กลุ่มเซ็นทรัล – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Wed, 22 Oct 2025 06:01:05 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ถอดแนวคิด ‘จิราธิวัฒน์’ ทำอย่างไรถึงลบคำสาป ‘รุ่น 3’ https://positioningmag.com/1542083 Wed, 08 Oct 2025 12:38:53 +0000 https://positioningmag.com/?p=1542083 จากธุรกิจห้องแถว วันนี้ ‘กลุ่มเซ็นทรัล’ ได้เดินทางมาครบรอบ 78 ปี มีธุรกิจหลากหลายอยู่ใน 15 ประเทศ มียอดขายปีที่ผ่านมาแตะ 4 แสนล้านบาท ทำให้ใครๆ ต่างสนใจว่า ‘ตระกูลจิราธิวัฒน์’ ซึ่ง ณ ปัจจุบันมาถึงเจเนอเรชั่นที่ 5 ทำอย่างไรถึงพาธุรกิจเติบโตได้ขนาดนี้ภายใต้การเปลี่ยนผ่านจาก ‘รุ่นสู่รุ่น’ ขณะที่ธุรกิจครอบครัวส่วนใหญ่มักจะจบที่ ‘รุ่น 3’

 

ประเด็นนี้ ‘ปริญญ์ จิราธิวัฒน์’ รองประธานกรรมการบริหาร กลุ่มเซ็นทรัล ได้มาแชร์แนวคิดการบริหารธุรกิจครอบครัวของตระกูลจิราธิวัฒน์ ในงานสัมมนาของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย The 3rd SET Annual Conference on Family Business : Transforming Family Business ภายใต้หัวข้อ ‘ถอดรหัสความสำเร็จทรานส์ฟอร์มธุรกิจให้ชนะอนาคต’

ปริญญ์เริ่มต้นเล่าว่า จิราธิวัฒน์ไม่เหมือนครอบครัวอื่น เพราะเป็นครอบครัวใหญ่ เนื่องจากคุณปู่ (เตียง จิราธิวัฒน์) เดินทางจากเมืองจีนมาเพียงลำพัง จึงอยากมีครอบครัวใหญ่เอาไว้ช่วยเหลือพึ่งพากัน ทำให้คุณปู่มีภรรยา 3 คน มีลูก 26 คน และตอนนี้จิราธิวัฒน์ได้เดินมาถึงเจเนอเรชั่นที่ 5 รวมคนในตระกูลแล้ว 250 คน

 

สำหรับกลุ่มเซ็นทรัลปีนี้ครบรอบ 78 ปี เริ่มต้นจากธุรกิจห้องแถว และปัจจุบันมี 4 บริษัทจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ส่วนยอดขายของกลุ่มปีที่ผ่านมาแตะ 400,000 ล้านบาท และมีธุรกิจใน 15 ประเทศ เป็นรายได้จากต่างประเทศ 35-40% แต่ทำกำไรให้ยังไม่ถึง 10%

 

กติกาต้องชัดเจน-โปร่งใส-เป็นธรรม

 

ส่วนวิธีบริหารธุรกิจครอบครัวของจิราธิวัฒน์ที่ทำให้กลุ่มเซ็นทรัลเติบโตมาถึงจุดนี้ ประเด็นแรก ‘ต้องมีกฎกติกาชัดเจน โปร่งใสและเป็นธรรม’ โดยพยายามแยก ‘ครอบครัว’ และ ‘ธุรกิจ’ ออกจากกัน เพราะการมีโครงสร้างชัดเจน จะช่วยลดปัญหาความขัดแย้งและทำให้การบริหารงานเป็นมืออาชีพมากขึ้น

 

รวมถึงได้มีการตั้ง ‘สภาครอบครัว’ และคณะกรรมการภายใน เพื่อบริหารเรื่องต่างๆ ภายในครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นการวางกฎกติกา, บริหารจัดการสวัสดิการ ไปจนถึงการหารือประชุมเรื่องต่างๆ ทั้งลงทุน คัดคน แต่งตั้งผู้บริหาร และกำหนดนโยบาย ซึ่งจะมีการประชุมภายในก่อนจะนำไปสู่ภายนอก หรือ Public company

 

“สภาครอบครัวและคณะกรรมการภายใน จะเน้นให้ครอบครัวแต่ละสายเข้ามาให้ครบเพื่อความโปร่งใสและยุติธรรม เรื่องนี้สำคัญมากจะช่วยลดความขัดแย้ง”

 

นอกจากนี้ ยังมีการจัดทำ ‘ธรรมนูญครอบครัว’ ขึ้นมา เป็นกฎกติกาและแนวทางปฏิบัติที่ถือเป็น ‘กฎเหล็ก’ ที่ทุกคนต้องปฏิบัติตาม

 

“ก่อนหน้านี้ตระกูลจิราธิวัฒน์เคยมียุคที่ขึ้นอยู่กับผู้มีอำนาจ 1- 2 คน แต่พอเจอวิกฤตต้มยำกุ้ง ทำให้ปรับครั้งใหญ่ และเราโชคดีได้ ‘วิโรจน์ ภู่ตระกูล’ มาให้ข้อคิดและเป็นกรรมการ รวมถึงทำธรรมนูญครอบครัวขึ้นมา ซึ่งมีกฎกติกามากมายเป็นแนวทางปฏิบัติสำหรับทุกคนในครอบครัว”

‘ความสามารถ’ สำคัญกว่า ‘อาวุโส’

 

การบริหารธุรกิจครอบครัวเรื่องสำคัญที่สุด คือ ต้องให้ทุกคนกินดี อยู่ดี มีเงินใช้ไม่ขัดสน เพื่อให้ทุกคนมีความสุข และการจะเป็นเช่นนั้นได้ ต้องมี ‘ผู้บริหารที่ดี ทำงานเก่ง’ เพื่อพาบริษัทและธุรกิจเติบโตไปข้างหน้า

 

เพราะเมื่อบริษัทหรือธุรกิจมีปัญหา ทุกคนจะเดือดร้อน และปัญหาครอบครัวจะตามมา ดังนั้น การคัดเลือก ‘คน’    เข้ามาทำงานหรือบริหารธุรกิจในเครือเซ็นทรัลจึงสำคัญมาก

 

ปริญญ์เล่าว่า ด้วยมีจำนวนสมาชิกในครอบครัวถึง 250 คน แต่ใช่ว่า ‘ทุกคน’ จะเข้ามานั่งบริหาร โดยหลักการคัดเลือก จะมีกติกาและแนวทางปฏิบัติชัดเจนอยู่แล้ว นั่นคือ ‘ธรรมนูญครอบครัว’ ไม่ใช่ว่าเป็นเบอร์ 1 หรือผู้บริหารแล้วจะสั่งหรือทำตามใจได้

 

หนึ่งในหลักที่พูดถึง คือ เน้น ‘ความสามารถ’ มากกว่า ‘ความอาวุโส’ ยกตัวอย่าง การขึ้นมาดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริหาร กลุ่มเซ็นทรัลของ ‘ทศ จิราธิวัฒน์’ ที่ ณ ตอนนั้นมีอายุ 50 ปี ขณะที่มีผู้อาวุโสอายุมากกว่าถึง 20 คน นั่นก็มาจากการให้ความสำคัญกับเรื่องความสามารถ ไม่ใช่ยึดหลักอาวุโส 

 

“การลำเอียงและการทะเลาะเป็นเรื่องปกติ ถึงต้องสร้างกฎกติกาที่ยุติธรรม โปร่งใส ให้ทุกคนมีความสุข ไม่เช่นนั้นเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นบ่อยๆ และต้องบาลานซ์แต่ละครอบครัวเข้ามาอยู่ในคณะกรรมการ

 

“ที่สำคัญต้องพยายามสร้างความปรองดองในครอบครัวให้เกิดขึ้นมาก ๆ และต้องสั่งสอนให้คนในครอบครัวรู้ด้วยว่า ความเป็นพี่เป็นน้อง คนอายุมากกว่าไม่จำเป็นต้องขึ้นมาเสมอไป ทั้งหมดขึ้นอยู่กับความสามารถ”

 

บ่มเพาะความพร้อมทายาท

 

การเตรียมความพร้อมให้ทายาทรุ่นต่อไปที่จะเข้ามาสานต่อธุรกิจ เป็นอีกเรื่องที่ทางจิราธิวัฒน์ให้ความสำคัญ โดยจะมี Mentor อยู่ 7-8 คนที่นอกจากจะเป็นคนในตระกูลแล้ว บางครั้งจะมีคนนอกด้วย

 

Mentor แต่ละคนจะดูแลทายาท 5-6 คน และต้องเจอกันทุก 3 เดือน เพื่อเล่าให้ฟังว่า ทำงานอะไร อยากทำอะไร จากนั้น Mentor จะให้คำแนะนำ และทุกๆ 2-3 ปี ทายาทจะมีการหมุนเปลี่ยน Mentor ไปเรื่อยๆ เพื่อให้เรียนรู้และได้รับการพัฒนาที่หลากหลาย

 

ขณะเดียวกันก็จะมีคอร์สอบรมทั้งภายในและภายนอกองค์กร รวมถึงให้เรียนรู้จากการทำงานจริงตั้งแต่ระดับล่างค่อยๆ ไต่ระดับขึ้นมา เพื่อให้หมุนเวียนทำความรู้จักโปรดักต์และเรียนรู้ธุรกิจทั้งหมดของกลุ่ม เพื่อบ่มเพาะให้ทายาท ‘เก่ง’ และมี ‘ความพร้อม’ มากที่สุด

 

นอกจากนี้ ยังพยายามสร้างให้มีการแข่งขัน เพื่อให้คนรุ่นใหม่มีความอยากเติบโต มีความกระตือรือร้น และอยากสร้างผลงาน แต่หลักสำคัญ ต้องระมัดระวังไม่ให้เกิดการแข่งขันแบบ ‘ไม่รักกัน’

 

ห้ามขายหุ้นให้คนนอก

 

แม้ธรรมนูญครอบครัว จะเป็นกฎเหล็กที่ทุกคนในจิราธิวัฒน์ต้องปฏิบัติตาม แต่ก็มีการปรับปรุงเรื่อยๆ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์และเหมาะสมกับช่วงเวลาในแต่ละยุค โดยที่ผ่านมาได้มีการปรับปรุงไปแล้ว 3-4 ครั้ง

 

ทว่ามีอยู่ข้อหนึ่งที่จะไม่มีการเปลี่ยนหรือปรับเด็ดขาด นั่นคือ ‘ห้ามขายหุ้นให้คนนอก’ เพราะสำคัญมากในการคงอยู่ของธุรกิจครอบครัวเพื่อไม่ให้เสียคอนโทรล รวมไปถึงทำให้มั่นใจได้ว่า ธุรกิจที่ถูกสร้างมาตั้งแต่รุ่นที่ 1 จะยังคงอยู่ในมือของครอบครัวต่อไป  

 

สุดท้าย ปริญญ์ฝากถึงคนรุ่นใหม่ที่จะเข้ามาบริหารธุรกิจครอบครัวในอนาคตว่า ผู้นำไม่จำเป็นต้องเก่งที่สุด แต่ต้อง ‘ยุติธรรม’ และ ‘โปร่งใส’ เพราะจะเป็นตัวอย่างที่ดีให้คนอื่นๆ ในครอบครัวได้เห็นและปฏิบัติตาม

 

ส่วนตอนนี้ที่ ‘ทายาทรุ่น 4 จิราธิวัฒน์’ ได้เริ่มเข้ามามีบทบาทขับเคลื่อนธุรกิจในกลุ่มเซ็นทรัล เขา ยังไม่ได้ให้โจทย์อะไรเป็นพิเศษ เพียงต้องการให้แต่ละคนพัฒนาตัวเองให้เก่ง ให้มีความรู้มากที่สุด ซึ่งทุกๆ 2 ปี ทายาทแต่ละคนจะต้องโยกย้ายไปทำงานในยูนิตต่างๆ ของกลุ่ม เพื่อในอนาคตจะสามารถพากลุ่มเซ็นทรัลเติบโตไปข้างหน้าได้

]]>
1542083
AIS x กลุ่มเซ็นทรัล x JAL ชวนคนไทยโชว์ไอเดียทิ้ง E-Waste ลุ้นทริปเที่ยวญี่ปุ่น https://positioningmag.com/1538948 Mon, 22 Sep 2025 10:45:01 +0000 https://positioningmag.com/?p=1538948 AIS ผนึกกำลัง กลุ่มเซ็นทรัล และ Japan Airlines (JAL) เดินหน้าสานต่อภารกิจด้านความยั่งยืน พร้อมตอกย้ำความมุ่งมั่นในการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมร่วมลงมือทำจัดการปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์ (E-Waste) ส่งแคมเปญ “ถ่ายคลิปทิ้ง E-Waste ให้ไว บินไปญี่ปุ่น ฟรี!” ชวนลูกค้า เอไอเอส และสายช้อป สายกรีน แห่งกลุ่มเซ็นทรัล มาปล่อยพลังไอเดีย สร้างสรรค์คลิปวิดีโอ ท้าเพื่อนๆ มาทิ้ง E-Waste ให้ถูกที่ ถูกวิธี ลุ้นบินลัดฟ้ากับ Japan Airlines สายการบินแห่งชาติญี่ปุ่น พาไปสัมผัสประสบการณ์ กิน-เที่ยว-ช้อป แบบ All-Inclusive ที่ประเทศญี่ปุ่นฟรี 

พร้อมด้วยกิจกรรมไฮไลต์ กับครั้งแรกที่ AIS และกลุ่มเซ็นทรัล จะพาไปเปิดเส้นทางการจัดการ E-Waste และรีไซเคิลแบบครบวงจร ณ DOWA Smelting & Refining และ Eco-Recycle บริษัทชั้นนำด้านการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ระดับโลก เปิดโลกนวัตกรรมแห่งอนาคต AI, Green Tech & Smart City สุดล้ำ และดื่มด่ำประสบการณ์กิน เที่ยว ช้อป ครบทุกไฮไลต์  ร่วมกิจกรรม ตั้งแต่วันนี้ – 30 พฤศจิกายน 2568 พร้อมเดินทางในต้นปี 2569

สายชล ทรัพย์มากอุดม หัวหน้าหน่วยธุรกิจสื่อสารองค์กรและรัฐกิจสัมพันธ์ AIS กล่าวว่า “การดำเนินงานเพื่อความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อมเป็นหัวใจสำคัญของ AIS โดยเฉพาะในด้านการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเรามุ่งมั่นเป็นศูนย์กลางการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ของไทย (HUB of E-Waste) และร่วมแก้ไขปัญหานี้อย่างยั่งยืน ภายใต้ภารกิจ “คนไทยไร้ E-Waste” ที่เราได้ทำงานร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร ทั้งภาครัฐและเอกชนกว่า 250 องค์กร เพื่อสร้างความตระหนักรู้ให้คนไทยเห็นถึงผลกระทบของขยะอิเล็กทรอนิกส์ และมีช่องทางการทิ้งที่นำไปสู่กระบวน การรีไซเคิลอย่างถูกวิธี 

รวมถึงความร่วมมือกับกลุ่มเซ็นทรัล ตั้งแต่ปี 2563 มาอย่างต่อเนื่อง ผ่านการขยายจุดรับทิ้ง E-Waste กว่า 42 สาขาทั่วประเทศ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชน โดย E-Waste ทุกชิ้นที่ทิ้งกับ AIS สามารถมั่นใจได้ว่าได้รับการจัดการโดยไม่หลงเหลือเศษซากและปราศจากการฝังกลบตามมาตรฐาน Zero E-Waste to Landfill ผ่านความร่วมมือกับ WMS บริษัทในเครือ DOWA Group ประเทศญี่ปุ่น ผู้นำด้านการรีไซเคิลระดับโลกที่มุ่งขับเคลื่อนแนวคิด ‘สู่โลกแห่งการรีไซเคิล’” หรือ A Recycling-Oriented World 

ในครั้งนี้ AIS และกลุ่มเซ็นทรัล ได้ร่วมมือกับ JAL ในการสนับสนุนการเดินทางอย่างยั่งยืนภายใต้แนวคิด Green Journey เพื่อคิกออฟแคมเปญรณรงค์ให้ประชาชนเห็นความสำคัญของการทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างถูกวิธี เพื่อให้เอไอเอสนำไปจัดการอย่างถูกต้อง โดยเอไอเอสหวังว่าในอนาคตประเทศไทยจะมีการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นรูปธรรมและยั่งยืน สร้างการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในพฤติกรรมของประชาชนและผลักดันสังคมให้เข้าสู่แนวทางการรีไซเคิลที่มีประสิทธิภาพ ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น”

อัจฉรา วิสุทธิวงศ์รัตน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายการตลาด สื่อสารองค์กร และความยั่งยืนกลุ่มเซ็นทรัล  กล่าวว่า “ตลอดระยะเวลากว่า 78 ปีที่ผ่านมา กลุ่มเซ็นทรัลดำเนินธุรกิจเคียงคู่สังคมไทย ภายใต้โครงการ ‘เซ็นทรัล ทำ’ ด้วยแนวคิดการสร้างคุณค่าร่วม (Creating Shared Value – CSV) มุ่งสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างชุมชนที่เข้มแข็ง พร้อมยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่สังคม โดยเฉพาะในมิติสิ่งแวดล้อม ที่กลุ่มเซ็นทรัลให้ความสำคัญกับการจัดการขยะอย่างเป็นระบบ การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ 

