ดารา – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 22 Jul 2021 15:02:45 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ปรากฏการณ์ ‘Call Out’ อาจทำ ‘อินฟลูเอนเซอร์มาร์เก็ตติ้ง’ สะดุด เหตุแบรนด์ไม่ขอเสี่ยง https://positioningmag.com/1343722 Thu, 22 Jul 2021 10:54:51 +0000 https://positioningmag.com/?p=1343722 จากกรณีที่ นายสนธิญา สวัสดี ยื่นขอตำรวจนครบาลตั้งคณะกรรมการกำกับ ตรวจสอบ กรณีดารา-นักร้องกว่า 20 คน แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ COVID-19 เนื่องจากไม่ตรงกับความเป็นจริง จึงทำให้นักแสดง คนดังหลายคน รวมถึงชาวโซเชียลต่างเข้ามาคอมเมนต์แสดงความคิดเห็นถึงเรื่องนี้กันเป็นจำนวนมาก

ดารา Call Out กระทบแบรนด์แน่นอน

แน่นอนว่าการที่เหล่าดารา นักร้อง หรือคนดังเริ่มออกมาวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลนั้น กำลังสร้างความลำบากใจให้กับ แบรนด์ ต่าง ๆ ที่เคยทำหรือมีแผนที่จะทำ อินฟลูเอนเซอร์ มาร์เก็ตติ้ง โดย ภวัต เรืองเดชวรชัย ประธานกรรมการ กลุ่มบริษัท มีเดีย อินเทลลิเจนซ์ จำกัด (MI) ได้แสดงความคิดเห็นว่า จากนี้แบรนด์ต้องคิดมากขึ้นหากจะใช้อินฟลูเอนเซอร์มาร์เก็ตติ้ง

การออกมา Call Out ของดารา คนดัง และอินฟลูเอนเซอร์ต่าง ๆ ที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นและหลากหลายมากขึ้นทำให้แบรนด์ส่วนหนึ่ง เลิกใช้อินฟลูเอนเซอร์ ทั้งที่ ออกและไม่ออก มา Call Out เนื่องจากแบรนด์ไม่กล้าที่จะเสี่ยงยุ่งเกี่ยว เพราะประเด็นดังกล่าวเป็นเรื่อง ละเอียดอ่อน ไม่รู้ว่าจะส่งผลด้านไหนกับแบรนด์ ดังนั้น แม้ว่าแบรนด์เองจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็ตามแต่จะ ไม่แตะเรื่องนี้ เป็นเรื่องปกติ

“ตอนนี้การ Call Out มันอยู่ในวงกว้างขึ้น ไม่ใช่ว่าเราไม่ใช้คนนี้ เราหนีไปใช้อีกคน ตอนนี้มันไม่ได้ ดังนั้น แบรนด์จึงเลือกที่จะหยุดไปเลยเพราะแบรนด์รู้ตัวว่าไม่สามารถคุมอินฟลูเอนเซอร์ได้ ไม่เหมือนการใช้พรีเซ็นเตอร์ที่มีสัญญาชัดเจน ดังนั้นดาราบางคนไม่ออกมา Call Out อาจติดสัญญาอยู่”

ภวัต เรืองเดชวรชัย ประธานกรรมการ กลุ่มบริษัท มีเดีย อินเทลลิเจนซ์ จำกัด (MI)

ไม่มีอะไรแทนอินฟลูเอนเซอร์ได้

ด้วยตลาดและกลุ่มเป้าหมายในการทำตลาดในปัจจุบัน การใช้งานอินฟลูเอนเซอร์ถือว่าตอบโจทย์และเนียนที่สุด เพราะการที่แบรนด์ต้องคุยกับกลุ่มเป้าหมายที่มีความหลากหลายมากขึ้น ดังนั้น อาจทำให้แบรนด์ โยกเม็ดเงินไปทำอย่างอื่นที่ไม่เสี่ยงแทน เช่น ยิงแอดใน Facebook เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ไม่มีอะไรทดแทนอินฟลูเอนเซอร์ได้ ดังนั้น ถือเป็นอีกเรื่องใหม่ที่แบรนด์และนักการตลาดต้องปรับตัว และเป็นที่น่าเสียดายที่เงินไม่สะพัดในอินฟลูเอนเซอร์

สำหรับแบรนด์ที่กำลังใช้พรีเซ็นเตอร์หรืออินฟลูเอนเซอร์ที่มีการ Call Out รุนแรง ถือเป็นความท้าทายของแบรนด์ เนื่องจากการแอคชั่นใด ๆ ก็ตามอาจส่งผลกระทบได้ เช่น การถอดโฆษณาก็จะถือว่าไม่สนับสนุนดารา Call Out เป็นต้น ดังนั้น ด้วยความละเอียดอ่อนของสถานการณ์ทำให้ไม่มีแบบแผนตายตัวถือเป็นโจทย์ยากของเหล่านักการตลาด

(Photo : Shutterstock)

ประเมินไม่ได้ตลาดอินฟลูจะเป็นอย่างไร

ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ตลาดอินฟลูเอนเซอร์ มาร์เก็ตติ้งมีการเติบโตมาอย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะอินฟลูเอนเซอร์กำลังมี อิทธิพล อย่างมากกับผู้บริโภค เป็นอีกหนึ่งกระบอกเสียงที่สำคัญของแบรนด์ เพราะชาวโซเชียลกว่า 47 ล้านรายในไทยมีการติดตามอินฟลูเอนเซอร์อย่างน้อย 1 คน และในปีที่ผ่านมามีการใช้อินฟลูเอนเซอร์เพิ่มขึ้นกว่า 20% ปัจจุบัน คิดเป็น อันดับ 3 ของภาพรวมดิจิทัลมาร์เก็ตติ้ง มีสัดส่วน 10%

“ที่ผ่านมาตลาดเติบโตมาโดยตลอด และปีนี้ที่เราคาดว่าตลาดโฆษณาออนไลน์จะโตได้ 10-20% แต่พอมาเจอโควิดระลอก 3-4 เราเริ่มไม่มั่นใจว่าจะเติบโตอย่างที่คาด ขณะที่ภาพของตลาดอินฟลูเอนเซอร์ก็ยังประเมินไม่ได้ว่าจะเติบโตหรือลดลงจากปีที่แล้ว”

มีทั้งต่อต้าน และสนับสนุน

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเป็นช่วงที่เรื่องการเมืองผ่านการเปลี่ยนผ่านหลายยุคหลายสมัย จากการแบ่งแยกเสื้อเหลือง เสื้อแดง มาถึงกปปส. และล่าสุดกับม็อบราษฎร

การแบ่งพรรคแบ่งพวกเริ่มมีให้เห็นมานานแล้ว แต่ก่อนถ้าดาราคนไหนที่ประกาศจุดยืนนชัดเจนว่าเป็นฝั่งนี้ ก็อาจจะถูกแบน หรือไม่มีงานไปได้ ยกตัวอย่างกรณี ฟลุ๊ค เดอะสตาร์ เพราะไม่มีใครกล้าจ้างงาน ไม่อยากเข้าไปเสี่ยง

แต่ในยุคนี้ก็เริ่มมีดารา นักร้อง รวมถึงเน็ตไอดอล อินฟลูเอนเซอร์ต่าง ๆ ประกาศจุดยืนมากขึ้น เริ่มมา Call Out พูดถึงปัญหาเชิงโครงสร้างในสังคมไทย อย่าง ทราย เจริญปุระ, เพชร กรุณพล, แอมมี่ เดอะ บอททอม บลู, มิลลิ และอื่น ๆ อีกมากมาย เพราะยุคนี้มีการเข้าถึงสื่อมากขึ้น ใช้โซเชียลมีเดียในการสื่อสารมากขึ้น

ดารากลุ่มนี้ก็มีทั้งกลุ่มที่ต่อต้าน และกลุ่มที่สนับสนุน กลุ่มที่ต่อต้านอาจจะแบนผลงาน และธุรกิจส่วนตัวไปเลย ส่วนกลุ่มที่สนับสนุนก็ยังตามซัพพอร์ตอยู่เสมอ แต่ถ้าถามถึงงานในวงการบันเทิง ก็เป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน เพราะอย่างที่ทราบว่า แบรนด์ หรือผู้จัดอาจจะไม่อยากเสี่ยงก็ได้

รัฐเหมือนราดน้ำมันลงกองไฟ

การที่ภาครัฐออกมาตรวจสอบดารา-นักร้องที่แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ COVID-19 มองว่าเป็นการเติมเชื้อไฟให้กับกลุ่มคนที่มีทัศนคติเดียวกัน ดังนั้น ยิ่งทำให้เกิดภาพลบและเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้าง ซึ่งอาจจะยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงไปอีก

“เราไม่แน่ใจว่ารัฐต้องการออกมาเบรกไม่ใช่ดารามา Call Out หรือเปล่า หรือคิดเฉพาะแง่การบังคับใช้กฎหมายด้านเดียว เพราะสายตาคนนอกมันเป็นการยิ่งเติมเชื้อมากกว่า เนื่องจากไม่ใช่การเล่นกับดารา แต่เป็นการออกมาเล่นกับประชาชนที่เรียกร้องให้ดาราออกมา Call Out”

