คาราบาว – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 14 Nov 2025 05:54:47 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 คาราบาว ปี 68 ขึ้นเบอร์ 1 เครื่องดื่มชูกำลังไทย ชี้ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ทำยอดขายหายหลัก 100 ล้านบาท/เดือน https://positioningmag.com/1546987 Thu, 13 Nov 2025 11:38:11 +0000 https://positioningmag.com/?p=1546987 เสถียร เสถียรธรรมะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มคาราบาว เปิดเผยว่า ธุรกิจเครื่องดื่มชูกำลัง “คาราบาวแดง” ในไทย ปี 2568 ทำยอดขายนิวไฮ ส่งผลให้มาร์เก็ตแชร์ในตลาดมีสัดส่วนถึง 30% จากเดิม 24-25% ขึ้นแท่นเป็นเบอร์ 1 ในตลาดเครื่องดื่มชูกำลังครั้งแรก ปัจจัยหลักมาจากการคงราคาขาย 10 บาท ช่วงกำลังซื้อผู้บริโภคชะลอตัว

อย่างไรก็ดี ตลาดต่างประเทศ ภาพรวมกลับตรงกันข้าม จากกรณีความขัดแย้งชายแดนไทยและกัมพูชา นับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2568 เป็นต้นมา ทำให้ยอดขายเป็นศูนย์ ทั้งปัญหาการปิดชายแดน และโดยเฉพาะ “กระแสการแบนสินค้าไทย” ของคนกัมพูชา

เสถียร คาราบาว
เสถียร เสถียรธรรมะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มคาราบาว

ช่วงกระแสชาตินิยมรุนแรง อินฟลูเอนเซอร์กัมพูชา ทำคลิปถือกล้องไปจ่อใส่คนในประเทศเขาที่ต้องการซื้อสินค้าไทย ทำให้ยอดขายกัมพูชาหายไปเลย จากปกติเรามียอดขายในกัมพูชา หลักหลาย 100 ล้านบาท/เดือน

จากที่ผ่านมา คาราบาว เข้าไปทำตลาดเครื่องดื่มชูกำลังในกัมพูชากว่า 20 ปี จนเป็นเจ้าตลาดเบอร์ 1 ของกัมพูชา ทำยอดขาย 4,000-5,000 ล้านบาท/ปี

ส่งผลให้สัดส่วนยอดขายเครื่องดื่มชูกำลังคาราบาวแดงมีการเปลี่ยนแปลง ดังนี้

  • ยอดขายในไทย 60% (จากเดิม 40%)
  • ยอดขายต่างประเทศ 40% (จากเดิม 60%)
คาราบาว
เครื่องดื่มชูกำลังคาราบาวที่ขายในยุโรป

อย่างไรก็ตาม คาราบาว ได้กระจายความเสี่ยง มุ่งเน้นทำตลาดในประเทศอื่น ๆ มากขึ้น อาทิ ยุโรป และจีน โดยจีนได้ร่วมกับ Tsingtao Brewery เจ้าของเบียร์ชิงเต่า เพื่อแลกเปลี่ยนนำสินค้าของกลุ่มคาราบาว ทั้งเครื่องดื่ม ชูกำลังและเบียร์ เข้าไปบุกตลาดจีนมากขึ้น โดยเฉพาะมณฑลซานตง และยูนนาน

“เรามีคุยกับประเทศคู่ค้าใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น ปี 2569 คาดว่ายอดขายต่างประเทศจะมาจากจีนและยุโรปมากขึ้น”

คาราบาว โรงงาน
ภาพภายในโรงงานคาราบาว
]]>
1546987
‘คาราบาว’ คาดธุรกิจเบียร์ เลิกขาดทุนในปี 69 หลังทำธุรกิจ 2 ปีติดลบ 1,000 ล้าน https://positioningmag.com/1545920 Tue, 11 Nov 2025 16:04:30 +0000 https://positioningmag.com/?p=1545920 ‘คาราบาว’ คาดธุรกิจเบียร์ เลิกขาดทุนในปี 69 หลังทำธุรกิจ 2 ปีติดลบ 1,000 ล้าน