หนึ่งในความท้าทายที่เราทุ่มเทคือ การเป็น ต้นแบบการจัดการขยะอย่างเป็นระบบ โดยตั้งเป้าการลดขยะสู่หลุมฝังกลบให้ได้อย่างน้อย 30% ในปี 2030 และ ให้เหลือศูนย์ในปี 2050 ผ่านโครงการ Love The Earth – ZERO WASTE NOW  ที่เชื่อมโยงความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งการ ‘ลด’ การใช้วัสดุที่ไม่จำเป็น, ‘แยก’ ขยะตั้งแต่ต้นทาง, และ ‘จัดการ’ อย่างถูกวิธี เพื่อสร้างระบบนิเวศการจัดการขยะที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน ทั้งนี้เรายังได้ร่วมมือกับพันธมิตรสำคัญอย่าง AIS, Japan Airlines และ WMS ในการรณรงค์การทิ้ง E-Waste อย่างถูกวิธี ผ่านแคมเปญ “ถ่ายคลิปทิ้ง E-Waste ให้ไว บินไปญี่ปุ่น ฟรี!” โดยปัจจุบันกลุ่มเซ็นทรัลมีจุดรับทิ้ง E-Waste ครอบคลุมศูนย์การค้าเซ็นทรัลกว่า 42 สาขาทั่วประเทศ ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีจากลูกค้าโดยเฉพาะที่ศูนย์การค้าใจกลางเมืองอย่างเซ็นทรัลเวิลด์ 

ภายใต้ความร่วมมือกับ AIS ขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่เก็บรวบรวมได้จะถูกส่งไปยัง ESBEC บริษัทในเครือ WMS เพื่อถอดแยก โดยวัสดุที่สามารถรีไซเคิลได้ส่วนใหญ่จะถูกรีไซเคิลภายในประเทศ สำหรับส่วนประกอบที่ไม่สามารถรีไซเคิลได้ เช่น แบตเตอรี่โทรศัพท์มือถือ จะถูกกำจัดอย่างปลอดภัยด้วยการเผาไหม้เพื่อผลิตพลังงาน ขณะที่ส่วนประกอบที่ซับซ้อนแต่มีมูลค่าสูง เช่น แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (PCBs) ซึ่งมีโลหะมีค่าหลายชนิด จะถูกส่งต่อไปยังโรงงานของ DOWA ที่ประเทศญี่ปุ่น เพื่อเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลอย่างมีประสิทธิภาพ ในฐานะผู้นำระดับโลกด้านการสกัดและหมุนเวียนทรัพยากร DOWA มุ่งมั่นที่จะนำโลหะเหล่านี้กลับมาใช้ในกระบวนการอุตสาหกรรมอีกครั้ง พร้อมสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับสังคมและสิ่งแวดล้อม” 

ขอเชิญชวนลูกค้า AIS และ กลุ่มเซ็นทรัล ร่วมสนุกกับกิจกรรม “ถ่ายคลิปทิ้ง E-Waste ให้ไว บินไปญี่ปุ่น ฟรี!” ได้ง่ายๆ ดังนี้ 

  1. นำ E-Waste (เช่น เช่น โทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต แล็ปท็อป อุปกรณ์ชาร์จ หูฟัง ฯลฯ) มาทิ้งที่ AIS Shop ภายในศูนย์การค้าเซ็นทรัล และ จุดรับ E-Waste ในศูนย์การค้าเซ็นทรัลที่ร่วมรายการ รวม 42 สาขาที่ร่วมรายการ (ต้องมีสัญลักษณ์แคมเปญที่กล่องรับ E-Waste)
  2. ถ่ายคลิป VDO ให้สร้างสรรค์ โดยต้องถ่ายติดกล่องรับ E-Waste อย่างน้อย 1 ซีน ในรูปแบบ VDO แนวตั้ง ความยาวไม่เกิน 90 วินาที
  3. โพสต์ลงโซเชียลมีเดียช่องทางใดก็ได้ (FB, IG, TikTok) พร้อมติด hashtag #AIS #CENTRALGROUP #JAPANAIRLINES #ถ่ายคลิปทิ้งEWASTEให้ไวบินไปญี่ปุ่นฟรี
  4. ลงทะเบียนและส่งผลงานทางเว็บไซต์ https://m.ais.co.th/l2/rFMppXACWU โดยกรอกเบอร์ AIS และสมาชิก The 1 พร้อมอัปโหลดใบเสร็จการช้อปที่มีหมายเลข The 1 จากร้านค้าในเครือกลุ่มเซ็นทรัลที่ร่วมรายการ ตั้งแต่วันนี้ – 30 พฤศจิกายน 2568

สามารถติดตามรายละเอียดการร่วมกิจกรรมเพิ่มเติมได้ที่ https://sustainability.ais.co.th/th/ewaste-contest 

 

]]>
1538948
สรุปแถลงการณ์ “ชนินทธ์ โทณวณิก” ปมพ้นอำนาจดุสิตธานี แจงยิบโยงปมเทกโอเวอร์ DUSIT https://positioningmag.com/1535473 Wed, 27 Aug 2025 08:13:38 +0000 https://positioningmag.com/?p=1535473 สรุปแถลงการณ์ ชนินทธ์ โทณวณิก รักษาการประธานกรรมการ บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) ปมบอร์ดฯ ดุสิตธานี เตรียมหารือเรื่องขับออกจากตำแหน่ง ดังนี้

*เนื้อหาฉบับเต็มแนบรูปไว้ด้านล่างสุด*

[จุดเริ่มต้นปัญหา]

  • หลัง ท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย (ผู้ก่อตั้งดุสิตธานี และแม่ของทายาททั้ง 3 คือ ชนินทธ์ สินี และสุนงค์) เสียชีวิต เกิดความขัดแย้งในครอบครัว
  • เดิมคุณชนินทธ์เป็นผู้มีอำนาจลงนามหลักใน “บริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด” (ผู้ถือหุ้นใหญ่ของดุสิตธานี)
  • แต่เขากล่าวว่า น้องสองคนร่วมกันโหวตแก้กฎ ลดอำนาจของคุณชนินทธ์ และปลดเขาออกจากกรรมการบริษัทในเครือ แม้เขาเป็นหนึ่งในผู้จัดการมรดก คุณชนินทธ์มองว่าไม่ยุติธรรม

[การเจรจาแบ่งมรดก]

เคยตกลงกันว่าจะแบ่งกิจการครอบครัวออก 3 ส่วน

โดยคุณชนินทธ์ จะได้ บริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด (ถือหุ้นในดุสิตธานี) ไป

ส่วนน้องสาวอีก 2 คน จะได้ บริษัท ปิยะศิริ จำกัด (ถือหุ้นใน รพ.สุขุมวิท) และ บริษัท ธนจิรัง จำกัด (ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์)

ภายหลัง คุณชนินทธ์ อ้างว่า น้องทั้งสองเปลี่ยนใจเพราะโครงการ Dusit Residences ขายดีหลังโควิด

ชนินทธ์ โทณวณิก รักษาการประธานกรรมการ บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน)

[ผลกระทบมาถึง “ดุสิตธานี”]

  • บริษัท ชนัตถ์และลูก ใช้อำนาจ “ไม่อนุมัติงบการเงิน” และเสนอถอดถอนคุณชนินทธ์ออกจากบอร์ด
  • พยายามดันกรรมการใหม่ที่ เชื่อมโยงกับกลุ่มเซ็นทรัล เข้ามาแทน คุณชนินทธ์ มองว่า เสี่ยงทำให้คนนอกครอบครัวเข้าคุมกิจการ

[ประเด็น Take Over]

  • คุณชนินทธ์ พาดพิงถึง กลุ่มเซ็นทรัล ว่าครั้งหนึ่งเคยถือหุ้น ดุสิตธานีสูงสุดถึง 22.5% และมีดีลเจรจากับน้อง ๆ ของคุณชนินทธ์หลายครั้ง
  • คุณชนินทธ์มองว่าเป็นการ “เปิดประตูให้คนนอกเข้ามายึดธุรกิจครอบครัว” และกังวลเรื่อง conflict of interest (ธุรกิจโรงแรม, อสังหา, อาหาร ซ้ำกัน)
  • ประเด็นเรื่องเทกโอเวอร์ ห่วงกระทบความเชื่อมั่นของลูกค้าและผู้ซื้อโครงการ Dusit Residences ที่ขายไปแล้วกว่า 92%
โครงการ ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค

[ย้ำเจตนารมณ์ของผู้ก่อตั้ง]

  • ท่านผู้หญิงชนัตถ์วางรากฐาน “Business with Honor” ซื่อสัตย์, ไม่เอาเปรียบ, เชิดชูความเป็นไทย
  • ตั้งใจให้ครอบครัวดูแลกิจการต่อ ไม่ใช่เปิดทางให้คนนอก

[ตอบข้อกล่าวหาการขาดทุน]

  • ขาดทุนหลัก ๆ มาจาก ภาระดอกเบี้ยโครงการ Dusit Central Park มูลค่า 46,000 ล้านบาท และวิกฤตโควิด แต่ไม่เคยเรียกเพิ่มทุนสักครั้ง ไม่อยากรบกวนผู้ถือหุ้น
  • ยืนยันว่าไม่ใช่การบริหารล้มเหลว แต่เป็นการลงทุนระยะยาวที่กำลังจะเริ่มสร้างรายได้
  • ปัจจุบันโครงการใกล้เสร็จ โรงแรมใหม่เปิดแล้วได้ผลตอบรับดี, Dusit Residences ขาย 92%, ปีหน้าจะเริ่มโอนห้องชุดและรับรู้รายได้จำนวนมาก

[สิ่งที่คุณชนินทธ์ยืนยัน]

  • นี่ไม่ใช่การต่อสู้เพื่อเก้าอี้ แต่เป็นการ ปกป้องดุสิตธานีไม่ให้ถูกยึดครองโดยไม่เป็นธรรม
  • ห่วงผลกระทบต่อผู้ถือหุ้นรายย่อย, พนักงาน, ลูกค้า และพันธมิตรธุรกิจ
  • ยืนยันจะไม่ทิ้งดุสิตธานี ไม่ว่าถูกปลดออกหรือไม่ และพร้อมใช้สิทธิกฎหมายเต็มที่

[สรุปสั้น ๆ]

คุณชนินทธ์ ออกมาโต้ว่า การถอดถอนเขาจากบอร์ดดุสิตธานีไม่ใช่เรื่องการบริหาร แต่เป็นความขัดแย้งในครอบครัวที่เปิดทางให้คนนอก (โดยเฉพาะกลุ่มเซ็นทรัล) เข้ามายึดกิจการ

เขายืนยันว่าโครงการใหญ่กำลังจะประสบความสำเร็จ และสิ่งที่ทำคือเพื่อปกป้อง “ดุสิตธานี” ในฐานะแบรนด์ไทย ไม่ใช่รักษาอำนาจตัวเอง

ส่วนที่ 1
แถลงการณ์ชนินทธ์ ปมถูกปลดออกจากดุสิตธานี
ส่วนที่ 2
ส่วนที่ 3
ส่วนที่ 4
ส่วนที่ 5
ส่วนที่ 6
ส่วนที่ 7
ส่วนที่ 8
]]>
1535473
“กลุ่มเซ็นทรัล” ผนึกพันธมิตร เอาจริงเรื่องขยะ! สร้างระบบ Zero Waste ครบวงจร ลด-แยก-จัดการขยะ https://positioningmag.com/1531332 Fri, 25 Jul 2025 05:32:33 +0000 https://positioningmag.com/?p=1531332 กลุ่มเซ็นทรัล ในฐานะผู้นำธุรกิจค้าปลีกและบริการของไทย เดินหน้าสานต่อพันธกิจด้านความยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง ผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน คู่ค้า ลูกค้า และประชาชนทั่วไป ภายใต้แคมเปญ “Love the Earth : Zero Waste รักโลกต้องเริ่มเลย” โดยมุ่งพัฒนา “โมเดล Zero Waste แบบครบวงจร” ที่เชื่อมโยงการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ สร้างระบบนิเวศ (Ecosystem) ที่มีประสิทธิภาพในการ ลด-แยก-จัดการขยะ และส่งเสริมพฤติกรรมการใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่า พร้อมประกาศความเป็นผู้นำองค์กรค้าปลีกที่มีระบบจัดการขยะครบวงจร ผลักดันภาคธุรกิจเข้าสู่แนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียน และยกระดับคุณภาพสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน

โดย “โมเดล Zero Waste แบบครบวงจร” เริ่มต้นนำร่องที่ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ เป็นแห่งแรก โดยมุ่งเน้นการลดตั้งแต่ต้นทาง การสร้างศูนย์คัดแยกขยะระดับมาตรฐานสากล และร่วมมือกับหน่วยงานที่รับจัดการขยะ    เพื่อนำขยะไปจัดการอย่างถูกวิธีเพื่อลดการสร้างขยะสู่หลุมฝังกลบ

ในเฟสแรกนี้ มีร้านค้าภายในศูนย์เข้าร่วมแล้วมากกว่า 200 ร้านค้า ครอบคลุมหลากหลายหมวดหมู่ อาทิ แฟชั่น อาหาร และเครื่องดื่ม ที่ให้ความร่วมมือ โดยกลุ่มเซ็นทรัลจะมีการมอบ ตราสัญลักษณ์ “Love the Earth: Zero Waste” เพื่อเชิดชูร้านค้าที่ร่วมปฏิบัติตามแนวทางของโครงการอย่างจริงจัง  และในเฟสถัดไป กลุ่มเซ็นทรัลจะขยายผลโครงการสู่ศูนย์การค้าทั่วประเทศ

โดยในปี 2024 กลุ่มเซ็นทรัล สามารถลดการสร้างขยะสู่หลุ่มฝังกลบได้ถึง 43,600 ตัน และยังให้ความรู้และขยายโมเดลส่งเสริมการคัดแยกขยะไปสู่ 190 ชุมชนที่อยู่ภายใต้โครงการ “เซ็นทรัล ทำ” พร้อมตั้งเป้าหมายสำคัญในการลดปริมาณขยะสู่หลุมฝังกลบให้เหลือ 30% ภายในปี 2573 และเดินหน้าสู่การเป็นองค์กร Net Zero ในปี 2593 เพราะความยั่งยืนไม่ใช่หน้าที่ของใครคนใดคนหนึ่ง แต่คือภารกิจร่วมกันของทุกคนในสังคม กลุ่มเซ็นทรัลจึงขอเชิญชวนทุกภาคส่วนร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างโลกที่น่าอยู่ยิ่งขึ้น เพื่อร่วมสร้างระบบ Ecosystem ที่ทุกฝ่ายมีส่วนร่วม

พิชัย  จิราธิวัฒน์  กรรมการบริหาร กลุ่มเซ็นทรัล กล่าวว่า “กลุ่มเซ็นทรัลให้ความสำคัญกับการรักษาสิ่งแวดล้อม โดยมุ่งเน้นการสร้างความตระหนักรู้และถ่ายทอดองค์ความรู้ให้แก่คู่ค้า ลูกค้า และประชาชนทั่วไป การแยกขยะอย่างถูกวิธีถือเป็นส่วนสำคัญของการเดินทางไปสู่เป้าหมาย Zero Waste to Landfill ที่ได้วางไว้ หากทุกคนเห็นคุณค่าของการจัดการขยะอย่างถูกต้องและเข้ามามีส่วนร่วมในแคมเปญ “Love The Earth: Zero Waste” รักโลกต้องเริ่มเลย จะเป็นการสร้างกระแสการเปลี่ยนแปลงที่แผ่ขยายไปสู่ครอบครัว ชุมชน และสังคมโดยรวม “ในฐานะโมเดลต้นแบบ เราภูมิใจที่ได้ร่วมมือกับร้านค้าทุกร้านในศูนย์การค้า อาทิ บริษัท เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป, บริษัท เซ็น คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป จำกัด (มหาชน), บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน), บริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน), บริษัท คอฟฟี่ คอนเซ็ปต์ รีเทล จำกัด, บริษัท ฟู้ดแพชชั่น จำกัด และพันธมิตรอื่น ๆ ที่ไม่เพียงยกระดับวิธีการทำงาน แต่ยังช่วยสร้างความตระหนักให้กับลูกค้า การที่ทุกคนมีจิตสำนึกร่วมกันลงมือทำนี้จะทำให้โครงการประสบความสำเร็จ”

เป้าหมาย “Zero Waste” คือการเปลี่ยนแปลง ลงมือทำในทุกส่วน แนวคิดในการลดปริมาณขยะให้เหลือน้อยที่สุด สอดคล้องกับหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน ผ่าน 3 ขั้นตอน ลด แยก จัดการ ได้แก่

1. ‘ลด’ ตั้งแต่เลือก – ปฏิเสธการรับสิ่งของที่ไม่จำเป็น หรือก่อให้เกิดขยะและหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์แบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง ลดการใช้วัสดุที่ไม่จำเป็น อาทิเช่น

