ขึ้นภาษี – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 10 Apr 2025 14:10:54 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ส่องนโยบายรับมือ ‘ภาษีทรัมป์’ ของเหล่าประเทศ ‘อาเซียน’ จะมีทิศทางอย่างไรกันบ้าง https://positioningmag.com/1518029 Thu, 10 Apr 2025 03:09:48 +0000 https://positioningmag.com/?p=1518029 หลังจากที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ประกาศ ขึ้นภาษี ส่งผลให้หลายประเทศได้เตรียมหาทางรับมือ รวมถึงในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลักในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่กระทบหนักไม่แพ้ใคร ดังนั้น ไปดูกันว่านโยบายของรัฐบาลแต่ละประเทศ มีแผนรับมืออย่างไรกันบ้าง

กัมพูชาหนักสุด แต่นิ่งสุด

หากพูดถึงประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ อาเซียน ดูเหมือนประเทศ กัมพูชา จะได้รับผลกระทบหนักที่สุด เนื่องจากถูกเรียกเก็บภาษีใน อัตราสูงสุด ที่ 49% ตามมาด้วย

  • ลาว (47%)
  • เวียดนาม (46%)
  • ไทย (36%)
  • อินโดนีเซีย (32%)
  • มาเลเซีย (24%)
  • สิงคโปร์ (10%)

แม้ว่า กัมพูชา จะเป็นประเทศที่ถูกขึ้นภาษีสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก แต่การตอบสนองนั้นค่อนข้างจะนิ่ง แม้ว่าภาษีดังกล่าวอาจมีผลต่อการส่งออกเสื้อผ้าและรองเท้าไปยังสหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นสินค้าที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ โดยนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ฮุน มาเนต ได้ข้อความเสนอที่จะ “เจรจากับฝ่ายบริหารโดยเร็วที่สุด” พร้อมกับยื่นขอเสนอ ลดภาษีสินค้า 19 รายการ ทันที จากสูงสุด 35% เหลือ 5%”

นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ฮุน มาเนต

เวียดนาม ชาติแรกของภูมิภาคที่ตอบสนอง

หลังจากที่มีการประกาศขึ้นภาษี เวียดนาม นับเป็นประเทศแรกของภูมิภาคที่ตอบสนอง โดยได้ต่อสายตรงถึง ทรัมป์ ตั้งแต่วันที่ 4 เมษายน โดย โต เลิม หัวหน้าพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม ได้ขอให้ทรัมป์ เลื่อนการบังคับใช้ภาษีออกไป 45 วัน และเสนอที่จะ ยกเลิกภาษีของประเทศทั้งหมด 

และเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา รองนายกรัฐมนตรี บุย ทาน เซิน ได้พบกับเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ มาร์ค แนปเปอร์ ในฮานอย และขอให้ทรัมป์เลื่อนการบังคับใช้ภาษีอีกครั้ง ในขณะที่ทั้งสองฝ่ายเจรจากัน รองนายกรัฐมนตรี โฮ ดึก ฟอก ซึ่งปัจจุบันอยู่ในสหรัฐฯ บอกกับบริษัทต่าง ๆ เมื่อวันศุกร์ว่า เวียดนามกำลังขอให้ เลื่อนออกไป 1-3 เดือน มีรายงานด้วยว่า เวียดนามกำลังจะสรุปข้อตกลงเรื่องการซื้อเครื่องบินโบอิ้งโดยสายการบินของเวียดนาม

โต เลิม หัวหน้าพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม

ไทยเดินทางสายกลาง

ยุทธศาสตร์ของไทยในการลดผลกระทบจากภาษี จะ เพิ่มการนำเข้าสินค้าและเพิ่มการลงทุนของสหรัฐฯ อาทิ พลังงาน เครื่องบิน และสินค้าเกษตรของอเมริกาเพิ่มขึ้น แม้ว่าประเทศยังไม่ได้ เสนอที่จะลดภาษี ก็ตาม โดย นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ย้ำว่า “ไทยไม่ได้เป็นเพียงผู้ส่งออก แต่ยังเป็นพันธมิตรและหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่สหรัฐฯ สามารถพึ่งพาได้ในระยะยาว”

