 GAC AION Thailand สร้างปรากฏการณ์ความสำเร็จส่งท้ายปี ในงาน Thailand International Motor Expo 2025 กวาดยอดจองรวม 5,019 คัน พร้อมขนทัพนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้าจัดแสดงครบทุกไลน์อัป และเปิดมิติใหม่แห่งการเดินทางด้วย Govy AirCab นวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้าบินได้ ที่จะมาเปลี่ยนนิยามการเดินทางแบบเดิมๆ แสดงให้เห็นถึงศักยภาพทางเทคโนโลยีที่พร้อมยกระดับคุณภาพชีวิตและการเดินทางของผู้คนไปอีกขั้น

    GAC AION Thailand ผู้นำด้านนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้าพลังงานใหม่ระดับโลก ประกาศความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ส่งท้ายปีภายในงาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 42” หรือ Thailand International Motor Expo 2025 ณ อาคารชาเลนเจอร์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี ด้วยกระแสตอบรับที่ร้อนแรงจากผู้บริโภคชาวไทย ส่งผลให้มียอดจองรถยนต์ไฟฟ้าภายในงานรวมสูงถึง 5,019 คัน สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในแบรนด์และเทคโนโลยีอันล้ำสมัยของ GAC AION ที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์การขับขี่ของผู้บริโภคชาวไทย

    บรรยากาศภายในบูธ GAC AION เต็มไปด้วยความคึกคักและความสนใจจากผู้เข้าชมงานอย่างล้นหลาม โดยไฮไลท์สำคัญที่ดึงดูดสายตาและสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับผู้เข้าชมงานคือ การจัดแสดงไลน์อัปยานยนต์ไฟฟ้าที่ครบครันที่สุด ครอบคลุมทุกเซกเมนต์ ตั้งแต่รถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กไปจนถึงรถยนต์อเนกประสงค์ระดับพรีเมียม และนวัตกรรมยานยนต์บินได้แห่งอนาคต Govy AirCab

    ความสำเร็จของยอดจอง 5,019 คัน ในครั้งนี้ เกิดจากการนำเสนอยานยนต์ไฟฟ้าที่มาพร้อมนวัตกรรมระดับโลก ดีไซน์ที่โดดเด่น และสมรรถนะที่ยอดเยี่ยม ตอบโจทย์การใช้งานผู้บริโภคชาวไทย โดย GAC AION ได้เปิดพื้นที่บูธให้ผู้สนใจได้สัมผัสกับนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้าอย่างใกล้ชิดในทุกมิติ ผ่านโมเดลยอดนิยมหลากหลายรุ่น อาทิ

    GAC AION UT: น้องใหม่ไฟแรง รถยนต์ไฟฟ้า City Car ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์คนเมืองโดยเฉพาะ ด้วยดีไซน์ที่ทันสมัย คล่องตัว และประหยัดพลังงาน กลายเป็นขวัญใจผู้ที่กำลังมองหารถยนต์ไฟฟ้าคันแรก

    GAC AION V: รถยนต์ไฟฟ้า SUV ดีไซน์ล้ำสมัย มาพร้อมเทคโนโลยีอัจฉริยะและพื้นที่ใช้สอยกว้างขวาง พร้อมฟีเจอร์ที่ตอบรับทุกการใช้งานของครอบครัวยุคใหม่ พร้อมด้วยระยะทางวิ่งสูงสุด 602 กิโลเมตร (NEDC) และเทคโนโลยีชาร์จเร็ว 3C กำลังสูงสุด 180 kW

    GAC HYPTEC HT: ยนตรกรรมเอสยูวีไฟฟ้าที่สะท้อนความหรูหราผ่านดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ มอบประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือกว่าด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงและฟังก์ชันอำนวยความสะดวกระดับเฟิร์สคลาส พร้อมรองรับการชาร์จเร็ว 280 kW และวิ่งได้ไกลสุด 620 กิโลเมตร (NEDC) โดยภายในงานได้มีการเปิดตัวสีใหม่ล่าสุด “Moonstone Gray” ที่เข้ามาเติมเต็มความสมบูรณ์แบบให้ลงตัวยิ่งขึ้น

    GAC M8 PHEV: ยานยนต์ MPV ปลั๊กอินไฮบริดระดับพรีเมียม ที่ผสานความหรูหรา โอ่อ่า สะดวกสบาย เข้ากับเทคโนโลยีขับเคลื่อนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตอบโจทย์ผู้บริหารและครอบครัวใหญ่ที่ต้องการความสมบูรณ์แบบ

    GAC AION Y Plus: รถยนต์ไฟฟ้าครอสโอเวอร์ยอดนิยม ที่ยังคงครองใจผู้บริโภคด้วยพื้นที่ห้องโดยสารที่ปรับเปลี่ยนได้หลากหลาย และฟังก์ชันการใช้งานที่คุ้มค่าเกินราคา

    นอกเหนือจากยานยนต์ไฟฟ้าที่ขับเคลื่อนบนท้องถนนแล้ว GAC AION Thailand ยังได้สร้างความฮือฮาด้วยการนำ “Govy AirCab” ยานยนต์บินได้ มาจัดแสดงภายในงาน ซึ่งถือเป็นการตอกย้ำวิสัยทัศน์ของ GAC Group ในการเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมการเดินทางแห่งอนาคต (Future Mobility) ที่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่บนพื้นดิน แต่พร้อมที่จะพาทุกคนก้าวข้ามขีดจำกัดสู่การเดินทางบนท้องฟ้า สะท้อนถึงศักยภาพทางเทคโนโลยีอันไร้ขีดจำกัดของแบรนด์

    GAC AION Thailand พร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนสังคมไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ด้วยยานยนต์ไฟฟ้าที่มีคุณภาพ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าของคนไทยทุกคน

    ผู้ที่สนใจรถยนต์พลังงานใหม่จาก GAC AION Thailand สามารถดูรายละเอียดและเงื่อนไขเพิ่มเติมได้ทางเว็บไซต์
    www.aionauto.com/th-th/
    และลงทะเบียนเพื่อทดลองขับได้ที่ www.aionauto.com/th-th/test-drive/AION%20V

    ]]>
    1551547
    STANLEY 1913 สร้างปรากฏการณ์เปิดตัวคอลเลกชันใหม่ พร้อมการ Collaboration สุดเอ็กซ์คลูซีฟกับนักฟุตบอลระดับโลกและสโมสรฟุตบอลดัง https://positioningmag.com/1551537 Fri, 12 Dec 2025 11:53:58 +0000 https://positioningmag.com/?p=1551537 Stanley 1913 (สแตนลีย์) แบรนด์ไลฟ์สไตล์ระดับโลกที่ขึ้นชื่อด้านดีไซน์โดดเด่น และคุณภาพที่ไว้วางใจได้ เปิดตัวคอลเลกชันล่าสุดอย่างยิ่งใหญ่ ภายใต้ความร่วมมือสุดพิเศษกับซูเปอร์สตาร์ลูกหนังระดับตำนาน “ลิโอเนล เมสซี” รวมถึงสองสโมสรฟุตบอลระดับโลกอย่าง “อาร์เซนอล” และ “ปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง” ต่อยอดภาพลักษณ์แบรนด์สู่วงการกีฬาและแฟนฟุตบอลทั่วโลก

    โดยทั้ง 3 คอลเลกชัน ได้แก่ Messi x Stanley 1913 GOAT Black, Stanley 1913 x Arsenal This is Homage และ Stanley 1913 x Paris Saint-Germain พร้อมถ่ายทอดตัวตน เอกลักษณ์ และพลังแห่งความเชื่อ ผ่านดีไซน์ที่สะท้อนประวัติศาสตร์ ความผูกพัน และเส้นทางสู่ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ร่วมกันของสโมสร นักฟุตบอล และแฟนบอล จนออกมาเป็นผลงานที่ทั้งโดดเด่นและเปี่ยมด้วยความหมายในแบบฉบับเฉพาะของ Stanley 1913 สำหรับนักสะสมและแฟนกีฬาทั่วโลกโดยแท้จริง

    คอลเลกชัน Messi x Stanley 1913 GOAT Black

    Stanley 1913 ถ่ายทอดแรงบันดาลใจจากตัวตนของ “ลิโอเนล เมสซี” หนึ่งในนักฟุตบอลผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล ผู้ได้รับการยกย่องให้เป็น GOAT (Greatest of All Time) โดยหยิบยกจุดเด่นในด้านความมุ่งมั่น การอุทิศตน และการฝึกฝนอย่างหนักจนกลายเป็นนักเตะผู้เปี่ยมไปด้วยความสามารถและพรสวรรค์ ที่สร้างผลงานอันน่าทึ่งทุกครั้งที่ลงสนาม มาตีความใหม่ผ่านผลิตภัณฑ์หลากหลายชิ้นในดีไซน์ Pebbled GOAT Black ตัดด้วยลูกเล่นสี Rose Gold อันโดดเด่น ดังต่อไปนี้:

