จีน – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Wed, 11 Dec 2024 01:56:05 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ชื่อทรัมป์ทำพิษ! ฉุดส่งออก ‘จีน’ ชะลอตัวลง นักวิเคราะห์เชื่อ ผลกระทบจะยิ่งชัดในเดือนธ.ค.-ม.ค https://positioningmag.com/1502693 Wed, 11 Dec 2024 01:55:42 +0000 https://positioningmag.com/?p=1502693 การส่งออกของ จีน ในเดือนพ.ย. เติบโตในอัตราที่ชะลอลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า ขณะที่การนำเข้าหดตัวกว่าที่คาด ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่น่ากังวลสำหรับเศรษฐกิจอันดับ 2 ของโลก หลังจากที่โดนัลด์ ทรัมป์จะกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอีกครั้งในเร็ว ๆ นี้ ที่นำมาซึ่งความเสี่ยงทางการค้าใหม่

ข้อมูล ศุลกากรจีน แสดงให้เห็นว่า การส่งออกของประเทศในเดือนพ.ย. เติบโตเพียง +6.7% ซึ่งน้อยกว่าการสำรวจจากนักเศรษฐศาสตร์ของ Reuters ที่ระบุว่า เพิ่มขึ้น +8.5% และน้อยกว่าในเดือนตุลาคมซึ่งเพิ่มขึ้น +12.7%

ที่น่ากังวลกว่านั้นคือ ปริมาณ การนำเข้าหดตัว 3.9% ซึ่งถือเป็นผลงานที่แย่ที่สุดในรอบ 9 เดือน และต่ำกว่าที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.3% ส่งผลให้มีการเรียกร้องให้มีการสนับสนุนนโยบายเพิ่มเติมเพื่อพยุงอุปสงค์ในประเทศอย่างต่อเนื่อง

โดยผลการส่งออกที่ลดลง ได้เกิดขึ้นหลังจากที่ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯ ให้คำมั่นว่าจะจัดเก็บภาษีสินค้าจีนเพิ่มอีก 10% เพื่อกดดันให้รัฐบาลจีน หยุดยั้งการค้าสารเคมีที่ใช้ในการผลิตเฟนทานิล และก่อนหน้านี้ ทรัมป์เคยกล่าวไว้ว่า จะเรียกเก็บภาษีสินค้าจีนเกิน 60%

ในขณะเดียวกัน จีนยังไม่สามารถจัดกับความตึงเครียดกับสหภาพยุโรปกรณีภาษีนำเข้าสูงถึง 45.3% สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในจีน ถือเป็นภัยคุกคามที่จะเปิดแนวร่วมที่สองในการทำสงครามการค้าระหว่างจีนกับฝ่ายตะวันตก ดังนั้น การขึ้นภาษีของสหรัฐฯ ก่อให้เกิดภัยคุกคามต่อจีนมากขึ้น เนื่องจากการส่งออกของเศรษฐกิจจีนที่มีมูลค่า 19 ล้านล้านดอลลาร์ เป็นแรงกระตุ้นการเติบโตหลักประการหนึ่ง ในขณะที่ความเชื่อมั่นของครัวเรือนและธุรกิจ ลดลงจากวิกฤตอสังหาริมทรัพย์

“สัญญาณเริ่มแรกของการเร่งรัดการค้าเพื่อเตรียมรับมือภาษีของทรัมป์ในปีหน้าเริ่มปรากฏให้เห็นแล้ว แต่ผลกระทบเต็มที่จะไม่ปรากฏให้เห็นจนกว่าจะถึงเดือนต่อ ๆ ไป โดยเฉพาะเดือนธันวาคมและมกราคม” Xu Tianchen นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสจาก Economist Intelligence Unit กล่าว

อย่างไรก็ตาม จากการนำเข้าที่ลดลง ส่งผลให้การค้าของจีนเกินดุลเพิ่มขึ้นเป็น 97,440 ล้านดอลลาร์ ในเดือนที่แล้ว จาก 95,720 ล้านดอลลาร์ในเดือนตุลาคม โดยเศรษฐกิจจีนมีสัญญาณการกระตุ้นเศรษฐกิจบ้างเล็กน้อยเมื่อไม่นานนี้ โดยผู้ผลิตรายงานสภาวะการดำเนินธุรกิจที่ดีที่สุดในรอบ 7 เดือนจากการสำรวจโรงงานในเดือนพฤศจิกายน

บริษัทต่าง ๆ กล่าวว่า พวกเขายังคง ได้รับคำสั่งซื้อส่งออกน้อยลง แสดงให้เห็นว่าผู้ซื้อยังคงหายากในภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว และผู้ส่งออกกำลังย้ายสินค้าไปยังคลังสินค้าในต่างประเทศ เนื่องจากคาดว่าความต้องการจะกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง

ขณะที่การส่งออกของเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นตัวชี้วัดสำคัญในการนำเข้าของจีน ชะลอตัวลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 14 เดือนในเดือนพฤศจิกายน และการส่งออกสินค้าของเกาหลีใต้ไปยังจีนลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 8 เดือน ซึ่งบ่งชี้ว่าผู้ผลิตในจีนซื้อส่วนประกอบของเกาหลีใต้น้อยลงเพื่อส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์สำเร็จรูปอีกครั้ง

ทั้งนี้ ที่ปรึกษาของรัฐบาลแนะนำให้ปักกิ่งคงเป้าหมายการเติบโตไว้ที่ประมาณ 5% ในปีหน้า และดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เข้มงวดยิ่งขึ้นเพื่อบรรเทาผลกระทบจากภาษีที่คาดว่าจะเกิดขึ้นของสหรัฐฯ โดยอาศัยตลาดผู้บริโภคภายในประเทศ

]]>
1502693
สาวจีนไม่ทน! แบรนด์ “ผ้าอนามัย” ขายสินค้าไม่ตรงปก สั้นกว่าโฆษณาถึง 10 มม.  https://positioningmag.com/1501289 Thu, 28 Nov 2024 10:17:28 +0000 https://positioningmag.com/?p=1501289 บริษัทผู้ผลิตผ้าอนามัยรายใหญ่ในประเทศจีนหลายแห่งทยอยออกมาขอโทษผู้บริโภคเพศหญิงในจีน เนื่องจากมีการผลิตและวางจำหน่ายผ้าอนามัยที่มีความยาว “สั้น” กว่าที่มีการโฆษณาเอาไว้