ขณะที่ ศุภวุฒิ สายเชื้อ ที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรี ในฐานะที่ปรึกษาคณะทำงานนโยบายการค้าสหรัฐฯ ระบุว่า ไทยจะเน้น เดินสายกลาง โดยเขาจะไม่รีบร้อนไปหาสหรัฐฯ แต่ก็จะไม่นิ่งเฉย หรือตอบโต้เหมือนจีน โดยจะพยายามหาวิธีว่าจะ อยู่ร่วมกับรัฐบาลทรัมป์ชุดใหม่

นอกจากนี้ รัฐมนตรีการคลัง พิชัย ชุณหวชิร จะออกเดินทางไปสหรัฐฯ ในสัปดาห์นี้เพื่อเจรจากับ “ภาครัฐ ภาคเอกชน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ขณะที่ กรมการค้าต่างประเทศของไทย เน้นย้ำว่า จะเพิ่มการเฝ้าระวังการส่งออกไปยังสหรัฐฯ หลังมี สินค้าจากต่างประเทศที่แอบอ้างว่าเป็นสินค้าที่มาจากไทย

แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย

อินโดฯ เริ่มส่งคนไปเจรจา

อินโดนีเซีย เป็นอีกประเทศที่กระทบ โดยหลังจากการประกาศขึ้นภาษีของทรัมป์เมื่อวันที่ 2 เมษายน ทำให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์อินโดนีเซียลดลง 9.6% และส่งให้ค่าเงินรูเปียะอ่อนค่าลงไปถึง 16,898 รูเปียะต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นระดับที่ อ่อนค่าที่สุดเป็นประวัติการณ์ ของสกุลเงินนี้

ประธานาธิบดีปราโบโว ซูเบียนโต ได้ประกาศว่า รัฐบาลของเขาจะส่งคณะผู้แทนระดับสูงไปเจรจา ขอลดหย่อนภาษี ที่วอชิงตัน พร้อมกับระบุว่า รัฐบาลกำลัง สำรวจทางเลือกในหลาย ๆ ทาง แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้

ประธานาธิบดีปราโบโว ซูเบียนโต

มาเลฯ ขออาเซียนร่วมสู้ทรัมป์

ด้านมาเลเซีย นายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม ซึ่งเป็นรัฐมนตรีการคลังด้วย ได้จวกทรัมป์ว่า “เป็นการปฏิเสธหลักการการค้าเสรีที่ไม่เลือกปฏิบัติ คาดเดาได้ และเปิดกว้าง” ขององค์การการค้าโลก อีกทั้งยัง กล่าวว่า รัฐบาลของเขา จะไม่เก็บภาษีตอบโต้

และในฐานะ ประธานอาเซียน ได้เรียกร้องขอให้ประเทศสมาชิกร่วมกันต่อสู้กับความท้าทายที่เกิด โดยขอให้พึ่งพาตัวเองมากขึ้น และร่วมมือกันภายในมากขึ้น เพราะมั่นใจว่า ในแง่ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ กลุ่มอาเซียนอยู่ในตำแหน่งที่ดีกว่าสหรัฐฯ

นายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม

สิงคโปร์ปลุกประชาชนพร้อมรับมือความไม่แน่นอน

แม้ว่าสิงคโปร์จะถูกขึ้นภาษีน้อยที่สุด แต่ ลอว์เรนซ์ หว่อง นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ ก็มองว่า น่าผิดหวังอย่างยิ่งและไม่ใช่สิ่งที่เพื่อนควรปฏิบัติต่อกัน พร้อมกับ ตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจแห่งชาติ รวมถึงแจ้งเตือนประชาชนว่า มาตรการภาษีดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลกอย่างเลี่ยงไม่ได้ และจะส่งผลต่อการส่งออกของสิงคโปร์

นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นจะส่งผลกระทบต่อภาคบริการ เช่น การเงินและการประกันภัย และจะทำให้โอกาสในการทำงานลดน้อยลง หากเกิดการย้ายฐานการผลิตกลับสหรัฐฯ

จะเห็นว่าการตอบสนองส่วนใหญ่จะเป็นการ วางกลยุทธ์แบบสองด้าน ทั้งการยอมตามข้อเรียกร้องของทรัมป์ในระยะสั้น เช่น การลดภาษีของตนเอง และคำมั่นที่จะเพิ่มการนำเข้าสินค้าบางอย่างจากสหรัฐฯ แต่ ไม่มีประเทศไหนที่จะตอบโต้โดยการ ขึ้นภาษี อย่างไรก็ตาม ต้องรอดูว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร แม้ว่าล่าสุด จะมีการชะลอขึ้นภาษีไปอีก 90 วันก็ตาม แต่ที่แน่ ๆ ภาพของรัฐบาลสหรัฐฯ ในฐานะพันธมิตรทางเศรษฐกิจ กลายเป็นประเทศที่คาดเดาไม่ได้ไปแล้ว

]]>
1518029
เปิดเหตุผล! ทำไมญี่ปุ่นต้องขึ้นภาษีบริโภคจาก 8% เป็น 10% https://positioningmag.com/1248277 Wed, 02 Oct 2019 07:57:30 +0000 https://positioningmag.com/?p=1248277 โดย: โฆษิต ทิพย์เทียมพงษ์

จากนี้ไปสินค้าอุปโภคบริโภคหลายชนิดในญี่ปุ่นจะแพงขึ้น ค่ารถไฟ ค่าน้ำและค่าไฟก็จะแพงขึ้น สาเหตุมาจากการขึ้น ภาษี (ผู้) บริโภค หรือภาษีมูลค่าเพิ่มจาก 8% เป็น 10% ตั้งแต่ วันที่ 1 ตุลาคม 2019 เป็นต้นไป เรื่องนี้เกิดกระแสต่อต้านเพราะไม่มีใครอยากจ่ายแพง แต่รัฐบาลก็บอกว่าเราจำเป็นต้องทำและนี่เป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุดสำหรับสถานะทางการคลังของญี่ปุ่น รายละเอียดเป็นอย่างไร พื้นที่ตรงนี้จะขยายความให้กระจ่างขึ้น

ต้องไว้ค้ำจุนสังคม

เมื่อกล่าวถึงความจำเป็น พบว่าจำเป็นจริงๆ นั่นแหละ เพราะประเทศต้องหาเงินไปโอบอุ้มค้ำจุนสังคมที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะในช่วงที่มีคนชราผู้ต้องการการดูแลอยู่มากมาย ในขณะที่คนหนุ่มสาววัยทำงานมีจำนวนลดลงเรื่อยๆ ค่าใช้จ่ายส่วนที่เป็นสวัสดิการสังคมของญี่ปุ่นจึงมีแนวโน้มสูงขึ้นมาโดยตลอด อย่างในปีงบประมาณ 2019 เงินที่แบ่งไว้ใช้จ่ายคือประมาณ 78 ล้านล้านเยน ในจำนวนนี้เป็นงบสวัสดิการสังคมสูงถึง 34.5 ล้านล้านเยน เช่น การศึกษาของเด็ก การพยาบาลดูแลผู้สูงอายุ นอกจากนั้นแล้ว อีกส่วนหนึ่งคือเงินใช้หนี้ประมาณ 23.5 ล้านล้านเยน รวมแล้วคือ 101.5 ล้านล้านเยน ซึ่งเป็นงบทำสถิติใหม่สูงสุด และสูงขึ้นติดต่อกันมา 7 ปีแล้ว

ส่วนรายรับนั้นได้จากภาษี (ทุกประเภท) เป็นหลักคือ 62% รองลงมาคือการออกพันธบัตรซึ่งก็คือการก่อหนี้ โดยมีสัดส่วน 32% และรายรับทางอื่นอีกเล็กน้อยขณะนี้การก่อหนี้เพื่อหาเงินดูเหมือนไม่ใช่ทางเลือกที่ดีสำหรับญี่ปุ่นอีกต่อไปและเมื่อสถานการณ์บีบคั้นให้หาเงินโดยหลีกเลี่ยงหนี้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้รัฐบาลก็ต้องมาคิดแล้วว่าจะหาจากแหล่งไหน