ที่ผ่านมา ตลาดเบียร์มีมูลค่าสูงถึง 2.6 แสนล้านบาท แม้จะเป็นธุรกิจใหญ่ที่น่าสนใจ แต่การแข่งขันก็สูงตาม ด้วย 2 ผู้เล่นรายใหญ่ครองมาร์เก็ตแชร์ราว 95% ของตลาดเบียร์

ทำให้ ‘คาราบาว’ หนึ่งในทุนใหญ่ที่รุกธุรกิจเบียร์ เมื่อปี 2566 กับฝันใหญ่ตั้งเป้าเป็นเบียร์ขั้วที่ 3 ของไทย อาจจะยังไปไม่ถึงฝัน…

ขาดทุน 2 ปีรวม 1,000 ล้านบาท คาดปี 69 เลิกขาดทุน

เสถียร เสถียรธรรมะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มคาราบาว เปิดเผยว่า ปัจจุบันธุรกิจเบียร์ 2 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2566 – 2567) ยังเผชิญการแข่งขันสูง ทั้งจากการห้ำหั่นแข่งขันในตลาด รวมไปถึงช่องทางการจัดจำหน่ายจำกัด ส่งผลให้ยังขาดทุนสะสมกว่า 1,000 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม จากการรุกขยายช่องทางจัดจำหน่ายเพิ่มมากขึ้น ทั้งช่องทางค้าปลีก/โชห่วย (Off-premise) และร้านอาหาร ผับบาร์ (On-premise) ส่งผลให้ยอดขายค่อย ๆ เติบโตในทุกเดือน

ทำให้คาดการณ์ว่า ในปี 2569 ธุรกิจเบียร์ จะทำรายได้ 4,500 ล้านบาท และเลิกขาดทุนในที่สุด

“เราต้องเร่งทำตลาดมากขึ้น โดยเฉพาะในตลาดต่างจังหวัดที่คนมักซื้อสินค้าในร้านโชห่วย ส่วนใหญ่      ผู้บริโภคจะเลือกแบรนด์ที่คุ้นเคย และมักเลือกสินค้าตั้งแต่ก่อนออกจากบ้านด้วยซ้ำ“

เสถียร เสถียรธรรมะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มคาราบาว

รับ OEM ชิงเต่า-เพิ่มขายเบียร์สด กระจายเสี่ยง

โดยแผนสำคัญ ปี 2568 คือการเปิดตัว ‘เบียร์สดตะวันแดง’ ที่ขายนอกโรงเบียร์เยอรมันตะวันแดงครั้งแรก ปัจจุบันได้จับมือกับพาร์ตเนอร์ร้านอาหารและโรงแรมเกือบ 100 ราย เพื่อนำสินค้าไปขายแล้ว

“เรามีจุดแข็งในเรื่องการกระจายสินค้า จากการจำหน่ายสินค้าอย่างเครื่องดื่มชูกำลังและคาราบาว จึงสามารถส่งสินค้าเบียร์สดได้ภายใน 72 ชม.”

คาราบาว
ตัวอย่างเบียร์สดตะวันแดง

รวมถึงการจับมือกับเบียร์ชิงเต่า’ เจ้าตลาดเบียร์สัญชาติจีน เพื่อ OEM เบียร์ชิงเต่าในไทย คาดเริ่มจัดจำหน่ายในไตรมาส 1 ปี 2569 และหากผลตอบรับดี อาจชิงเต่าอาจใช้ไทยเป็นฐานการผลิตเพื่อกระจายสินค้าในภูมิภาคได้

ขณะเดียวกัน การร่วมมือกับเบียร์ชิงเต่าจะช่วย นำสินค้าคาราบาวทั้งเบียร์และเครื่องดื่มชูกำลังเข้าไปตีตลาดจีนได้ในหลายมณฑล อาทิ ซานตง ยูนนาน