โดยที่มาของกระแสวิพากษ์วิจารณ์ดังกล่าว มาจากวิดีโอไวรัลที่มีการเผยแพร่บนโซเชียลมีเดียที่แสดงให้เห็นว่า มีผู้หญิงจีนรายหนึ่งได้ทำการวัดความยาวของผ้าอนามัยจากแบรนด์ยอดนิยมภายในประเทศ โดยผลการวัดแสดงให้เห็นว่าบริษัทฯผ้าอนามัยส่วนใหญ่ผลิตและจำหน่ายผ้าอนามัยที่มีความยาวสั้นกว่าที่มีการระบุไว้

ทำให้ผู้หญิงชาวจีนต่างวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างหนักถึงความคับข้องใจจากการกระทำของเหล่าบริษัทผู้ผลิตผ้าอนามัยของจีน ที่ไม่ใส่ใจเรื่องสุขอนามัยของผู้หญิง ซึ่ง “ผ้าอนามัย” เป็นผลิตภัณฑ์สุขอนามัยที่ผู้หญิงในประเทศใช้กันบ่อยที่สุด ซึ่งก่อนหน้านี้ก็มีกระแสวิจารณ์เรื่องความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ผู้หญิงในประเทศจีนเช่นกัน

โดยในหนึ่งในวิดีโอที่มีการเข้าชมเยอะที่สุดบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของจีน คือวิดีโอของผู้ใช้ Xiaohongshu ที่ได้ตรวจสอบผ้าอนามัยเก้ายี่ห้อด้วยการใช้เทปวัดความยาว ซึ่งแสดงให้เห็นว่าความยาวทั้งหมดยาวไม่ถึงขนาดที่ระบุไว้บนบรรจุภัณฑ์ พร้อมเขียนแคปชั่นในวิดีโอว่า

“การตัดขนาดผ้าอนามัยออกไปกี่เซนติเมตร จะช่วยให้คุณรวยขึ้นได้จริงหรือ” 

หลังจากโพสต์ดังกล่าวเผยแพร่ออกไปก็ทําให้มีผู้บริโภคเข้ามาแสดงความคิดเห็นกล่าวหาว่าผู้ผลิตผ้าอนามัยนั้นมีการหลอกลวงผู้บริโภค โดยมีความเห็นยอดนิยมที่ระบุว่า “ความยาวของแผ่นอนามัยที่พองตัว ก็เหมือนกับพื้นรองเท้าใต้ฝ่าเท้าของผู้ชาย” 

ท่ามกลางกระแสที่ร้อนแรงบนโซเชียล ทำให้สํานักข่าวจีน The Paper ได้ทำการตรวจสอบผ้าอนามัยที่แตกต่างกันกว่า 20 แบบ โดยพบว่าเกือบ 90% ของผลิตภัณฑ์ วัดออกมาแล้วมีขนาดสั้นกว่าที่กล่าวอ้างบนบรรจุภัณฑ์อย่างน้อย 10 มม. โดยเฉพาะบริเวณที่ใช้ดูดซับรอบเดือน

ตามกฎหมายมาตรฐานแผ่นอนามัยของจีนระบุว่า ผ้าอนามัยสามารถสั้นหรือยาวกว่าที่โฆษณามีการเอาไว้ได้ 4% ซึ่งหลังจากที่มีการร้องเรียนเข้ามาจำนวนมาก ทำให้ทางการจีนกล่าวว่าพวกเขากำลังจะพิจารณาแก้กฎหมายดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม ABC บริษัทผู้ผลิตผ้าอนามัยแบรนด์ยอดนิยมของจีน กลับสร้างความไม่พอใจของผู้บริโภคสาวมากกว่าเดิม เนื่องจากมีรายงานว่าฝ่ายบริการลูกค้าได้ตอบสนองต่อการร้องเรียนโดยกล่าวว่า “หากคุณไม่สามารถยอมรับความแตกต่างของความยาวได้ คุณสามารถเลือกที่จะไม่ซื้อได้”

ABC กล่าวในแถลงการณ์เมื่อกลางเดือนพฤศจิกายนว่า บริษัทฯรู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งสําหรับการตอบสนองต่อข้อร้องเรียนที่ไม่เหมาะสมและสัญญาว่าจะปรับปรุงผลิตภัณฑ์ของบริษัทเพื่อให้ตอบสนองต่อผู้บริโภคมากขึ้น ด้าบริษัทอื่น ๆ รวมถึง Shecare และ Beishute ที่เป็นบริษัทผู้ผลิตผ้าอนามัยก็ได้ออกแถลงการณ์ขอโทษด้วยเช่นกัน

ทั้งนี้ สื่อของรัฐจีนได้แสดงความคิดเห็นว่า เนื่องจากผ้าอนามัยเป็นของใช้ในชีวิตประจําวันที่จำเป็นสําหรับผู้หญิง ทำให้คุณภาพของผ้าอนามัยมีผลโดยตรงต่อสุขภาพและความสะดวกสบายของผู้ใช้ จากกรณีดักงล่าว ถือเป็นปัญหาที่ไม่สามารถเพิกเฉยหรือละเลยได้

ผ้าอนามัยถือเป็นผลิตภัณฑ์สุขอนามัยของผู้หญิงที่มีอัตราการใช้บ่อยที่สุดในประเทศจีน ซึ่งตลาดมีมูลค่า 13 พันล้านดอลลาร์ (44,838,300,000 บาท) 

ในปี 2016 ตํารวจได้จับกุมขบวนการผ้าอนามัยปลอมขนาดใหญ่ได้ทางตะวันออกเฉียงใต้ของจีน ซึ่งผ้าอนามัยหลายล้านชิ้นถูกผลิตในโรงงานโดยไม่มีมาตรการด้านสุขอนามัยที่เหมาะสม ซึ่งล้วนแล้วแต่มีการใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นของแบรนด์ยอดนิยมมาใช้ในกระบวนการผลิต

ในปี 2021 แบรนด์สุขอนามัยของผู้หญิงยอดนิยม อย่าง Space 7 ได้ออกแถลงการณ์ขอโทษและสาบานว่าจะตรวจสอบคุณภาพของผลิตภัณฑ์ หลังมีผู้หญิงรายหนึ่งอ้างว่าเธอพบเข็มในผ้าอนามัยของแบรนด์

จากปัญหาด้านผลิตภัณฑ์เพื่อสุขอนามัยของผู้หญิงที่มีมาอย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงความใส่ใจในคุณภาพของผลิตภัณฑ์เพื่อผู้หญิงที่ไม่มากพอ สร้างความโกรธเคืองในใจของเหล่าปู้บริโภคสาว จนเกิดเป็นแฮชแท็กที่กําลังมาแรงบนโซเชียลมีเดียจีนอย่าง Weibo อย่าง “มันยากขนาดนั้นเลยเหรอที่ผ้าอนามัยจะจัดการกับความต้องการของผู้หญิง” รวมถึงวลีที่ว่า “แผ่นอนามัยให้ผลผลิตหนึ่งเซนติเมตร ผู้หญิงให้ผลผลิตตลอดชีวิต” ซึ่งกําลังมาแรงในโซเชียลมีเดียของจีนเช่นกัน

