กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ จัดงานมหกรรมธุรกิจ DBD Expo 2010 งานเดียวที่รวบรวมสุดยอดธุรกิจ เพื่อสร้างโอกาสและความสำเร็จในการเป็น “เจ้าของธุรกิจ” ได้ไม่ง่าย ด้วยธุรกิจที่มีศักยภาพการเติบโตในตลาดสูงและมั่นคงอย่าง ธุรกิจแฟรนไชส์ สปา ร้านอาหาร โอทอป อีคอมเมิร์ซและธุรกิจกำจัดขยะเพื่อรีไซเคิล ฯลฯ เป็นต้น โดยภายในงานพบกับผู้ประกอบการชั้นนำของประเทศกว่า 200 ราย พร้อมสุดยอดกูรูด้านธุรกิจที่จะมาให้ความรู้ ตลอดจนให้การปรึกษาแนะนำเกี่ยวกับธุรกิจ และพลาดไม่ได้กับเหล่าศิลปินดารา นักแสดง ที่จะมาบอกเล่าถึงเคล็ดลับความสำเร็จการประกอบธุรกิจ อาทิ ลูกชิ้นหมู ปู-เด๋อ, ตี๋ ดอกสะเดา เจ้าของธุรกิจไอศครีมทอดอันโด่งดัง พร้อมชมความสนุกสนานของเหล่าศิลปินจากบ้าน AF
ทุกเรื่องของธุรกิจ…มีครบในงานเดียว DBD Expo 2010 งานมหกรรมธุรกิจ ระหว่างวันที่ 16 – 19 กันยายนศกนี้ เวลา 10.00 – 20.00 น. ที่ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม ฮอลล์ 3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี

กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ผนึกกำลังกับสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย รับมือกับความผันผวนของเศรษฐกิจโลก กับงานสัมมนาเพื่อพัฒนาสถาบันการค้า “เสริมพลังสถาบันการค้าไทย สู้ภัยเศรษฐกิจโลก” พลาดไม่ได้กับปาฐกถาพิเศษโดย “ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” พร้อมรับฟังความคิดเห็นเพื่อพัฒนาการดำเนินธุรกิจ รวมทั้งแนวทางการปรับตัวของกลุ่มสมาคม 9 ประเภทธุรกิจ วันศุกร์ที่ 13 กุมภาพันธ์นี้ ตั้งแต่เวลา 08.30-16.00 น. ณ ห้องบอลรูม โรงแรมโฟร์ซีซั่น ราชดำริ สำรองที่นั่งที่หมายเลขโทรศัพท์ 0-2248-7967-8

เมื่อเร็ว ๆ นี้ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายเกริกไกร จีระแพทย์ ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีมอบเครื่องหมายรับรองความน่าเชื่อถือในการประกอบธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (Trustmark) ให้แก่ นายภัทระ ทักษิณสกุล Senior E-Commerce Assistant บริษัท เท็กซ์ไทล์ แกลลอรี่ จำกัด ผู้ให้บริการเว็บไซต์ www.pasaya.com จำหน่ายของตกแต่งบ้าน ซึ่งผ่านการรับรองจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ว่าเป็นเว็บไซต์ที่มีความน่าเชื่อถือ มีแนวปฏิบัติในการดำเนินธุรกิจที่ดีและมีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับในระดับสากล

กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ขอเชิญผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์และผู้ที่สนใจเข้าร่วมฟังการสัมมนาเรื่อง “ทำ e-commerce อย่างไรให้โดนใจลูกค้า” ในวันพุธที่ 16 มกราคม 2551 เวลา 13.00 – 16.00 น. ณ ห้องประชุม 30410 ชั้น 4 ตึกสำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ สนามบินน้ำ ซึ่งได้รับเกียรติจากนายสุทธิศักดิ์ เลาหชีวิน รองอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เป็นประธานในพิธี

ภายในงานจัดให้มีสัมมนาการส่งเสริมด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า อาทิ การสร้างความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ด้วยเครื่องหมาย Trustmark, การเปิดตัวเว็บไซต์ตลาดกลาง DBDmart.com รูปโฉมใหม่ ด้วยเทคโนโลยี Web 2.0, การจดทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ โดยวิทยากรรับเชิญที่มีความเชี่ยวชาญด้าน e-commerce, ผู้ให้บริการด้านการชำระเงิน การขนส่ง ฯลฯ พิเศษสุดสำหรับ ผู้ลงทะเบียน และผู้ประกอบการที่เปิดร้านค้าอยู่แล้วใน DBDmart.com 150 ท่านแรก รับของชำร่วยพิเศษในงาน รับจำนวนจำกัด สนใจสำรองที่นั่งได้ที่ www.trustmarkthai.com/seminar หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่คุณปาริชาติ สุวรรณ์ โทร. 02-439-4600 ต่อ 8302 (ไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น)

กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ จับมือสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย จัดงาน “ทศวรรษแห่งความแข็งแกร่งของสถาบันการค้าไทย” หนุนให้ภาคธุรกิจตื่นตัวและปรับตัวสร้างความเข้มแข็งพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงและการแข่งขันท่ามกลางกระแสโลกาภิวัฒน์และการค้าเสรี

กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ร่วมกับสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ได้กำหนดจัดงาน “ทศวรรษแห่งความแข็งแกร่งของสถาบันการค้าไทย” ซึ่งได้จัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 โดยมีวัตถุประสงค์หลัก เพื่อเสริมให้สถาบันการค้าได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและรับทราบนโยบายภาครัฐตลอดจนข้อมูลข่าวสารทางธุรกิจการค้าและความก้าวหน้าทางวิทยาการต่าง ๆ กระตุ้นให้เกิดความตื่นตัวและปรับตัวตัวไปในทิศทาง ที่ถูกต้อง ตลอดจนให้เกิดความร่วมมือและการสร้างเครือข่ายทางการค้าระหว่างภาคเอกชน ทั่งนี้สถาบันการค้าจะมีบทบาทที่สำคัญในการเป็นตัวแทนสมาชิกประสานงานกับภาครัฐรวมไปถึงการพัฒนาสมาชิกเพื่อให้การดำเนินธุรกิจสอดคล้องกับนโยบายของภาครัฐและมีความเข้มแข็ง

สำหรับในปีนี้ งานดังกล่าวจะจัดขึ้นในวันพฤหัสบดีที่ 21 ธันวาคม เวลา 09.00-15.30 น. ณ ห้องแกรนด์ ไดมอนด์ บอลรูม อิมแพ็ค คอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ อาคาร 9 เมืองทองธานี โดย ฯพณฯ เกริกไกร จีระแพทย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จะเป็นประธานเปิดงาน และ ให้เกียรติกล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “ทิศทางเศรษฐกิจและนโยบายภาครัฐกับการปรับตัวของสถาบันการค้า”
ภายในงานยังได้จัดให้มีการเสวนาพิเศษ ในหัวข้อเรื่อง “แนวโน้มเศรษฐกิจ ธุรกิจและการลงทุนปี 2550 ประกอบด้วยวิทยากรดังนี้ ดร.อัมมาร์ สยามวาลา ศาสตราจารย์เกียรติคุณ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทยหรือทีดีอาร์ไอ ดร.อนุสรณ์ แสงนิ่มนวล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.บางจากปิโตรเลียม และนางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย โดยมี ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ นักวิชาการอิสระ เป็นผู้ดำเนินรายการ

นอกจากภายในงานมีการมอบรางวัลสมาคมการค้าดีเด่น ที่มีเป้าหมายในการพัฒนาสมาคมการค้าไทยให้มีการบริหารจัดการที่ดีมีมาตรฐานสากล โดยในปีนี้มีสมาคมการค้าเข้าร่วมประกวด 51 สมาคม แบ่งเป็นสมาคมที่มีจำนวนสมาชิกตั้งแต่ 50 รายขึ้นไป จำนวน 17 สมาคม อนึ่ง บริเวณหน้าห้องสัมมนายังได้มีการจัดแสดงนิทรรศการของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสมาคมการค้าที่ได้รับรางวัลการค้าดีเด่น เพื่อโชว์ศักยภาพของสถาบันการค้าของไทยให้เป็นที่รู้จักทั้งในและต่างประเทศ

การจัดงาน “ทศวรรษแห่งความแข็งแกร่งของสถาบันการค้าไทย” ประจำปี 2549 มุ่งเน้นให้ภาคธุรกิจตระหนักถึงความสำคัญของการปรับและพัฒนาตัวเองสู่ความเข้มแข็ง

สำหรับตัวแทนภาคธุรกิจที่สนใจเข้าร่วมงาน “ทศวรรษแห่งความแข็งแกร่งของสถาบันการค้าไทย” ประจำปี 2549 สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า หมายเลขโทรศัพท์ 0 – 2547-5970 -1 หรือ http://www.dbd.go.th สภาหอการค้าแห่งประเทศไทยที่หมายเลขโทรศัพท์ 02-662-1860-67 หรือ http://www.thaiechamber.com

