คนทำงาน – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Wed, 18 Dec 2024 03:57:35 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 เปิดโผประเทศในฝันที่คน ‘อยากย้าย’ ไปทำงานมากที่สุด https://positioningmag.com/1503820 Tue, 17 Dec 2024 12:46:32 +0000 https://positioningmag.com/?p=1503820 แม้ช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีหลายบริษัทจะให้พนักงานเข้าทำงานที่ออฟฟิศเป็นบางวัน ทว่าคนทำงานทั้งหลายยังคงแสวงหาความยืดหยุ่นในการทำงานจากที่ไหนก็ได้และการสร้างบาลานช์ให้ชีวิตมีคุณภาพดี ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลให้คนกว่า 800 ล้านคนทั่วโลกกำลังมองหางานในต่างประเทศ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของตัวเอง

 

CNBC Make It ได้รายงานถึงผลสำรวจล่าสุดของ Jobseeker ในการจัดอันดับประเทศที่ผู้คนทั่วโลกต้องการย้ายไปทำงานมากที่สุด พบว่า ประเทศที่ผู้หางานต้องการย้ายไปทำงานมากที่สุด ได้แก่

อันดับ 1     แคนาดา

อันดับ 2     ออสเตรเลีย

อันดับ 3     สหรัฐอเมริกา และสวิตเซอร์แลนด์

อันดับ 4     เดนมาร์ก, สิงคโปร์, ซาอุดีอาระเบีย และสหราชอาณาจักร

อันดับ 5     ญี่ปุ่น, กาตาร์, เยอรมนี, สเปนและนิวซีแลนด์

 

Reyhaneh Mansouri ผู้เชี่ยวชาญด้านอาชีพของ Jobseeker กล่าวว่า เหตุผลที่ ‘แคนนาดา’ เป็นประเทศที่ผู้คนปรารถนาอยากย้ายไปทำงานมากที่สุด โดยเฉพาะกลุ่มผู้หางานจากคอสตาริกา เยอรมนี อินเดีย ญี่ปุ่น เม็กซิโก แอฟริกาใต้ ซาอุดีอาระเบีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เป็นเพราะว่า แคนนาดาเป็นประเทศที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก และเป็นประเทศที่เปิดรับผู้คนที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม

 

นอกจากนี้ยังมาจากเรื่องของภาษา และกระบวนการตรวจคนเข้าเมือง ตลอดจนการขอใบอนุญาตทำงานที่ดำเนินการอย่างรวดเร็ว เมื่อเทียบกับประเทศในสหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา และสหราชอาณาจักร

 

รวมถึงมีค่าเฉลี่ยที่ดีทั้งรายได้ การศึกษา สุขภาพ คุณภาพสิ่งแวดล้อม ความสัมพันธ์ทางสังคม และความพึงพอใจในชีวิต ตามดัชนี OECD Better Life โดย 70% ของประชากรในประเทศที่มีอายุ 16-64 ปี เป็นผู้มีงานทำ และคนอายุ 25-64 ปีถึง 92% สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ทำให้แรงงานส่วนใหญ่ของประเทศมีคุณภาพและมีส่วนสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ

 

ขณะที่ ‘ออสเตรเลีย’ เป็นประเทศที่มีคนต้องการย้ายไปทำงานมากที่สุดเป็นอันดับ 2 เพราะออสเตรเลียเป็นตลาดงานที่แข็งแกร่งแห่งหนึ่งของโลก รวมถึงเป็นประเทศที่มีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และมีคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่งการย้ายไปทำงานออสเตรเลีย จะเน้นคนทำงานที่มีทักษะ และมีประสบการณ์ในอาชีพ

 

นอกจากนี้ ออสเตรเลียได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในประเทศที่มีความสุขที่สุดจากรายงาน World Happiness Report 2024 โดยประชากรประมาณ 73% อายุระหว่าง 15-64 ปีในออสเตรเลียมีงานทำ และมีรายได้สุทธิต่อหัวเฉลี่ยอยู่ที่ 37,433 ดอลลาร์ต่อปี เป็นไปตามดัชนี OECD Better Life

 