  • โครงการ Say No To Plastic Bags ตั้งแต่ปี 2561 กลุ่มเซ็นทรัล ประกาศ “ปฏิเสธการใช้ถุงพลาสติก”    Say No to Plastic Bag โดยทุกกลุ่มธุรกิจในเครือของบริษัทฯ ได้เข้าร่วมในการขับเคลื่อนการแก้ปัญหาขยะพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง ซึ่งเป็นการช่วยลดการเกิดขยะ รวมทั้งเชิญชวนลูกค้าปฏิเสธถุงพลาสติก รวมถึงต่อยอดด้วยกิจกรรม Bring Your Own Bag เพื่อส่งเสริมการใช้ซ้ำ หันมาใช้ถุงผ้า เพื่อลดขยะ สร้างพฤติกรรมรักษ์โลกอย่างยั่งยืน ที่ได้มีการรณรงค์ในห้างทั่วประเทศ โดยในปี 2567 โครงการนี้ได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยม มีสมาชิกเข้าร่วมกว่า 3 ล้านราย คิดเป็น 12 ล้านครั้งของการปฏิเสธถุง พร้อมมอบคะแนน The 1 รวมกว่า 130 ล้านคะแนน ตอกย้ำความมุ่งมั่นของกลุ่มเซ็นทรัลในการส่งเสริมไลฟ์สไตล์ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ควบคู่ไปกับการมอบสิทธิประโยชน์ให้กับลูกค้า
  • CRG Say No to Plastic – รักษ์โลก เลิกพลาสติก เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้พลาสติกในธุรกิจอาหาร บริษัทได้เปลี่ยนมาใช้ผลิตภัณฑ์ที่สามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ 100% ไม่มีสารตกค้าง และสามารถกำจัดได้โดยการฝังกลบภายในระยะเวลา 180 วัน ซึ่งช่วยลดปริมาณขยะพลาสติกลงรวมทั้งสิ้น 16.5 ล้านชิ้น
  • โครงการจัดการอาหารส่วนเกิน (Surplus Food) บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จำกัด, โก โฮลเซลล์, บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน), และบริษัท เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด ได้ร่วมมือกับภาคี ได้แก่ มูลนิธิสโกลารส์ ออฟ ซัสทีแนนซ์ (SOS)  และมูลนิธิ วีวี แชร์ (VV Share Foundation) จัดทำโครงการมาต่อเนื่องเป็นปีที่ 8 กว่า 200 สาขา เพื่อลดการเกิดขยะอาหาร ด้วยส่งมอบอาหารส่วนเกินที่มีคุณภาพให้แก่ชุมชนขาดแคลนและกลุ่มเปราะบาง กว่า 807 ชุมชน ลดปริมาณขยะอาหารไปสู่หลุมฝังกลบน้ำหนักรวมกว่า 568 ตัน ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 1,438 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า
  • ไทวัสดุ ลดการใช้บรรจุภัณฑ์ในการขนส่ง ศูนย์กระจายสินค้า ไทวัสดุ ของกลุ่มธุรกิจฮาร์ดไลน์ ร่วมมือกับ บริษัท ไอสเทรด พัฒนาตาข่ายสำหรับคลุมสินค้า และ Extra Roll Cage เพื่อลดการใช้ฟิล์มห่อหุ้มพลาสติก และลดการใช้พาเลท โดยสามารถลดปริมาณการใช้ฟิล์มหุ้มได้ถึง 10.54 ตัน รวมทั้งลดพื้นที่ในการขนส่งได้จากเดิม 2 เท่า ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการขนส่งได้ถึง 20.4 ล้านบาทต่อปี

2. ‘แยก’ ขยะที่ต้นทาง – คัดแยกขยะตั้งแต่ต้นทางเพื่อหลีกเลี่ยงการเปื้อนของขยะที่ยังสามารถนำกลับไปใช้ประโยชน์ได้ ทำให้ปริมาณขยะที่ต้องส่งไปกำจัดน้อยลง อาทิ

  • โครงการขวดเปล่าไม่สูญเปล่า ผ่านตู้ Better Bottle เป็นโครงการที่ตระหนักถึงปัญหาของขยะ โดยโครงการนี้ตั้งใจที่จะปลูกจิตสำนึกในการบริจาคขวดน้ำพลาสติก PET เพื่อนำขวดพลาสติกจากโครงการนี้ไปรีไซเคิล เพิ่มมูลค่าจนออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ อาทิ ชุด PPE สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ ผ้าห่ม และเสื้อกันหนาว ส่งต่อให้แก่ผู้ประสบภัยหนาวพื้นที่ทุรกันดารอีกด้วย

  • ปลา P.O.P. ‘Plastic Only Please!’ เพื่อสร้างความตระหนักรู้และให้ความสำคัญกับการจัดการขยะพลาสติก โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทาราทั้ง 28 แห่ง ได้จัดสร้างรูปปั้นปลา P.O.P. เพื่อเป็นสัญลักษณ์ให้มีการแยกขยะพลาสติก โดยในปี 2567 มีขยะพลาสติกรวม 743.62 กิโลกรัม นำเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลช่วยลดปริมาณขยะที่ส่งไปหลุมฝังกลบ
  • กิจกรรม ทิ้งดี โร้ดโชว์ กับ Recycle Day  เปลี่ยนขยะไร้ค่าให้มีมูลค่า โดยร่วมกับบริษัท Recycle Day ในการรณรงค์ และสร้างพฤติกรรมการคัดแยกขยะจากบ้าน และมาส่งมอบเพื่อแลกรับคะแนนและของรางวัล เน้นกลุ่มเป้าหมาย คือกลุ่มพนักงานจากผู้เช่าอาคารสำนักงาน ณ เซ็นทรัลเวิลด์ ออฟฟิศเซส ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 โดยมีบริษัทฯ ในอาคารสำนักงาน ให้ความสนใจและเข้าร่วมกิจกรรมเป็นจำนวนมาก พบว่ามีผู้เข้าร่วมกิจกรรมทั้งสิ้น 836 รายเพิ่มขึ้นจากปี 2566 35% รับขยะรีไซเคิลทั้งสิ้น 7,633.98 กิโลกรัม เทียบเท่าการลดก๊าซเรือนกระจก 27,055.33 กิโลกรัมคาร์บอนเทียบเท่า หรือเทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้  2,842 ต้น  และเพื่อตอบสนองมาตรการด้านสิ่งแวดล้อม 6 Actions for ONE Planet จึงได้จัดแคมเปญ One Recycling Drop a Month โดยส่งเสริมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้พนักงานและบริษัทผู้เช่าได้มีส่วนร่วมในการแยกขยะรีไซเคิล เดือนละ 1 ครั้ง ทุกพุธ-พฤหัสบดี สุดท้ายของเดือน ผู้เข้าร่วมกิจกรรมจะได้รับคะแนน The 1 Point ผ่าน Application Central X ซึ่งในปี 2567 มีผู้เข้าร่วมกิจกรรม 2,245 คน คัดแยกขยะเพื่อนำไปรีไซเคิลอย่างถูกวิธี จำนวน 49.689 ตัน ปี 2658 ถึงเดือนพฤษภาคม มีผู้เข้าร่วมกิจกรรม 2,820 คน คัดแยกขยะเพื่อนำไป  รีไซเคิลอย่างถูกวิธี จำนวน 39.94 ตัน

3. ‘จัดการ’ อย่างถูกวิธี – โดยมีการรวบรวมขยะที่แบ่งตามประเภทโดยใช้สัญลักษณ์ เช่น สีถุง เชือก ริบบิ้น เป็นต้น ในห้องพักขยะ เพื่อให้หน่วยงานที่เชี่ยวชาญรับไปกำจัดอย่างถูกวิธี เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

  • การปรับปรุงห้องพักขยะ เพื่อให้การคัดแยกและรวบรวมขยะเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งสร้างสภาพแวดล้อมที่สะอาด ปลอดภัย และเหมาะสมกับการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นขยะจากลูกค้า พนักงานออฟฟิศ ผู้ประกอบการร้านค้า หรือร้านอาหาร โดยมีการจัดการอย่างเคร่งครัดตามประเภทของขยะ เพื่อให้สามารถนำไปใช้ประโยชน์หรือเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ได้ยกระดับห้องพักขยะให้เป็น ศูนย์การเรียนรู้ด้านการจัดการขยะ เพื่อส่งเสริมความรู้ ความเข้าใจ และสร้างจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อมแก่ผู้เกี่ยว ข้อง

  • ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ติดตั้ง Recycle Station ณ ชั้น B1 ซึ่งเป็นจุดรับขยะแยกประเภทแบบไดรฟ์ทรูที่มีระบบการจัดการอย่างถูกวิธี ด้วยความร่วมมือกับหลากหลายพันธมิตร เพื่อให้ขยะทุกชิ้นถูกส่งต่อสู่ปลายทางที่เหมาะสมและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อสิ่งแวดล้อม  สนับสนุนให้ประชาชนคัดแยกขยะ นำมาส่งมอบ ณ จุดรับ        โดยเริ่มต้นกับสตาร์ทอัพ บริษัท Recycle Day สร้างแรงจูงใจให้เกิดการคัดแยกขยะให้ถูกประเภท สะสมคะแนนแลกของรางวัล เปิดรับขยะที่คัดแยกแล้วทั้งจากลูกค้าที่คัดแยกขยะจากที่บ้าน และขยะที่แยกจากร้านค้าในพื้นที่ เริ่มเปิดดำเนินการสาขาแรกปี 2564 จนถึงปัจจุบันได้จัดตั้งแล้ว 10 สาขาได้แก่ : เซ็นทรัล อีสต์วิลล์ เซ็นทรัล  ศรีราชา เซ็นทรัล อยุธยา เซ็นทรัล ระยอง เซ็นทรัล ลาดพร้าว เซ็นทรัล เวสต์วิลล์ เซ็นทรัล นครสวรรค์ เซ็นทรัล สมุย เซ็นทรัลเวิลด์ และเซ็นทรัล เชียงใหม่ โดยปี 2567 คัดแยกขยะรีไซเคิลทั้งหมด 801.31 ตัน คิดเป็นการลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 3,471 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าหรือการปลูกต้นไม้ 365,368 ต้น มีสมาชิก 3,550 คน
  • นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมขยะกำพร้าสัญจร ตั้งจุดรับขยะกำพร้า หรือขยะเชื้อเพลิง (RDF) โดยเป็นพาร์ทเนอร์กับ N15 Technology ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายเชื้อเพลิงขยะ RDF โดย N15 Technology ผลิตเชื้อเพลิงขยะ RDF จากขยะชุมชนและขยะอุตสาหกรรมที่ไม่เป็นอันตราย นำมาผ่านกระบวนการผลิตด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย จนได้เป็นเชื้อเพลิงขยะ RDF ที่มีคุณภาพ โดยมีขนาด ค่าความชื้น ค่าความร้อน และคุณสมบัติอื่นๆ ที่พร้อมใช้งาน เพื่อจำหน่ายให้กับกลุ่มลูกค้าหลักของเราคือ กลุ่มโรงปูนซีเมนต์และโรงไฟฟ้าพลังงานขยะ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล อีสต์วิลล์ จัดตั้งจุดรับขยะกำพร้าสัญจร ไตรมาสละครั้ง ปี 2567 รับขยะทั้งสิ้น 11,850 กิโลกรัม มีรถเข้าร่วมกิจกรรม 806 คัน ศูนย์การค้าเซ็นทรัล ศรีราชา จัดโครงการ “ขยะซาเล้งเมินส่งขยะกำพร้ากลับบ้าน”    รับขยะกำพร้า (RDF) รวม 5,490 กิโลกรัม

  • ผลิตก๊าซชีวภาพจากขยะอินทรีย์ บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) ได้นำขยะอินทรีย์ประเภทเศษอาหารมาเลี้ยงเชื้อในเครื่องย่อยขยะอาหาร ที่สามารถเปลี่ยนขยะเศษอาหารให้เป็นก๊าซชีวภาพ โดยการนำพลังงานที่ได้ไปใช้ในห้องครัวของห้องอาหารพนักงาน โดยปัจจุบันมีการติดตั้ง 3 โรงแรม คือ โรงแรมเซ็นทารา ไลฟ์ มารีส รีสอร์ทจอมเทียน พัทยา โรงแรมเซ็นทารา รีเซิร์ฟ สมุย และโรงแรมเซ็นทารา แกรนด์บีชรีสอร์ท ภูเก็ต สามารถผลิตก๊าซชีวภาพรวม 7,820.87 กิโลวัตต์ชั่วโมง และช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณ 3,024 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า นอกจากนี้ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ บีช รีสอร์ทและวิลล่า หัวหิน ได้มีการใช้เชื้อเพลิงชีวมวลที่ผลิตจากเศษไม้ เพื่อนำมาใช้กับเตาอบพิซซ่า
]]>
1531332
“กลุ่มเซ็นทรัล” ทุ่มงบ 300 ล้าน พลิกโฉม “หัวหมาก เซ็นเตอร์” (บิ๊กซี หัวหมาก) สู่ “ไลฟ์สไตล์ ช้อปปิ้ง มอลล์” เต็มตัว https://positioningmag.com/1523166 Mon, 26 May 2025 05:21:28 +0000 https://positioningmag.com/?p=1523166 “กลุ่มเซ็นทรัล” ทรานส์ฟอร์ม “หัวหมาก เซ็นเตอร์” ครั้งใหญ่ ภายใต้งบลงทุนกว่า 300 ล้านบาท สู่ “ไลฟ์สไตล์ ช้อปปิ้ง มอลล์” รูปแบบใหม่ พร้อมเป็นแลนด์มาร์กสำคัญในย่านหัวหมาก

หัวหมาก เซ็นเตอร์ เป็นศูนย์การค้าที่อยู่ภายใต้การบริหารของกลุ่มเซ็นทรัล ก่อตั้งเมื่อปี 2531 หรือ 37 ปีมาแล้ว ผ่านการพลิกโแม เปลี่ยนชื่อมามากมาย เช่น เซ็นทรัลพลาซ่า หัวหมาก, Central Power Center, หัวหมาก ทาวน์ เซ็นเตอร์ มาจนถึงหัวหมาก เซ็นเตอร์ แต่เป็นที่รู้จักกันดีในชื่อ “บิ๊กซี หัวหมาก” เพราะเป็นผู้เช่ารายใหญ่

พงศ์ ศกุนตนาค กรรมการผู้จัดการใหญ่ สายพัฒนาธุรกิจ กลุ่มเซ็นทรัล กล่าวว่า

“หัวหมากถือเป็นย่านยุทธศาสตร์สำคัญที่กลุ่มเซ็นทรัลได้บุกเบิกมาตั้งแต่ปี 2531 เริ่มจากการเปิดให้บริการห้างเซ็นทรัล หัวหมาก และได้พัฒนาปรับเปลี่ยนรูปแบบมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนแปลงในแต่ละยุคสมัย นับเป็นเวลากว่า 37 ปีที่เราได้เติบโตและผูกพันกับชุมชนชาวหัวหมากมาอย่างยาวนาน

วันนี้เราพร้อมยกระดับประสบการณ์การใช้ชีวิตและสร้างสีสันให้กับย่านหัวหมากด้วยการทุ่มงบลงทุนกว่า 300 ล้านบาท ปรับโฉมสู่ศูนย์การค้า ‘หัวหมาก เซ็นเตอร์’ ในรูปแบบไลฟ์สไตล์ ช้อปปิ้ง มอลล์ บนพื้นที่โครงการขนาดใหญ่กว่า 74,500 ตารางเมตร รวมร้านค้ามากถึง 250 ร้าน ที่จะกลายเป็นศูนย์กลางไลฟ์สไตล์ครบวงจรแห่งใหม่ของย่านหัวหมาก”

ศูนย์การค้าหัวหมาก เซ็นเตอร์ โฉมใหม่ รวบรวมแบรนด์ชั้นนำทั้งในและต่างประเทศกว่า 250 แบรนด์ ครบครันทุกกลุ่มสินค้า ได้แก่ แฟชั่น ความงาม อาหาร เทคโนโลยี และไลฟ์สไตล์ โดยคาดว่าจะมีผู้ใช้บริการเฉลี่ยวันละ 20,000 – 30,000 คน แบ่งเป็นกลุ่มครอบครัว 40% พนักงานออฟฟิศ 30% นักเรียน นักศึกษา 25% และนักท่องเที่ยว 5%

สำหรับ ทิศทางในอีก 3–5 ปีข้างหน้า กลุ่มเซ็นทรัลจะขับเคลื่อน “หัวหมาก เซ็นเตอร์” สู่การเป็น ศูนย์กลางไลฟ์สไตล์ของชุมชนอย่างแท้จริง (Community Lifestyle Hub) ตอบโจทย์ทั้งการใช้ชีวิต การทำงาน และความบันเทิงอย่างครบลูป

สำหรับกลุ่มเซ็นทรัลมี 11 โครงการที่บริหารโดย  Corporate Business Development Central Group