ในที่สุดก็ลงเอยที่การขึ้นภาษีบริโภค (รายละเอียดเกี่ยวกับเส้นทางการเก็บภาษีบริโภคของญี่ปุ่น ติดตามได้ที่ https://mgronline.com/japan/detail/9620000048150) รัฐบาลพยายามสร้างความเข้าใจกับประชาชนว่านี่คือหนทางที่เหมาะสมแล้ว อีกทั้งก็มีบางกระแสพยายามชี้ให้เห็นว่าภาษีบริโภคของญี่ปุ่นนั้นจัดว่าถูกเมื่อเทียบกับหลายประเทศ เช่น เดนมาร์ก 25%, อังกฤษ 20%, จีน 16%, เกาหลีใต้ 10% ดังนั้น ขึ้นอีกนิดเดียวคงไม่หนักหนา

สร้างแหล่งรายรับให้พอกับรายจ่าย

แม้ประชาชนพอจะทราบถึงความจำเป็นอยู่บ้าง แต่ก็ยังข้องใจไม่หายเพราะธรรมชาติของคนย่อมไม่มีใครอยากจ่ายแพง จึงเรียกร้องขอฟังเหตุผลให้ชัดๆ หน่อยว่าจะเอางบประมาณไปทำอะไร” –เท่าที่เก็บตอนนี้ไม่พอหรอกหรือ และเก็บภาษีอื่นไม่ได้หรือ” ทำไมต้องภาษีบริโภค ภาษีทางอ้อมชนิดนี้จะส่งผลกระทบกันถ้วนหน้าไม่ว่าจะมีรายได้มากหรือน้อย

คำตอบจากรัฐบาลคือ ไม่พอและไม่ควรเก็บจากภาษีประเภทอื่นข้อความที่รัฐให้ไว้เป็นลายลักษณ์อักษรโดยประกาศที่หน้าโฮมเพจกระทรวงการคลังมีใจความว่า ท่ามกลางภาวะสังคมผู้สูงอายุและอัตราการเกิดที่น้อยลง คนวัยทำงานรุ่นปัจจุบันมีจำนวนลดลงอย่างรวดเร็วและมีผู้สูงอายุจำนวนมากขึ้น ตอนนี้คนทำงานรุ่นปัจจุบันรับภาระหนักขึ้นทุกปีในด้านการจ่ายเงินประกันสังคมซึ่งต้องเอาไปใช้เลี้ยงดูผู้สูงอายุ ถ้าขึ้นภาษีเงินได้หรือภาษีนิติบุคคลเพื่อใช้เป็นแหล่งงบประมาณ จะทำให้ภาระกระจุกตัวอยู่กับคนรุ่นนี้มากกว่าเดิม

ภาษีบริโภคซึ่งมีลักษณะเป็นการกระจายภาระอย่างกว้างขวางแก่ทุกคนในประเทศรวมถึงผู้สูงอายุด้วย โดยช่วยกันจ่ายแบบไม่เจาะจงภาระให้ตกเป็นของคนเฉพาะกลุ่ม จึงมองได้ว่าเป็นแหล่งรายรับที่เหมาะสม นอกจากนี้ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา พบว่าภาษีเงินได้และภาษีนิติบุคคลมีแนวโน้มลดลงเมื่อเศรษฐกิจไม่ดี แต่ภาษีบริโภคไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากความผันผวนของเศรษฐกิจเท่าใดนัก

