คนทำงาน – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Wed, 22 Oct 2025 08:20:50 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 วัฒนธรรม ‘ต้องมาให้เห็นหน้า’ ทำคนไทยเสี่ยงหมดไฟ https://positioningmag.com/1543793 Tue, 21 Oct 2025 13:10:40 +0000 https://positioningmag.com/?p=1543793 ‘ความขยัน’ และ ‘การทำงานหนัก’ เพื่อจะพาเราสู่ความสำเร็จในหน้าที่การงาน ยังคงเป็นค่านิยมในการทำงานที่ถูกปลูกฝังมาอย่างยาวนานในสังคมไทย จนทำให้คนทำงานไม่ว่าจะป่วยหรืออ่อนล้าแค่ไหน ยังต้องมาทำงาน ไม่กล้าลา ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้ทำให้คนไทยต้องเผชิญกับภาวะหมดไฟ และประสิทธิภาพการทำงานลดลงแบบไม่รู้ตัว

 

จากข้อมูลของ ‘องค์การแรงงานระหว่างประเทศ’ (International Labour Organization) ชี้ให้เห็นว่า ประเทศไทยติดอันดับ 3 ของโลก ด้านจำนวนชั่วโมงการทำงานที่ยาวนานที่สุด โดยคนไทย 46.7% ทำงานเกิน 48 ชั่วโมง/สัปดาห์ ขณะที่สัปดาห์การทำงานของโลกเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 40 ชั่วโมง/สัปดาห์

 

นอกจากเวลาทำงานที่ยาวนานแล้ว วัฒนธรรมที่เรียกว่า ‘Presenteeism’ หรือ ‘การต้องมาให้เห็นหน้า’ ยังฝังรากลึกในสังคมไทย โดย 35–48% ของพนักงานไทยระบุว่า ยังมาทำงานทั้งที่ป่วย เพราะไม่อยากสร้างภาระให้เพื่อนร่วมงานหรือกลัวถูกมองไม่ดีจากหัวหน้า

 

พฤติกรรมนี้นำไปสู่ประสิทธิภาพการทำงานที่ลดลงและเพิ่มความเสี่ยงในการเผชิญกับภาวะหมดไฟให้มากขึ้น

 

แม้พนักงานไทยจะเผชิญความเครียดเกี่ยวกับเรื่องงานสูง แต่การลาพักร้อนกลับเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก เพราะวัฒนธรรม ‘ความเกรงใจ’ ที่ฝังลึก รวมถึงความกังวลเรื่องงานที่คั่งค้าง และจากความเชื่อที่ว่า การลาควรเป็นเรื่องสำคัญหรือต้องเป็นทริปใหญ่ที่เกิดขึ้นปีละครั้งเท่านั้น ทำให้คนจำนวนมากเก็บวันลาไว้โดยไม่ได้ใช้ โดยจากผลสำรวจระบุว่า

 

80% ของพนักงานรู้สึกว่าควรได้วันลามากกว่าที่มีแต่กลับไม่กล้าลา เพราะกลัวสร้างภาระให้ทีมและไม่รู้จะเริ่มวางแผน ทริปอย่างไร

74% ของพนักงานยอมยกเลิกวันลาเพราะภาระงาน

24% ยังคงเช็กอีเมลงานระหว่างวันหยุด

 

‘ทริปสั้น จองล่วงหน้าไม่นาน เดินทางบ่อยขึ้น’ มาแรงในกลุ่มคนไทย

 

Klook แพลตฟอร์มท่องเที่ยวและกิจกรรม เผยข้อมูลพฤติกรรมการจองของนักเดินทางรุ่นใหม่ในปี 2568 ที่สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงแนวความคิดเดิม จากที่เคยวางแผนลางานเพื่อไปทริปใหญ่ปีละครั้งเท่านั้น กำลังเปลี่ยนไปสู่การเที่ยวแบบ ทริปสั้น ๆ จองล่วงหน้าไม่เกินสองเดือน แต่ได้เดินทางท่องเที่ยวปีละหลายครั้ง

 

เคนนี่ แชม ผู้จัดการทั่วไป ประจำคลูกประเทศไทย ฮ่องกง และมาเก๊า กล่าวว่า “จากผลสำรวจที่พบทำให้เราเห็นว่า ที่จริงแล้วคนไทยต้องการเดินทางท่องเที่ยวเพื่อผ่อนคลาย ความเครียดจากการทำงาน ภาวะหมดไฟและเป็นการชาร์จพลังให้ตัวเอง แต่หลายคนยังติดกับดักทางความคิดและความเชื่อที่ทำให้ไม่กล้าออกไปใช้วันลาทั้งที่เป็นสิทธิ์ของตนเอง

 

นอกจากนั้น เคนนี่ ยังได้เปิดเผยถึงภาพรวมและเทรนด์การจองกิจกรรมท่องเที่ยวของคนไทยในช่วงปี 2568 ว่า เกือบ 50% ของนักเดินทาง Gen Z ชาวไทยนิยมวางแผนท่องเที่ยวและจองกิจกรรมล่วงหน้าน้อยกว่าสองเดือน

 

โดย 18% จองกิจกรรมล่วงหน้าเพียง 4-7 วันก่อนออกเดินทาง สะท้อนให้เห็นถึงพฤติกรรมที่เปิดรับความยืดหยุ่น ตัดสินใจแบบฉับพลัน และความนิยมในการจองแบบนาทีสุดท้ายที่เพิ่มมากขึ้น นอกเหนือจากเทรนด์ระยะเวลาการจองที่สั้นลงแล้ว นักท่องเที่ยวชาวไทยยังมีแนวโน้มที่จะเดินทางท่องเที่ยวในช่วงระยะเวลาที่สั้นลง แต่มีความถี่สูงขึ้น แทนที่จะเป็น ทริปใหญ่เพียงครั้งเดียวต่อปี

 

“เทรนด์ที่เกิดขึ้นทำให้เราเห็นว่า นักเดินทางรุ่นใหม่มองการเดินทางไปต่างประเทศเป็นกิจกรรม ไลฟ์สไตล์ที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้นและเกิดขึ้นได้บ่อยครั้งโดยไม่ต้องใช้ระยะเวลานานเกินไป ดังนั้นโปรแกรมการเดินทางไม่จำเป็นต้องยาวนานเป็น 10 วัน แต่เป็นทริปสั้นเพียง 4 วัน 3 คืนก็เพียงพอ แต่กระจายความถี่ให้มีทริปสั้นๆ แบบนี้ตลอดทั้งปี เป็นการแบ่งเวลาไปชาร์จพลังที่อาจจะตอบโจทย์วัฒนธรรมการทำงานสมัยใหม่มากกว่าการลางานยาว ๆ ครั้งเดียวต่อปี” เคนนี่ กล่าวเสริม

 

‘จีน’ โตก้าวกระโดด-ญี่ปุ่นครองแชมป์ที่เที่ยวยอดฮิตตลอดกาล

 

สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม ‘ญี่ปุ่น’ ยังคงรักษาตำแหน่งจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวชาวไทยให้ความสนใจมากที่สุด

 

ขณะที่ ‘จีน’ เป็นจุดหมายปลายทางที่มีการเติบโตอย่างน่าสนใจ โดยในปี 2568 Klook พบว่า ยอดการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวไทยไปจีนเติบโตเพิ่มขึ้นในระดับเลขสามหลักเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และเมื่อสำรวจความนิยมของนักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ก็พบว่า คนไทยต้องการเดินทางไปเที่ยวจีนเพิ่มขึ้นถึง 7 เท่าเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยเมืองยอดนิยมคือเซี่ยงไฮ้