  1. หัวหมาก เซ็นเตอร์
  2. จิวเวลรี่เทรด เซ็นเตอร์
  3. ปอร์โต เดอ ภูเก็ต
  4. มาร์เก็ตเพลส วงศ์สว่าง
  5. ไชน่าเวิลด์ วังบูรพา
  6. บ้านสีลม
  7. แพลตฟอร์ม วงเวียนใหญ่
  8. ท็อปส์ มาร์เก็ตเพลส อุดมสุข
  9. เซ็นทรัล สีลม ทาวเวอร์
  10. จริงใจ มาร์เก็ต เชียงใหม่
  11. วงศ์อมาตย์ บีช วิลเลจ
]]>
1523166
‘เซ็นทรัล ทำ’ สานต่อภารกิจความยั่งยืน สร้างการเปลี่ยนแปลงจาก ‘พลังร่วมมือทำ’ https://positioningmag.com/1516001 Tue, 25 Mar 2025 10:45:12 +0000 https://positioningmag.com/?p=1516001 เพราะความยั่งยืน เป็นหนึ่งนโยบายที่องค์กรต้องให้ความสำคัญ บวกกับความเชื่อมั่นที่ว่า ‘การเติบโตของธุรกิจ ต้องเดินไปพร้อมกับการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุล’ ทำให้ ‘กลุ่มเซ็นทรัล’ ได้ขับเคลื่อนนโยบายนี้ผ่านโครงการ ‘เซ็นทรัล ทำ’ ภายใต้แนวคิด ‘เซ็นทรัล ทำ ทำด้วยกัน ทำด้วยใจ’ ซึ่งดำเนินการต่อเนื่องมากว่า 8 ปี

 

โครงการดังกล่าว เป็นการดำเนินการเพื่อสร้างคุณค่าร่วมกัน (Creating Shared Values : CSVs) ให้ธุรกิจและสังคมเติบโตไปพร้อม ๆ กันอย่าง ‘ยั่งยืน’ ตาม 6 แนวทาง ประกอบด้วย

 

แนวทางที่ 1 Community – พัฒนาศักยภาพและส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน

แนวทางที่ 2 Inclusion – การลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเสมอภาคในการเข้าถึงโอกาสอย่างเท่าเทียม

แนวทางที่ 3 Talent – พัฒนาศักยภาพที่เป็นเลิศของบุคลากร

แนวทางที่ 4 Circularity – ขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียน

แนวทางที่ 5 Climate – การฟื้นฟูสภาพอากาศ

แนวทางที่ 6 Nature – การอนุรักษ์ระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ

 

ปัจจุบันเซ็นทรัล ทำ ได้ดำเนินงานใน 44 จังหวัด โดยปี 2567 ได้สร้างงานและสนับสนุนอาชีพให้แก่คนพิการกว่า 1,100 คน, สร้างรายได้ให้กับชุมชนกว่า 1,700 ล้านบาท, ส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับคนในชุมชนมากกว่า 150,000 ราย, สนับสนุนและพัฒนาโรงเรียน 192 แห่ง, เพิ่มพื้นที่สีเขียวและฟื้นฟูป่ากว่า 19,385ไร่

 

ลดการสูญเสียอาหารและขยะอาหารกว่า 19,254 ตัน, ลดปริมาณขยะที่เข้าสู่หลุมฝังกลบกว่า 43,663 ตัน, ติดตั้งจุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า 1,430 สถานที่, ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคา 215 แห่ง และผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ได้มากถึง 207,176 เมกะวัตต์-ชั่วโมง

พิชัย  จิราธิวัฒน์  กรรมการบริหาร กลุ่มเซ็นทรัล กล่าวว่า ในปี 2568 เซ็นทรัล ทำยังเดินสานหน้าต่อภารกิจอย่างต่อเนื่อง ด้วยหลักคิดที่ว่า เน้น ‘คุณภาพ’  มากกว่า ‘ปริมาณ’ โดยพยายามสร้างให้แต่ละชุมชนที่เข้าไปให้กลายเป็น ‘ชุมชนแข็งแรง’ อย่างยั่งยืน มากกว่าจะเน้นเพิ่มจำนวนชุมชนหรือจำนวนจังหวัดให้มากขึ้น

 

สำคัญไปกว่านั้น ทุกที่ที่เซ็นทรัล ทำ เข้าไป ชาวบ้านต้องร่วมมือและลงมือทำไปด้วยกัน เพื่อให้พวกเขารู้สึกถึงความเป็นเจ้าของ เกิดความภูมิใจ และพร้อมใจกันช่วยพัฒนาต่อได้ในระยะยาว ซึ่งแต่ละที่จะมีการตั้ง KPI วัดความสำเร็จจาก Pain Point ของแต่ละพื้นที่

 

“ก่อนเราจะเข้าไปทำโครงการที่ไหน เราจะลงไปสัมผัสในพื้นที่นั้นก่อนว่าเป็นอย่างไร มี Pain point อะไร โดยเราจะเริ่มจากจังหวัดที่มีธุรกิจของเซ็นทรัล เพราะเราต้องใช้คนในเซ็นทรัลเป็นคนทำ และดึงให้ทุกคนในชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมสร้างการพัฒนาแบบยั่งยืน”

 

ความคืบหน้าในปี 2568 ของ 4 จังหวัดต้นแบบ

 

1.จังหวัดน่าน วิสาหกิจชุมชนกลุ่มเกษตรอินทรีย์ตำบลบัวใหญ่ อ.นาน้อย ส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ ปลูกไม้ยืนต้น ฟื้นฟูป่าต้นน้ำ และพัฒนาผลผลิตเพื่อเตรียมเข้าสู่การจดทะเบียนเป็นสินค้า GI (สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์) เช่น ฟักทองพันธุ์ไข่เน่า โกโก้ มะม่วงหิมพานต์ รวมถึงส่งต่อไปยังธุรกิจในเครือกลุ่มเซ็นทรัล เช่น ท็อปส์ ฯลฯ โดยในปี 2567 สามารถสร้างรายได้ให้ชุมชน 10 ล้านบาท

 

ด้านสิ่งแวดล้อม ร่วมสร้างฝาย แหล่งน้ำ ระบบกระจายน้ำ ช่วย 50 ครัวเรือนทำเกษตรอินทรีย์ ลดภัยแล้ง ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และฟื้นฟูป่าต้นน้ำ 2,800 ไร่ ส่วนด้านการศึกษา พัฒนาโรงเรียนชุมชนบ้านอ้อยครบวงจร สนับสนุนห้องเรียน ICAP ทักษะ EF, STEM, ห้องสมุด จัดตั้งห้องทักษะอาชีพ สนับสนุนห้องกีฬาปันจักสีลัต และคอมพิวเตอร์ ฯลฯ

 

2.จังหวัดอยุธยา ความสำเร็จของเกษตรกรบ้านหมู่ใหญ่ใน หรือ ‘กลุ่มวิสาหกิจชุมชนเมล่อนหมู่ใหญ่ร่วมใจพัฒนา’ ต.คู้สลอด อ.ลาดบัวหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา ผลิตเมล่อนภายใต้ชื่อ Smile Melon” สามารถเปิดช่องทางการขายในตลาดไปยังประเทศสิงคโปร์ และยังคงมียอดการสั่งต่อเนื่องมาถึงปี 2568 รวมยอดที่ส่งออกไปสิงคโปร์ 25.2 ตัน รายได้รวม 2 ล้านบาท

ด้านสิ่งแวดล้อม เน้นยกระดับการจัดการของเสียทางการเกษตร โดยฟาร์มเมล่อนหมู่ใหญ่ร่วมใจพัฒนานำเมล่อนที่เน่าเสียมาเป็นอาหารสำหรับเลี้ยงไก่ โดยมีแผนขยายโครงการไปยังชุมชนเกษตรและโรงเรียน รวมถึงเพิ่มการใช้ประโยชน์จากของเสียทางการเกษตร เช่น ฟางข้าวและผักตบชวา ฯลฯ

 

นอกจากนี้ได้พัฒนาโรงเรียนวัดหนองไม้ซุง สนับสนุนฐานเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง ทักษะกีฬาเทเบิลเทนนิส และความเป็นอยู่ของนักเรียน พร้อมขยายเครือข่ายคนพิการเข้าสู่โครงการส่งเสริมอาชีพ โดยมีเป้าหมายปี 2568 ต้องการขยายเครือข่ายคนพิการที่เข้าร่วมโครงการส่งเสริมอาชีพให้มากขึ้น

 

3.จังหวัดเชียงใหม่ ชุมชนเกษตรอินทรีย์วิถีชีวิตยั่งยืนแม่ทา อ.แม่ออน ได้พัฒนา ‘พื้นที่วิถียั่งยืนแม่ทา’ ตั้งแต่ปี 2560 สร้างเกษตรอินทรีย์ต้นแบบและผลักดันคนรุ่นใหม่สู่บทบาทเกษตรกรรุ่นใหม่ พร้อมสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐาน เช่น อาคารอบรมห้องคัดแยกเมล็ดพันธุ์ อาคารคัดบรรจุผักมาตรฐาน อย. ตลอดจนรถขนส่งห้องเย็น ฯลฯ

 

นอกจากนี้ได้ดำเนินการจัดการขยะ ณ ตลาดจริงใจ แปรรูปขยะอินทรีย์ 7.52 ตัน เป็นปุ๋ยและก๊าซชีวภาพ รีไซเคิลวัสดุ 8.74 ตัน เตรียมเปิดศูนย์การเรียนรู้ด้านการจัดการขย ปี 2568 และพร้อมขยาย “กาแฟสร้างป่า” ที่แม่แจ่ม ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 1,570 ไร่ ในปี 2568 จะเริ่มดำเนินโครงการความริเริ่มไม่เผา Zero Burning Initiatives ซึ่งได้ถูกนำมาใช้เป็นกลยุทธ์ระยะยาวเพื่อต่อสู้กับมลพิษ PM2.5 ในเชียงใหม่ เป็นต้น

 

4.จังหวัดชัยภูมิ วิสาหกิจชุมชนปลูกพืชเศรษฐกิจบ้านเทพพนา อ.เทพสถิต จ.ชัยภูมิ เป็น 1 ใน 7 ของผู้ปลูกอะโวคาโด พันธุ์แฮสส์ในประเทศไทย ซึ่งเป็นสายพันธุ์คุณภาพระดับโลกสู่เกษตรอัจฉริยะแบบยั่งยืน และเพาะเห็ดเรืองแสง  สิรินรัศมี เพื่อแก้ปัญหาโรคพืชในการปลูกอะโวคาโด ซึ่งในปี 2567 ที่ผ่านมาสามารถสร้างรายได้แก่สมาชิกวิสาหกิจชุมชน 40 ล้านบาท และขยายผลเครือข่ายผู้ปลูกอะโวคาโดเป็น 1,000 ราย

 

นอกจากนี้ ได้พัฒนาต่อยอดด้านการท่องเที่ยวชุมชนเชิงเกษตรอินทรีย์ ร่วมกับสำนักงานท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัด โดยสร้างศูนย์การเรียนรู้ 2 อาคาร สามารถรองรับผู้เข้าอบรมและนักท่องเที่ยวรวมทั้งหมด 14,000 คน โครงการฟื้นฟูพื้นที่สีเขียวและส่งเสริมนวัตกรรมเกษตรยั่งยืน ครอบคลุม 5,000 ไร่ ซึ่งจะสามารถแก้ปัญหาดินเสื่อมโทรมและรายได้ไม่มั่นคง โดยส่งเสริมการปลูกพืชเศรษฐกิจมูลค่าสูง เช่น อะโวคาโด, แมคคาเดเมีย, ทุเรียน และกาแฟโรบัสต้า เป็นต้น

“หัวใจสำคัญของเซ็นทรัล ทำ คือได้ขับเคลื่อนองค์กรไปข้างหน้า และสะท้อนถึงแนวคิดการเติบโตของธุรกิจต้องเดินไปพร้อมกับการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุล ผ่านความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เช่น ชุมชน คู่ค้า ลูกค้า หรือพนักงาน นำไปสู่การสร้างงาน สร้างอาชีพ และยกระดับคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืน” พิชัยทิ้งท้าย

]]>
1516001
กลุ่มเซ็นทรัลชวนร่วมกันลงมือทำ ผ่านแคมเปญ “THAMsformation ทำเพื่อเปลี่ยน สู่ความยั่งยืน” ภายใต้โครงการ “เซ็นทรัล ทำ” https://positioningmag.com/1469763 Wed, 10 Apr 2024 09:42:15 +0000 https://positioningmag.com/?p=1469763 ด้วยปณิธานอันแน่วแน่ตลอด 77 ปีของกลุ่มเซ็นทรัลในการดำเนินธุรกิจควบคู่กับการสร้างคุณค่าร่วมกับทุกภาคส่วนให้เติบโตอย่างยั่งยืนไปพร้อมกัน ผ่านโครงการ “เซ็นทรัล ทํา” – ทำด้วยกัน ทำด้วยใจ กลุ่มเซ็นทรัลจึงมุ่งมั่นเดินหน้าสร้างการพัฒนาสังคมในมิติต่างๆ เพื่อการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นในวงกว้างอย่างต่อเนื่องและมองถึงผลลัพธ์ระยะยาว เพื่อให้เกิดความสมดุลกับมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม อย่างยั่งยืน

โดยมุ่งลดช่องว่างแห่งความเหลื่อมล้ำ ยกระดับคุณภาพชีวิต พัฒนาการศึกษา สร้างความมั่นคงและมั่งคั่งให้เศรษฐกิจชุมชน ตลอดจนลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อการขับเคลื่อนแบบองค์รวมให้เติบโตเข้มแข็งไปด้วยกัน ด้วยการเชิญชวนทุกคนมาร่วมกันลงมือทำผ่านแคมเปญใหม่ “THAMsformation ทำเพื่อเปลี่ยน สู่ความยั่งยืน” พร้อมเดินหน้า 6 กลยุทธ์ขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืน

พิชัย จิราธิวัฒน์ กรรมการบริหาร กลุ่มเซ็นทรัล กล่าวว่า

“นับเป็นเวลากว่า 7 ปีแล้วที่กลุ่มเซ็นทรัล ได้ริเริ่มโครงการ “เซ็นทรัล ทำ” – ทำด้วยกัน ทำด้วยใจ โครงการขับเคลื่อนด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนของกลุ่มเซ็นทรัล ด้วยเจตนารมณ์ที่จะสร้างคุณค่าร่วม (Creating Shared Values – CSV) ระหว่างธุรกิจ สังคม ชุมชน สิ่งแวดล้อม ตลอดจนผู้มีส่วนได้เสียให้เติบโตไปพร้อมกันอย่างยั่งยืนผ่านพลังของการ “ร่วมกันลงมือทำ” เพื่อส่งมอบคุณค่าในเชิงบวกอย่างเป็นรูปธรรมต่อทุกภาคส่วน สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs -Sustainable Development Goals) ซึ่งเป็นกรอบทิศทางการพัฒนาโลกขององค์การสหประชาชาติ โดยนับตั้งแต่ก้าวแรก

วันแรกของการดำเนินโครงการ “เซ็นทรัล ทำ” กลุ่มเซ็นทรัลไม่หยุดนิ่งที่จะทุ่มเทและใส่ใจอย่างรอบด้าน เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญด้านค้าปลีกและบริการด้วยการลงพื้นที่ปฏิบัติจริง เรียนรู้และร่วมกันแก้ปัญหากับชุมชน พัฒนาและต่อยอดผลิตภัณฑ์เพื่อยกระดับสินค้าชุมชนให้มีคุณภาพเป็นที่ต้องการของผู้บริโภค ตลอดจนสนับสนุนช่องทางการจำหน่าย ส่งผลให้ชุมชนมีรายได้ที่มั่นคง สามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืนและยังสามารถส่งต่อองค์ความรู้ไปยังชุมชนใกล้เคียงผ่านศูนย์การเรียนรู้ ต่อยอดสู่แหล่งท่องเที่ยวชุมชน นอกจากนี้ยั่งมุ่งสร้างความเท่าเทียมด้วยการลดช่องว่างแห่งความเหลื่อมล้ำ รวมทั้งมอบโอกาสทางอาชีพและส่งเสริมการศึกษาให้กับเยาวชนและครู ตลอดจนการใส่ใจต่อสภาพแวดล้อมมุ่งสร้างโลกสีเขียว เป็นต้น

จากวันนั้นถึงวันนี้ผลของพลังแห่งการร่วมกันลงมือทำอย่างตั้งใจจริงได้ก่อเกิดเป็นผลิตผลและผลิตภาพที่สร้างคุณประโยชน์ตลอดห่วงโซ่อุปทานอย่างยั่งยืนสะท้อนจากภาพความสำเร็จบางส่วนของโครงการ “เซ็นทรัล ทำ”            ที่ดำเนินงานมาอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2566 ที่ผ่านมาสามารถสร้างรายได้ให้ชุมชน 1,700 ล้านบาทต่อปี สร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้กับชุมชนกว่า 150,000 ราย สร้างงานและสนับสนุนอาชีพคนพิการ 1,011 คนมุ่งสู่ Net Zero ด้วยการลดปริมาณขยะสู่หลุมฝังกลบกว่า 20,830 ตัน, ติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์บนหลังคา 170 แห่ง ซึ่งสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ได้กว่า 114,200 เมกะวัตต์-ชั่วโมง และอื่นๆ เป็นต้น