    • แก้วเก็บอุณหภูมิ Messi x Stanley 1913 Quencher® ProTour Flip Straw Tumbler (ขนาด 1.18 ลิตร / 40 ออนซ์): แก้วเก็บอุณหภูมิรุ่น Quencher® มาพร้อมฝาปิดแบบ ProTour Flip Straw ป้องกันการรั่วซึม ทำให้การจิบน้ำเป็นเรื่องง่ายเพียงพลิกหลอดดูดในตัว ก็พร้อมเติมพลังได้ทันทีทั้งในและนอกสนาม

    • ขวดน้ำเก็บอุณหภูมิ Messi x Stanley 1913 IceFlow™ Flip Straw 2.0 Bottle (ขนาด 0.71 ลิตร / 24 ออนซ์): มาพร้อมเทคโนโลยี AeroLight™ ที่ทำให้น้ำหนักเบากว่าขวดน้ำสแตนเลสทั่วไปถึง 33% แต่ไม่ลดทอนความทนทาน มาพร้อมหลอดดูดในตัวที่ทำให้การเติมพลังเป็นเรื่องง่ายดาย

    • แก้วเก็บอุณหภูมิ Messi x Stanley 1913 IceFlow™ Flip Straw 2.0 Tumbler (ขนาด 0.89 ลิตร / 30 ออนซ์): แก้วเก็บอุณหภูมิพร้อมหลอดดูดในตัว IceFlow™ Tumbler ผลิตจากพลาสติกรีไซเคิลที่ช่วยลดปริมาณขยะลงสู่แหล่งน้ำ เพื่อสนับสนุนไลฟ์สไตล์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

    คอลเลกชัน Stanley 1913 x Arsenal This is Homage

    “อาร์เซนอล” หนึ่งในสโมสรฟุตบอลอังกฤษระดับตำนานที่มีคอบอลนับล้านคนทั่วโลกประกาศตัวเป็นแฟน ไม่ใช่เพราะ “เลือก” ที่จะสนับสนุน แต่เพราะนี่คือสิ่งที่แฟนอาร์เซนอลทุกคน “รู้สึก”

    คอลเลกชันพิเศษนี้เป็นผลงานสร้างสรรค์ของ Stanley 1913 เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองประวัติศาสตร์อันยาวนาน  และคุณค่าที่ทั้งสองแบรนด์ยืนหยัดร่วมกัน โดยมีจุดร่วมสำคัญคือปี ค.ศ. 1913 ซึ่งเป็นปีเดียวกันที่ทั้ง “ปืนใหญ่” อาร์เซนอล และ Stanley ได้ถือกำเนิดขึ้น โดยแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์คอลเลกชันนี้มาจากประสบการณ์การชมฟุตบอลแมตช์แรก ตั้งแต่ก้าวแรกที่เดินเข้าสู่สนาม เสียงเชียร์อันกึกก้อง ความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกันของผู้คน ไปจนถึงจังหวะหัวใจของฝูงชนที่ยังดังก้องอยู่แม้หลังเสียงนกหวีดสุดท้าย ทั้งหมดถูกถ่ายทอดสู่หลากหลายผลิตภัณฑ์ ได้แก่:

    • แก้วเก็บอุณหภูมิ Stanley 1913 x Arsenal Quencher® ProTour Flip Straw Tumbler (ขนาด 1.18 ลิตร / 40 ออนซ์): แก้วเก็บอุณหภูมิที่พร้อมให้เปิดและจิบน้ำได้อย่างรวดเร็วและง่ายดายโดยไม่ต้องกังวลเรื่องการรั่วซึม หรือหกเลอะเทอะ ด้วยฉนวนสุญญากาศสองชั้นจึงช่วยรักษาความเย็นได้นานหลายชั่วโมง ไม่ว่าจะกำลังฝึกซ้อมหรือเชียร์ทีมโปรดอยู่บนอัฒจันทร์ และด้วยความจุ 1.18 ลิตร จึงเหมาะสำหรับการเดินทางไกล พร้อมให้เติมพลังได้ทุกการพักครึ่งเวลา การต่อเวลาพิเศษ และตลอดการเดินทางกลับบ้าน

    • ขวดน้ำเก็บอุณหภูมิ Stanley 1913 x Arsenal IceFlow™ Bottle Flip Straw 2.0 (ขนาด 0.71 ลิตร / 24 ออนซ์): ที่ออกแบบมาเพื่อเติมพลังให้แฟนฟุตบอลทั้งในและนอกสนาม พร้อมให้ดื่มน้ำได้ทุกเวลาที่ต้องการ หลอดดูดในตัวจะช่วยให้ดื่มน้ำได้ง่ายโดยไม่ต้องละสายตาจากเกมการแข่งขัน ที่จับพับได้แข็งแรงและทดทานพร้อมด้วยฉนวนสุญญากาศสองชั้น เครื่องดื่มจึงคงความเย็นได้นานถึง 12 ชั่วโมง หรือคงความเย็นแบบมีน้ำแข็งได้นานถึง 48 ชั่วโมง

    • แก้วเก็บอุณหภูมิ Stanley 1913 x Arsenal Adventure Stacking Tumbler (ขนาด 0.47 ลิตร / 16 ออนซ์): แก้วน้ำที่ออกแบบมาเพื่อทุกแมตช์สำคัญ ผลิตจากสแตนเลสสตีลที่มีความทนทานและใช้งานได้ยาวนาน เหมือนเช่นความรักที่มีต่อสโมสรสุดโปรด ด้วยฉนวนสุญญากาศแก้วน้ำใบนี้จึงรักษาอุณหภูมิให้เหมาะสมได้นานถึง 4 ชั่วโมง พร้อมพกพาไปฉลองชัยทีมโปรดได้ทุกที่

    คอลเลกชัน Stanley 1913 x Paris Saint-Germain

    คอลเลกชัน Stanley 1913 x Paris Saint-Germain หยิบเอาแรงบันดาลใจจากการเดินทางอันยาวไกลของ “ปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง” สโมสรฟุตบอลเก่าแก่ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดและได้รับความนิยมมากที่สุดของปารีส ด้วยความเชื่อมั่นและความมุ่งมั่นที่พาทั้งทีมและแฟนๆ ก้าวไปพบกับความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ร่วมกัน นำมาสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ได้แก่:

    • แก้วเก็บอุณหภูมิ Stanley 1913 x Paris Saint-Germain Quencher® ProTour Flip Straw Tumbler (ขนาด 1.18 ลิตร/ 40 ออนซ์): ดีไซน์ที่สะท้อนดีเอ็นเอของ Stanley 1913 และ ปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง โดดเด่นด้วยตราสัญลักษณ์ของสโมสร และแบรนด์ Stanley 1913 ไม่ว่าจะอยู่ในสวนสาธารณะ ฝึกซ้อมฟุตเวิร์ค หรืออยู่ขอบสนาม แก้วน้ำใบนี้พร้อมที่จะทำให้การดื่มน้ำเป็นเรื่องง่าย เพียงแค่พลิกหลอดดูดขึ้นเพื่อจิบ จากนั้นปิดให้สนิทก็กันการรั่วซึมได้ทันที ฉนวนสุญญากาศสองชั้นทำให้รักษาความเย็นได้นานหลายชั่วโมง ทั้งยังพกพาใส่กระเป๋าไปได้ทุกที่

    • ขวดน้ำเก็บอุณหภูมิ Stanley 1913 x Paris Saint-Germain IceFlow™ Flip Straw Tumbler (ขนาด 0.71 ลิตร / 24 ออนซ์): ด้วยดีไซน์โดดเด่นพร้อมให้ดื่มน้ำได้ทุกเวลาที่ต้องการ มีเทคโนโลยี AeroLight™ ที่ทำให้ขวดน้ำเก็บอุณกหูมิมีน้ำหนักเบา ทั้งยังรักษาความเย็นของน้ำในขวดได้นาน เหมาะสำหรับพกพาไปได้ทุกที่ และเป็นเพื่อนคู่ใจที่สมบูรณ์แบบ