]]>
1543793
แนะ ‘เดอะแบก’ เร่งวางแผนการเงิน รับมือเศรษฐกิจไม่ดี-เสี่ยงตกงาน-เกษียณตอนอายุ 45 ปี https://positioningmag.com/1542578 Sat, 11 Oct 2025 08:32:37 +0000 https://positioningmag.com/?p=1542578 ในยุคที่เทคโนโลยีและเศรษฐกิจการเงินของโลกผันผวนเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว บวกกับเศรษฐกิจเติบโตต่ำ ล้วนส่งผลกระทบต่อ ‘คนทำงาน’ เงินเดือนไม่ขึ้น-โบนัสไม่มี-โอทีไม่ได้ แถมเสี่ยงตกงาน และหลายองค์กรเริ่มเปิดให้พนักงานสมัครใจเกษียณได้ตั้งแต่อายุ 45 ปี สะท้อนให้เห็นถึงสัญญาณว่า คนไทยอาจต้องเผชิญกับ ‘ชีวิตการทำงานที่สั้นลง’ (20–25 ปี) แต่ ‘ชีวิตหลังเกษียณยาวนานขึ้น’ (35–40 ปี)

 

สิ่งที่เกิดขึ้น ถือเป็นปัจจัยสั่นคลอนต่อฐานะการเงินของคนไทย โดยเฉพาะ ‘คนชั้นกลาง’ ซึ่งส่วนใหญ่เป็น ‘เดอะแบก’ ที่มีภาระรับผิดชอบดูแลทั้งพ่อแม่และครอบครัวตนเอง ส่งผลให้จาก ‘กลุ่มที่เคยมั่นคง’ อาจกลายเป็น ‘กลุ่มเปราะบาง’ หากขาดการวางแผนการเงินที่ดี เพราะรายได้หดหายไป มีความเสี่ยงจากหลายๆ ปัจจัย ขณะที่ยังมีภาระหนี้สินและค่าใช้จ่ายครอบครัวอยู่

 

ในงานเสวนา ‘วันวางแผนการเงินโลก World Financial Planning Day 2025’ สมาคมนักวางแผนการเงิน ได้แชร์ถึงทางรอดและวิธีสร้างความมั่นคงทางการเงินเพื่อให้รับมือกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นไว้น่าสนใจ

 

การเงินดี ไม่ใช่แค่ตัวเลขในสมุด

 

‘วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ’ นายกสมาคมนักวางแผนการเงินไทยคนแรก กล่าวว่า สําหรับนักวางแผนการเงิน คําว่า ‘การเงินดี ไม่ได้หมายถึงแค่ตัวเลขในสมุด แต่คือสะพานที่พาเราไปถึงเป้าหมายของชีวิต คือ เกราะป้องกันที่ช่วยให้เรายืนหยัดท่ามกลางพายุ และเป็นพลังที่ทําให้เรามีอิสระในการเลือกอนาคตที่เราอยากเป็น

 

สถานการณ์ในโลกปัจจุบันที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงเร็วแบบไม่มีใครคาดเดาได้ว่าวันพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น ดังนั้น การจัดการชีวิต วางแผนรับมือกับความเปลี่ยนแปลงจึงสําคัญมาก โดยวิกฤตการณ์การเงินโลก และการระบาดของโควิด-19 มีหลักฐานประจักษ์ชัดว่า คนที่มีการวางแผนการเงินที่ดี ชีวิตจะมีความมั่นคงกว่า สามารถผ่านช่วงเวลายากลําบากหรือเหตุไม่คาดฝันในชีวิตได้ดีกว่าคนที่ไม่ได้วางแผน

 

อย่างไรก็ตาม จากการสํารวจของ Financial Planning Standards Board พบว่า มีคนเพียง 20% เท่านั้น      ที่มั่นใจว่ามีแผนการเงินที่ดี สามารถรับมือกับอนาคตได้เป็นอย่างดี ส่วนอีก 80% ยังไม่มั่นใจ หรือยัง ‘ไม่มีแผน’    จะรับมือกับเรื่องการเงินในชีวิตได้

 

ทางรอดที่สำคัญที่สุดตอนนี้ คือ ให้เร่ง ‘ลงทุนในตัวเอง’ ด้วยการพัฒนาตัวเองทั้ง ความรู้ความสามารถและทักษะใหม่ๆ ที่ทันสมัยรับมือ อาทิ ทักษะด้าน AI เพื่อรับมือและให้อยู่รอดได้ในโลกยุคใหม่ที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ควบคู่ไปกับต้องรู้จักใช้ชีวิตอย่างมีวินัย เช่น ‘ใช้น้อยกว่าที่หาได้-เก็บออมให้เป็น-ลงทุนอย่างมีเป้าหมายและหลักการ’ แต่ต้องไม่เป็นทาสของเงินหรือวัตถุ เพราะคุณค่าที่แท้จริงมิได้อยู่ที่สิ่งที่เราครอบครอง แต่อยู่ที่สิ่งที่เราเป็น

 

แนะการวางแผนการเงินรับมือเหตุไม่คาดคิด

 

ด้านนายกสมาคมนักวางแผนการเงินไทย ‘วิโรจน์ ตั้งเจริญ’ ได้แชร์ถึงงานวิจัยระดับโลกจาก FPSB พบว่า

 

79% ของผู้ที่วางแผนการเงินเชื่อว่าช่วยทำให้ฝันในชีวิตเป็นจริงได้

73% ของผู้ที่วางแผนการเงินรู้สึกว่ารับมือปัญหาสุขภาพได้ดีกว่า

51% มองการวางแผนการเงินส่งผลดีต่อชีวิตครอบครัว

51% บอกว่าช่วยให้สุขภาพจิตดีขึ้น

 

สมาคมนักวางแผนการเงินไทย แนะนำการรับมือการวางแผนเกษียณให้พร้อมรับมือกับเหตุการณ์ หรือสถานการณ์ไม่คาดคิดใน 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ ‘คนทั่วไป’ และ ‘กลุ่มคนที่ถูกให้ออกจากงาน’ ทั้งที่อายุต่ำกว่า 55 ปี และกลุ่มอายุสูงกว่า 55 ปี

 

กลุ่มคนทั่วไป : นอกเหนือจากเงินฉุกเฉิน 6-12 เดือน ต้องวางแผนภาษี ลดความเสี่ยงในชีวิต และวางแผนเกษียณควบคู่กันไปด้วย

 

สำหรับการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน จะใช้หลัก 4 Magic no. คือ จากรายได้ 100% แบ่งใช้จ่ายดังนี้ 40% นำไปใช้หนี้, 30% ใช้จ่ายทั่วไป, 20% ออมเพื่อ ตัวเอง และ 10% ทำประกันเพื่อลดความเสี่ยง

 

นอกจากนี้ต้องไม่เป็นหนี้เกินความจำเป็น และท่องไว้ ‘ออมก่อนใช้’ สุดท้ายใช้หลัก 3 รู้

1) รู้เป้าหมายชีวิต ลงทุนเพื่ออะไร

2) รู้จักตัวเองว่ารับความเสี่ยงได้แค่ไหน

3) รู้จักเครื่องมือในการลงทุน

 

