การตลาด – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 02 Dec 2025 11:53:06 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 นักการตลาดชี้ ปี 2026 คือ ปีแห่งการคัด ‘ตัวจริง’ https://positioningmag.com/1549808 Tue, 02 Dec 2025 04:45:37 +0000 https://positioningmag.com/?p=1549808 เป็นประเด็นขึ้นมาอีกครั้งสำหรับ ‘สถานการณ์เศรษฐกิจ’ ของบ้านเราในปี 2026 ซึ่งนักการตลาดหลายคนมองว่า โหดกว่าปีนี้แน่นอน และจะปีแห่งการวัดการเป็น ‘ตัวจริง’

 

รวิศ หาญอุตสาหะ ซีอีโอ บริษัท ศรีจันทร์สหโอสถ จำกัด เจ้าของเพจและช่อง Mission To The Moon โพสต์บนเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า

 

จากที่ทำงานมา 25 ปีขอทำนายเลยว่าปี 2026 จะเป็นปีที่เศรษฐกิจโหดสุดๆ แน่นอน การค้าขายจะฝืดเคือง กำลังซื้อจะหายไปอีกเยอะ บรรยากาศจะแย่ลงกว่านี้อีกเยอะ งบต่างๆ จะถูกตัดเพียบ ทั้งบริษัทและผู้คนจะรัดเข็มขัดแบบสุดๆ

ตอนนี้กำลังซื้อกระทบมาถึงระดับบนแล้วแบบที่ไม่เคยเจอมาก่อน ตอนโควิดยังเบากว่านี้เยอะ

ปีหน้าจะเป็นปีที่วัดฝีมือผู้บริหารเลยว่าที่ผ่านมาเก่งจริงหรือว่าแค่ฟลุก

ปีหน้าจะเป็นปีที่วัดพลังของแบรนด์เลยว่าของจริงรึเปล่า

ปีหน้าจะเป็นปีทีวัดเลยว่าใครที่มี value ที่แท้จริง หรือใครทีผ่านมาเป็นแค่ free rider

ถ้ามีข่าวดีเข้ามาก็ดีครับ แต่ส่วนตัวคิดว่าปีหน้าข่าวร้ายมากกว่าข่าวดีแน่นอน

 

ความเห็นนี้สอดคล้องกับผลสำรวจ Marketing Trends: 2026 Way Forward ในงาน Thailand Marketing Day 2025: Prompt The Future ซึ่งรวบรวมข้อมูลจาก MAT CMO COUNCIL เครือข่าย Top Management ระดับประเทศ 126 คน พบว่า

 

เศรษฐกิจในปี 2026 ‘โตยากมาก’ นับตั้งแต่ทำการสำรวจมา โดยจะมีการเติบโตเพียง 0.9% จากเดิมคาดว่า จะโต 1.6-3%

 

จากผลสำรวจดังกล่าว 56% ของผู้บริหารมองตรงกันว่า ปีหน้าจะเป็นปีที่ทำการตลาดยากที่สุด และเป็นปีแห่งการ ‘คัดตัวจริง’ ซึ่งใครยังทำงานแบบเดิม และหวังพึ่งงบแบบเยอะๆ อาจจะอยู่ได้ยาก

 

สำหรับปัจจัยลบที่จะทำให้เป็นเช่นนั้น

1.Customer Changes พฤติกรรมของลูกค้ามีการเปลี่ยนแปลงที่ซับซ้อน ทำให้เข้าใจได้ยากขึ้น

2.Politics การเมืองในประเทศที่ยังไม่แน่นอน ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงหลักๆ

3.Digital Technology การเข้ามาดิสรัปต์ของเทคโนโลยีใหม่ๆ

 

ส่วนทางรอดในปี 2026 ทาง ‘ดร.สมชาติ วิศิษฐชัยชาญ’ อุปนายกฝ่ายองค์ความรู้ด้านการตลาด และ ‘ผศ. ดร. เอกก์ ภทรธนกุล’ อุปนายกฝ่ายกิจกรรมการสื่อสารและการตลาดยั่งยืน สมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย แนะนำนักการตลาดว่า

 

A – Analytical Thinking + AI : การคิดแบบวิเคราะห์ โดยอย่าให้ AI คิดแทน แต่ให้ใช้ AI ช่วยวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อให้อ่านเกมได้ขาดและแม่นยำ

B – Balance Budget for Profitability: สร้างสมดุลในการดำเนินกลยุทธ์และการลงทุนแบบรู้จังหวะการบุกและการถอย เพื่อให้ผลลัพธ์สุดท้ายที่ออกมา คือ ‘กำไร’

C – Creativity under Constraints: ยิ่งงบน้อย ยิ่งต้องสร้างสรรค์ และได้งานครีเอทีฟที่มีคุณภาพ ไม่ใช่ Drama Queen หรือคอนเทนต์ดราม่าเรียกเสียงวิจารณ์

D – Data with Purpose: เก็บและใช้ข้อมูลอย่างมีเป้าหมายเพื่อสร้างความยั่งยืน ไม่ใช่เน้นจำนวนแต่ไม่มีคุณภาพ

 

บทสรุปของการตลาดในปี 2026 คือ ต้องปรับตัว มีความยืดหยุ่น และพยายามสร้างสมดุลในการใช้ให้เกิดกำไร เพื่อจะเป็นผู้ชนะในปีที่เศรษฐกิจโตยากที่สุด

]]>
1549808
อวสาน ‘อินฟลูฯ’ อาจจะยังน้า! แต่แข่งขันสูงขึ้น ‘ทำเงินยาก’ ยิ่งคน ‘ตกงาน’ เยอะ หน้าใหม่ยิ่งเกร่อ https://positioningmag.com/1541380 Tue, 07 Oct 2025 08:50:42 +0000 https://positioningmag.com/?p=1541380 ในช่วงนี้ หน้าฟีดหลายคนน่าจะเจอแต่คำว่า อวสาน เต็มไปหมด และหนึ่งในนั้นก็คือ อินฟลูเอนเซอร์ แต่จากมุมมองของ สุวิตา จรัญวงศ์ ประธานกรรมการบริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท เทลสกอร์ จำกัด ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มการตลาดผ่านอินฟลูเอนเซอร์ ได้มาอัปเดตเกี่ยวกับสถานการณ์ตลาดอินฟลูฯ ในไทยว่า อวสาน จริง หรือยังไปได้

อินฟลูฯ ยังไม่อวสาน แต่ท้าทายขึ้น

ข้อมูลสถิติ “Influencer Economy Worldwide” จาก Statista.com ระบุว่า มูลค่าตลาดครีเอเตอร์และอินฟลูเอนเซอร์ทั่วโลกมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 20-30% ต่อปี โดยในปี 2567 อยู่ที่ 24,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และในปี 2568 ตลาดครีเอเตอร์และอินฟลูเอนเซอร์ทั่วโลกพุ่งแตะ 32,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ดังนั้น สุวิตา มองว่า อินฟลูฯ อาจจะไม่ถึงขั้น อวสาน แต่มัน ท้าทายขึ้น เพราะต้องยอมรับว่าตลาดในปัจจุบันมีการ แข่งขันสูง

ส่วนหนึ่งที่ทำให้ตลาดแข่งขันสูงก็คือ ครีเอเตอร์หน้าใหม่ ที่เกิดขึ้นตลอดเวลา ยิ่งในช่วงที่คน ตกงาน ก็จะเห็นคนที่หันมาทำอินฟลูฯ แบบฟูลไทม์มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Gen Z หรือกลุ่ม คนเกษียณ นอกจากนี้ การแข่งขันไม่ได้อยู่แค่ในประเทศ แต่เกิดการ cross-border มีอินฟูลฯ ต่างประเทศที่มาดังในไทยมากขึ้น ดังนั้น อินฟลูฯ ที่จะอยู่รอดได้ต้อง เก่งจริง ต่างจากในช่วงแรกที่ตลาดยังเล็ก ที่ใครเข้ามาก็มีโอกาสไปต่อได้

“ปีก่อนมีคนมาเป็นอินฟลูฯ ฟูลไทม์มากขึ้น ปีนี้ยิ่งเยอะ แต่มันไม่ใช่เรื่องดี เพราะความจริงแล้วเขาอาจจะ ตกงาน ยิ่งเข้ามาเยอะ ก็ยิ่งเกร่อ ตอนนี้แค่ทำเงินให้ได้เดือนละ 5,000 บาทยังยาก” สุวิตา กล่าว