ที่มา : BBC

]]>
1501289
“จีน” ขยายนโยบายฟรีวีซ่าอีก 9 ประเทศ มีผลบังคับใช้ถึง 31 ธ.ค. 2025 https://positioningmag.com/1498239 Sat, 09 Nov 2024 02:59:10 +0000 https://positioningmag.com/?p=1498239 “จีน” ออกประกาศ ขยายนโยบายฟรีวีซ่า (visa-free) ให้พลเมืองของอีก 9 ประเทศ สามารถเข้าประเทศจีนได้โดยไม่ต้องขอวีซ่าเยี่ยมชม

โดยผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดาจาก 8 ประเทศในยุโรป ได้แก่

  • สโลวาเกีย
  • นอร์เวย์
  • ฟินแลนด์
  • เดนมาร์ก
  • ไอซ์แลนด์
  • อันดอร์รา
  • โมนาโก
  • ลิกเตนสไตน์

รวมถึง “ผู้ถือหนังสือเกาหลีใต้” ก็สามารถเยี่ยมชมเพื่อวัตถุประสงค์ทางธุรกิจหรือพักผ่อนที่ประเทศจีน ได้นานถึง 15 วันโดยไม่ต้องใช้วีซ่า โดยการยกเว้นวีซ่าจะมีผลบังคับใช้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2025

ซึ่งเกาหลีใต้ถือเป็นตลาดแหล่งท่องเที่ยวที่สําคัญของจีนอีกตลาดหนึ่ง โดยในปี 2019 มีชาวเกาหลีใต้ประมาณ 4.3 ล้านคนเดินทางมาเยือนประเทศจีน แต่ในปี 2023 จีนมีจำนวนนักท่องเที่ยวชาวเกาหลีใต้น้อยกว่า 1.3 ล้านคน ตามรายงานของ The Korea Times กระทรวงการต่างประเทศของเกาหลี

การประกาศขยายโครงการปลอดวีซ่า ส่งผลให้ราคาหุ้นของบริษัทท่องเที่ยวของจีนและเกาหลีใต้เพิ่มขึ้น หุ้นของ Trip.com มีการเพิ่มขึ้นมากกว่า 5% ในขณะที่สายการบินต้นทุนต่ำอย่าง Jin Air หุ้นเพิ่มขึ้นเกือบ 4%

เห็นได้ชัดว่าจีนมีความพยายามในการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการการท่องเที่ยวขาเข้าที่ยังไม่ฟื้นตัวดีนักเมื่อเทียบกับช่วงก่อนเกิดโรคระบาด ที่ในปี 2019 ประเทศจีนต้อนรับนักท่องเที่ยวประมาณ 49.1 ล้านคน โดยมีชาวต่างชาติประมาณ 17.25 ล้านคน ตามรายงานของสํานักข่าวซินหัว

นโยบายการยกเว้นวีซ่าของจีน จึงเป็นเครื่องมือที่ดีในการดึงดูดชาวต่างชาติให้มาเยี่ยมเยียนและกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศในไตรมาสที่ 3 ของปี 2024 โดยมีจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติกว่า 8.2 ล้านคน เพิ่มขึ้น 49% จากปี 2023 ที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติประมาณ 4.9 ล้านคน 

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่จีน ยังคงพยายามปรับปรุงการบริการให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งรวมถึงปัญหาการชําระเงินที่ชาวต่างชาติต้องเผชิญภายในจีน ตัวอย่างเช่น รัฐบาลกําหนดให้สถานที่ท่องเที่ยวที่สําคัญยอมรับบัตรเครดิตและเงินสดจากต่างประเทศได้

และจีนยังพยายามฟื้นฟูอุตสาหกรรมการบินให้กลับสู่ภาวะก่อนเกิดโรคระบาด โดยสายการบินจีนกําลังเพิ่มเที่ยวบินไปยังยุโรปในช่วงฤดูหนาวนี้ เนื่องจากสายการบินชั้นนําระดับโลกหลายๆ สาย ได้ยกเลิกเที่ยวบินมายังจีน เนื่องจากข้อจํากัดในการบินผ่านน่านฟ้าของรัสเซียและความต้องการของนักท่องเที่ยวยุโรปที่ต่ำลง

ที่มา : CNBC 

 

]]>
1498239
‘World Bank’ คาดศก. ‘จีน’ ปี 2025 โตเพียง 4.3% แม้ว่าเพิ่งออกมาตรการกระตุ้นก็ตาม https://positioningmag.com/1493763 Thu, 10 Oct 2024 04:45:06 +0000 https://positioningmag.com/?p=1493763 แม้ว่า จีน จะเพิ่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาก็ตาม แต่ ธนาคารโลก (World Bank) คาดว่าในปีหน้า GDP ของประเทศจะเติบโตเพียง 4.3% ขณะที่เศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก อาจต้องลดการพึ่งพาจีน

ตามรายงานของ ธนาคารโลก คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจจีนในปี 2025 จะเติบโตเพียง 4.3% ซึ่งต่ำกว่าปี 2024 ที่คาดว่าจะเติบโตได้ 4.8% แม้ว่ารัฐบาลจะเพิ่งเปิดตัวมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเมื่อเร็ว ๆ นี้ก็ตาม เนื่องจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคจีนที่อ่อนแอซึ่งเกิดจากความกังวลมากมาย นอกเหนือจากความท้าทายต่าง ๆ เช่น ความอ่อนแอของตลาดอสังหาริมทรัพย์, ประชากรสูงอายุ และความตึงเครียดทั่วโลกที่เพิ่มขึ้น

โดยที่ผ่านมา ประธานคณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติของจีน ให้คํามั่นว่าจะดําเนินการเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจของประเทศ รวมถึงเร่งการออกพันธบัตรเพื่อวัตถุประสงค์พิเศษให้กับรัฐบาลท้องถิ่น อย่างไรก็ตาม Aaditya Mattoo หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์เอเชียตะวันออกและแปซิฟิกของธนาคารโลก มองว่า การกระตุ้นดังกล่าวไม่สามารถทดแทนการปฏิรูปโครงสร้างที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นที่จีนจะต้องยกระดับการเติบโตในระยะยาว

“คําถามคือ มาตรการกระตุ้นจะสามารถชดเชยความกังวลของผู้บริโภคเกี่ยวกับเงินเดือนที่ลดลง ความกังวลเกี่ยวกับรายได้ด้านอสังหาริมทรัพย์ที่ลดลง และความกลัวเกี่ยวกับการป่วย อายุมากขึ้น การว่างงานได้หรือไม่” Aaditya Mattoo กล่าว