กลุ่มคนที่ถูกให้ออกจากงาน : ต้องเริ่มจากตรวจสอบสินทรัพย์เพียงพอหรือยัง เมื่อเทียบกับเงินที่ต้องใช้หลังเกษียณ (ได้แก่ สินทรัพย์ต่างๆ, เงินฝาก, PVD, RMF, ภาษี และเงินชดเชยต่างๆ ที่ได้จากตอนออกจากงาน)

 

นอกจากนี้ ต้องตรวจสอบภาระหนี้สินที่มีอยู่ ว่ามีหนี้อะไรบ้าง เพื่อนำมาวางแผนเคลียร์หนี้ โดยต้องเคลียร์หนี้ที่จ่ายดอกเบี้ยสูงก่อน

 

รวมถึงประมาณการรายได้กับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในแต่ละเดือนว่ามีรายรับจากอะไร (เช่น ค่าเช่า, ดอกเบี้ย, เงินปันผล เป็นต้น) และมีค่าใช้จ่ายเท่าไร หากค่าใช้จ่ายมากกว่ารายรับ ต้องพิจารณาว่าตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นไหนออกได้บ้าง หรือต้องหารายได้เสริม จากความถนัดของตัวเอง หรือต้อง Upskill / Reskill เพิ่ม โดยลดรายจ่าย-เพิ่มรายได้แบบนี้วนไป จนกว่าจะครอบคลุมค่าใช้จ่ายได้ทั้งหมด

 

กรณีที่ 1  คนที่ถูกให้ออกจากงาน ที่อายุต่ำกว่า 55 ปี ต้องทำดังนี้

 

o   ตรวจสอบประกันสุขภาพว่ามีเพียงพอ

o   ตรวจสอบสิทธิประกันสังคมที่พึงได้

o   ควรคงเงิน PVD และ RMF ไว้ก่อน!!

o   พิจารณาว่าจะหางานใหม่หรือพอแค่นี้

 

กรณีที่ 2 คนที่ถูกให้ออกจากงาน อายุ 55 ปีขึ้นไป

 

o   การจัดสรรเงินเกษียณ และเงินชดเชยที่ได้ จะบริหารเงินก้อนนี้ยังไง?

o   สิทธิรักษาพยาบาล มีอะไรติดตัวบ้าง

o   ตรวจสอบสิทธิที่พึงได้จากภาครัฐ เช่น เงินบำนาญจากประกันสังคม, เบี้ยเงินชรา เป็นต้น

o   เปรียบเทียบ สิทธิบัตรทอง หรือ ประกันสังคม แบบไหนดีและเหมาะสมกับตัวเองกว่ากัน

o   พิจารณาว่า Early Retire หรือทำงานต่อ ถ้าจะทำงานต่อต้อง Reskill ด้านไหนเพิ่มบ้าง

]]>
1542578
กอดงานไว้แน่น!! ‘แรงงานไทย’ Q2/68 ยังว่างงาน 3.7 แสนคน แถม ‘ค่าจ้าง-ชั่วโมง OT’ ก็ลดลง https://positioningmag.com/1538227 Tue, 16 Sep 2025 13:01:42 +0000 https://positioningmag.com/?p=1538227 สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้เปิดเผยถึงอัตราการว่างงานในช่วงไตรมาส 2/2568 อยู่ที่ 0.91% โดยมีจำนวนผู้ว่างงาน 3.7 แสนคน ลดลง 14.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีจำนวน  ผู้ว่างงาน 4.3 แสนคน คิดเป็นอัตราว่างงาน 1.07%

 

สำหรับค่าจ้างเฉลี่ยในภาพรวมของแรงงานทุกสถานภาพในไตรมาสที่ 2 ของปี 2568 ก็ปรับตัวลง มาอยู่ที่ 15,977 บาท/คน/เดือน ลดลงมา 1.9% เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน สะท้อนว่า กลุ่มแรงงานอาชีพอิสระมีรายได้ลดลง

 

ขณะที่ชั่วโมงการทำงานเฉลี่ยในภาพรวมลดลง 0.4% หรืออยู่ที่ 42.7 ชั่วโมง/สัปดาห์ ส่วนผู้ทำงานล่วงเวลา (Over Time: OT) ที่มีชั่วโมงการทำงานมากกว่า 50 ชั่วโมง/สัปดาห์ขึ้นไป มีจำนวน 6.3 ล้านคน ลดลง 8.0% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

 

ภาพดังกล่าวเกิดขึ้นในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจชะลอตัว และอีกประเด็นที่ต้องจับตามองก็คือ การปรับรูปแบบการจ้างงานของสถานประกอบการจากสภาวะเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอน จากเดิม ‘จ้างงานแบบเต็มเวลา’ (Permanent Full-time) มาเป็น ‘จ้างงานแบบไม่เต็มเวลา’ และ ‘พนักงานชั่วคราว’ มากขึ้น โดยเฉพาะองค์กรขนาดใหญ่

 

โดยในปี 2565 พนักงานชั่วคราวมีสัดส่วนอยู่ที่ 6% เพิ่มเป็น 42% ในปี 2567 ขณะที่พนักงานสัญญาจ้างจากปี 2565 อยู่ที่ 4% เพิ่มเป็น 28% ในปี 2567 และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในอนาคตจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ    ซึ่งแน่นอนว่า จะไปกระทบความมั่นคงและรายได้ของแรงงานไทย

 

 

]]>
1538227
Monday Blues อาการเกลียดวันจันทร์ที่พบเยอะในวัยทำงาน และวิธีรับมือ https://positioningmag.com/1531384 Fri, 25 Jul 2025 09:12:41 +0000 https://positioningmag.com/?p=1531384 ‘พรุ่งนี้วันจันทร์ต้องทำงานแค่คิดก็สยองแล้ว’ ใครมีอาการแบบนี้บ้าง นั่นอาจเป็นสัญญาณว่า คุณกำลังอยู่ในภาวะ Monday Blues หรือ โรคเกลียดวันจันทร์ อาการที่บรรดาคนออฟฟิศเป็นกันมาก ซึ่งอาจนำไปสู่การหมดไฟ กระทบต่อการใช้ชีวิต และหากปล่อยทิ้งไว้ถึงขั้นเสี่ยงต่อการเป็นโรคซึมเศร้า และเกิดภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันได้เลยทีเดียว

 

สำหรับ Monday Blues เป็นอาการที่เกิดจากความเครียดหรือความกดดันในที่ทำงาน และการหยุดพักช่วงวันเสาร์ – อาทิตย์ และต้องกลับไปทำงานในวันจันทร์ ก็ทำให้ต้องเผชิญกับความกดดันเหล่านั้นอีกครั้ง ทำหลายคนเกิดอาการเครียดจนนอนไม่หลับ

 

อาการดังกล่าว ชี้ชัดจากผลวิจัยของ SleepFoundation.org ที่พบว่า 30.9% ของวัยทำงานชาวสหรัฐฯ เมื่อเทียบกับวันอื่น ๆ แล้ว คืนวันอาทิตย์เป็นคืนที่หลับยากที่สุดในรอบสัปดาห์ โดยสาเหตุหลัก 57.2% มาจากกังวลเพราะ ‘พรุ่งนี้วันจันทร์’ รองลงมา 43.8% กังวลเรื่องงาน และ 41.3% กังวลเรื่องครอบครัว

 

ความรู้สึกเกลียดวันจันทร์ Forbes รายงานว่า อาจจะเกิดมาจากการมีความสัมพันธ์เชิงลบระหว่างเรากับผู้ร่วมงาน เจ้านาย ลูกน้อง และลูกค้า เจ้านาย จนเราไม่อยากไปทำงาน ซึ่งภาวะเหล่านี้ ส่งผลให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนความเครียดออกมาเยอะ ทำให้เกิดความรู้สึกหดหู่ หงุดหงิด ฉุนเฉียว นอนไม่หลับในวันอาทิตย์ บางคนจะรู้สึกปวดท้อง มวนท้อง

 

หากปล่อยไว้นานอาจนำไปสู่ผลข้างเคียงร้ายแรงทางจิตใจ อย่างภาวะซึมเศร้าได้ และเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยของร่างกาย โดยเฉพาะ ‘โรคหัวใจ’ โดย British Heart Foundation (BHF) รายงานว่า วันจันทร์จะเป็นวันที่มีผู้ป่วยเข้ามารับรักษาในโรงพยาบาลด้วยอาการหัวใจวายสูงกว่าวันอื่นในสัปดาห์

 

แล้วเราจะรับมือกับอาการ Monday Blues ได้อย่างไร?

