ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย คาดการณ์ถึงการใช้จ่าย ช่วงเปิดเทอม ประจำปีการศึกษา 25568 จะมีมูลค่าการใช้จ่ายอยู่ที่ 62,615 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.80% จากปี 2567 ที่มีมูลค่าใช้จ่าย 60,323 ล้านบาท โดยยอดใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น อาจตีความได้ว่า ค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาปรับตัวสูงขึ้น หรือผู้ปกครองให้ความสำคัญกับเรื่องการศึกษาของบุตรหลานมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม เมื่อถามว่า ภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันส่งผลต่อค่าใช้จ่ายของบุตรหลานหรือไม่ 56.6% ของผู้ปกครองบอกส่งผลกระทบมาก มีเพียง 8.8% เท่านั้นที่ตอบไม่กระทบ ถึงอย่างนั้นผู้ปกครองก็ไม่มีแผนจะลดการใช้จ่ายด้านนี้

ขณะที่แบรนด์เองก็มองไปในทิศทางเดียวกัน คือ แม้สภาพเศรษฐกิจโดยรวมจะชะลอตัว แต่ยังมองเห็นโอกาสทางธุรกิจ เพราะเชื่อว่า ค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาของบุตรหลานเป็นสิ่งจำเป็นและสำคัญที่ผู้ปกครองยอมจ่าย จึงยังเดินหน้าแคมเปญรับเปิดเทอม

แบรนด์ชูนวัตกรรม บวกโปรโมชั่น เรียกกำลังซื้อ

สำหรับนันยาง ‘ดร.จักรพล จันทวิมล’ กรรมการผู้จัดการ บริษัท นันยางมาร์เก็ตติ้ง จำกัด บอกว่า ปัจจุบันตลาดรองเท้านักเรียนไทยมีผู้เล่นหลักประมาณ 10-15 ราย โดยมีผู้เล่นรายใหม่เพิ่มขึ้นถึง 5 รายในช่วงปีที่ผ่านมา ซึ่งแนวทางการขับเคลื่อนตลาดของนันยางช่วงเปิดเทอมปี 2568 จะเน้นพัฒนาสินค้าที่ตอบโจทย์ผู้บริโภครุ่นใหม่ การสื่อสารแบรนด์ผ่านทุกช่องทาง และการขยายเครือข่ายการจัดจำหน่ายอย่างครอบคลุม

สำหรับการพัฒนาสินค้า จะเน้นนวัตกรรมเพื่อรองรับความต้องการของเด็กนักเรียนรุ่นใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะตลาดกลุ่ม Gen Alpha หรือชั้นประถม ด้วยรองเท้ารุ่น Nanyang Have Fun ที่นอกจากจะเบา นุ่ม สวมใส่สบายเหมาะกับสรีระของเด็กเล็กแล้ว ยังมี ‘เชือกยืดหยุ่น’ ทำให้ไม่ต้องผูกเชือก ลดการสัมผัสเชื้อโรคจากรองเท้า 10 เท่า

ในส่วนของช่องทางการขาย ได้วางช่องทางจำหน่ายครอบคลุมทั้งร้านค้าทั่วประเทศ ห้างสรรพสินค้า และช่องทางร้านค้าออนไลน์ทุกประเภท เพื่อให้สอดรับกับพฤติกรรมการช้อปของคนยุคปัจจุบัน

ขณะเดียวกัน ได้นำรองเท้าที่ไม่ผ่านมาตรฐานด้านความสวยงามแต่ยังคงคุณภาพการใช้งาน 100% กลับมาจำหน่ายใหม่ในราคาพิเศษ ได้แก่ Nanyang Retake (มีตำหนิจากการผลิต) ราคา 269 บาท และ Nanyang Retry    (มีรอยเปรอะเปื้อน) ราคา 169 บาท เพื่อแบ่งเบาภาระผู้ปกครอง และตอบโจทย์สภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน

โดยนันยางหวังว่า จะยังครองความเป็นผู้นำตลาดรองเท้าผ้าใบนักเรียนอันดับหนึ่ง ด้วยส่วนแบ่งตลาด 45% จากมูลค่าตลาดรองเท้านักเรียนรวมกว่า 5,000 ล้านบาท และตั้งเป้าเติบโตต่อเนื่องที่ 3-5% ในปีนี้

สำหรับชุดนักเรียน ‘น้อมจิตต์’ ด้วยตอนนี้ผู้บริโภคมองหาความ ‘คุ้มค่า’ ซึ่งไม่ใช่ ‘สินค้าราคาถูก’ แต่หมายถึงหากของมีคุณภาพสามารถใช้ได้นาน ก็ยินดีจ่าย ทำให้ปีนี้น้อมจิตต์ปรับกลยุทธ์โฟกัสการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูง

อย่างเช่น Air Cool ชุดนักเรียนรุ่นพรีเมียมที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์สภาพอากาศร้อนของประเทศไทย รองรับลูกค้ากลุ่มระดับกลาง-บน ที่แม้จะมีราคาต่อชุดจะสูงกว่าชุดนักเรียนทั่วไป โดยเน้นสื่อสารให้เห็นถึงความคุ้มค่า และมีอายุความคุ้มค่าในระยะยาวของผลิตภัณฑ์ แต่สามารถใช้งานได้ยาวนานถึง 3 ปี