ใช้หนุนผู้สูงวัย

หลักการและเหตุผลตามภาษาทางการเมื่ออ่านแล้วอาจเห็นภาพไม่ชัด นำมาสกัดเป็นภาษาชาวบ้านให้เข้าใจง่ายหน่อยก็คือ รัฐบาลต้องหาเงินไป ใช้หนุน ระบบสวัสดิการสังคมซึ่งนับวันค่าใช้จ่ายมีแต่จะสูงขึ้นเพราะมีคนแก่มากมายและคนวัยทำงาน (อายุ 20 – 64 ปี) ลดลง ตอนนี้เมื่อคำนวณออกมาแล้วปรากฏว่า ณ ปี 2019 คนทำงาน 1.9 คนคือผู้ค้ำจุนผู้สูงอายุหนึ่งคน, แต่ในปี 2040 คนค้ำจุนจะเหลือ 1.4 คน และในปี 2065 จะเหลือเพียง 1.2 คน

ขณะที่เก็บ 8% รัฐมีรายรับส่วนนี้ปีละ 23 ล้านล้านเยน เมื่อเก็บ 10% จะมีรายรับ 29 ล้านล้านเยน ส่วนที่เพิ่มขึ้นประมาณ 6 ล้านล้านเยน ครึ่งหนึ่งจะนำไปสนับสนุนระบบสวัสดิการสังคม อีกครึ่งหนึ่งจะนำไป ใช้หนี้ ที่มีสัดส่วนสูงมากถึงประมาณ 235% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) และสูงกว่าหลายประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างอเมริกา (108%), อังกฤษ (86%) และเยอรมนี (60%)

สาเหตุที่ตัดสินใจใช้ภาษีบริโภคเป็นแหล่งรายรับก็เพราะ มีเสถียรภาพ ไม่ค่อยผันผวนตามสภาพเศรษฐกิจเท่าไร ญี่ปุ่นเอาสถิติด้านรายรับจากภาษีมาดูแล้วเปรียบเทียบกัน ในบรรดาแหล่งรายรับสำคัญๆ ได้แก่ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (เส้นสีชมพู/แกนขวา), ภาษีนิติบุคคล (เส้นประ/แกนขวา), ภาษีบริโภค (เส้นสีดำ/แกนขวา) ปรากฏว่ารายรับจากภาษีบริโภคมีแนวโน้มผันผวนน้อยที่สุด

นอกจากนี้ ภาษีบริโภคเก็บอย่างเท่าเทียมกันในด้านการกระจายภาระ ไม่ใช่การเจาะจงกลุ่มคนว่ามีรายได้สูงแล้วจะต้องจ่ายมาก มีรายได้ต่ำแล้วจะจ่ายน้อย จึงมองได้ว่าไม่ใช่ภาระของคนเฉพาะกลุ่ม ทว่าในทางเศรษฐศาสตร์ ตรงนี้เกิดประเด็นโต้แย้ง กล่าวคือ เงิน 100 เยนของผู้มีรายได้น้อยนั้นมีค่าสูงกว่าเงิน 100 เยนของคนมีรายได้มาก ดังนั้นเมื่อต้องจ่ายแพงขึ้น ผู้มีรายได้น้อยย่อมรู้สึกว่าลำบากกว่าผู้มีรายได้มาก ทางรัฐบาลเองก็ตระหนักถึงจุดนี้เช่นกัน แต่ก็เลือกที่ขึ้นภาษีบริโภคเพราะมองว่าเป็นรายรับที่เหมาะสมที่สุด โดยได้วางมาตรการแบ่งเบาภาระสำหรับมีผู้มีรายได้น้อยไว้ในระดับหนึ่ง

อีกประการหนึ่งคือ ภาษีบริโภคส่งผลต่ำต่อแรงจูงใจในการทำงานและการลงทุนของบริษัท กระแสคัดค้านการขึ้นภาษีบริโภคมักมีคำถามว่าทำไมไม่ขึ้นภาษีอื่นล่ะ โดยเฉพาะภาษีเงินได้และภาษีนิติบุคคล เหตุผลก็คือรัฐบาลคิดว่าถ้าขึ้นภาษีเงินได้ อาจจะบั่นทอนกำลังใจคนทำงาน และถ้าขึ้นภาษีนิติบุคคลก็อาจบั่นทอนการตัดสินใจลงทุนหรือขยายกิจการของบริษัท สำหรับข้อนี้ก็มีคนโต้แย้งอีกเช่นกันว่าอุ้มคนรวย

