‘พุฒิพงศ์ ปราสาททองโอสถ’ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส กล่าวถึงภาพรวมของอุตสาหกรรมการบินว่าหลังจากที่ผ่านพ้นวิกฤตการแพร่ระบาดของโควิด-19 อุตสาหกรรมการบินก็มีแนวโน้มเติบโตขึ้นทุกปี โดยเฉพาะภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่มีอุปสงค์การเดินทางทางอากาศเติบโตสูงสุดเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่นของโลก
แนวโน้มนี้สอดคล้องกับทิศทางการเติบโตของบริษัทฯ ซึ่งในปี 2567 มีรายได้รวม 26,041 ล้านบาท และมีค่าใช้จ่ายรวม 20,638 ล้านบาท มีผลกำไรสุทธิ 3,798 ล้านบาท ผลกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทฯ ในปี 2567 เป็นจำนวน 5,454 ล้านบาท อัตราการทำกำไร (EBITDA Margin) อยู่ที่ 28% และอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนของบริษัทในปี 2567 ที่ 2.53 เท่า
สำหรับเป้าหมายดำเนินงานในปี 2568 ตั้งเป้ารายได้โต 8-9% และคาดการณ์จำนวนเที่ยวบิน 48,077 เที่ยวบิน, อัตราบรรทุกผู้โดยสาร (Load Factor) เฉลี่ยเท่ากับ 82%, ขนส่งผู้โดยสาร 4.7 ล้านคน และราคาบัตรโดยสารเฉลี่ยประมาณ 4,200 บาทต่อที่นั่ง
การสร้างการเติบโตให้เป็นไปตามเป้าหมาย หนึ่งในนั้น คือ การมุ่งเน้นตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะการต่อยอดการขายเส้นทาง ‘สมุย’ ซึ่งเป็นเส้นทางที่ได้รับความนิยมสูงสุด และมาแรงขึ้นจากกระแสซีรีส์ White Lotus Season 3 โดยมีการสำรองที่นั่งล่วงหน้าในช่วงเดือนมีนาคม – กันยายน 2568 เพิ่มขึ้น 14%
การขยายดังกล่าวจะเป็นความร่วมมือกับเชนโรงแรมใหญ่ อาทิ โฟร์ ซีซั่น, อนันตรา ฯลฯ ทำแคมเปญจับกลุ่มลูกค้าที่ตามรอยซีรีส์ โฟกัสนักท่องเที่ยวจากกลุ่มประเทศสหรัฐอเมริกา อังกฤษ เยอรมัน ออสเตรเลีย
การเน้นตลาดที่เติบโตสูง เช่น คาซัคสถาน ซาอุดีอาระเบีย ตลาดที่มีฟรีวีซ่า เช่น อินเดีย และจีน ขยายการเชื่อมต่อตรงผ่านระบบกลุ่ม API/NDC/Direct Connect ให้มากขึ้น เพราะเป็นกลยุทธ์สำคัญสำหรับสายการบินในยุคดิจิทัล ที่สามารถตอบสนองพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก เริ่มจากสายการบินแควนตัสบนระบบ QDP และพันธมิตรอื่นเพื่อขยายความร่วมมือต่อไป เช่น สายการบิน Thai Airways, British Airways, Lufthansa Group, Emirates, Etihad, Eva Air
การขยายเส้นทางการบิน โดยวางแผนกลับมาให้บริการเส้นทาง สมุย-กัวลาลัมเปอร์ วันละ 1 เที่ยวบิน ในไตรมาส 4 เพื่อรองรับการเดินทางของผู้โดยสารจากยุโรปที่เดินทางผ่านทางสนามบินกัวลาลัมเปอร์
จากปัจจุบันบางกอกแอร์เวย์สให้บริการเที่ยวบินสู่ 19 จุดหมายปลายทาง แบ่งเป็น ‘ภายในประเทศ’ 11 แห่ง ได้แก่ กรุงเทพฯ (สุวรรณภูมิและดอนเมือง) เกาะสมุย เชียงใหม่ ภูเก็ต กระบี่ ตราด ลำปาง แม่ฮ่องสอน สุโขทัย หาดใหญ่ อู่ตะเภา และ ‘ต่างประเทศ’ 8 แห่ง ได้แก่ มัลดีฟส์ สิงคโปร์ เสียมเรียบ พนมเปญ หลวงพระบาง ฮ่องกง เฉิงตู ฉงชิ่ง
เดินหน้ากลยุทธ์เครือข่ายความร่วมมือกับกลุ่มพันธมิตรสายการบิน ปัจจุบันมีสายการบินพันธมิตร (Codeshare Partners) รวมทั้งสิ้นจำนวน 30 สายการบิน และมีสายการบินข้อตกลงร่วม (Interline Partners) กว่า 70 สายการบินทั่วโลก
การบริหารจัดการฝูงบินให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ปีนี้คาดการณ์ว่าจะมีจำนวนเครื่องบินรวมทั้งสิ้นรวม 25 ลำ และมีแผนจะปรับฝูงบิน (Re-fleet) เครื่องบินรุ่น ATR72-600 รวมทั้งสิ้น 12 ลำ มีกำหนดทยอยส่งมอบระหว่างปี 2569 – 2571
การลงทุนโครงการพัฒนาศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ณ ท่าอากาศยานอู่ตะเภา ล่าสุดได้ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจและ ‘บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน)’ เพื่อยกระดับความร่วมมือในการศึกษาความเป็นไปได้ในการร่วมมือกันพัฒนาธุรกิจศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน และธุรกิจอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมการบินในประเทศไทย และภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เบื้องต้นคาดการณ์เงินลงทุน 10,000 ล้านบาท และจะเห็นความชัดเจนประมาณไตรมาส 3 ของปีนี้
