รายงานระบุว่า Toys ‘R’ Us ไม่ได้หวังเปิดร้านขนาดเล็กแค่ 1-2 แห่ง แต่เตรียมแผนเปิดให้บริการราว 6 แห่งในพื้นที่หลักของสหรัฐอเมริกา และจะมีการให้บริการผ่านเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซอีก 1 แห่ง ตามข้อมูลจากแหล่งข่าววงในของ bloomberg
แหล่งข่าวบอกด้วยว่า Richard Barry อดีตผู้บริหาร Toys ‘R’ Us ซึ่งปัจจุบันเป็นซีอีโอของบริษัทนิติบุคคลใหม่ Tru Kids Inc. ได้ลงมือ pitching โชว์วิสัยทัศน์เพื่อกู้คืนกิจการแก่บริษัทผู้ผลิตหลายราย รวมถึงจะเข้าร่วมการประชุมอุตสาหกรรมในสัปดาห์กลางเดือนมิถุนายนด้วย
ร้านใหม่ Toys ‘R’ Us ถูกกำหนดพื้นที่ไว้ประมาณ 10,000 ตารางฟุตหรือประมาณ 1 ใน 3 ของขนาดร้านค้าสาขาใหญ่สไตล์ big-box outlet ที่ปูพรมปิดตัวไปเมื่อปีที่แล้ว แม้จะเล็กลงแต่ร้านใหม่ Toys ‘R’ Us จะเน้นมอบประสบการณ์ให้ลูกค้าสัมผัสได้มากขึ้น เช่น พื้นที่เล่นให้หนูน้อยได้ทดลองสินค้า โดยรูปแบบธุรกิจของ Toys ‘R’ Us ก็จะเปลี่ยนไปเพื่อให้ต้นทุนการดำเนินงานลดลงเหลือน้อยที่สุด ผ่านโมเดลสินค้าคงคลังแบบฝากขายที่ผู้ผลิตสินค้าจะยังไม่ได้รับเงินจนกว่าผู้บริโภคจะซื้อสินค้าไป
อย่างไรก็ตาม โฆษกของ Tru Kids ปฏิเสธไม่ให้ความเห็นกับข่าวนี้ โดยบอกว่าบริษัทยังไม่พร้อมที่จะเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับกลยุทธ์ของ Toys ‘R’ Us สหรัฐอเมริกา เบื้องต้น นักวิเคราะห์เชื่อว่ายังคงต้องรอดูว่าการกลับมาของ Toys ‘R’ Us จะช่วยส่งเสริมอุตสาหกรรมของเล่นอเมริกันได้มากน้อยเพียงใด ทั้งในมุมบริษัท ยักษ์ใหญ่เช่น Hasbro Inc. และ Mattel Inc.
สำหรับ Toys ‘R’ Us ถูกยอมรับว่าเป็นเชนค้าปลีกของเล่นแห่งชาติอเมริกันเพียงแห่งเดียวที่เคยยิ่งใหญ่มาก ก่อนหน้านี้ Toys ‘R’ Us สร้างรายได้ประมาณ 7 พันล้านเหรียญสหรัฐต่อปีในสหรัฐอเมริกาผ่านร้านค้ามากกว่า 700 สาขาซึ่งรวมร้านแบรนด์ Babies “R” Us กระทั่ง Walmart Inc., Target Corp. และ Amazon.com Inc. พร้อมใจเดินทัพเติมเต็มช่องว่าง แถมยังมีเชนร้านค้าปลีกรายใหม่อย่างร้านของชำ ที่หันมาจำหน่ายของเล่นเพิ่มเติมด้วย
การกลับมาของ Toys ‘R’ Us ยังสะท้อนถึงคำถามว่าจะมีผู้ผลิตของเล่นกี่รายที่พร้อมจะทำธุรกิจกับ “Toys ‘R’ Us ยุคใหม่” เพราะที่ผ่านมา ผู้ผลิตของเล่นหลายรายต่างเจ็บช้ำเพราะโดนเบี้ยวเงินจำนวนมากเมื่อครั้ง Toys ‘R’ Us ประกาศเลิกกิจการในเดือนมีนาคม 2018 เพียงไม่กี่เดือนหลังจากยื่นเรื่องล้มละลาย
เรื่องนี้ Isaac Larian ผู้นั่งเก้าอี้ CEO ของบริษัท MGA Entertainment Inc. หนึ่งในผู้ผลิตของเล่นยุคใหม่สุดฮิตอย่าง Little Tikes, L.O.L. Surprise! และตุ๊กตา Bratz ยืนยันว่าตลาดของเล่นต้องการร้านค้าเฉพาะทาง ทำให้ MGA จะพร้อมขายสินค้าคงคลังให้ Toys ‘R’ Us การตอบรับนี้ถือเป็นสัญญาณดีหลังจากที่บริษัทยื่นขอล้มละลายจนถูกควบคุมสินทรัพย์และปรับโครงสร้างธุรกิจในเอเชียและแคนาดาเสียใหม่ คาดว่าเป้าหมายในการฟื้นฟูแบรนด์ Toys ‘R’ Us ในสหรัฐอเมริกาและภูมิภาคอื่นจะเริ่มเป็นรูปร่างชัดเจนในช่วงปลายปีนี้เป็นต้นไป