    • แก้วเก็บอุณหภูมิ Stanley 1913 x Paris Saint-Germain Adventure Stacking Tumbler (ขนาด 0.47 ลิตร / 16 ออนซ์): ผลิตจากสแตนเลสสตีลที่มีความทนทานและใช้งานได้ยาวนาน มีฉนวนสุญญากาศทำให้รักษาอุณหภูมิให้เหมาะสมได้นานถึง 4 ชั่วโมง พร้อมพกพาไปเชียร์นักเตะทีมโปรดได้ทุกที่

    ความร่วมมือระหว่าง Stanley 1913 กับลิโอเนล เมสซีและสองสโมรสรฟุตบอลระดับโลกในครั้งนี้ นับเป็นก้าวสำคัญที่หลอมรวมโลกของไลฟ์สไตล์เข้ากับวัฒนธรรมฟุตบอลอย่างเต็มรูปแบบ โดย Stanley 1913 เชื่อมโยงภาพลักษณ์ของแบรนด์เข้ากับพลัง ความหลงใหล และสปิริตของกีฬาฟุตบอล ซึ่งเป็นหนึ่งในวัฒนธรรมร่วมของคอบอลทั่วโลก การจับมือกับซูเปอร์สตาร์และสโมสรระดับตำนาน ไม่เพียงสะท้อนทิศทางใหม่ของแบรนด์ที่ต้องการขยายสู่โลกกีฬา แต่ยังตอบรับกระแสสปอร์ตไลฟ์สไตล์ที่โดนใจผู้คนทั่วโลก ด้วยการนำเสนอสินค้าที่เป็นได้ทั้งไอเท็มแฟชั่นและอุปกรณ์คู่ใจของผู้ที่รักการใช้ชีวิตประจำวันสุดแอคทีฟ

    Stanley 1913 พร้อมเปิดตัวทั้ง 3 คอลเลกชันนี้อย่างเป็นทางการ โดยจัดจำหน่ายผ่านช่องทางหลักออนไลน์ ตั้งแต่วันที่ 12 ธ.ค. นี้ เป็นต้นไป และ Stanley Pop-up Store ได้แก่ เซ็นทรัลเวิลด์ ชั้น 2 โซน I, เซ็นทรัล ลาดพร้าว ชั้น 1, สยามพารากอน ชั้น 2 (โซน ดีพาร์ทเม้นท์สโตร์) และ ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค ชั้น 2 เพื่อให้คอลเลกชันสุดพิเศษนี้เป็นประสบการณ์ที่แฟนบอลและแฟน Stanley 1913 จะต้องจดจำไปอีกนาน ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Website: https://th.stanley1913.com หรือ LINE OA: @stanleythailand

    สั่งซื้อออนไลน์:

    Messi x Stanley 1913 GOAT Black: https://th.stanley1913.com/collections/messi-x-stanley-1913

    Stanley 1913 x Arsenal This is Homage: https://th.stanley1913.com/collections/stanley-1913-x-arsenal

    Stanley 1913 x Paris Saint-Germain: https://th.stanley1913.com/collections/stanley-1913-x-paris-saint-germain

     

    ]]>
    1551537
    เซ็นทรัล รีเทล ปักธงค้าปลีก-ค้าส่งยั่งยืน จับมือกรุงศรี อัด Green Loan 2,000 ล้านบาท สร้างห่วงโซ่ธุรกิจพลังงานสะอาด เดินหน้าสู่เป้าหมาย Net Zero https://positioningmag.com/1551531 Fri, 12 Dec 2025 11:48:07 +0000 https://positioningmag.com/?p=1551531 บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC มุ่งมั่นขับเคลื่อนธุรกิจ ภายใต้วิสัยทัศน์ “Retail and Wholesale for All” องค์กรที่พร้อมเติบโตไปกับผู้คน ชุมชน และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน โดยเซ็นทรัล รีเทล ได้เริ่มต้นเส้นทางสู่เป้าหมาย Net Zero มาอย่างต่อเนื่องและเป็นรูปธรรม โดยในเดือนตุลาคมที่ผ่านมาได้ทำการออกหุ้นกู้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมหรือ Green Bond เป็นครั้งแรกในธุรกิจค้าปลีก-ค้าส่งของไทย มูลค่า 1,000 ล้านบาท ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามจากนักลงทุนสถาบัน และเพื่อต่อยอดความสำเร็จจาก Green Bond เซ็นทรัล รีเทล ได้จับมือกับธนาคารกรุงศรีฯ จัดหาเงินทุนเพิ่มเติมผ่านสินเชื่อสีเขียวหรือ Green Loan มูลค่า 2,000 ล้านบาท เพื่อขยายผลลัพธ์ด้านสิ่งแวดล้อม และเสริมศักยภาพองค์กรสู่การเป็นค้าปลีก-ค้าส่งสีเขียวอย่างเต็มรูปแบบ

    นายปเนต มหรรฆานุรักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการเงิน บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “เซ็นทรัล รีเทล มุ่งหน้าสู่เป้าหมาย Net Zero ในปี 2593 และพร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ไขปัญหา Climate Change ที่เป็นความท้าทายสำคัญในโลกปัจจุบัน โดยเราได้ยกระดับเรื่อง Green Finance มาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เป็นพลังสำคัญในการสร้างผลกระทบเชิงบวกด้านสิ่งแวดล้อม และเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจในระยะยาว โดยการจัดหาสินเชื่อสีเขียว มูลค่า 2,000 ล้านบาท ในครั้งนี้ ถือเป็นส่วนหนึ่งของพอร์ตโฟลิโอด้านความยั่งยืนที่ต่อยอดจากความสำเร็จของการออก Green Bond เพื่อใช้ในการขยายโครงการด้านพลังงานสะอาดและลดการปล่อยคาร์บอน โดยโฟกัสที่การเพิ่มจำนวนสถานที่ติดตั้งโซลาร์เซลล์ ขยายการใช้รถบรรทุกและจักรยานยนต์ไฟฟ้า (EV Transportation) ในศูนย์กระจายสินค้าและการจัดส่งสินค้าทั้งแบบระยะทางสั้นและยาว รวมถึงโครงการตู้เย็นประหยัดพลังงาน และโคมไฟถนนพลังงานแสงอาทิตย์อัจฉริยะ ซึ่งคาดว่าโครงการเหล่านี้จะมีส่วนช่วยลดคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า 324,552 ตันต่อปี และตอกย้ำบทบาทของเซ็นทรัล รีเทล ในฐานะผู้นำธุรกิจค้าปลีก-ค้าส่งที่มุ่งเป้าหมายการเติบโตอย่างยั่งยืนในทุกมิติ”

    ทั้งนี้ตลอดเส้นทางสู่ Net Zero ที่ผ่านมา เซ็นทรัล รีเทล ได้จัดทำโครงการต่างๆ ภายใต้กลยุทธ์ ReNEW มาอย่างต่อเนื่อง และครบทุกมิติในด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งสามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกได้อย่างเป็นรูปธรรม อาทิ (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567)

    • การติดตั้งโซลาร์เซลล์บนหลังคาศูนย์การค้า อาคาร และคลังสินค้ากว่า 160 แห่งในไทยและเวียดนาม ซึ่งช่วยลดคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า 86,612 ตันต่อปี

    • การใช้รถบรรทุกและจักรยานยนต์ไฟฟ้ารวม 76 คัน ในศูนย์กระจายสินค้าและการจัดส่งสินค้า ซึ่งช่วยลดการใช้น้ำมันดีเซลกว่า 661,806 ลิตรต่อปี และลดคาร์บอนอีก 1,740 เมตริกตันต่อปี

    • โครงการตู้เย็นประหยัดพลังงานในท็อปส์ และโก โฮลเซลล์ กว่า 2,163 ตู้ ซึ่งช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 8,741 ตันต่อปี

    ด้านนายประกอบ เพียรเจริญ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่และวาณิชธนกิจ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ทางธนาคารกรุงศรีฯ มีความยินดีที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในก้าวสำคัญและสานต่อความร่วมมือกับบริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ในฐานะพันธมิตรที่แข็งแกร่งในการขับเคลื่อนการเงินเพื่อความยั่งยืน ผ่านการสนับสนุนสินเชื่อสีเขียวครั้งนี้ โดยภาคธุรกิจค้าปลีกนับเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนประเทศสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ ทั้งในมิติของห่วงโซ่อุปทานและพฤติกรรมผู้บริโภค การดำเนินงานอย่างเป็นรูปธรรมของ เซ็นทรัล รีเทล ทั้งโครงการด้านพลังงานสะอาดและการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน สะท้อนถึงวิสัยทัศน์ด้านความยั่งยืนที่ชัดเจนและความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนธุรกิจบนพื้นฐานของการเติบโตอย่างรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของธนาคารกรุงศรีฯ ทั้งนี้ กรุงศรีมุ่งมั่นที่จะเดินหน้าสนับสนุนลูกค้าธุรกิจในทุกภาคส่วนให้เข้าถึงแหล่งเงินทุน เพื่อร่วมเปลี่ยนผ่านและเสริมสร้างธุรกิจที่เติบโตอย่างมีความรับผิดชอบและยั่งยืนไปด้วยกัน”