 

  1. วางแผน To-do-list สิ่งที่ต้องทำไว้ล่วงหน้าเมื่อถึงวันสุดท้ายของการทำงาน หรือก่อนเริ่มต้นสัปดาห์ เพื่อช่วยลดความกังวลหรือเครียดว่า จะทำงานไม่เป็นไปตามเป้าหมาย

 

  1. ควรหยุดพักเต็มที่ในวันหยุด เพื่อให้ร่างกายและจิตใจได้พักผ่อนหลังจากลุยงานหนักมาทั้งสัปดาห์

 

  1. พักผ่อนให้เพียงพอ โดยคืนวันอาทิตย์ควรนอนเร็วกว่าปกติ เพื่อให้ตื่นมาตอนเช้าแล้วจะได้รู้สึกกระปรี้กระเปร่าและสดชื่น พร้อมรับมือกับเช้าวันจันทร์ที่เป็นวันเริ่มต้นของการทำงาน

 

  1. เพิ่มมุมมองบวกต่อการเริ่มต้นงานในวันจันทร์ เพื่อให้เรามีแรงจูงใจในการทำงานมากกว่าเดิม และพยายามโฟกัสอยู่กับปัจจุบัน อย่ากังวลกับอดีตหรืออนาคตที่ยังมาไม่ถึง

 

  1. ไม่ควรรับประทานอาหารมือค่ำในวันอาทิตย์อิ่มมากเกินไปหรือดื่มคาเฟอีน หรือเครื่องดื่มมึนเมา เพราะจะทำให้เรานอนหลับไม่สนิท

 

  1. หาวิธีผ่อนคลายระหว่างวัน อย่านั่งทำงานเคร่งเครียดตลอดเวลา งเช่น หาของเล่นหรือต้นไม้เล็ก ๆ มาประดับบนโต๊ะทำงาน ลุกเดินยืดเส้นยืดสาย ฯลฯ

 

หากลองทำตามวิธีข้างต้นแล้ว อาการเกลียดวันจันทร์ยังไม่ดีขึ้น หรือเป็นหนักมาก ๆ เช่น ตื่นเช้ามาแล้วรู้สึกใจสั่น หายใจไม่สะดวก ฯลฯ ควรไปปรึกษากับนักบำบัด เพื่อหาทางช่วยแก้ไม่ให้กลายเป็นปัญหาที่รุนแรงเกินไป

 

ที่มา

.

https://www.forbes.com/sites/jacquelynsmith/2013/02/25/11-ways-to-beat-the-monday-blues/?sh=725b68ae23f5

https://www.businessinsider.com/monday-is-the-weeks-top-moan-day-2011-9

One-Third of Us Lose Sleep to the ‘Sunday Scaries.’ Here’s How To Get It Back

]]>
1531384
เทคนิค ‘การทำงาน’ ให้สอดคล้องกับนาฬิกาชีวิต เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด https://positioningmag.com/1526950 Sun, 22 Jun 2025 10:57:44 +0000 https://positioningmag.com/?p=1526950 เคยสงสัยหรือไม่ว่า ทำไมบางช่วงของวันเราถึงสามารถทำงานได้ดีที่สุดหรือง่ายกว่าช่วงเวลาอื่น ? คำตอบก็คือขึ้นอยู่กับ ‘นาฬิกาชีวิต’ (Circadian Rhythm) ซึ่งควบคุมการทำงานของเซลล์และระบบต่างๆ ในร่างกายที่จะทำงานตามวัฏจักรเวลา 24 ชั่วโมง ไม่ว่าจะเป็น การควบคุมระดับพลังงาน ความตื่นตัวของสมอง และความสดชื่น ฯลฯ

 

ดังนั้น หากสามารถจัดตารางเวลาทำงานให้สอดคล้องกับจังหวะธรรมชาติของร่างกายได้ ไม่เพียงจะเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพเท่านั้น ยังช่วยเปลี่ยนแปลงประสิทธิภาพในการทำงานให้ดีขึ้นได้ด้วย

 

เช้า: ‘ช่วงเวลาแห่งพลัง’ เวลาดีสุดสำหรับทำงานที่ยากหรือต้องใช้ความตั้งใจสูง

 

สมองของคนเราจะเฉียบแหลมที่สุดในตอนเช้า โดยเฉพาะช่วงไม่กี่ชั่วโมงแรกหลังจากตื่นนอน ซึ่งถือเป็น ‘ช่วงเวลาแห่งพลัง’ เหมาะสำหรับงานที่ต้องใช้สมาธิสูง การคิดเชิงกลยุทธ์ และความตั้งใจสูง เช่น การวางแผน การเขียน การตัดสินใจ และการเรียนรู้  

 

ช่วงเวลาเช้า ควรใช้ไปกับการทำงานเพื่อบรรลุเป้าหมายสำคัญที่สุด และเหมาะมากกับงานที่ต้องใช้วินัยในการลงมือสูง ไม่ใช่ใช้ไปกับงานรูทีนอย่างการส่งอีเมล

 

ช่วงบ่าย: ‘โหมดการบำรุงรักษาของร่างกาย’ เหมาะกับการทำงานรูทีน

 

หลังอาหารกลางวันอาจจะสังเกตเห็นว่า ระดับพลังงานและความเฉียบแหลมทางปัญญาลดลง ถือว่าเป็นช่วงเวลาของ ‘โหมดการบำรุงรักษาของร่างกาย’ จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการจัดการงานประจำหรืองานธุรการที่ใช้พลังของสมองไม่มากนัก เช่น การตอบอีเมล การจัดเตรียมการประชุม หรือการอัปเดตเอกสาร

 

ช่วงบ่ายแก่ๆ : เวลาแห่งการสร้างสรรค์สิ่งใหม่

 

เมื่อวันเวลาผ่านไป สมองจะเริ่มรู้สึกเหนื่อยล้าเล็กน้อย ร่างกายก็จะเริ่มผ่อนคลาย ซึ่งจะกระตุ้นให้เกิดการระดมความคิด และสร้างสรรค์เรื่องราวต่าง ๆ  ดังนั้น ควรใช้เวลาช่วงบ่ายแก่ๆ ไปกับการสร้างไอเดียใหม่ๆ ทำงานสร้างสรรค์  หรือหาทางออกของปัญหาที่อาจเจอในตอนเช้า

 

ตอนเย็น: ผ่อนคลายด้วยการอ่านหนังสือหรือไตร่ตรอง

 

หลังอาหารเย็น สมองจะเริ่มทำงานช้าลงอีกครั้ง พลังใจของคุณก็จะลดลงเช่นกัน นี่เป็นโอกาสที่ดีเยี่ยมในการ ‘ซึมซับ’ เนื้อหาแทนที่จะ ‘สร้างขึ้นมา’ ลองอ่านหนังสือ ฟังพอดแคสต์ ไตร่ตรองเรื่องราวในแต่ละวัน หรือจดบันทึกความคิด

 

แล้วเวลาไหนเหมาะกับการประชุม ?