“การที่คาราบาว OEM เบียร์ชิงเต่า การทำเบียร์สด รวมถึงการเร่งกระจายสินค้าเบียร์ในช่องทางต่าง ๆ มากขึ้น เป็นการกระจายความเสี่ยง และช่วยหนุนให้ธุรกิจเลิกขาดทุน จากกำลังการผลิตของโรงงานเบียร์ในปัจจุบันมีอยู่ 300 ล้านลิตร แต่ใช้ไปเพียง 20% หากจะคุ้มต้องมีการเดินสายผลิตในสัดส่วน 30% ของกำลังผลิตขึ้นไป”

เบียร์ชิงเต่า
]]>
1545920
วิเคราะห์ กลุ่มคาราบาว ดึง เบียร์ชิงเต่า จากจีน ตีตลาดไทย กำลังสะท้อนอะไร? https://positioningmag.com/1540447 Wed, 01 Oct 2025 05:00:16 +0000 https://positioningmag.com/?p=1540447 “เบียร์ชิงเต่า” แบรนด์เบียร์ชื่อดังสัญชาติจีน ที่มีสินค้ากระจายใน 100 ประเทศทั่วโลก ประกาศร่วมมือกับ ‘กลุ่ม  คาราบาว’ บุกตลาดเบียร์ประเทศไทยเต็มตัว กำลังส่งสัญญาณบอกอะไรเรา?

เหตุผลที่คาราบาวเลือกจับมือกับชิงเต่า

1.เสริมพอร์ตเบียร์ให้ครบทุกเซ็กเมนต์

คาราบาวมี 2 แบรนด์เบียร์ในมือ วางทาร์เก็ตแตกต่างกัน คือ

เบียร์คาราบาว

  • เจาะกลุ่ม อีโคโนมี และ สแตนดาร์ด
  • คู่แข่งตรง อาทิ เบียร์ช้าง เบียร์ลีโอ

เบียร์ตะวันแดง

  • สแตนดาร์ด และ พรีเมียม
  • คู่แข่งตรง อาทิ เบียร์สิงห์ เบียร์ช้าง Cold Brew

การร่วมมือดึง “เบียร์ชิงเต่า” เข้ามาขายในไทย จะช่วยเสริมพอร์ตฯ พรีเมียม จากสินค้าเรือธง คือ Tsingtao Premium Lager และพอร์ตฯ ซูเปอร์พรีเมียม (*หากมีการนำเข้าในอนาคต) เช่น Tsingtao 1903, Tsingtao Pure Draft และ Aogute เป็นต้น

ดังนั้น พอมีทั้งเบียร์จากคาราบาวและชิงเต่า คาราบาวก็สามารถ “cover” ตลาดได้กว้างขึ้น โดยไม่ต้องลงทุนสร้างแบรนด์พรีเมียมใหม่เอง โดยเฉพาะในการแข่งขันที่คาราบาวยังเป็นรองในแง่มาร์เก็ตแชร์จากเบียร์สิงห์ และเบียร์ช้าง

2.จับตลาดนักท่องเที่ยวจีนในไทย

คาราบาว รู้ว่าทุกปีมีนักท่องเที่ยวจีนหลักล้านคน แสดงว่า demand ของเบียร์ชิงเต่าในไทยมีอยู่แล้ว ถ้ามีสินค้านี้ในพอร์ตฯ ก็เสิร์ฟกลุ่มลูกค้าได้ตรงกว่า

3.โอกาสส่งสินค้าไทยขยายตลาดจีน

แม้ปกติคาราบาวจะมีพอร์ตฯ ส่งออกไปต่างประเทศอยู่แล้ว รวมถึงจีนด้วย

แต่การเป็น distributor ของ Tsingtao อาจช่วยให้คาราบาวขยายตลาดไปจีนได้ง่ายขึ้น ทั้งฝั่งเครื่องดื่มชูกำลังและเบียร์