     

    ]]>
    1551531
    ทรู คอร์ปอเรชั่น ลุย UP สัญญาณ 5G UP ความสุข หนุนงาน “Wonderfruit 2025” รองรับนักท่องเที่ยวไทย-ต่างชาติเยือนเทศกาลดนตรี จ.ชลบุรี https://positioningmag.com/1551525 Fri, 12 Dec 2025 11:43:47 +0000 https://positioningmag.com/?p=1551525 ทรู คอร์ปอเรชั่น ชู “Power UP True Network” สู่ดิจิทัลไลฟ์สไตล์ในงาน Wonderfruit 2025 เทศกาลดนตรีและศิลปะ พื้นที่ทางวัฒนธรรมของคนรุ่นใหม่ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 11–15 ธันวาคม 2568 ณ The Fields สยาม  คันทรีคลับ จังหวัดชลบุรี ดึงดูดทั้งคนไทยและชาวต่างชาติให้มารวมตัวกันทุกปี โดยทรู คอร์ปอเรชั่น ได้เพิ่มสัญญาณมือถือในบริเวณการจัดงานด้วยการเสริมศักยภาพโครงข่าย 5G และ 4G ครอบคลุมพื้นที่ The Fields มุ่งอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ให้เชื่อมต่อประสบการณ์ดิจิทัลได้อย่างไร้รอยต่อ

    ทีมเน็ตเวิร์กของ ทรู คอร์ปอเรชั่น ได้ติดตั้งสถานีฐานเฉพาะกิจ (Temporary Sites) เพื่อเพิ่มสัญญาณ 5G และ 4G ให้ครอบคลุมพื้นที่จัดงาน รองรับความหนาแน่นของผู้ใช้งานแบบเรียลไทม์ในทุกโซนกิจกรรม ตั้งแต่เวทีการแสดงที่มีมากถึง 40 เวที โรงละครธรรมชาติ ไปจนถึงพื้นที่ฟลอร์เต้นรำลับในป่าเพื่อให้มั่นใจว่าทุกการเชื่อมต่อจะมีประสิทธิภาพสูงท่ามกลางบรรยากาศเทศกาล

    การเสริมสัญญาณ 5G และ 4G รองรับการจัดแสดงดนตรี ทั้ง 40 เวที รวมทั้งโรงละครธรรมชาติไปจนถึงฟลอร์เต้นรำลับในป่า ทั้งนี้ ความสำคัญของการขยายสัญญาณ 5G จะเพิ่มศักยภาพไลฟ์สไตล์ชีวิตดิจิทัลด้วยการเชื่อมต่อการใช้งาน Wonder App ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันทำหน้าที่เป็นหัวใจหลักของงาน สำหรับผู้เข้าร่วมกิจกรรม Wonderfruit 2025 อาทิ การใช้ Map นำทาง ดูไฮไลต์กิจกรรม จัดตารางความชอบ แชร์แพลนกับเพื่อน รวมถึงติดตามกิจกรรมสำคัญผ่านแอปตลอดงาน

    การเพิ่มสัญญาณ 5G และ 4G ในครั้งนี้ ยังมีนัยสำคัญเพื่อรองรับการใช้งาน “Wonder App” ซึ่งเปรียบเสมือนหัวใจหลักของผู้ร่วมงาน Wonderfruit 2025 โดยแอปพลิเคชันดังกล่าวจะต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต โดยเพื่อการใช้งานฟีเจอร์สำคัญ อาทิ แผนที่นำทาง (Map), การเช็กตารางกิจกรรม (Highlights & Schedule), การวางแผนร่วมกับเพื่อน (Plan Sharing) รวมถึงการติดตามข่าวสารภายในงานตลอด 24 ชั่วโมง เป็นต้น

    นอกจากนี้ การเสริมสัญญาณ 5G ครั้งนี้ได้ถูกออกแบบเพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ดิจิทัลในการใช้งานแอปพลิเคชันและโซเชียลมีเดียต่างๆ ในการเชื่อมต่อกับกิจกรรมต่างๆ ผ่านความคิดสร้างสรรค์ และมาพร้อมการค้นพบแนวคิดและวัฒนธรรมใหม่ๆ ที่น่าสนใจ ทีมทรู คอร์ปอเรชั่น พร้อมที่จะตอบสนองประสบการณ์ใช้งานดิจิทัลของลูกค้าทรูมูฟ เอช และดีแทค โดยเพิ่มสัญญาณทั้ง 5G และ 4G รองรับการเชื่อมต่อพร้อมกันจำนวนมากจึงเป็นปัจจัยสำคัญ ทั้งในมิติยกระดับประสบการณ์ผู้ร่วมงาน การขับเคลื่อนการท่องเที่ยว จ.ชลบุรี และการยกระดับภาพลักษณ์ดิจิทัลของไทยในเทศกาลดนตรีชื่อดังของไทย ที่ดึงดูดทั้งนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติให้มาร่วมงานในทุกๆ ปี

    ]]>
    1551525
    โรบินสันไลฟ์สไตล์จัดเต็มคอนเสิร์ตใหญ่รวมศิลปินหลากหลายสไตล์ อัดแน่นความบันเทิงตลอดทั้งเดือนชวนมันส์ส่งท้ายปี! วันที่ 5 – 31 ธ.ค. 68 ที่โรบินสันไลฟ์สไตล์ทั่วประเทศ https://positioningmag.com/1551517 Fri, 12 Dec 2025 10:14:32 +0000 https://positioningmag.com/?p=1551517 ศูนย์การค้าโรบินสันไลฟ์สไตล์ ในเครือเซ็นทรัล รีเทล ตอกย้ำความเป็นการเป็น Central to Life หรือศูนย์กลางชีวิตของทุกคนที่พร้อมเติมเต็มประสบการณ์ความสุขในทุกวันและทุกโอกาส โดยเฉพาะช่วงเทศกาลส่งท้ายปีที่ทุกคนรอคอย พร้อมชวนทุกคนมามันส์แบบครบทุกฟีลในคอนเสิร์ตสุดยิ่งใหญ่ อัดแน่นความบันเทิงกว่า 20 โชว์ทั่วประเทศ จัดเต็มความสนุกแบบ Non-stop ให้ลูกค้าได้สัมผัสประสบการณ์คอนเสิร์ตหลากหลายแนว ครบทุกสไตล์ ไม่ว่าจะเป็นสายอินดี้ สายหวาน สายมันส์ หรือสายแดนซ์ พร้อมไลน์อัปศิลปินชื่อดังทั่วประเทศ ที่จะมาระเบิดพลังความบันเทิงตลอดเดือน เสิร์ฟความสุขให้ทุกคนได้เพลิดเพลินอย่างต่อเนื่องในทุกสุดสัปดาห์ตั้งแต่วันที่ 5 ธ.ค.68 – 31 ธ.ค. 68 ณ โรบินสันไลฟ์สไตล์ ทั่วประเทศ

    เตรียมสนุกให้สุดกับคอนเสิร์ตสุดมันส์จากศิลปินชื่อดังหลากหลายแนว ที่จะผลัดเปลี่ยนกันมามอบสีสันความบันเทิงที่
    โรบินสันไลฟ์สไตล์ ทั่วประเทศในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีนี้ ได้แก่

    โรบินสันไลฟ์สไตล์ ปราจีนบุรี ในงาน Indy Music Fest
    5 ธ.ค. 68 เปิดความมันส์เดือนไปกับ “กิตแอม” ศิลปินเสียงทรงพลัง กับสไตล์อินดี้ป๊อปอบอุ่น
    6 ธ.ค. 68 สนุกแบบม่วนหลาย!ไปกับ “ลำไย ไหทองคำ” ลูกทุ่งโมเดิร์นสุดคึกคัก จังหวะมันส์ ฟังง่าย เต้นตามได้ทุกช่วง ฮิตโดนใจสายลูกทุ่ง
    7 ธ.ค. 68 ต่อด้วย “เม้ก อภิสิทธิ์” อินดี้ฟีลละมุนเสียงเท่มีเอกลักษณ์ ถ่ายทอดความอบอุ่น

