คนรุ่นมิลเลนเนียล – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Wed, 02 Jan 2019 07:09:26 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 เผยผลสำรวจ “เศรษฐกิจสุขภาพในไทย คนไทยเข้าสู่วังวน “จน – เครียด – ป่วย” ชี้ฝึกสมาธิ -ใช้แอปสุขภาพ เทรนด์รักษา https://positioningmag.com/1206097 Wed, 02 Jan 2019 06:23:21 +0000 https://positioningmag.com/?p=1206097 วันเดอร์แมนธอมสัน (Wunderman Thompson) บริษัทที่ปรึกษาด้านการสื่อสารการตลาดในเครือดับบลิวพีพี กรุ๊ป เผยผลสำรวจล่าสุดเกี่ยวกับ “เศรษฐกิจสุขภาพในประเทศไทย (The Well EconomyThailand)” ในกลุ่มคนจำนวน 500 คน พบข้อมูลแปลกใหม่ที่น่าสนใจในกลุ่มผู้บริโภคยุคปัจจุบันที่ดำเนินชีวิตท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของโลกและความผันผวนทางเศรษฐกิจ โดยแบ่งเป็น 4 บริบทที่ส่งผลต่อสุขภาพของคนไทยในยุคปัจจุบัน ได้แก่ นิยามของคำว่าสุขภาพ, สาเหตุที่สุขภาพไม่ดี, การรักษา, สุขภาพและเทคโนโลยี

นิยามของสุขภาพดี ต้องดี 5 ด้าน! และการไดเอทคือเทรนด์มาแรงสุด

ผลการสำรวจล่าสุดพบว่าผู้คนในยุคนี้ให้คำนิยามของ “สุขภาพดี” ต้องครอบคลุมถึง สุขภาพกาย สุขภาพจิต สุขภาพทางเพศ สติสัมปชัญญะ ความสมดุลของการทำงานและการใช้ชีวิต

แต่กลุ่มคนเจน X และเบบี้บูมเมอร์จะรู้สึกว่า สุขภาพจิต เป็นส่วนสำคัญในนิยามของคำว่าสุขภาพ

ในขณะที่เจน Z และคนรุ่นมิลเลนเนียล จะเชื่อมโยงสุขภาพกับสุขภาพด้านร่างกาย และ ความสมบูรณ์แข็งแรง ที่สำคัญประเด็นด้านการควบคุมดูแลอาหาร (Diet) เช่นการเลือกอาหาร หรือการให้ความสำคัญกับการอ่านผลิตภัณฑ์ ถูกมองว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดอันดับหนึ่ง มากกว่าการออกกำลังกาย ที่จะช่วยในการใช้ชีวิตอย่างมีสุขภาพดี แรงจูงใจหลักในการดูแลร่างกายของคนไทยคือต้องการให้ภาพลักษณ์ของตัวเองดูดี (Positive Self Image) ผ่านการมีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงและไม่มีโรคร้ายแรง โดยพบว่า 82% ผู้คนคิดว่าเป็นเรื่องสำคัญที่ฉันจะต้องดูดี 50% ของเจน Z มิลเลนเนียล และเจน X จดจ่ออยู่กับการดูแลรักษาร่างกายให้ดูดีสมส่วนและสมบูรณ์แข็งแรง และมักจะกังวลเรื่องน้ำหนักตัวของตนเองหรือการที่พวกเขาไม่กำยำล่ำสันมากพอ และ 89% มองว่าปัจจุปันนี้การเลือกสิ่งที่ดีต่อสุขภาพได้กลายเป็นกระแสนิยมที่ห้ามตกเทรนด์

แล้วถ้าเป็นเรื่องสาเหตุที่สุขภาพไม่ดีล่ะ? คนคิดว่าเกิดจากอะไร

คนไทย 90% เชื่อว่าปัญหาสิ่งแวดล้อมอาจกระทบต่อสุขภาพของพวกเขา แทนที่จะกล่าวหาพฤติกรรมและรูปแบบการใช้ชีวิตส่วนตัวของตนเอง! นอกจากนี้ ยังหวังให้ภาครัฐออกมาทำหน้าที่ดูแลประชาชนอีกด้วย