ส่วน ‘สวิตเซอร์แลนด์’ เป็นประเทศที่ผู้คนปรารถนาย้ายไปทำงานมากที่สุดเป็นอันดับ 3 อันเนื่องมาจากพนักงานได้รับประโยชน์จากชั่วโมงการทำงานที่น้อยลง มีนโยบายวันหยุดพักร้อนที่น่าสนใจ รวมถึงมีวัฒนธรรมให้ความสำคัญกับความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน ซึ่งเป็นแรงดึงดูดหลักให้ผู้คนต้องการย้ายไปทำงานที่นั่น

อ้างอิง

https://www.cnbc.com/2024/12/11/jobseeker-most-desirable-countries-relocation.html

https://www.jobseeker.com/en/resume/articles/where-the-world-wants-to-work

]]>
1503820
เด็กจบใหม่ตกงานเพิ่มและนานขึ้น!!! โดยว่างงาน 1 ปีขึ้นไปเพิ่ม 16.2% และกว่า 65% ระบุ ‘หางานไม่ได้’ https://positioningmag.com/1500668 Mon, 25 Nov 2024 10:45:15 +0000 https://positioningmag.com/?p=1500668 เป็นเรื่องน่าจับตามอง เมื่อสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สภาพัฒน์ ได้เปิดเผยถึงอัตราการจ้างงานในไตรมาส 3 ปี 2567 พบว่า มีคนว่างงาน 414,000 คน คิดเป็นอัตราการว่างงาน 1.02 % โดยการว่างงานที่เพิ่มขึ้นนั้นมีทั้ง ‘กลุ่มเคยทำงาน’ และ ‘ไม่เคยทำงานมาก่อน’

 

สำหรับ ‘คนว่างงานที่เคยทำงานมาก่อน’ มีอัตราว่างงานเพิ่มสูงขึ้น 2.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน หรือคิดเป็นจำนวน 180,000 คน ส่วนใหญ่เป็นการออกมาจากภาคธุรกิจขายปลีก-ขายส่ง และภาคอุตสากรรมการผลิต

 

แต่ที่น่าสนใจ ก็คือ ‘เด็กจบใหม่’ หรือ ‘ผู้ไม่เคยทำงานมาก่อน’ มีแนวโน้มตกงานเพิ่มขึ้น และนานขึ้น โดยสภาพัฒน์พบว่า คนกลุ่มนี้มีอัตราว่างงานสูงขึ้น 3.5% หรือมีจำนวนไม่ต่ำ 230,000 คน ส่วนใหญ่จบการศึกษาระดับสูงสุดของระดับอุดมศึกษา, มัธยมศึกษาตอนปลายไปจนถึงมัธยมตอนต้น

 

นอกจากนี้เด็กจบใหม่ยังเป็นกลุ่มผู้ว่างงานที่ยาวนานขึ้นตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไปเพิ่มสูงขึ้น 16.2% หรือราว ๆ 81,000 คน โดยกว่า 65% ของคนในกลุ่มนี้ระบุว่า หางานไม่ได้ ขณะที่ 71.3% ไม่เคยทำงานมาก่อน ซึ่งในจำนวนนี้เกือบ 3 ใน 4 อยู่ในช่วงอายุ 20 – 29 ปี

 

สำหรับเหตุผลของการที่เด็กจบใหม่หรือผู้ไม่เคยทำงานมาก่อนมีแนวโน้มตกงานเพิ่มขึ้นและนานขึ้นนั้น ทางสภาพัฒน์ให้เหตุผลว่า ส่วนหนึ่งมาจากมีอุตสาหกรรมที่มีผลต่อการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทย อาทิ Data Center ขนาดใหญ่, งานประกอบแผงวงจร การผลิตอุปกรณ์และแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ ฯลฯ ซึ่งแรงงานที่ผลิตออกมาอาจไม่สอดคล้องกับอุตสาหกรรมดังกล่าว

 

ดังนั้น จึงอยากส่งเสริมให้ผู้ประกอบการมีส่วนในการ Upskill และ Reskill กับกลุ่มแรงงานให้เหมาะสมกับการเปลี่ยนผ่านของอุตสาหกรรม

 

]]>
1500668
9 Soft Skills ที่คนทำงานควรมีในปี 2019 https://positioningmag.com/1220556 Tue, 19 Mar 2019 06:57:13 +0000 https://positioningmag.com/?p=1220556 ภาพ : Designed by Freepik