สำหรับในปี 2567 “เซ็นทรัล ทำ” วางกลยุทธ์หลักเพื่อเป็นโรดแมปหรือแนวทางสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องและเข้มข้นยิ่งขึ้นกว่าเดิม ผ่าน “6 กลยุทธ์เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืน” ดำเนินงานโดยมุ่งเน้นการลดความเหลื่อมล้ำ ให้โอกาสทุกคนในสังคม รักษาสิ่งแวดล้อม พัฒนาด้านการศึกษาสู่การเป็นศูนย์การเรียนรู้และต่อยอดสู่การท่องเที่ยวชุมชนยั่งยืน พร้อมไฮไลต์โครงการ ดังนี้

1. Community – พัฒนาศักยภาพและส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน

มุ่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชนด้วยการพัฒนาความรู้และทักษะในการประกอบอาชีพส่งเสริมสินค้าให้มีเอกลักษณ์เป็นที่ต้องการของตลาดสนับสนุนด้านการออกแบบบรรจุภัณฑ์และดีไซน์ต่างๆ รวมทั้งมอบช่องทางการจำหน่ายผ่านโมเดิร์นเทรดทั้งรูปแบบออนไลน์และออฟไลน์พัฒนายกระดับสู่การเป็นศูนย์การเรียนรู้ต่อยอดการท่องเที่ยวยั่งยืนในเชิงเกษตรอินทรีย์และเชิงวัฒนธรรมในบริเวณโดยรอบของชุมชน นำไปสู่การสร้างรายได้ที่มั่นคงส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นให้กับกลุ่มเกษตรกรและชุมชนต่างๆ อย่างยั่งยืนโดยในปี 2566 ได้ดำเนินการไปแล้วกว่า 44 จังหวัด สร้างความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นให้ชุมชนต่างๆ กว่า 150,000 ราย สามารถสร้างรายได้ให้ชุมชน ผ่านการรับซื้อหรือสร้างช่องทางการจัดจำหน่ายไปแล้วกว่า 1,700 ล้านบาท

โครงการเด่นด้านพัฒนาศักยภาพและส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน ได้แก่

1) ชุมชนเกษตรอินทรีย์วิถีชีวิตยั่งยืนแม่ทา อ.แม่ออน จ.เชียงใหม่

นับแต่ปี 2560 ที่เซ็นทรัล ทำ ร่วมกับ มูลนิธิสายใยแผ่นดิน ดำเนินโครงการวิถีชีวิตยั่งยืนแม่ทา บนพื้นที่ 9 ไร่ สนับสนุนโครงการด้านเกษตรอินทรีย์เพื่อส่งเสริมเกษตรกรรุ่นใหม่ขับเคลื่อนการทำเกษตรกรรมยั่งยืน ผลิตแหล่งอาหารที่ปลอดภัยกลับคืนสู่สังคมโดยให้การสนับสนุนด้านการพัฒนาผลผลิต การรับซื้อ การสร้างแบรนด์ การออกแบบบรรจุภัณฑ์ และช่องทางการจำหน่ายในโมเดิร์นเทรดทำให้ชุมชนมีรายได้อย่างมั่นคง และยังสามารถแบ่งปันความรู้สู่ชุมชนใกล้เคียงได้ นอกจากนี้ยังให้การสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการผลิตและจัดจำหน่าย ผ่านการก่อสร้างอาคารคัดบรรจุผัก, รถขนส่งห้องเย็นสำหรับขนส่งผลิตภัณฑ์ และอื่นๆ

ปัจจุบันชุมชนแม่ทาได้ขยายผลการดำเนินงานสู่ การจัดทำโฮมสเตย์ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนเชิงวิถีเกษตรอินทรีย์ให้กับนักท่องเที่ยวและผู้ที่สนใจทั่วไป โดยมีกิจกรรมเชิงวิถีเกษตรอินทรีย์ยั่งยืนมากมาย เช่น การเก็บไข่ไก่อารมณ์ดี, การลิ้มลองอาหารพื้นบ้าน, การทำขนมปัง โดยดำเนินการเสร็จแล้วจำนวน 1 หลัง และเริ่มเปิดรับนักท่องเที่ยวแล้ว ทั้งนี้ในอนาคตมีแผนที่จะร่วมกับ ททท. จัดทำแพ็กเกจ One Day Trip อีกด้วย การดำเนินโครงการแม่ทาออร์แกนิกสามารถช่วยสร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้ชุมชนในปี 66 มากกว่า 8.4 ล้านบาท โดยมีชุมชนเข้าร่วมกว่า 110 ราย โดยในส่วนของการท่องเที่ยวมีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชม 1,500 คนต่อปี สร้างรายได้จากการเข้าอบรมและท่องเที่ยวกว่า 3.8 แสนบาท

2) ศูนย์การเรียนรู้ชุมชนผ้าทอนาหมื่นศรี จ.ตรัง 

กลุ่มเซ็นทรัลสนับสนุนก่อสร้าง “พิพิธภัณฑ์ผ้าทอนาหมื่นศรี” เพื่อสืบสานวัฒนธรรมผ้าทอมือโบราณอายุกว่า 200 ปี ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น ไม่ให้เลือนหายตามกาลเวลา ต่อมาถูกยกระดับเป็นศูนย์การเรียนรู้เพื่อส่งเสริมการเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับผ้าทอนาหมื่นศรีให้คนทั่วไปได้รู้จัก อบรมให้ลูกหลานชาวนาหมื่นศรีและนักเรียนโรงเรียนนบ้านควนสวรรค์ให้เป็นมัคคุเทศก์ในพิพิธภัณฑ์ รวมทั้งพัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวชุมชนเชิงวัฒนธรรม ด้วยการจัดทำเส้นทางจักรยานท่องเที่ยวในตำบลนาหมื่นศรีให้กับนักท่องเที่ยว ซึ่งมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจท่ามกลางความงดงามตามธรรมชาติ นอกจากนี้ยังสนับสนุนการก่อสร้างร้านค้าวิสาหกิจชุมชนผ้าทอนาหมื่นศรีอีกด้วย

ทั้งนี้ในปี 2566 สามารถสร้างรายได้ให้กับชุมชนกว่า 9.2 ล้านบาท ครอบคลุมสมาชิก 155 ครัวเรือน ปัจจุบัน “ศูนย์การเรียนรู้ผ้าทอนาหมื่นศรี” นับเป็นต้นแบบศูนย์การเรียนรู้การอนุรักษ์เชิงวัฒนธรรม โดยมีนักท่องเที่ยวและผู้แทนหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนมาเยี่ยมชมและซื้อสินค้ากว่า 21,000 คนต่อปี

3) ศูนย์การเรียนรู้พัฒนาผลผลิตการเกษตรและผลิตภัณฑ์ชุมชนบ้านเทพพนา- สวนเทพพนา จ.ชัยภูมิ

ความโดดเด่นของสวนเทพพนา ซึ่งเป็น 1 ใน 7 ผู้ปลูกอะโวคาโดสายพันธุ์แฮสส์ในไทย โดยถือเป็นพืชเศรษฐกิจที่ให้ผลตอบแทนดี ช่วยลดปริมาณการปลูกพืชเชิงเดี่ยว อีกทั้งยังดำเนินการทำเกษตรแบบอัจฉริยะ (Smart Farming) เช่น การทำปุ๋ยหมักระบบเติมอากาศ การจัดการน้ำใต้ดิน แท็งก์น้ำพลังงานโซลาร์เซลล์ นอกจากนี้ยังมีการเพาะต้นกล้าอะโวคาโด และเปิดอบรมให้กับผู้ที่สนใจปลูกอะโวคาโด ส่งผลให้เซ็นทรัล ทำ ตระหนักถึงศักยภาพดังกล่าว จึงให้การสนับสนุนด้านการจัดจำหน่ายผลผลิตส่งเข้า Tops และจริงใจ Farmer’s Market สนับสนุนการก่อสร้างอาคารศูนย์เรียนรู้เพื่อให้เป็นต้นแบบด้านการทำเกษตรอัจฉริยะในภาคอีสาน เป็นพื้นที่แห่งการเรียนรู้การปลูกอะโวคาโด และเป็นศูนย์กลางรวบรวมผลผลิตอื่นๆ เช่น เสาวรส ทุเรียน โอโซน แมคคาเดเมีย จากชุมชนใกล้เคียงเพื่อส่งขายให้กับธุรกิจในเครือกลุ่มเซ็นทรัล

ในปี 2566 ศูนย์การเรียนรู้บ้านเทพพนา มีจำนวนสมาชิก 500 ครัวเรือน สามารถสร้างรายได้ให้กับชุมชนกว่า 41 ล้านบาท โดยมีนักท่องเที่ยวและผู้แทนจากหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนมาเยี่ยมชมและซื้อสินค้าเป็นจำนวนกว่า 10,000 คนต่อปี จำนวนผู้เข้าอบรมการปลูกอะโวคาโด 3,000 คนต่อปี และเพิ่มพื้นที่สีเขียว 3,000  ไร่

4) ศูนย์การเรียนรู้การทำฟาร์ม เมล่อน Smile Melon จ.อยุธยา

จากการปลูกเมล่อนเป็นอาชีพเสริมระหว่างการทำนา ซึ่งมีราคาผลผลิตตกต่ำ นำไปสู่การสร้างอาชีพหลักให้กับชุมชน โดยมีการรวมกลุ่มเป็นวิสาหกิจชุมชนเมล่อนหมู่ใหญ่ร่วมใจพัฒนา จนกลายเป็นแหล่งผลิตเมล่อนแบบครบวงจร เริ่มมีการส่งผลผลิตจำหน่ายที่ Tops แต่ยังขาดปัจจัยการผลิตที่สำคัญ กลุ่มเซ็นทรัลจึงได้เข้าไปสนับสนุนปัจจัยการผลิตในรูปแบบต่างๆ เช่น โรงเรือนเพาะปลูก อาคารคัดแยกผลผลิต เพื่อให้สามารถปลูกเมล่อนได้อย่างหมุนเวียน ผลผลิตมีคุณภาพได้มาตรฐานโมเดิร์นเทรด ขยายผลสู่การรับซื้อผลผลิตอย่างต่อเนื่อง โดยเตรียมยกระดับ ศูนย์การเรียนรู้การทำฟาร์ม เมล่อน Smile Melon ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวชุมชนเพื่อก่อให้เกิดการกระจายรายได้ให้กับชุมชนในพื้นที่ใกล้เคียง

ในภาพรวมของปี 2566 กิจกรรมภายใต้ศูนย์การเรียนรู้ฯ ซึ่งมีจำนวนสมาชิก 30 ครัวเรือน สามารถสร้างรายได้ให้กับชุมชนกว่า 15.2 ล้านบาท มีนักท่องเที่ยวและผู้แทนจากหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนมาเยี่ยมชมและซื้อสินค้าเป็นจำนวนกว่า 7,200 คนต่อปี

5) จริงใจฟาร์มเมอร์ มาร์เก็ต หรือตลาดจริงใจ

พื้นที่ที่เปิดโอกาสให้เกษตรกรในท้องถิ่นได้นำพืชผักปลอดภัย และสินค้าขึ้นชื่อของชุมชนมาวางจำหน่ายในพื้นที่ของ กลุ่มเซ็นทรัล เพื่อให้เกษตรกรและผู้บริโภคมีโอกาสได้พบปะพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น และนำไปปรับปรุงพัฒนาสินค้า นอกจากนี้การนำสินค้าภายในพื้นที่มาจำหน่ายยังทำให้คนในชุมชนได้บริโภคอาหารและสินค้าที่สดใหม่  คุณภาพดี และปลอดภัยจากสารเคมี เพิ่มโอกาสในการจำหน่าย สร้างรายได้ที่มั่นคงให้กับเกษตรกร และสร้างเศรษฐกิจที่ดีให้กับชุมชน โดยในปัจจุบันจริงใจ ฟาร์มเมอร์ มาร์เก็ต มีทั้งหมด 33 สาขา ใน 29 จังหวัด ตั้งอยู่ในพื้นที่ของจริงใจ มาร์เก็ต จ.เชียงใหม่ 1 สาขา และในพื้นที่ศูนย์การค้าของกลุ่มเซ็นทรัลในจังหวัดต่างๆ อีก 32 สาขา โดยในปี 2566 สามารถสร้างรายได้กว่า 231 ล้านบาท ให้กับเกษตรกรกว่า 10,200 ครัวเรือน

6) good goods (กุ๊ด กุ๊ดส์)

ร้านจำหน่ายสินค้าภูมิปัญญาท้องถิ่นดีไซน์ร่วมสมัยแบรนด์ “good goods” (กุ๊ด กุ๊ดส์) ผลิตโดยวิสาหกิจเพื่อสังคม  “เซ็นทรัล ทำ” ภายใต้กลุ่มเซ็นทรัล ริเริ่มเมื่อปี 2561 เพื่อสืบสานมรดกวัฒนธรรม ยกระดับสินค้าไทยให้ทันสมัย ด้วยการส่งมอบองค์ความรู้แก่ชุมชนให้สามารถพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์และการออกแบบให้มีความร่วมสมัยโดยให้การสนับสนุนดีไซเนอร์ให้คำแนะนำด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์ โดยกำไรที่ได้จากการจำหน่ายสินค้าทั้งหมดจะถูกนำกลับไปพัฒนาชุมชนต่อไป นอกเหนือจากการอนุรักษ์สินค้าท้องถิ่นแล้ว เซ็นทรัล ทำ ยังมุ่งส่งเสริมศักยภาพกลุ่มเปราะบางหรือผู้ที่ต้องการสนับสนุนเป็นพิเศษ เช่น คนพิการในการพัฒนาทักษะด้านการผลิตสินค้า ผ่านการดำเนินโครงการตะกร้าสาน ผู้พิการ ซึ่งร่วมมือกับสมาคมรวมใจคนพิการ จ.อุดรธานี เพื่อนำมาจำหน่ายภายใต้แบรนด์ good goods โดยระหว่างปี 2562-2566 สามารถสร้างอาชีพให้ผู้พิการและเครือข่ายกว่า 200 คน สร้างรายได้ให้คนพิการในสมาคมผ่านการรับซื้อสินค้าเพื่อมาจำหน่ายในร้าน good goods คิดเป็นมูลค่าเชิงเศรษฐกิจกว่า 12 ล้านบาท

ปัจจุบันร้าน good goods  มีจำนวน 3 สาขา ได้แก่ คอนเซ็ปต์สโตร์ สาขาเซ็นทรัลเวิลด์ ชั้น 1 โซน Hug Thai , สาขาโครงการจริงใจ มาร์เก็ต จ.เชียงใหม่ และสาขาที่ 3 ใหม่ล่าสุด สาขาเซ็นทรัลภูเก็ต ฟอลเรสต้า ชั้น G โซน Hug Thai นอกจากนี้ยังมีในส่วนของเคาท์เตอร์ good goods ที่เซ็นทรัล ชิดลม ชั้น 7 และ เซ็นทรัล ป่าตอง ชั้น B1 และช่องทางออนไลน์ผ่าน Line :@aboutgoodgoods อีกด้วย โดยใน ปี 2566 สามารถสร้างรายได้กว่า 200 ล้านบาท จากการรับซื้อสินค้าภูมิปัญญาท้องถิ่นจำนวน 39 ชุมชน

2. Inclusion – การลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเสมอภาคในการเข้าถึงโอกาสอย่างเท่าเทียม

มุ่งลดความเหลื่อมล้ำ สร้างโอกาสโอกาสในการพัฒนาศักยภาพด้านการศึกษาให้กับเยาวชนผ่านการสร้างศูนย์การเรียนรู้ ส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้แบบ Project – Based Learning ที่เน้นลงมือปฏิบัติด้วยประสบการณ์จริง ต่อ ยอดสู่การประกอบอาชีพในอนาคต รวมทั้งช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางในด้านต่างๆ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ ยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดียิ่งขึ้น

โครงการเด่นด้านการลดความเหลื่อมล้ำ ได้แก่

1) โครงการยกระดับการศึกษาโรงเรียนบ้านตากแดด จ.พังงา 

มุ่งพัฒนาโรงเรียนบ้านตากแดดให้เป็น “ศูนย์การเรียนรู้ข้าวไร่ดอกข่า” ด้วยการสนับสนุนการนำความรู้ด้านเศรษฐกิจพอเพียงมาพัฒนาพื้นที่ของโรงเรียนเพื่อการเพาะปลูกข้าวไร่ดอกข่าขยายผลสู่ชุมชนทำให้เกิดการจัดตั้งวิสาหกิจชุมชนข้าวไร่ดอกข่า ทำหน้าที่ถ่ายทอดองค์ความรู้และทักษะด้านเกษตรกรรมให้กับนักเรียน โดยเซ็นทรัล ทำ ยังร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีบรรจุภัณฑ์ที่สวยงาม สนับสนุนเครื่องซีลข้าวสูญญากาศและช่องทางการจำหน่าย ส่งผลให้จากศูนย์การเรียนรู้ในห้องเรียนสามารถสร้างรายได้จากการจำหน่ายข้าวไร่ดอกข่ากลับคืนสู่โรงเรียน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายภายในโรงเรียน เช่น ค่าอาหารกลางวัน ฯลฯ ช่วยสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ยังสนับสนุนการปรับปรุงสถานศึกษาในโครงการ ICAP ด้วยการออกแบบห้องเรียนและหลักสูตรให้มีสภาพแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกที่เหมาะสมต่อการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย สร้างสมาธิ และความรับผิดชอบ และการจัดตั้งมุมคัดแยกขยะเพื่อปลูกฝังจิตสำนึกด้านการรักษาสิ่งแวดล้อมให้กับนักเรียนอีกด้วย ปัจจุบันโรงเรียนบ้านตากแดดมี นักเรียนเพิ่มขึ้นจาก 47 คนในปี 2559เป็น 85 คนในปี 2566 ส่งผลให้โรงเรียนบ้านตากแดดเป็น โรงเรียนต้นแบบการเรียนรู้ของชุมชน ที่มีหน่วยงานเข้ามาศึกษาเรียนรู้อย่างต่อเนื่องทุกปี