สุดท้าย การ Call Out คงไม่จบง่าย ๆ ไม่ว่าสถานการณ์จะดีหรือไม่ดีขึ้นก็ตาม เพราะการ Call Out ถือเป็นการสะท้อนเสียงของพวกเขา ขณะที่แบรนด์เองคงต้องหลีกเลี่ยงการใช้อินฟลูเอนเซอร์ มาร์เก็ตติ้งเพราะมองว่าไม่สามารถควบคุมความเสี่ยงได้

]]>
1343722
เปิดเส้นทาง 11 ปี “นาดาวบางกอก” จากกำไร 26,000 บาท สู่โปรดักชั่นมือทองของ GDH https://positioningmag.com/1301319 Thu, 15 Oct 2020 17:15:19 +0000 https://positioningmag.com/?p=1301319 เเม้ชื่อของ “ย้ง-ทรงยศ สุขมากอนันต์” จะเป็นผู้กำกับชื่อดังที่เริ่มต้นได้สวยงาม จากหนังดังในตำนานอย่าง “แฟนฉัน” มาตั้งเเต่ปี 2546 เเต่เส้นทางการพลิกบทบาทสู่ผู้บริหาร ปลุกปั้น “นาดาวบางกอก” มากว่า 11 ปีนั้น ไม่ได้ราบรื่นเท่าไหร่นัก

จากผู้กำกับร่วมในเเฟนฉัน ลงสนามเป็นผู้กำกับเดี่ยวในภาพยนตร์เด็กหอ ตามมาด้วย 5 แพร่ง, ปิดเทอมใหญ่หัวใจว้าวุ่น และวัยรุ่นพันล้าน โกยความสำเร็จไปด้วยดี เเต่จากนั้นเขาตัดสินใจออกจาก Safe Zone ด้วยการมานั่งเก้าอี้กรรมการผู้จัดการของ “นาดาวบางกอก” ซึ่ง ณ เวลานั้นยังเป็นเพียงแค่บริษัทดูแลศิลปินในสังกัดของ GTH

ย้อนความหลัง : วันที่ “นาดาว” เกือบต้อง “ปิดบริษัท” 

ช่วง 3-4 ปีเเรกของนาดาว ลุ่มๆ ดอนๆ มาก ตอนนั้นจับทางไม่ได้ว่าการพัฒนาศิลปินเเล้วมาทำรายได้อย่างไร จนกระทั่งถึงตอนถ่ายทำซีรีส์ฮอร์โมนส์ฯ ซึ่งตอนนั้นเกือบจะปิดกิจการบริษัทไปเเล้ว เพราะปีนั้นทำกำไรเเค่ 26,000 บาท

ย้งเล่าย้อนไปในช่วง 11 ปีที่ผ่านมาของนาดาว ว่า ซีรีส์ “ฮอร์โมนส์วัยว้าวุ่น” ซีซัน 1 นับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของบริษัท ช่วย “กู้วิกฤต” ให้เขาไม่ต้องทำธุรกิจ “เจ๊ง” 

ช่วงเริ่มเเรก นาดาวบางกอก มีทีมงานเพียงแค่ 7-8 คนเท่านั้น โดยระหว่างการถ่ายทำซีรีส์ฮอร์โมนส์ ซีซัน 1 นั้นถือเป็นงานใหญ่ที่ต้องใช้ “คนทั้งออฟฟิศ” มาทำงานเดียว จนทำให้ไม่มีเวลาไปรับงานอื่น ไม่มีรายได้เข้ามา จึงทำให้ผลประกอบการของนาดาวในปีนั้นมีกำไรเพียงแค่ 26,000 บาท (เป็นตัวเลขที่พนักงานรุ่นเก่าจำได้ขึ้นใจ)

ตอนนั้นรู้สึกท้อ คิดว่ามันคงเป็นสิ่งที่เราทำไม่เป็นจริงๆ เเหละ…ทำใจเเล้ว ตอนฮอร์โมนส์ฯ ออกฉาย เราหา
สปอนเซอร์ได้เเค่เจ้าเดียว พอฉาย 2 ตอนเเรก กระเเสเริ่มมีบ้างประปราย ก็คิดว่าเราก็จะ “จบสวยเหมือนกันนะ (หัวเราะ) พอฉายไปจนจบซีซัน กระเเสตอบรับดีเกินคาด ผู้ชมเเละสปอนเซอร์ถามหาเยอะ ตอนนั้นเเหละผมถึงมีความคิดว่าต้องไปต่อ ซึ่งซีซัน 2 ถือเป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้บริษัทมีทุกวันนี้

จากซีรีส์ฮอร์โมนส์วัยว้าวุ่น นาดาวบางกอก ขยับฝ่ายโปรดักชั่นไปต่อยอดทำออริจินัลคอนเทนต์ ให้กับ LINE TV เเละทำซีรีส์ที่เจาะตลาดคนทุกวัยอย่าง “เลือดข้นคนจาง” ซึ่งก็ได้รับความนิยมอย่างมากเช่นกัน

ซีรีส์ฮอร์โมนส์ วัยว้าวุ่น ซีซัน 1

รายได้ของ “นาดาว” มาจากอะไรบ้าง 

ปัจจุบันงานหลักๆ ของนาดาวบางกอก มีอยู่ 3 อย่างด้วยกัน คือ ฝ่ายดูแลพัฒนาศิลปินนักแสดง ฝ่ายโปรดักชั่นผลิตซีรีส์คอนเทนต์ และค่ายเพลง Nadao Music

ด้วยความที่ธุรกิจของนาดาวขึ้นอยู่กับคนอื่นเยอะทั้งลูกค้าเเละสปอนเซอร์ พรีเซ็นเตอร์เเละอีเวนต์ต่างๆ จึงทำให้คาดการณ์รายได้ยากว่าในเเต่ละปีบริษัทจะโตเท่าไหร่ โดยรายได้ในปี 2019 อยู่ที่ราว 270 ล้านบาท

เเบ่งรายได้ของนาดาวง่ายๆ เป็น 2 ส่วน ได้เเก่ ดูแลศิลปินและนักแสดง ราว 60% ส่วนอีก 40% มาจากการทำซีรีส์และคอนเทนต์ต่าง ๆ

ที่น่าสนใจคือกำไรที่ได้นั้นกลับสวนทางกัน โดยฝ่ายโปรดักชั่น เเม้จะมีรายได้ในสัดส่วนที่น้อยกว่า เเต่ทำกำไรเมื่อหักค่าใช้จ่ายเเล้วได้ประมาณ 20-30% ขณะที่ส่วนดูเเลศิลปิน รายได้ส่วนใหญ่ที่ได้จากค่าตัว มักจะถูกแบ่งให้กับศิลปินในสัดส่วนที่มากกว่า เเละเมื่อหักลบอะไรต่าง ๆ แล้ว จึงเหลือเป็นกำไรกลับมายังบริษัทเพียงแค่ประมาณ 8-15% ต่องานเท่านั้น

ช่วงที่จัดอีเวนต์ไม่ได้ หายไปเลยกว่า 2 เดือนที่ล็อกดาวน์นั้น กระทบงานส่วนดูเเลศิลปินโดยตรง เพราะรายได้ศิลปินทั้งหมดมาจากงานอีเวนต์ราว 20% พรีเซ็นเตอร์ 70% เเละออนไลน์ 10%”

ยัง เล่าลึกลงไปถึงการลงทุนในโปรดักชั่นว่า ซีรีส์ส่วนใหญ่ของนาดาว มีต้นทุนต่อตอนราว 2.5 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นต้นทุนที่สูงกว่าละครในช่วง Prime-Time ของทีวีช่องใหญ่ทั่วไป ที่มักจะเฉลี่ยอยู่ที่ 1.4-1.5 ล้านบาท

การจะให้ลดต้นทุนโปรดักชั่นเพื่อเพิ่มกำไร ไม่ใช่ทางของนาดาว มันเป็นเรื่องของการรักษาคุณภาพ รายละเอียดของงาน เพราะคนทำงานก็มาจากคนทำหนัง พอลงมาทำสเกลเล็กกว่าอย่างซีรีส์ ค่าตัวของทีมงานก็ยังเหมือนเดิม มีซีนเยอะขึ้นก็มีค่าตัดต่อเพิ่มอีก เหล่านี้ก็เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมในเเต่ละปี จึงได้ชมซีรีส์จากนาดาวเพียง 1-2 เรื่อง

โดยตอนนี้รายได้ของนาดาวบางกอก มาจากในประเทศ 90% ส่วนที่เหลืออีก 10% เป็นรายได้ที่มาจากต่างประเทศ (ส่วนใหญ่มาจากจีนที่ซื้อซีรีส์ไปฉาย)

ความท้าทายของธุรกิจ “ดูเเลศิลปิน” 

ตอนนี้นาดาวบางกอก มีศิลปินอยู่ในสังกัด 36 คน การทำงานกับ “คนรุ่นใหม่” ที่มีความคิดความอ่านเเตกต่างกันตามเจเนอเรชันนั้น “ไม่ใช่งานง่ายๆ”

ทรงยศ บอกว่า นโยบายของนาดาวยังคงเหมือนเดิม คือ การพัฒนาคนขึ้นมาให้เป็นนักเเสดงเเละศิลปินที่ดีพอให้คนข้างนอกมาจ้าง อยากทำงานกับพวกเขา ไม่ใช่วนเล่นหนังให้กับ GDH หรือนาดาว

ถ้าเห็นน้องคนไหนไปทำงานข้างนอกเยอะๆ ไม่ได้ทำนาดาวเลย นั่นคือนักเเสดงที่เราภูมิใจนะ เราพยายามส่งเสริมให้เขามีประสบการณ์ มีความสามารถเพียงพอที่จะเอาตัวรอด ทำงานกับผู้จัดข้างนอกได้ ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาก็ถือว่าภูมิใจในสิ่งที่เราทำมา เเละน้องๆ ก็ได้ออกไปทำในสิ่งที่อยากทำด้วย

“เเท๊ด-รดีนภิส โกสิยะจินา” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ เเผนการตลาดเเละสื่อสารองค์กรของนาดาวบางกอก เสริมว่า สิ่งสำคัญอีกอย่างคือการที่ศิลปินอยู่กับเราตั้งเเต่เด็กจนโต ทำให้เห็นความเปลี่ยนเเปลง พอเป็นวัยรุ่นก็ต้องใช้เหตุผลคุยกัน มุมหนึ่งก็คุยกันง่ายขึ้น เเต่อีกมุมเขาก็เริ่มมีทัศนคติ มีเเนวคิดของตนเอง

อะไรที่เป็นสิ่งที่ทำให้ศิลปินยังอยู่กับนาดาว” ?