แม้คนทำงาน 1 คนควรจะมีฮาร์ด สกิล” (Hard Skills) ซึ่งเป็นทักษะที่จะทำให้มีความเชี่ยวชาญในตำแหน่งงานหรืออาชีพนั้น แต่ทักษะสายงานตรงอย่างเดียวอาจจะไม่เพียงพอต่อการทำงานในวันนี้ ที่หลายบริษัทต้องการความสามารถที่หลากหลาย มาทำงานรวมกันร่วมกัน

นั้นก็คือ “Soft Skills” ทักษะที่ค่อย พัฒนามาจากการใช้ชีวิต การเข้าสังคมและการทำงาน ซึ่งเป็นทักษะที่สามารถเอาไปปรับใช้ได้ ไม่ว่าจะทำงานในสายงานไหนก็ตาม จึงเป็นที่มาให้JobThaiออกมาเผย 9 Soft Skills ที่คนทำงานควรมีในปี 2019 เพื่อที่จะช่วยทำให้คุณกลายเป็นพนักงานที่โดดเด่นเข้าตาองค์กร

1. การบริหารเวลา (Time Management)

ทักษะการบริหารเวลาอาจจะไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ก็เป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ง่ายเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะคนทำงานในยุคนี้ที่ต้องเร่งรีบเพื่อแข่งกับเวลา ทักษะในการบริหารเวลาจึงเป็นทักษะที่สำคัญต่อคนทำงาน ซึ่งการทำงานในแต่ละวันควรมีการวางแผน ควบคุม กำหนดระยะเวลาและจัดลำดับความสำคัญของงานให้ชัดเจน เพื่อทำให้งานสําเร็จตามเป้าหมายในเวลาที่กำหนด

2. การเรียนรู้ตลอดชีวิต (Life-Long Learning)

ในปัจจุบันการพัฒนาที่ก้าวกระโดดของเทคโนโลยีทำให้เกิดนวัตกรรม เกิดอาชีพใหม่ ตลอดจนวิธีการทำงานที่เปลี่ยนแปลงไป ดังนั้นคนทำงานจึงต้องมีการเตรียมพร้อมในการเรียนรู้อยู่เสมอ และสิ่งสำคัญสำหรับการเรียนรู้ของคนทำงานในยุคนี้คือ วิธีการอ่านจับใจความสำคัญ การสรุปประเด็น และการเชื่อมโยงข้อมูลความรู้ต่าง เข้าด้วยกัน ตลอดจนสามารถวิเคราะห์ความเหมือนและความแตกต่างจากสิ่งที่เรียนรู้มาได้

3. ความฉลาดทางอารมณ์ (Emotional Intelligence)

การทำงานในองค์กรหรือแม้แต่คนที่ทำงานอิสระเองนั้น ล้วนต้องมีการติดต่อประสานงานกับผู้อื่นทั้งสิ้น Emotional Intelligence จึงเป็นทักษะสำคัญและส่งผลอย่างมากต่อการทำงาน เพราะคนที่มีความฉลาดทางอารมณ์ คือคนที่มีความสามารถในการสังเกต ทำความเข้าใจ จัดการ และแสดงออกทางอารมณ์ของตัวเองได้อย่างดี รวมถึงสังเกตและทำความเข้าใจอารมณ์ของคนอื่นด้วย ทักษะนี้จะช่วยให้คนทำงานสามารถควบคุมอารมณ์และแสดงออกได้อย่างเหมาะสมในแต่ละสถานการณ์

4. ความสามารถในการปรับตัว (Adaptability)

โลกทุกวันนี้มีการเปลี่ยนแปลงต่าง เกิดขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบการติดต่อสื่อสาร เครื่องมือและวิธีการทำงาน เป็นต้น ความสามารถในการปรับตัวและมีความยืดหยุ่นทางความคิดจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมากในปัจจุบัน โดยคนที่มีทักษะในการปรับตัวและเปลี่ยนมุมมองความคิดจะสามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงต่าง ที่เกิดขึ้น และสามารถพลิกแพลงหาวิธีที่เหมาะสมกับสถานการณ์หรือเหตุการณ์ต่าง ที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี

5. การทำงานร่วมกับผู้อื่น (Collaboration)