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สุนิสา ทองวรรณ (โอ๋)
โทร. 0-2643-1191 ต่อ 13 หรือ 08-4105-7878

นายแพทย์ การุณ เมฆานนท์ชัย (กลาง) ผู้อำนวยการด้านการแพทย์ และแพทย์หญิง จามรี เชื้อเพชระโสภณ (ที่ 3 จากซ้าย) รองผู้อำนวยการด้านการแพทย์อาวุโสของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ให้การต้อนรับคณะผู้แทนจาก กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ซึ่งนำโดย คุณสุทธิศักดิ์ เลาหชีวิน (ที่ 3 จากขวา) โดยคณะผู้แทนฯ ได้พบปะเพื่อหารือเกี่ยวกับเรื่องการพัฒนาอุตสาหกรรมการดูแลรักษาสุขภาพสำหรับตลาดต่างประเทศ พร้อมทั้งเยี่ยมชมโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ฯ หนึ่งในโรงพยาบาลชั้นนำของประเทศ ซึ่งได้รับการยกย่องจากนิตยสาร Newsweek ว่าเป็นสถานพยาบาลมาตรฐานระดับนานาชาติ 1 ใน 10 ของโลกที่ชาวต่างชาติมาใช้บริการมากที่สุด เมื่อเร็ว ๆ นี้

มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญได้ร่วมกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดตัว “โครงการแข่งขันธุรกิจจำลองในสถาบันอุดมศึกษา” (University Entrepreneurial Development Project : U-ED) ครั้งที่ 1 ขึ้นเมื่อเดือนตุลาคม 2548 ที่ผ่านมา เพื่อพัฒนาโครงการบริษัทจำลองให้มีความเข้มข้นมากยิ่งขึ้น นักศึกษาได้มีโอกาสเรียนรู้และเสริมสร้างประสบการณ์ในการเป็นผู้ประกอบการ โดยมีโอกาสได้ดำเนินธุรกิจจริง อันตอบสนองยุทธศาสตร์การพัฒนาผู้ประกอบการใหม่ พัฒนาศักยภาพและเพิ่มขีดความสามารถของบัณฑิตให้สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาของประเทศในการสร้างงานได้ด้วยตนเอง ซึ่งคณะกรรมการโครงการได้จัดการฝึกอบรมให้กับนักศึกษาซึ่งเป็นผู้บริหารโครงการ ฝึกการเขียนแผนธุรกิจและนำแผนธุรกิจนั้นไปดำเนินการจริงในบริษัทจำลองของตน โดยมีนักธุรกิจที่ปรึกษาจากโครงการฯเป็นผู้ติดตามดูแลและประเมินผล ซึ่งในปีนี้มีสถาบันการศึกษาทั้งของรัฐและเอกชนเข้าร่วมทั้งหมด 20 สถาบัน นักศึกษาประมาณ 1,500 คน

ทั้งนี้ รูปแบบของการแข่งขัน จะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มได้แก่ กลุ่มที่ 1 เป็นสถาบันที่เริ่มก่อตั้งและมีระยะเวลาดำเนินการบริษัทจำลองในระยะเวลา 1 – 5 ปี ส่วนกลุ่มที่ 2 เป็นสถาบันที่มีระยะเวลาดำเนินการบริษัทจำลองเป็น 5 ปีขึ้นไป โดยกรอบเวลาของการแข่งขัน จะแบ่งเป็น 2 ประเภท นั่นคือสถาบันที่ดำเนินงานในช่วงปิดภาคเรียนระหว่างเดือนเมษายน – พฤษภาคม กับสถาบันที่เริ่มดำเนินการในช่วงเปิดภาคเรียนระหว่างเดือนธันวาคม – กุมภาพันธ์ ไม่ว่าจะดำเนินการในช่วงใดก็ตาม ผลประกอบการที่จะมาแสดงให้คณะกรรมการพิจารณาจะนับแค่ 2 เดือนเท่านั้น โดยมีเกณฑ์ในการตัดสิน คือ เทคนิคการวางแผน 20 % การดำเนินงานตามเป้าหมายและแผนงาน 35 % หลักการบริหาร 15% นวัตกรรม 10% การรายงาน 10 % การทำประโยชน์ให้แก่สังคม 10 %

โดยมีคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากหลากหลายองค์กรและสาขาวิชาชีพร่วมในการพิจารณาตัดสินและในระหว่างการดำเนินงาน คณะกรรมการโครงการแข่งขันธุรกิจจำลองในสถาบันอุดมศึกษาครั้งที่ 1 ได้เข้าเยี่ยมสถาบันที่เข้าร่วมโครงการในภาคต่างๆ ทางคณะกรรมการโครงการฯ ก็ได้นำเสนอวิธีการและรูปแบบในการบริหารบริษัทจำลองอย่างมีประสิทธิภาพและตอบข้อซักถามต่างๆ โดยได้รับการตอบรับจากคณะอาจารย์และนักศึกษาแต่ละสถาบันเป็นอย่างดี และยังได้มีการหารือกันในเรื่องการสร้างเครือข่ายระหว่างสถาบันที่เข้าร่วมโครงการทั่วประเทศ อันจะนำมาซึ่งการแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ และช่องทางในการดำเนินการธุรกิจจำลองที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

บัดนี้การดำเนินงานของบริษัทจำลองได้สิ้นสุดลงในกรอบระยะเวลาการดำเนินงานตามเกณฑ์การตัดสินแล้ว ทางมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญจึงจะได้จัดให้มีการนำเสนอผลการดำเนินงานบริษัทจำลองของสถาบันการศึกษาต่างๆที่เข้าร่วมโครงการเพื่อพิจารณาตัดสินในการรับโล่รางวัลประเภทต่างๆจาก ฯพณฯ ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ซึ่ง ท่านอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ จะได้ให้เกียรติมาเป็นประธานในพิธีประกาศผลและมอบโล่รางวัล ในวันที่ 1 – 2 กรกฎาคม 2549 ณ ห้องเกียรติคุณ อาคารเฉลิมรัชมงคล มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ วิทยาเขตหัวหมาก ซึ่งโล่รางวัลดังกล่าวแบ่งออกเป็น 7 ประเภทดังต่อไปนี้

1. รางวัลธุรกิจจำลองดีเด่นประเภท 1 – 5 ปี
2. รางวัลธุรกิจจำลองดีเด่นประเภท 5 ปีขึ้นไป
3. รางวัลการบริหารการตลาดดีเด่น
4. รางวัลการบริหารบุคคลดีเด่น
5. รางวัลนวตกรรมดีเด่น
6. รางวัลการทำประโยชน์เพื่อสังคมดีเด่น
7. รางวัลการนำเสนอดีเด่น

นอกจากนี้ผู้เข้าร่วมโครงการฯจะได้รับวุฒิบัตรร่วม จากอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า และ อธิการบดีมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญอีกด้วย สำหรับสถาบันการศึกษาที่จะนำเสนอผลประกอบการในการแข่งขันครั้งนี้ จำนวน 11 สถาบัน ประกอบด้วย

กลุ่มที่ 1 สถาบันที่เริ่มก่อตั้งธุรกิจจำลองระยะเวลา 1 – 5 ปี
1. มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร
2. มหาวิทยาลัยนเรศวร
3. มหาวิทยาลัยทักษิณ
4. มหาวิทยาลัยเจ้าพระยา
5. มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา
6. มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต
7. มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย

กลุ่มที่ 2 สถาบันที่ดำเนินธุรกิจจำลองระยะเวลา 5 ปีขึ้นไป
1. มหาวิทยาลัยแม่โจ้
2. มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ
3. มหาวิทยาลัยพายัพ
4. มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ

คณะกรรมการโครงการฯมีความเชื่อมั่นว่า ด้วยความร่วมมือจากคณะอาจารย์และนักศึกษา “โครงการแข่งขันธุรกิจจำลองในสถาบันอุดมศึกษา” จะสามารถเสริมสร้างความรู้และประสบการณ์ในการดำเนินงานให้แก่สถาบันที่เข้าร่วมโครงการ ตลอดจนพัฒนาผู้ประกอบการที่มีศักยภาพจากสถาบันอุดมศึกษาต่างๆทั่วประเทศ สู่เวทีผู้ประกอบการในอนาคตได้อย่างแน่นอน

สำหรับในปีนี้ “โครงการแข่งขันธุรกิจจำลองในสถาบันอุดมศึกษา” ครั้งที่ 2 จะขยายจำนวนสถาบันการศึกษาที่เข้าร่วมเป็นจำนวน 25 – 30 สถาบัน โดยจะเริ่มรับสมัครตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2549 เป็นต้นไป