อย่างไรก็ตาม การนำ “เบียร์ชิงเต่า” ตีตลาดไทยก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมีคู่แข่งในตลาดที่ครองมาร์เก็ตแชร์อย่างเหนียวแน่นอย่าง ไทยเบฟ (เบียร์ช้าง) และบุญรอดฯ (เบียร์สิงห์-ลีโอ) รวมถึงอาจต้องใช้ต้นทุนการตลาดสูงในการสร้างการรับรู้ในกลุ่มคนไทย

คาราบาว จับมือ ชิงเต่า

มุมเบียร์ชิงเต่า ไทยจุดยุทธศาสตร์สำคัญ

เบียร์ ชิงเต่า (Tsingtao) ที่เป็นเบียร์พรีเมียมจากจีน การที่เขาตั้งใจเข้ามา “ตีตลาดไทย” มีหลายปัจจัย มองได้ทั้งจากมุม พฤติกรรมผู้บริโภค และ โครงสร้างตลาดเบียร์ไทย

1.ไทยตลาดเบียร์ใหญ่เบอร์ต้น ๆ ของอาเซียน

มูลค่าตลาดเบียร์ไทยประมาณ 2.6 แสนล้านบาทต่อปี การบริโภคเบียร์ไทยแม้จะชะลอตัวบ้างตามสภาพเศรษฐกิจ แต่ยังถือว่า “ใหญ่และมั่นคง” เมื่อเทียบกับในประเทศเพื่อนบ้าน

2.คนไทยเปิดรับเบียร์ต่างชาติ

เทรนด์ craft beer, premium beer โตขึ้นในกลุ่มคนรุ่นใหม่ โดยนักดื่มไทยชอบลอง “แบรนด์นำเข้า” เพื่อความแตกต่าง ไม่ยึดติดกับเบียร์เจ้าตลาดเสมอไป

ขณะที่ “เบียร์ชิงเต่า” จากจีนถูกวางเป็นเบียร์พรีเมียม ภาพลักษณ์นี้เข้ากับเทรนด์ตลาดไทยตอนนี้มาก

นอกจากนี้ ยังจับกลุ่มนักท่องเที่ยวจีนที่มาเที่ยวไทยปีละหลายล้านคนได้ด้วย การวางขายชิงเต่าในไทย ซึ่งเป็นแบรนด์คุ้นเคยของคนจีน จึงเหมือน “เสิร์ฟ comfort zone”

3.ใช้ไทยจุดยุทธศาสตร์กระจายสินค้าในภูมิภาคได้

ไทยมีระบบกระจายสินค้าที่แข็งแรง ถ้าชิงเต่าติดตลาดไทยได้ ก็สามารถต่อยอดไปยัง CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม) ได้ง่าย ซึ่งภูมิภาคนี้ มีความน่าสนใจในแง่การเติบโตของเศรษฐกิจที่เร็ว และจำนวนประชากรหนุ่มสาวที่มีจำนวนมาก

ขณะที่ เบียร์ชิงเต่า แม้จะมีการส่งออกหลัก 100 ประเทศ แต่สัดส่วนรายได้ของบริษัทกว่า 90% ยังคงอยู่ในตลาดจีน

เบียร์ชิงเต่า
เบียร์ชิงเต่า

4.โอกาสเจาะกลุ่ม Young Premium

ตลาดเบียร์ กลุ่ม mainstream (ลีโอ, ช้าง, สิงห์) แข็งแรงมาก และกลุ่มลูกค้ามี Loyalty สูง

แต่เซ็กเมนต์เบียร์พรีเมียม/นำเข้า ซึ่งมีลูกค้าเป็นคนรุ่นใหม่จำนวนมาก ขนาดตลาดยังไม่ใหญ่และมีช่องว่าง ชิงเต่าใช้ตรงนี้เจาะ