3. Talent – พัฒนาศักยภาพที่เป็นเลิศของบุคลากร

มุ่งดูแลและพัฒนาบุคลากรขององค์กร ด้วยการส่งมอบความรู้และทักษะในการปฏิบัติงานแก่บุคลากรทุกระดับให้สามารถปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพผ่านกิจกรรมและหลักสูตรอบรมต่างๆ ที่เน้นถ่ายทอดประสบการณ์และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างกัน ตลอดจนสร้างความเคารพในคุณค่าของความแตกต่างหลากหลายในองค์กรให้ได้รับการปฏิบัติอย่างเสมอภาคตามหลักสิทธิมนุษยชน

โครงการเด่นด้านพัฒนาศักยภาพที่เป็นเลิศของบุคลากร ได้แก่

1) การพัฒนาทักษะเพื่ออนาคต มุ่งให้พนักงานพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคโลกดิจิทัลโดยให้ความรู้แก่พนักงานทุกระดับ ผ่านการพัฒนา 9 หลักสูตรในกลุ่ม Digital Literacy, Data Analytics & Tools และ Agility เพื่อตอบโจทย์การพัฒนาทักษะเฉพาะทาง

2) พัฒนาทักษะการปฏิบัติงาน พัฒนาทักษะทั้ง hard skill และ soft skill ด้วยการออกแบบเส้นทางการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับพนักงาน (Training Roadmap) กว่า 50 เส้นทาง และพัฒนาหลักสูตรร่วมกับสายงานกว่า 200 หลักสูตร ครอบคลุมทุกกลุ่มธุรกิจหลัก

3) การส่งเสริมสร้างสุขภาวะและการดูแลพนักงาน

ส่งเสริมสุขภาพที่ดีทั้งกายและจิตใจ ปกป้องสิทธิมนุษยชน ให้คุณค่าของความหลากหลายและเสมอภาคด้วยแนวคิด DEI (Diversity หลากหลาย – Equity เท่าเทียม – Inclusion เปิดรับความแตกต่าง) ผ่านการจัดกิจกรรมขององค์กร เช่น กิจกรรมส่งเสริมบทบาทและความสำเร็จของผู้บริหารหญิง สะท้อนความเท่าเทียมทางเพศ อีกทั้งส่งเสริมการจ้างงานการจ้างงานผู้สูงอายุในตำแหน่งบริการลูกค้าหน้าร้าน รวมทั้งการจ้างงานคนพิการ เช่น ศูนย์ Contact Center ของไทวัสดุและเพาเวอร์บาย, พนักงานในเครือโรงแรมเซ็นทาราและร้านค้าในเครือเซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป รวม 327 คน เป็นต้น

4. Circularity – ขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียน 

ส่งเสริมและรณรงค์ให้ทุกคนร่วมมือกันรักษาสิ่งแวดล้อม เพื่อขับเคลื่อนโลกสีเขียวอย่างยั่งยืน ด้วยความมุ่งมั่นของธุรกิจในเครือในการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างมีความรับผิดชอบ รวมทั้งสร้างความตระหนักถึงการร่วมมือกันรักษ์โลกและลดปัญหาสิ่งแวดล้อม

โครงการเด่นด้านการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียน ได้แก่

1) โครงการจัดการอาหารส่วนเกิน (Food Surplus Management) เพื่อลดปริมาณอาหารเหลือทิ้งตั้งแต่ต้นทาง เริ่มตั้งแต่การวางแผนการใช้วัตถุดิบการจัดการอาหารที่เหลือจากการจำหน่าย แบ่งเป็นอาหารที่ยังรับประทานได้ส่งต่อให้กับกลุ่มเปราะบาง โดยร่วมมือกับมูลนิธิ SOS , Yindii เป็นต้น โดยในปี 66 บริจาคอาหารส่วนเกินไปกว่า 2,681,476 มื้อ ลดปริมาณขยะลงสู่หลุมฝังกลบ 641 ตัน และลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือ CO2 ได้ถึง 1,486 ตันคาร์บอน นอกจากนี้ อาหารส่วนเกินที่ไม่สามารถรับประทานได้ จะถูกนำไปแปรรูปขยะอาหารเป็นปุ๋ยอินทรีย์และก๊าซชีวภาพ เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ต่อไป

2) โครงการบริหารจัดการขยะพลาสติก (Plastic Waste Management) มุ่งเน้นการลดขยะพลาสติกผ่าน 3 แนวทาง 1. การลดพลาสติกใช้ครั้งเดียวทิ้ง หรือ single-use plastic ในห้างสรรพสินค้าและร้านค้าในกลุ่มเซ็นทรัล โดยในปี 2566 สามารถลดจำนวนถุงพลาสติกที่ส่งมอบให้ลูกค้า ซึ่งจะกลายเป็นขยะกว่า 187,758 ใบ ทำให้ลดปริมาณขยะพลาสติกได้กว่า 15 ตัน 2. เพิ่มการใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ในการดำเนินงานของหน่วยธุรกิจ เช่น โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทาราได้ยกเลิกการใช้หลอดพลาสติก,เปลี่ยนถุงพลาสติกเป็นถุงผ้าสำหรับบริการส่งซัก , เปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ของใช้ในห้องน้ำเป็นขวดที่สามารถรีฟิลได้ 3. การส่งเสริมกระบวนการรีไซเคิล กลุ่มเซ็นทรัล จัดเก็บขยะขวดพลาสติก PET เพื่อนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ (upcycled) ในปี 66 ได้ถึง 1,020,009 ขวด แบ่งเป็นดำเนินงานโดยเซ็นทรัล รีเทล จัดเก็บขยะขวดพลาสติก PET จากพื้นที่ธุรกิจ 492,009 ขวด และโครงการขวดเปล่าไม่สูญเปล่าดำเนินการโดย เซ็นทรัล ทำ รวบรวมขวดเปล่าได้ 528,000 ขวด เพื่อผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่า เช่น กระเป๋า เสื้อกั๊ก หรือผ้าห่ม จำหน่ายภายใต้แบรนด์ good goods หรือส่งมอบให้กับผู้ประสบภัย นอกจากนี้เซ็นทรัลพัฒนายังได้ดำเนินโครงการ Journey to Zero คัดแยกขยะรีไซเคิลทุกประเภท เช่น พลาสติก กระดาษ อะลูมิเนียม โลหะ ขวดแก้ว ได้กว่า 10,585 ตัน คิดเป็น 13% ของขยะทั้งหมด และโรงแรมในเครือเซ็นทารากว่า 37 แห่ง ยังได้ดำเนินโครงการ Plastics Only, Please (P-O-P) ถังขยะรูปทรงปลาทะเล เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมของลูกค้าไม่ทิ้งขยะพลาสติกลงในทะเล โดยสามารถนำขยะพลาสติกไปรีไซเคิลได้ทั้งหมด 1.7 ตัน ในปี 66

5. Climate – การฟื้นฟูสภาพอากาศ

เดินหน้าเส้นทางลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2593โดยส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนหรือพลังงานสะอาด (Renewable Energy) ของธุรกิจในกลุ่ม รวมทั้งการรณรงค์ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของพนักงานและผู้บริหารในองค์กรคู่ค้า ลูกค้า พันธมิตร โดยคำนึงถึงการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อลดปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

โครงการเด่นด้านการฟื้นฟูสภาพอากาศ ได้แก่

1) โครงการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนผ่าน Solar Rooftops 

ติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าโซลาร์เซลล์ กว่า 170 แห่ง ในพื้นที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพัฒนา , ห้างเซ็นทรัล โรบินสัน และไทวัสดุ ในเครือเซ็นทรัล รีเทล , โรงแรมในเครือเซ็นทาราและโรงงานภายในเครือเซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป ทำให้สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าเพื่อใช้เองได้ทั้งหมด 114,200 เมกะวัตต์-ชั่วโมง ต่อปี นอกจากนี้ยังมีการติดตั้งสถานีชาร์จรถไฟฟ้า กว่า 1,356 สถานี ภายในพื้นที่ของหน่วยธุรกิจเซ็นทรัล รีเทล, เซ็นทรัลพัฒนา, โรงแรมในเครือเซ็นทารา อีกด้วย

2) โครงการส่งเสริมลดการใช้พลังงานเชื้อเพลิงจากระบบขนส่งสินค้า

เพื่ออากาศที่ดีของคนไทยโดยไทวัสดุมีการนำรถบรรทุกพลังงานไฟฟ้า หรือ Electric Truck ซึ่งมีสมรรถนะโดดเด่นเทียบเท่ารถบรรทุกน้ำมันดีเซล เข้ามาใช้ในระบบโลจิสติกส์และซัพพลายเชน เพื่อขนส่งสินค้าระหว่างร้านค้าในเครือไทวัสดุโดยมีแผนจะขยายเส้นทางเดินรถบรรทุกพลังงานไฟฟ้าเพิ่มเติมอีกในอนาคต เช่นเดียวกับท็อปส์ ที่มีการใช้รถขนส่งพลังงานไฟฟ้านำร่องใช้ขนส่งกระจายสินค้าของร้านท็อปส์ เดลี่ ในพื้นที่ทั่วกรุงเทพฯ ทั้งนี้ปัจจุบันไทวัสดุและท็อปส์ มีจำนวนรถขนส่งขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้ารวมทั้งสิ้น 22 คัน สามารถช่วยลดการใช้พลังงานเชื้อเพลิงกว่า 180,000 ลิตร

6. Nature – การอนุรักษ์ระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ 

มุ่งอนุรักษ์และฟื้นฟูความอุดสมบูรณ์ระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ อันเป็นกุญแจสำคัญของการพัฒนาที่ยั่งยืน นำไปสู่ความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) และเป็นแนวทางในการลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศผ่านการดำเนินโครงการด้านการเพิ่มและอนุรักษ์พื้นที่สีเขียว อาทิ ด้านเกษตรกรรมยั่งยืนด้วยการส่งเสริมวิถีการทำเกษตรที่มีคุณค่าทั้งทางเศรษฐกิจทำให้เกษตรชุมชนได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ โดยไม่ลดทอนหรือส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งส่งเสริมการปลูกป่าเพื่อฟื้นคืนผืนป่า การปลูกต้นไม้และการปรับปรุงภูมิทัศน์ให้มีสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่ดี เพื่อการอนุรักษ์ดิน น้ำ อากาศและสิ่งมีชีวิต

โครงการเด่นด้านการปกป้องธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพ ได้แก่

1) โครงการฟื้นฟูพื้นที่สีเขียว โดยธุรกิจในเครือกลุ่มเซ็นทรัลให้ความสำคัญกับการเพิ่มพื้นที่สีเขียวอย่างต่อเนื่อง เพื่อ ดูดซับคาร์บอนบรรเทาภาวะโลกร้อนซึ่งส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจ สังคม และชุมชน โดยร่วมมือกับทุกภาคส่วนในการร่วมฟื้นฟูป่าและเพิ่มพื้นที่สีเขียว เช่น การผนึกกำลังกับกรุงเทพมหานคร, กรมป่าไม้ ในการลงพื้นที่ปลูกป่าในจังหวัดต่างๆ รวมทั้งการแจกจ่ายต้นไม้ให้กับประชาชนนำกลับไปปลูกยังบ้านพักอาศัยของตนเอง เป็นต้น ส่งผลให้ในปี 2566 สามารถเพิ่มพื้นที่สีเขียวและฟื้นฟูป่าได้กว่า 9,411 ไร่ ลดคาร์บอนได้ 7,456 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี ทั้งนี้ในปี 67 มีแผนดำเนินโครงการ Community Climate Action (CCA) ฟื้นฟูพื้นที่สีเขียว 50,000 ไร่ ใน 6 จังหวัด เป็นต้น

ทั้งนี้ “เซ็นทรัล ทำ” ยังได้เปิดตัววิดีโอโฆษณาชุดใหม่ “แค่ทำสักครั้ง” สอดรับกับ แคมเปญ “THAMsformation ทำเพื่อเปลี่ยนสู่ความยั่งยืน” สะท้อนเรื่องราวคุณค่าของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้ไม่ใช่เพียงแค่คิด แต่เกิดจากความกล้าที่จะเริ่มต้นลงมือทำและทำอย่างต่อเนื่อง ผ่านการบอกเล่าโครงการเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนบางส่วนของ “เซ็นทรัล ทำ” ที่ประสบความสำเร็จและเปลี่ยนแปลงสู่สิ่งที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน คลิกเพื่อรับชมวีดีโอโฆษณา “แค่ทำสักครั้ง”

“เซ็นทรัล ทำ” เชื่อว่าการเดินหน้ายุทธศาสตร์การพัฒนาที่ยั่งยืนเกิดจากร่วมมือร่วมใจกันลงมือทำ       บูรณาการและขับเคลื่อนอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อสร้างความเจริญเติบโตรอบด้านในทุกมิติ ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม เศรษฐกิจชุมชนเข้มแข็ง สิ่งแวดล้อมน่าอยู่ โดยหวังผลลัพธ์เชิงบวกสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นในระยะยาว เพื่อส่งมอบอนาคตที่มีคุณภาพให้กับสังคม ประเทศชาติ และคนรุ่นหลังต่อไป

]]>
1469763
เอไอเอส x กลุ่มเซ็นทรัล สานภารกิจความยั่งยืน ปั้นโมเดลการจัดการขยะแบบครบวงจร https://positioningmag.com/1454593 Wed, 06 Dec 2023 08:46:33 +0000 https://positioningmag.com/?p=1454593 เอไอเอส ร่วมกับ กลุ่มเซ็นทรัล เดินหน้าสานพันธกิจ ยกระดับคุณภาพสิ่งแวดล้อม สร้างโมเดลด้านการจัดการขยะทุกประเภทให้ถูกวิธีด้วยการร่วมมือกันของ 2 บริษัทยักษ์ใหญ่ เร่งการเปลี่ยนแปลงผ่านการสร้างความร่วมมือส่งเสริมทุกภาคส่วนให้เกิดการจัดการขยะแบบ 100 % เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงและมีส่วนร่วมในการผลักดันด้านสิ่งแวดล้อมให้เป็นรูปธรรมที่เริ่มต้นได้ง่ายๆ จากตัวเรา

ทั้งนี้การยกทีมผู้บริหารลงพื้นที่ ณ หมู่บ้านคามิคัตสึ (Kamikatsu) เมืองทางตะวันตกเฉียงใต้ที่เกาะชินโชกุประเทศญี่ปุ่น เพื่อเป็นการซึมซับแนวคิด Zero Waste และกระบวนการจัดการขยะที่ทรงประสิทธิภาพและต่อเนื่องอย่างการแยกขยะมากถึง 45 ประเภท ผ่านหลักการพื้นฐานที่ทุกคนทำได้โดยการลดขยะ (Reduce) การใช้ซ้ำ (Reuse) และการรีไซเคิล (Recycle) จนกลายเป็นเมืองต้นแบบปลอดขยะระดับโลกพร้อมนำมาต่อยอดการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมในการสร้างโมเดลเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) มุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ในปี 2050

สมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอส กล่าวว่า

“นโยบายหลักของเรา นอกจากสร้างมาตรฐานของสินค้า บริการ นวัตกรรม และการดูแลลูกค้าอย่างเป็นเลิศแล้ว ยังมีภารกิจในการดูแลสังคม สิ่งแวดล้อม สนับสนุนสู่ Sustainable Nation โดยเฉพาะด้านสิ่งแวดล้อม ใน 2 แกนหลัก คือ 1) ลดผลกระทบผ่านกระบวนการดำเนินธุรกิจ 2) ลดและรีไซเคิลของเสียจากการดำเนินธุรกิจและส่งเสริมให้คนไทยร่วมกำจัด E-Waste อย่างถูกวิธี เพราะการมาถึงของ Digital ส่งผลให้เกิดขยะ E-Waste มากขึ้น จนกลายเป็นปัญหาระดับโลก เช่นกรณีมูลค่าขยะ E-Waste ที่ถูกเผาทำลายมีมากถึง 57,000 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่กลับมีการจัดเก็บอย่างถูกวิธีและรีไซเคิลได้เพียง 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐเท่านั้น จะเห็นได้ว่า ปริมาณที่สูญหายในระหว่างทางนั้นมีอยู่มหาศาลและสามารถส่งผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมหากกำจัดอย่างไม่ถูกต้อง”