ส่วนปัจจัยอันดับหนึ่งที่ส่งผลต่อสุขภาพไม่ดี คือ เรื่องเงินทองและการเงินส่วนบุคคล ถูกตั้งประเด็นว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่ทำให้คนยุคนี้เกิดความเครียด (58%) เช่นเดียวกับในประเทศอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น ออสเตรเลีย (52%) จีน (42%) อินโดนีเซีย (60%) ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพของพวกเขาโดยตรง และนำไปสู่วัฏจักรการหาเงินมาแก้ไขปัญหาสุขภาพวนเวียนอยู่ไม่รู้จบ เข้าข่ายที่ว่า “เงินน้อย (ลง) ส่งผลให้เกิดความเครียด เมื่อเกิดสภาวะเครียดกดดัน ก็กระทบกับสุขภาพกายและใจ จึงทำให้เจ็บป่วย เมื่อเจ็บป่วย จึงต้องเสียเงินเพื่อเยียวยารักษา” โดยพบว่าคนเจน X มีแนวโน้มจะมีความเครียดมากที่สุดในทุกแง่มุมของชีวิต

คำแนะนำผ่านช่องทางออฟไลน์และออนไลน์คือทางออกหลัก พุทธศาสนาส่งผลดีในด้านการรักษาตนเอง

เมื่อพบว่าป่วย คนไทยจะรักษาตนเองด้วยยาแก้ปวด ลดไข้จากร้านขายยา มากที่สุด โดยกลุ่มคนรุ่นมิลเลนเนียล (65%) และเจน X (73%) จะรักษาตัวเองโดยใช้ยาแก้ปวดทั่วไปเพื่อให้ผลในทางรักษารวดเร็วประหยัดเวลา ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนที่มากกว่าคนในรุ่นอื่นๆ นอกจากนี้พวกเขายังใช้ยา “ธรรมชาติ” เป็นทางเลือกอีกด้วย

อีกหนึ่งกระแสที่มาแรงและส่งผลต่อพฤติกรรมการรักษา คือ คนไทยในทุกกลุ่มอายุ จะใช้ช่องทางออนไลน์เป็นทางออกที่ช่วยเสริมคำแนะนำที่ได้รับจากช่องทางออฟไลน์โดย 46% ของเบบี้บูมเมอร์จะไปคลินิก ตลอดจนค้นหาข้อมูลของอาการและวิธีการรักษาเพิ่มเติมจากช่องทางออนไลน์

ส่วนเจน Z (30%) คนรุ่นมิลเลนเนียล (27%) และเจน X (25%) จะเสาะหาคำแนะนำจากช่องทางโซเชียลมีเดีย และยังพบว่า เจน Z (19%) เลือกการรักษาด้วยการคุยกับแพทย์ผ่านช่องทางออนไลน์มากกว่า

นอกจากนี้คนไทยมองว่าแนวคิดทางพุทธศาสนาส่งผลทางบวกต่อสุขภาพ โดยคนไทยมีอัตราการทำสมาธิและบำบัดตนเองสูงสุดทั้งในแง่ของร่างกายและอารมณ์ อาทิ การทำสมาธิ 78% เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 51%,
การผ่อนคลายด้วยสปา 60% เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 53%, รักษาโดยนักบำบัด 50% เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ย
ทั่วโลกที่ 30%

แอปสุขภาพ คือ ความหวังใหม่! ที่มาแรง!