การพัฒนาศักยภาพธุรกิจสนามบิน โดยมีแผนปรับปรุงอาคารผู้โดยสารของสนามบินสมุยที่จะเริ่มดำเนินการก่อสร้างได้ในไตรมาส 4 ของปีนี้ ส่วนสนามบินตราดมีแผนขยายรันเวย์ เพื่อให้สามารถรองรับเครื่องบินแอร์บัส 320 ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการดำเนินการ
]]>ศูนย์การค้าเซ็นทรัลทุกแห่งเปิดให้บริการตามปกติ โดยอาคารและระบบต่าง ๆ ออกแบบและก่อสร้างตามหลักวิศวกรรม พร้อมดูแล ตรวจสอบ และประเมินผลด้านความปลอดภัยอย่างต่อเนื่องทุกสาขา เพื่อให้มั่นใจว่าทุกแห่งมีความปลอดภัยและพร้อมให้บริการ
เซ็นทรัลพัฒนาให้ความสำคัญสูงสุดกับความปลอดภัยของลูกค้า ผู้ประกอบการ และพนักงานทุกคน พร้อมติดตามสถานการณ์ ประเมินความเสี่ยง และดำเนินมาตรการด้านความปลอดภัยอย่างต่อเนื่องในทุกพื้นที่
สำหรับผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเพิ่มเติม สอบถามข้อมูลหรือแจ้งทรัพย์สินสูญหาย กรุณาติดต่อเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ของศูนย์การค้าทุกสาขา หรือโทร 02-021-9999
ขอขอบคุณทุกท่านสำหรับความไว้วางใจและความร่วมมือที่ดีเสมอมา
เซ็นทรัลพัฒนายังคงยืนหยัดอยู่เคียงข้างคนไทยในทุกช่วงเวลา
]]>
ปัจจัยดังกล่าว อาจทำให้ ตลาดคอนโด ปี 2568 แย่ลง ซ้ำเติมสถานการณ์ตลาดคอนโด กทม. ที่เผชิญการหดตัวของยอดขายต่อเนื่อง 2 ปี ติด (ปี 2566 – 2567) อ้างอิงตัวเลข REIC พบว่า
“หากเทียบยอดขายใหม่ของปี 2567 กับปี 2566 พบว่า ยูนิตและมูลค่า ลดลง 27.3% และ 14.2% ตามลำดับ แต่เมื่อเทียบกับช่วงก่อนโควิดปี 2562 พบว่า ยูนิตและมูลค่า หดตัวหนักถึง 64.6% และ 56.3% ตามลำดับ“
แม้ภาพรวมซัพพลายใหม่ (New Supply) ของคอนโดที่เข้าสู่ตลาดในปี 2567 จะมีเพียง 22,477 ยูนิต ลดลง 27.4% และมูลค่า 146,555 ล้านบาท ลดลง 4.4% เมื่อเทียบกับปีก่อน (YoY)
ทว่าด้วยซัพพลายเปิดตัวใหม่ (New Supply) มากกว่า ยอดขายได้ใหม่ (New Sale) ทำให้มีหน่วยเหลือขาย ณ ไตรมาส 4 ปี 2567 ประมาณ 65,247 หน่วย เพิ่มขึ้น 9.6% และมูลค่า 375,679 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.8% (YoY)
“สวนทางกับอัตราการดูดซับ (Absorption Rate) ของคอนโด กทม. ณ ไตรมาส 4/68 ที่อยู่ที่เพียง 1.8% ทำให้ต้องใช้เวลาระบายสต๊อกนาน 52 เดือน (ประมาณ 4.3 ปี) จากช่วงก่อนโควิด ปี 2562 ใช้เวลาเพียง 13 เดือน (1 ปีเศษ)“
อย่างไรก็ดี หากประชาชนขาดความเชื่อมั่นในโครงการคอนโด และมีการแห่คืนห้อง และชะลอซื้อยาว ก็อาจส่งผลกระทบต่อรายได้ รวมไปถึงสภาพคล่องของกลุ่มธุรกิจอสังหาได้
]]>คุณอเล็กซองด์ อัมเบล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซี อาร์ ซี สปอร์ต จำกัด ในเครือเซ็นทรัลรีเทล กล่าวว่า “ด้วยเป้าหมายของบริษัทฯ มุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำตลาดค้าปลีก Performance Sports ด้วยการสร้าง Business Ecosystem ที่ครบวงจร ครอบคลุมตั้งแต่ความเชี่ยวชาญในทุกประเภทกีฬา การบริหารแบรนด์กีฬาชั้นนำที่หลากหลาย การสร้างคอมมูนิตี้กีฬา และการมีช่องทางจำหน่ายที่เข้าถึงทุกแพลตฟอร์ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งจุดแข็งของการเป็นมัลติแบรนด์สปอร์ตสโตร์ที่มีความครบวงจร มีแบรนด์สินค้าให้เลือกมากที่สุด ซึ่งทั้งหมดนี้จะช่วยสร้างอีโคซิสเต็มธุรกิจที่แข็งแกร่ง และการเลือกหาแบรนด์สินค้าที่มีคุณภาพมาให้ลูกค้าก็ถือเป็นพันธกิจหนึ่งที่เราให้ความสำคัญ โดยเรามุ่งหวังให้ลูกค้าได้สินค้าที่ตอบโจทย์และครอบคลุมตรงตามความต้องการมากที่สุด เพื่อให้เราเป็นที่หนึ่งในใจของลูกค้า เมื่อนึกถึงกีฬาให้นึกถึงซูเปอร์สปอร์ต”