อวสานจริงจะเป็นสายไลฟ์ขายของ

อินฟลูฯ สายทั่วไปอาจยังไม่ถึงกับอวสาน แต่ถ้าเป็นสาย ไลฟ์ขายของ ใกล้เคียงกว่า เพราะต้องยอมรับก่อนว่า อินฟลูฯ ที่ไลฟ์ขายของได้ดีจริง ๆ มีไม่ถึงหลัก 10 คนในไทย นอกจากนี้ ยังมี AI เข้ามาไลฟ์ ทำให้อินฟลูฯ สายนี้ต้องปรับตัว เพราะ AI สามารถไลฟ์ได้ 24 ชั่วโมง 

“คนหันมาไลฟ์ขายของมากขึ้น เพราะต้นทุนต่ำ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะไลฟ์ขายได้ เพราะการจะขายของได้ ผู้ติดตามจะต้องคุ้นชินคุณ และจะต้องมีสกิลปากที่ขายเก่งจริง ๆ ดังนั้น กว่าจะเกิดมันช้า”

สุวิตา เชื่อว่า มีโอกาสที่ AI จะมาแทนที่อินฟลูฯ สายไลฟ์ของของจริงจัง ดังนั้น อาจจะเริ่มจากการ โคลนตัวเองเป็น AI ให้ไลฟ์ขายของ และสร้างความเชื่อมโยงกับตัวจริง เพราะสิ่งที่ AI ไม่มีก็คือ ความน่าเชื่อถือ ที่ผู้บริโภคยังต้องการ ดังนั้น อินฟลูฯ สายรีวิวยังเติบโตได้

อินฟลูฯ เบอร์ใหญ่ ไม่ได้เป็นที่ต้องการเหมือนก่อน

ในส่วนของเทรนด์การใช้งานอินฟลูฯ ของแบรนด์ ตอนนี้เน้นที่ ไมโครฯ มากกว่า อินฟลูฯ เบอร์ใหญ่ เพราะต้องยอมรับว่า Media Landscape มีความ fragment มากขึ้น ขณะที่ความชอบของผู้บริโภคก็แยกย่อยขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ผู้บริโภคเลือกติดตามอินฟลูฯ แบบ อินดี้ มากขึ้น เลือกที่ชื่นชอบจริง ๆ ดังนั้น ยอดติดตามอินฟลูฯ บางคนอาจไม่ได้มาก แต่คอมมูนิตี้แข็งแรง

“ตอนนี้คนอยู่ในคอมมูนิตี้ของตัวเอง เพราะข้อมูลเยอะ เลือกไม่ไหว จะติดตามใครก็ต้องเลือก ทำให้ตอนนี้ sub-culture มีมาก ทำให้ยอดติดตามคนจะลดลงเรื่อย ๆ เพราะคนติดตามแบบอินดี้มากขึ้น ขนาดครีเอเตอร์สายภาษามือยังมี”

อย่างไรก็ตาม อินฟลูฯ สายที่ยังมีเม็ดเงินเข้ามา ได้แก่ สัตว์เลี้ยง, เล่าข่าว, การเงิน, กลุ่มครีเอเตอร์ LGBTQ+ และเฮลท์ตี้ ส่วนสายที่เริ่มตันคือ ท่องเที่ยว และบิวตี้ 

“อย่างตอนนี้ในยุค AI ข่าวปลอมเยอะ คนโหยหาคนจริง ๆ ที่มาย่อยข่าว หรือวิเคราะห์ข่าว แต่สายที่ตันคือ ท่องเที่ยว และบิวตี้ เพราะ 2 กลุ่มนี้มีครีเอเตอร์เยอะ เลยต้องการครีเอททิวิตี้ใหม่ ๆ”

ควรเริ่มออกสู่น่านน้ำแพลตฟอร์มใหม่ ๆ

แพลตฟอร์มน่าจับตาคือ Lemon8 ที่ถูกใจ Gen Z ด้วยรูปแบบคอนเทนต์ง่ายและเร็ว และ XiaoHongShu ซึ่งกำลังเติบโตในไทยและอาเซียน ดังนั้น ครีเอเตอร์ที่ใช้ ภาษาอังกฤษและจีน ได้จะมีโอกาสขึ้น

อย่างไรก็ตาม แพลตฟอร์มที่ยังแรงต่อเนื่องยังคงเป็น TikTok ส่วน YouTube ยังแข็งแรงที่สุดด้วย Long-form Content และการจับมือแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซรุกตลาด Social Commerce ด้าน Instagram ยังคงเหมาะกับคอนเทนต์ Trend Setter โดยเฉพาะฟอร์แมตคอนเทนต์ประเภท Story ที่สร้าง Engagement ได้สูง 

“แม้สถานการณ์โดยรวมจะบั่นทอนกำลังใจในการเป็นครีเอเตอร์ แต่ขอให้ อย่ายอมแพ้ ต้องอดทน ยืนระยะไปก่อน และต้องเปิดใจรับฟังช่องทางการขายใหม่ ๆ ในการหารายได้ ที่สำคัญ ต้องสร้างคอมมูนิตี้ เพราะความน่าเชื่อถือเป็นสิ่งสำคัญ ผู้คนยังต้องการ Human Touch” สุวิตา ทิ้งท้าย

]]>
1541380
สรุป 2 ประเด็นสำคัญ ทำอย่างไรให้คน ‘หยุดดู’ หนังโฆษณา ทั้งที่ ‘ไม่อยากดู’ https://positioningmag.com/1538826 Mon, 22 Sep 2025 06:13:25 +0000 https://positioningmag.com/?p=1538826 ปฏิเสธไม่ได้ว่าเทรนด์ วิดีโอสั้น (Short Video) ได้ทำให้พฤติกรรมคนเปลี่ยนแปลงไป คำถามสำคัญคือ วงการภาพยนตร์ และวงการโฆษณา ที่ต้องทำวิดีโอยาว ๆ จะต้องปรับตัวกับความท้าทายนี้อย่างไร โดย 2 ผู้กำกับอย่าง หมู – ชยนพ บุญประกอบ จาก GDH และ เอ๋ – ธีระพล    สุเนต์ตา จาก Suneta House ก็ได้ออกมาแบ่งปันมุมมองการปรับตัว ผ่านเวที DAAT DAY 2025

สั้น-ยาวไม่สำคัญ สำคัญต้องหยุดดู

เอ๋ – ธีระพล มองว่า จุดสำคัญจริง ๆ ของการทำหนังโฆษณาไม่ใช่ความ สั้นหรือยาว แต่โฆษณาคือสิ่งที่คน ไม่อยากดู ดังนั้น จะทำอย่างไรให้คน ดูสิ่งที่ไม่ได้ตั้งใจจะดู ในขณะเดียวกัน เราก็ต้องนำ เจตนาของลูกค้าไปทำให้คนอยากดู

“จะยุคไหนผู้กำกับหนังโฆษณาก็ต้องสู้มาตลอด แต่ไม่ใช่ความยาวของวิดีโอจะสั้นหรือยาว แต่เป็นการนำเจตนาของลูกค้าไปยัดในสิ่งที่คนอยากดู และอีกสิ่งที่ผมกำลังสู้อยู่คือ เจตนาของคนที่รังเกียจมัน (โฆษณา) ตั้งแต่แรก ไม่มีใครอยากดู ดังนั้น คุณต้องทำให้เขาเห็นปุ๊บ และดูต่อให้ได้”

ด้านของ หมู – ชยนพ มองว่า ความท้าทายของการทำหนังกับหนังโฆษณาคล้าย ๆ กันคือ ทำให้คน อยากดู ยิ่งการจะทำหนังให้คนในยุคนี้ ยอมเสียเงินเข้ามาดูในโรงภาพยนตร์ ถือว่า ยากขึ้นในทุกมิติ เพราะการไปดูหนังในโรงฯ มีออปชั่นเพิ่มขึ้นอีกหลายอย่าง เช่น ต้องเดินทาง ขณะเดียวกัน คนก็มีกิจกรรมทำเยอะมากขึ้น คอนเทนต์ก็มีให้เสพมากขึ้น ทั้งจากโซเชียลมีเดีย และวิดีโอสตรีมมิ่ง ดังนั้น หนังที่จะฉายต้องดึงดูดมากพอ

ใช้ประสบการณ์ร่วมตรึงคนดู

ประสบการณ์ร่วมกัน คือสิ่งที่ สำคัญมาก ในมุมมองของ เอ๋ – ธีระพล ที่จะทำให้คนหยุดดู เพราะประสบการณ์ร่วมจะทำให้คนดูรู้สึกว่า โฆษณานี้เป็นเพื่อน มีความเข้าใจเขา ซึ่งอาจจะเริ่มจากการนำประสบการณ์ชีวิตตัวเองมาปรับใช้ 