ปัจจุบันเทคโนโลยีมีศักยภาพสูงในการช่วยรักษาสุขภาพของคนยุคปัจจุบัน แต่จำเป็นต้องให้ความรู้ความเข้าใจในการใช้งาน และให้ความมั่นใจเรื่องความปลอดภัยของข้อมูล กว่าครึ่งของกลุ่มตัวอย่างในการศึกษาครั้งนี้ยังไม่มีการใช้แอปพลิเคชั่นด้านสุขภาพเพื่อติดตามตรวจสอบสุขภาพของตน แม้จะอยู่ในประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างมากก็ตาม เช่น ญี่ปุ่น ซึ่ง 78% ของเบบี้บูมเมอร์ระบุว่าพวกเขาไม่มีการใช้แอป

โดยเหตุผลหลักที่ไม่ใช้แอปมีความแตกต่างกันตามอายุ เช่นกลุ่มคนรุ่นเก่าไม่มีความรู้ตลอดจนไม่ได้ติดตามว่าแอปที่เกิดขึ้นใหม่ๆ นั้น ทำอะไรได้บ้าง และเชื่อถือแพทย์มากที่สุด ส่วนคนรุ่นมิลเลนเนียล (56%) เจน X (47%) และเจน Z (44%) คือกลุ่มหลักที่มีโอกาสจะเป็นกลุ่มผู้ใช้แอปพลิเคชั่นสุขภาพ

แต่เมื่อสำรวจในกลุ่มผู้ใช้แอปสุขภาพแล้ว พบว่าพวกเขารู้สึกว่าหากใช้อย่างถูกต้องสิ่งนี้จะช่วยให้พวกเขาไปถึงเป้าหมายตามนิยามของคำว่า “สุขภาพดี” ได้อย่างแน่นอน แอปสุขภาพนั้นมีประโยชน์อย่างยิ่งในการช่วยมอนิเตอร์เรื่องความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ น้ำหนัก อัตราการเต้นของหัวใจ และการควบคุมดูแลอาหาร/โภชนาการในแต่ละวัน โดย 87% เชื่อว่าเทคโนโลยีจะช่วยให้พวกเขามีสุขภาพที่ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ได้ 81% ชอบที่จะติดตามแอปตรวจสอบสุขภาพของตนที่บ้านมากกว่าที่จะไปพบแพทย์

สถานการณ์ เศรษฐกิจสุขภาพ ของคนไทยในระดับ Micro Segment คือ ดัชนีชี้วัดสำคัญของความมั่นคงแข็งแรงและเสถียรภาพของประเทศ สุขภาพกายใจของคนคือผลสรุปของระดับความเป็นอยู่ของประชาชน การขยายตัวทางเศรษฐกิจ ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ และสภาพสังคมในระดับมหภาค เพราะ “คนที่มีคุณภาพ” ย่อมสร้าง “ประเทศชาติที่มีคุณภาพ” เช่นกัน ยิ่งโดยเฉพาะในโลกที่มีการแข่งขันสูง และเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การรู้เท่าทันสุขภาพทั้งสุขภาพกาย สุขภาพจิต สุขภาพทางเพศ สติสัมปชัญญะ ความสมดุลของการทำงานและการใช้ชีวิต จึงเป็นวาระสำคัญที่ทุกภาคส่วน รวมถึงคนไทยทุกคน ที่จะต้องหันมารณรงค์ในการดูแลป้องกันก่อนที่ปัญหาสุขภาพจะกลายเป็นวัฏจักร “จน – เครียด – ป่วย” จนส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศในที่สุด.

]]>
1206097
ผลวิจัยเผยคนกลุ่มมิลเลนเนียล ไม่มั่นใจว่าพร้อมสำหรับโลกยุค 4.0 ให้น้ำหนักกับธุรกิจช่วยสังคมมากกว่าผลกำไร https://positioningmag.com/1175515 Sat, 23 Jun 2018 05:29:07 +0000 https://positioningmag.com/?p=1175515 ธุรกิจต้องคิดใหม่ ทำใหม่ เมื่อดีลอยท์ ได้เปิดเผยถึงผลสำรวจ Deloitte Millennial Survey ครั้งที่ 7 โดยสำรวจกลุ่มมิลเลนเนียลจำนวน 10,455 คน จาก 36 ประเทศ รวมถึงคนกลุ่มเจนซีที่เพิ่งเริ่มเข้าทำงานอีกจำนวน 1,850 คนจาก 6 ประเทศ พบว่า กลุ่มคนยุคมิลเลนเนียลและGen Z ต่างให้ความสำคัญกับภาคธุรกิจในการร่วมกันเร่งมือสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับโลก 