]]>การปิดสาขาของ Toys ‘R’ Us (ซึ่งครองส่วนแบ่งในอุตสาหกรรมของเล่นอเมริกันถึง 15%) จะมีผลกระทบอย่างมากต่อทุกบริษัทในอุตสาหกรรม ผู้ที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดมีโอกาสเป็นทั้งแบรนด์ดังอย่าง Mattel, Hasbro หรือ Lego รวมถึงทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องอย่างพนักงาน
หน่วยธุรกิจ Toys ‘R’ Us ในสหรัฐอเมริกามีพนักงานประมาณ 33,000 คน แน่นอนว่าทุกคนจะได้รับผลกระทบจากการปิดร้าน แม้ว่าบางสาขาจะยังคงเปิดให้บริการต่อไประยะหนึ่ง โดยกระบวนการ liquidation หรือการขายสินทรัพย์ที่มีอยู่เพื่อชำระบัญชีจะเริ่มขึ้นภายในไม่กี่สัปดาห์นับจากนี้
อย่างไรก็ตาม พนักงาน Toys ‘R’ Us บางคนอาจได้ทำงานต่อหาก Toys’R ‘Us สามารถขายธุรกิจในแคนาดา ซึ่งยังมีรายได้และทิศทางที่ดี รวมทั้งร้านสาขาที่ยังทำยอดขายได้ดี 200 แห่งในสหรัฐฯ คาดว่าจะมีผู้ซื้อเป็นบริษัทรายใหม่สัญชาติแคนาดา
Mattel คือผู้ผลิตตุ๊กตาและของเล่นแบรนด์ Barbie, Fisher Price, และ Monster High รายงานระบุว่า Mattel ได้รับผลกระทบจากการประกาศ Toys ‘R’ Us ล้มละลายแล้วในช่วงก่อนหน้านี้ โดย Mattel อยู่ในภาวะยอดขายทั่วโลกลดลงนับตั้งแต่ Toys ‘R’ Us อยู่ในกระบวนการศาลล้มละลาย
ปัจจุบัน Toys ‘R’ Us คือลูกค้ารายใหญ่อันดับ 2 ของ Mattel ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนระหว่าง 15 ถึง 20% ของยอดขายในสหรัฐอเมริกา โดยปัจจุบัน Toys ‘R’ Us ยังคงค้างชำระ Mattel มากกว่า 135 ล้านเหรียญ
นอกจากนี้ การปิด Toys ‘R’ Us จะทำให้ Mattel ต้องเผชิญกับความกดดันมากขึ้นเรื่องช่องทางจำหน่าย เนื่องจาก Mattel ต้องเริ่มมองหาสถานที่จำหน่ายตุ๊กตาและเกมต่าง ๆ เพื่อทดแทนจากที่เคยวางขายใน Toys ‘R’ Us
การล้มละลายของ Toys ‘R’ Us ผลักให้หุ้นบริษัทเช่น Hasbro และ Mattel ดำดิ่งลง แต่ Lego ซึ่งเป็นบริษัทเอกชนก็ได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน
Lego ผู้ผลิตของเล่นตัวต่อพลาสติกถูกตั้งข้อสังเกตว่ามียอดขายลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 13 ปีเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว อย่างไรก็ตาม Lego คือบริษัทของเล่นที่ถูกมองว่ามีความพร้อมรับมือกับการล่มสลายของ Toys ‘R’ Us มากกว่าผู้ผลิตของเล่นรายอื่น ส่วนหนึ่งมาจากความสำเร็จของสินค้ากลุ่ม Lego Movie และ Star Wars ที่ขายได้ตลอดกาลเพราะกระแสความนิยมในภาพยนตร์