ย้งตอบว่าผมไม่เคยถามน้องๆ นะ เเต่เดาว่า คงเป็นการที่เราอยู่เเบบพี่น้อง การทำสัญญากับนาดาวไม่มีการผูกมัด ถ้าศิลปินรู้สึกว่าวันหนึ่งไม่อยากทำเเล้ว อยากยกเลิกสัญญา ก็ทำ เมื่อไหร่ก็ได้ เเต่ต้องมาคุยกันก่อน มีเหตุผลที่เข้าใจได้เเละไม่มีอะไรค้างคา ทำงานเเบบรับผิดชอบต่อกัน เรื่องการบริหารคนก็มีปัญหาหยุมหยิมไปหมด เเต่ต้องคุยกันให้เข้าใจ ให้รู้สึกสบายใจ

ย้ง ทรงยศเเละเเท๊ด-รดีนภิส โกสิยะจินา สองผู้บริหารของนาดาวบางกอก

ตลอด 11 ปีที่ผ่านมา เฟ้นหาเด็กมา “ปั้นเป็นดารา” อย่างไร มองจากอะไร ?

ผมว่ามันเป็นเรื่องของสัญชาตญาณ เวลาเเคสติ้งนักเเสดงมาเล่นหนังก็เจาะจงไม่ได้ ไม่ใช่เรื่องรสนิยมส่วนตัว เเต่เด็กที่ทำให้เราสนใจได้ ต้องมีคาเเร็กเตอร์บุคลิกเฉพาะตัวของเขา เช่น เดินมาเเล้วพูดอะไรบางอย่าง เเล้วเราจำเด็กคนนี้ได้ ไม่ใช่เเค่เรื่องหน้าตาเท่านั้น เเต่ชวนมอง มองได้ไม่เบื่อ

นาดาวบางกอก มีการเสริมทักษะให้ศิลปินต่างๆ เริ่มจากการให้เรียนการเเสดงก่อนจากนั้นค่อยๆ ให้เข้าสู่โปรเจกต์ที่ไม่ยากเกินตัว เวลาส่งศิลปินไปเเคสติ้งงาน ก็อยากรู้ฟีดเเบ็กจากลูกค้าว่าทำไมเลือกศิลปินเรา เเละทำไมไม่เลือก เพื่อนำมาปรับปรุงเเละพัฒนาต่อไป

ความเป็นเด็กนาดาว ทำให้มีภาษีกว่าที่อื่นไหม ?

ถ้าเป็นช่วงหลังๆ ก็อาจจะมีบ้าง มีข้อได้เปรียบว่ารุ่นพี่สร้างภาพจำที่ดีว่าสังกัดนี้ตั้งใจ รับผิดชอบเเละมีทักษะการ
เเสดงที่โอเคระดับหนึ่ง เเต่สุดท้ายเเล้วก็ขึ้นอยู่กับเเต่ละบุคคลว่าตัวเขาเองทำได้ดีเเค่ไหน

Nadao Music กับความฝัน T-POP ระดับเอเชีย

ย้งเล่าว่า การทำค่ายเพลงของนาดาว เกิดจากความไม่ได้ตั้งใจทำเป็นธุรกิจ เเต่เกิดจากการที่มีกลุ่มศิลปินที่มีความสามารถด้านการร้องเพลง โดยสมัยก่อนจะให้ไปเซ็นสัญญากับที่อื่น เเต่พอมาคิดดูเเล้ว คงถึงเวลาเเล้วที่นาดาวจะต้องจะทำเองเพื่อซัพพอร์ตความสามารถของศิลปิน

เมื่อพอคิดจะมียูนิตนี้ อย่างไรก็ต้องทำให้เป็นธุรกิจให้ได้ ด้วยความบังเอิญที่ตอนนั้นซีรีส์รักสุดใจนายฉุกเฉิน เเล้วทำเพลงประกอบ “รักติดไซเรนเกิดกระเเสฮอตฮิตขึ้นมา จึงเป็นการปูทางให้บริษัทได้เรียนรู้การทำตลาดจากเพลงจริงจัง โดยตอนนี้มีเบลสุพล นักร้องชื่อดัง มานั่งแท่นเป็นหัวเรือใหญ่

ล่าสุดมีศิลปินในสังกัด 6 คน คือ เจเลอร์ กฤษณภูมิ , ไอซ์ พาริส , กัปตัน ชลธร , บิวกิ้น พุฒิพงศ์ , แพรวา ณิชาภัทร เเละนาน่า ศวรรยา โดยมีเเผนจะเพิ่มศิลปินในอนาคต เเต่ขอโฟกัสที่มีอยู่ตอนนี้ให้ดีก่อน

ถ้าถามว่านาดาว บางกอกมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร ต้องขอบคุณซีรีส์ฮอร์โมนส์ฯ ถ้าถามว่าเกิด Nadao Music ได้ยังไง ก็ต้องขอบคุณเพลงรักติดไซเรน

ความคืบหน้าของ Nadao Music นั้น ย้งบอกว่า เพิ่งเปิดตัวเป็นปีเเรก…ต้องสู้กันอีกยาวยังยากลำบากเเละผลประกอบการก็ยังน่าเป็นห่วง เเต่ไปต่อเเน่นอน

ผู้บริหารนาดาว มองว่า เเม้ธุรกิจค่ายเพลงจะอยู่ในช่วงขาลง เเต่วงการนี้ยังมี “ลู่ทาง” ที่จะไปต่อได้ เช่น การขยายฐานตลาดเเฟนเพลงออกไปยังต่างประเทศแทน เริ่มจากประเทศในอาเซียน ที่ตอนนี้นาดาวมีฐานแฟนอยู่ในอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์และจีน อยู่แล้ว ถ้าเราอยากทำเพลงดี ลงทุนสูง ตลาดในบ้านเรา อาจจะไม่พอ

โดยตั้งเป้าจะเจาะตลาดเอเชียเป็นหลัก ซึ่งประเทศที่ฝันอยากจะไปให้ถึงก็คือเกาหลีใต้และญี่ปุ่น  เพราะทั้งสองประเทศมีวัฒนธรรมด้านบันเทิงที่แข็งเเกร่งมาก

ถ้าถามว่าเป้าหมายอยากทำ T-POP ให้โด่งดังในระดับเอเชียไหม คำตอบคืออยากมาก เเต่จะสำเร็จไหมก็ต้องดูกันยาวๆ”

ซีรีส์วาย ต้อง “หลากหลาย” ถ้าอยากไปต่อ

นาดาวเป็นผู้ผลิตคอนเทนต์เจ้าเเรกๆ ที่ลงสนามมาทำ “ซีรีส์วาย” จนตอนนี้กลายเป็นกระเเสฮิตติดลมบนไปเเล้ว

“เรากำลังทำความเข้าใจเเละเรียนรู้ตลาดซีรีส์วายอยู่ตลอด เเต่ไม่ได้มองว่าพอตลาดมันฮิตเเล้วค่อยลงไปทำ เเต่เราทำเพราะทีมงานเราอยากทำ มาเสนอโปรเจกต์ที่เห็นว่าเหมาะสมกับช่วงเวลาเเละพอจะขายได้ เช่น แปลรักฉันด้วยใจเธอ ก็เป็นการต่อยอดการเเสดงของ #พีพีบิวกิ้น จากบทหมอเต่าทิวเขาในละครรักฉุดใจนายฉุกเฉิน”

ผู้บริหารนาดาว มองว่า ตลาดซีรีส์วาย ถือว่าเติบโตเร็วเเละใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เเม้ทุกวันนี้จะเป็นเฉพาะกลุ่ม เเต่เป็นกลุ่มที่กว้างมาก ทำให้เราเห็นว่าโลกทุกวันนี้ สิ่งที่เป็น Niche Market จะกลายเป็นตลาดเเมส ไม่มีอะไรที่เเมสจริงๆ เเล้ว ซีรีส์วายก็จะเป็น Niche ที่เเมสไปอีกเเบบหนึ่ง

ผมว่าซีรีส์วาย ถ้าอยากจะไปต่อ เราต้องทำคอนเทนต์ให้หลากหลายกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ เเละมีมาตรฐานชัดเจน