การทำงานทุกวันนี้เราต้องทำงานร่วมกับคนที่หลากหลาย ทั้งในแง่ของสายงาน ช่วงวัย หรือรูปแบบการทำงาน องค์กรต่าง จึงต้องการคนทำงานที่มีทักษะในการทำงานร่วมกับคนอื่น เพื่อสร้างสรรค์ผลงานที่มีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการทำงานร่วมกันภายในทีมตัวเองและการทำงานร่วมกับคนอื่น รวมไปถึงทักษะในการบริหารคนที่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในคนทำงานระดับหัวหน้าอีกต่อไป แต่จำเป็นสำหรับคนทำงานในทุก ระดับ

6. การสื่อสาร (Communication)

ไม่ว่าจะทำงานในธุรกิจไหนหรือองค์กรใด แน่นอนว่าในที่ทำงานต้องมีการติดต่อสื่อสารกัน ไม่ว่าจะเป็นการนำเสนองาน การเสนอความคิดเห็นทั้งกับหัวหน้า เพื่อนร่วมงานหรือลูกน้อง ซึ่งการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพจะช่วยให้เกิดความร่วมมือและการช่วยเหลือซึ่งกันและกันในการทำงาน ทำให้การทำงานเป็นไปอย่างราบรื่น

7. การแก้ไขปัญหาที่มีความซับซ้อน (Complex Problem Solving)

เนื่องจากทุกวันนี้องค์กรต่าง ถูกผลกระทบจากเทคโนโลยี ตลอดจนความหลากหลายของธุรกิจ ทำให้ปัญหาที่เกิดขึ้นมีความแตกต่างไปจากอดีตและมีความซับซ้อนมากขึ้น ทำให้ทักษะการแก้ไขปัญหาที่มีความซับซ้อนถูกพูดถึงกันอยู่ไม่น้อย โดยทักษะนี้ต้องอาศัยหลายทักษะย่อย ไม่ว่าจะเป็น การเก็บข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล ระบุปัญหาและความต้องการของลูกค้า อาศัยความเข้าใจในการเชื่อมโยง และใช้ความสามารถในการอ่านบริบทของธุรกิจ ตลอดจนต้องสร้างสรรค์วิธีแก้ไขปัญหาในรูปแบบต่าง ตามแต่ละสถานการณ์แล้วตัดสินใจแก้ปัญหาได้อย่างเหมาะสม

8. การคิดเชิงวิเคราะห์และเลือกตัดสินใจ (Critical Thinking and Decision-making)

ยุคแห่งข้อมูลมหาศาลที่รอให้เข้าไปขุดค้นออกมา หรือ Big Data กำลังเป็นที่พูดถึงกันมากขึ้นเรื่อย ทักษะการคิดเชิงวิเคราะห์จะช่วยให้เราสามารถย่อยข้อมูลจำนวนมากได้ โดยต้องรู้จักตั้งคำถามเชิงวิเคราะห์ ตีความ ประเมินทางเลือกและตัดสินใจ เพื่อให้องค์กรได้ประโยชน์สูงสุด และเกิดความผิดพลาดน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้หรือไม่มีความผิดพลาดเลย  

9. ความคิดสร้างสรรค์ (Creativity)

ความพยายามสร้างบางอย่างที่นอกเหนือไปจากสิ่งที่คนทั่วไปมองเห็น ถือว่าเป็นทักษะที่มีคุณค่ามากที่สุดเลยก็ว่าได้ เพราะไม่มีหลักสูตรตายตัวในการเรียน การสอน ทักษะนี้ยังเป็นการรวมเอาหลาย ทักษะย่อยไว้ด้วยกัน เช่น ช่างสังเกต อยากรู้อยากเห็น และการเปิดใจกว้าง รวมถึงการเสพข้อมูลต่าง อย่างหลากหลาย ความคิดสร้างสรรค์ในที่นี้ไม่ได้ใช้ในงานศิลปะเท่านั้น แต่เป็นการนำความคิดสร้างสรรค์มาใช้กับงาน ไม่ว่าจะเป็นการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์หรือบริการที่จะช่วยแก้ปัญหาให้ลูกค้า ซึ่งองค์กรต่าง อยากได้คนที่มีทักษะนี้เข้าไปมีส่วนร่วมในการหยิบเอาเทคโนโลยี วิธีการทำงาน หรือแนวคิดมาใช้สร้างสรรค์ไอเดียใหม่ ให้องค์กรด้วย.