แม้ว่าธุรกิจบางแห่งจะเริ่มหันมาให้ความสำคัญในประเด็นเรื่องสังคมแล้วก็ตาม แต่กลุ่มมิลเลนเนียลเองยังเคลือบแคลงในเรื่องของแรงจูงใจ และจรรยาบรรณในการทำธุรกิจเพิ่มมากขึ้น

เมื่อนำไปเทียบกับผลสำรวจ Deloitte Millennial Survey สองปีที่ผ่านมา พบว่า คนกลุ่มมิลเลนเนียลรู้สึกในทางที่ดีกับแรงจูงใจและจรรยาบรรณในการทำธุรกิจ แต่ผลจากการสำรวจในปี 2018 กลับพบว่าตรงกันข้าม โดยความเห็นเรื่องธุรกิจลดลงถึงระดับต่ำสุดในรอบ 4 ปี

มีกลุ่มมิลเลนเนียลเพียงร้อยละ 48 ที่ยังเชื่อว่าองค์กรประกอบธุรกิจอย่างมีจรรยาบรรณ เมื่อเทียบกับปี 2017 มีจำนวนถึงร้อยละ 65 นอกจากนี้ มิลเลนเนียลร้อยละ 42 ยังเชื่อว่าผู้บริหารธุรกิจนั้นมีความมุ่งมั่นในการช่วยเหลือสังคม ซึ่งตัวเลขดังกล่าวลดลงจากร้อยละ 62 ในปีที่แล้ว

ประเด็นที่ถือเป็นจุดสำคัญของสำรวจต่อเนื่อง 6 ปีที่ผ่านมา คือ ในการสำรวจครั้งนี้กลุ่มมิลเลนเนียลรวมถึงกลุ่มเจนซีให้ความสำคัญกับบทบาทของธุรกิจที่มีต่อสังคม และเชื่ออย่างมากว่า ความสำเร็จของธุรกิจนั้นไม่ได้มองกันแค่เพียงเรื่องของผลประกอบการ

โดยมองว่าธุรกิจควรให้ความสำคัญกับ 3 เรื่อง คือ การสร้างงานนวัตกรรม การดูแลส่งเสิรมชีวิตส่วนตัวและชีวิตการทำงานของพนักงาน และการสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับสังคมและสิ่งแวดล้อม 

เมื่อถูกถามว่า แล้วองค์กรที่ตนสังกัดนั้นให้ความสำคัญในเรื่องใดบ้าง คำตอบที่ได้คือ มุ่งสร้างผลกำไร

การเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงานและเน้นการผลิต การขาย หรือบริการ เป็นสามสิ่งที่มิลเลนเนียลมองว่าองค์กรควรให้ความสำคัญน้อยที่สุด ถึงแม้จะเข้าใจได้ว่าธุรกิจนั้นต้องมีกำไรก่อนถึงจะสามารถให้ในสิ่งที่มิลเลนเนียลต้องการได้ก็ตาม

แต่กลุ่มมิลเลนเนียลก็ยังเชื่อว่าธุรกิจควรตั้งเป้าให้กว้างและสมดุลมากขึ้น ควบคู่ไปกับเป้าหมายในด้านผลประกอบการ

พูนิท เรนเจน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ดีลอยท์ โกลบอล กล่าวว่า ผลการสำรวจในปีนี้ชี้ให้เห็นว่า ความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในทางสังคม เทคโนโลยี และภูมิรัฐศาสตร์โลกในปีที่ผ่านมานั้น ส่งผลต่อมุมมองในเรื่องธุรกิจของกลุ่มมิลเลนเนียลและเจนซี  และนี่ควรจะเป็นเรื่องที่เตือนสติผู้บริหารทั้งหลาย” 

“คนเจนนี้รู้สึกว่าผู้บริหารองค์กรให้ความสำคัญกับเรื่องของธุรกิจมากเกินไป โดยไม่คำนึงถึงการทำเพื่อสังคมส่วนรวม ธุรกิจควรหาทางที่จะทำสิ่งดี ๆ ให้กับสังคม ชุมชน และให้ความสำคัญกับความหลากหลาย การให้โอกาสมีส่วนร่วม และความยืดหยุ่นในการทำงาน ถ้าองค์กรยังต้องการได้ความจงรักภักดีและความไว้ใจจากพนักงานในกลุ่มมิลเลนเนียลและGen Z”