ถ้ามัน (โฆษณา) ไม่ได้ตอบสนองต่อความรู้สึกอะไรกับคนดูเลย เขาจะรำคาญมาก และจะรีบปิดมัน ดังนั้น ประสบการณ์ร่วมกันสำคัญมาก

เช่นเดียวกับ หมู – ชยนพ ที่มองว่า การทำหนังให้คนอยากดูก็ต้องหยิบเรื่องราวที่คนมีประสบการณ์ร่วม แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องใส่ ความใหม่มาก ๆ เข้าไปด้วย โดย หมู – ชยนพ ยกตัวอย่างภาพยนตร์ ฉลาดเกมโกง ที่หยิบเรื่องราวการโกงข้อสอบมาทำเป็นหนัง ซึ่งมีความใหม่ เพราะไม่เคยมีใครทำมาก่อน ขณะเดียวกันก็มีความเชื่อมโยงกับคนดู เพราะเรื่องการสอบ เป็นเรื่องที่ผู้คนเคยผ่านมา

ถึงจุดที่ต้องยอมรับว่า แบรนด์ก็คือมนุษย์

อีกจุดในการทำให้คนไม่ปิดโฆษณาไปก่อนก็คือ ใส่ความจริงใจ (Sincere) สื่อสารกับคนดูแบบตรง ๆ โดย เอ๋ – ธีระพล มองว่า มันถึงมันถึงจุดที่แบรนด์ควรจะยอมรับว่า แบรนด์ก็คือมนุษย์ คนดูก็คือมนุษย์ อย่าทำให้แบรนด์อยู่ในจุดที่ จับต้องไม่ได้

“ยอมรับไปเลยว่าแบรนด์ก็คือ มนุษย์ ไม่ใช่บอกว่าของเราดีอย่างนั้น ดีอย่างนี้ แต่สื่อสารไปตรง ๆ ว่า วันนี้แบรนด์เราอาจไม่ได้ดีอย่างที่คิดนะ แต่เราตั้งใจทำขนมนี้มาก ๆ อยากให้คุณได้ลองชิม ถ้าทำแบบนี้ ผมว่าคนดูก็เปิดใจให้แบรนด์”

หนังใหญ่จะโฆษณาต้องเนียน

หากทำหนังสั้น เช่น ละครคุณธรรม การทำโฆษณาจะ ไม่เนียน คนดูอาจไม่สนใจ แต่กลับกัน หนังใหญ่ฉายโรงฯ ความเนียน สำคัญมาก โดย หมู – ชยนพ แนะนำว่า การไทอินโฆษณาในหนังอาจต้องเริ่มจากสิ่งที่มันต้อง มีอยู่แล้ว ไม่ใช่ ยัดเยียดมาเพื่อให้มี ไม่เช่นนั้นมันจะไม่เป็นผลดีกับใครเลย

“สินค้าที่จะเอาเข้ามา ควรเริ่มจากในหนังนั้นมีอะไร เช่น ตัวละครต้องขับรถ ก็ค่อยหาสปอนเซอร์เป็นรถมาใส่ หรืออย่างเช่นน้ำดื่ม จะดื่มตรง ๆ ให้เห็นโลโก้มันไม่ได้ ต้องคิดใหม่ เพราะถ้าไม่เนียนมันจะดูเป็นลบกับแบรนด์” 

สรุปแล้ว ในยุคที่คนดูมีทางเลือกมากมายและความอดทนน้อยลง ความสั้น-ยาว ไม่ใช่ประเด็นหลัก แต่การสร้างเนื้อหาที่มี พลังหยุดคนดู ต่างหากที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ประสบการณ์ร่วมเชื่อมโยงอารมณ์ การสื่อสารด้วยความจริงใจแบบตรงไปตรงมา เพราะสุดท้ายแล้ว หัวใจของการสร้างคอนเทนต์ที่ดียังคงเป็นการเข้าใจและเชื่อมต่อกับมนุษย์ – เพราะทั้งผู้สร้างและผู้ชมต่างก็เป็นมนุษย์ที่มีความรู้สึกและประสบการณ์ชีวิตร่วมกัน

]]>
1538826
Guss Damn Good คราฟต์ไอศกรีมที่โตจากพลังส่งต่อ ‘ความรู้สึกดี’ ผ่าน ‘รสชาติ https://positioningmag.com/1537583 Wed, 10 Sep 2025 13:30:11 +0000 https://positioningmag.com/?p=1537583 Guss Damn Good เป็นแบรนด์คราฟต์ไอศกรีมสัญชาติไทยที่ผู้ก่อตั้งอย่าง ‘ระริน ธรรมวัฒนะ’ และ ‘นที จรัสสุริยงค์’ ตั้งใจพัฒนาขึ้นมาในคอนเซ็ปต์ Story to Flavor ที่ไม่ต้องการให้ไอศกรีมเป็น แค่ ‘ของหวาน’ แต่ส่งต่อเรื่องราวและความรู้สึกดี ๆ ผ่านรสชาติที่ผู้คนลิ้มลอง ซึ่งวันนี้แบรนด์ดังกล่าวเดินทางมาครบ 10 ปี และกำลังเดินหน้า ‘สื่อสาร’ กับผู้คนให้มากกว่าเดิม

 

ย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีก่อน ขณะที่ระรินและนทีได้ไปเรียนต่อ MBA ณ บอสตัน สหรัฐอเมริกา แล้วเกิดประทับใจร้านไอศกรีมที่นั่น เพราะนอกจากเนื้อไอศกรีมจะมีลักษณะเฉพาะตัว มีความเนียนนุ่ม เหนียว แต่ไม่หนักเกินไปแล้ว การกินไอศกรีมของคนบอสตันยังไม่ใช่แค่กินของหวาน แต่เป็นช่วงเวลาแชร์โมเมนต์และใช้เวลาร่วมกัน 

 

ทั้งคู่ จึงเกิดไอเดียอยากให้คนไทยได้สัมผัสรสชาติและบรรยากาศแบบนี้ ผ่านไอศกรีมสไตล์บอสตันที่ชูตัวไอศกรีมเป็นพระเอกแบบเน้น ๆ ไม่มีท็อปปิ้ง ซึ่ง ณ ตอนนั้นเป็นวัฒนธรรมการกินไอศกรีมที่แทบหาไม่ได้ในไทย

Story to Flavor รสชาติสู่เรื่องราว

 

ช่วงเริ่มต้นทั้งคู่คิดสูตรกันเองใน Excel โดยทุกรสชาติจะมีไอเดียจากเรื่องเล่ารอบๆ ตัว เปลี่ยนมาเป็นรสชาติ ภายใต้คอนเซ็ปต์ Story to Flavor ‘เรื่องราวสู่รสชาติ’ อาทิ Don’t Give Up#18 (รสนม), A Good Day (รสนมเย็น แมคคาเดเมีย), Summer Smile (รสวานิลลาเกลือคุกกี้), Why Can’t Coffee Be White? (รสกาแฟขาว) ฯลฯ

 

เพราะระรินและนทีต้องการให้รสชาติของไอศกรีมส่งต่อเรื่องราวและความรู้สึกดี ๆ ไปสู่ผู้คน เพื่อสร้าง ‘จุดยืน’ และ ‘ภาพจำ’ ของตัวเองให้ชัดเจน วางราคาขายไว้ที่ 85 บาท (ปัจจุบันขยับราคามาเป็น 95 บาท)

 

ส่วนที่มาของชื่อแบรนด์ Guss Damn Good

คำว่า Guss มาจาก ‘Gut’ ของ ‘Gut Feeling’ และ Cus ของ ‘Focus’

คำว่า Damn Good มาจากคำอุทานของเพื่อนรุ่นพี่หลังได้ชิมไอศกรีมที่ทั้งคู่คิดสูตรขึ้นมา

ขณะที่กลุ่มเป้าหมายหลักของ Guss Damn Good จะเป็นกลุ่ม First Jobber หรือคนเริ่มต้นชีวิตทำงาน และคนรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบคราฟต์ไอศกรีมที่มีรสาติแปลกใหม่ สร้างสรรค์ไม่ซ้ำใคร รวมไปถึงผู้ใส่ใจเรื่องคุณภาพมองหาไอศกรีมระดับพรีเมียม

 

แจ้งเกิดจากตัวตนที่ ‘ครีเอท’ และ ‘แตกต่าง’

 

ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา Guss Damn Good เติบโตมาจาก Word of Mouth ซึ่งเกิดจากการคิดนอกกรอบ บวกกับการวางจุดยืนของตัวเองชัดเจน และการสร้างสรรค์เพื่อความแตกต่าง ไม่ว่าจะเป็นตัวผลิตภัณฑ์ กระบวนการทำไอศกรีมและการคิดรสชาติ ไปจนถึงการสร้างแบรนด์ โดยไม่ใช้กลยุทธ์ ‘ราคา’ มาแข่งเหมือนรายอื่น