ท้ายนี้ “โครงการแข่งขันธุรกิจจำลองในสถาบันอุดมศึกษา” ครั้งที่ 1 ได้รับการสนับสนุนอย่างดียิ่งจาก บริษัทเซเรบอส (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทไทคูน-แบรนด์เอจ โฮลดิ้ง จำกัด บริษัทเอ็กซอนโมบิล จำกัด บริษัทไซเบอร์ดิคเทคโนโลยี จำกัด และ บริษัทเดอะมอลล์ ชอปปิ้งคอมเพล็กซ์ จำกัด

ธนาคารนครหลวงไทย ร่วมสนับสนุนนโยบายของภาครัฐบาลในการพัฒนาเศรษฐกิจรากฐานให้มีความเข้มแข็ง ด้วยการจับมือกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เสริมสร้างและพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการ พร้อมให้การสนับสนุนด้านสินเชื่อ และอำนวยความสะดวกในการชำระค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ผ่านทางเคาน์เตอร์ธนาคาร ทั่วประเทศกว่า 373 สาขา

นายอรุณ จิรชวาลา กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ธนาคารได้สนองนโยบายของภาครัฐบาลด้านการพัฒนาเศรษฐกิจรากฐานให้มีความเข้มแข็ง และมีความเจริญก้าวหน้า จึงได้ร่วมมือกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ที่มีหน้าที่ให้บริการจดทะเบียน กำกับดูแลบริการข้อมูลแก่ผู้ประกอบการธุรกิจ ภายใต้ โครงการร่วมแรงร่วมใจเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจรากฐาน ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการเสริมสร้างผู้ประกอบการรายใหม่ และสนับสนุนผู้ประกอบการรายเดิม โดยจัดหลักสูตรอบรมให้ความรู้ เพื่อเสริมสร้างศักยภาพในการประกอบธุรกิจให้ผู้ประกอบการ สามารถยืนหยัดต่อสู้กับภาวะวิกฤตการต่าง ๆ ได้อย่างเข้มแข็ง และยั่งยืน พร้อมทั้งให้การสนับสนุนทางการเงิน ในรูปแบบสินเชื่อระยะยาว อัตราดอกเบี้ยพิเศษไม่เกินร้อยละ MLR+ 2 ต่อปี (ปัจจุบัน MLR เท่ากับ 6.00 % ) และ วงเงินเบิกเกินบัญชี (โอดี) อัตราดอกเบี้ยพิเศษไม่เกินร้อยละ MOR + 2 ต่อปี ( ปัจจุบัน MOR เท่ากับ 6.25 % ) ในวงเงินกู้เริ่มต้นตั้งแต่ 500,000 บาท และ สูงสุดถึง 10 ล้านบาท ระยะเวลาในการผ่อนชำระนาน 3 – 8 ปี ทั้งนี้ ผู้ขอกู้จะต้องเป็นผู้ประกอบการธุรกิจ ที่มีสัญชาติไทย และได้ผ่านการอบรมในหลักสูตรตามโครงการร่วมแรงร่วมใจเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจรากฐาน ซึ่งได้รับการรับรองจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์แล้ว มีประวัติการชำระหนี้ที่ดีทั้งนี้ ผู้ประกอบการต้องจัดทำแผนธุรกิจที่ชัดเจนและมีความเป็นไปได้ของโครงการที่เสนอด้วย

นายอรุณฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากให้การสนับสนุนทางการเงินแล้ว ธนาคารยังมีบริการเสริมให้ที่ครบวงจรยิ่งขึ้น เป็นการอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการด้วยการรับชำระค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ผ่านทางเคาน์เตอร์ของธนาคาร ด้วยบริการ SCIB Counter Pay ซึ่งผู้ประกอบธุรกิจจะได้รับความสะดวกสบาย รวดเร็ว จากการไปใช้บริการได้ที่สาขาธนาคารกว่า 373 สาขาทั่วประเทศ ทั้งสาขาเต็มรูปแบบ สาขาย่อย และสาขารูปแบบ Modern Branch ซึ่งเป็นสาขารูปแบบใหม่ที่เปิดให้บริการทางการเงินแก่ลูกค้าอย่างครบวงจรด้วยเครื่องบริการอัตโนมัติ ตั้งแต่เวลา 10.30 น. – 20.00 น. ทุกวันไม่เว้นวันหยุด และตู้ ATM อีก 1,096 ตู้ ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธนาคารนครหลวงไทย ทุกสาขาทั่วประเทศ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ร่วมกับ สถาบันเทคโนโยลีราชมงคล วิทยาเขตพระนครเหนือ จัดพิธีเปิดตัวและแถลงข่าวโครงการอบรมเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการและสร้างโอกาสทางการตลาดสำหรับธุรกิจอู่ซ่อมรถยนต์ ณ ห้องประชุมใหญ่ สถาบันเทคโนโยลีราชมงคล วิทยาเขตพระนครเหนือ ถนนพิบูลสงคราม เขตบางซื่อ กรุงเทพฯ เมื่อเร็วๆ นี้