เป็นอันว่าประชาชนได้รู้ที่ไปและที่มาแล้ว แต่ก็อย่างว่าถ้าเลือกได้ ใครจะอยากจ่ายแพง ฉะนั้นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตอนนี้คือ ในเดือนกันยายนก่อนภาษีจะขึ้น โดยเฉพาะในสัปดาห์สุดท้าย อุปสงค์ต่อสินค้าหลายชนิดจึงพุ่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เพราะประชาชนคิดว่าอะไรที่ซื้อได้ก็ควรรีบก่อนที่จะต้องจ่ายแพงกว่าเดิม และสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไประยะหนึ่งจนกว่าประชาชนจะชินคือ ผู้คนจะประหยัดค่าใช้จ่าย และยอดขายสินค้าจะลดลงช่วงหนึ่งหลังจากขึ้นภาษีใหม่ๆ ซึ่งเท่าที่ผ่านมาในช่วงที่ขึ้นภาษีบริโภคจาก 3% => 5% (1997) และ 5% => 8% (2014) มูลค่าการใช้จ่ายของประชาชนก็ลดลงจริงๆ

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลก็มิได้ใจจืดใจดำไปเสียทุกอย่าง เนื่องจากเกรงว่าเศรษฐกิจจะหดตัวมากเกินไปและผู้มีรายได้น้อยจะได้รับผลกระทบหนัก จึงมีมาตรการออกมาช่วยบรรเทาเล็กน้อย เช่น ใช้อัตราภาษีผ่อนปรน หมายความว่า สินค้าบางชนิดจะยังคงถูกเก็บภาษีในอัตราเดิมคือ 8% โดยเฉพาะสินค้าอาหารตามซูเปอร์มาร์เกต, อาหารที่ซื้อกลับไปกินที่บ้านจะถูกเก็บภาษีแค่ 8% แต่ถ้ากินที่ร้านจะถูกเก็บ 10%, อาหารกลางวันที่จัดสรรให้เด็กนักเรียนที่โรงเรียนเก็บ 8% (แต่ก็มีสินค้าบางชนิดที่อาจเหนือความคาดหมาย เช่น ยา ภาษีจะขึ้นเป็น 10%) นอกจากนี้ก็มีการออกบัตรราคาพิเศษ (ถึงเดือนมีนาคม 2020) กล่าวคือ ครอบครัวที่มีเด็กอายุ 0 – 2 ขวบหรือมีรายได้น้อย จะมีสิทธิ์ซื้อบัตรพิเศษที่ทางการท้องถิ่นเป็นผู้ออก และนำบัตรไปซื้อสินค้าที่มีราคาแพงกว่าบัตรนั้นได้ 25%, หรือระบบสะสมแต้ม (ถึงเดือนมิถุนายน 2020) โดยมอบแต้มสะสมให้หากผู้ซื้อชำระเงินด้วยบัตรเติมเงินหรือบัตรเครดิต

ในการขึ้นภาษีบริโภคครั้งนี้ รัฐบาลคาดหวังว่าจะส่งผลดีในระยะยาวต่อสถานะทางการคลัง แต่โลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน สิ่งที่เห็นว่าดีในวันนี้อาจไม่ดีในวันหน้าดังเช่นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับระบบสวัสดิการสังคมของญี่ปุ่น อัตราภาษีบริโภค 10% จะทำให้เศรษฐกิจหดตัวแค่ไหนยังไม่มีใครตอบได้ แต่ที่แน่ๆ คือทุกคนจะต้องจ่ายแพงขึ้น ค่าครองชีพในญี่ปุ่นจะสูงขึ้นทั่วประเทศ! นี่คือโลกแห่งความเป็นจริง ส่วนค่าแรง?…แล้วแต่บริษัทจะโปรดและนี่ก็คือโลกแห่งความเป็นจริงเช่นกัน.