 

มาถึงปัจจุบันการเติบโตของ Guss Damn Good ยังคงเดินในแนวทางเดิม เพียงมีการปรับบ้างให้เหมาะกับยุคสมัย ผู้บริโภค และเป้าหมายทางธุรกิจ โดยระรินบอกว่า ทิศทางต่อจากนี้ของ Guss Damn Good ต้องการ ‘สื่อสาร’ กับผู้คนให้มากขึ้น

 

นั่นจึงเป็นเหตุผลว่า หลังจากทำการตลาดแบบเงียบ ๆ มานาน ทำไมช่วง 1-2 ปีก่อนหน้านี้ เราถึงได้เห็นการ Collaboration ระหว่างคราฟต์ไอศกรีมสัญชาติไทยแบรนด์นี้กับแบรนด์อื่น ๆ มากมายกว่า 100 แบรนด์

 

รวมถึงความร่วมมือกับ Copper Buffet ร้านบุฟเฟต์นานาชาติระดับคราฟต์ชื่อดัง ด้วยการนำ 7 รสชาติฮิตของ Guss Damn Good มาเสิร์ฟที่สาขาเกษรอัมรินทร์ ซึ่งเริ่มต้นจากการเป็นลูกค้าของ Copper Buffet และได้มีโอกาสพบกับ ‘เกษม สัตยารักษ์’ ผู้บุกเบิก Copper Buffet ที่โรงงานผลิตวัตถุดิบแห่งหนึ่งในฝรั่งเศส

ขยายเรื่องราวเพื่อสร้างความรู้สึกดีให้ผู้คนมากขึ้น

 

“เราบอกว่า ตัวเองเป็นแบรนด์ที่ต้องการให้รสชาติส่งต่อเรื่องราว แต่เราเองไม่คุยหรือสื่อสารกับใคร มันก็ไม่ใช่ ทำให้เรามีการขยับอย่างที่เห็น”

 

ปัจจุบัน Guss Damn Good มีอยู่กว่า 20 สาขา และมีแบรนด์ในเครือ ได้แก่ ‘Adam & Eve’ แบรนด์โยเกิร์ตซอฟต์เสิร์ฟกรีกไร้น้ำตาล ขายในราคา 89 บาท, ‘Balcony Cream Tea’ แบรนด์ไอศกรีมทำจากชาไต้หวัน เปิดที่เพลินจิต, ‘จรัส’ แบรนด์ไอติมทอดสไตล์ไทย ๆ เปิดในย่านบรรทัดทอง

 

ตามแผนที่วางไว้ในปี 2569 จะมีการขยายสาขาเพิ่มเติม รวมถึงจะเพิ่มช่องทางจัดจำหน่ายเข้าสู่ร้านสะดวกซื้อและโมเดิร์นเทรดต่าง ๆ ที่อาจจะเห็นในช่วงปลายปี 2568 หรือช่วงต้นปีหน้า ควบคู่ไปกับการโฟกัสธุรกิจ B2B (Business to Business) มากขึ้น และมีแผนไปเปิดตลาดในต่างประเทศ

 

นอกจากนี้ ด้วยการที่ Guss Damn Good วางตัวเองเป็นแบรนด์ที่สร้าง ‘ความรู้สึกดี’ ให้กับผู้คน ดังนั้น ในอนาคตเราอาจจะได้เห็นโปรดักต์อื่น ๆ ที่จะทยอยออกมา ไม่จำกัดอยู่แค่ไอศกรีมเหมือนที่ผ่านมา เช่น กาแฟ คุกกี้ กระทั่งอาหารสัตว์เลี้ยง ฯลฯ ซึ่งต้องติดตามกันต่อไปว่า จะเป็นอย่างไร

]]>
1537583
ถูกเห็นไม่ได้แปลว่าถูกเลือก! สรุปกุญแจสำคัญเปลี่ยน ‘Attention’ เป็น ‘Acttention’ https://positioningmag.com/1533976 Fri, 15 Aug 2025 10:34:51 +0000 https://positioningmag.com/?p=1533976 รู้หรือไม่ว่าค่าเฉลี่ยของคนทั่วโลกจะ เช็กมือถือเฉลี่ย 58 ครั้ง/วัน ใช้เวลาเฉลี่ย 10 วินาที/ครั้ง และทุกครั้งที่เช็กมือถือ เราต้องใช้เวลา 1.25 นาทีในการรีโฟกัส ยิ่งในการทำงาน คนเราจะใช้เวลาเปลี่ยนสิ่งโฟกัสจากสิ่งที่ทำอยู่ทุก 3 นาที และใช้เวลาเพื่อโฟกัสใหม่ 30 นาที ซึ่งสิ่งที่เสียไปนั้นไม่ใช่แค่เวลา แต่เป็นโอกาสที่เสียไปด้วย

ปัจจุบัน คนเราเห็นโฆษณามากขึ้นกว่าเดิมถึง 4 เท่า แต่ใช้เวลาในการโฟกัสสั้นลงเหลือไม่เกิน 8 วินาที เท่านั้น ขณะที่เส้นทางในการจับจ่ายใช้สอยกลับกระจัดกระจายมากขึ้น ทำให้จับเส้นทางเหล่านั้นทำได้ยากยิ่งขึ้น ดังนั้น ความท้าทายที่นักการตลาดเจอก็คือ รายได้ที่ลดลงถึง 12% หากแบรนด์ไม่สามารถดึงดูดความสนใจของผู้บริโภคได้ 

อย่างไรก็ตาม แค่ สนใจ (Attention) ไม่เพียงพอ แต่ต้องต่อยอดไปสู่ Acttention ด้วย ซึ่ง ดร.วีระพงศ์ โก MD of ON-DEMAND SERVICE, LINE MAN Wongnai และ ดร.นที ศรีสมถวิล Coca-Cola Brand Lead, Coca-Cola Thailand มาแชร์ถึงกุญแจสำคัญเปลี่ยนจาก Attention เป็น Acttention ได้แก่

  1. รู้จักผู้บริโภคอย่างแท้จริง เพื่อจะเข้าไปอยู่ในทุก ๆ กระบวนการตัดสินใจของลูกค้า
  2. ฉกฉวยความสนใจของผู้บริโภคอย่างทันท่วงที โดยเฉพาะผู้บริโภคที่มี High Intent 
  3. ใช้จิตวิทยาเข้ามาช่วย เช่น สินค้าจำนวนจำกัด, เวลาจำกัด ซึ่งสิ่งเหล่านี้ลูกค้าชอบ และจะช่วยให้เขาจะตัดสินใจเร็วขึ้น หรือทำ Social Inprove เพราะลูกค้ายุคนี้ต้องดูรีวิวก่อน 
  4. ปิดการขายให้เร็วที่สุด โดยต้องอำนวยความสะดวกให้ง่ายที่สุด เพราะนักการตลาดต่อไปจะไม่ได้เป็น Advertiser แต่เป็น Decision-making helper
  5. สร้างความเชื่อใจ (Trust) ให้ผู้บริโภค

3 สัญญาณสังเกตลูกค้า High Intent

แน่นอนว่าพฤติกรรมผู้บริโภคมันกระจัดกระจายมาก แต่ละคนมี Jouney ต่างกัน อย่างไรก็ตาม มี 3 สัญญาณ Digital body language ที่ดูง่าย ๆ ของผู้บริโภค ได้แก่

  1. ดูโปรดักส์บ่อย ๆ เช่น มีการเข้ามาดูสินค้าในช่วง 1-2 วัน
  2. Key word ในการเสิร์ช: ดูว่าผู้บริโภคเสิร์ชแบบเฉพาะเจาะจงที่แบรนด์ หรือตัวสินค้าหรือไม่
  3. Add to cart ลูกค้าที่มีการหยิบสินค้าลงตะกร้าแล้ว

เมื่อจับสัญญาณหาลูกค้า High Intent ได้แล้ว สิ่งต่อไปที่นักการตลาดต้องทำคือ Re-targeting แต่ต้องทำให้ไว (Nimble) เพราะเรารู้แล้วว่าเขาสนใจ อย่ารอ เพราะลูกค้าอาจไปเจอแบรนด์อื่น หรือสินค้าอื่น ๆ ได้ และต้องทำให้ซื้อง่าย (Simple) ที่สุด สุดท้าย ส่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสินค้าที่ลูกค้าหา (Relatable) เช่น ตารางเปรียบเทียบสินค้าเรากับคู่แข่ง เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายในการการ Re-targeting คือ บาลานซ์ เพราะถ้ามากเกินไปผู้บริโภคจะรำคาญ และอาจไม่เชื่อใจ ดังนั้น แบรนด์ต้องหาสูตรบาลานซ์ให้ดี สุดท้ายแล้ว สิ่งที่นักการตลาดต้องทำไม่ใช่การตะโกนให้ดังที่สุด แต่จะทำอย่างไรให้พวกเขาสนใจเราที่สุด เพราะข้อมูลทำให้ลูกค้าคิด แต่อารมณ์ทำให้ลูกค้าซื้อ