ด้านคุณวิยะดา บูรณะภากรณ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส ฝ่ายการตลาด บริษัท ซี อาร์ ซี สปอร์ต จำกัด ในเครือเซ็นทรัลรีเทล กล่าวว่า ซูเปอร์สปอร์ตเดินหน้าตามไดเรคชันแบรนด์ Move you, Move Sports ให้คนทุกระดับและทุกเจเนเรชันมีสุขภาพที่ดี ด้วยการเข้าถึงสินค้าและอุปกรณ์กีฬาทีมีคุณภาพ จึงมองว่าหากเรามีสินค้าที่มีความหลากหลายของราคา ก็จะเปิดโอกาสให้กับลูกค้าในกลุ่มได้เข้าถึงสินค้าที่มีคุณภาพเช่นกัน สินค้าจา INTERSPORT จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ตอบโจทย์
INTERSPORT ก่อตั้งขึ้นในปี 1968 ที่กรุงเบิร์น ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ จากความร่วมมือของ 10 องค์กรซื้อขายสินค้ากีฬา โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างเครือข่ายค้าปลีกกีฬาระดับนานาชาติที่แข็งแกร่ง ในช่วงปี 1970s INTERSPORT ได้รับเลือกให้เป็นผู้ค้าปลีกกีฬาอย่างเป็นทางการในโอลิมปิกที่ มิวนิก (1972), อินส์บรุค (1976) และมอสโก (1980) ทำให้แบรนด์เริ่มเป็นที่รู้จักในระดับโลก โดยขยายธุรกิจสู่เอเชียในช่วงต้นปี 2000s โดยเปิดสำนักงานจัดซื้อในฮ่องกง ก่อนขยายไปยังจีน ตะวันออกกลาง ออสเตรเลีย และอเมริกาใต้ ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ บริษัทได้เปิดสำนักงานใหญ่ระดับโลกแห่งใหม่ที่เบิร์น สวิตเซอร์แลนด์ เพื่อรองรับการเติบโต
สำหรับ 3 แบรนด์ที่ทาง Supersports นำเข้าเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าสายสปอร์ตเพอร์ฟอร์แมนซ์ ประกอบด้วย
1. McKINLEY: อุปกรณ์และรองเท้าสำหรับกิจกรรมกลางแจ้งคุณภาพสูง เช่น การเดินป่า แคมปิ้ง และการปีนเขา
• ตลอด 40 ปี McKINLEY มุ่งมั่นพัฒนาอุปกรณ์และรองเท้าสำหรับการเดินป่าและกิจกรรมกลางแจ้งจาก สวิตเซอร์แลนด์ เพื่อให้ทุกคนได้ออกไปสำรวจธรรมชาติอย่างมั่นใจ ด้วยฟังก์ชัน นวัตกรรม และดีไซน์ที่ตอบโจทย์ทุกสไตล์การผจญภัย ไม่ว่าคุณจะเป็นนักเดินป่ามือใหม่หรือนักสำรวจผู้ช่ำชอง McKINLEY พร้อมพาคุณออกไปสัมผัสโลกกว้าง
• Brand Tagline: Escape To Nature
2. energetics: เสื้อผ้าและรองเท้าสำหรับออกกำลังกายทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นวิ่ง เทรนนิ่ง และโยคะ
• กว่า 30 ปีที่ energetics สร้างสรรค์เสื้อผ้าและรองเท้ากีฬาคุณภาพสูง ในราคาที่เข้าถึงได้ เพื่อให้ทุกคนได้สนุกกับการออกกำลังกายอย่างเต็มที่ จากสวิตเซอร์แลนด์สู่กว่า 40 ประเทศทั่วโลก ไม่ว่าคุณจะวิ่ง เทรนนิ่ง หรือออกกำลังกายในแบบของคุณ energetics พร้อมพาคุณไปให้สุดทุกจังหวะของการเคลื่อนไหว
• Brand Tagline: Every Athlete. Every Sport.
3. PRO TOUCH: อุปกรณ์กีฬาและรองเท้าคุณภาพสูงจากสวิตเซอร์แลนด์ ไม่ว่าจะเป็นเทนนิส แบดมินตัน ปิงปอง บาสเก็ตบอล
• ก่อตั้งขึ้นในปี 1998 ที่เมืองเบิร์น ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ PRO TOUCH สั่งสมประสบการณ์กว่า 20 ปีในการพัฒนาอุปกรณ์สำหรับกีฬาบอลและแร็กเก็ต โดดเด่นด้วยคุณภาพ ความทนทาน และฟังก์ชันที่รองรับนักกีฬาทุกระดับ มั่นใจทุกจังหวะการเล่น ไปกับ PRO TOUCH
• Brand Tagline: Play as One
สินค้าจาก INTERSPORT ทั้ง 3 แบรนด์ พร้อมวางจำหน่ายแล้ว ที่ร้าน Superports ทั้งหมด 38 สาขา และ Pop Up Store ที่ Supersports สาขาเซ็นทรัลชิดลม วันที่ 20 มีนาคม 2568 – มิถุนายน 2568 และจะขยายให้ครอบคลุมทั่วประเทศไทยภายในสิ้นปี 2568 พร้อมกันนี้ยังเพิ่มช่องทางจำหน่ายออนไลน์บนเว็บ Supersports.co.th รวมถึงใช้ช่องทางจัดจำหน่ายออนไลน์ยอดนิยมอื่นๆ ได้แก่ Lazada, Shopee เพื่อเพิ่มการเข้าถึง ติดตามข่าวสารข้อมูลได้ที่ Facebook > Supersports และทาง www.supersports.co.th