 

สำหรับเวลาที่ดีที่สุดในการกำหนดเวลาประชุมแบบตัวต่อตัว หรือ One-on-One คือ เวลา 09.30–11.00 น. เพราะเป็นช่วงที่ทุกคนยังมีพลังงานสูงและมีเวลาตั้งหลัก เนื่องจากการประชุมลักษณะดังกล่าวต้องใช้สมาธิ            มีประสิทธิภาพ และสร้างความสัมพันธ์ทางอารมณ์สูง  

 

ส่วนเวลาดีที่สุดของการประชุมทีม คือ 10.00–12.00 น. หรือช่วง 13.00–15.00 น. หากมีผู้เข้าร่วมจำนวนมาก จากการวิจัยของ YouCanBookMe แนะนำให้เลือก ‘วันอังคาร เวลาประมาณ 14.30 น.’ และจากข้อมูลของ Calendly ยังพบว่า ‘วันพุธ’ เป็นวันที่มีการประชุมในออฟฟิศเยอะที่สุด ส่วน ‘วันอังคาร’ เป็นวันที่มีการประชุมออนไลน์มากสุด

 

การจัดการเวลาไม่ได้เกี่ยวกับวินัยเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องของการกำหนดตารางเวลาให้สอดคล้องกับนาฬิกาชีวิต ซึ่งหากเข้าใจจังหวะการทำงานของร่างกายและค้นหาเวลาที่ดีที่สุดในการทำกิจกรรมแต่ละอย่าง จะช่วยลดความ เครียด หลีกเลี่ยงความเหนื่อยล้า และสามารถบรรลุผลสำเร็จได้มากขึ้น

 

ที่มา

 

https://www.forbes.com/sites/lucianapaulise/2025/05/24/what-is-the-best-time-to-work/

]]>
1526950
เมื่อเกิด ‘หัวร้อน’ ในที่ทำงาน จะดึง ‘สติ’ ตัวเองกลับมาได้อย่างไร? https://positioningmag.com/1520802 Thu, 08 May 2025 05:34:18 +0000 https://positioningmag.com/?p=1520802 ชีวิตของคนทำงานที่แต่ละวันต้องเผชิญกับการแข่งขันและความกดดันต่าง ๆ สารพัดรูปแบบ อาจทำให้หลายคนเกิดอาการ ‘หัวร้อน’ ได้ง่ายขึ้น ซึ่งบางครั้งกระทบต่อการทำงานหรือความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานหรือกระทั่งหัวหน้า วันนี้จึงอยากชวนอ่านเทคนิคดึงสติตัวเองไม่ให้เกิดอาการปรี๊ดแตก จนการทำงานต้องสะดุด และก่อให้ผลเสียมากมายตามมาได้

 

1.เมื่อต้องเจอเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดอารมณ์โกรธ อย่าตัดสินอะไรใน 3 วินาทีแรก และให้รอ 6 วินาที เพื่อให้ความมีเหตุผลเริ่มทำงาน

 

2.ลองให้คะแนนความโกรธดู เช่น คะแนน 1-3 โกรธไม่นานเดี๋ยวหาย,  คะแนน 4-6 โกรธแบบเบาๆ แต่ผ่านไปสักพักก็ยังไม่หาย, คะแนน 7-9 โกรธมากแบบเกือบสับแต่กลับมาได้ และคะแนน 10 โกรธแบบไม่มีอะไรมาลบล้างได้ ซึ่งการลองคะแนนความโกรธ ก็เพื่อให้โฟกัสกับการให้คะแนน และไม่ถูกความโกรธครอบงำจนเกินไป

 

3.เข้าใจความโกรธ ความจริงอารมณ์โกรธเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ตามธรรมชาติ และไม่ใช่สิ่งไม่ดีหรือแสดงออกไม่ได้ เพียงแต่อย่าแสดงความโกรธไปแบบขาดสติจนกระทบเรื่องอื่น ๆ คุณควรแสดงความโกรธอย่างเหมาะสม โดยสื่อสารให้อีกฝ่ายเข้าใจความรู้สึกแบบไม่ใช้อารมณ์เกินไป

 

4.ลองฝึกจัดการความโกรธ การจัดการความโกรธเป็นการฝึกความแข็งแกร่งของจิตใจ แต่การรู้แต่เทคนิค ไม่ได้ฝึกทำในสถานการณ์จริงอาจไม่เกิดผล

 

5.จงยอมรับโลกไม่ได้หมุนรอบตัวเราและหยุดคาดหวังไปเอง โดยเฉพาะกับคนใกล้ตัวคุณ เพราะเมื่ออะไรๆ ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง ก็อาจทำให้เราเกิดความโกรธได้มากกว่าปกติ ดังนั้น จงกลับมามีสติ และฝึกสังเกตตัวเองไม่ให้ตั้งคาดหวังจนเกินไป

 

6. ไม่ยัดเยียดความคิดเห็นส่วนตัวว่า ‘ต้องแบบนี้สิถึงจะถูก’ ‘แบบนี้ผิดนะ’ เพื่อไม่ให้หงุดหงิดขึ้นมาโดยไม่จำเป็น และควรขีดเส้นตัวเองไว้ไม่ให้ไปยุ่งกับความคิดเห็นของคนอื่น จนเป็นการบังคับฝืนใจอีกฝ่ายมากไป

 

7.พาตัวเองออกมาสงบจิตสงบใจจากตรงนั้น เมื่อโกรธจนควันออกหู แนะนำให้ขอ ‘เวลานอก’ ออกมาจากสถานการณ์ตรงนั้น เพื่อให้ตัวเองได้รีเซ็ตอารมณ์ให้เข้าที่เข้าทางก่อน แล้วค่อยกลับมาคุยด้วยเหตุผลอีกครั้ง

 

8.ค่อยๆ หายใจเข้าลึก ๆ โดยหายใจเข้า 4 วินาที หายใจออก 8 วินาที ทำซ้ำไป 2-3 ครั้ง เพื่อค่อยๆ ตั้งสติตัวเองลงมา ไม่ให้โกรธจนน็อตหลุด 

 

9.ลองถอนหายใจ เมื่อเราสั่งสมความเหนื่อยล้าและความกังวลต่างๆ จนร่างกายเริ่มออกอาการ เช่น หงุดหงิดง่าย หายใจถี่ กล้ามเนื้อหดเกร็ง ฯลฯ แนะนำให้ถอนหายใจ เพราะจะช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย ลดการเกร็ง และส่งเสริมระบบประสาทอัตโนมัติ หากกลัวจะไม่เหมาะสมก็ลองหลบไปถอนหายใจในที่ ๆ คนอื่นไม่เห็น เช่น ห้องน้ำดู

 

10.โฟกัสสิ่งที่มีอยู่ในมือ หากเกิดอารมณ์โกรธลองมาโฟกัสกับสิ่งของตรงหน้า เช่น สิ่งที่อยู่ในมือ สิ่งที่อยู่บนโต๊ะทำงาน หรืออะไรสักอย่าง เพื่อเบนความสนใจหรือเปลี่ยนโฟกัส และเลิกคิดฟุ้งซ่านวนเวียนกับความโกรธที่เกิดขึ้น

 

การชนะอาการหัวร้อนได้ ไม่ใช่แค่เป็นการชนะสถานการณ์ เพื่อให้เราไม่เสียเวลาและหงุดหงิดไปโดยเปล่าประโยชน์ แต่เป็นการชนะตัวเอง ซึ่งเป็น ‘อาวุธลับ’ ที่จะทำให้เราโดดเด่นและเหนือกว่าในทุกสถานการณ์ รวมถึงได้จดจ่ออยู่กับสิ่งสำคัญมากกว่าเสียเวลาไปกับเรื่องบางเรื่องที่ไม่สำคัญ

.