และในอนาคตอันใกล้นักการตลาดต้องทำ Full-Funnel ที่ต่อกันและ Track ได้ แต่ในอนาคตอันไกลมันจะกลายเป็น Fly-view คือข้อมูลที่มาจะสามารถนำมาใช้ในแคมเปญถัด ๆ ไปอย่างไร เพื่อใช้ข้อมูลให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

]]>
1533976
สรุปเทรนด์ Digital Ads Spending ที่ยังวนอยู่ในยุค ‘Quick Sale’ เน้นขายก่อน อย่างอื่นค่อยว่ากัน https://positioningmag.com/1533964 Fri, 15 Aug 2025 09:24:02 +0000 https://positioningmag.com/?p=1533964 สมาคมโฆษณาดิจิทัล (ประเทศไทย) หรือ The Digital Advertising Association of Thailand (DAAT) จัดงาน DAAT Day 2025 งานสัมมนาใหญ่แห่งปีที่รวบรวมผู้เชี่ยวชาญวงการดิจิทัลไว้ที่เดียว เพื่อเจาะลึกเทรนด์และเรื่องราวที่น่าสนใจ โดย Positioning สรุปได้ดังนี้

Digital Ads โตน้อยแต่โตนะ

มูลค่าเม็ดเงินโฆษณาดิจิทัลปีนี้ไม่ได้เติบโตถึง 10% อย่างที่เคยคาด แต่เติบโตเพียง 5% อยู่ที่ 33,105 ล้านบาท โดยเป็นผลจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ส่งผลให้ในส่วนของ การตลาด เป็นส่วนที่แบรนด์ส่วนใหญ่จะปรับลดการลงทุนก่อน ทำให้การเติบโตของเม็ดเงินโฆษณาดิจิทัลปีนี้ลดลง

สำหรับ 5 ธุรกิจทุ่มงบสูงสุด ได้แก่

  • กลุ่มผลิตภัณฑ์สกินแคร์ (5,249 ล้านบาท) หรือคิดเป็น 16% ของส่วนแบ่งตลาด และเติบโตถึง 21% ครองแชมป์ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 เนื่องจากมีโลคอลแบรนด์เกิดใหม่มากขึ้น
  • กลุ่มเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ (3,062 ล้านบาท) หรือ 9% ของส่วนแบ่งตลาด และ เติบโต 17% ใช้ Fandom Marketing จัดทั้งออนไลน์และออฟไลน์ เช่น อีเวนต์ต่าง ๆ เน้นจับ Gen Z
  • กลุ่มยานยนต์ ที่ 2,515 ล้านบาท ลดลงจากพิษเศรษฐกิจ ทำให้ผู้บริโภคชะลอซื้อของชิ้นใหญ่
  • กลุ่มโทรคมนาคม ที่ 2,381 ล้านบาท เน้นที่การโปรโมตสตรีมมิ่งเพื่อดึงลูกค้าเข้าค่าย แม้จะมีผู้เล่นน้อย      แต่ท้าทายเพราะต้องสร้างดีมานด์ให้ลูกค้า
  • กลุ่มผลิตภัณฑ์จากนม ที่ 2,227 ล้านบาท และเติบโต 25%

TikTok ขึ้นเบอร์ 2 

สำหรับ 4 ช่องทางที่นักการตลาดเลือกใช้ลงทุนบนสื่อดิจิทัลสูงสุด ได้แก่ 

  • Meta (Facebook และ Instagram): 8,451 ล้านบาท -3%
  • TikTok: 6,776 ล้านบาท +63%
  • YouTube: 4,397 ล้านบาท +1%
  • Creative: 2,573 ล้านบาท +13%

โดย TikTok ยังคงมาแรงต่อเนื่อง จนขึ้นเป็นแพลตฟอร์มเบอร์ 2 ที่นักการตลาดเลือกลงเงินมากที่สุด และแนวโน้มยังคงเติบโตต่อเนื่อง

เครื่องมือ Quick Sale ยังคงมาแรง

เครื่องมือที่ยังคงมาแรงต่อเนื่องจากนี้คือ เครื่องมือที่สามารถทำ Quick Sale หรือ สร้างยอดขายได้ทันที ได้แก่

  • TikTok
  • Creative
  • E-Commerce Platform
  • Affiriate Marketing
  • Meta

โดยทั้ง 5 ช่องทางเติบโตตั้งแต่หลังการระบาดของ COVID-19 เพราะทุกแพลตฟอร์มต่างก็มีความสามารถในการ ขายได้เลย และเห็นยอดขายแบบ เรียลไทม์ สามารถขายของครบจบในที่เดียว ส่งผลให้แพลตฟอร์มเหล่านี้เติบโตอย่างมากในระยะนี้ 

อย่าเน้น Short-term จนเกินไป

เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทำให้แบรนด์ต้องเน้น Quick Sale อย่างไรก็ตาม ไม่ควรละเลย Long-term โดยเฉพาะ Consumer Experience เพื่อให้แบรนด์เข้าไปไปอยู่ในใจผู้บริโภค ให้เขาจำได้ รักได้ และมาเป็นลูกค้าในอนาคต 

ดังนั้น อย่ามองแค่หายอดขาย ต้องเน้นเรื่องการทำ awareness และ consideration ด้วย และหนึ่งในสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ชนะใจผู้บริโภคคือ Content โดยควรทำคอนเทนต์ที่เหมาะสมกับแต่ละแพลตฟอร์ม (เช่น TikTok เน้นวิดีโอสั้น, IG เน้นรูปสวย) และใช้ Content ดึง Customer Insight 

สุดท้าย นำ AI เข้ามาช่วย โดยหา Use case เพื่อให้เห็นว่านำ AI มาใช้อะไรได้บ้าง และต้อง Re-Skill เพื่อให้อยู่รอดในยุค AI ก่อนจะถูกแทนที่

]]>
1533964
อยู่รอดอย่างไรในยุค ‘แม่ค้าล้นตลาด’ เพราะใคร ๆ ก็ ‘ได้ขาย’ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ ‘ขายได้’ https://positioningmag.com/1531748 Thu, 31 Jul 2025 04:44:31 +0000 https://positioningmag.com/?p=1531748 ต้องยอมรับว่าในยุคนี้ ใคร ๆ ก็เป็น แม่ค้า-พ่อค้าออนไลน์ ได้ ใช้เวลาไม่ถึง 10 นาทีก็ขายของได้ง่าย ๆ แค่สมัคร Affiliate marketing เท่านี้ก็ ปักตะกร้า ขายของได้แล้ว ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่จะมีพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์เกิดใหม่เต็มไปหมด คำถามคือ คนขายมีเป็นล้าน แต่กำลังซื้อมีจำกัด แบรนด์จะอยู่รอดอย่างไร

9 ล้าน จำนวนผู้ขายมืออาชีพ-สมัครเล่น

มีการคาดการณ์ว่า การซื้อขายผ่านอีคอมเมิร์ซ และโซเชียลคอมเมิร์ซในปัจจุบันมีมูลค่ากว่า 1.1 ล้านล้านบาท และในวันที่ใคร ๆ ก็เป็นพ่อค้าแม่ค้าได้ง่าย ๆ ทำให้ทุกวันนี้มี ผู้ขายเกิดใหม่ ในทุกช่องทาง ทั้งแบรนด์เล็ก แบรนด์ใหญ่ พ่อค้าแม่ค้า ไปจนถึง Influencers, Creators ก็ขายของบนโซเชียลได้หมด 

โดยมีการคาดการณ์ว่า หากนับเฉพาะผู้ขาย มืออาชีพ จะมีจำนวนรวมกว่า 3 ล้านราย แต่ถ้ารวมผู้ขาย มือสมัครเล่น ที่มาปักตะกร้าขำ ๆ คาดว่าจะมีจำนวนแตะ 9 ล้านราย เลยทีเดียว กลับกัน จำนวนผู้ขายที่มากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ กำลังซื้อกลับซบเซาลงต่อเนื่อง แปลว่ายุคที่ ใคร ๆ ก็ได้ขาย แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ขายได้

Young Asia girl selling clothes online by live streaming. selling it online live streaming Concept