*** เชื่อช่องว่างช่วยสร้างโอกาส

นอกจากความเชื่อมั่นของมิลเลนเนียลในเรื่องธุรกิจว่าแย่แล้ว ความเชื่อมั่นต่อผู้นำทางการเมืองยิ่งแย่หนักกว่า เมื่อถูกถามถึงกลุ่มผู้นำบางกลุ่ม ซึ่งรวมถึงกลุ่ม NGO องค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร ผู้บริหาร ผู้นำศาสนา และผู้นำทางการเมือง คนกลุ่มมิลเลนเนียลเพียงร้อยละ 19 เท่านั้น ที่เชื่อว่านักการเมืองเหล่านั้นจะสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับสังคม ในขณะที่ร้อยละ 71 ตอบว่าสร้างผลกระทบเชิงลบ

เมื่อเทียบกับความเห็นของมิลเลนเนียลต่อผู้นำองค์การธุรกิจ ผู้ตอบแบบสำรวจร้อยละ 44 เชื่อว่า ผู้นำองค์กรธุรกิจจะสร้างผลกระทบที่ดีกับสังคม และยังมีศรัทธาว่าองค์กรธุรกิจ จะสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงที่มีความหมายต่อสังคมได้

ขณะที่สามในสี่ของผู้ตอบแบบสำรวจเชื่อว่า องค์การข้ามชาติขนาดใหญ่มีศักยภาพในการแก้ปัญหาและความท้าทายทางเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม  และสังคม และมิลเลนเนียลยังเชื่อว่านอกจากสร้างงานและสร้างกำไร ธุรกิจที่ดีจำเป็นต้องมีส่วนร่วมในการสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ดีให้กับสังคมด้วย

ความจงรักภักดีที่ถดถอย จะดึงให้อยู่กับองค์กรจึงต้องมีความหลากหลาย การให้โอกาสมีส่วนร่วม และความยืดหยุ่น

เมื่อความจงรักภักดีของมิลเลนเนียลต่อองค์กรลดระดับลงไปเท่ากับเมื่อสองปีที่แล้ว มิลเลนเนียลร้อยละ 43 คิดว่าจะลาออกจากองค์กรที่ตนทำงานอยู่ภายใน 2 ปี มีเพียงร้อยละ 28 เท่านั้นที่มองว่าจะยังคงทำงานที่เดิมเกิน 5 ปี

เรียกว่าเป็นคะแนนที่ห่างกันถึง 15 คะแนน หรือเป็นเปอร์เซ็นต์ที่เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 7 จากปีก่อน และในจำนวนผู้ตอบแบบสอบถามที่บอกว่าตนเองจะลาออกจากงานปัจจุบันในอีก 2 ปีข้างหน้า

โดยร้อยละ 62 มองว่า งานอิสระในระบบเศรษฐกิจแบบ gig economy นั้น จะเป็นทางเลือกที่ดีของพวกเขาเมื่อไม่ได้ทำงานประจำแล้ว

มาดูที่กลุ่มเจนซี ก็พบว่าความจงรักภักดีของกลุ่มนี้ มีน้อยกว่ามิลเลนเนียลถึงร้อยละ 61 และบอกว่าภายใน 2 ปี ถ้ามีโอกาสใหม่ที่ดีกว่าก็จะลาออกจากจากงานปัจจุบันแน่นอน

แล้วองค์กรธุรกิจจะดึงคนเหล่านี้ไว้ได้ยังไง ทั้งกลุ่มมิลเลนเนียลและเจนซี ให้ความสำคัญกับปัจจัยอย่าง ความอดทน การมีส่วนร่วม ความเคารพ และความคิดเห็นที่แตกต่าง ในขณะที่ค่าตอบแทนที่ได้รับ และวัฒนธรรมองค์กรเป็นตัวดึงดูดคนกลุ่มนี้