ซีรีส์วายเรื่องใหม่ของนาดาวบางกอก -แปลรักฉันด้วยใจเธอ

ศิลปินคอนเทนต์กับวิกฤต COVID-19

ทรงยศ กล่าวถึงการปรับตัวของนาดาวบางกอก ในสถานการณ์การเเพร่ระบาดของ COVID-19 ให้ฟังว่า ตอนเเรกก็ตั้งตัวไม่ทัน ต้องเเก้ปัญหาเฉพาะหน้ากันเเทบทุกอย่าง เพราะตอนนั้นถึงเวลาเปิดกล้องถ่ายทำละครแปลรักฉันด้วยใจเธอเเต่จากมาตรการล็อกดาวน์ทำให้ออกไปถ่ายทำไม่ได้ ต้องมีการประเมินสถานการณ์เเบบวีคต่อวีค

ส่วนมากต้องเจรจากับลูกค้า เพราะการเลื่อนถ่ายทำคือการเลื่อนฉาย เเต่จะเลื่อนไปได้ถึงไหน ตอนนั้นยังไม่รู้ เเต่หลังเราชนฝาได้เพียงสิ้นปี จะข้ามปีไม่ได้ ทั้งปัญหางบประมาณเเละคิวนักเเสดง จากใบเสนอราคาที่เคยเข้าบริษัทเดือนละ 30 ใบ ตอนนั้นเข้าเเค่ 6 ใบ” 

ส่วนธุรกิจดูเเลศิลปินนั้น ต้องปรับตัวอย่างมาก เพราะงานอีเวนต์ต่างๆ ที่บริษัทรับไว้ถูกยกเลิกเพราะสุ่มเสี่ยงเกินไป เหล่าสปอนเซอร์ที่เป็นคอนซูมเมอร์โปรดักส์ได้รับผลกระทบหมด เพราะขายของไม่ได้ จึงมีผลต่อการตัดสินใจในงบที่จะมาเป็นผู้สนับสนุนซีรีส์สักเรื่องมีทั้งเจ้าที่ยกเลิกเเละระงับโปรเจกต์ไปก่อน

ช่วง COVID-19 ดูเหมือนนาดาวจะเงียบๆ ไม่มีงาน เเต่งานหลักของเราคือการเเก้ปัญหาความวุ่นวายหลังบ้าน เช่น ลูกค้าที่ซื้อพรีเซ็นเตอร์ศิลปินเรา ถ่ายโฆษณาไม่ได้ ออกอีเวนต์ไม่ได้ น้องเราจะช่วยอะไรกลับได้บ้าง ทำอะไรทดเเทนได้บ้าง

เเบรนด์ต่างๆ ก็ปรับตัวเร็ว อย่างการเปลี่ยนให้ศิลปินไลฟ์เองจากที่บ้าน โพสต์รูปกักตัวอยู่บ้านในอินสตาเเกรมเเละทวิตเตอร์ รวมไปถึงให้ศิลปินช่วยไลฟ์ในเเพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ กระตุ้นขายของ ซึ่งต่อไปการจัดอีเวนต์หรือโปรโมตสินค้า ก็คงต้องเป็นรูปแบบผสมออฟไลน์ออนไลน์

ศิลปินก็ต้องปรับตัว ทำคอนเทนต์กึ่งๆ โฆษณาจากที่บ้านเอง เเต่งหน้าเองเพราะไม่มีกองถ่ายไปดูเเล พวกเขาต้องถ่ายเอง ลองผิดลองถูก มีการทำคอนเทนต์กักตัวเดอะซีรีส์ ทุกอย่างโปรโมตผ่านออนไลน์ ทำให้ได้เข้าใจการใช้เเพลตฟอร์มโซเชียลมากขึ้น ถือเป็นความท้าทายใหม่ของศิลปินในยุค New Normal”

หลังคลายล็อกดาวน์ ทีมงานสามารถกลับมาทำงานโปรดักชั่นได้เต็มรูปแบบเเล้ว เดินหน้ากองละครต่อเนื่องได้ตั้งเเต่ช่วงเดือนสิงหาคม ตอนนี้ก็ถือว่ากลับเข้าสู่โหมดปกติศิลปินเริ่มมีงานอีเวนต์เเละลูกค้าหลายๆ เจ้าก็พร้อมเตรียมลุยงานปีหน้าเเล้ว

ใจเราก็อยากโตทุกปี ไม่เคยมีเป้าตัวเลขชัดเจน ขอเเค่ไม่ต่ำกว่าเดิม ปีที่เเล้วเราจบที่ 270 ล้านบาท เเต่เมื่อเจอโรคระบาด ปีนี้ก็คงไม่โตเเน่นอน ต้องลุ้นกันว่าจะไปได้ถึงจุดไหนมากกว่า คาดว่าสินปีนาดาวคงทำรายได้ไม่เกินที่ 230 ล้าน

ผู้กำกับสู่ผู้บริหาร : มุมมองที่เปลี่ยนไป

จริงๆ ผมก็อยากกลับไปเป็นผู้กำกับนะ เเต่ก็ได้เรียนรู้จากการเป็นผู้บริหารเยอะมาก เรานิ่งขึ้น ได้ใช้สกิลหลายๆ อย่างไปจัดการงานในเชิงสร้างสรรค์

ไม่ได้ชอบงานบริหาร ไม่ได้อินขนาดนั้น เเต่ถามว่าสนุกไหม ก็สนุกมาก ตลอด 11 ปีที่ผ่านมามีช่วงเครียด มีปัญหารุมเร้า เเต่เพราะได้ทำงานที่เราชอบ กับคนที่เราอยากทำงานด้วย จึงกลายเป็นความท้าทายเวลาต้องลงไปเเก้ปัญหา ด้วยความที่เราเป็นผู้กำกับก็ทำให้เห็นภาพรวม ก็เลยช่วยให้ทำงานบริหารได้

เเม้กลุ่มผู้ชมของนาดาวส่วนใหญ่จะเป็นวัยรุ่นมัธยมมหาลัยเเต่เวลาทำงานคอนเทนต์จะต้องมองให้ครบทุกเจเนอเรชัน ผลักดันให้ไปถึงทุกกลุ่ม อย่างเช่น ตอนทำละครเลือดข้นคนจางเเรกๆ จะดันศิลปิน 9by9 เเต่เราก็ต้องเล่าเรื่องให้คนเข้าถึงเยอะที่สุดเเต่ก่อนเราทำหนังทำซีรีส์มา เเม่เราไม่เคยได้ดูเลย เราก็เลยอยากทำเลือดข้นฯ ให้เเม่ดูบ้าง

โดยได้มีการทำความเข้าใจกับผู้ชมในทุกช่องทาง เช่นการอ่านคอมเมนต์ใน “ทวิตเตอร์” ซึ่งเขามองว่าเป็นฟีดเเบ็กที่สดเเละจริง เพราะคนดูเเล้วรู้สึกอย่างไรก็ทวีตออกมาเลย

“ผมสนใจคำติมากกว่าคำชมด้วยซ้ำ เพราะเราจะได้รู้ทิศทางว่าควรพัฒนางานเราต่อไปยังไง” 

ในวันที่ “ย้ง-ทรงยศ” ขยับจากผู้กำกับมาเป็นผู้บริหาร เเละนาดาวประสบความสำเร็จขึ้นเรื่อยๆ เขาก็เริ่มภารกิจ
“ส่งไม้ต่อ” ให้กับผู้กำกับรุ่นใหม่อย่าง พัฒน์ บุญนิธิพัฒน์ ผู้กำกับละคร ฉลาดเกมส์โกง เเละ บอสนฤเบศ กูโน ผู้กำกับ รักฉุดใจนายฉุกเฉิน, Side By Side พี่น้องลูกขนไก่ เเละแปลรักฉันด้วยใจเธอ

“การปั้นคนทำงานยังเป็นความท้าทายของเราอยู่ ผมไม่เคยคิดเลยว่าจะมาถึงวันที่นาดาวมีพนักงาน 50 คน จากจุดเริ่มต้น 7-8 คน ตอนนี้มองว่าการที่เราจะไปต่อได้ไกลๆ ยังไงก็ต้องสร้างคนทำงาน จะสร้างเเค่ศิลปินไม่ได้ นาดาวจะพยายามเดินไปในเส้นทางที่ทำงานในปริมาณที่เราทำได้ดี อยู่มือเเละควบคุมภาพได้ต่อไป

 

 

]]>
1301319
GDH ครองตลาดหนังไทย รายได้ 471 ล้าน เปิดกลยุทธ์ 2020 ลุยหนัง-ซีรีส์-ปั้นศิลปินใหม่ https://positioningmag.com/1262597 Thu, 30 Jan 2020 19:25:02 +0000 https://positioningmag.com/?p=1262597 เเม้ทุกวันนี้คนไทยจะดู “หนังไทย” กันน้อยลง ถึงขั้นซบเซา เเต่ค่ายหนังขวัญใจวัยรุ่นอย่าง “GDH” ก็ยังครองกระเเส ส่งหนัง 3 เรื่อง ติดท็อปทำรายได้สูงสุดของปี 2019 ยอดทิ้งห่างหนังไทยเรื่องอื่นไปหลายเท่า

“ตุ๊ดซี่ส์ & เดอะเฟค” เป็นหนังไทยที่ทำเงินสูงสุดในปี 2019 ด้วยรายได้141 ล้านบาท รองลงมาคือเรื่อง “Friend Zone ระวังสิ้นสุดทางเพื่อน” อยู่ที่ 134 ล้านบาท และ “ฮาวทูทิ้ง…ทิ้งอย่างไรไม่ให้เหลือเธอ” มีรายได้ที่ 57 ล้านบาท