ที่มา : หนังสือ 100 นิสัยไม่เป็นคนหัวร้อน เขียน โทดะ คุมิ

]]>
1520802
‘คนทำงาน’ ควรมีเงินสำรองฉุกเฉินเท่าไร? เพื่อรับยุคเศรษฐกิจตกต่ำ และอะไร ๆ ก็ไม่แน่นอน https://positioningmag.com/1520122 Thu, 01 May 2025 09:25:22 +0000 https://positioningmag.com/?p=1520122 ก่อนหน้านี้ทาง ‘สมาคมนักวางแผนการเงินไทย’ ได้เตือนให้คนไทยต้องมีเงินสำรองฉุกเฉินอย่างน้อย 6-12 เดือน เพื่อรับมือกับยุคแห่งความไม่แน่นอน จากความผันผวนทางเศรษฐกิจ สงครามการค้า แถมโดนภาษีทรัมป์มา กระหน่ำ ซึ่งกระทบกับการเติบโตทางเศรษฐกิจทั่วโลก รวมถึง ‘ไทย’ ที่ปีนี้คาดการณ์ว่า จะโตไม่ถึง 2.0% และมูดีส์ ได้ปรับลดแนวโน้มอันดับเครดิตของไทยลงสู่มุมมอง ‘เชิงลบ’ จากเดิมที่มี ‘เสถียรภาพ’

 

คำถามคือ แล้วคนทำงานอย่างเรา ๆ ควรมีเงินสำรองฉุกเฉินเท่าไร เพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนหรือเหตุการณ์ไม่คาดฝันต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น

 

เงินสำรองคืออะไร

 

เงินสำรองฉุกเฉิน คือ เงินที่สะสมไว้เพื่อใช้ในเหตุการณ์ฉุกเฉินหรือสถานการณ์ที่ไม่ได้คาดการณ์มาก่อน ซึ่งเงินส่วนนี้ต้องมี ‘สภาพคล่องสูง-เบิกถอนได้ง่าย-เอามาใช้ได้อย่างรวดเร็ว’ ได้แก่ บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ บัญชีเงินฝากออมทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์ หรือกองทุนรวมตลาดเงิน ฯลฯ

 

อย่างไรก็ตามเงินสำรองฉุกเฉินไม่จำเป็นต้องเป็น ‘เงิน’ เท่านั้น อาจเป็นทรัพย์สินในการลงทุนระดับความเสี่ยงต่ำๆ ประเภทกองทุนตราสารหนี้ เช่น พันธบัตรรัฐบาล และหุ้นกู้เอกชน ฯลฯ

 

ส่วนความสำคัญของเงินสำรองฉุกเฉินนั้น ถือเป็นหนึ่งในกองเงินที่สำคัญและมีประโยชน์มากสำหรับตัวเราเองและครอบครัว เนื่องจากจะช่วยให้คลี่คลายปัญหาความเดือดร้อนเรื่องเงินในสถานการณ์ต่างๆ ได้อย่างไร้กังวล

 

นอกจากนี้แล้วยังช่วยควบคุมการใช้จ่ายไม่จำเป็นได้และวางแผนทางการเงินได้ดีขึ้น เช่น เมื่อต้องหักเงินบางส่วนไปสะสมเป็นเงินสำรองฉุกเฉิน จะทำให้เราคิดและไตร่ตรองในการใช้เงินที่เหลืออยู่มากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันเมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินไม่คาดฝัน ก็มีเงินใช้โดยไม่ต้องไปหยิบยืมคนอื่นหรือก่อหนี้เพิ่มเติมนั่นเอง

 

แล้วเงินสำรองฉุกเฉินต้องมีเท่าไรถึงจะพอ?

 

ทางกสิกรไทยแนะนำว่า นอกจากอาชีพแล้ว จำเป็นต้องนำค่าใช้จ่ายรายเดือนตามไลฟ์สไตล์ของแต่ละบุคคลมาคิดประกอบด้วย  

 

กลุ่มอาชีพข้าราชการ และรัฐวิสาหกิจ : เป็นกลุ่มที่มีความมั่นคงในหน้าที่การงานและมีโอกาสตกงานต่ำ ทำให้ในการสะสมเงินสำรองสำหรับคนกลุ่มนี้เงินเพียงพอต่อค่าใช้จ่ายรายเดือนเผื่อในอนาคตสัก 2-4 เดือน ก็เพียงพอแล้ว

 

ตัวอย่างเช่น ได้เงินเดือน 40,000 บาท มีค่าใช้จ่ายต่อเดือนรวม 20,000 บาท การเก็บเงินสำรองฉุกเฉินควรมี 40,000-80,000 บาท

 

กลุ่มอาชีพพนักงานเอกชน : กลุ่มที่มีเงินเดือนที่ค่อนข้างสูง มีความมั่นคง แต่เพื่อป้องกันการตกงานในอนาคต หรือต้องเผชิญหน้ากับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว จนอาจทำให้เกิดภาวะความไม่มั่นคงในหน้าที่การงาน จำเป็นต้องสะสมเงินสำรองฉุกเฉิน 3-6 เดือนเป็นอย่างน้อย

 

ตัวอย่างเช่น หากมีรายได้ต่อเดือน 60,000 บาท แต่สัดส่วนค่าใช้จ่ายรายเดือนอยู่ที่ 30,000 บาท ต้องมีการเก็บเงินสำรองฉุกเฉินอยู่ที่ 90,000-180,000 บาท

 

กลุ่มอาชีพอิสระ หรือ ฟรีแลนช์ : เป็นกลุ่มคนที่มีอัตราความเสี่ยงสูงที่สุด เนื่องจากมีความไม่มั่นคงในอาชีพการงานมากกว่าสองกลุ่มแรก และมีความไม่แน่นอนในรายได้ หากต้องการสะสมเงินสำรองฉุกเฉินจำเป็นจะต้องวางแผนสำรองเงินอย่างน้อย 6-12 เดือน เพื่อป้องกันการหางานยาก และสถานการณ์ที่ยากเกินจะคาดเดาในอนาคต

 

ตัวอย่างเช่น กรณีมีรายได้ต่อเดือน 30,000 บาท และมีค่าใช้จ่ายต่อเดือนราว 15,000 บาท การเก็บเงินสำรองต้องอยู่ที่ 90,000-180,000 บาท เพื่อให้สามารถรองรับกับสถานการณ์ฉุกเฉิน และภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน

 

อย่างไรก็ตาม จำนวนเดือนของการวางแผนสำรองเงินดังกล่าวอาจจะเพียงพอสำหรับการใช้จ่ายแค่ตัวเราเองเท่านั้น ยังไม่รวมถึงคนในครอบครัวของเรา ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยไม่ว่าจะอาชีพไหน ควรต้องมีเงินสำรองฉุกเฉินอย่างน้อย 6-12 เดือน