    โรบินสันไลฟ์สไตล์ ชัยภูมิ ในงานเทศกาลปิ้งย่าง
    16 ธ.ค. 68 ค่ำคืนแห่งบทเพลงเพื่อชีวิตกับ “พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ” ตำนานเสียงจริง ถ่ายทอดอารมณ์เพลงลึกซึ้งกินใจ
    17 ธ.ค. 68 ดำดิ่งไปกับ “มนัสวีร์” วงดนตรีแนว โฟล์คร็อค ที่มีเอกลักษณ์ด้วยเนื้อหาเพลงเศร้า ซึ้ง ประทับใจ
    18 ธ.ค. 68 เต็มที่กับความสนุกแบบลูกทุ่งอีสานอินดี้ที่กำลังมาแรง กับ “บุ๊ค ศุภกาญจน์” เจ้าของเพลงติดหูมากมาย ซึ่งผสมผสานดนตรีลูกทุ่งกับเพื่อชีวิตเข้ากันอย่างลงตัว
    19 ธ.ค. 68 ละมุนหัวใจกับ “ดิว อรุณพงศ์ ”ป๊อปอบอุ่น ถ่ายทอดเพลงช้าสไตล์ Easy Listening ชวนเคลิ้มทุกโน้ต
    20 ธ.ค. 68 ปิดท้ายด้วยดีว่าสาว กับ “ปราง ปรางทิพย์” กับสไตล์เพลงลูกทุ่งฟิวชั่นด้วยน้ำเสียงที่เป็นเอกลักษณ์

    โรบินสันไลฟ์สไตล์ ชัยภูมิ
    24 ธ.ค. 68 ระเบิดความมันส์แบบตำนานไปกับคอนเสิร์ต “คาราบาว” ร็อกเพื่อชีวิตพลังล้น พร้อมเพลงฮิตที่ทุกคนร้องตามได้ทั้งงาน

    โรบินสันไลฟ์สไตล์ บ่อวิน ในงาน Winter Fun Town
    20 ธ.ค. 68 ซึ้งกินใจไปกับ “จิ๋ว สกุณชัย” สัมผัสน้ำเสียงคนซื่อ ที่ถ่ายทอดอารมณ์เพลงได้อย่างลึกซึ้ง
    21 ธ.ค. 68 สนุกกันต่อด้วย “เต๋า ภูศิลป์” เจ้าของเพลงดังอย่าง “ก้อนขี้ฟ้า”, “ความคึดฮอดบ่เคยพาไผกลับมา”, “อ้อมกอดเขมราฐ” และเพลงที่ผสมผสานกลิ่นอายอีสานสมัยใหม่กับดนตรีร่วมสมัย

    โรบินสันไลฟ์สไตล์ สระบุรี ในงาน Foodfest 3
    19 ธ.ค. 68 ปลุกพลังสายฮิปฮอปกับ “URBOY TJ” จังหวะฮิปฮอป-อาร์แอนด์บีสุดเท่ เจ้าของเพลงดังเพียบ
    20 ธ.ค. 68 สายอินดี้ต้องโดน! กับ “LITTLE JOHN สามานย์” ซาวด์อินดี้ดาร์กจัดจ้าน เท่สะดุดหู
    21 ธ.ค. 68 มันส์ต่อกับ “DR.FUU” กับป็อปร็อก และ อินดี้ร็อก กับเพลงที่มีทำนองติดหู เนื้อหาตรงไปตรงมา และสไตล์การร้องที่น่ารัก

    โรบินสันไลฟ์สไตล์ สระบุรี ในงาน เคาท์ดาวน์ 2026
    26 ธ.ค. 68 ค่ำคืนสุดมันส์กับ “LHAM SOMPHOL” ศิลปินฝีมือจัดจ้าน ทั้งเสียงร้องและแนวดนตรีอันเป็นเอกลักษณ์
    27 ธ.ค. 68 ปล่อยพลังไปกับ “SARAN” แรปเปอร์รุ่นใหม่สไตล์ดุดันเล่าเรื่องที่เข้มข้น จังหวะคม การันตีความมันส์
    28 ธ.ค. 68 ร็อกให้สุดกับ “ลาบานูน” วงร็อกขวัญใจคนไทย เพลงฮิตเยอะและเวทีสุดมันส์
    29 ธ.ค. 68 ระเบิดพลังความมันส์กับ “ดา (DA)” ร็อกดีว่าเสียงทรงพลัง เจ้าของซาวด์ร็อก-ป๊อปเร้าใจ เจ้าของเพลงฮิตมากมาย และต่อด้วยความละมุนจาก “มนัสวีร์” แนวลูกทุ่งอินดี้เสียงหวาน ถ่ายทอดเพลงเศร้าและเพลงรักได้กินใจสุด ๆ
    30 ธ.ค. 68 สนุกสะใจไปกับ “ไททศมิตร” กับดนตรีร็อกและอินดี้เพื่อชีวิต ที่มีสไตล์เฉพาะตัวโดดเด่นด้วยเนื้อหาที่เข้มข้นและดนตรีที่หลากหลาย สะท้อนชีวิตผู้คนได้อย่างถึงแก่น
    31 ธ.ค. 68 ส่งท้ายปีอย่างมันส์สุดสำหรับคืนเคาท์ดาวน์กับ “LITTLE JOHN” วงดนตรีร็อกน้องใหม่พลังเต็ม ซาวด์สนุก และ “NAP THE NAP” ศิลปินแนวร็อกและอัลเทอร์เนทีฟร็อกที่ผสมผสานความหนักหน่วงและดนตรีที่มีกลิ่นอายใหม่ๆ เข้ากับเสียงร้องที่เป็นเอกลักษณ์

    นอกจากความสนุกบนเวทีคอนเสิร์ตแล้ว โรบินสันไลฟ์สไตล์ยังชวนลูกค้ามาเพลิดเพลินกับบรรยากาศการช้อปปิ้งช่วงปลายปีในแบบที่ครบครัน ทั้งกิน – ช้อป – เที่ยว มอบความคุ้มค่าจัดเต็มกับโปรโมชันลดทั้งศูนย์การค้าฯ สูงสุดถึง 80% พร้อมลุ้นและรับฟรีของรางวัลรวมกว่า 5 ล้านบาท ตลอดแคมเปญตั้งแต่วันที่ 12 พ.ย.68 – 4 ม.ค.69 ในทุกสาขาทั่วประเทศ เพื่อให้ลูกค้าทั้งครอบครัวได้เฉลิมฉลองช่วงเวลาแห่งความสุขอย่างคุ้มค่าและประทับใจที่สุด

    ร่วมสัมผัสประสบการณ์ความสุขส่งท้ายปีแบบครบทุกมิติ และเต็มพลังความมันส์ไปกับคอนเสิร์ตจากศิลปินดัง สร้างโมเมนต์ความสนุกและความสุขไปด้วยกัน ตั้งแต่วันที่ 5ธ.ค. 68 – 31 ธ.ค. 68 ณ ศูนย์การค้าโรบินสันไลฟ์สไตล์ทั่วประเทศ

    ติดตามข้อมูลข่าวสาร โปรโมชัน และกิจกรรมใหม่ของศูนย์การค้าโรบินสันไลฟ์สไตล์ ผ่านทาง Facebook Page: RobinsonLifestyle (https://www.facebook.com/RobinsonLifestyleMall)

    #โรบินสันไลฟ์สไตล์ #RobinsonLifestyle

     

    ]]>
    1551517
    Central Park x LINE MAN Wongnai เปิดแลนด์มาร์กความอร่อยใจกลางเมือง ยกทัพร้าน Users’ Choice กว่า 50 ร้าน ที่โซน PARKSIDE MARKET ชั้น LG วันนี้ – 31 มี.ค. 69 https://positioningmag.com/1551512 Fri, 12 Dec 2025 10:10:44 +0000 https://positioningmag.com/?p=1551512 สายกินเตรียมปักหมุด! เซ็นทรัล พาร์ค จับมือ LINE MAN Wongnai เปิดตัวแคมเปญสุดเอ็กซ์คลูซีฟ “LINE MAN Wongnai Users’ Choice x Central Park FOODIES HUB” เนรมิตโซน Parkside Market ชั้น LG ให้กลายเป็นศูนย์รวมร้านอร่อยระดับรางวัล Users’ Choice กว่า 50 ร้านดังจากทั่วประเทศ มาไว้ในที่เดียว ใจกลาง Super Core CBD ให้สายฟู้ดได้ตะลุยชิมแบบครบ จบทั้งกิน–ช้อป–ชิลล์ ต่อเนื่องยาวถึง 4 เดือนเต็ม ตั้งแต่วันนี้ – 31 มีนาคม 2569 พร้อมชวนทุกคนมาเปิดประสบการณ์ความอร่อยแบบ ครบทุกสไตล์ ทุกช่องทาง จะสั่ง Delivery ผ่าน LINE MAN มาฟินที่บ้านก็ได้ จะสั่งล่วงหน้าแล้วแวะรับแบบ Pick & Go ก็สะดวกรวดเร็ว หรืออยากออกมาสัมผัสบรรยากาศและลิ้มลองด้วยตัวเองที่ Parkside Market ก็เดินทางง่ายสุด ๆ ด้วยบริการเรียกรถ LINE MAN RIDE ครบจบทุกทริปของสายกิน สะท้อนวิสัยทัศน์ของ Central Park ในการยกระดับกรุงเทพฯ สู่การเป็น ‘Culinary Landmark of Asia’ ผ่านการสร้าง Food Destination ที่เชื่อมโยงคนเมือง ครอบครัว และนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ผสานจุดแข็งของ LINE MAN Wongnai และมาตรฐานรางวัล Users’ Choice จากเสียงนักชิมจริงทั่วประเทศ เพื่อร่วมกันผลักดันกรุงเทพฯ ให้ก้าวสู่หนึ่งใน Food Destination ชั้นนำระดับโลก