Jakk เป็นบริษัท licensee ผู้ได้รับอนุญาตเครื่องหมายการค้าหลายร้อยฉบับทั้ง Disney, Star Wars และ Nintendo นอกจากนี้ บริษัท ยังทำเฟอร์นิเจอร์สำหรับเด็ก ของเล่นก่อสร้าง และชุดของเล่นกลางแจ้ง รวมถึงชุดแต่งกายและของเล่นประเภทหุ่นฟิกเกอร์แอคชั่น (action figure)
ผลกระทบที่ Jakk จะได้รับนั้นไม่ต่างจาก Mattel ซึ่งจะต้องรอเก็บเงินและหาช่องทางจำหน่ายทดแทนให้ได้ในอนาคต
Hasbro คือผู้ผลิตของเล่นที่อยู่เบื้องหลังแบรนด์ดังเช่น My Little Pony, Play-Doh และเกมกระดานเช่น Monopoly, Yahtzee, Cranium และ Candy Land รวมถึง action figure ตระกูล GI Joe
เรื่องนี้ Stephanie Wissink นักวิเคราะห์ Jefferies มองว่าผู้ผลิตอย่าง Mattel และ Hasbro จะถูกมัดมือให้ต้องจัดการกับยอดขายในอุตสาหกรรมที่ลดลงระหว่าง 2.5 ถึง 5.5% ในปีนี้ ซึ่งเป็นผลจากการปิดทำการของ Toys ‘R’ Us ที่ยังเป็นหนี้ค้างชำระ Hasbro ประมาณ 59 ล้านดอลลาร์
Toys ‘R’ Us ไม่เพียงเป็นกำลังหลักในการหนุนผู้ผลิตรายใหญ่เท่านั้น แต่ก็มักเป็นบริษัทที่ช่วยให้ผู้ผลิตรายใหม่ลืมตาอ้าปากและเริ่มต้นธุรกิจได้ The Next Shopkins เป็นหนึ่งในผู้ผลิตหน้าใหม่ที่อาจต้องทำการบ้านหนักขึ้นเพื่อเปิดตลาดของเล่นในวันที่ไม่มี Toys ‘R’ Us ในสหรัฐฯ แล้ว
Spinmaster คือหนึ่งในบริษัทที่สามารถทำธุรกิจได้ดีตามที่นักวิเคราะห์จาก Jefferies ประเมินไว้ โดยการเติบโตของบริษัทได้รับแรงหนุนจากยอดขายของเล่นในไข่ Hatchimal ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และส่วนของเกมที่เติบโตชัดเจน
อย่างไรก็ตาม SpinMaster ไม่ได้ขึ้นอยู่กับร้านค้าปลีกของเล่นเช่นเดียวกับ Hasbro และ Mattel เพราะ Spinmaster มีช่องทางการขายหลากหลาย ทั้งในร้านหนังสือ ร้านแฟชั่น ร้านยา และร้านขายของชำ จุดนี้ Jefferies เคยคาดการณ์ด้วยว่าการล้มละลายของ Toys ‘R’ Us ในสหรัฐฯ จะทำให้ SpinMaster มีโอกาสซื้อแบรนด์ของเล่นบางแบรนด์ เนื่องจาก SpinMaster มีความพร้อมหลายด้านมากกว่าใคร.
ที่มา : fortune.com/2018/03/16/toys-r-us-closings-mattel-hasbro-lego-affected/
]]>แบรนด์ค้าปลีกของเล่นยักษ์ใหญ่ Toys R Us กำลังพิจารณาปิดร้าน 100-200 สาขาตามรายงานของ Bloomberg ถือเป็นการปรับแผนครั้งใหญ่หลังจาก Toys R Us ยื่นคำร้องขอล้มละลายในเดือนกันยายนที่ผ่านมา ด้าน Toys R Us ฮ่องกงและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังยิ้มได้ พร้อมยกให้ตุ๊กตา LOL Surprise เป็นสินค้ายอดฮิตปีนี้ซึ่งทำให้ของเล่นเกี่ยวกับ Star Wars ตกกระป๋อง
สื่อใหญ่อย่าง Bloomberg อ้างแหล่งข่าววงในว่า Toys R Us กำลังพิจารณาปิดร้านค้าปลีกราว 100 ถึง 200 แห่งในสหรัฐฯ เนื่องจากยอดขายสินค้ากลุ่มของเล่นในช่วงเทศกาลหยุดยาวปลายปีที่ลดลง 15% (เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว) อย่างไรก็ตาม รายงานของ Bloomberg อ้างแหล่งข่าวไม่ระบุชื่อ ซึ่งยังไม่มีการยืนยันใดอย่างเป็นทางการ