ทุกแบรนด์มีภาษีเท่ากัน เพราะตลาดถูกขับเคลื่อนโดยอินฟลูฯ

คำถามคือ แบรนด์ จะอยู่รอดได้อย่างไร เมื่อผู้ซื้อมีทางเลือกมากเกินไป เพราะความท้าทายของแบรนด์ยุคนี้คือ แบรนด์ไม่ได้แข่งกันเอง แต่ต้องแข่งกับทั้ง Creator, Micro-seller และ Affiliate การแข่งขันสูงขึ้น แต่ความภักดีของลูกค้ากลับลดลง นอกจากนี้ ต้นทุนการเข้าถึงสูงขึ้น เพราะ Reach แพงขึ้น Attention สร้างยากขึ้น Conversion ต่ำลง โดยแบรนด์ใหม่ = คนก็ยังไม่รู้จัก ส่วนแบรนด์เก่า = คนคาดหวังสูง และพร้อมจะเปลี่ยนใจ

“ตอนนี้ทุกแบรนด์มีภาษีเท่ากัน เพราะการขายถูกขับเคลื่อนโดย Influencers และ affiliate marketing ลูกค้าไม่มีความภักดีกับแบรนด์ พร้อมเปลี่ยนตามการรีวิวของอินฟลูฯ” ภวัต เรืองเดชวรชัย ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มีเดียอินเทลลิเจนซ์กรุ๊ป จำกัด กล่าว

ภวัต เรืองเดชวรชัย ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มีเดียอินเทลลิเจนซ์กรุ๊ป จำกัด

ไม่ใช่แค่ ขายให้ได้ แต่คือ ขายให้โดนใจ

ดังนั้น สิ่งที่แบรนด์ต้องตอบให้ได้ไม่ใช่แค่ ขายให้ได้ แต่คือ ขายให้โดนใจ เพราะลูกค้าในยุคนี้ ไม่ได้ซื้อของ    แต่ซื้อเหตุผล เพราะแม้จะมีทางเลือกมากมาย ผู้บริโภคกลับเลือกซื้อจาก แบรนด์ที่ตนเชื่อใจ มากกว่าแบรนด์ที่ดัง ตัดสินใจจาก ความรู้สึก ไม่ใช่แค่โปรโมชั่น เชื่อ Creator และ Community มากกว่าการโฆษณา สนใจแบรนด์ที่มีคุณค่าและจุดยืน

ดังนั้น การอยู่รอดไม่ใช่แค่ ขายเก่ง แต่ต้อง เข้าใจเก่ง คือ วาง Positioning ให้ชัด ขายให้เฉพาะคนที่ใช่ เลือกกลุ่มเป้าหมายที่อินกับแบรนด์ ขายของที่มีความหมายไม่ใช่แค่ขายได้ Connection ก่อน Conversion โดยคอนเทนต์ที่จริงใจ = เครื่องมือสำคัญ มีบทสนทนา ไม่ใช่แค่ยิงโฆษณา ฟังลูกค้าให้มากเท่าที่พูดกับเขา

โดยควรเริ่มจาก กลุ่มเล็ก ๆ เช่น เจาะ Subculture, Niche หรือ Community สร้าง แฟนคลับ ไม่ใช่แค่ลูกค้า เปลี่ยนลูกค้าเป็น Brand Advocate เพื่อ ขายเหตุผล ไม่ใช่แค่สินค้า มีจุดยืนที่เชื่อมโยงกับสิ่งที่ลูกค้าเชื่อ สร้าง Meaning มากกว่าแค่ Function เพราะยุคนี้ แบรนด์ที่อยู่รอดได้ ไม่ใช่เพราะเสียงดังที่สุด แต่เพราะ เข้าใจลึกที่สุด

“ทำไมลูกค้า เลือกซื้อของกับอินฟลูฯ แต่ไม่ซื้อกับแบรนด์โดยตรง เพราะเขาซื้อด้วยอารมณ์มากขึ้น ดังนั้น ที่อินฟลูฯ ขายได้ไม่ใช่เพราะขายเก่ง แต่เขาเข้าใจผู้บริโภคเก่ง เข้าใจว่าแฟน ๆ ชอบอะไร ซื้อเพราะอะไร ดังนั้น ไม่ใช่ต้องตะโกนให้ดังที่สุด แต่เข้าใจลึกสุด และต้องเชื่อมโยงคุณค่าของผู้ซื้อกับสินค้าได้ดีที่สุด

]]>
1531748
ASICS เปิดตัว Felix สุนัขสายพันธุ์ซามอยด์ Brand Ambassador คน(ตัว)ใหม่ของแบรนด์ https://positioningmag.com/1522731 Wed, 21 May 2025 10:43:12 +0000 https://positioningmag.com/?p=1522731 น่าสนใจเป็นอย่างมากเมื่อแบรนด์กีฬาดังอย่าง ASICS เพิ่งประกาศแต่งตั้ง Brand Ambassador ใหม่ที่ไม่ใช่ทั้ง ‘นักกีฬาดัง’ หรือแม้กระทั่งเป็น ‘คน’ แต่เป็นสุนัขสายพันธุ์ซามอยด์ชื่อ ‘เฟลิกซ์’ (Felix) ให้ขึ้นมารับตำแหน่งดังกล่าวกับแคมเปญ Mind’s Best Friend

 

สำหรับการตัดสินใจนี้ เกิดขึ้นหลังจาก ASICS ได้มีการศึกษาวิจัยทั่วโลกเกี่ยวกับบทบาทของสุนัขในการส่งเสริมการออกกำลังกายและปรับปรุงสุขภาพจิต โดยสำรวจผู้คน 28,000 คน ใน 14 ประเทศ รวมถึงญี่ปุ่น จีน และออสเตรเลีย พบว่า

 

65% ของเจ้าของสุนัขระบุว่า สัตว์เลี้ยงเป็นแรงจูงใจหลักในการทำกิจกรรมมากกว่าสมาชิกในครอบครัว คนดัง หรือเทรนเนอร์ส่วนตัว

79% รู้สึกเครียดน้อยลง

83% รู้สึกมีความสุขมากขึ้นหลังจากออกกำลังกายกับสุนัขของตน

18% บอกว่า การเคลื่อนไหวร่วมกับสุนัขช่วยพัฒนาสุขภาพจิตของพวกเขา

 

สำหรับเฟลิกซ์ เป็นสุนัขพันธุ์ซามอยด์ อายุ 7 ขวบ ด้วยความน่ารักบวกกับภาพวิ่งเล่นตามธรรมชาติ และร่วมออกเดินทางไปสถานที่ต่าง ๆ กับเจ้าของ ก็ชวนให้ยิ้มตาม โดยเฟลิกซ์มี IG บัญชีที่ชื่อว่า @wanderlust_samoyed ปัจจุบันมียอดผู้ติดตามใน IG มากกว่า 1.2 ล้านบัญชี

 

ส่วนการทำหน้าที่ Brand Ambassador คน(ตัว)ใหม่ให้กับ ASICS เฟลิกซ์ จะทำหน้าที่เป็น ‘โฆษก’ เพื่อส่งเสริมประโยชน์ของการเคลื่อนไหวประจำวัน เช่น การเดิน การวิ่ง และการกระโดดเล่น ฯลฯ ผ่านแคมเปญ Mind’s Best Friend ซึ่งมีการเปิดเว็บไซต์เชิญชวนบรรดานักวิ่งเสนอชื่อน้องหมาของตัวเอง เพื่อร่วมทำคอนเทนต์กับแบรนด์และทำหน้าที่เป็น Brand Ambassador ในอนาคต

 

อ้างอิง

 

https://news-emea.asics.com/latest-News/four-legs–one-mission–asics-signs-a-dog-to-inspire-the-world-to-move-for-body-and-mind/s/9a18f9b9-1c22-4399-be35-56908afb9699

Mind’s Best Friend — ASICS Names Felix the Dog as Brand Ambassador

]]>
1522731
จากสูตรแปรรูปมะขามแก้ว 4 บรรทัด สู่ ‘สารัช’ อาณาจักรมะขามร้อยล้าน https://positioningmag.com/1520330 Mon, 05 May 2025 06:04:21 +0000 https://positioningmag.com/?p=1520330 จากร้านขายมะขามเล็ก ๆ ของครูสอนเลขในจังหวัดเพชรบูรณ์ ตอนนี้ ‘สารัช’ ได้เติบโตขึ้นมากลายเป็นอาณาจักรที่มีรายได้หลักร้อยล้านบาท และมีการส่งออกไปในหลายประเทศ แต่รู้หรือไม่ว่า จุดเริ่มต้นที่ทำให้สารัชเติบโตอย่างที่เห็นทุกวันนี้มาจากอะไร ?