มองกลับมาที่ “หนังไทย” ตลอดปี 2019 ไม่ค่อยสดใสนัก โดยมีออกฉายราว 40 เรื่อง ทำรายได้รวมทั้งหมดประมาณ 711 ล้านบาท ลดลง 14% เฉลี่ยต่อเรื่องทำรายได้เพียง 15 ล้านบาทเท่านั้น จากปีก่อนอยู่ที่ 18-19 ล้านบาท

เเละที่น่าตกใจคือ “มีหนังไทยกว่า 17 เรื่องที่ทำรายได้น้อยกว่า 1 ล้านบาท”

ขณะที่ “ภาพรวมตลาดหนังที่ฉายในไทย” อยู่ที่ 4,700 ล้านบาท โตขึ้น 4% จากมาจากหนังต่างประเทศเป็นหลัก สะท้อนว่าคนไทยไม่มีหนังไทยที่อยากดูเเละชอบดูหนังต่างประเทศมากกว่า

อย่างไรก็ตาม เเม้ตลาดหนังไทยจะดูซึมๆ เเต่ ” GDH” ก็โตสวนทางตลาด ด้วยรายได้รวมอยู่ที่ 471.29 ล้านบาท ในปี 2019 เติบโตจากปี 2018 ประมาณ 12%

GDH เเละ นาดาวบางกอก วางทิศทางธุรกิจเเละเเผนการตลาดอย่างไร รวมถึงตั้งเป้าจะทำโปรเจ็กต์อะไรต่อไปในปี 2020-21 วันนี้ “จินา โอสถศิลป์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท จีดีเอช ห้าห้าเก้า เเละ “ทรงยศ สุขมากอนันต์” กรรมการผู้จัดการ บริษัท นาดาว บางกอก จำกัด หรือ “ย้ง” หนึ่งในผู้กำกับหนังไทยในตำนานอย่าง “เเฟนฉัน” ที่ขยับมาเป็นผู้บริหาร จะมาให้คำตอบนี้…

ทุ่มการตลาด เข้าถึงทุกเเพลตฟอร์ม 

“การทำหนังเรื่องหนึ่งของ GDH มีต้นทุนราว 45-50 ล้านบาท แบ่งเป็นทุนสร้าง 20-30 ล้าน ส่วนที่เหลือคืองบสำหรับทำการตลาด”

ผู้บริหาร GDH บอกว่าในยุคสมัยนี้ เเม้จะทำหนังออกมาดีเเค่ไหน เเต่หากขาดการโปรโมท เเละการสร้างการรับรู้ที่เข้าถึงก็อาจจะ “ขาดทุน” ได้

ในปี 2020 นี้ GDH จึงเปิดบริษัทในเครือขึ้นมาใหม่ เพื่อดูเเลด้านการโปรโมทโดยเฉพาะอย่าง บริษัท น้ำดีไม้งาม จำกัด เเละ บริษัท งานดีทวีสุข ดูแลงานพีอาร์และอีเว้นท์ ซึ่งน้ำดีไม้งามได้ “เดียว วิชชพัชร์ โกจิ๋ว” มานำทีม ดูแลในเรื่องการโปรโมตหนังและคอนเทนต์ให้กับ GDH เป็นหลักรวมถึงงานของรัชดาลัยเธียเตอร์ และงานของเบิร์ด-ธงไชย

กลยุทธ์หลักของ GDH ปีนี้คือ “ต้องการให้คอนเทนต์เข้าถึงทุกแพลตฟอร์ม” จึงจะขยายเพิ่มขึ้นอีก 1 แอปพลิเคชั่น คือ iQiYi จากจีนที่มาเปิดในไทย จากปัจจุบันที่ผู้ชมสามารถเข้าถึงคอนเทนต์ GDH ได้หลายแพลตฟอร์มอย่าง WeTV, Viu, Netflix, Line TV, HOOq และ AIS PLAY เป็นต้น

“จินา โอสถศิลป์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท จีดีเอช ห้าห้าเก้า (ขวา)

เมื่อคนดูหนังเปลี่ยน…คนทำหนังต้องปรับตาม

“ทุกวันนี้หนังมีอายุอยู่ในโรงสั้นลง จากเดิมที่เฉลี่ยเคยอยู่ในโรงประมาณ 4 สัปดาห์ ลดลงมาเหลือเเค่ 2 สัปดาห์”

ผู้บริหาร GDH อธิบายเพิ่มว่า “เมื่อก่อนคนดูจะมาแบบแบ่งกันเป็น 3 ล็อตใหญ่ คือสัปดาห์แรก สัปดาห์ที่ 2
เเละสัปดาห์ 3 บางทีลากยาวเป็นเดือน เเต่ตอนนี้คนดูส่วนใหญ่เทไปอยู่สัปดาห์แรกกันหมด บางครั้งถ้ากระแสของหนังดี สัปดาห์แรกของการเข้าฉายก็อาจเป็นรายได้ 65% ทั้งหมดของหนังเลยก็ได้”

ส่วนปัจจัยที่คนไทยดูหนังในโรงน้อยลงนั้น จินามองว่า คอนเทนต์ไทยมีให้ดูฟรีมากมายในหลายช่องทาง บวกกับปัญหาฝุ่น PM2.5 ปัญหารถติด รวมถึงสภาพเศรษฐกิจไม่ค่อยดี มีส่วนทำให้คนอยู่บ้านมากขึ้น การดูหนังนอกบ้านจึงลดลงตามไปด้วย

อย่างไรก็ตาม การฉายหนังยุคนี้ก็มีข้อดีคือ การมีจำนวนโรงภาพยนตร์ให้ฉายมากขึ้น ก็ย้อนกลับมาที่บริษัททำหนังต้อง “โปรโมต” ให้ดีเพื่อดึงกระเเสสัปดาห์เเรกให้มากที่สุดนั่นเอง

เปิดโปรเจกต์ใหญ่ปี 2020 ส่งซีรีส์เจาะตลาดจีน 

GDH จะมี 3 โปรเจกต์ใหญ่ในปี 2020 เเบ่งเป็นภาพยนตร์ 2 เรื่อง โดยจะเป็นภาพยนตร์เเนว thiller horror กำกับโดย กอล์ฟ-ปวีณ ออกฉายในช่วงเดือน ส.ค. เเละภาพยนตร์เเนวโรเเมนติก คอมเมดี้ ที่กำกับโดย เมษ-ธราธร จะออกฉายในเดือน ธ.ค.นี้

ส่วนอีกโปรเจกต์คือ “ซีรีส์” โดยปีนี้ทุกคนจะได้ดู “ซีรีส์ฉลาดเกมส์โกง” ในเดือน ส.ค. ทางช่องวัน 31 นับเป็นครั้งเเรกที่จะฉายซีรีส์คู่ขนานไปพร้อมกับประเทศจีน และนำมาฉายย้อนหลังในช่องทาง WeTv ของ Tencent

โดย “ฉลาดเเกมโกง” เป็นภาพยนต์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในจีน จนมีนักลงทุนสนใจติดต่อให้ทำต่อเนื่องเป็นซีรีส์เพื่อตีตลาดจีนโดยเฉพาะ

“ในปีต่อไป (2021) เราจะกลับมาทำหนังอย่างเต็มที่ ซึ่งตอนนี้เตรียมไว้เเล้ว 4 โปรเจกต์ อยากจะฉายให้ได้ทุกไตรมาส เเละมีเรื่องของการร่วมทุนกับต่างชาติในเอเชียด้วย”

กลุ่มลูกค้าหลักของ GDH และนาดาว คือคนช่วงวัย 15-30 ปี เเละเป็นความท้าทายของที่จะดึงคนนอกเหนือช่วงวัยนี้ให้เข้าถึงคอนเทนต์ของบริษัทให้ได้

จินา โอสถศิลป์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท จีดีเอช ห้าห้าเก้า (ซ้าย) – ทรงยศ สุขมากอนันต์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท นาดาว บางกอก จำกัด (ขวา)

ภารกิจปั้นเด็กใหม่ ดันกระเเส Nadao Music

ด้านผู้กำกับมือทองที่ผันตัวไปเป็นผู้บริหารอย่าง “ย้ง ทรงยศ” บอกถึงก้าวต่อไปของนาดาวบางกอก บริษัทในเครือ GDH ที่เกิดขึ้นมาเพื่อสำหรับดูแลศิลปินและนักแสดงในค่าย ขยายต่อในงานโปรดักส์ชั่นเเละสร้างสรรค์ผลงาน ซึ่งเปิดมานานกว่า 10 ปีเเล้ว

ในปี 2562 นาดาวบางกอกมีรายได้อยู่ที่ 370 ล้านบาท เติบโตขึ้น 52.71% ซึ่งรายได้กว่า 70% นั้นมาจากการดูแลศิลปิน ส่วนที่เหลืออีก 30% เป็นรายได้ที่มาจากฝ่ายโปรดักชั่น

“ส่วนโปรดักส์ชั่นเราโตขึ้น 34% จากซีรีส์ Greatmen Academy และละครรักฉุดใจนายฉุกเฉิน”

นับตั้งเเต่เริ่มทำซีรีส์ “ฮอร์โมนส์วัยว้าวุ่น” มาจนถึง “เลือดข้นคนจาง” ประสบความสำเร็จ ศิลปินในค่ายโด่งดังเป็นที่ รู้จัก เเต่มีงานต่อยอดมากมายทั้งพรีเซ็นเตอร์เเละงานเพลง