]]>โดยกลุ่มคนเลี้ยงสุนัข เติบโต 40.4% และกลุ่มคนเลี้ยงแมว เติบโต 37.1% ขยับมาใกล้เคียงกันมากขึ้น (ปกติหมาจะนำโด่ง)
ส่วนปี 2568 อิมแพ็ค รวบรวมข้อมูลจากการจัดงาน Thailand International Pet Variety Exhibition พบว่า สัดส่วนกลุ่มผู้เลี้ยงสัตว์เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ
“ตลาดแมวแซงหน้าตลาดสุนัขเป็นครั้งแรกแสดงให้เห็นถึงความนิยมในการเลี้ยงแมวที่เพิ่มสูงขึ้น และอาจกลายเป็น กลุ่มตลาดหลักของอุตสาหกรรมสัตว์เลี้ยงไทยในอนาคต“ กุลวดี จินตวร ผู้อำนวยการบริหาร บริษัท อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น แมเนจเม้นท์ จำกัด กล่าว
สถิติเชิงลึกเกี่ยวกับการเลี้ยงแมวที่น่าสนใจ คือ ปัจจุบันประเทศไทยมีประชากรผู้เลี้ยงแมวมากเป็นอันดับ 8 ของโลก โดยจังหวัดที่มีการเลี้ยงแมวสูงสุด ได้แก่
”จำนวนประชากรแมวในประเทศไทยอยู่ที่ 3,337,458 ตัว สูงเป็นอันดับที่ 14 ของโลก“
ขณะที่ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยในการเลี้ยงแมวอยู่ที่ 14,200 บาทต่อปี หรือประมาณ 1,183 บาทต่อเดือน และมีแนวโน้มการรับเลี้ยงแมวจรเพิ่มขึ้นกว่า 14% นับตั้งแต่ปี 2562 และคาดว่าจะขยายตัวต่อเนื่อง
โดยมี “แม่แมว-พ่อแมว Gen Z” เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของตลาดแมวทั่วโลก (อ้างอิง Forture) แม้ว่าหลายคนในกลุ่มนี้จะยังไม่มีบ้านหรือครอบครัว แต่กลับให้ความสำคัญกับสัตว์เลี้ยงเป็นอย่างมาก
โดยพบว่า 74% ของเจ้าของสัตว์เลี้ยงในกลุ่มนี้เลือกทำประกันสัตว์เลี้ยงเพื่อรองรับค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิด
สำหรับค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงแมว กลุ่ม Gen Z ในตลาดโลกใช้จ่ายเฉลี่ยสูงถึง 72,624 บาทต่อปี หรือประมาณ 6,052 บาทต่อเดือน แบ่งเป็น
นอกจากนี้ยังพบว่า เจ้าของแมวจำนวนมากยินดีจ่ายเงินสูงถึง 10,200 บาท ในกรณีฉุกเฉิน เช่น ค่าผ่าตัด ค่ารักษาอาการบาดเจ็บกรณีเกิดอุบัติเหตุ ตลอดจนค่าเอกซเรย์ อัลตราซาวด์ และการตรวจเลือดเพื่อวินิจฉัยปัญหาสุขภาพ
ด้วยการเติบโตอย่างต่อเนื่องของตลาดสัตว์เลี้ยงและความต้องการที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มผู้บริโภค อิมแพ็คฯ จึงเตรียมจัดงาน “Thailand Cat Lovers Fair 2025” งานรวมพลคนรักแมวที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ บนพื้นที่กว่า 5,000 ตารางเมตร ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี ภายในงานรวบรวมสินค้าและบริการกว่า 300 รายการ จากกว่า 150 บูธ
โดยตั้งเป้าสร้างแบรนด์ “งานแมวอิมแพ็ค” ให้เป็นที่จดจำของกลุ่มผู้รักแมว นำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของคนรักแมว
คาดจะมีผู้เข้าชมงานกว่า 15,000คน พร้อมกระตุ้นเม็ดเงินหมุนเวียนภายในงานตลอด 3 วัน มากกว่า 10 ล้านบาท โดยอ้างอิงจากสถิติของงาน Thailand International Pet Variety Exhibition ที่ผ่านมา
]]>แมวเก็ตติ้งเติบโตสูงสุดในกลุ่มสัตว์เลี้ยง
นางสาวกุลวดี จินตวร ผู้อำนวยการบริหาร บริษัท อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น แมเนจเม้นท์ จำกัด เปิดเผยว่า “ตลาดสัตว์เลี้ยงในประเทศไทยและทั่วโลกยังมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยจากข้อมูลของธนาคารทหารไทยธนชาต (TTB) พบว่า ตลาดสัตว์เลี้ยงในไทยปี 2567 ที่ผ่านมามีมูลค่าประเมินอยู่ที่ 75,000 ล้านบาท หรือเติบโตขึ้น 12.4% จากปีก่อนหน้า สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของอุตสาหกรรมสัตว์เลี้ยง โดยเฉพาะกลุ่มผู้เลี้ยงแมวที่มีบทบาทเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน สำหรับแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของตลาดเริ่มเห็นได้ตั้งแต่ต้นปี 2567 โดยกลุ่มคนเลี้ยงสุนัขมีอัตราการเติบโตที่ 40.4% ขณะที่ตลาดแมวเติบโต 37.1% ซึ่งถือว่าใกล้เคียงกัน อย่างไรก็ตามในปี 2568 จากสถิติที่รวบรวมโดยอิมแพ็คฯ จากการจัดงาน Thailand International Pet Variety Exhibition พบว่าตัวเลขมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยตลาดคนเลี้ยงสุนัขเติบโตที่ 31.6% ขณะที่ตลาดแมวเติบโตถึง 32.1% แซงหน้าตลาดสุนัขเป็นครั้งแรกซึ่งแสดงให้เห็นถึงความนิยมในการเลี้ยงแมวที่เพิ่มสูงขึ้น และอาจกลายเป็นกลุ่มตลาดหลักของอุตสาหกรรมสัตว์เลี้ยงไทยในอนาคต