 

เส้นทางของสารัชได้ถือกำเนิดขึ้นจากการที่ ผู้ก่อตั้งอย่าง ‘ครูหมู-สุภาลักษณ์ กมลธรไท’ ได้สั่งสมประสบการณ์จากการทำธุรกิจมะขามของครอบครัวมาตั้งแต่ปี 2517 และเห็นโอกาสทางธุรกิจของต่อยอดแปรรูปมะขามสู่สินค้ารูปแบบอื่น ๆ

 

จึงตัดสินใจกู้เงินจากธนาคาร 200,000 บาท มาสร้างโรงงานหนึ่งหลัง และกู้ยืมเงินจากแม่มาเป็นทุนซื้อมะขามเพื่อแปรรูป รวมถึงนำชื่อลูกชายคนเดียว คือ ‘สารัช’ มาเป็นชื่อแบรนด์และตั้งบริษัท สารัช มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ขึ้นมาในปี 2525 โดยสินค้าตัวแรก ได้แก่ ‘มะขามแก้ว’ ซึ่งสุภาลักษณ์ได้สูตรมาจากการเขียนจดหมายไปขอกับหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง และกว่าจะมาใช้เวลาเป็นเดือน ๆ

 

“ครอบครัวทำอาชีพขายมะขามมานาน เลยเห็นช่องทางในการเพิ่มมูลค่าสินค้าจากการนำไปแปรรูป เลยเขียนไปขอสูตรจากหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งว่า ถ้าอยากแปรรูปมะขามทำอะไรได้บ้าง แล้วได้สูตรมะขามแก้วมา 4 บรรทัด จึงต่อยอดลองผิดลองถูกเอง ปรากฏว่า มะขามแก้วขายดี ทำให้ออกสินค้าตัวอื่น ๆ ตามมา เช่น มะขามคลุก, มะขามกวน, มะขามแช่อิ่ม และมะขามจี๊ดจ๊าด ฯลฯ ”

 

ปัจจุบันสารัชมีการผลิตสินค้ามากกว่า 30 รสชาติ ไม่น้อยกว่า 100 SKU โดย hero product ขายดีและสร้างรายได้ให้ 70-80%  ก็คือ ‘มะขามจี๊ดจ๊าด’ สินค้าที่ออกมาวางขายในปี 2551 ซึ่งครูหมูบอกว่า เธอเป็นต้นตำรับและเป็นคนคิดค้นสูตรขึ้นมาเอง

 

“จี๊ดจ๊าด มีคนบอกว่า เอามะขามเปรี้ยวมากินกับเกลือ อร่อยดี แนะนำให้เราทำ ก็เลยลองใช้มะขามเปรี้ยวมาคลุกกับเกลือ แต่ไม่อร่อย จึงคิดสูตรขึ้นมาเองเติมพริก เติมน้ำตาล เติมเกลือ เอาไปให้ 7-Eleven ชิม ปรากฏว่า ชอบ แต่กว่าจะผ่านได้ต้องเข้าไป 3 รอบกว่าจะนำไปขายได้”

 

สำหรับความได้เปรียบของสารัช และจุดที่ทำให้แบรนด์อยู่ได้มายาวนาน ประเด็นแรกเนื่องจากสารัชแทบจะเป็นแบรนด์เดียวที่มีการตั้งโรงงานอยู่ในจังหวัดเพชรบูรณ์ แหล่งปลูกมะขามหวานที่มีพื้นที่เพาะปลูกเหมาะสมต่อการเจริญเติบโต ทำให้ได้ผลผลิตคุณภาพและรสชาติดี

 

ถัดมา มาจากประสบการณ์ที่ครูหมูสั่งสมมายาวนาน ส่งผลให้รู้และเข้าใจถึงรสชาติตามธรรมชาติของมะขามที่มีทั้งหวาน และเปรี้ยว โดยเมื่อนำมาแปรรูปก็จะคงความเป็นเอกลักษณ์นี้ไว้ ภายใต้หลักการเน้นธรรมชาติ สะอาด ปลอดภัย และการพัฒนาไม่หยุด

 

รวมถึงมีการขยายช่องทางจัดจำหน่ายครอบคลุม โดยปี 2547 ได้นำสินค้าวางจำหน่ายในร้านสะดวกซื้ออย่าง 7-Eleven และปี 2548 มีการกระจายสินค้าไปจำหน่ายทั่วประเทศทั้งโมเดิร์นเทรด ไฮเปอร์มาร์เก็ต ช่องทางออฟไลน์และออนไลน์ ทำให้สารัชเติบโตต่อเนื่อง โดยสามารถผลิตสินค้าได้มากกว่า 7 ล้านชิ้นต่อปี มีกำลังการผลิตอยู่ที่ 600,00-800,000 ชิ้นต่อเดือน

ขณะที่ในมุมของผลประกอบการของสารัช มาร์เก็ตติ้ง จากข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ พบว่า

 

ปี 2564 มีรายได้ 86 ล้านบาท และกำไร 1.03 ล้านบาท

ปี 2565 มีรายได้ 101 ล้านบาท และกำไร 1.3 ล้านบาท

ปี 2566 มีรายได้ 122 ล้านบาท และกำไร 1.7 ล้านบาท

 

รายได้ดังกล่าว มาจากตลาดในประเทศ 80% ส่วนอีก 20% เป็นการส่งออกไปในต่างประเทศ อาทิ ออสเตรเลีย, เวียดนาม, สิงคโปร์, ประเทศในกลุ่ม EU รวมถึงสหรัฐอเมริกาที่ไปในรูปแบบของสินค้า OEM

 

รุกผู้บริโภคในทุกเจนเนอเรชั่น

 

สำหรับเส้นทางการเติบโตต่อจากนี้ ‘สารัช กมลธรไท’ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สารัช มาร์เก็ตติ้ง จำกัด เล่าว่า ด้วยความที่แบรนด์อยู่มานานเกือบ 50 ปี บวกกับมะขามจี๊ดจ๊าด สินค้าเรือธงของบริษัทฯ มีความสับสนกับอีกแบรนด์ที่นำไปตั้งเป็นชื่อแบรนด์

 

ในปีนี้จึงทำการรีเฟรซแบรนด์ครั้งใหญ่ในรอบ 20 ปี ภายใต้แคมเปญ ‘มะขามสารัช ตัวจริงยืนหนึ่ง 50 ปี’ ปรับเปลี่ยนโลโก้ให้มีสีสันสดใส ควบคู่จัดกิจกรรมการตลาด ‘เขย่า จิ้ม จี๊ด สารัชมะขามจี๊ดจ๊าด…ดดด’ ชูความเป็นแบรนด์สารัช และมะขามสารัชจี๊ดจ๊าดให้ชัดเจน จดจำง่าย และร่วมสมัยมากขึ้น

นอกจากนี้ เพื่อให้สามารถเจาะผู้บริโภคได้ทุกเจนเนอเรชั่น ได้เตรียมการออกผลิตภัณฑ์ใหม่กว่า 10 รายการ เป็นการแปรรูปมะขามรูปแบบใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน ขณะเดียวกัน จะมีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ที่นอกเหนือจากมะขาม เช่น มะยม มะม่วง สับปะรด น้ำพริกมะขามแบรนด์ย่าหมู ซอสมะขาม ฯลฯ

 

รวมถึงมีการแตกแบรนด์เพิ่มเติม โดยตอนนี้นอกจากสารัช แบรนด์ที่จับตลาดแมสแล้ว สารัช มาร์เก็ตติ้งยังมีแบรนด์อีก 3 แบรนด์ ได้แก่ Sarach Gold แบรนด์มะขามพรีเมียม, Alisa จับกลุ่มคนรุ่นใหม่ แบรนด์เน้นความสดใส และความครีเอททีฟในการสร้างสรรค์, Ashira San เป็นแบรนด์ลูกของสารัชที่เติมความสนุก เพิ่มอรรถรสในการกิน

 

ขณะที่การตลาด จะบุกทั้งช่องทางออฟไลน์ ออนไลน์ มีการจัดทำมาสคอตและสติ๊กเกอร์ไลน์ เพื่อเป็นตัวสื่อสารและเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากขึ้น

 

อย่างไรก็ตาม สารัชบอกว่า เป้าหมายสูงสุดของเขาไม่ใช่เรื่อง ‘ยอดขาย’ หรือ ‘การเติบโต’ เพียงอย่างเดียว แต่เป็นการสร้างชื่อเสียงของมะขามที่เป็นแบรนด์ของคนเพชรบูรณ์บนเวทีระดับสากล ตลอดจนผลักดันให้เกิดการพัฒนาตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ ควบคู่ไปกับการสร้างงาน สร้างรายได้ให้กับผู้คนภายในเครือข่ายไม่ต่ำกว่าหมื่นราย