นอกจากนี้ ยังจัดแคมเปญส่งเสริมการตลาดในรูปแบบต่าง ๆ โดยเฉพาะช่องทางออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Instagram, YouTube, TikTok, Lazada, Shopee ฯลฯ และปีนี้น้อมจิตต์ยังไม่มีนโยบายเพิ่มราคาสินค้าแม้ต้นทุนการผลิตจะสูงขึ้นก็ตาม เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจตอนนี้ที่อยู่ในภาวะชะลอตัว

ขณะที่ห้างและศูนย์การค้าต่าง ๆ ก็เข้าร่วมกับโครงการ ‘เปิดเทอม เติมพลัง’ ของกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจไทย และช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้แก่ผู้ปกครองในช่วงเปิดเทอม

อาทิ ‘เดอะมอลล์ กรุ๊ป’ รวบรวมสินค้าต้อนรับเปิดเทอมที่มีความจำเป็น เช่น เครื่องแบบนักเรียนรองเท้าและถุงเท้านักเรียน กระเป๋านักเรียน และอุปกรณ์เครื่องเขียนต่างๆ รวมถึงสินค้าอุปโภคบริโภที่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิตประจำวัน มาลดราคาสูงสุดกว่า 50% พร้อมโปรโมชั่นพิเศษไปจนถึง 30 มิถุนายน 2568

‘บิ๊กซี’ จัดแคมเปญ ‘ช้อปครบคุ้ม รับเปิดเทอมที่บิ๊กซี’ ระหว่างวันที่ 14 เมษายน – 21 พฤษภาคม 2568 จัดโปรโมชั่นสินค้าราคาพิเศษ กว่า 7,000 รายการ ลดสูงสุด 50% ครอบคลุมเครื่องแต่งกาย อุปกรณ์การเรียน และสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น เป็นต้น

ทั้งหมดคาดหวังจะให้เกิดการจับจ่ายของและแบ่งเบาภาระผู้ปกครองช่วงเปิดเทอม โดยเฉพาะในสถานการณ์ปัจจุบันที่ภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อดูไม่เป็นใจเอาเสียเลย

ในขณะที่ประเทศไทยมองว่าการใส่ชุดนักเรียน การตัดผมสั้นเท่าติ่งหู เป็นการตีกรอบให้นักเรียนจนเกินไป เคยมีการเรียกร้องให้ยกเลิกชุดนักเรียน นักศึกษากันด้วยซ้ำ ขอพามาดูกฎระเบียบสุดแปลกของโรงเรียนในประเทศญี่ปุ่นกันดูบ้าง

บรรดานักเรียนและผู้ปกครองระบุว่า โรงเรียนญี่ปุ่นมีกฎเกณฑ์บางอย่างที่อนุรักษนิยมอย่างมาก และไม่เกี่ยวข้องกับการเรียนเลย กฎเหล่านี้ออกโดยคณะกรรมการการศึกษาของแต่ละพื้นที่ และใช้กับโรงเรียนในพื้นที่เท่านั้น แต่ก็มีหลายโรงเรียนที่ใช้กฎดั้งเดิมโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง

กฎเกณฑ์แปลกๆ ที่บรรดานักเรียนและผู้ปกครองเรียกร้องให้ยกเลิก เป็นต้นว่า

• ห้ามดัดผม ย้อมผม โกรกสีผม หากมีผมหยักตามธรรมชาติ หรือผมสีน้ำตาล จะต้องแสดงหลักฐานพิสูจน์
• ห้ามแต่งผมและคิ้ว
• ชุดชั้นในของนักเรียนหญิงต้องเป็นสีขาวเท่านั้น (บางโรงเรียนถึงขนาดให้ถลกกระโปรงพิสูจน์)
• ห้ามใช้ครีมกันแดด
• ต้องเดินไปโรงเรียนเท่านั้น
• ห้ามนักเรียนชายและหญิงออกจากโรงเรียนไปพร้อมกันสองต่อสอง
• ต้องขออนุญาตทางโรงเรียน หากต้องการค้างคืนนอกสถานที่
• ต้องขออนุญาตทางโรงเรียน หากต้องการเข้าร่วมสมาคมหรือกลุ่มต่างๆ นอกโรงเรียน
• ห้ามนักเรียนเข้าร่วมกลุ่มทางการเมือง

ในจังหวัดโอซากา นักเรียนหญิงคนหนึ่งที่ถูกโรงเรียนบังคับให้ย้อมเป็นเป็น “สีดำ” ทั้งๆ ที่ผมธรรมชาติของเธอมีสีน้ำตาล ได้ยื่นฟ้องร้องต่อศาลเมื่อปี 2560 เรียกร้องค่าชดเชย 2.2 ล้านเยน ขณะนี้คดียังอยู่ในการพิจารณาของศาลเขตโอซากา

กลุ่มนักเรียนในจังหวัดกิฟุ ก็ได้ร้องเรียนต่อคณะกรรมการการศึกษาจังหวัด ให้โรงเรียนยกเลิกหรือปรับปรุงกฎเกณฑ์ เช่น เรื่องสีของชุดชั้นใน หรือการเดินไปโรงเรียน ซึ่งโรงเรียนหลายแห่งก็ได้ตอบสนองต่อคำร้องขอ โดยยกเลิกกฎที่โบราณและอาจละเมิดสิทธิส่วนบุคคล กลุ่มนักเรียนและผู้ปกครองระบุว่าจะยังคงเรียกร้องให้คณะกรรมการการศึกษาจังหวัดทบทวนกฎเกณฑ์ต่างๆ ทั้งหมด เพื่อให้เหมาะสม.

Source