เบื้องต้น โฆษกหญิง Amy von Walter แห่ง Toys R Us ให้ความเห็นกับรายงานที่เกิดขึ้นว่าเป็นการ “คาดเดา” เท่านั้น โดยยืนยันว่าการตัดสินใจขั้นสุดท้ายเกี่ยวกับการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ของบริษัท จะกระทำได้ก็ต่อเมื่อพิจารณาอย่างรอบคอบเกี่ยวกับผลประโยชน์สูงสุดของบริษัทแล้ว แถมยังทิ้งท้ายว่าตัวเลขคาดเดานี้มีแนวโน้มไม่เป็นความจริง
สำหรับ Toys R Us นั้นยื่นฟ้องล้มละลายในเดือนกันยายน โดยหากมีการปิดร้านค้า 200 ร้านจริง จะเท่ากับการปิดร้านประมาณ 22% ของฐานร้านค้าทั้งหมดที่มีในสหรัฐฯ
ในขณะที่ฝั่งสหรัฐฯ มีข่าวเรื่องปิดสาขา Jo Hall ซีอีโอ Toys R Us ภูมิภาคจีนแผ่นดินใหญ่และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เปิดเผยกับสำนักข่าว South China Morning Post ว่าตุ๊กตา LOL Surprise คือสินค้าที่ขายดีที่สุดของ Toys R Us ในภูมิภาคนี้ ทำให้ปีนี้เป็นปีที่ของขวัญเด็กหญิงกลายเป็นแชมป์ที่ทำเงินแซงหน้าของขวัญเด็กชาย
ผู้บริหาร Toys R Us อาเซียนระบุว่า แม้ Star Wars จะเป็นกระแสมาแรงเพราะการฉายภาพยนตร์ตอนใหม่ แต่เด็กหญิงกลับควักเงินซื้อตุ๊กตามากกว่ากลุ่มหุ่นยนต์ในปีนี้ โดยที่ผ่านมา Toys R Us มีร้านสาขามากกว่า 15 แห่งในฮ่องกง และอีก 6 ร้านที่เป็น pop-up store หรือร้านชั่วคราวที่ตั้งขึ้นตามโอกาส
ดูเหมือนว่าสถานการณ์ของ Toys R Us ในเอเชียจะดูดี เพราะคำให้สัมภาษณ์ของ Hall ชี้ว่าบริษัทสามารถทำยอดขายได้ดีในช่วงเวลาอื่นนอกจากคริสต์มาสหรือเทศกาลจับจ่ายปลายปี โดยเทศกาลสำคัญอย่างตรุษจีน หรือวันเด็ก รวมถึงช่วงวันหยุดปิดเทอมของเด็กน้อย ล้วนกระตุ้นยอดขายให้ Toys R Us ได้
สำหรับ LOL Surprise นั้นเป็นตุ๊กตาจิ๋วที่เด็กน้อยสามารถแกะกล่องไปลุ้นไป ว่าภายในกล่องจะได้รับไอเท็มใดในแต่ละชั้น ตัวตุ๊กตามีความพิเศษ สามารถพ่นน้ำได้ ร้องไห้ ปัสสาวะ และบางตัวเปลี่ยนสีได้ด้วย แน่นอนว่าประเทศไทยมีจำหน่ายสินค้าเลียนแบบในราคาต่ำกว่า 100 บาท
อย่างไรก็ตาม ไม่ชัดเจนว่าปีนี้คือปีแรกที่ Toys R Us เอเชียจำหน่ายของเล่นเด็กหญิงได้มากกว่าของเล่นเด็กชายหรือไม่ เนื่องจากก่อนหน้านี้ Toys R Us พยายามแสดงจุดยืนเรื่องการไม่แบ่งแยกเพศบนของเล่น โดยช่วงปี 2015 เจ้าพ่อค้าปลีกของเล่นประกาศว่าจะแบ่งประเภทของเล่นจากแบรนด์ อายุ และโปรโมชันเท่านั้น จะไม่มีการแบ่งประเภทในร้าน แคตตาล็อก หรือเว็บไซต์ด้วยเพศอีกต่อไป
การประกาศครั้งนั้นเกิดขึ้นเพราะเสียงประท้วงเรื่องฉลากบนกล่องของเล่นที่ทำให้ปิดกั้นความสนใจจากเด็กหญิง เช่น ของเล่นกลุ่มรถไฟ ตัวต่อเลโก้ หรือชุดเครื่องมือก่อสร้าง รวมถึงตุ๊กตุ่นไดโนเสาร์ จนทำให้เด็กหญิงหันไปเล่นแต่ตุ๊กตา.
ที่มา :
]]>