แต่ความหลากหลาย การมีส่วนร่วม และความยืดหยุ่น ต่างหากที่เป็นปัจจัยสำคัญในการทำให้มิลเลนเนียลและเจนซีนั้นมีความสุขกับการทำงาน

มิลเลนเนียลที่ทำงานในองค์กรที่มีพนักงานและผู้บริหารที่มีความหลากหลาย มีแนวโน้มว่าจะทำงานกับองค์กรไปอีก 5 ปี หรือมากกว่านั้น และในบรรดาผู้ตอบแบบสอบถามที่บอกว่าจะอยู่กับองค์การเกิน 5 ปี ก็รับรู้ถึงความยืดหยุ่นในการทำงานในปัจุจบันที่เพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับการทำงานเมื่อ 3 ปีก่อน

*** มิลเลนเนียลและเจนซี ไม่มั่นใจเผชิญโลก 4.0

มิลเลนเนลและเจนซีล้วนตระหนักดีว่าโลกยุค 4.0 นั้นกำลังปฏิรูปสถานที่ทำงาน และเป็นไปได้ว่าจะปลดคนจากงานที่ซ้ำซากออกไป เพื่อให้คนทำงานไปเน้นงานประเภทที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ อย่างไรก็ตามหลาย ๆ คนยังไม่มั่นใจเมื่อจะไปถึงวันนั้น

ร้อยละ 17 ของผู้ตอบแบบสอบถาม และร้อยละ 32 ของผู้ที่ทำงานอยู่ในองค์กรที่นำเทคโนโลยี 4.0 มาใช้แล้ว ต่างกลัวว่างานบางส่วน หรืองานทั้งหมดจะถูกแทนที่โดยเทคโนโลยี

ยิ่งไปกว่านั้น กลุ่มมิลเลนเนียลเพียง 4 ใน 10 และเจนซี จำนวน 3 ใน 10 เท่านั้นที่รู้สึกว่า ตนเองมีทักษะที่จำเป็นที่จะประสบความสำเร็จ และยังคาดหวังให้องค์กรช่วยสร้างความพร้อม ให้พวกเขามั่นใจว่าจะสามารถประสบความสำเร็จในโลกยุคใหม่ได้

นอกจากนี้ พวกเขายังต้องการแนวทางและคำชี้แนะในเรื่องอื่น ๆ นอกเหนือจากความรู้ทางเทคนิค คนทำงานรุ่นเด็กยังต้องการความช่วยเหลือในการสร้างทักษะด้านอารมณ์ (Soft skills) เช่น ความมั่นใจ การมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี และโดยเฉพาะสำหรับเจนซีที่ต้องเน้นในเรื่องของจรรยาบรรณและความซื่อสัตย์

แต่ในมุมมองของพวกเขา องค์กรยังไม่ได้ให้ความสำคัญและตอบสนองความต้องการในการพัฒนาของพวกเขาในเรื่องดังกล่าวอย่างเต็มที่ มิลเลนเนียลเพียงร้อยละ 36 และเจนซีร้อยละ 42 ที่บอกว่านายจ้างช่วยให้พวกเขาเข้าใจ และเตรียมตัวสำหรับการเปลี่ยนแปลงที่สืบเนื่องจากโลกอุตสาหกรรม 4.0

“ในยุคอุตสาหกรรม 4.0 นี้ องค์กรธุรกิจจำเป็นต้องฟังมิลเลนเนียล และต้องคิดใหม่ทำใหม่ ในการบริหารบุคลากรที่มีความสามารถ โดยให้ความสำคัญเรื่องการเรียนรู้และพัฒนา ที่จะช่วยให้พนักงานเติบโตในหน้าที่การงานของพวกเขาไปตลอดอายุงาน”