5.อาศัยช่องทางจัดจำหน่ายที่แข็งแรง

ชิงเต่า จับมือ คาราบาว เพราะข้อได้เปรียบด้านมีเครือข่าย distribution ทั่วประเทศจากธุรกิจเครื่องดื่มชูกำลัง

การที่ Tsingtao เข้ามาตีตลาดไทย ถ้าใช้ช่องทางเดิมของคาราบาวกระจายสินค้าได้ทันที ต้นทุนต่ำกว่าแบรนด์ต่างชาติที่ต้องสร้างระบบใหม่เองทั้งหมด

ความท้าทายที่ชิงเต่าต้องเจอ

  • การผูกขาดตลาดเบียร์ไทย เพราะในไทยมีผู้เล่นรายใหญ่ที่ครองมาร์เก็ตแชร์สูง ๆ แค่ 2 เจ้าใหญ่
  • แบรนด์สตอรีในไทยยังไม่ชัด คนไทยยังไม่รู้จักชิงเต่าเท่า Heineken หรือ Asahi อาจต้องลงทุนการตลาดหนักหน่อย

อย่างไรก็ตาม เบียร์ชิงเต่า จะประสบความสำเร็จในตลาดไทยหรือไม่ ขึ้นอยู่กับกลยุทธ์แบรนด์’ ว่าจะทำให้ชิงเต่ากลายเป็น “เบียร์ที่คนไทยอยากหยิบ” ไม่ใช่แค่เบียร์ที่คนจีนอยากหาเจอเวลามาเที่ยวไทยเท่านั้น…

]]>
1540447
เมื่อ “เจ้าพ่อคาราบาวแดง” ขอท้าชิงธุรกิจร้านสะดวกซื้อแสนล้าน! ส่งหัวหอก “​ซีเจเอ็กซ์เพรส” เปิด 665 สาขาใน 3 ปี ขายครบของกินของใช้ เครื่องสำอาง และคาเฟ่ https://positioningmag.com/1163081 Sun, 25 Mar 2018 08:12:27 +0000 https://positioningmag.com/?p=1163081 ธุรกิจร้านสะดวกซื้อมูลค่าหลักแสนล้านบาทมีผู้เล่นใหญ่ในสมรภูมินี้หลัก ๆ คือ เซเว่น อีเลฟเว่น ของซีพี, แฟมิลี่มาร์ท ของกลุ่มเซ็นทรัล และลอว์สัน108 ของกลุ่มสหพัฒน์และลอว์สันอิงค์เจแปน

แต่ 4 ปีที่ผ่านมาผู้เล่นหน้าใหม่คนสำคัญเจ้าพ่อคาราบาวแดงอย่าง เสถียร เศรษฐสิทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) และประธานกรรมการบริษัท ซี.เจ.เอ็กซ์เพรส กรุ๊ป ที่ซื้อกิจการร้านสะดวกซื้อมินิซูเปอร์มาร์เก็ตแบรนด์ ซีเจ เอ็กซ์เพรส แบรนด์แจ้งเกิดที่ราชบุรีอยู่มานาน 13 ปีก็โดดมาแข่งกับตลาดร้านสะดวกซื้ออย่างจริงจัง

ด้วยการขยายแนวรบเปิดร้านเป็นว่าเล่น โดยเฉพาะการเขียนแผนระยะกลางทุ่มงบกว่า 4,000 ล้านบาท ตั้งเป้ามีร้านให้ครบ 665 สาขาทั่วประเทศภายในปี 2563 พร้อมปูทางเพื่อเข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) จากปัจจุบันซีเจ เอ็กซ์เพรสมีอยู่ 225 สาขา ครอบคลุม 22 จังหวัดในภาคตะวันตก ตะวันออก ภาคกลาง เช่น ราชบุรีกาญจนบุรี นครปฐม เพชรบุรี อยุธยา สมุทรปราการ สมุทรสาคร อ่างทอง สุพรรณบุรี อุทัยธานี กรุงเทพฯ และปริมณฑล เป็นต้น