งานวิจัยชี้ Gen Z หนุนตลาดเลี้ยงแมวทั่วโลกโตต่อเนื่อง พร้อมทุ่มงบดูแลสัตว์เลี้ยงระดับพรีเมียม
อิมแพ็คฯ เปิดเผยข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับตลาดแมวในประเทศไทย พบว่า ประเทศไทยมีประชากรผู้เลี้ยงแมวมากเป็นอันดับ 8 ของโลก โดยจังหวัดที่มีการเลี้ยงแมวสูงสุด ได้แก่ นนทบุรี กรุงเทพมหานคร และสมุทรสงคราม ข้อมูลระบุว่า จำนวนประชากรแมวในประเทศไทยอยู่ที่ 3,337,458 ตัว สูงเป็นอันดับที่ 14 ของโลก ขณะที่ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยในการเลี้ยงแมวอยู่ที่ 14,200 บาทต่อปี หรือประมาณ 1,183 บาทต่อเดือน และมีแนวโน้มการรับเลี้ยงแมวจรเพิ่มขึ้นกว่า 14% นับตั้งแต่ปี 2562 และคาดว่าจะขยายตัวต่อเนื่อง
ส่วนตลาดแมวทั่วโลก Fortune เว็บไซต์วิเคราะห์ข่าวธุรกิจ เศรษฐกิจ และการเงิน ได้เปิดเผยงานวิจัยเมื่อเดือนธันวาคม 2567 ระบุว่า ตลาดแมวทั่วโลกมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z ที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมสัตว์เลี้ยง แม้ว่าหลายคนในกลุ่มนี้จะยังไม่มีบ้านหรือครอบครัว แต่กลับให้ความสำคัญกับสัตว์เลี้ยงเป็นอย่างมาก โดยพบว่า 74% ของเจ้าของสัตว์เลี้ยงในกลุ่มนี้เลือกทำประกันสัตว์เลี้ยงเพื่อรองรับค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิด
สำหรับค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงแมว กลุ่ม Gen Z ในตลาดโลกใช้จ่ายเฉลี่ยสูงถึง 72,624 บาทต่อปี หรือประมาณ 6,052 บาทต่อเดือน โดยแบ่งเป็น ค่าอาหารสัตว์เลี้ยง ค่าของเล่น ค่ากรูมมิ่ง และ ค่ารักษาพยาบาล เช่น พาสัตว์เลี้ยงไปพบสัตวแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพ, ค่าฉีดวัคซีนประจำปี, ค่าวิตามิน อาหารเสริมบำรุงสุขภาพ นอกจากนี้ยังพบว่า เจ้าของแมวจำนวนมากยินดีจ่ายเงินสูงถึง 10,200 บาทในกรณีฉุกเฉิน เช่น ค่าผ่าตัด ค่ารักษาอาการบาดเจ็บกรณีเกิดอุบัติเหตุ ตลอดจนค่าเอกซเรย์ อัลตราซาวด์ และการตรวจเลือดเพื่อวินิจฉัยปัญหาสุขภาพ
ปั้น “Thailand Cat Lovers Fair 2025” หรือ “งานแมวอิมแพ็ค”
หนุนเศรษฐกิจสัตว์เลี้ยง สร้างเม็ดเงินหมุนเวียนกว่า 10 ล้านบาท
นางสาวกุลวดี กล่าวต่อว่า “ด้วยการเติบโตอย่างต่อเนื่องของตลาดสัตว์เลี้ยงและความต้องการที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มผู้บริโภค อิมแพคฯ จึงเตรียมจัดงาน “Thailand Cat Lovers Fair 2025” งานรวมพลคนรักแมวที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ บนพื้นที่กว่า 5,000 ตารางเมตร ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี ภายในงานรวบรวมสินค้าและบริการกว่า 300 รายการ จากกว่า 150 บูธ โดยตั้งเป้าสร้างแบรนด์ “งานแมวอิมแพ็ค” ให้เป็นที่จดจำของกลุ่มผู้รักแมว นำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของคนรักแมว ตั้งแต่อาหาร ขนมเพื่อสุขภาพ อุปกรณ์ดูแลสัตว์เลี้ยง ของเล่น นวัตกรรมเทคโนโลยีสำหรับแมว ไปจนถึงบริการพิเศษ อาทิ อาบน้ำตัดขน ประกันสุขภาพแมว โรงแรมและที่อยู่อาศัยแบบ Pet-friendly ศูนย์สุขภาพ โรงพยาบาลสัตว์ รวมถึงบริการดูแลสุขภาพจิตและจิตแพทย์สำหรับแมว เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของเจ้าของสัตว์เลี้ยงในยุคปัจจุบัน และยังมีกิจกรรมเพื่อเหล่าทาสแมวอีกมากมาย