    ยกทัพเสิร์ฟร้านอร่อยกว่า 50 ร้านรางวัล Users’ Choice ที่ เซ็นทรัล พาร์ค ใจกลาง Super Core CBD

    พบประสบการณ์ความอร่อย จากร้านดังทั่วไทยกว่า 50 ร้าน หมุนเวียนตลอด 4 เดือนเต็ม โดยแต่ละเดือนจะคัดสรรร้านเด็ดหลากสไตล์ ไม่ว่าจะเป็นร้านไวรัลที่กำลังมาแรง ร้านตำนานที่นักกินยกให้เป็นตัวจริง อาทิ

    • Bake to Babe ร้านเค้กกล้วยหอมสูตรหวานน้อย สไตล์โฮมเมด
    • Pleased Yogurt Bar ร้านกรีกโยเกิร์ตโฮมเมดสายเฮลตี้ DIY Topping ได้ตามใจชอบ
    • Bake and Bite ร้านท็อฟฟี่เค้กถั่วแมคคาเดเมียที่ไวรัลในโซเชียล
    • MUNDAY ร้านมันเดือยกะทิสดหาดใหญ่ เจ้าดังจากถนนบรรทัดทอง
    • ชามโจ๊ก เจ้าแห่งเมนูโจ๊กและซุปร้อน ๆ หลากหลายสัญชาติ
    • เลิศทิพย์ ร้านข้าวต้มเจ้าเก่าแก่ ระดับตำนานย่านลาดพร้าววังหิน
    • อยากย่าง ร้านอาหารสไตล์ French Bistro โดยเชฟบิ๊ก
    • สุกี้กรุงเก่า ร้านสุกี้แห้งสูตรเด็ด เส้นนุ่ม ฉ่ำซอส เจ้าดังจากจังหวัดอยุธยา
    • ฟ่าน ร้านอาหารจีนจานเดียว หอมกลิ่นกระทะสไตล์ภัตตาคารจีน
    • บะหมี่คนแซ่ลี ร้านบะหมี่ไข่เส้นเหนียวนุ่มสูตรกวางตุ้ง
    • กะเพราแท้ ร้านกะเพราะรสชาติรสเด็ด จัดจ้าน ถูกปากคนไทย
    • ครัวบ้านเอ ร้านอาหารใต้ รสจัดจ้าน สูตรบ้านพี่เอ ศุภชัย
    • บ้านบัวลอย ร้านบัวลอยสูตรต้นตำรับชาววัง

    และร้านอื่นๆ อีกมากมาย ที่จะสับเปลี่ยนหมุนเวียนมาให้เหล่าฟู้ดดี้ได้เซอร์ไพรส์กันทุกเดือน ณ PARKSIDE MARKET ชั้น LG ศูนย์การค้าเซ็นทรัล พาร์ค ตั้งแต่วันนี้ – 31 มี.ค. 69

    คลิกดูรายละเอียดโปรโมชั่น แจกโปรลดสูงสุด 100 บาท* คลิก https://lmwn.com/uc-central-park

    #CentralParkBangkok #เซ็นทรัลพาร์คแบงค็อก #เซ็นทรัลพัฒนา #CentralPattana #LINEMANWongnai

     

     

     

    ]]>
    1551512
    Mastercard Economics Institute เผยแนวโน้มเศรษฐกิจปี 2569 เอเชียแปซิฟิกยังคงแข็งแกร่งท่ามกลางความผันผวนทั่วโลก https://positioningmag.com/1551506 Fri, 12 Dec 2025 10:06:08 +0000 https://positioningmag.com/?p=1551506 สถาบันเศรษฐศาสตร์มาสเตอร์การ์ด (Mastercard Economics Institute หรือ MEI) เผยแพร่รายงานแนวโน้มเศรษฐกิจประจำปี 2569 โดยระบุว่า ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกยังคงมีเสถียรภาพด้านการเติบโต แม้เศรษฐกิจโลกต้องปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงด้านภาษี การลงทุนด้าน AI ที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว และพฤติกรรมผู้บริโภคที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง MEI คาดการณ์ว่า GDP ที่แท้จริงจะชะลอลงเล็กน้อยเหลือ 3.1% ในปี 2026 จากการประมาณการไว้ที่ 3.2% ในปี 2568

    รายงานชี้ว่าแนวโน้มเศรษฐกิจโลกในปี 2569 จะถูกกำหนดด้วยปัจจัยเสี่ยงและโอกาสที่เกิดขึ้นพร้อมกัน มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการนำ AI มาปรับใช้ในการดำเนินธุรกิจ มีแนวโน้มจะเป็นแรงสนับสนุนสำคัญต่อการเติบโต แม้ว่าผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นจะกระจายไม่เท่ากันในแต่ละภูมิภาคก็ตาม ในขณะเดียวกัน ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์และการจัดรูปแบบซัพพลายเชนใหม่ ยังคงสร้างแรงกดดันและเพิ่มความไม่แน่นอนต่อภาคการค้าและภาคการผลิต ขณะที่ความเหลื่อมล้ำจากการเข้าถึงเทคโนโลยีอาจเป็นความท้าทายด้านนโยบายและการเติบโตสำหรับบางตลาด

    แม้จะมีความผันผวนดังกล่าว MEI ยังคาดว่า GDP ของเอเชียแปซิฟิกจะทรงตัวในปี 2569 โดยอาศัยแรงสนับสนุนจากเงินเฟ้อที่ลดลง นโยบายการเงินที่เอื้ออำนวย และรายได้จริงที่เพิ่มสูงขึ้นในหลายตลาด ต่างช่วยยกระดับความเป็นอยู่ของครัวเรือนให้ดีขึ้นและรักษาเสถียรภาพโดยรวมของภูมิภาค ผู้บริโภคยังคงใช้เทคโนโลยีเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันและให้ความสำคัญกับความคุ้มค่า โดยเลือกใช้จ่ายกับประสบการณ์ที่มีความหมาย เช่น การท่องเที่ยวและกิจกรรมไลฟ์อีเวนท์ พร้อมรักษาความระมัดระวังต่อค่าใช้จ่ายจำเป็น ภาคการท่องเที่ยวยังคงเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยการเดินทางทั้งขาออกและการท่องเที่ยวภายในภูมิภาคยังคงมีแนวโน้มเติบโตมากขึ้น

    “เอเชียแปซิฟิกยังคงแสดงศักยภาพด้านความยืดหยุ่นได้อย่างโดดเด่น แม้อยู่ท่ามกลางความไม่แน่นอนของภาษี  และซัพพลายเชนที่เปลี่ยนแปลงซึ่งอาจส่งผลต่อระบบการค้าโลก” นายเดวิด แมนน์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของมาสเตอร์การ์ดกล่าว “ผลการคาดการณ์สะท้อนให้เห็นว่า แม้การจัดระเบียบการค้าใหม่และการเปลี่ยนผ่านสู่เทคโนโลยีจะเป็นประเด็นสำคัญระดับโลก แต่ปัจจัยเศรษฐกิจในระดับจุลภาคของหลายประเทศในภูมิภาคเอเซียแปซิฟิกกลับมีทิศทางดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง การปรับตัวให้เข้ากับแนวโน้มความต้องการพื้นฐานเหล่านี้จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจ”

    แรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจสำคัญปี 2569

    การค้าปรับสมดุล: เส้นทางใหม่ ความเป็นจริงใหม่
การค้าโลกยังคงปรับตัวต่อมาตรการภาษีในปี 2568 โดยจีนแผ่นดินใหญ่เร่งกระจายการส่งออกไปสู่ตลาดใหม่ ขณะที่สัดส่วนยอดอีคอมเมิร์ซจากจีนไปยังสหรัฐฯ ลดลงจาก 28% ในปี 2567 เหลือ 24% ภายในเดือนสิงหาคม 2568 สำหรับเอเชียแปซิฟิก แนวโน้มนี้สะท้อนทั้งความเสี่ยงและโอกาส ตลาดที่นำเข้าสินค้าต้นทุนต่ำจากจีนกำลังเห็นสัญญาณเงินเฟ้อนำเข้าที่ลดลง ขณะที่ผู้ส่งออกในญี่ปุ่นและบางประเทศในเอเชียใต้เผชิญแรงกดดันจากภาษีของสหรัฐฯ และอุปสงค์ภายนอกที่อ่อนตัว แม้เกิดการปรับสมดุลดังกล่าวแต่เอเชียแปซิฟิกยังคงเป็นศูนย์กลางซัพพลายเชนของโลก โดยอินเดีย อาเซียน และจีนแผ่นดินใหญ่มีบทบาทขยายตัวอย่างต่อเนื่อง

    AI และนโยบายภาครัฐ: แรงหนุนสู่ระลอกการเติบโตถัดไป
การวิเคราะห์ของ MEI ชี้ว่า การนำ AI มาปรับใช้และนโยบายงบประมาณแบบเฉพาะเจาะจงจะเป็นแรงผลักสำคัญในปี 2026 โดยดัชนี MEI AI Spending Index พบว่า เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น อินเดีย และฮ่องกงมีพัฒนาการที่โดดเด่นทั้งในระดับองค์กรและผู้บริโภค ขณะเดียวกัน นโยบายอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การพัฒนา AI Hub ศูนย์ข้อมูล เมืองอัจฉริยะ และการลงทุนเซมิคอนดัก เตอร์ กำลังวางรากฐานสู่เศรษฐกิจดิจิทัลในระยะถัดไป ทั้งหมดนี้ช่วยให้เอเชียแปซิฟิกอยู่ในตำแหน่งที่พร้อมรับประโยชน์จากผลิตภาพที่ขับเคลื่อนด้วย AI

    เทรนด์ท่องเที่ยว: ประสบการณ์คือแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
การท่องเที่ยวยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจเอเชียแปซิฟิก ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ค่าใช้จ่ายเดินทางออกนอกประเทศของสิงคโปร์สูงกว่าปี 2562 ถึง 2.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯขณะที่อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์เป็นผู้นำการเติบโตระดับภูมิภาค โดยการใช้จ่ายเพื่อการเดินทางเพิ่มขึ้น 40% และ 28% ตามลำดับ การท่องเที่ยวขาเข้าของญี่ปุ่นและหลายประเทศในอาเซียนกลับสู่ภาวะปกติ ขณะที่การเดินทางภายในภูมิภาคขยายตัวอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากผู้บริโภคให้ความสำคัญกับประสบการณ์มากกว่าสินค้า เทรนด์การใช้จ่ายเชิงประสบการณ์นี้สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของภาคบริการ และบทบาทสำคัญต่อแนวโน้มเศรษฐกิจโดยรวมของภูมิภาค

    แนวโน้มเศรฐกิจในเอเชียแปซิฟิกปี 2569

    • การใช้จ่ายในประเทศจีนคาดว่าจะเติบโตขึ้น 4.5% โดยแนวโน้มภาคการบริโภคจะแข็งแกร่งขึ้นตลอดทั้งปีจากการเติบโตของเทรนด์การบริโภครูปแบบใหม่ในหมวดสินค้าความงามและสุขภาพ การยกระดับไลฟ์สไตล์ และการซื้อของสะสมโดยกลุ่มแฟนคลับ ที่กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเนื่องจากการลดอัตราดอกเบี้ยและมาตรการการคลังภายใต้แผนพัฒนา 5 ปีฉบับใหม่ของจีนที่ชูแนวคิด “ซื้ออย่างชาญฉลาด” เชิญชวนให้ผู้บริโภคมองหาคุณภาพและประสบการณ์ที่เป็นเอกลักษณ์แทนการใช้ของราคาถูก โดยเทรนด์นี้กำลังเปลี่ยนโฉมช่องทางค้าปลีกและช่องทางออนไลน์ในประเทศจีน โดยเฉพาะในเมืองระดับเทียร์ 3 – 4 เช่น เมืองเยียนไท่และลั่วหยาง

    • เอเชียใต้ยังมีแนวโน้มการเติบโตที่มั่นคง รับอานิสงส์จากตลาดอินเดียที่คาดว่าจะเติบโต 6.6% จากแรงหนุนของความต้องการภายในประเทศ การผ่อนคลายทางการเงิน และการเติบโตของภาคดิจิทัลและบริการ ส่วนศรีลังกาคาดว่าจะเติบโต 3.7% เนื่องจากการบริโภคภาคเอกชน รายได้จากการท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น และนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายช่วยสนับสนุนการฟื้นตัว สำหรับบังกลาเทศคาดว่าจะเติบโตประมาณ 5% จากเงินเฟ้อที่ลดลงและมีเงินโอนกลับจากต่างประเทศช่วยค้ำจุนครัวเรือน แม้ยังมีความท้าทายเชิงโครงสร้าง

    • เศรษฐกิจญี่ปุ่นคาดว่าจะเติบโตขึ้น 1.0% โดยได้รับแรงหนุนจากรายได้จริงที่เพิ่มขึ้น และความเชื่อมั่นของครัวเรือนที่แข็งแกร่งขึ้น ส่งผลให้เศรษฐกิจเคลื่อนเข้าสู่รอบการเติบโตที่ขับเคลื่อนด้วยค่าจ้างมากขึ้น ญี่ปุ่นยังคงเดินหน้าลงทุนเชิงกลยุทธ์ในด้าน AI เซมิคอนดักเตอร์ และความมั่นคงด้านพลังงาน ขณะที่นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายและมาตรการการคลังแบบเฉพาะเจาะจงช่วยลดผลกระทบจากแรงกดดันต่อการส่งออกที่ได้รับอิทธิพลจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ

    • ประเทศสมาชิกอาเซียน 5 ประเทศ มีแนวโน้มเติบโตที่แตกต่างกัน โดยอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์คาดว่าจะยังเป็นประเทศที่เติบโตเร็วที่สุดในภูมิภาคที่ 5.0% และ 5.6% ตามลำดับ ขณะที่มาเลเซียและสิงคโปร์น่าจะมีการเติบโตกลับสู่ระดับปกติที่ 4.2% และ 2.2% ส่วนประเทศไทยคาดว่าจะเติบโต 1.8% โดยมีความเสี่ยงสำคัญ ได้แก่ ความผันผวนของราคาพลังงานและการเปลี่ยนแปลงของอุปสงค์โลกที่อาจส่งผลต่อการจ้างงาน

    • ต้นทุนที่ลดลงและอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลงจะช่วยเพิ่มการใช้จ่ายของครัวเรือนในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ โดยคาดการณ์การเติบโตที่ 2.3% และ 2.4% ตามลำดับ การใช้จ่ายเพื่อประสบการณ์ยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนการฟื้นตัว รวมถึงการที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยว การพักผ่อน และความบันเทิงที่เข้าถึงได้

    • ธุรกิจ SMEs ทั่วทั้งภูมิภาคมีการปรับใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและช่องทางออนไลน์มากขึ้น เพื่อบริหารจัดการธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพและขยายการเข้าถึงลูกค้า เสริมความยืดหยุ่นท่ามกลางพลวัตด้านการค้าโลกที่เปลี่ยนแปลง

    “แม้แนวโน้มเศรฐกิจโดยรวมจะเป็นบวกในปีหน้า แต่ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกยังคงเผชิญความเสี่ยงที่ซับซ้อน ไม่ว่าจะเป็นการแบ่งแยกด้านการค้าและแรงกดดันด้านภาษี ไปจนถึงปัจจัยภายนอกอื่น ๆ และความเหลื่อมล้ำด้านความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ซึ่งแสดงให้เห็นว่าวิธีที่รัฐบาลและภาคธุรกิจตอบสนองต่อความท้าทายเหล่านี้จะเป็นตัวกำหนดทิศทางการเติบโตในระยะต่อไป ทั้งความสามารถในการปรับตัว ลงทุนในความพร้อมด้านดิจิทัล และตอบรับความต้องการผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง ทั้งหมดล้วนเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ” นายเดวิด แมนน์ กล่าวสรุป

