ถุงยางอนามัย – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Mon, 02 Oct 2023 06:52:57 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ประเมินตลาด ‘เซ็กซ์ทอย’ ทะลุ 9.45 แสนล้านบาท เนื่องจากผู้บริโภค ‘เปิดกว้าง’ มากขึ้น https://positioningmag.com/1446359 Mon, 02 Oct 2023 05:05:34 +0000 https://positioningmag.com/?p=1446359 นับตั้งแต่การระบาดของ COVID-19 ที่กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยกระตุ้น ตลาดเซ็กซ์ทอย (Sex Toy) ให้เติบโต เนื่องจากผู้คนต้องอยู่แต่บ้านและไม่สามารถออกไปทำกิจกรรมกับคนจริง ๆ ได้ และในปัจจุบันคนก็มองเรื่องเซ็กซ์ทอยเป็นเรื่องปกติ

จากการศึกษาของบริษัทที่ปรึกษา PwC มีการประเมินว่าในปี 2021 ตลาดเซ็กซ์ทอย ทั่วโลกรวมไปถึง ผลิตภัณฑ์สุขภาวะทางเพศ (Sexual Wellness) เช่น ถุงยางอนามัย, เจลหล่อลื่น มีมูลค่าประมาณ 1.9 หมื่นล้านดอลลาร์ (ราว 655,000 ล้านบาท) และมีการประเมินว่าภายในปี 2026 จะมีมูลค่าถึง 2.7 หมื่นล้านดอลลาร์ (ราว 954,000 ล้านบาท) มีการเติบโตเฉลี่ย 7% ต่อปี

ที่น่าสนใจคือ ตลาดเซ็กซ์ทอยเริ่มได้รับความสนใจจาก ผู้หญิง มากขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เนื่องจากสินค้าได้ถูกออกแบบมาประณีตและตอบโจทย์ความต้องการมากขึ้น รวมถึงบรรจุภัณฑ์ที่ถูกคิดมาอย่างดี ทำให้ ไม่สะดุดตา มากไป และมีการใช้ สีพาสเทล เพื่อให้เป็นมิตรกับผู้หญิงมากขึ้น

นอกจากนี้ สื่อ ก็เป็นอีกสิ่งที่ช่วยกระตุ้นตลาด อาทิ ซีรีส์ยอดนิยมอย่าง Sex and the City” หรือภาพยนตร์อย่าง Fifty Shades of Grey” ซึ่งเป็นภาพยนตร์ดัดแปลงจากนิยายอีโรติกที่ขายดีที่สุด ก็ช่วยให้คนเปิดใจกับเซ็กซ์ทอยมากขึ้น ที่น่าสนใจคือ เหล่าบรรดาคนดังก็เริ่มออกมาขายเซ็กซ์ทอยแบรนด์ตัวเองมากขึ้น

โดยดาราฮอลลีวูดชื่อดังอย่าง กวินเน็ธ พัลโทรว์ ก็ขึ้นแท่นเป็นผู้บุกเบิกเรื่องผลิตภัณฑ์สุขภาวะทางเพศ โดยมีสินค้าที่ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าอย่าง เทียนหอมกลิ่นน้องสาวของตัวเอง (This Smells Like My Vagina Candle) นอกจากนี้เธอยังขายเซ็กซ์ทอยอื่น ๆ ควบคู่ไปด้วย หรือ นักร้องสาวชาวอังกฤษอย่าง ลิลี่ อัลเลน ก็ออกเซ็กซ์ทอยมาขายด้วยเช่นกัน

“เราเห็นยอดขายเซ็กส์ทอยของคนโสดที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก รวมถึงคู่รักที่เริ่มใช้เซ็กซ์ทอยเพื่อเพิ่มประสบการณ์ใหม่ ๆ และมันก็ถูกทำให้เป็นมาตรฐานมากขึ้น”

ปัจจุบัน สหรัฐอเมริกา ถือเป็นผู้นำตลาดโลก โดยมีมูลค่าตลาดถึง 4.4 พันล้านดอลลาร์ (ราว 154,000 ล้านบาท) และจากผลสำรวจพบว่า ผู้บริโภคในสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และฝรั่งเศสมีเซ็กซ์ทอยเฉลี่ยเกือบคนละ 4 ชิ้น

Source

]]>
1446359
‘ONETOUCH x กัญชา’ กับการรุกตลาด ‘สมุนไพร’ ของ ‘TNR’ สู่การปั้นรายได้ 5 หมื่นล. ใน 10 ปี https://positioningmag.com/1379886 Thu, 31 Mar 2022 06:32:05 +0000 https://positioningmag.com/?p=1379886 หากพูดถึง ‘ถุงยางอนามัย’ หรือที่เรียกกันสั้น ๆ ว่า ‘ถุงยาง’ หลายคนน่าจะคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว เพราะตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่หน้าเคาน์เตอร์ร้านสะดวกซื้อแทบทุกเจ้า ส่วนแบรนด์นั้นก็หลากหลายทั้ง Durex แบรนด์ถุงยางสัญชาติอังกฤษ Okamoto จากประเทศญี่ปุ่น และ ONETOUCH ที่เป็นของไทยแท้ ๆ ภายใต้การผลิตโดย บริษัท ไทยนิปปอนรับเบอร์อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน) หรือ TNR

ตลาดถุงยางไม่ค่อยโต?