จะเห็นว่าทำเลที่ไป เป็นรอบนอก เพราะเสถียรถนัดใช้กลยุทธ์ป่าล้อมเมืองบุกรอบนอกให้แข็งแรงก่อน และไปยังตลาดที่พอมีช่องว่าง มีฐานธุรกิจของคาราบาวที่แข็งแกร่ง พอจะช่วยหนุนกันและกันด้วย

การที่เจ้าพ่อคาราบาวลุกขึ้นมาโฟกัสธุรกิจค้าปลีกมีหน้าร้านเป็นของตัวเอง เพราะต้องการพิ่มโอกาสทางการขายให้กับสินค้าของบริษัท คาราบาว กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดื่มชูกำลัง กาแฟพร้อมดื่ม กาแฟปรุงสำเร็จชนิดผงทรีอินวัน น้ำดื่ม เครื่องดื่มเกลือแร่ ตลอดจนเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สุราขาว เป็นต้น รวมถึงสินค้านอกเครือที่บริษัทรับจ้างจัดจำหน่ายให้ทั้งสินค้าอุปโภคบริโภค

เก๋นภา จิตติเรรืองวิชัย ผู้อำนวยการสำนักงานการตลาด บริษัท ซี.เจเอ็กซ์เพรส จำกัด บอกว่า เดิมทีแบรนด์ซี.เจเอ็กซ์เพรสวาง Positioning เป็นร้านสะดวกซื้อไม่ต่างจากเซเว่น อีเลฟเว่น แฟมิลี่มาร์ท และลอว์สัน 108 แต่ภายหลังได้พลิกตัวเองมาเป็น ซูเปอร์คอนวีเนียนสโตร์

ต่างยังไงกับร้านสะดวกซื้อที่เห็นในสังเวียนเดียวกัน จริง ๆ ก็ไม่แตกต่างเพียงแต่ซี.เจเอ็กซ์เพรสมีการขายสินค้าที่แตกต่างกันออกไปจากเจ้าใหญ่อื่น ๆ ที่เน้นเรื่อง อิ่มสะดวก คือขายอาหารพร้อมทาน เบเกอรี่กันเสียส่วนใหญ่ โดยร้านซี.เจเอ็กซ์เพรสมีหลายฟอร์แมต ร้านขนาดราว 300 ตารางเมตร(ตร..) ขายสินค้ากว่า 12,000 รายการ (SKU) ครอบคลุมของกินของใช้ และมีสินค้าไลฟ์สไตล์เข้ามาขาย มีมุมเครื่องสำอางโดยเฉพาะอย่าง “NINE นายน์ บิวตี้ มี บาวคาเฟ่ขายกาแฟและเครื่องดื่มอื่น ๆ ราคาเริ่มต้น 25 บาท พร้อมบริการไวไฟ (Wi-fi) ฟรี และยังมีสินค้าตุ๊กตาไว้จำหน่ายด้วย ถือเป็นการวูปแบบร้านและสินคาเพื่อตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายแต่ละท้องถิ่นที่แตกต่างกันออกไป 

สินค้าอุปโภคบริโภคแบรนด์อื่น ๆ นอกคาราบาว กรุ๊ปที่ขายในร้านซีเจ เอ็กซ์เพรส

นั่นคือจุดขาย! ขณะที่จุดแข็งของแบรนด์ซี.เจเอ็กซ์เพรสในการแข่งขันกับยักษ์ใหญ่ร้านสะดวกซื้อแบรนด์อื่นคือพยายามดึงคู่ค้า” หรือซัพพลายเออร์ ให้มาจำหน่ายสินค้าในร้าน เพื่อเพิ่มความวาไรตี้ให้กับผู้บริโภค แต่โจทย์ใหญ่เวลาจะขายสินค้าในร้านสะดวกซื้อซัพพลายเออร์จะเล็กหรือใหญ่จะเจอการโขกราคาค่าธรรมเนียมสารพัด! ทั้งค่าธรรมเนียมแรกเข้า งบประมาณจัดโปรโมชั่น ไม่พอ สินค้าขายไม่ดีกี่วันกี่เดือน เตรียมตัวหลุดจากเชลฟ์ (ชั้นวางสินค้าได้เลยนะ