คาดจะมีผู้เข้าชมงานกว่า 15,000 คน พร้อมกระตุ้นเม็ดเงินหมุนเวียนภายในงานตลอด 3 วัน มากกว่า 10 ล้านบาท โดยอ้างอิงจากสถิติของงาน Thailand International Pet Variety Exhibition ที่ผ่านมา ทั้งยังเป็นเวทีสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจอุตสาหกรรมสัตว์เลี้ยง เปิดโอกาสทางธุรกิจให้ผู้ประกอบการทั้งรายใหญ่และรายย่อย (SME) ตลอดจนช่วยเพิ่มยอดขายให้กับร้านค้าและผู้ให้บริการที่เกี่ยวข้อง
กิจกรรมสุดพิเศษเพื่อคนรักแมว
งาน “Thailand Cat Lovers Fair 2025” ได้รับการสนับสนุนจาก การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (Amazing Thailand) และความร่วมมือจากสมาคมผู้ชื่นชอบแมวแห่งประเทศไทย (CFA) และสมาคมแมวไทยโบราณนานาชาติ (TIMBA) จึงทำให้มีกิจกรรมที่น่าสนใจมากมายเกิดขึ้นภายในงาน อาทิ โชว์แมวแปลก หายาก และราคาแพงที่สุด ที่จะเปิดโอกาสให้ได้สัมผัสความน่าทึ่งของสายพันธุ์หายากจากทั่วโลก ละคร(แมว)คุณธรรม การแสดงสุดพิเศษที่ถ่ายทอดเรื่องราวแสนอบอุ่นโดยนักแสดงสี่ขา การประกวดแมวไทย 5 สายพันธุ์ เฟ้นหาสุดยอดแมวไทยที่งดงามตามลักษณะดั้งเดิม การประกวดแมวไทยสีแปลก โอกาสพิเศษในการชมแมวไทยสีหายากที่ไม่ค่อยได้พบเห็น การประกวดแมวสายพันธุ์ระดับนานาชาติ ที่ได้รับความสนใจจากทั้งผู้เข้าประกวดและคณะกรรมการ โซนจำหน่ายสินค้าและบริการสำหรับแมว ที่รวบรวมผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมใหม่ ๆ มาให้เลือกสรรมากมาย
“Thailand Cat Lovers Fair 2025” จะจัดขึ้นระหว่างวันศุกร์ที่ 28 มีนาคม – วันอาทิตย์ที่ 30 มีนาคม 2568 ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี ฮอลล์ 8
]]>
พบกับสัตว์ไซส์ยักษ์จากสายพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก อาทิ แมวเซอร์วัล, เต่าซูคาต้า, คาปิบาร่า, นกอินทรียักษ์และสัตว์เอ็กโซติกสุดน่ารักอีกมากมาย พร้อมเพลิดเพลินกับทุกไฮไลต์ความสนุกภายในงาน ไม่ว่าจะเป็น
• ถ่ายรูปสุดคิวต์กับเหล่าสัตว์สายพันธุ์หายากอย่างนกมาคอร์แสนรู้, นกเค้าอินทรี, คาปิบาร่า, และกิ้งก่าเตกูได้ทุกวันตั้งแต่เวลา 12.00 – 18.00 น.
• ครั้งแรก! กับโซนคาเฟ่กระต่ายสุดน่ารักรับสิทธิ์เข้าโซนเพียงแสดงใบเสร็จช้อปภายในศูนย์ฯ ครบ 300 บาท (จำกัด 1 สิทธิ์/ใบเสร็จ และเข้าโซนได้ 15 นาที/สิทธิ์)
งาน “Giant Jungle Summer Camp” พร้อมเดินสายสร้างความตื่นเต้นทั่วประเทศที่โรบินสันไลฟ์สไตล์ 9 สาขา ได้แก่ ลาดกระบัง (24 – 30 มี.ค. 68), กำแพงเพชร (9-15 เม.ย. 68), สุพรรณบุรี (10-16 เม.ย. 68), ฉลอง (10-16 เม.ย. 68), ถลาง (17 – 23 เม.ย. 68), บุรีรัมย์ (24 – 30 เม.ย. 68), ปราจีนบุรี (24 – 30 เม.ย. 68), สกลนคร (29 เม.ย. – 5 พ.ค. 68) และเพชรบุรี (1 – 7 พ.ค. 68)
ร่วมสัมผัสประสบการณ์ซัมเมอร์แคมป์สุดมันส์ต้อนรับปิดเทอม ให้น้องๆ หนูๆได้ใกล้ชิดกับสัตว์หายากนานาชนิด เสริมสร้างประสบการณ์ใหม่ และสนุกสนานกันทั้งครอบครัว พร้อมปลูกฝังความรักธรรมชาติให้กับเด็กๆ ได้ในงาน “Giant Jungle Summer Camp” ที่โรบินสันไลฟ์สไตล์ใกล้บ้านคุณ(เงื่อนไขเป็นไปตามที่กำหนด ตรวจสอบเพิ่มเติมได้ที่จุดกิจกรรมภายในงาน)
ติดตามข้อมูลข่าวสารโปรโมชัน และกิจกรรมใหม่ ของศูนย์การค้าโรบินสันไลฟ์สไตล์ ผ่านทาง Facebook Page: Robinson Lifestyle (https://www.facebook.com/RobinsonLifestyleMall)
#โรบินสันไลฟ์สไตล์ #RobinsonLifestyle #SummerEnergy
]]>
ภายในงานนี้ยังได้เปิดตัว อาโป – ณัฐวิญญ์ วัฒนกิติพัฒน์ ในฐานะแบรนด์แอมบาสเดอร์ของเนสกาแฟ ดอลเช่ กุสโต้เป็นครั้งแรก เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมของผู้บริโภค ด้วยการสร้างแรงบันดาลใจให้คนรักกาแฟสร้างสรรค์เครื่องดื่มสไตล์คาเฟ่ที่บ้านด้วยตัวเอง กับเนสกาแฟ ดอลเช่ กุสโต้ ที่มีเครื่องดื่มคุณภาพสูงหลากหลายชนิด และเครื่องชงกาแฟที่ใช้เทคโนโลยีล้ำสมัย มอบเครื่องดื่มที่ลงตัวได้ง่ายๆ ด้วยปลายนิ้วของคุณ