]]>
1220556
เปิดลิสต์ 10 สวัสดิการที่คนทำงานต้องการมากที่สุด “วันลาต้องมี สุขภาพก็สำคัญ”  https://positioningmag.com/1196450 Thu, 08 Nov 2018 11:00:10 +0000 https://positioningmag.com/?p=1196450 Thanatkit

การจะตัดสินใจทำงานกับองค์กรใดองค์กรหนึ่ง นอกเหนือจากเรื่องผลตอบแทนที่คนทำงานส่วนใหญ่ให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกแล้ว ยังมีปัจจัยที่คนทำงานให้ความสำคัญรองลงมาก็คือ “สวัสดิการ

ด้วยเหตุนี้ จ๊อบไทยเว็บไซต์หางาน สมัครงาน ที่มีผู้ลงทะเบียนฝากประวัติกว่า 1.5 ล้านคน และมีจำนวนงานจากบริษัทชั้นนำกว่า 90,000 อัตรา จึงได้ทำการสำรวจความคิดเห็นของคนทำงานทั่วประเทศ จำนวน 7,420 คน เรื่องสวัสดิการที่คนทำงานต้องการจากองค์กร” พบว่า 10 สวัสดิการแรกที่คนทำงานต้องการมากที่สุด ได้แก่

1.โบนัส 2.วันหยุดวันลาตามกฎหมาย 3.ประกันสังคม 4.ประกันสุขภาพ 5.ค่าล่วงเวลา 6.เงินออมพิเศษ 7.ค่ารักษาพยาบาลบุคคลในครอบครัวของพนักงาน 8.เวลาทำงานที่ยืดหยุ่นได้ (Flexible Hour) 9.ประกันชีวิต และ 10.เบี้ยขยัน

ในขณะเดียวกันจ๊อบไทยยังได้ทำการสำรวจฝ่ายบุคคลในหัวข้อ สวัสดิการที่องค์กรจัดสรรให้กับพนักงาน จำนวน 457 คน ทั่วประเทศ พบว่า 10 สวัสดิการที่องค์กรจัดสรรให้กับพนักงานมากที่สุด ได้แก่ 1.วันหยุดวันลาตามกฎหมาย 2.ประกันสังคม 3.โบนัส 4.ค่าล่วงเวลา 5.กิจกรรมสันทนาการ 6.ชุดทำงาน 7.ตรวจสุขภาพประจำปี 8.เบี้ยขยัน 9.เงินสนับสนุน เช่น งานแต่งงาน งานอุปสมบท และ 10.ประกันอุบัติเหตุ 

ซึ่งหากเปรียบเทียบสวัสดิการที่องค์กรให้พนักงานกับสวัสดิการที่พนักงานต้องการพบว่ามีสวัสดิการที่ตรงกัน 5 สวัสดิการ ได้แก่ โบนัสวันหยุดวันลาตามกฎหมายประกันสังคมค่าล่วงเวลา และเบี้ยขยัน 

ส่วนสวัสดิการที่คนทำงานยุคใหม่ต้องการนอกเหนือจากเรื่องรายได้คือสวัสดิการด้านสุขภาพ อันประกอบด้วยประกันสุขภาพ ค่ารักษาพยาบาลบุคคลในครอบครัวของพนักงาน ประกันชีวิต ฯลฯ กลับไม่ได้ถูกนำมาเป็นสวัสดิการที่องค์กรมอบให้แก่พนักงานใน 10 สวัสดิการแรก

นอกจากนี้ผลสำรวจยังเผยให้เห็นว่า คนทำงานในแต่ละกลุ่มนั้นมีความต้องการสวัสดิการที่แตกต่างกันออกไปดังนี้

สวัสดิการของคนทำงานตามช่วงอายุ (Generation) พบว่ากลุ่มคนทำงาน Gen X จะให้ความสำคัญกับสวัสดิการด้าน “เงินออม” เนื่องจากเป็นวัยที่กำลังใกล้เกษียณ หลักประกันที่จะช่วยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีหลังเกษียณจึงเป็นเรื่องจำเป็น ในทางกลับกันกลุ่มคนทำงาน Gen Y และ Gen Z ไม่ได้มองว่าสวัสดิการด้านนี้สำคัญ แต่ให้ความสำคัญกับสวัสดิการด้าน ค่าล่วงเวลา และ เบี้ยขยัน” มากกว่า