 

ขณะเดียวกันมีไอเดียขยายธุรกิจออกไปให้นอกเหนือจากธุรกิจหลักที่มีอยู่ ไม่ว่าจะเป็น การทำธุรกิจที่พัก เพื่อขยายสู่ธุรกิจท่องเที่ยว, การแตกไลน์สินค้าเพื่อสุขภาพ เช่น สกินแคร์หรือสมุนไพรจากธรรมชาติ เป็นต้น

]]>
1520330
4 แนวคิดจาก KFC, Unilever และ Salmon Podcast สำหรับจับใจ ‘Gen Z’ ให้อยู่หมัด https://positioningmag.com/1497955 Thu, 07 Nov 2024 09:28:08 +0000 https://positioningmag.com/?p=1497955 Gen Z ถือเป็นคลื่นลูกใหม่ที่ทรงอิทธิพลสูงในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมทุกมิติ โดยเฉพาะโลกแห่งการจับจ่ายใช้สอย แต่เพราะการที่เติบโตมากับเทคโนโลยี ทำให้มีความสนใจที่กว้าง คาดเดาไม่ได้ และเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทำให้การจับใจ Gen Z เป็นอีกความท้าทายของแบรนด์ โดย Positioning จะสรุปบทเรียนจาก 3 แบรนด์ดัง ได้แก่ KFC, Unilever และ Salmon Podcast ในงาน DAAT ว่าทำอย่างไรถึงจะได้ใจ Gen Z

ตัวตนแบรนด์ที่ชัดเจน

หนึ่งในจุดร่วมที่ทั้ง 3 แบรนด์เห็นตรงกันก็คือ ตัวตนของแบรนด์ที่ชัดเจน เพราะไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ KFC, Unilever และ Salmon Podcast ต่างก็เป็นแบรนด์ที่แมส แต่จุดที่ทำให้ Gen Z เข้าหาแบรนด์ก็คือ ตัวตนของแบรนด์ ยกตัวอย่างเช่น KFC ที่เน้นการทำให้ ผู้พันแซนเดอร์ส ที่ถือเป็นทั้งภาพจำของแบรนด์ให้โดดเด่นที่สุดในแพลตฟอร์มหรือแคมเปญต่าง ๆ หรือแม้แต่การเลือก พรีเซ็นเตอร์ ก็ต้องมีความเป็นออริจินอล มีตัวตนที่ชัด และมีไอเดียที่เชื่อมโยงกับแบรนด์ และต้อง Integrate ไปกับแบรนด์ ไม่ใช่แค่ทานไก่ทอด

“หน้าที่ของเรา (KFC) คือทำอย่างไรให้ผู้พันฯ โดดเด่นที่สุด รวมถึงสินค้า หรือเซอร์วิสก็ต้องมีตัวตนที่ชัดเจน”   ภัทรา ภัทรสุวรรณ Associate Marketing Director, KFC Thailand เล่า

จริงใจ เข้าถึงง่าย เข้าใจง่าย

ด้าน โสภณ แกะทอง Media Lead, Beauty and Wellbeing Unilever Thailand ให้ความเห็นว่า ในยุคนี้มีคอนเทนต์จำนวนมาก การทำโฆษณาหรือแคมเปญต้องไม่ได้มองแค่ คู่แข่ง แต่แบรนด์กำลังแข่งกับ ทุกสื่อในทุกอุตสาหกรรม เพราะโจทย์คือ ดึงความสนใจผู้บริโภค อะไรก็ตามที่ดึงความสนใจ คือคู่แข่งทั้งหมด แต่สำหรับ Gen Z เขาต้องการ ความจริงใจ เข้าถึงง่าย เข้าใจง่าย

แต่เพราะ Gen Z เป็นเจนที่มีเอกลักษณ์ เติบโตมากับคอนเทนต์ที่หลากหลาย โตมากับโซเชียลมีเดีย ดังนั้น ความสนใจกว้าง ความท้าทายจึงเป็นการเข้าไปอยู่ในความสนใจของ Gen Z ที่คาดเดาไม่ได้ได้อย่างไร ดังนั้น Insight จึงสำคัญ ต้องนำคอนซูมเมอร์หรือ Gen Z เป็นศูนย์กลาง พยายามปรับไมด์เซ็ทคนทำงานให้เข้าใจ Gen Z มากขึ้น

“ไม่มีใครมาเปิดทีวีหรือโซเชียลเพื่อรอดูโฆษณาตัวใหม่ของแบรนด์เรา มันไม่มีทาง ดังนั้น ทำอย่างไรถึงจะมี Positioning ของแบรนด์ที่ชัดก่อน และหยิบคอนซูมเมอร์มาเป็นศูนย์กลางของการทำมาร์เก็ตติ้ง ไม่ว่าจะโฟกัสเรื่องเดิมหรือทุกอย่างเปลี่ยนไป แต่สิ่งที่ยังเป็นแกนก็คือ ความต้องการของคอนซูมเมอร์” โสภณ แกะทอง อธิบาย

ทำให้แบรนด์จับต้องได้

การสื่อสารทางเดียวใช้ไม่ได้อีกต่อไป ดังนั้น ต้องสร้างประสบการณ์ร่วมกัน เพื่อทำให้ แบรนด์จับต้องได้ อย่างเช่นกรณีของ Salmon Podcast แม้จะเป็นรายการพอดแคสแต่ นทธัญ แสงไชย Podcaster & Station Director, Salmon Podcast ก็อธิบายว่า ต้องสร้างบรรยากาศในการพูดคุย สร้างบทสนทนาระหว่างคนฟัง และในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ได้มีการทำ On ground Activity เพื่อให้ผู้ฟังรู้จักกับ Salmon Podcast มากขึ้น ไปพร้อม ๆ กับการทำความรู้จักกลุ่มผู้ฟัง

“การทำคอนเทนต์ไม่ได้อยู่แค่เนื้อหาคอนเทนต์อย่างเดียว แต่ทำอย่างไรให้จับใจ และสร้างเอนเกจเมนต์อยู่ด้วยกัน รวมถึงให้มีเอ็กซ์พีเรียนเข้ากันกับแบรนด์ ไม่ใช่การส่งไปอย่างเดียว แต่คือฟังว่าเขาต้องการอะไร”

เช่นเดียวกันกับ KFC ที่มักจะมี กิจกรรมภายในร้าน รวมถึงแคมเปญที่สร้างจาก Insight ของผู้บริโภค เช่น แจก KFC Bucket Ware ในช่วงเทศกาลวันแม่ หรือ แคมเปญ ขันเสียงไก่ ที่หน้าเคาน์เตอร์ ซึ่งกิจกรรมต่าง ๆ เหล่านี้จะช่วยให้ทำ แบรนด์จับต้องได้ และคอนซูมเมอร์มีเอ็กซ์พีเรียนกับแบรนด์ได้จริง ๆ

แพลตฟอร์มไม่ใช่แค่ Messengers

ในส่วนของการเลือกแพลตฟอร์ม ควรวางแผนตั้งแต่ ไอเดียการทำการตลาด เพราะแพลตฟอร์มไม่ได้เป็นแค่ Messengers ในการช่วยส่งสิ่งที่แบรนด์อยากบอกไปสู่คอนซูมเมอร์ แต่ละแพลตฟอร์มก็มีจุดดีจุดด้อยต่างกัน ดังนั้น ควรออกแบบคอนเทนต์ที่เหมาะกับแต่ละช่องทาง และควรจะใช้ให้ครบทุกช่องทางเพื่อเพิ่มการรับรู้ อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดคือ ทุกชาแนลต้องแสดงความเป็นตัวตน และต้องมี Role ที่ชัดเจน

Social Media คือช่องทางที่แบรนด์จะต่อตรงกับ User ได้เลย ในแต่ละช่องทางควรมี Character และ Role ที่แต่งต่างกัน อย่างเช่น Salmon จะใช้ TikTok และ Instagram ในการแสดงให้เห็นถึงเบื้องหลังการทำงาน เพื่อให้แฟน ๆ ได้ใกล้ชิดกับทีมงาน แฟน ๆ ก็จะยิ่งรู้สึกอินมากขึ้น เป็นต้น”

อีก 2 จุดสำคัญที่จะสร้างความแตกต่างก็คือ ความคิดสร้างสรรค์ และ ความสม่ำเสมอ ที่จะช่วยให้แบรนด์มัดใจ Gen Z ได้อย่างอยู่หมัด

]]>
1497955