นางเกษสิริ ศิริภากรณ์ รองกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า ในปัจจุบันเศรษฐกิจของประเทศเริ่มดีขึ้น ทำให้ประชาชนมีกำลังที่จะซื้อรถยนต์มาเป็นของตัวเองมากขึ้น จากสถิติการเพิ่มจำนวนของรถยนต์ในประเทศ คาดว่าในปี 2546 จะมีรถยนต์จดทะเบียนทั่วประเทศประมาณ 8.2 ล้านคัน ในจำนวนดังกล่าวเป็นรถยนต์ใช้แล้วมากกว่าร้อยละ 90 จึงทำให้ธุรกิจอู่ซ่อมรถยนต์ขยายตัวเพิ่มมากขึ้นด้วย ประกอบกับรัฐบาลมีนโยบายในการพัฒนาธุรกิจ SMEs เพื่อผลักดันเศรษฐกิจของประเทศ ธุรกิจอู่ซ่อมรถยนต์จึงเป็นธุรกิจที่ภาครัฐให้ความสำคัญในการส่งเสริมและผลักดันสู่ตลาดสากล เนื่องจากฝีมือช่างซ่อมรถยนต์คนไทยเป็นที่ยอมรับของนานาประเทศ ไม่น้อยหน้าคนต่างชาติ แต่ส่วนใหญ่ยังขาดความรู้ความเข้าใจในกระบวนการบริหารจัดการธุรกิจ มีความจำเป็นต้องพัฒนาเพิ่มเติม

กรมพัฒนาธุรกิจการค้าจึงได้ร่วมมือกับศูนย์ส่งเสริมและเผยแพร่เทคโนโยลี (ประเทศไทย) สถาบันเทคโนโยลีราชมงคล วิทยาเขตพระนครเหนือ จัดทำโครงการอบรมเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการและสร้างโอกาสทางการตลาดสำหรับธุรกิจอู่ซ่อมรถยนต์ เพื่อปรับสร้างแนวคิดในการทำธุรกิจอู่ซ่อมรถให้พร้อมรับการแข่งขัน พัฒนาความสามารถและทักษะของผู้ประกอบการให้มีศักยภาพก้าวสู่ตลาดสากล

การอบรมจะจัดขึ้น 2 รุ่น ระยะเวลาตลอดหลักสูตร 60 ชั่วโมง โดยมีผู้เข้ารับการอบรมรุ่นละ 60 คน รุ่นที่ 1 สำหรับอู่ซ่อมรถยนต์ที่เปิดมาแล้วตั้งแต่ 3 ปี และมีคนงาน 30 คนขึ้นไป เริ่มวันที่ 21 พฤศจิกายน 2546 และรุ่นที่ 2 สำหรับอู่ซ่อมรถยนต์ที่เปิดมาแล้วไม่เกิน 3 ปี และมีจำนวนคนงานน้อยกว่า 30 คนขึ้นไป เริ่มวันที่ 21 ธันวาคม 2546 ทั้งนี้คาดว่าหลังจากการอบรมเสร็จสิ้นลงจะสามารถเสริมสร้างศักยภาพของผู้ประกอบธุรกิจอู่ซ่อมรถยนต์ในรุ่นต่อๆ ไป อันเป็นการยกระดับธุรกิจอู่ซ่อมรถยนต์ให้มีมาตรฐานการจัดการในระดับที่เท่าเทียมกันในอนาคต

รองอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้ทำความตกลงร่วมกับธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ให้สิทธิแก่ผู้ที่สำเร็จการอบรมตามหลักสูตร 60 ชั่วโมง สามารถยื่นหลักฐานขอรับการพิจารณาสินเชื่อเร่งด่วน (Fast Track) ที่เป็นช่องทางพิเศษในการพิจารณาสินเชื่อและหลักประกันในวงเงิน 50,000 ถึง 500,000 บาทอีกด้วย