Source

]]>
1248277
ดีเดย์! ญี่ปุ่นขึ้นภาษีเป็น 10% ส่งผลกระทบต่อนักท่องเที่ยวอย่างไรบ้าง https://positioningmag.com/1248194 Tue, 01 Oct 2019 09:28:59 +0000 https://positioningmag.com/?p=1248194 ญี่ปุ่นได้ขึ้นภาษีการบริโภค หรือ VAT จาก 8% เป็น 10% แล้ว ร้านค้าหลายแห่งอลหม่านกับอัตราภาษีที่แตกต่างกันสำหรับสินค้าแต่ละชนิด ส่วนนักท่องเที่ยวจะต้องจ่ายค่าอาหารและค่าเดินทางแพงขึ้น

ตั้งแต่สุดสัปดาห์ที่ผ่านมาจนถึงเที่ยงคืนก่อนวันที่ 1 ตุลาคม ชาวญี่ปุ่นจำนวนมากพากันไปจับจ่ายซื้อสินค้า หลายคนซื้อสินค้าราคาสูง และกักตุนของใช้ในครัวเรือนต่างๆ ก่อนการขึ้นภาษี

ขณะที่ร้านค้าต่างๆ ในญี่ปุ่นเตรียมพร้อมในช่วงสุดท้าย ซูเปอร์มาเก็ตและร้านอาหารหลายแห่ง ปิดร้านชั่วคราวในวันที่ 30 กันยายนถึง 1 ตุลาคม เพื่ออัพเดทระบบการชำระเงิน

ภาษีผู้บริโภคได้ขึ้นจากร้อยละ 8 เป็นร้อยละ 10 ในวันอังคารที่ 1 ตุลาคม แต่ความยุ่งยากก็คือ อัตราภาษีที่แตกต่างกันสำหรับสินค้าแต่ละชนิด อาหารและเครื่องดื่มจะยังคงอยู่ที่ร้อยละ 8 แต่สินค้าอื่นๆ ยา เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และการทานอาหารภายในร้านจะเสียภาษีสูงขึ้น เป็นร้อยละ 10

นักท่องเที่ยวมีผลกระทบไหม ?

การขึ้นภาษีครั้งนี้จะส่งผลให้นักท่องเที่ยวต่างชาติ ต้องจ่ายค่าอาหารที่ทานในร้าน ค่าเดินทาง ค่าบัตรเข้าสถานที่ และค่าบริการต่างๆ แพงขึ้น 2% ส่วนการซื้อสินค้านั้น นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะใช้สิทธิ์ “คืนภาษี” อยู่แล้ว จึงไม่ได้รับผลกระทบ

อย่างไรก็ตาม สินค้าที่ขอคืนภาษีนั้น ต้องนำกลับไปประเทศไทย ส่วนของกินของใช้ที่ซื้อแล้วใช้เลยที่ญี่ปุ่น จะต้องเสียภาษี 10%

นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวที่ใช้บริการร้านอาหารต่างๆ อาจถูกถามว่า “รับประทานที่ร้าน หรือ นำกลับ” ซึ่งอัตราภาษีจะแตกต่างกัน โดยการรับประทานที่ร้านจะเสียภาษี 10% แต่ถ้าซื้อกลับไปรับประทานจะเสียภาษี 8%

รัฐบาลญี่ปุ่นระบุว่า จำเป็นต้องขึ้นภาษีเพื่อให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการสังคมที่เพิ่มมากขึ้น และชำระหนี้สาธารณะจำนวนมหาศาล

คาดว่าการขึ้นภาษีครั้งนี้จะทำให้รัฐบาลมีรายได้เพิ่มขึ้นราว 5.7 ล้านล้านเยน โดยครึ่งหนึ่งจะนำไปสนับสนุนการศึกษาก่อนวัยเรียน และการดูแลเด็กเล็ก รวมถึงลดค่าเล่าเรียนจนถึงระดับมหาวิทยาลัย ส่วนค่าเหลือจะใช้ในระบบประกันสุขภาพ และชำระหนี้สาธารณะ.

Source

]]>
1248194