 

นอกจากการเก็บเงินสำรองไว้ใช้จ่ายยามฉุกเฉินหรือเกิดเหตุไม่คาดฝันแล้ว บรรดาคนทำงาน ควรต้องกระชับพื้นที่การใช้จ่าย ลดการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลง และพยายามอย่าก่อหนี้เพิ่มเติม รวมถึงควรเพิ่มทักษะต่าง ๆ เพื่อหารายได้เพิ่มเติม และกระจายความเสี่ยงในหลายสินทรัพย์ด้วย

]]>
1520122
ผลวิจัยชี้ CEO ก็กลัวตกงาน เพราะ AI เหมือนกัน https://positioningmag.com/1518553 Thu, 17 Apr 2025 05:38:25 +0000 https://positioningmag.com/?p=1518553 ไม่ใช่แค่พนักงานเท่านั้นที่กังวลว่า การพัฒนาของเทคโนโลยี AI จะเข้ามาแย่งตำแหน่งและทำให้ตัวเองต้องตกงาน เพราะผลสำรวจชี้ว่า ผู้บริหารหรือซีอีโอ ก็กังวลต้องตกงานจาก AI เช่นเดียวกัน 

 

The Harris Poll ได้ทำการสำรวจซีอีโอกว่า 500 คนในยุโรป โดย 1 ใน 4 เป็นบริษัทด้านเทคโนโลยี พบว่า ซีอีโอถึง 74% ยอมรับว่า ตนเองอาจจะต้องออกจากงานภายใน 2 ปี หากยังไม่สามารถใช้ AI มาเป็นตัวขับเคลื่อนหลักเพื่อสร้างผลกำไร

 

เมื่อเทียบกับคู่แข่ง ซีอีโอ 70% คาดการณ์ว่า ภายในสิ้นปีนี้จะมีซีอีโอคนอื่น ๆ อย่างน้อยหนึ่งคนจะถูกปลดออกจากตำแหน่ง เนื่องจากกลยุทธ์ AI ที่ล้มเหลว ขณะเดียวกันซีอีโอราว 54%  ยอมรับคู่แข่งมีการนำกลยุทธ์ AI ที่เหนือกว่ามาใช้แล้ว ซึ่งย้ำให้องค์กรต่าง ๆ เห็นถึงความเร่งด่วนในการนำ AI มาใช้อย่างเป็นรูปธรรม 

 

ผลการวิจัยชิ้นนี้ ยังชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในการรับผิดชอบของผู้บริหาร โดยซีอีโอถึง 94% ยอมรับว่า AI สามารถให้คำแนะนำในการตัดสินใจทางธุรกิจได้เท่าเทียมหรือดีกว่าบอร์ดบริหารที่เป็นมนุษย์

 

และซีอีโอ 89% เชื่อว่า AI สามารถพัฒนาแผนยุทธศาสตร์ได้เท่าเทียมหรือดีกว่าผู้นำฝ่ายบริหารในระดับ รองประธาน ไปจนถึง C-Level เสียอีก 

 

 

ที่มา

.

https://www.businessinsider.com/ceos-insecure-about-ai-strategy-2025-3

 

]]>
1518553
เอาไงดี ‘เด็กจบใหม่’ TDRI เผยนายจ้างเกินครึ่งรับคนทำงานที่มีประสบการณ์ขั้นต่ำ 1-2 ปี https://positioningmag.com/1511548 Wed, 19 Feb 2025 13:04:19 +0000 https://positioningmag.com/?p=1511548 ก่อนหน้านี้ เราได้เห็นผลสำรวจว่า หัวหน้า HR ส่วนใหญ่ปฏิเสธที่รับ ‘เด็กจบใหม่’ เพราะไม่มีประสบการณ์ในการทำงาน ล่าสุด ทีม Big Data สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ได้เปิดเผยวิเคราะห์ประกาศรับสมัครงาน สำรวจโอกาสของเด็กจบใหม่ ซึ่งมีทิศทางเดียวกัน นั่นคือ

 

ตำแหน่งงานที่มีการประกาศรับสมัครงานออนไลน์ส่วนใหญ่ เป็น ‘ระดับ junior’ (กลุ่มที่ต้องการประสบการณ์ขั้นต่ำ 1-2 ปี) มีจำนวนมากถึง 84,669 ตำแหน่ง หรือคิดเป็น 38.3% รองลงมา คือ ตำแหน่งงานที่ต้องการ ‘ประสบการณ์ 3 ปีขึ้นไป’ จำนวน 54,877 ตำแหน่ง คิดเป็น 24.8%

 

ส่วนตำแหน่งงานระดับ entry-level ที่ไม่ต้องการประสบการณ์ 49,366 ตำแหน่ง คิดเป็น 22.3% รวมถึงยังมีตำแหน่งงานประกาศที่ไม่ระบุความต้องการประสบการณ์อีกจำนวน 32,427 ตำแหน่ง คิดเป็น 14.7%

จากรายงานดังกล่าวยังระบุ ตำแหน่งงานส่วนใหญ่ต้องการผู้สมัครที่มีประสบการณ์ทำงาน โดยมีตำแหน่งงานที่ต้องการประสบการณ์ทำงานถึง 139,546 ตำแหน่ง คิดเป็น 63.1% นอกจากนี้ ประสบการณ์ที่นายจ้างมีแบบแผนในการต้องการประสบการณ์ของผู้สมัครงาน ได้แก่

 

1.ด้านระดับการศึกษา พบว่า ตำแหน่งงานที่ต้องการ ‘ผู้มีระดับการศึกษาสูง’ มีแนวโน้มต้องการ ‘ประสบการณ์ทำงานสูง’ ขึ้นด้วย อย่าง ‘ระดับปริญญาตรี’ ตำแหน่งงานส่วนใหญ่กว่า 78.6% ต้องการคนมีประสบการณ์ขั้นต่ำ 1-2 ปี รองลงมา 38.6% ต้องการประสบการณ์ขั้นต่ำ 3 ปีขึ้นไป และมีเพียง 16% บอกไม่ต้องการประสบการณ์

 

2.ตำแหน่งงานวิชาชีพและมีเส้นทางอาชีพ (career path) ที่ดี เช่น งานด้านการเงิน คอมพิวเตอร์ วิศวกรรม และอาจจะรวมถึงงานด้านกฎหมาย มักต้องการผู้สมัครที่มีประสบการณ์ทำงานมาบ้าง และมีตำแหน่งงานสำหรับผู้เริ่มอาชีพไม่มากนัก ซึ่งอาจจะทำให้เกิดปัญหาไม่สามารถป้อนคนเข้าสู่ตลาดแรงงาน เนื่องจากมีความต้องการรับผู้สมัครงานที่สำเร็จการศึกษาใหม่ไม่มาก และเมื่อผู้สมัครงานไม่มีโอกาสในการทำงาน ก็จะไม่มีประสบการณ์ไปสมัครงาน

 

ส่วนงานที่มีสัดส่วนการรับผู้ไม่มีประสบการณ์นั้นมักเป็นงานพื้นฐาน หรือเป็นงานที่ไม่ได้ใช้ทักษะความรู้สูงมากนัก เช่น งานด้านการขาย งานการผลิต และงานบริการต่างๆ