“ซีรีส์เรื่องเลือดข้นคนจาง ทำให้รายได้ของนาดาวบางกอก ในปี 2018 โตขึ้นจากปี 2017 ถึง 200%”

ปีนี้นาดาวจะมุ่งเน้นไปกับการสร้างศิลปินหน้าใหม่ขึ้นมา ผ่านโครงการ Nadao Academy ค้นหาเด็กฝึกมาเป็นศิลปิน นักแสดงในสังกัด โครงการเวิร์คช็อป เขียนบท ส่งนักแสดงร่วมงานช่องอื่นๆ อย่าง ช่องวัน 31 GMM25
และช่อง 3 รวมทั้งเพิ่มพาร์ตเนอร์ OTT แพลตฟอร์ม และแบรนด์ต่างๆ ซึ่งน่าจะมีการร่วมโปรเจกต์กันมากขึ้น

ทรงยศ สุขมากอนันต์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท นาดาว บางกอก จำกัด

หลังจากเพลง “รักติดไซเรน” ดังทั่วบ้านทั่วเมือง นาดาวก็จะต่อยอดกระเเสนี้ด้วย ยูนิต Nadao Music ดึงศิลปินอย่างเบล-สุพล มาเป็นโปรดิวเซอร์หลัก ซึ่งในปีนี้จะปล่อยซิงเกิลของศิลปินอย่าง ของเจเจ , ไอซ์ พาริส, บิวกิ้น, แพรวา เป็นต้น

หากมองดูการเเบ่งส่วนหารายได้ของ GDH จะพบว่าได้เเยกย่อยเป็นบริษัทลูกในเครือที่หลากหลาย อย่างนาดาวบางกอก ที่มีรายได้หลักจากการดูเเละศิลปิน ขยายไปรับงานโปรดักชั่น ส่วนสวัสดีทวีสุขเเละเสียงดีทวีสุข ก็ให้บริการด้านภาพเเละเสียง รับทำงานให้ลูกค้านอกบริษัทได้ นับเป็นอีกกลยุทธ์หารายได้อีกทางของ GDH โดยเป็นการปั้น “ลูกหม้อ” คนที่ทำงานในบริษัทมานานให้เติบโตขึ้นมาทำหน้าที่ดูเเลบริหารในส่วนต่างๆ

“ปัญหาของเราตอนนี้คือ ปั้นคนทำงานขึ้นมาไม่ทัน” ทรงยศกล่าวเเละทิ้งท้ายถึงอุตสาหกรรมหนังในประเทศว่า “เราอยากให้วงการหนังไทยโตไปด้วยกัน ถ้าเเค่ GDH โตเจ้าเดียวเเล้วคนทำหนังคนอื่นขาดทุน วงการนี้ก็ลำบาก”  

]]>
1262597
สมรภูมิชิงดาว กลยุทธ์ช่องทุนหนา ลุยละคร ดึงดาราย้ายสังกัด https://positioningmag.com/1208267 Tue, 15 Jan 2019 04:56:42 +0000 https://positioningmag.com/?p=1208267 นับเป็นปีที่ 5 ของทีวีดิจิทัล นอกจากหลายช่องเปลี่ยนมือเจ้าของช่องทีวีดิจิทัลไปสู่มือนายทุนใหญ่แล้ว ปีนี้เริ่มเห็นการขยับตัวของบรรดานักแสดงโยกย้ายสังกัด เป็นอิสระมากขึ้นเรื่อยๆ จากการมีช่อง” ให้เลือกมากขึ้น โดยเฉพาะช่องนายทุนที่ยอมทุ่มทุนเพื่อหวังชิงความนิยม สร้างความรู้จัก สร้างชื่อเสียงช่องด้วยความดังนักแสดง 

วงในลือมาริโอ้หมดสัญญาช่อง 3 ขอเป็นอิสระ

ตั้งแต่ต้นปี มีข่าวนักแสดงมีชื่อเสียงหลายคนทยอยบอกลาต้นสังกัดเดิม ขอเป็นอิสระ บางรายเข้าสังกัดค่ายใหม่ ตั้งแต่กรณีขวัญ อุษามณีและปุ๊กลุกฝนทิพย์ออกจากช่อง 7 โดยประกาศในช่วงแรกว่าเพื่อขอเป็นอิสระ แต่เมื่อเวลาผ่านไปปุ๊กลุก เป็นรายแรกที่ประกาศเข้าสังกัดพีพีทีวี

ล่าสุดมีข่าวว่ามาริโอ้ เมาเร่อนักแสดงหนึ่งในตัวท็อปของช่อง 3 ผันตัวมาเป็นนักแสดงอิสระอีกคนแล้ว โดยส่วนใหญ่มาริโอ้จะเน้นภาพยนตร์ต่างประเทศ และการเดินสายในต่างประเทศมากกว่าในประเทศ อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการยืนยันในเรื่องนี้ 

ทองเอก หมอยา ท่าโฉลง (ภาพจาก : ch3thailand.com)

มาริโอ้ เป็นหนึ่งในนักแสดงดังของช่อง 3 มีผลงานล่าสุดที่กำลังจะออกอากาศวันที่ 31 ..นี้ คือละครทองเอก หมอยา ท่าโฉลงละครตลก แนวพีเรียด ที่หวังจะมาสร้างความฮา ต่อจากพ่อมากพระโขนงหนังที่มาริโอ้เล่นและประสบความสำเร็จที่สุดเรื่องหนึ่ง 

ภาพจาก : ch3thailand.com

นอกเหนือจากมาริโอ้ มีรายงานข่าวว่าเคน ภูภูมิก็เป็นอีกคนหนึ่งที่มีแนวโน้มจะมาเป็นนักแสดงอิสระหากหมดสัญญากับทางช่อง 3 ตามรอยเอสเธอร์ สุปรีย์ลีลา แฟนสาว ที่ปัจจุบันทั้งคู่ใช้ผู้จัดการคนเดียวกันเอสเธอร์ซึ่งเคยเป็นนักแสดงในสังกัดช่อง 3 แต่เลือกที่จะเป็นอิสระเมื่อเกิดทีวีดิจิทัล มารับงานแสดงอิสระได้ทุกช่อง กลายเป็นนักแสดงหญิงอิสระที่มีงานชุกมากที่สุดคนหนึ่งในวงการ 

เคน ภูภูมิเพิ่งปฏิเสธบทพระเอกในเรื่องสองเสน่หาละครเรื่องใหม่ของช่อง 3 ที่ได้เบลล่า ราณี เป็นนางเอก จนช่อง 3 ต้องเลือกอาเล็ก ธีรเดชมาเล่นแทน 

ภาพจาก : ch3thailand.com

โอม อัชชา เป็นนักแสดงช่อง 3 ที่เพิ่งประกาศตัวเป็นอิสระเมื่อเร็วๆ นี้ ทันทีที่เป็นอิสระ ก็ไปลงละครแก้วขนเหล็ก ให้กับช่องวันเป็นเรื่องแรก และยังมีอีกหลายเรื่องเข้าคิวรอ

5 ช่องทุนหนา จาก 3  มหาเศรษฐีของไทยทุ่มทุนหนัก

ช่อง 7 และช่อง 3 เป็น 2 ช่องใหญ่ยืนแถวหน้าในวงการทีวีมานาน มีนักแสดงในสังกัดชื่อดังจำนวนมาก ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายให้กับช่องทีวีดิจิทัลใหม่ ที่ต้องการเข้าสู่อันดับท็อปของตารางทีวีดิจิทัลด้วยการผลิตละครไทย จำเป็นต้องใช้กลยุทธ์ดูด นักแสดงดังมาแสดงละครให้กับช่อง 

ในกลุ่มช่องใหม่ ทุนหนา ที่อัดฉีดหนักในการผลิตละคร และดึงนักแสดง มี 4 ช่อง ได้แก่ ช่องวัน, จีเอ็มเอ็ม 25, พีพีทีวี, ทรูโฟร์ยู และอมรินทร์ทีวี ทั้ง 5 ช่องมาจาก 3 มหาเศรษฐีทั้งหมด 

  • ตระกูลปราสาททองโอสถ มี 2 ช่อง ได้แก่ ช่องวัน และ พีพีทีวี
  • ตระกูลสิริวัฒนภัคดี มี 2 ช่อง ได้แก่ จีเอ็มเอ็ม 25 และ อมรินทร์ทีวี
  • ตระกูลเจียรวนนท์ มี 2 ช่องได้แก่ ทรูโฟร์ยู และ ทีเอ็นเอ็น แต่ช่องที่มีละครคือ ทรูโฟร์ยู

ช่องวันและจีเอ็มเอ็ม 25 ที่อยู่ในกลุ่มของจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ทั้ง 2 ช่อง ลุยตลาดละครตั้งแต่เริ่มต้น แต่เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้น ได้ 2 ตระกูลมหาเศรษฐีเข้ามาถือหุ้น ทำให้ทั้ง 2 ช่องได้เงินทุนมาช่วยติดปีก ขยายไลน์การผลิตละครได้เต็มสตรีมมากขึ้น 

ช่องวัน ขยายละครมีตั้งแต่ละครเย็น และละครหลังข่าว จันทร์เสาร์ ในปีที่แล้วมีละครเมีย 2018” สร้างชื่อเสียงให้กับช่อง ส่วนช่องจีเอ็มเอ็ม 25 มีละครคุณพ่อจอมซ่าส์ที่ได้รับความนิยมสูงสุด ในปีนี้ทั้ง 2 ช่องต่างมีทางเลือกจากนักแสดงอิสระที่ออกมาจากช่อง 7 และช่อง 3 มากขึ้น 