อย่างไรก็ตาม ธนาคารโลก ประเมินว่า ส่วนที่เหลือของภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกจะเติบโตที่ 4.7% ในปีนี้และเพิ่มขึ้นเป็น 4.9% ในปีหน้า เนื่องจากการฟื้นตัวของการส่งออกที่คาดว่าจะเกิดขึ้นและสภาพทางการเงินที่ดีขึ้นอย่างไรก็ตาม ภูมิภาคนี้จะต้องหาตัวขับเคลื่อนการเติบโตในประเทศมากขึ้น ไม่ใช่พึ่งพาแค่จีน เพราะการเติบโตของเศรษฐกิจจีนยังคงชะลอตัวลง

“เป็นเวลา 30 ปีแล้วที่การเติบโตของจีนได้ส่งผลต่อการเติบโตในระดับภูมิภาค แต่ขนาดของแรงผลักดันนั้นกําลังลดลง”

Source

]]>
1493763
‘จีน’ อวดเงิน ‘หยวน’ ถูกใช้เพิ่มขึ้น 21.1% อีกก้าวในการดันเป็นสกุลเงินสากลของโลก https://positioningmag.com/1493169 Mon, 07 Oct 2024 08:32:57 +0000 https://positioningmag.com/?p=1493169 ธนาคารกลางของจีน พยายามที่จะดันให้เซี่ยงไฮ้และฮ่องกงเป็นศูนย์กลางทางการเงินระหว่างประเทศ รวมถึงผลักดันให้ เงินหยวน ก้าวเป็นสกุลเงินสากลระดับโลก โดยดันให้เป็นสกุลเงินในการทำธุรกิจ

จากข้อมูลของ ธนาคารประชาชนจีน พบว่า ในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้ การชําระเงินและการรับเงิน ข้ามพรมแดนในรูป สกุลเงินหยวน ทั้งหมดเพิ่มขึ้น +21.1% เมื่อเทียบเป็นรายปีเป็นรวมมูลค่า 41.6 ล้านล้านหยวน โดย การชําระเงินและรับเงินหยวนข้ามพรมแดน เฉพาะ การค้าสินค้า ตั้งแต่เดือนมกราคม-สิงหาคมคิดเป็นสัดส่วน 26.5% ของการชำระเงินทั้งหมดในรูปสกุลเงินหยวนและเงินต่างประเทศในช่วงเวลาเดียวกัน โดยเพิ่มขึ้นจาก 24.8%

ตามรายงาน Society for Worldwide Interbank Financial Telecommunication (Swift) ซึ่งเป็นบริการส่งข้อความระหว่างธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในโลก กล่าวว่า ส่วนแบ่งของหยวนในการทําธุรกรรมทั่วโลกในเดือนสิงหาคมอยู่ที่ 4.69% ซึ่งลดลงเล็กน้อยจาก 4.74% ในเดือนกรกฎาคม แต่ถือว่าเป็นการทำธุรกรรมเกิน 4% เป็นเดือนที่ 10 ติดต่อกัน ซึ่งยังคงรักษา อันดับสี่ ในบรรดาสกุลเงินการชําระเงิน

ทั้งนี้ เงินหยวนถูกมากขึ้นในการค้าโลก และถูกมองว่าเป็น วิธีในการเพิ่มอิทธิพลทางการเมืองของจีน โดยในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา การจ่ายเงินและใบเสร็จรับเงินหยวนข้ามพรมแดนจากฮ่องกงและจีนแผ่นดินใหญ่คิดเป็น 53% ของทั้งหมด ตามด้วยสิงคโปร์ที่ 9.8% และสหราชอาณาจักรที่ 5.9%

ที่ผ่านมา จีนได้ลงนามในข้อตกลงการแลกเปลี่ยนสกุลเงินทวิภาคีกับประเทศสมาชิก 31 ประเทศภายใต้โครงการ Belt and Road Initiative โดยมี 19 ประเทศวางข้อตกลงการชําระบัญชีหยวน

อย่างไรก็ตาม ดอลลาร์สหรัฐ ยังคงเป็นสกุลเงินออกใบแจ้งหนี้ การลงทุน และสกุลเงินสํารองที่โดดเด่นในระบบการเงินระหว่างประเทศ และเมื่ออ้างข้อมูลจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ พบว่า ณ ไตรมาสที่สองของปีธนาคารกลางของโลกมีเงินสํารองรวม 245.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ นี้ ลดลง 0.15% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว โดย ธนาคารกลางยุโรป มองว่า หากจะพัฒนาเงินหยวนเป็นสกุลเงินสํารองระหว่างประเทศ จีนต้องเปิดบัญชีทุนเพื่อให้ประเทศต่างๆ สามารถซื้อและขายสกุลเงินในตลาดต่างประเทศได้ง่ายขึ้น

“ตราบใดที่บัญชีทุนของจีนยังไม่เปิดเต็มที่ สกุลเงินหยวนไม่น่าจะกลายเป็นสกุลเงินที่โดดเด่นและยังคงต้องการการสนับสนุนของดอลลาร์”

Source

]]>
1493169
‘รัฐบาลจีน’ กำลังสอบแบรนด์ ‘Calvin Klein’ ข้อหาปฏิเสธที่จะใช้ ‘ฝ้ายซินเจียง’ https://positioningmag.com/1492013 Thu, 26 Sep 2024 17:12:48 +0000 https://positioningmag.com/?p=1492013 หลังจากที่ สหรัฐฯ เล็งห้ามนำเข้า รถอีวีและชิ้นส่วนจากจีนและรัสเซีย เนื่องจากความกังวลด้านความปลอดภัยของชาติเพียงหนึ่งวัน ล่าสุด เหมือนรัฐบาลจีนจะตอบโต้ด้วยการสืบสวนบริษัท PVH Corp บริษัทแฟชั่นสัญชาติอเมริกัน เจ้าของแบรนด์ Calvin Klein และ Tommy Hilfiger 

กระทรวงพาณิชย์จีน ระบุว่า กําลังสืบบริษัท Phillips-Van Heusen Corporation หรือ PVH Corp ในข้อหาเข้าข่ายเลือกปฏิบัติโดย ปฏิเสธที่จะใช้ฝ้ายจากภูมิภาคซินเจียง ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา และกล่าวหาว่าบริษัทฝ้ายในซินเจียงบังคับใช้แรงงานกลุ่มชาติพันธุ์อุยกูร์โดยไม่มีหลักฐานและมูลความจริง ซึ่งบริษัทมีเวลา 30 วันในการชี้แจงข้อหาดังกล่าว