แต่ถ้าคู่ค้ารายไหนมาขายสินค้ากับซี.เจเอ็กซ์เพรส ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมการวางสินค้าซึ่งถือเป็นต้นทุนสำคัญและมีมูลค่าสูง ทำให้สามารถจำหน่ายสินค้าเฮาส์แบรนด์ในราคาถูกกว่าแบรนด์ทั่วไปเกือบ 30% และนั่นยังจูงใจคู่ค้านำสินค้ามาขาย เพื่อเพิ่มจำนวนรายการสินค้าในร้านที่บริษัทต้องการอีกไม่ต่ำกว่า 200-300 รายการ

อย่างไรก็ตาม ขึ้นชื่อเป็นร้านสะดวกซื้อภาพจำ (Perception) ของคนไทยที่มีคือเปิดบริการ 24 ชั่วโมง แต่เพราะซี.เจเอ็กซ์เพรสยังเล็ก ธุรกิจยังไม่ได้ขนาด (Economy of Scale) จึงเปิดบริการตั้งแต่ 6.00-22.00 .เท่านั้น เพราะบริษัทมองว่ายังม่มีความจำเป็นต้องเปิดยาวขนาดนั้น จึงช่วยลดต้นทุนทางธุรกิจได้มากทั้งค่าจ้างพนักงาน ค่าน้ำ ค่าไฟ 

จำนวนสาขายังไม่เยอะการทำตลาดช่วงแรกคือเน้นไปที่ดิจิทัลมีการทำวิดีโอคอนเทนต์ออกอากาศบน Youtube เพื่อ Reach กลุ่มเป้าหมายเจาะพื้นที่ที่มีสาขาอยู่โดยเฉพาะ รวมถึงจังหวัดใกล้เคียงที่คาดว่าประชาชนจะเดินทางผ่าน ทำให้ไม่ต้องทำ TVC หว่านทั่วประเทศ ผลลัพธ์ของการทำการตลาดดังกล่าว ส่งผลให้คนท้องถิ่นรับรู้แบรนด์ (Brand Awareness) และเข้ามาช้อปปิ้งในร้านมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดด้วย

นักการตลาดต้องไม่ติดกับดักการทำตลาดแบบเดิม ๆ ในอดีต และเมื่อซีเจ เอ็กซ์เพรสมีเป้าหมายในการขยายสาขาไปรอบเขตเมืองมากขึ้น เราจึงมองว่าดิจิทัลจะเป็นส่วนสำคัญที่ตอบโจทย์เข้าถึงผู้บริโภค ให้แบรนด์เราเป็นที่รู้จักเป็นสาธารณะหรือวงกว้างมากขึ้น รวมถึงรู้ด้วยว่าเราคือใคร ขายสินค้าอะไรบ้าง เก๋นภา กล่าว

แม้ธุรกิจร้านสะดวกซื้อของ เสถียร เศรษฐสิทธิ์ แม่ทัพคาราบาว กรุ๊ป และซีเจ เอ็กซ์เพรสเริ่มรุกหนัก แต่สิ่งที่ต้องทำคือการเร่งสร้างแบรนด์ ซีเจ  เอ็กซ์เพรส และพัฒนาสินค้า Own Brand ในกลุ่มสินค้าอุปโภคและบริโภคออกวางจำหน่าย ไม่ว่าจะเป็น เครื่องปรุงรส ปลากระป๋อง น้ำมัน รวมกว่า 10 ชนิด ภายใต้แบรนด์ครัวแม่เล็กน้ำยาปรับผ้านุ่มซอฟท์ดี น้ำยาล้างจานว้าวนอกจากผลิตเพื่อจำหน่ายในร้านซีเจ เอ็กซ์เพรส ยังเน้นจำหน่ายผ่านตัวแทนร้านค้าโชห่วยทั่วประเทศในเครือข่ายประมาณ 3 แสนร้าน จากร้านโชห่วยทั่วประเทศกว่า 4 แสนร้าน