ค่ายทรู ผูกสัญญาแพนเค้ก 

ภาพจาก : instagram.com/khemanito

ทรูโฟร์ยู เริ่มรุกทำละครมาเมื่อ 3 ปีที่แล้ว จากการเปิดตัวละครชุด 3 เรื่องเจ้าเวหาที่ประกาศทุ่มทุนสร้างกว่า 220 ล้านบาท สำหรับทั้ง 3 เรื่อง ด้วยการรวมตัวนักแสดงของทั้งช่อง 7 และช่อง 3 มาแสดงร่วมกันเป็นครั้งแรก ตั้งแต่นุ่น วรนุช, อั้ม อธิชาติ, ใหม่ ดาวิกา, ติ๊ก เจษฎาพร, แอนดริว เกร็กสัน และ แพนเค้ก เขมนิจแต่ออกอากาศได้เพียงเรื่องเดียวก็พับโครงการ หลังจากเรื่องแรกไม่ได้รับความนิยมมากนัก อีกทั้งยังมีปัญหาการฟ้องร้องกันของนักแสดงและผู้ผลิตตามมาอีกด้วย

ต่อมาทรูโฟร์ยูก็ยังทุ่มทุนกว่า 300 ล้านกับซีรีส์ศรีอโยธยา 1-2 “ พร้อมๆ กับการได้เซ็นสัญญากับแพนเค้กที่หมดสัญญากับช่อง 7 โดยมีข่าวว่าจ่ายค่าตัวครั้งแรก เป็นตัวเลข 8 หลักเลยทีเดียว และเมื่อสัญญากับแพนเค้กหมดลงเมื่อสิ้นปี 2561 ทรูโฟร์ยูก็จับแพนเค้กเซ็นสัญญาต่อทันที สกัดข่าวที่มีรายงานก่อนหน้านี้ว่าช่องวันเตรียมดึงแพนเค้กลงเล่นละครช่อง โดยทรูโฟร์ยูนำเสนอละครให้แสดงอีก 2 เรื่องในปีนี้ ได้แก่เรื่อง พยัคฆ์ร้ายสายลับ และซีรีส์เกาหลี Voice ที่จะมาทำในเวอร์ชั่นไทย นอกจากนี้ยังมีข้อเสนอให้เป็นพรีเซ็นเตอร์สินค้าในกลุ่มทรูต่อเนื่องด้วย 

อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์ละครของทรูโฟร์ยูในปีนี้ ที่เพิ่งประกาศไปคือ เน้นละครรีเมกซีรีส์เกาหลี และละครฟอร์มยักษ์ เพื่อสร้างความแตกต่างของช่องเมื่อเทียบกับละครช่องอื่นๆ

พีพีทีวี ลุยเจรจาดาราแม่เหล็กของแต่ละช่อง 

พีพีทีวี ของตระกูลปราสาททองโอสถ เป็นช่องที่มีความเคลื่อนไหวมากที่สุด จากกลยุทธ์ดูด แหลกทั้งรายการและนักแสดงในปลายปีที่ผ่านมา เปิดมาต้นปีนี้เริ่มใช้กลยุทธ์ใหม่ในการเข้าไปเจรจากับนักแสดงในสังกัดช่องใหญ่ โดยเฉพาะช่อง 3 และนักแสดงที่สังกัดช่อง ทั้งกลุ่มที่มีแนวโน้มว่าจะหมดสัญญา และกลุ่มที่มีแนวโน้มว่าอาจจะขอเป็นอิสระ 

ทั้งนี้ พีพีทีวี มีข้อเสนอไม่ผูกมัดเป็นนักแสดงในสังกัดพีพีทีวี สามารถเป็นนักแสดงอิสระได้ เพียงแต่เซ็นสัญญากับพีพีทีวีว่าจะรับเล่นละครจำนวนกี่เรื่องภายใน 1 ปี โดยที่ยังสามารถไปรับเล่นละครให้ช่องอื่นๆ ได้อิสระ รวมถึงการันตีรายได้ที่จะได้จากช่องพีพีทีวีในราคาสูงกว่าตลาด 

แหล่งข่าววงการนักแสดงเปิดเผยว่า ด้วยข้อเสนอใหม่นี้ มีทั้งนักแสดงที่ให้ความสนใจเข้าร่วม และบางกลุ่มที่ยังไม่ตัดสินใจ และกลุ่มที่ปฏิเสธข้อเสนอ 

มนตรามหาเสน่ห์

ตั้งแต่ต้นปีพีพีทีวีทยอยเปิดกล้องละครมาเป็นระยะหลายเรื่อง แต่ที่เปิดตัวเป็นทางการไปแล้วคือมนตรามหาเสน่ห์ ของค่ายผู้จัด หก สี่ เอี่ยว ของ หงส์ธัญญ์นิติ สามีของอุ๊ พัชนี จารุจินดา ผู้จัดละครช่อง 3 นอกจากนี้ยังมีละครจากค่ายทีวีธันเดอร์, เจเอสแอล, กันตนา, คุณแดง สุรางค์ เปรมปรีดิ์ และ Change2561 ของพี่ฉอดสายทิพย์ 

จากความเคลื่อนไหวของบรรดาช่องเศรษฐีเหล่านี้ การขยับของบรรดานักแสดงน่าจะสร้างสีสันให้กับวงการทีวีดิจิทัล ช่องเล็กมีโอกาสมากขึ้น ในขณะที่ผู้ชมก็มีทางเลือกหลากหลาย ละครสนุก นักแสดงดัง ตรึงคนดูได้ เรตติ้งจะสวิงไปอยู่ที่ช่องไหน ขึ้นอยู่กับคุณภาพของละครแต่ละเรื่องนั่นเอง.

]]>
1208267
ส่อง 10 โผ ดารา เซเลบริตี้ เมื่อ “โดราเอมอน” ชนะใจคนไทย แซง “ก้อง สหรัถ-ชมพู่ อารยา-ณเดชน์”    https://positioningmag.com/1168864 Mon, 07 May 2018 08:35:24 +0000 https://positioningmag.com/?p=1168864 สาวิตรี รินวงษ์

การทำตลาดไม่ว่ากี่ยุคกี่สมัย เหล่าคนดัง ดารา เซเลบริตี้ทั่วฟ้าเมืองไทย ถ้าได้ลองหยิบจับสินค้าไหน เป็นพรีเซ็นเตอร์ แบรนด์แอมบาสเดอร์ ให้กับแบรนด์ไหน มักเรียกกระแสจากสาวกและแฟนๆ ได้เป็นอย่างดี แต่แน่นอนว่าคนดังที่เห็นเป็นตัวแทนสินค้าดัง และโลดเล่นอยู่บนจอแก้ว คนเหล่านั้นดังมากแค่ไหน และเป็นตัวท็อปแล้วใช่ไหม 

แต่ในการสำรวจการรับรู้ของผู้บริโภคที่มีต่อแบรนด์ (Perception) รวมถึงจริตคนไทยที่มีต่อแบรนด์ไทยแบรนด์เทศ ในหลากหมวดสินค้า (Category) ประจำปี 2561 ที่ทาง “Y&R ประเทศไทยเพิ่งรายงานไปกลับพบว่า “Top 10” ของดารา เซเลบริตี้ กลับมีสิ่งที่เหนือความคาดหมายเกิดขึ้นอยู่ไม่น้อย 

อันดับ 10 ที่คนดังโดนใจคนไทย คือ นักแสดงสาวสวยเซ็กซี่ปู ไปรยา สวนดอกไม้ได้คะแนไป 44.4% ความฮอตระดับท็อป ทำให้ปูเข้าตาแบรนด์ดังหลายหมวดดึงไปเป็นพรีเซ็นเตอร์ไม่ว่าจะเป็นยานยนต์ ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ชุดชั้นใน เป็นต้น 

อันดับ 9 ลูกเกด เมทินี กิ่งโพยมครองใจด้วยคะแนน 48.8% คงไม่ต้องบอกว่าแม่ แซ่บแค่ไหน เพราะลูกเกดนอกจากจะมีดีกรีนางงาม การเป็นเมนเทอร์สุดซี้ดในรายการ The Face Thailand ทำให้ชื่อของเธอปังยิ่งขึ้น ในโลกออนไลน์มักนำวาทะด็ด! ของเธอไปใช้ในสถานการณ์ต่างๆ และแชร์วนไปบนโซเชียล เช่น  สตรอง!, พี่ไม่ได้มาเล่นๆ, ดึงสติกลับมา เป็นต้น งานพรีเซ็นเตอร์ของเธอในปีที่ผ่านมาก็มีผลิตภัณฑ์ซักผ้า  

อันดับ 8 ญาญ่า อุรัสยา เสปอร์บันด์คะแนน 49.7% แม้จะเป็นดาราที่มีแฟนคลับเยอะมาก ส่วนงานโฆษณาไม่ต้องพูดถึง มีเยอะจนผู้บริโภคอาจจำภาพของพรีเซ็นเตอร์คนนี้คู่กับแบรนด์ได้ไม่ครบด้วยซ้ำไป ไม่ว่าจะเป็นช้อปปิ้งออนไลน์ เทเลคอม มือถือ ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม ลักชัวรี่แบรนด์ ร้านสะดวกซื้อ ขนมขบเคี้ยว แต่เพราะในหมู่คนรุ่นใหม่ ต้องยอมรับว่าญาญ่ากินรวบตลาดนี้ไปสูงทีเดียว 