    ข้อมูลแนวโน้มเศรษฐกิจปี 2569 ของสถาบันวิจัยด้านเศรษฐศาสตร์มาสเตอร์การ์ด (MEI) ครอบคลุม 12 ตลาดในเอเชียและโอเชียเนีย[1] โดยอ้างอิงข้อมูลจากแหล่งสาธารณะ รวมถึงข้อมูลธุรกรรมของมาสเตอร์การ์ดที่ถูกรวบรวมแบบไม่สามารถระบุตัวตน ประกอบกับแบบจำลองที่ใช้ประเมินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ผู้ที่สนใจสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมจากสถาบันวิจัยด้านเศรษฐศาสตร์มาสเตอร์การ์ด (MEI) ได้ที่ เว็บไซต์

     

     

    ]]>
    1551506
    NEO ส่ง ‘Fineline’ ทะยานสู่ตลาดใหม่ ผนึกกำลัง ‘LaundryBar’ เขย่าวงการร้านสะดวกซัก ส่งมอบประสบการณ์ซักผ้าสะอาดหอมเหนือระดับด้วย 3 ผลิตภัณฑ์สูตรเอ็กซ์คลูซีฟ ทุกสาขาทั่วไทย https://positioningmag.com/1551499 Fri, 12 Dec 2025 09:45:47 +0000 https://positioningmag.com/?p=1551499 นีโอ คอร์ปอเรท (NEO) บริษัทสินค้าอุปโภคชั้นนำของไทย สร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้วงการร้านสะดวกซัก ประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญระหว่าง ไฟน์ไลน์ (Fineline) ผู้นำผลิตภัณฑ์ดูแลผ้าครบทุกขั้นตอน หนึ่งในแบรนด์สินค้าคุณภาพจาก NEO ที่มียอดขายเป็นอันดับ 1* ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ซักผ้าแบบน้ำ และลอนดรี้บาร์ (LaundryBar) แบรนด์ร้านสะดวกซักอันดับ 1 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มีสาขามากกว่า 300 แห่งทั่วประเทศไทย

    โดยไฟน์ไลน์ได้รับความไว้วางใจให้เป็นผู้พัฒนาผลิตภัณฑ์ดูแลผ้า 3 สูตรพิเศษ ได้แก่ ซัก-ปรับ-ฆ่าเชื้อ เพื่อใช้ในการบริการลูกค้าทุกสาขาของร้านสะดวกซักลอนดรี้บาร์ทั่วประเทศ ตอกย้ำความเป็นผู้นำในตลาดผลิตภัณฑ์ดูแลผ้า พร้อมเดินหน้าขยายฐานผู้บริโภคสู่คนรุ่นใหม่ โดยตั้งเป้าเปิดให้บริการเต็มรูปแบบภายในปลายปี 2568

    การจับมือในครั้งนี้นับเป็นอีกก้าวสำคัญในการยกระดับมาตรฐานการให้บริการ พร้อมทั้งมุ่งสร้างสรรค์ประสบการณ์การซักผ้าที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่อย่างครบวงจร โดยผสานคุณภาพผลิตภัณฑ์ดูแลผ้าชั้นนำเข้ากับความสะดวกสบายของบริการร้านสะดวกซักที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในประเทศไทย

    ปัทมา ถกลศรี รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการพาณิชย์ บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงความร่วมมือครั้งนี้ว่า “เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับลอนดรี้บาร์ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่ไฟน์ไลน์ได้จับมือกับธุรกิจร้านสะดวกซักแบบบริการตนเองอย่างเต็มรูปแบบ เรามองเห็นการเติบโตของไลฟ์สไตล์คนเมืองและกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่นิยมใช้บริการร้านสะดวกซักมากขึ้น การได้ร่วมมือกับลอนดรี้บาร์ซึ่งเป็นผู้นำตลาดและมีสาขากระจายอยู่ทั่วประเทศ จะทำให้เราสามารถขยายฐานลูกค้าและนำเสนอนวัตกรรมของเราไปสู่ผู้บริโภคในวงกว้างยิ่งขึ้น ความร่วมมือนี้ไม่เพียงแต่เป็นการขยายฐานลูกค้าให้เข้าถึงผู้บริโภค แต่ยังเป็นการตอกย้ำความเชี่ยวชาญและคุณภาพผลิตภัณฑ์ดูแลผ้าของไฟน์ไลน์ที่ได้รับความไว้วางใจจากพันธมิตรทางธุรกิจระดับสากล ทั้งนี้ในอนาคตเรามีแผนจะต่อยอดความร่วมมือซึ่งจะเป็นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ดูแลผ้าร่วมกัน เพื่อวางจำหน่ายในสาขาของลอนดรี้บาร์ต่อไป”

    ด้าน พิมลวรรณ ชีวเกรียงไกร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลอนดรี้บาร์ ไทย จำกัด เผยถึงความร่วมมือครั้งสำคัญระหว่างร้านสะดวกซักลอนดรี้บาร์และผลิตภัณฑ์ดูแลผ้า “ไฟน์ไลน์” ว่าเป็นการผสานจุดแข็งของสองแบรนด์คุณภาพ ที่ร่วม พัฒนาผลิตภัณฑ์ซักผ้าและดูแลผ้าสูตรใหม่ออกสู่ร้านสะดวกซักลอนดรี้บาร์กว่า 300 สาขาทั่วประเทศ โดยลอนดรี้บาร์มุ่งมั่นยกระดับสุขอนามัยของคนไทย มุ่งสร้างมาตรฐานใหม่แห่งความสะอาด เพื่อส่งมอบ “ประสบการณ์ซักผ้าที่ดีที่สุด” ให้กับทุกครอบครัวคนไทย ผ่านเทคโนโลยี เครื่องซักผ้า–อบผ้าอุตสาหกรรมที่ทันสมัย และระบบน้ำยาสูตรเฉพาะที่ให้ทั้งความสะอาด หอม และปลอดภัยในทุกการซัก

    และกล่าวเสริมว่า “เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับแบรนด์ที่แข็งแกร่งและได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภคชาวไทยอย่างแบรนด์ไฟน์ไลน์ ภายใต้การดูแลของ นีโอ คอร์ปอเรท เราเชื่อมั่นว่าความเชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมของไฟน์ไลน์จะช่วยยกระดับการให้บริการของลอนดรี้บาร์ให้แตกต่างและโดดเด่น สามารถสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้าที่มาใช้บริการ ตอกย้ำจุดยืนของลอนดรี้บาร์ในฐานะผู้นำร้านสะดวกซักที่มอบทั้งความสะดวกสบายและความสะอาดอย่างเหนือระดับ ซึ่งลูกค้าจะสัมผัสได้ถึงความแตกต่างและประทับใจในผลลัพธ์อย่างแน่นอน”

    3 ผลิตภัณฑ์สูตรพิเศษ เพื่อประสบการณ์ซักผ้าที่เหนือกว่า

    สำหรับความร่วมมือในครั้งนี้ ไฟน์ไลน์ ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ดูแลผ้า 3 ชนิด สูตรพิเศษ “Only @ LaundryBar” ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อการซักผ้าในร้านสะดวกซักโดยเฉพาะ ได้แก่

    • ผลิตภัณฑ์ซักผ้า สูตรเข้มข้น ซักสะอาดหมดจด ช่วยลดกลิ่นอับชื้น พร้อมสารทำความสะอาดที่สามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ และปราศจากสารเคมีอันตราย 9 ชนิด*

    • ผลิตภัณฑ์ปรับผ้านุ่ม สูตรเข้มข้น ช่วยให้ผ้านุ่มลื่น รีดง่าย คงสีสันสดใส ไม่ลีบติดตัว มาพร้อมกลิ่นหอมสดชื่นยาวนาน และมีส่วนผสมของน้ำหอมที่สามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ

    • ผลิตภัณฑ์ซักผ้าฆ่าเชื้อโรค ขจัดเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 และแบคทีเรียได้ถึง 99.9%** ช่วยลดกลิ่นอับชื้นที่เกิดจากแบคทีเรีย ให้ผ้าสะอาดหอมอย่างมั่นใจ

    เตรียมสัมผัสประสบการณ์ซักผ้าที่เหนือระดับด้วยผลิตภัณฑ์สูตรเอ็กซ์คลูซีฟจากไฟน์ไลน์ได้ฟรี! เมื่อใช้บริการที่ร้านสะดวกซักลอนดรี้บาร์ (LaundryBar) ทุกสาขาทั่วประเทศ ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2568 เป็นต้นไป

    #LaundryBarxFineline #Fineline #ไฟน์ไลน์ #NeoCorporate #นีโอคอร์ปอเรท #LaundryBar #ลอนดรี้บาร์

     

    ]]>
    1551499