เนสกาแฟ ดอลเช่ กุสโต้ เดินหน้าตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดเครื่องชงกาแฟแคปซูล
ตลาดเครื่องชงกาแฟแคปซูลทั่วโลกมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจัยสำคัญที่ทำให้กาแฟแคปซูลได้รับความนิยมจากคอกาแฟอย่างมาก ได้แก่ ความสะดวกในการชงดื่มแก้วต่อแก้ว การใช้งานเครื่องชงกาแฟที่สะดวกง่ายดาย และทางเลือกของกาแฟที่หลากหลายและสามารถปรุงเองได้ และวัฒนธรรมการดื่มกาแฟที่ขยายตัวมากขึ้นของกลุ่มคนในเมืองที่นิยมชงกาแฟที่บ้าน รวมถึงพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้บริโภคหลังสถานการณ์โควิด-19 ส่งผลให้เกิดความต้องการสัมผัสประสบการณ์การดื่มกาแฟที่ดีเยี่ยมจากคาเฟ่ที่บ้านเพิ่มมากขึ้น
อนาคตของตลาดกาแฟไทยจึงขึ้นอยู่กับกลุ่มเครื่องชงกาแฟแคปซูล โดยปัจจุบัน ตลาดเครื่องชงกาแฟแคปซูลในประเทศไทยมีมูลค่ากว่า 1,800 ล้านบาท และมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว ด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปี (Compound Annual Growth Rate – CAGR) อยู่ที่ 8.5% (ที่มา: ยูโรมอนิเตอร์)
เนสกาแฟ ดอลเช่ กุสโต้ เป็นผู้นำในตลาดเครื่องชงกาแฟแคปซูลในประเทศไทย โดยมีการเติบโตเป็นตัวเลขสองหลักทุกปีตลอดระยะเวลา 7 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเกิดจากเทรนด์ของคอกาแฟที่มีไลฟ์สไตล์นิยมการดื่มด่ำประสบการณ์คาเฟ่ที่บ้าน ส่งผลให้มีโอกาสดื่มกาแฟมากขึ้น รวมถึงความหลากหลายของเครื่องดื่มจากสตาร์บัคส์ และเนสกาแฟ ดอลเช่ กุสโต้ ตลอดจนเทคโนโลยีเครื่องชงกาแฟที่ล้ำสมัย และความชื่นชอบแบรนด์สตาร์บัคส์ และเนสกาแฟ ดอลเช่ กุสโต้อย่างเหนียวแน่น ทั้งนี้ เนสกาแฟ ดอลเช่ กุสโต้ และสตาร์บัคส์ ยังมุ่งสร้างความสัมพันธ์อันดีกับคอกาแฟอย่างต่อเนื่อง ผ่านกิจกรรมและการสื่อสารไปยังผู้บริโภค เพื่อให้ความรู้ในการใช้งานเครื่องชงกาแฟและเพลิด เพลินกับเครื่องดื่มในรูปแบบต่างๆ
เดินหน้าขับเคลื่อนตลาดด้วยนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ พร้อมเปิดตัวแคมเปญใหม่
นายโจโจ้ เดลา ครูซ ผู้อำนวยการบริหารธุรกิจผลิตภัณฑ์กาแฟและครีมเทียม บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด เปิดเผยว่า “ในปีนี้ เนสกาแฟ ดอลเช่ กุสโต้ มุ่งมั่นมอบประสบการณ์พิเศษของคาเฟ่มาให้คอกาแฟได้เพลิดเพลินไปกับแนวคิด “ร้านกาแฟที่บ้านคุณ” (Your Coffee Shop at Home) โดยมีกลยุทธ์หลักมุ่งเน้นการนำเสนอเครื่องดื่มสไตล์คาเฟ่คุณภาพเยี่ยมที่ชงดื่มเองที่บ้านได้ ด้วยเครื่องชงกาแฟที่ใช้งานสะดวกง่ายดาย ตลอดจนผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มที่หลากหลายและนวัตกรรมใหม่ๆ ให้แก่คอกาแฟชาวไทย”
กลยุทธ์สำคัญขับเคลื่อนการเติบโต ประกอบด้วย
กลยุทธ์ที่ 1 ประสบการณ์การใช้งานเครื่องชงกาแฟที่ง่ายและสะดวก ทำให้ประสบการณ์การชงเครื่องดื่มแก้วโปรดที่ผู้บริโภคกำลังมองหา ทำได้ง่ายเพียงคลิกเดียว กับเครื่องชงกาแฟเนสกาแฟ ดอลเช่ กุสโต้ ที่ได้รับรางวัลการออกแบบยอดเยี่ยมระดับโลก เรด ดอท ดีไซน์ อวอร์ด และยังมีขนาดเหมาะสำหรับพื้นที่จำกัดของบ้านหรือคอนโดอีกด้วย
กลยุทธ์ที่ 2 นำเสนอเครื่องดื่มที่หลากหลาย ตอบโจทย์ความต้องการในการดื่มด่ำกับเครื่องดื่มคุณภาพที่บ้าน จากความเชื่อของเราที่ยึดมั่นมาตั้งแต่ปี 2561 ว่า “กาแฟไม่ได้มีแค่กาแฟดำ” (Coffee is not just black) ได้พัฒนามาสู่แนวคิด “ร้านกาแฟที่บ้านคุณ” (Your Coffee Shop at Home) ด้วยการนำเสนอเมนูเครื่องดื่มที่หลากหลายจำนวนมากใกล้เคียงกับร้านกาแฟ รวมทั้งยังมีเมนูกาแฟดำ จากกาแฟคั่วบดละเอียด 100% คุณภาพสูงจากแบรนด์สตาร์บัคส์ และ เนสกาแฟ บรรจุด้วยเทคโนโลยีสมาร์ทแคปซูล ที่ออกแบบให้สามารถรักษารสชาติที่ดีเยี่ยมของกาแฟคุณภาพสูงตั้งแต่กระบวนการคั่วจนถึงการชง