สำหรับการเน้นพัฒนาสินค้า Own Brand นำไปต่อยอดในร้านค้าได้หลากหลาย วางจำหน่ายได้ในหลายช่องทาง โดยไม่จำกัดแค่ในร้านซีเจ และลดต้นทุนการขายผ่านคนกลาง คล้ายกับโมเดลการทำตลาดของแบรนด์ในยุโรป ที่ปัจจุบันไม่สนใจในเรื่องแบรนด์สินค้า แต่ให้ความสำคัญกับการใช้งานได้คุ้มค่าคุ้มราคามากกว่า หากนำโมเดลนี้มาใช้ในไทยสำเร็จ จะช่วยลดต้นทุนมาร์เก็ตติ้งได้มากถึง 30% เพราะกลุ่มผู้บริโภคในต่างจังหวัดมีลักษณะเช่นเดียวกัน คือไม่สนใจเรื่องแบรนด์มากกว่าราคาที่จับต้องและใช้งานได้จริง

ยิ่งกว่านั้นการเพิ่มแบรนด์และสินค้าคือการพยายามสร้าง พอร์ตโฟลิโอให้เกิดขึ้น เพราะอย่าลืมว่า ในการจำหน่ายสินค้าทั้งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ นอนแอลกอฮอล์ของคาราบาวกรุ๊ป หากยกไปนำเสนอแก่ร้านค้า เอเย่นต์ทั้งพอร์ต ก็จะช่วยสร้างความน่าสนใจได้ อีกทั้งมีประโยชน์ต่อการขนส่งสินค้าในทุกเส้นทาง (Route) นั่นเอง

มีร้านของตัวเองแล้ว บริษัทยังมีโครงการดึงร้านค้าโชห่วยที่อยู่ภายใต้การจัดส่งของบริษัทร่วมโปรแกรมการจัดการบริหารสินค้าการซื้อขายของคาราบาวแดงเข้ามาช่วยจัดระบบบริหาร และติดตั้งเครื่องพีโอเอสที่สามารถเช็กสต๊อกซึ่งร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการจะถูกใช้ชื่อร้านถูกและดีตามด้วยชื่อจังหวัด ถือเป็นการสร้างเครือข่ายค้าปลีกแข็งแกร่งมากขึ้น

แผนรบของ ซีเจ เอ็กซ์เพรส” จะเป็นหนึ่งในจิ๊กซอว์สำคัญที่ดันรายได้ให้คาราบาวกรุ๊ปแตะ 20,000 ล้านบาท ในปี 2565 จากปี 2560 มีรายได้กว่า 13,067 ล้านบาท กำไรสุทธิกว่า 1,245 ล้านบาท เติบโตจากปี 2559 มีรายได้กว่า 10,112 ล้านบาท กำไรสุทธิกว่า 1,489 ล้านบาท

การเปิดศึกค้าปลีกของคาราบาวกรุ๊ปภายใต้หมากตัวใหม่ซีเจ เอ็กซ์เพรสเหมือนอยู่ห่างไกลจากจุดศูนย์กลางของแนวรบคอนวีเนียนสโตร์ แต่การปูพรมแบบป่าล้อมเมืองค่อย ๆ รุกกินส่วนแบ่งตลาดมากขึ้น ถือเป็นภารกิจพิชิตคู่แข่งที่น่าจับตาและได้ผลลัพธ์มากกว่า หากจะหวังแจ้งเกิดในเขตเดดโซนที่เต็มไปด้วยยักษ์รีเทลรอบด้าน.

]]>
1163081