ซึ่งถ้าพบว่าผิดจริง บริษัทอาจถูกจัดให้อยู่ใน รายชื่อหน่วยงานที่ไม่น่าเชื่อถือของจีน ซึ่งจะห้ามไม่ให้บริษัททําธุรกิจในประเทศจีนทั้งการนำเข้า-ส่งออก และลงทุนในจีน โดยปัจจุบันมีบริษัทอเมริกัน 5 ราย ที่อยู่ในรายชื่อดังกล่าว ซึ่งประกาศครั้งแรกในปี 2019 อย่างไรก็ตาม บริษัทที่มีรายชื่อส่วนใหญ่ไม่มีทําธุรกิจในประเทศจีนมากนัก เนื่องจากเป็นผู้ผลิตด้านการป้องกันประเทศเป็นส่วนใหญ่ 

แน่นอนว่าถ้า PVH Corp ถูกจีนแบนจะได้รับผลกระทบต่อธุรกิจอย่างมาก เช่นเดียวกับบริษัทแฟชั่นระดับโลกอื่น ๆ อาทิ H&M ที่ถูกถอดออกจากแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซของจีน และสำหรับแบรนด์ Calvin Klein ก็ถือเป็นแบรนด์ที่ขายอยู่ทั่วประเทศจีน และในปี 2023 ตลาดจีนเป็นกลไกการเติบโตที่สําคัญ ซึ่งเติบโตมากกว่า 20% เมื่อคิดตามสกุลเงินท้องถิ่น

ที่ผ่านมา บริษัทแฟชั่นหลายรายต้องเจอกับสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เพราะนับตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2022 รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ห้ามนำเข้าสินค้าทั้งหมดที่ผลิตจากซินเจียง เนื่องจากมีความกังวลว่ามีการสร้างสถานกักกันหรือพื้นที่พิเศษเพื่อใช้แรงงานชาว อุยกูร์ อย่างไรก็ตาม จีนเองก็ได้อธิบายว่าสถานที่ที่เห็นเป็น ศูนย์ฝึกอาชีพ และอ้างว่าในปี 2019 ศูนย์ดังกล่าวถูกปิดไปแล้ว และได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนทั้งหมดในซินเจียงอย่างต่อเนื่อง

Source

]]>
1492013
‘KKP Reseach’ มอง 4 ปัจจัยที่ไทยดึงดูดให้ ‘สินค้าจีน’ ทะลัก จนเป็นหนึ่งในประเทศที่ ‘ขาดดุล’ กับจีนเร็วที่สุด https://positioningmag.com/1490967 Thu, 19 Sep 2024 09:17:14 +0000 https://positioningmag.com/?p=1490967 แนวโน้มการเข้ามาของสินค้าจีนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว นับตั้งแต่หลังโควิด-19 ก็เริ่มเห็นสัญญาณการเร่งขึ้นของการขาดดุลการค้าระหว่างไทยกับจีนอย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเกิดจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจในประเทศจีน โดยเฉพาะในภาคอสังหาริมทรัพย์ ทำให้จีนหันมาเร่งเติบโตด้วยการผลิตอุตสาหกรรมและการส่งออก และระบายสินค้าคงคลังด้วยการส่งออกไปยังประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะอาเซียน

โดย KKP Research กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร มองว่ามี 4 ปัจจัย ที่มีส่วนดึงดูดสินค้าจากจีนให้เร่งเข้ามาไทยมากกว่าในหลายประเทศ คือ

  • ประเทศไทยมีกฎระเบียบที่เอื้อต่อการนำเข้าสินค้าจากจีน ตัวอย่างเช่น การคิดอัตราภาษีจากสินค้าจีนในระดับต่ำ
  • การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่จีนเป็นผู้นำ เช่น รถยนต์ไฟฟ้า
  • การเกิดขึ้นของอีคอมเมิร์ซไทย โดยคนไทยมีความคุ้นเคยและนิยมซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้นเรื่อย ๆ โดยพิจารณาจากราคา ไม่ยึดติดกับแบรนด์
  • การให้ Free visa กับนักท่องเที่ยวจากจีน ทำให้ไม่มีการตรวจสอบการเข้าออกประเทศอย่างเข้มงวด เปิดช่องทางให้คนจีนเข้ามาทำการค้าทำธุรกิจในไทยได้โดยง่าย

ปัจจัยทั้งหมดส่งผลให้ไทยเป็นหนึ่งในเป้าหมายการส่งออกสินค้าจากจีน ไทยถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการเร่งตัวของการขาดดุลการค้ากับจีนเร็วมากที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ โดยเพิ่มขึ้นจาก 2.5% ของ GDP ในปี 2012 เป็น 7.5% ของ GDP ในปี 2022 หรือเพิ่มขึ้นกว่า 5 p.p. ซึ่งเกิดจากทั้งการนำเข้ามาเพื่อบริโภคในประเทศเอง และการนำเข้าเพื่อส่งออกสินค้าต่อไปยังต่างประเทศ

Photo : Shutterstock

ส่อง 5 กลุ่มสินค้าที่ทะลักเข้าไทยมากที่สุด

หากพิจารณาพัฒนาการของการค้าระหว่างไทยกับจีนในรายละเอียดอาจสามารถแบ่งได้เป็น 5 กลุ่มสินค้าสำคัญที่น่าสนใจ คือ

  • กลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ จะเป็นกลุ่มที่ส่งผลให้มีการขาดดุลมากที่สุด โดยสินค้าที่สำคัญที่ไทยนำเข้าจากจีนค่อนข้างมาก คือ สินค้าในกลุ่ม smartphone ซึ่งเป็นสินค้าที่สามารถซื้อขายได้ผ่าน e-Commerce Platform ทำให้เห็นภาพว่าอีคอมเมิร์ซ มีบทบาทสำคัญเช่นกันในการส่งผ่านสินค้าจากจีนมายังไทยมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
  • สินค้าในกลุ่มเครื่องจักร เคยเป็นหนึ่งในประเภทสินค้าที่ไทยเกินดุลการค้ากับจีนจากสินค้าอย่าง Hard Disk Drive อย่างไรก็ดี ในภายหลังสินค้าเครื่องจักรจากจีนเริ่มเข้ามาในตลาดไทยมากขึ้น นำโดย Laptop และเครื่องใช้ไฟฟ้า
  • สินค้าในกลุ่มยานยนต์ สินค้าที่ขาดดุลกับจีนเป็นอันดับต้น ๆ ส่วนใหญ่เป็นชิ้นส่วนรถยนต์ ขณะที่สินค้าที่เกินดุลการค้ากับจีนเป็นสินค้ารถยนต์ที่ประกอบสำเร็จแล้ว โดยในปี 2022 เริ่มเห็นสัญญาณความเสี่ยงจากการที่ไทยเริ่มขาดดุลการค้ากับจีนในสินค้ารถยนต์ไฟฟ้า หรือ EV โดยมีการขาดดุลเพิ่มขึ้นแซงหน้าชิ้นส่วนยานยนต์ทุกประเภท
  • เหล็กกล้าและอะลูมิเนียม พบว่าเหล็กและอะลูมิเนียมขาดดุลการค้ามากขึ้นทุกปีกับจีน โดยมีสาเหตุจากกำลังการผลิตที่เกินอุปสงค์ภายในประเทศจีนที่ชะลอตัวลงตามภาวะเศรษฐกิจ สุดท้ายจึงต้องส่งออกเหล็กสำเร็จรูปเหล่านั้นมาที่ประเทศอื่น ๆ รวมถึงประเทศไทย
  • เคมีภัณฑ์และพลาสติก เปลี่ยนจากการเกินดุลการค้าเป็นขาดดุลการค้าในช่วงที่ผ่านมา โดยข้อมูลจากองค์กรพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ระบุว่าในปัจจุบันจีนมีการพัฒนาเพื่อรองรับการขยายตัวของเศรษฐกิจและภาคอุตสาหกรรม โดยมีกำลังผลิตรวมมากกว่ายุโรป ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้รวมกันเสียอีก จีนจึงไม่จำเป็นต้องพึ่งพาการนำเข้าอีกต่อไป

เมื่อพิจารณาสินค้าในกลุ่มที่มีแนวโน้ม ส่งออกผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ มายังประเทศไทย กลุ่มสินค้าที่ไทยมีแนวโน้มขาดดุลกับจีนมากขึ้นแ ได้แก่

  • คอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งมีมูลค่าเพิ่มมากถึง 8.8% ของภาคการผลิตไทย
  • เครื่องใช้ไฟฟ้า มีมูลค่าเพิ่ม 3.5 %
  • อุตสาหกรรมสิ่งทอและเสื้อผ้า มีมูลค่าประมาณ 3 %

โดยนับรวมเป็นมูลค่าเพิ่มในภาคการผลิตในกลุ่มที่มีความเสี่ยงนี้คิดเป็นประมาณ 18% ของมูลค่าการผลิตทั้งหมดของประเทศ โดยเริ่มเห็นทิศทางการผลิตที่ชะลอลงแล้วในช่วงที่ผ่านมา นอกจากนี้การเข้ามาของอีคอมเมิร์ซ ยังมีแนวโน้มส่งผลกระทบต่อภาคบริการแบบเก่า คือ กลุ่มค้าปลีกมีโอกาสได้รับผลกระทบ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนใหญ่ถึงประมาณ 16% ของ GDP และอาจมีผลกระทบสำคัญตามมาอีกอย่างน้อย 5 เรื่อง คือ

  • รายได้ของธุรกิจมีแนวโน้มถูกกระทบรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดเล็กที่ปรับตัวได้ยากกว่า
  • หนี้เสียมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น โดยในปัจจุบันเริ่มเห็นสัญญาณการเพิ่มขึ้นของหนี้เสียของธุรกิจในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งมีแนวโน้มเป็นกลุ่มสินค้าเดียวกันกับสินค้าที่ไทยขาดดุลกับจีนมากขึ้น เช่น สิ่งทอและเสื้อผ้า เหล็ก
  • ดุลการค้ามีแนวโน้มพลิกเป็นขาดดุลในระยะยาว และกดดันค่าเงินบาทจากการนำเข้าสินค้าจีนทดแทนการผลิต
  • เงินเฟ้อไทยมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำต่อเนื่อง จากสินค้าราคาถูกจากจีน
  • รัฐบาลไทยสูญเสียรายได้ภาษี จากการที่การชำระเงินให้กับการซื้อสินค้าออนไลน์บนแพลตฟอร์มข้ามชาติเหล่านี้ ถูกจ่ายตรงไปยังธุรกิจในต่างประเทศ

ไทยควรรับมืออย่างไร ?

การเข้ามาบุกตลาดของสินค้าจีนอาจมีข้อดีทำให้ซื้อสินค้าในราคาถูกลง แต่ตามมาด้วยผลกระทบด้านลบต่อผู้ประกอบการไทย ทั้งนี้การออกมาตรการสกัดกั้นหรือตอบโต้สินค้าจากจีนอาจเป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อนในทางการเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ KKP Research ประเมินว่า ภาครัฐไม่จำเป็นต้องกีดกันสินค้าจากจีนในวงกว้าง หากแต่ควรพิจารณาออกแบบมาตรการรับมือ ที่เหมาะสมกับสถานการณ์และหลักการ ในมิติดังต่อไปนี้

  • Fair competition: สินค้านำเข้าเป็นการนำเข้าที่เข้าข่ายผิดกฎหมาย มีการลักลอบ หรือใช้ช่องว่างทางกฎหมายต่าง ๆ เพื่อหลบเลี่ยงภาษี หรือเป็นการทุ่มตลาด ทำให้ผู้ประกอบการไทยเสียผลประโยชน์จากการแข่งขันที่ไม่เท่าเทียม
  • Quality and standards: สินค้านำเข้าเป็นการนำเข้าสินค้าที่ไม่ได้คุณภาพมาตรฐานตามที่กำหนดโดยมาตรฐานสินค้าและอาหารของหน่วยงานภาครัฐไทยหรือไม่?
  •  Strategic industry: สินค้านำเข้าเป็นการนำเข้าที่มาแข่งขันกับการผลิตในประเทศในอุตสาหกรรมสำคัญที่มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์สำหรับเศรษฐกิจไทย และการจ้างงานในภาพรวมหรือไม่?