*** สำรวจใครบ้าง

ผลสำรวจมิลเลนเนียลของดีลอยท์ในปี 2561 นี้ ได้ทำการสำรวจกับกลุ่มมิลเลนเนียลจำนวน 10,455 คน จาก 36 ประเทศ ที่เกิดระหว่าง มกราคม 2526 ถึง ธันวาคม 2537 เป็นกลุ่มที่จบปริญญาตรี มีงานประจำ และทำงานในองค์กรเอกชนขนาดใหญ่ และยังมีกลุ่มเจนซีจำนวน 1,844 คนที่ร่วมในการสำรวจในครั้งนี้ ที่เกิดระหว่างมกราคม 2538 ถึง ธันวาคม 2542 และกำลังศึกษาในระดับอุดมศึกษาหรือสูงกว่านั้น มากกว่าหนึ่งในสามทำงานประจำ (ร้อยละ 16) และทำงานพาร์ตไทม์ (ร้อยละ 21).

]]>
1175515
ไม่ต้องครอบครอง ! เปิดพฤติกรรม ชาวมิลเลนเนียล นิยมใช้บริการ Sharing Economy เพิ่มสูง สวนทาง baby boomer https://positioningmag.com/1155303 Thu, 01 Feb 2018 06:56:08 +0000 https://positioningmag.com/?p=1155303 ฟอร์เรสเตอร์รีเสิร์ช (Forrester Research) เปิดผลวิจัยพบคนรุ่นมิลเลนเนียล (Millennials) คือผู้สร้างให้ธุรกิจในกลุ่มแชร์ริ่งอิโคโนมี (Sharing Economy) ในอเมริกาให้เติบโตได้มากที่สุดในบรรดาผู้ใช้งานทุกกลุ่ม ขณะที่กลุ่มเบบี้บูมเมอร์ (Baby Boomers) นั้นจะตรงกันข้าม เพราะเบบี้บูมเมอร์จะรู้สึกไม่ปลอดภัยที่จะใช้งานนั่นเอง

ถือว่าเป็นโอกาสดีทีเดียวสำหรับธุรกิจในกลุ่ม Sharing Economy เช่น อูเบอร์ (Uber) หรือ แอร์บีเอ็นบี (AirBNB) ในสหรัฐอเมริกา หลังฟอร์เรสเตอร์พบเทรนด์การเติบโตอย่างต่อเนื่องจากการใช้งานของกลุ่มมิลเลนเนียล ซึ่งปัจจุบันเป็นประชากรกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกาด้วย โดยมีจำนวนประมาณ 75.4 ล้านคน 

โดยสาเหตุที่กลุ่มมิลเลนเนียลก้าวขึ้นมาช่วยขับเคลื่อน Sharing Economy นั้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะพวกเขาไม่รู้สึกว่าการแชร์สินทรัพย์กับคนแปลกหน้าเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมมากขึ้นเรื่อย ๆ หรือหากเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์ มีชาวมิลเลนเนียลประมาณ 25 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่รู้สึกไม่สะดวกใจ

ตรงกันข้ามกับกลุ่มเบบี้บูมเมอร์ ที่มีผู้กังวลเกี่ยวกับประเด็นนี้ประมาณ 36 เปอร์เซ็นต์

อย่างไรก็ดี เรื่องของกฎหมายก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ธุรกิจนี้เกิดหรือไม่เกิดได้เช่นกัน แต่ในมุมของชาวมิลเลนเนียลแล้ว มีแค่ 11 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่บอกว่ากังวลเรื่องกฎหมาย จากการเกิดความเสียหายในระหว่างที่มีการแชร์ทรัพย์สินไปใช้งาน

สำหรับสิ่งที่ทำให้ชาวมิลเลนเนียลกลายเป็นกลุ่มเป้าหมายกลุ่มใหญ่ของ Sharing Economy มาจากไลฟ์สไตล์ของชาวมิลเลนเนียลเองที่ให้ความสำคัญกับประสบการณ์ในการใช้งานมากกว่าสนใจที่จะครอบครองตัวสินค้า (47 เปอร์เซ็นต์) และการใช้งานบริการของ Sharing Economy สามารถทำให้ชาวมิลเลนเนียลมีความสุขมากขึ้นจากการเรียกใช้บริการต่าง ๆ ได้แบบออนดีมานด์

สนับสนุนข่าวโดย : mgronline.com/cyberbiz/detail/9610000010436

]]>
1155303