“จึงเป็นที่มาของการขับเคลื่อนภารกิจคนไทยไร้ e-waste ในปี 2562 เพื่อสร้างความตระหนักถึงปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์ โดยได้ร่วมมือกับกลุ่มเซ็นทรัลตั้งแต่ปี 2563 รณรงค์และเป็นช่องทางรับทิ้ง E-Waste ได้สะดวกกับประชาชนยิ่งขึ้น ผ่านศูนย์การค้าในกลุ่มเซ็นทรัลที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ 37 สาขาทั่วประเทศ รวมถึงร้าน Power Buy ผู้นำธุรกิจค้าปลีกศูนย์รวมเครื่องใช้ไฟฟ้า สินค้าไอที มือถือ แกดเจ็ต อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ครบวงจร รวม 40 สาขาทั่วประเทศ และผ่าน Application E-Waste Plus ที่เพิ่มเติมเข้ามา อันเป็นการร่วมเสริมพลังกับ 190 องค์กร ขับเคลื่อน HUB of e-waste ศูนย์กลางการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะแห่งแรกของไทย ที่มีทั้งความรู้ เครือข่ายที่มาช่วยกันแลกเปลี่ยนไอเดียใหม่ๆ การขยายจุดรับทิ้งให้ครอบคลุม การบริการด้านการขนส่ง และการรีไซเคิลสู่กระบวนการ Zero e-waste to landfill ได้ในท้ายที่สุด”

พิชัย  จิราธิวัฒน์  กรรมการบริหาร กลุ่มเซ็นทรัล กล่าวว่า

การจัดการปัญหาขยะอย่างยั่งยืนจะเกิดขึ้นได้ต้องเริ่มจากตัวเราเองที่ต้องทำทุกวันและต่อเนื่องจนเป็นนิสัย และเราเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะสำเร็จได้ต้องร่วมมือกันทำจากทุกภาคส่วน จึงเป็นที่มาของการผนึกกำลังกันระหว่าง กลุ่มเซ็นทรัล และ เอไอเอส ซึ่งเป็นพันธมิตรกันมาอย่างยาวนาน การร่วมมือกันครั้งนี้เป็นการสานต่อจากโครงการ การทิ้งขยะ E-Waste อย่างถูกวิธี ซึ่งทางกลุ่มเซ็นทรัลมุ่งมั่นสานต่อเจตนารมณ์ที่จะสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี ผ่านโครงการ “เซ็นทรัล ทำ – ทำด้วยกัน ทำด้วยใจ” โครงการเพื่อความยั่งยืนดำเนินการโดยกลุ่มเซ็นทรัลผ่าน 6 แนวทางการขับเคลื่อนเพื่อความยั่งยืน

  1. ส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน สร้างอาชีพ และบรรเทาสาธารณภัย (Community & Social Contribution)
  2. ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเสมอภาคในการเข้าถึงโอกาส อย่างเท่าเทียม (Inclusion) การศึกษา (Education)
  3. พัฒนาศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ (Human Capital Development)
  4. ขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียนและการบริหารจัดการขยะมูลฝอย (Circular Economy & Waste Management)
  5. ลดการสูญเสียอาหารในกระบวนการผลิตและลดปริมาณขยะอาหาร (Food Loss & Food Waste Reduction)
  6. ฟื้นฟูสภาพอากาศ ลดมลภาวะ และผลักดันการใช้พลังงานหมุนเวียน (Climate Action)ทำให้เรามีส่วนสำคัญในการรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมจากการดำเนินธุรกิจขององค์กร และขับเคลื่อนการลดการสร้างขยะให้เป็นศูนย์ผ่านแคมเปญ Journey to Zero เพื่อเดินหน้าสู่เป้าหมาย Net Zero ในปี 2050 เพื่อสร้างคุณภาพด้านสิ่งแวดล้อมที่ครอบคลุมทุกมิติ เป็นรีเทลแห่งแรกของไทยที่จะพัฒนาให้เป็นศูนย์ต้นแบบในด้านการจัดการขยะทั่วประเทศ เราพร้อมที่จะเร่งปรับและเปลี่ยนเพื่อโลกสีเขียวอย่างยั่งยืน

การเดินหน้าภารกิจศึกษาแนวคิด และกระบวนการจัดการขยะในครั้งนี้ ทั้ง 2 บริษัทเห็นพ้องตรงกันว่า เราจะร่วมมือกันทำ ร่วมกันสร้างการเปลี่ยนแปลงเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมไปด้วยกัน เพราะเรามีเป้าหมายเดียวกัน ที่อยากเห็นประเทศไทยมีโมเดลต้นแบบในการ คัด แยก ทิ้งขยะ ได้อย่างถูกที่และถูกวิธีและยังเป็นการลดการฝังกลบขยะที่จะก่อให้เกิดปัญหาอีกมากมาย พร้อมสร้างพฤติกรรมการใช้สิ่งของอย่างคุ้มค่าให้เกิดประโยชน์สูงสุดเพื่อสร้างโลกที่น่าอยู่ให้กับคนรุ่นถัดไป

กรณีศึกษา Kamikatsu Zero Waste เมืองคามิคัตสึ

คามิคัตสึ เป็นเมืองในจังหวัดโทคุชิมะ ที่ตั้งอยู่บนเกาะชิโกกุทางตะวันตกของประเทศญี่ปุ่น มีประชากรเพียง 1,401  คน หรือ 734 ครัวเรือน (ตัวเลข ณ วันที่ 1 ต.ค. 2023) โดยมีสัดส่วนเป็นผู้สูงอายุ เป็น 52.25%

เมืองคามิคัตสึ มีพื้นที่ขนาด 109.63 ตารางกิโลเมตร (พื้นที่ป่าไม้ 88% และ 80% เป็นป่าปลูก) มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 100-700 เมตร

โดยที่เมืองคามิคัตสึ เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงโด่งดังเรื่องปลอดขยะ และการจัดการขยะอันดับต้นๆ ของโลก และเป็นต้นแบบการดำรงชีวิตอย่างยั่งยืน จนกลายเป็นหนึ่งในสถานที่เรียนรู้ของคนที่รักสิ่งแวดล้อม เริ่มทำโครงการ Zero Waste ตั้งแต่ปี 2003 มีการแยกขยะอย่างจริงจัง ส่งไปรีไซเคิล หรือรียูสได้

ในปี 2020 สามารถทำให้ขยะเป็นศูนย์ได้ราว 80% โดยมีกระบวนการเอาไปรียูส รีไซเคิล ส่วนอีก 19% ไม่สามารถรีไซเคิลได้ ต้องนำไปฝังกลบ ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มหนังยางรัดแกง รองเท้า ของที่แยกชิ้นส่วนไม่ได้ และขยะอันตราย เช่น ผ้าอ้อม หน้ากากอนามัย ทิชชู และขยะปนเปื้อนต่างๆ

Zero waste หรือขยะเป็นศูนย์ หมายถึง การกำจัดของเสียและขยะ แต่สำหรับเมืองคามิคัตสึไม่เพียงหมายถึงการจัดการขยะเท่านั้น แต่ยังหมายถึงวิธีคิดที่จะไม่สร้างขยะตั้งแต่เริ่มแรก

ประวัติศาสตร์ของ เมืองคามิคัตสึ

1974       โรงบำบัดดินส่วนเกินฮิบิกาทานิถูกใช้เป็นโรงบำบัดขยะชั่วคราว

1991       มีการให้เงินอุดหนุนสำหรับซื้อถังหมักปุ๋ยจากเศษอาหาร (โดยคนในชุมชนจ่ายเพียง 3,100 เยน) จนถึงปี 1999

1994       จัดทำแผนเมืองรีไซเคิลคามิคัตสึ

1995       มีการอุดหนุนการซื้อเครื่องกำจัดขยะไฟฟ้า (Gomi nice) สำหรับครัวเรือน (โดยคนในชุมชนจ่ายเพียง 10,000 เยน)

1996       ปิดโรงบำบัดขยะฮิบิกาทานิบางส่วน (ยกเลิกในส่วนการฝังกลบขยะที่เผาไม่ได้และขยะขนาดใหญ่)

1997       เปิดสถานีกำจัดขยะฮิบิกาทานิ และเริ่มการคัดแยกขยะออกเป็น 9 ประเภท

1998       ปิดเตาเผาขยะขนาดเล็ก 2 แห่ง และปิดสถานที่เผาขยะฮิบิกาทานิ (เผาขยะกลางแจ้ง)

2001       ปิดเตาเผาขยะขนาดเล็ก เริ่มจัดระบบการคัดแยกเป็น 33 หมวดหมู่ (หลังจากปีนี้ไม่นานก็ได้เพิ่มเป็น 35 หมวดหมู่) ที่สถานีกำจัดขยะฮิบิกาทานิซึ่งเปิดให้บริการทุกวัน

2003       ออกปฏิญญาขยะเป็นศูนย์ (Zero Waste)

2005       เปิดตัวองค์กรไม่แสวงหากำไร (NPO) เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ขยะเป็นศูนย์ ชื่อ Zero Waste Academy

2006       เปิดศูนย์ส่งเสริมการซื้อสินค้าใช้ซ้ำ Kurukuru Shop

2007       เปิดร้านรีเมค Kurukuru Kobo แหล่งรวบรวมสินค้ารีไซเคิล

2008       เริ่มมีการให้เช่าอุปกรณ์บนโต๊ะอาหารที่ใช้แล้วนำไปใช้ซ้ำ

2013       เริ่มแคมเปญสะสมคะแนน Chiritsumo (เป็นคะแนนที่ได้จากจากการคัดแยกกระดาษต่างๆ ฯลฯ และดัดแปลงเป็นของใช้ในชีวิตประจำวัน)

2016       เปลี่ยนจำนวนหมวดหมู่การคัดแยกขยะอย่างเป็นทางการ จาก 34 ประเภทเป็น 13 ประเภท และ 45 หมวดหมู่สามารถทำยอดรีไซเคิลขยะได้ในอัตราสูงกว่า 80% เป็นครั้งแรก

2017       ริเริ่มการให้การรับรองขยะเป็นศูนย์เริ่มการทดสอบการขายขยะตามน้ำหนักเริ่มนำเสนอเซ็ตผ้าอ้อมที่ทำจากผ้า

2018       เริ่มรณรงค์งดใช้ถุงพลาสติก

2020       ก่อสร้างศูนย์ Kamikatsu-cho Zero Waste Center เพื่อช่วยกำจัดขยะเมืองคามิคัตสึให้เป็นศูนย์เสร็จสมบูรณ์

ปฏิญญาขยะเป็นศูนย์ของเมืองคามิคัตสึ

17 ปีหลังจากออกปฏิญญา Zero Waste ในปี 2003 คนในชุมชนทุกคนได้ร่วมกันลดขยะในเมืองคามิคัตสึและได้พิสูจน์ตนเองด้วยสถิติรีไซเคิลขยะได้ในอัตรามากกว่า 80% ซึ่งความท้าทายในการร่วมกันกำจัดขยะของหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้ได้ดึงดูดความสนใจจากคนทั่วโลก และได้ปูทางเมืองแห่งนี้ไปสู่สังคมที่ยั่งยืนโดยเมืองคามิคัตสึมีเป้าหมายในการพัฒนาเมืองให้มีความงามทางธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ เป็นสถานที่ที่ทำให้ทุกคนมีความสุข และสามารถเติมเต็มความฝันของพวกเขาได้ และในฐานะผู้บุกเบิกเรื่องขยะเป็นศูนย์ เมืองคามิคัตสึก็ได้ประกาศนโยบายขยะเป็นศูนย์อีกครั้ง ผ่านเป้าหมายหลัก “การคิดถึงอนาคตของสิ่งแวดล้อมเพื่อลูกหลาน ภายใต้ความรับผิดชอบของแต่ละบุคคล และส่งเสริมผู้อื่นให้ร่วมลงมือ” โดยตั้งเป้าบรรลุเป้าหมายภายในปี 2030

เมืองคามิคัตสึดำเนินโครงการริเริ่มการรีไซเคิลอย่างทั่วถึงเพื่อบรรลุสังคมขยะเป็นศูนย์ โดยสื่อสารปรัชญาและความคิดริเริ่มขยะเป็นศูนย์ มุ่งเน้นไปที่การเพิ่มเปอร์เซ็นต์คนที่มีความคิดไปในแนวเดียวกันในสังคม

]]>
1454593
ตามไปดูบรรยากาศเฟสทีฟที่ห้างหรู 5 แห่งในยุโรปของ “กลุ่มเซ็นทรัล” https://positioningmag.com/1410919 Fri, 02 Dec 2022 04:29:14 +0000 https://positioningmag.com/?p=1410919 ใกล้เข้าสู่เทศกาลคริสต์มาส และปีใหม่ เป็นเทศกาลใหญ่ที่ทุกคนรอคอย เรียกว่าเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขของปีเลยทีเดียว และขึ้นชื่อว่าเป็นช่วงเฟสทีฟแบบนี้ สถานที่ที่ขึ้นชื่อคงหนีไม่พ้นโซนยุโรปเป็นแน่ เลยขอพาไปส่องบรรยากาศช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่ากันที่ห้างหรูทั้ง 4 แห่งของกลุ่มเซ็นทรัลที่ยุโรป ปีนี้มีการตกแต่งกันอย่างจัดเต็ม

มนต์เสน่ห์และกลิ่นอายแห่งการเฉลิมฉลองของคริสต์มาส และปีใหม่ในยุโรปถูกแต่งแต้มด้วยสีสันของความสนุกสนานรอคอยต้อนรับนักท่องเที่ยวทั่วทุกมุมโลก นอกจากจะได้สัมผัสความงดงามผ่านแสงไฟระยิบระยับที่ประดับทั่วเมืองแล้ว “ห้างสรรพสินค้าหรู” ใจกลางเมืองสำคัญของแต่ละประเทศ เป็นแลนด์มาร์กยอดนิยมในการฉลองความสุขไปด้วยกัน

เริ่มด้วย ห้างเซลฟริดเจส (Selfridges) กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ, ห้างรีนาเชนเต (Rinascente) กรุงมิลาน และกรุงโรม ประเทศอิตาลี, ห้างคาเดเว (KaDeWe) กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี และ ห้างอิลลุม (ILLUM) กรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก ซึ่งทั้ง 5 ห้างหรูระดับโลกดังกล่าวล้วนมีอายุเกินกว่าหนึ่งศตวรรษ และอยู่ภายใต้การบริหารของ “กลุ่มเซ็นทรัล” ที่เป็นเจ้าของห้างแฟลกชิปหรู

ห้างหรูแต่ละแห่งได้ เนรมิตบรรยากาศแห่งความรื่นเริงนับถอยหลังสู่เทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ เพื่อสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับนักท่องเที่ยวทั่วโลก จะมีอะไรบ้าง ไปดูกัน

ห้างอิลลุม (Illum) กรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก

ห้างหรูอันดับ 1 ใจกลางเมืองโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์กที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น สวรรค์แห่งการช้อปปิ้งที่ดีที่สุดในภูมิภาคสแกนดิเนเวีย ชวนดื่มด่ำโมเมนต์คริสต์มาสในธีม ONE of a KIND ด้วยการจับมือกับแบรนด์ดัง Prada เนรมิตบรรยากาศห้างสรรพสินค้าให้เป็น Silver Sparkling Glitter Color เปล่งประกายระยิบระยับวับวาวหลากเฉดสีเสมือนอยู่ในดินแดนดิสโก้ปาร์ตี้อันสนุกสนาน

นอกจากนี้ยังเตรียมความอิ่มอร่อยกับอรรถรสของอาหารทะเลสุดพิเศษจากร้าน Skagen สไตล์โมเดิร์นเดนิชพร้อมดื่มด่ำกับวิวเมืองอันงดงามบน Rooftop Terrace ชั้น 4 ของห้าง หรือเลือกซื้อของขวัญสุดพิเศษให้คนที่คุณรักใน Illum Christmas Catalogue 2022 อาทิ กระเป๋าดีไซน์เก๋ จาก PRADA, LOEWE,CELINE, เครื่องประดับและนาฬิกาสวยหรูจาก BVLGARI และอื่นๆ อีกมากมาย

ห้างเซลฟริดเจส (Selfridges) กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ

ห้างเซลฟริดเจส (Selfridges) จุดหมายปลายทางแห่งการช้อปปิ้งอันดับ 1 ที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกต้องมาเยือน ตั้งอยู่บนถนนออกซ์ฟอร์ด ใจกลางกรุงลอนดอน ซึ่งได้รับการโหวตให้เป็นห้างสรรพสินค้าที่ดีที่สุดในโลก (Best Department Store in the World) จากงาน Global Department Store Summits 4 ปีซ้อน

เฉลิมฉลองคริสต์มาสด้วยการเนรมิตวินโดว์ ดิสเพลย์ (Window Display) ภายใต้ธีม ‘Season’s Feastings’ นำเสนอช่วงเวลาสุดพิเศษของการรับประทานอาหารอย่างอบอุ่นระหว่างครอบครัวในช่วงคริสต์มาส โดยหนึ่งในไฮไลต์ คือ ดิสโก้บอลในรูปแบบขนมพุดดิ้ง (disco ball pudding) นอกจากนี้ยังมีการเปิดตัว คริสต์มาสช้อป (Christmas Shop) อันยิ่งใหญ่ บริเวณชั้น 4 จำหน่ายสินค้าของประดับตกแต่งคริสต์มาสกว่า 1,200 รายการ ซึ่งเป็นสินค้าสุดเอ็กซ์คลูซีฟรวมทั้งของขวัญชิ้นพิเศษที่ไม่ซ้ำใคร เฉพาะที่ห้างเซลฟริดเจส เท่านั้น หรือลองแวะเข้าไปช้อปกันได้ที่ selfridges.com