ในกรณีที่สินค้ามีลักษณะที่ตรงตามเกณฑ์ต่าง ๆ ภาครัฐควรให้ความช่วยเหลือธุรกิจไทยในกรณีที่มีการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม หรือเป็นการช่วยให้อุตสาหกรรมที่มีความสำคัญกับเศรษฐกิจมีเวลาปรับตัวมากเพื่อรักษาผลประโยชน์สูงสุดต่อเศรษฐกิจ

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นมาตรการใดที่จะใช้ในการตั้งรับกับการแข่งขันในสมรภูมิสินค้าที่ดุเดือดมากขึ้นนี้ก็อาจเป็นเพียงการซื้อเวลาให้ผู้ประกอบการได้พอมีเวลาปรับตัว แต่สุดท้ายแล้วผู้ชนะในตลาดนี้จำเป็นต้องแข่งกันด้วยคุณภาพของสินค้า ประสิทธิภาพในการผลิต ความคุ้มค่า รวมไปถึงการบริการที่ตอบโจทย์และได้ความพึงพอใจจากผู้บริโภค นับเป็นโอกาสที่ดีที่ภาคการผลิตไทยจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำธุรกิจ พัฒนาประสิทธิภาพการผลิต สร้างนวัตกรรม สร้างแบรนด์ที่มีความแตกต่าง เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มที่สูงขึ้น โดยภาครัฐอาจต้องช่วยส่งเสริมด้วยการสนับสนุนการลงทุนในเทคโนโลยีและนวัตกรรม การพัฒนาปรับปรุงการผลิต รวมถึงการบุกเบิกตลาดใหม่

]]>
1490967
ศก. จีนยังโตช้า ทำอัตราว่างงาน ‘เด็กจบใหม่’ เดือนก.ค.พุ่งเป็น 17.1% แตะระดับสูงสุดของปี https://positioningmag.com/1486756 Mon, 19 Aug 2024 04:40:33 +0000 https://positioningmag.com/?p=1486756 การเติบโตของเศรษฐกิจจีนในไตรมาส 2 ยังคงทำได้ไม่ดีเท่าที่คาดการณ์ ขณะที่อัตราการว่างงานเดือน ก.ค. 67 ยังคงอยู่ที่ระดับ 5.2% สูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ที่ 5.1% และถ้าเจาะลงไปในกลุ่ม เด็กจบใหม่ ถือเป็นการทำสถิติว่างงานสูงสุดของปี

สํานักงานสถิติแห่งชาติของจีน (NBS) ได้เปิดเผยถึง อัตราการว่างงานของเยาวชน อายุ 16-24 ปี ในประเทศจีนเพิ่มขึ้นจาก 13.2% ในเดือนมิถุนายน เป็น 17.1% ในเดือนกรกฎาคม ซึ่งเป็น ระดับสูงสุดในปีนี้ อย่างไรก็ตาม อัตราสูงสุดดังกล่าวยังน้อยกว่าอัตราสูงสุดในปี 2023 ที่อัตราว่างงานของเยาวชนสูงถึง 21.3% ในเดือนมิถุนายน

ปัจจัยที่อัตราว่างงานของเยาวชนค่อย ๆ สูงขึ้นต่อเนื่อง เกิดจากเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลกเผชิญกับอุปสรรคที่เพิ่มขึ้น อาทิ ภาคอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นหนี้หนัก และปัญหาการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้นกับตะวันตก ขณะที่มีจำนวนนักศึกษาเกือบ 12 ล้านคน ที่จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยของจีนในเดือนมิถุนายน ทําให้การแข่งขันในตลาดงานที่สูงอยู่แล้ว ยิ่งสูงขึ้นไปอีก 

ทั้งนี้ เยาวชนอายุ 25-29 ปี มีอัตราว่างงานอยู่ที่ 6.5% เพิ่มขึ้นจาก 6.4% ของเดือนที่แล้ว ส่วนอัตราว่างงานของแรงงานโดยรวมอยู่ที่ 5.2% โดย ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ได้ย้ำว่า ปัญหาการว่างงานของเยาวชนถือเป็น ความสําคัญสูงสุด

อย่างไรก็ตาม ตัวเลขของ NBS นั้นอ้างอิงเฉพาะการจ้างงานโดยเฉพาะใน เขตเมือง เท่านั้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงในเมืองใหญ่ ๆ ของจีน อาทิ ปักกิ่ง โดยเฉพาะการเติบโตของอุตสาหกรรมการผลิตที่ลดลง โดยขยายตัวเพียง 5.1% ลดลงจาก 5.3% ในเดือนมิถุนายน และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้

นอกจากนี้ ราคาอสังหาริมทรัพย์ ในเมืองใหญ่ของจีนยังปรับ ลดลง ซึ่งเป็นสัญญาณของอุปสงค์ที่ซบเซา นอกจากนี้ ความต้องการสินเชื่อธนาคารก็หดตัวเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 20 ปี ขณะที่ ความท้าทายระหว่างประเทศก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยสหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกาได้กําหนดอุปสรรคทางการค้ามากขึ้นเพื่อปกป้องตลาดของตนจากผลิตภัณฑ์จีนที่มีต้นทุนต่ำและการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม

Source

]]>
1486756
ลดพิษสงคู่อริ? ‘จีน’ จำกัดส่งออก ‘แอนติโมนี’ วัตถุดิบสำคัญสำหรับผลิต ‘อาวุธ’ https://positioningmag.com/1486711 Fri, 16 Aug 2024 09:34:31 +0000 https://positioningmag.com/?p=1486711 จีน จะกำหนดข้อจำกัดในการส่งออก แอนติโมนี และองค์ประกอบที่เกี่ยวข้อง ในนามของความมั่นคงแห่งชาติ ซึ่งถือเป็นความเคลื่อนไหวล่าสุดของรัฐบาลจีน ในการจำกัดการขนส่งแร่ธาตุสำคัญที่จีนเป็นซัพพลายเออร์รายใหญ่ของโลก

ในปี 2023 ที่ผ่านมา จีน สามารถผลิต แอนติโมนี (Antimony) ได้ถึง 48% ของโลก โดยแอนติโมนีถือเป็นโลหะเชิงยุทธศาสตร์ที่ใช้ในกองทัพ เช่น กระสุน ขีปนาวุธอินฟราเรด อาวุธนิวเคลียร์ นอกจากนี้ ยังใช้ในแบตเตอรี่ และเซลล์โฟโตโวลตาอิก (Photovoltaic cell) สำหรับใช้ในการผลิต โซลาร์เซลล์ อีกด้วย ดังนั้น การจำกัดการส่งออกจะเป็นการ กดดันกองทัพสหรัฐฯ และยุโรป

“ปัจจุบัน การนำแร่แอนติโมนีมาใช้ในทางทหารถือเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ทุกคนต้องการแร่ชนิดนี้เพื่อใช้ในการผลิตอาวุธ ดังนั้น ควรเก็บรักษาไว้ดีกว่าขาย และสิ่งนี้จะกดดันกองทัพสหรัฐฯ และยุโรปอย่างแท้จริง” คริสโตเฟอร์ เอกเคิลสโตน ผู้บริหารและนักยุทธศาสตร์ด้านเหมืองแร่ที่ Hallgarten & Company กล่าว

สำหรับข้อจำกัดในการส่งออกแอนติโมนี จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 15 กันยายน โดยจะมีผลใช้กับผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับแอนติโมนี 6 ชนิด รวมถึงแร่แอนติโมนี โลหะแอนติโมนี และแอนติโมนีออกไซด์ นอกจากนี้ กฎระเบียบดังกล่าวยังห้ามการส่งออกเทคโนโลยีการถลุงและการแยกทองคำ-แอนติโมนีโดยไม่ได้รับอนุญาตอีกด้วย