สวัสดิการของคนทำงานตามเพศ (Gender) พบว่าสวัสดิการที่คนทำงานแต่ละเพศให้ความสำคัญแตกต่างกันคือ เพศชายต้องการ “เวลาทำงานที่ยืดหยุ่นได้” ในขณะที่เพศหญิงต้องการ เงินค่าล่วงเวลา มากกว่า  

สวัสดิการของคนทำงานตามระดับงาน (Level) โดยระดับผู้บริหารจะให้ความสำคัญในเรื่อง “ค่ารักษาพยาบาลบุคคลในครอบครัว มากกว่าคนทำงานในระดับอื่น ๆ ส่วนสวัสดิการด้าน โบนัส” “วันหยุดวันลาตามกฎหมาย และ “ประกันสุขภาพ” เป็นสิ่งที่คนทำงานในทุกระดับต้องการ

สวัสดิการของคนทำงานตามประเภทธุรกิจ (Industry) จากการสำรวจคนทำงานที่อยู่ในประเภทธุรกิจที่เป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานมากที่สุด 5 อันดับในเว็บไซต์จ๊อบไทย ได้แก่ อาหารเครื่องดื่มบริการค้าปลีกยานยนต์ และก่อสร้าง พบว่าโดยภาพรวมสวัสดิการที่คนทำงานต้องการเหมือนกันคือ โบนัส” “วันหยุดวันลาตามกฎหมาย และ ประกันสังคม

ส่วนคนทำงานในประเภทธุรกิจยานยนต์นั้นมีความต้องการสวัสดิการด้าน ค่ารักษาพยาบาลบุคคลในครอบครัว และ “เงินออม” มากกว่าคนทำงานในประเภทธุรกิจอื่น ๆ ในขณะที่คนทำงานในประเภทธุรกิจก่อสร้างมีความต้องการสวัสดิการด้าน “เวลาทำงานที่ยืดหยุ่นได้” มากกว่าคนทำงานในประเภทธุรกิจอื่นๆ

สวัสดิการของคนทำงานในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด (Area) พบว่าคนทำงานที่อยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ มีความต้องการสวัสดิการด้าน “เวลาทำงานที่ยืดหยุ่นได้” เนื่องจากการทำงานที่ยืดหยุ่นจะช่วยลดระยะเวลาในการเดินทางได้ส่วนหนึ่ง ส่งผลให้คนทำงานในกรุงเทพฯ สามารถจัดสมดุลระหว่างการทำงานและชีวิตส่วนตัวได้มากขึ้น ในขณะที่คนทำงานที่อยู่ในพื้นที่ต่างจังหวัดให้ความสำคัญกับสวัสดิการด้าน ค่ารักษาพยาบาลบุคคลในครอบครัว มากกว่า

แสงเดือน ตั้งธรรมสถิตย์ ผู้ร่วมก่อตั้งและหัวหน้าผู้บริหารด้านปฏิบัติการของจ๊อบไทย (JobThai) กล่าวว่า

จะเห็นได้ว่าการดูแลพนักงานให้สนใจอยากร่วมทำงาน หรืออยู่ทำงานกับองค์กรให้ยาวนานที่สุดถือเป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งที่องค์กรมองข้ามไม่ได้ ซึ่งนอกเหนือจากเงินเดือนแล้ว สวัสดิการเหล่านี้ ถือเป็นขวัญกำลังใจที่จะช่วยให้พนักงานสามารถทำงานร่วมกับองค์กรได้อย่างมีความสุข

ทั้งนี้นอกจากสวัสดิการตามที่กฎหมายกำหนดแล้ว องค์กรยังสามารถจัดสรรสวัสดิการแปลกใหม่ตามความเหมาะสม เพื่อช่วยดึงดูดให้คนอยากมาร่วมงานและมีส่วนช่วยในการรักษาพนักงานไว้กับองค์กรได้เป็นอย่างดี

]]>
1196450