อันดับ 7 ใหม่ ดาวิกา โฮร์เน่มีคะแนน 59.1% เธอเป็นอีกคนที่งานพรีเซ็นเตอร์รุมเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดื่มชา ผ้าอนามัย น้ำยาปรับผ้านุ่ม บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ซึ่งนอกจากผู้บริโภคจะเห็นดาราดังทางหน้าจอก็ได้รู้ด้วยว่าคนเหล่านี้ ทำหน้าที่พรีเซ็นต์สินค้าให้แบรนด์สารพัด เพื่อจับกลุ่มเป้าหมายแต่ละกลุ่ม 

อันดับ 6 โอปอล์ ปาณิสรา อารยะสกุลมีคะแนน 55.4% แม้จะเป็นคุณแม่ลูกแฝด แต่เธอเป็นคนดังที่ครองใจผู้บริโภคคนรุ่นใหม่ วัยทำงาน และผู้ใหญ่ไม่น้อย ด้วยความคิดอ่านที่โดนใจหลายๆ คนในสังคม และเธอจึงเป็นหนึ่งในเป้าหมายที่แบรนด์ดังนอกจากดึงเป็นพรีเซ็นเตอร์ ยังเชิญชวนไปทำหน้าที่พิธีกรให้กับงานอีเวนต์ของแบรนด์ด้วย 

อันดับ 5 ณเดชน์ คูกิมิยะได้คะแนน 55.8% ถ้ามี ญาญ่าก็ต้องมีคู่จิ้นณเดชน์เพราะความฮอตของหนุ่มคนนี้ เข้าไปครองใจคนทุกเพศทุกวัยได้ไม่น้อย และถาพูดถึงงานโฆษณา ชื่อของเขาต้องติดท็อปลิสต์ที่มีผลงานมากสุดแน่นอน 

ณเดชน์ อาจชนะใจคนรุ่นใหม่ได้เยอะมาก แต่ก็ยังมีคนที่ครองใจผู้บริโภคได้มากกว่าโอลิเวอร์ กิตติพงษ์ วีระเตชะ ประธานอำนวยการ วายแอน์อาร์ ประเทศไทย (Y&R) เอเยนซี่ ให้ความเห็น และนั่นทำให้ณเดชน์ยังไม่ขยับไปเป็นที่ 1 ในใจ แต่เซอร์ไพรส์แค่นี้ ยังไม่หมด เพราะเซเลบริตี้ที่คนไทยชื่นชอบยังไม่หมด 

อันดับ 4กันต์ กันตถาวร มีคะแนน 56.4% ปฏิเสธไมได้ว่าความร้อนแรงของหนุ่มกันต์ มาจากการเป็นพิธีกรายการ The Mask Singer 1 จนมาถึงซีซั่น 4 แล้ว ด้วยคาแร็กเตอร์ที่สนุกสนาน อารมณ์ดี ตลกทำให้เขาครองใจคนไทยจำนวนมากได้อย่างดี และนั่นจึงทำให้สินค้าหลายแบรนด์ดึงไปเป็นพรีเซ็นเตอร์ ไม่ว่าจะเป็น สีทาบ้าน, เครื่องดื่มชา, เครื่องดื่มฟังก์ชันนอลดริ้งค์ เป็นต้น 

อันดับ 3 ชมพู่ อารยา เอ ฮาร์เก็ตที่ตอนนี้เป็นคุณแม่ลูกแฝดสายฟ้าพายุแต่ความฮอตและการเป็น Influencer ของเธอไม่เคยลดลงเลย ทุกย่างก้าวของเธอมีมูลค่าที่แบรนด์ต้องการเข้าไปผูกติดในการทำตลาด อย่างแบรนด์สินค้ากีฬาดังอาดิดาสผูกปิ่นโตกันมานานมาก แม่ชมจะออกกำลังกาย ใช้ชีวิตไลฟ์สไตล์แบบไหน จะเห็นรองเท้ายี่ห้อดังคู่กายอยู่เสมอ และนั่นจึงไม่แปลกที่สินค้าที่เธอสวมใส่ หยิบจับจะขายดีเป็นเทน้ำเทท่า 

อันดับ 2 ก้อง สหรัถ สังคปรีชาพระเอกหนุ่มที่วัยเข้าสู่เลข 50 แล้ว แต่เชื่อว่าความแซ่บของพี่ก้องยังละลายใจสาวๆ และเรียกเสียงกรี๊ดได้ไม่แพ้คนรุ่นใหม่เลยทีเดียว และนั่นทำให้สามารถเอาชนะใจคนไทยจนแซงหน้านักแสดงรุ่นเอ๊าะๆ อย่างณเดชน์ได้ และด้วยบุคลิกที่สุขุมนุ่มลึก ทำให้งานพรีเซ็นเตอร์สินค้า วิ่งเข้าชนพี่ก้องอย่างไม่ขาดสาย 

ส่วนเซเลบริตี้อันดับ 1 ได้แก่โดราเอมอนกลายเป็นคาแร็กเตอร์การ์ตูนที่ชนะ!คนไทย เพราะหากวัดชื่อชั้นของโดราเอมอนแล้ว เป็นการ์ตูนยอดนิยมอันดับ 1 ของเมืองไทย สร้างยอดขายลิขสิทธิ์ได้สูงสุดอีกด้วย 

ดารา เซเลบริตี้ ก็เป็น Personal Brand อย่างหนึ่ง ซึ่งการที่แบรนด์คนดังจะโดดเด่นจนครองใจคนได้ จะต้องไม่ดังแค่ในหมวดที่ตนเองอยู่ แต่ต้องสามารถ Out Standing ข้ามหมวดสินค้าได้ ครั้งนี้เราเทียบคนเหล่านี้กับรถยนต์ยี่ห้อดัง สินค้าดังในตลาด และจากการทำ Brand Asset Score โดราเอมอน มาเป็นที่ 1 ชนะทุกคน”  

ปัจจุบันโดราเอมอน เป็นการ์ตูนที่อยู่ในตลาดมานานกว่า 45 ปี มีคนรู้จักในวงกว้างทั่วโลก และล่าสุดยังได้รับหน้าที่เป็นมาสคอต หรือทูตโอลิมปิก 2020″ มหกรรมกีฬาแห่งมวลมนุษยชาติที่ประเทศญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพด้วยเพราะนอกจากพลังของแบรนด์ โดราเอมอน ยังเป็นตัวแทนของการพลิกฟื้นประเทศญี่ปุ่นในหลายๆ ด้านด้วย   

ส่วนในไทยนอกจากความน่ารักของตัวการ์ตูน ต้องบอกว่าพลังของแบรนด์ที่มีต่อผู้บริโภคมีมากแน่นอน (Energized) เพราะผู้บริโภคทุกเพศทุกวัยรูัจัก และยังเกี่ยวข้อง (Relevance) กับผู้บริโภคตั้งแต่เด็กจนถึงโต ไม่เคยเลือนหายไปจากความทรงจำผู้บริโภคที่ดูการ์ตูนแน่นอน นั่นทำให้ตลาดมีการยอมรับนับถือ (Esteem) ตัวคาแร็กเตอร์ นำไปพูดถึงกันในวงกว้าง ที่ผ่านมาโดราเอมอนยังเป็นคาแร็กเตอร์ที่คุ้นเคยกับผู้บริโภค (Knowlegde) ชาวไทยอย่างต่อเนื่อง เพราะแบรนด์ดังได้ดึงมาทำกิจกรรมตลาดร่วม (Co-branding) อยู่ไม่น้อย 

ร้านสะดวกซื้อเบอร์ 1 เซเว่น อีเลฟเว่น เคยดึงมาทำแคมเปญสะสมแสตมป์วิเศษ เพื่อใช้แทนเงินสด รวมถึงแลกของรางวัลน่ารักๆ ให้สาวกได้สะสมกัน, เอไอ ไทยแลนด์ จับมือเมืองไทยประกันชีวิต และเซ็นทรัลพัฒนา ทำโครงการโดราเอมอน จากเพื่อนถึงเพื่อน (DORAEMON FROM FRIEND TO FRIEND) เอาใจสาวกให้ซื้อสินค้าลิขสิทธิ์และได้ร่วมทำบุญ  และธนาคารกสิกรไทย

โอลิเวอร์หยิบยกกรณีศึกษาที่น่าสนใจเมื่อกสิกรไทย ดึงโดราเอมอนมาทำตลาดร่วมกันพบว่าช่วยทำให้แบรนด์ดูมีความความสนุกสนาน (Fun) ความเซ็กซี่ และอิสระ 

ซึ่งเป็นคาแร็กเตอร์ของโดราเอมอน จากเดิมที่กสิกรเป็นแบรนด์ที่ดูแลใส่ใจลูกค้า น่าเชื่อถือ มาตรฐานการดำเนินงานสูง เป็นต้น ขณะที่สิ่งที่ทั้ง 2 แบรนด์มีเหมือนกัน ทั้งเฉลียวฉลาด สร้างสรรค์ ป็อปมากๆ ก็ยิ่งทำให้ความแข็งแกร่งข้อนี้มีมากกว่าเดิม การผสานพลังดังกล่าว จึงเพิ่มโอกาสขยายฐานลูกค้าให้กับแบงก์ได้ โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ สาวกของโดราเอมอน.

]]>
1168864