“ข้อจำกัดเหล่านี้ถูกกำหนดขึ้นเพื่อปกป้องความมั่นคงของชาติและผลประโยชน์ และปฏิบัติตามพันธกรณีระหว่างประเทศ เช่น การไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์” กระทรวงความมั่นคงแห่งชาติจีน กล่าว

ที่ผ่านมา นักวิเคราะห์จาก China Securities กล่าวว่า ความต้องการอาวุธและกระสุนที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากสงครามและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์มีแนวโน้มที่จะทำให้มีการควบคุมและกักตุนแร่แอนติโมนีที่เข้มงวดยิ่งขึ้น ขณะที่ สหรัฐฯ และประเทศอื่นๆ กำลังดิ้นรนเพื่อ ลดการพึ่งพาจีน สำหรับวัตถุดิบสำคัญ โดยกำหนดนโยบายและแพ็กเกจ การสนับสนุนสำหรับภาคส่วนแร่ธาตุที่สำคัญ รวมไปถึงแร่ธาตุหายากด้วย

หลังจากจีนประกาศจำกัดการส่งออก ส่งผลให้ราคาของแอนติโมนีพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ในปีนี้ เนื่องมาจากอุปทานที่ตึงตัวและความต้องการที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากภาคการผลิตไฟฟ้าโซลาร์เซลล์ ซึ่งโลหะแอนติโมนีถูกนำไปใช้เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพของเซลล์แสงอาทิตย์

ทั้งนี้ จีนได้เริ่มควบคุมการส่งออกแร่สำคัญ ๆ ตั้งแต่ปีที่แล้ว อาทิ ในเดือนธันวาคม จีนได้ห้ามการส่งออกเทคโนโลยีการผลิตแม่เหล็กหายาก ซึ่งเป็นการเพิ่มเติมจากข้อห้ามในการส่งออกเทคโนโลยีการสกัดและแยกวัตถุดิบสำคัญที่มีอยู่แล้วนอกจากนี้ รัฐบาลยังได้เข้มงวดการส่งออกผลิตภัณฑ์กราไฟต์บางชนิด และกำหนดข้อจำกัดในการส่งออก  ผลิตภัณฑ์ แกลเลียมและเจอร์เมเนียมที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจีนจะเป็นซัพพลายเออร์รายใหญ่ที่สุดของแอนติโมนีที่ผ่านการกลั่น แต่จีนก็เป็นผู้นำเข้าสุทธิของแร่เข้มข้นและต้องพึ่งพาแร่จากประเทศต่าง ๆ เช่น ไทย เมียนมา และรัสเซีย ตามข้อมูลของกรมศุลกากร แต่การนำเข้าจากรัสเซียลดลงอย่างมากในปีนี้

]]>
1486711
พี่ก็เร็วเกิ๊น! ‘จีน’ ออกเสื้อยืดลาย ‘ทรัมป์’ ถูกลอบยิง ทำยอดจองถล่ม 2 พันตัวใน 3 ชั่วโมง https://positioningmag.com/1482609 Mon, 15 Jul 2024 06:06:35 +0000 https://positioningmag.com/?p=1482609 เมื่อประมาณ 18.15 น. ของวันที่ 13 ก.ค. ตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐฯ หรือประมาณ 05.15 น. ของวันที่ 14 ก.ค. ตามเวลาประเทศไทย มีเหตุการณ์ช็อกโลกเมื่อ โดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ รอดพ้นจากการพยายาม ลอบสังหาร อย่างหวุดหวิด ซึ่งภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังเหตุการณ์ดังกล่าว ร้านขายเสื้อใน จีน ก็เปิดจอง เสื้อยืดลายทรัมป์ ที่รอดจากการลอบสังหาร

พ่อค้าจีนตอบสนองเกือบจะเร็วพอ ๆ กับที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ ตอบโต้การยิงโดนัลด์ ทรัมป์ คู่แข่งในการเลือกตั้ง เพราะทรัมป์ รอดพ้นจากการพยายามลอบสังหารอย่างหวุดหวิดเมื่อเวลาประมาณ 18.15 น. ตามเวลาท้องถิ่น จากนั้นเวลา 18.31 ก็มีการเผยแพร่ภาพอันเป็นสัญลักษณ์ของทรัมป์ที่โบกมือหลังรอดจากการลอบสังหาร

ประมาณ 1 ชั่วโมงให้หลัง โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ก็แสดงความเห็นเกี่ยวกับการลอบยิงเกิดขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 20.00 น. ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับที่ ผู้ผลิตเสื้อชาวจีน เปิดจองเสื้อยืดลายเหตุการณ์ลอบสังหารทรัมป์บน Taobao แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซยอดนิยมของจีน 

โดย Li Jinwei เจ้าของร้านบน Taobao เปิดเผยว่า ภายใน 3 ชั่วโมง ร้านมียอดสั่งซื้อเสื้อลายทรัมป์ถึง 2,000 รายการ จากทั้งผู้ซื้อในจีนและสหรัฐอเมริกา โดย Li เปิดเผยต่อว่า โรงงานของเขาตั้งอยู่ในจังหวัดทางเหนือของมณฑลเห่อเป่ย์ และผลิตเสื้อใหม่ เพียงแค่ดาวน์โหลดรูปภาพและกดพิมพ์ โดยโรงงานใช้เวลาเฉลี่ยหนึ่งนาทีในการผลิตเสื้อยืดดังกล่าว

“เราทําแต่ของที่ระลึกจากทรัมป์เท่านั้น เนื่องจากเขามีโอกาสชนะการเลือกตั้งสูงกว่า และเขาเป็นที่นิยมในหมู่ชาวเน็ตจีน” Li Jinwei กล่าว

ความต้องการเสื้อยืดในธีม การเลือกตั้งและการชุมนุม ค่อนข้างสูงในตลาดสหรัฐฯ ตามรายงานของ Allen Yao ผู้ร่วมก่อตั้ง Xinflying Digital Printing Production ในมณฑลกวางตุ้ง โดยเมื่อต้นปีนี้ เขาได้เปิดโรงงานอัตโนมัติเต็มรูปแบบในแคลิฟอร์เนีย โดยมีกําลังการผลิตรายวันประมาณ 3,000 ตัว และยอดรวมที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 8,000 ตัว ภายในเดือนหน้า และเสื้อยืดลายเกี่ยวกับการเลือกตั้งในปีนี้ที่วางขายนั้นผลิตมาเท่าไหร่ก็ขายไม่พอ

Source

]]>
1482609