กลยุทธ์ที่ 3 นวัตกรรมผลิตภัณฑ์ เช่น การร่วมมือของ “เนสกาแฟ ดอลเช่ กุสโต้ x คิทแคท” ในการเปิดตัวเครื่องดื่มโกโก้ใหม่เมื่อช่วงต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา และได้รับการตอบรับที่ดีเยี่ยมจากผู้บริโภคอย่างล้นหลาม
นายโจโจ้ เดลา ครูซ กล่าวเสริมว่า “ในฐานะผู้นำตลาด เรามีความยินดีอย่างยิ่งที่จะเปิดตัว “สตาร์บัคส์ บลอนด์ เอสเปรสโซ โรสต์” ซึ่งเป็นนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ล่าสุดของเราในเดือนเมษายน 2568 ที่จะมาถึงนี้ เพื่อตอบรับเทรนด์กาแฟคั่วอ่อนที่กำลังได้รับความนิยมและสร้างความประทับใจให้แก่คอกาแฟ พร้อมกันนี้ เรายังได้เปิดตัวแคมเปญใหม่ “แค่คลิก กับ เนสกาแฟ ดอลเช่ กุสโต้” (CLICK with NESCAFÉ Dolce Gusto) ซึ่งได้จับมือกับ ‘อาโป’ ในฐานะแบรนด์แอมบาสเดอร์ของเนสกาแฟ ดอลเช่ กุสโต้ ซึ่งเป็นตัวแทนของคนรักกาแฟที่สนุกกับการใช้เครื่องชงกาแฟเนสกาแฟ ดอลเช่ กุสโต้ ซึ่งอาโปจะร่วมทำคอนเทนต์และร่วมงานอีเวนต์สำหรับผู้บริโภค เพื่อเชิญชวนแฟน ๆ มาร่วมสนุกและสัมผัสประสบการณ์ “อะ คลิก ทู คาเฟ่ คัลเจอร์” (A Click to Café Culture) ไปด้วยกันเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า นวัตกรรมผลิตภัณฑ์และแคมเปญใหม่นี้ จะช่วยผลักดันเนสกาแฟ ดอลเช่ กุสโต้ ให้มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับความนิยมของคอกาแฟชาวไทยที่ชื่นชอบประสบการณ์คาเฟ่ที่บ้านอย่างลงตัว”
ขอเชิญชวนคอกาแฟมาร่วมสนุกในงาน “แค่คลิก กับ เนสกาแฟ ดอลเช่ กุสโต้” (CLICK with NESCAFÉ Dolce Gusto) ณ ลานบีคอน 2 ชั้น 1 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 30 มีนาคม 2568 โดยภายในงานได้เนรมิตบรรยากาศสไตล์คาเฟ่ที่บ้าน ”A Click to Café Culture at Home” ทั้งหมด 4 โซน ได้แก่
โซนที่ 1 – ตกหลุมรักแรกคลิก (Love at First Click): สัมผัสประสบการณ์ “ร้านกาแฟที่บ้านคุณ” (Your Coffee Shop at Home) กับเมนูเครื่องดื่มที่หลากหลายจากสตาร์บัคส์ เนสกาแฟ และ เนสกาแฟ ดอลเช่ กุสโต้ x คิทแคท ในมุมคาเฟ่ที่บ้านดีไซน์สุดคูล นำเสนอไอเดียสร้างสรรค์ในการเปลี่ยนมุมโปรดในบ้านของคุณให้เป็นคาเฟ่
โซนที่ 2 – คลิกรสชาติโปรดของคุณ (Click Your Favorite Taste): เชิญชวนคอกาแฟมาเลือกเครื่องดื่มแก้วโปรดได้ง่าย ๆ แค่คลิกเดียว พร้อมดื่มด่ำรสชาติกาแฟคุณภาพสูงจากกาแฟคั่วบดละเอียด และกาแฟใส่นม รวมถึงเครื่องดื่มอื่น ๆ ที่ไม่ใช่กาแฟ อาทิ มัทฉะ และช็อกโกชิโน่ ที่บรรจุอย่างพิถีพิถันด้วยเทคโนโลยีสมาร์ทแคปซูล
โซนที่ 3 – ลองคลิกกับบาริสต้า (Click to A Cup): ทดลองใช้เครื่องชงกาแฟเนสกาแฟ ดอลเช่ กุสโต้ กับบาริส ต้ามืออาชีพ พร้อมลิ้มลองเมนูเครื่องดื่มสไตล์คาเฟ่ที่แสนง่ายดาย ให้ทุกคนสามารถกลับไปทำเองง่าย ๆ ได้ที่บ้าน
โซนที่ 4 – แค่คลิก และรับกลับบ้าน (A Click and Collect): หลังจากคลิกเลือกเครื่องดื่มแก้วโปรดแล้ว สามารถรับเครื่องดื่ม และชำระเงินได้ในโซนนี้
สำหรับคอกาแฟที่ต้องการสัมผัสประสบการณ์คาเฟ่ที่บ้านแบบพิเศษสุด ขอเชิญทุกคนมาร่วมดื่มด่ำเครื่องดื่ม ทดลองใช้เครื่องชงกาแฟ พร้อมรับโปรโมชั่นพิเศษที่มีเฉพาะในงานนี้ ตั้งแต่วันนี้จนถึง 30 มีนาคม 2568 นอกจากนี้ ยังสามารถเพิ่มเพื่อนที่ LINE OA @nescafedolcegusto เพื่อรับข้อเสนอสุดเอ็กซ์คลูซีฟ พร้อมติดตามข่าวสารล่าสุดจากเนสกาแฟ ดอลเช่ กุสโต้
สตาร์บัคส์ บลอนด์ เอสเปรสโซ โรสต์ มีจำหน่ายแล้วในราคา 329 บาทต่อกล่อง รวม 12 แคปซูล ที่ร้านค้าชั้นนำ และร้านค้าออนไลน์: https://www.dolce-gusto.co.th สำหรับผู้สนใจแพ็กเกจรายเดือนจากเนสกาแฟ ดอลเช่ กุสโต้ สามารถเลือกเครื่องชงกาแฟและแคปซูลที่คุณชื่นชอบได้ที่ https://www.dolce-gusto.co.th/ monthly-package
]]>