ห้างสรรพสินค้าคาเดเว (KaDeWe) กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี

ห้างคาเดเว (KaDeWe) กรุงเบอร์ลิน เป็นห้างที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในประเทศเยอรมนี เตรียมสร้างความตื่นตาตื่นใจฉลองเทศกาลแห่งความสุขโดยความร่วมมือกับ Dior แบรนด์ลักชัวรี่ระดับโลกออกแบบตกแต่ง Window Display สุดตระการตาให้เปรียบดั่งโลกแห่งเวทมนต์ที่ส่องประกายเรืองรอง ถ่ายทอดคอลเลกชันอันน่าหลงใหลเพื่อสุภาพสตรีพร้อมนำเสนอคอลเลกชัน Cruise 2023 ที่มีเครื่องประดับและสินค้าแฟชั่นหลากหลายในรูปแบบ Pop Up Store บนพื้นที่กว่า 270 ตร.ม. รวมทั้งยังได้คัดสรรแฟชั่นแบรนด์สำหรับฉลองปาร์ตี้ไว้อย่างคับคั่ง ไม่ว่าจะเป็น Dior, Louis Vuitton, Givenchy, Versace และแบรนด์ชั้นนำอื่นๆ อีกมาก

Dior Christmas Pop up Store and windows at KaDeWe in Berlin, German – Photo ©Kristen Pelou

เชิญแวะชมบรรยากาศห้างสรรพสินค้าคาเดเว (KaDeWe) ภายใต้ธีม Merry Moments ให้ทุกคนสามารถเก็บภาพในมุมต่างๆ ดุจย่างกรายไปใน ลูกแก้วที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ (Snow Globe) รวมทั้งคริสต์มาสมาร์เก็ต รวบรวมสินค้ากลิ่นอายแห่งการเฉลิมฉลอง ทั้งของประดับ ขนม และอาหารนานาชนิด ให้เลือกช้อปอย่างเต็มอิ่ม

ห้างรีนาเชนเต (Rinascente) กรุงมิลาน และ กรุงโรม ประเทศอิตาลี

ห้างรีนาเชนเต (Rinascente) กรุงมิลาน และ กรุงโรม เป็นห้างสรรพสินค้าอันดับ 1 ในประเทศอิตาลี ที่ทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์และเป็นที่นิยมของเหล่านักท่องเที่ยว โดยเมื่อถึงเทศกาลแห่งการเฉลิมฉลอง ทุกคนต่างไม่พลาดมาเช็กอินและถ่ายรูปลงในโซเชียลมีเดียเพื่ออวดความงดงามของแสงไฟระยิบระยับนับพันดวงที่ถูกรังสรรค์อย่างตื่นตาตื่นใจ

โดยปีนี้จะถูกจัดขึ้นในธีม Believe in Wonder มหัศจรรย์แห่งความรื่นเริงและสนุกสนานทั่วทั้งห้างสรรพสินค้า ที่ทุกย่างก้าวจะเสมือนอยู่ในดินแดนที่เต็มไปด้วยความสุข โดยหนึ่งในไฮไลต์ของ รีนาเชนเต กรุงมิลาน คือ ชั้นรูฟท็อปของห้างซึ่งเป็นที่ตั้งของร้านอาหารอิตาเลียนสไตล์โมเดิร์น Obicà Mozzarella Bar และ Maio Restaurant ทุกคนสามารถดื่มด่ำทัศนียภาพแบบ 360 องศาของมหาวิหารดูโอโม่ (Duomo di Milano) แลนด์มาร์กอันโดดเด่นแห่งเมืองมิลาน เช่นเดียวกันกับรูฟท็อปของ รีนาเชนเต กรุงโรม ที่สามารถชื่นชมพระอาทิตย์ตกดินแบบพาโนรามา ที่ร้านอาหาร Madeiterraneo และบาร์ Up Sunset Bar ของเชฟระดับมิชลินสตาร์

สำหรับใครกำลังมองหาของขวัญสักชิ้นที่รีนาเชนเตก็มีให้เลือกครบครันทั้งสินค้าแฟชั่นจากแบรนด์ Louis Vuitton, Gucci, Fendi, Bottega Veneta, Dolce Gabbana, Tod’s, Valentino, Versace, Salvatore Ferragamo หรือเครื่องประดับ สินค้าตกแต่ง และอาหาร อาทิ กล่องดนตรีสุดคลาสิกจากแบรนด์ LEMAX, ตุ๊กตานัทแครกเกอร์แกะสลักจากไม้ขาวที่มีความเชื่อว่าจะนำความโชคดีมาสู่ผู้รับ, ชูการ์ แอนด์ สไปซ์ (บ้านและตุ๊กตาขนมปังขิง) และสินค้าที่ได้รับการคัดสรรมาเป็นพิเศษสำหรับเทศกาลนี้ โดยสามารถเลือกซื้อได้ทั้งหน้าร้านหรือออนไลน์เพียงแอดไลน์ @RinascenteOnDemand แล้วทักแชทชอปกันได้เลยง่ายๆ

นอกจากทุกคนจะได้ดื่มด่ำความงดงามจากการรังสรรค์ห้างสรรพสินค้าทั้ง 5 ห้างหรูข้างต้นแล้ว ทุกครั้งที่ลูกค้าคนไทยที่เป็นสมาชิกเดอะวัน ช้อปปิ้งที่ ห้างรีนาเชนเต (Rinascente) ทุกสาขา, ห้างคาเดเว (KaDeWe) จะได้รับ คะแนนสะสมเดอะวัน ทุก 1 ยูโร เท่ากับ 1 คะแนน และห้างอิลลุม (Illum) ทุก 7.5 โครนเดนมาร์ก เท่ากับ 1 คะแนน, ส่วนลด 10% สำหรับสินค้าร่วมรายการ เพียงแสดง The 1 APP รวมถึงเครดิตเงินคืนสูงสุด 15% เมื่อใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเซ็นทรัล เดอะวัน ที่ร่วมรายการ (ระยะเวลาถึง 31 ธ.ค. 66) และให้บริการ fast track สำหรับการคืนภาษี (Tax Refund), บริการห่อของขวัญ และบริการส่งของถึงโรงแรมที่พัก (เฉพาะสมาชิกเดอะวัน เอ็กซ์คลูซีฟ) อีกด้วย

]]>
1410919
“บุษบา จิราธิวัฒน์” แม่ทัพหญิงผู้ผลักดันภารกิจเพื่อสังคม “สตรี เด็ก ชุมชน” แห่งกลุ่มเซ็นทรัล https://positioningmag.com/1401023 Wed, 21 Sep 2022 09:34:25 +0000 https://positioningmag.com/?p=1401023 “บุษบา จิราธิวัฒน์” หนึ่งในผู้บริหารผู้ผลักดันโครงการเพื่อสังคมต่างๆ ของกลุ่มเซ็นทรัล ภายใต้ “เซ็นทรัล ทำ” โดยเน้นที่ 3 มิติใหญ่ ด้านสตรี เด็ก และชุมชน เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต และความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น

บุษบาเคยดำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหาระดับสูงฝ่ายจัดซื้อของห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล และเซน โดยที่ในปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายสื่อสารองค์กร กลุ่มเซ็นทรัล มีส่วนร่วมในการผลักดันโครงการเพื่อสังคมต่างๆ เพื่อให้การดำเนินธุรกิจควบคู่กับความยั่งยืน

แพชชั่นของบุษบาเน้นที่ 3 มิติใหญ่ๆ เป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิต และความเป็นอยู่ที่ดีให้กับสตรี เด็ก และชุมชน ภายใต้โครงการเพื่อสังคมหลักของกลุ่มเซ็นทรัล

เซ็นทรัล ทำ (CENTRAL THAM) เป็นโครงการเพื่อสังคมหลักของกลุ่มเซ็นทรัลที่ชวนทุกคนร่วมมือกัน ทำ ภายใต้แนวคิด Creating Shared Values (การสร้างคุณค่าร่วม) เพื่อสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างชุมชน และสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีแก่พนักงานและสังคมอย่างยั่งยืน

5 โครงการเด่นในมิติ 3 ด้าน ได้แก่ สตรี เด็ก ชุมชน ภายใต้ “เซ็นทรัล ทำ”

1. ดันสินค้าชุมชน

SME ไทยในปัจจุบัน มีแนวโน้มการเติบโตที่ดี มีสินค้าส่งออกเดือน มิ.ย. 65 เพิ่มขึ้น 37.7% โดยอันดับ 1 คือ ผลไม้ รองลงมา คือ อัญมณีและเครื่องประดับ SME มีจำนวนมากขึ้นและยังต้องการช่องทางการจำหน่ายสินค้าที่เพิ่มมากขึ้น ต้องการเวทีสำหรับการจัดแสดงและเผยแพร่สินค้าของไทยให้เป็นที่รู้จัก ซึ่งปัจจุบันยังมีไม่มากนัก

กลุ่มเซ็นทรัล สนับสนุนพื้นที่ในการจำหน่าย และจัดแสดงสินค้าไทย สนับสนุนผลิตภัณฑ์ ยกระดับแบรนด์ไทยออกสู่ตลาดโลก ตั้งแต่ ปี 2557 กลุ่มเซ็นทรัล ได้ถ่ายทอดองค์ความรู้ค้าปลีกสู่ชุมชน ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ จนเป็นสินค้าคุณภาพ และนำมาจำหน่ายในร้านค้าในเครือกลุ่มเซ็นทรัล ภายใต้โครงการสินค้าชุมชน

ได้ต่อยอดความช่วยเหลือด้วยการเปิด ท็อปส์ ท้องถิ่น ดำเนินงานโดยเซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่เปิดกว้างสำหรับผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดย่อม และวิสาหกิจขนาดเล็ก สมัครเพื่อนำเสนอสินค้าในหมวดอาหาร และเครื่องดื่มที่มีความโดดเด่น ผ่าน www.topstongtin.com โดยสินค้าที่ได้รับคัดเลือกจะได้วางจำหน่ายในร้านค้าเครือเซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล ในรูปแบบออมนิแชแนล โดยท็อปส์จะทำหน้าที่เสมือนพาร์ตเนอร์ให้คำปรึกษาในด้านต่างๆ เพื่อยกระดับสินค้าให้ไปไกลระดับประเทศ

รวมไปถึงเปิดตัวจริงใจ ฟาร์มเมอร์ มาร์เก็ต แหล่งรวมผัก ผลไม้ปลอดภัย ปลอดสารพิษ และของดีประจำจังหวัด จากเกษตรกรท้องถิ่น ปัจจุบันมี 32 สาขา ทั่วประเทศ ตั้งเป้าสร้างรายได้ให้เกษตรกรชุมชนไม่น้อยกว่า 300 ล้านบาท

2. โครงการ Women Cancer 

ข้อมูลจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ พบว่าในปี 2563 ผู้หญิงไทยป่วยด้วยมะเร็งเต้านมรายใหม่ 18,000 คนต่อปี มีผู้เสียชีวิตจากมะเร็งเต้านมราว 4,800 คน ตก 13 คนต่อวัน สถิติจากองค์กรอนามัยโลก พบว่าปัจจุบันผู้ป่วยมะเร็งเต้านมรายใหม่ทั่วโลกประมาณ 2.3 ล้านคน เสียชีวิตราว 685,000 คนต่อปี พฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เสี่ยงต่อการเกิดโรค ทั้งการกิน ความเครียด การพักผ่อน การออกกำลังกาย

โครงการนี้ได้ช่วยเหลือผู้หญิงที่ขาดโอกาสทางการรักษาหรือตรวจวินิจฉัย ตั้งแต่ปี 2548 โดยเฉพาะกลุ่มมะเร็งในสตรี ระดมทุนจัดซื้อเครื่องมือทางการแพทย์ให้กับหน่วยงานที่ต้องการ, ปรับปรุง-ก่อสร้างอาคาร และร่วมคืนความมั่นใจให้ผู้ป่วยที่รักษาด้วยเคมีบำบัด ด้วยการเชิญชวนบริจาคเส้นผมเพื่อผลิตวิกผม

ที่ผ่านมาได้ส่งมอบเครื่องมือ-อุปกรณ์ทางการแพทย์และปรับปรุงอาคาร มอบให้กับหน่วยงานต่างๆ ได้แก่ สถาบันมะเร็งเต้านมแห่งชาติ 5 ปี, มูลนิธิศูนย์มะเร็งเต้านม เฉลิมพระเกียรติฯ โครงการบ้านพิงพัก 4 ปี, มูลนิธิถันยรักษ์ฯ 2 ปี ระดมเงินช่วยเหลือไปแล้ว 36 ล้านบาท ตั้งเป้าปี 2565 ระดมทุนเพิ่มอีก 2 ล้าน รวมเป็นเงิน 38 ล้านบาท ต่อยอดแนวคิดสู่การเปิด Healthiful, Tops Green จำหน่ายผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ทั้งของกิน ของใช้

3. โครงการ CENTRAL GROUP Mini Marathon

งานวิ่งนี้เป็นความร่วมมือระหว่าง กลุ่มเซ็นทรัล กรุงเทพมหานคร, สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร และกองทัพบก เป็นธุรกิจค้าปลีกคนแรกที่ริเริ่มกิจกรรมวิ่งมินิมาราธอนการกุศล ตั้งแต่ปี 2550 อีกทั้งยังเป็นงานวิ่งใจกลางเมืองที่ใหญ่ที่สุด และเป็นรายการวิ่งที่นักวิ่งให้ความสนใจใช้เป็นสนามซ้อมเพื่อพัฒนาไปสู่ฮาล์ฟมาราธอน จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีที่หน้าลานเซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ

ที่ผ่านมาได้โปรแกรมวิ่งการกุศลที่จัดมาอย่างยาวนานถึง 14 ปี มียอดจำหน่ายบัตรวิ่งสะสมมากกว่า 1 แสนใบ รายได้หลังหักค่าใช้จ่าย สมทบทุนเพื่อการกุศลมากกว่า 10 ล้านบาท เตรียมขยายการจัดงานในจังหวัดต่างๆ ให้เป็นโปรแกรมวิ่งซิกเนเจอร์ที่นักวิ่งรอคอย

4. โครงการศูนย์พึ่งได้ รพ.ตำรวจ 

กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เผยว่าปี 64 มี ผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว 1,492 ราย ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง 81% ซึ่งมักไม่ดำเนินคดี สูงถึง 78% เป็นการทำร้ายร่างกาย มากที่สุดถึง 64.5% รองลงมาคือ จิตใจ 31.4% และเรื่องเพศ 3.6%

กลุ่มเซ็นทรัลได้ส่งมอบ “ศูนย์พึ่งได้ โรงพยาบาลตำรวจ” ศูนย์บริการแบบครบวงจรที่ให้คำปรึกษาและช่วยเหลือเด็กและสตรีที่ได้รับผลกระทบจากความรุนแรงทั้งจากครอบครัวและสังคม โดยมอบเงินสนับสนุน จำนวน 5.8 ล้านบาท

ที่ศูนย์นี้ให้บริการตั้งแต่ขั้นตอนการตรวจชันสูตร, งานชันสูตรผู้ป่วยคดี, การตรวจร่างกาย การเก็บหลักฐานและวัตถุพยาน, การบำบัดฟื้นฟูทางจิตใจ และสังคมจากพยาบาล, นักสังคมสงเคราะห์, นักจิตวิทยา, แพทย์นิติเวช และคุ้มครองสวัสดิภาพ เพื่อให้ผู้เสียหายได้รับความปลอดภัย เพื่อให้สามารถกลับมามีกำลังใจที่เข้มแข็ง และใช้ชีวิตได้

ในแต่ละปีมีผู้ร้องเรียนผ่านศูนย์พึ่งได้ฯ ในแต่ละปีกว่า 800 คน ผ่านช่องทางโทรศัพท์ 02-252-1175 และ Facebook : Because We Care

5. โครงการ Million Gifts Million Smiles 

จากเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนใต้ ตั้งแต่ปี 2547 จนถึงปัจจุบัน ส่งผลให้เกิดการสูญเสียสมาชิกในครอบครัว กระทบต่อ เศรษฐกิจ การศึกษา สังคม รวมถึงสภาพร่างกายและจิตใจ ในปี 2564 เยาวชนถูกหลุดออกจากระบบการศึกษาหลังเปิดเทอมใหม่แล้วกว่า 10%

กลุ่มเซ็นทรัล และกองทัพบก สานต่อโครงการ Million Gifts Million Smiles ปีที่ 13 โดยการส่งมอบความรักความห่วงใย ผ่านของขวัญจากคนไทยทั้งประเทศ เพื่อมอบให้เด็ก และเยาวชนเพื่อสร้างรอยยิ้มกลับคืนสู่จังหวัดชายแดนใต้ เป็นการส่งมอบกำลังใจและปลูกฝังวัฒนธรรมแห่งการให้สู่เยาวชน

ตลอด 12 ปีที่ผ่านมา มีของขวัญส่งถึงน้องๆ ในจังหวัดชายแดนใต้รวมกว่า 2.2 ล้านชิ้น มีเป้าหมายจำนวนทุนการศึกษาระดับมัธยมต้น ต่อเนื่อง 6 ปี ปีละ 240 ทุน (ตั้งแต่ปี 2564 – 2569)

]]>
1401023