นอกจากจะเผยถึงตลาดแรงงานและโอกาสของเด็กจบใหม่แล้ว รายงานดังกล่าวยังมีข้อเสนอแนะ เพื่อลดปัญหาช่องว่างระหว่างผู้ที่สำเร็จการศึกษาแต่ยังขาดประสบการณ์การทำงาน กับความต้องการของนายจ้าง โดยรัฐบาลควรพิจารณาส่งเสริมการฝึกงานสำหรับผู้ที่เพิ่งสำเร็จการศึกษาที่ยังไม่เคยมีประสบการณ์ทำงานมาก่อน (internship หรือ traineeship) ที่อาจศึกษาแนวทางในต่างประเทศ และร่วมหารือกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย เพื่อให้สามารถออกแบบมาตรการที่สามารถใช้แก้ไขปัญหาได้อย่างเหมาะสม

 

นอกจากนี้ รัฐบาลควรส่งเสริมให้สถานศึกษาจัดการเรียนการสอนในรูปแบบทวิภาคีหรือสหกิจศึกษามากขึ้น เพื่อเปิดโอกาสให้นักศึกษาได้มีประสบการณ์ทำงานอย่างเข้มข้นในสาขาอาชีพที่เรียนมา ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการหางาน และช่วยให้ผู้สำเร็จการศึกษาสามารถปรับตัวเข้าสู่โลกของการทำงานได้ราบรื่นมากขึ้นนั่นเอง

 

อ่านรายงานฉบับเต็มได้ที่ : https://tdri.or.th/2025/02/online-job-post-bigdata-q4-2024/

]]>
1511548
ทำความรู้จัก Pomodoro Technique ที่จะช่วยให้คุณทำงานเสร็จเร็วขึ้น แถมมีประสิทธิภาพดี https://positioningmag.com/1510143 Mon, 10 Feb 2025 09:14:35 +0000 https://positioningmag.com/?p=1510143 เชื่อว่า เมื่องานเยอะจนล้นมือ หลายคนคงเคยประสบปัญหาบริหารจัดเรียงลำดับความสำคัญไม่ถูกและโฟกัสอะไรไม่ได้ ซึ่งวันนี้เราจะมาแนะนำเทคนิคที่จะมาช่วยแก้ปัญหาในเรื่องนี้ นั่นคือ  ‘Pomodoro Technique’ หรือ ‘เทคนิคมะเขือเทศ’

‘ฟรานเชสโก ซิริลโล’ (Francesco Cirillo) เป็นผู้คิดค้นเทคนิคบริหารเวลานี้ ส่วนที่มาของชื่อ เทคนิคมะเขือเทศ เพราะ Pomodoro มาจากภาษาอิตาลีที่หมายถึง ‘มะเขือเทศ’ เนื่องจากเขาได้แรงบันดาลใจมาจากตัวจับเวลาสำหรับทำอาหารในห้องครัวที่มีรูปทรงมะเขือเทศ (Tomato kitchen timer) นั่นเอง

หัวใจของ Pomodoro Technique คืออะไร?

Pomodoro Technique จะเน้นถึงพลังของ ‘การโฟกัส’ ด้วยวิธีการง่าย ๆ โดยมีขั้นตอนหลักอยู่ 5 ขั้นตอน ได้แก่

  1. เลือกโฟกัสชิ้นงานสำคัญมา 1 งาน เขียนรายละเอียดงานที่ต้องทำออกมาเป็นข้อ ๆ
  2. กำหนดกรอบเวลาทำงานไว้ที่ 25 นาทีต่อ 1 งานนี้
  3. เริ่มต้นทำงานพร้อมกับจับเวลาไม่ให้เกิน 25 นาที
  4. เมื่อถึง 25 นาทีครบกำหนดให้ขีดกำกับงานที่ทำเสร็จไปแล้ว ก่อนจะไปพักเบรคเพื่อผ่อนคลายเป็นเวลา 5 นาทีเต็ม เช่น ลุกเดินออกจากโต๊ะทำงานและห้ามคิดหมกมุ่นกับงานในหัว เป็นต้น
  5. เมื่อหมดเวลาพัก 5 นาที ให้กลับมาทำงานชิ้นต่อไป โดยกำหนดไว้ที่ 25 นาทีเหมือนเดิม วนลูปแบบนี้ต่อไป โดยงานชิ้นหลัง ๆ ให้เพิ่มเวลาพักเบรกเป็น 15-30 นาที

ทั้งนี้ ฟรานเชสโกผู้คิดค้น Pomodoro Technique แนะนำให้ใส่ความ ‘ยืดหยุ่น’ ลงไปได้ ไม่ว่าจะเป็นการปรับแต่งเทคนิคให้เหมาะสมกับงานและจริตของตัวเราเอง รวมถึงอย่ายึดติดกับตัวเลขมากจนเกินไป

ยกตัวอย่างเช่น ถ้างานเสร็จก่อน 25 นาทีที่กำหนด อาจใช้เวลานั่งทบทวนความถูกต้องอีกครั้ง เพื่อความรอบคอบ หรือ ถ้างานยังไม่เสร็จแม้จะครบ 25 นาทีแล้ว ก็ยังบังคับควบคุมจิตใจตัวเองให้หยุดเลิกทำแล้วไปพัก 5 นาทีก่อน

Pomodoro Technique เป็นเทคนิคบริหารเวลาที่ได้รับการยอมรับและมีความนิยมในวงกว้าง เนื่องจากทำได้ง่ายและสอดคล้องกับกระบวนการทำงานของสมองมนุษย์เราที่เรียกว่า Parkinson’s Law คือ คนเรามักมีแนวโน้มทำงานไปเรื่อย ๆ ตราบเท่าที่มีเวลา ถ้ามีเวลามาก ก็จะทำงานเอื่อยเฉื่อยไปเรื่อย ๆ แต่ถ้ามีเวลาน้อย ก็จะรีบทำงานให้เสร็จ

เมื่อเทคนิคดังกล่าวบังคับจำกัดเวลาลงเหลือแค่ 25 นาที เราจึงมีแนวโน้มพยายามทำให้เสร็จอย่างดีเยี่ยมภายใน 25 นาทีเท่าที่มี

นอกจากนี้ Pomodoro Technique ยังให้พลังกับการ ‘โฟกัส’ ที่งานเพียงชิ้นเดียว ซึ่งผลวิจัยชี้ว่า สมองคนเรามีสมาธิในการทำงานได้ดีกว่าเมื่อเพ่งสมาธิไปกับการทำงานเพียงอย่างเดียว (Single tasking) ขณะที่การกำหนดเวลา 25 นาที เป็นระยะเวลาที่ ‘ไม่มากไป’ และ ‘ไม่น้อยไป’ สำหรับการที่สมองจะโฟกัสตั้งใจทำอะไรได้อย่างมีสมาธิ

สิ่งที่หลายคนชื่นชอบเทคนิคนี้ ก็คือ ‘เวลาเบรกพัก 5 นาที’ เสมือนการทำงานของสมองคนเราที่จะโฟกัสเพ่งสมาธิ สลับกับการหยุดพักเบรก

ขณะเดียวกัน ก็ช่วยลดโอกาสเกิดภาวะออฟฟิศซินโดรม เพราะการได้ลุกออกเดินขณะพักเบรค 5 นาที จะทำให้เราไม่เครียดจัดจนเกินไป ซึ่งจะส่งผลเสียต่อทั้งร่างกายและจิตใจของเราได้

อ้างอิง

  • https://www.pomodorotechnique.com
  • https://www.jobillico.com/blog/en/the-pomodoro-technique
  • https://medium.com/@theintrovertalert/the-man-behind-the-pomodoro-technique-a-look-into-the-life-of-francesco-cirillo-80ca95ed0535
]]>
1510143