หากพูดถึงตลาดถุงยางอนามัย จะบอกว่าไม่ค่อยเติบโตคงจะไม่ถูกนัก เพราะเฉลี่ยแล้วก็ยังเติบโตได้ราว 8-9% ตามตลาดโลก แต่การเติบโตที่สม่ำเสมอแบบนี้ แปลว่าจะหวังให้เติบโตอย่างก้าวกระโดดคงไม่ได้ อีกทั้งตลาดในไทยก็เริ่มมีคู่แข่งหน้าใหม่เข้ามา ยังไม่รวมผลิตภัณฑ์คุมกำเนิดประเภทอื่น ๆ อย่าง ยาคุมกำเนิด เป็นต้น

นอกจากนี้ ด้วยความที่ประเทศไทยนั้นมี ความละเอียดอ่อน ในเรื่องเพศพอสมควร อีกทั้งถุงยางอนามัยยังจัดอยู่ในกลุ่มเครื่องมือแพทย์ด้วย ดังนั้น การจะโฆษณาโชว์หรานั้นทำไม่ได้ การจะสื่อสารว่าแบรนด์มีของสรรพคุณดีอย่างไรเลยทำได้ยาก กลายเป็นเข้าถึงผู้บริโภคยากเข้าไปอีก

เราเลยจะเห็นความครีเอทีฟออกจากโฆษณาในกลุ่มสินค้านี้มากเป็นพิเศษ หรือบางแบรนด์ก็จะเน้นรูปร่างหน้าตาของบรรจุภัณฑ์เพื่อให้โดดเด่นสะดุดตา ไม่ก็มีฟีเจอร์ฟังก์ชันแปลกใหม่เพื่อดึงดูด

กัญชง-กัญชา New S-Curve

สำหรับ TNR บริษัทผู้ผลิตถุงยางสัญชาติไทยนั้นอยู่ในตลาดมาเกือบ 30 ปีแล้ว จากตอนแรกรับจ้างผลิต (OEM) ถุงยางอนามัยและเจลหล่อลื่นให้กับบริษัทและองค์กรอื่น ๆ จากนั้นในปี 2542 ก็หันมาผลิตสินค้าภายใต้แบรนด์ตัวเองในชื่อ ONETOUCH และในปี 2561 ก็ได้ลิขสิทธิ์จัดจำหน่ายแบรนด์ PlayBoy ใน 188 ประเทศทั่วโลกแต่เพียงผู้เดียว และอีกธุรกิจที่คนไม่ค่อยรู้คือ เป็นผู้ผลิตกล่องกระดาษ

แต่หากดูจากรายได้ของ TNR ที่อยู่ราว ๆ 1,700 ล้านบาท และการเติบโตของตลาดที่ยังอยู่ในเลขหลักเดียว ยิ่งการทำตลาดที่มีข้อจำกัดเต็มไปหมด หรือล่าสุด บริษัทเพิ่งมีปัญหาฟ้องร้องแบรนด์ PlayBoy ฐานใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและกระทำผิดต่อกฎหมายประเทศสหรัฐอเมริกา โดย TNR ได้ฟ้องเรียกค่าเสียหายเป็นเงิน 100 ล้านดอลลาร์เลยทีเดียว

ดังนั้น การที่ TNR จะมองหา New S-Curve ใหม่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก และตลาดที่ TNR จะไปก็คือ สมุนไพร โดยจะนำร่องที่ กัญชา, กัญชง และกระท่อม หลังจากรัฐบาลปลดล็อกให้ไม่ผิดกฎหมายและถือเป็นอนาคตพืชเศรษฐกิจของไทย ซึ่งปัจจุบันตลาดสมุนไพรไทยมีมูลค่าราว 10,000 ล้านบาท

ปี 66 เตรียมเจอ one touch x กัญชา

ในปีที่ผ่านมา TNR ได้ประกาศตั้ง บริษัท ทีเอ็นอาร์ ไบโอไซเอินซ์ จำกัด บริษัทย่อยที่ TNR ถือหุ้น 100% มีทุนจดทะเบียน 50 ล้านบาท เพื่อดำเนินธุรกิจสกัด และจำหน่ายสารสำคัญพืชสมุนไพร แต่แน่นอนว่าธุรกิจสมุนไพร โดยเฉพาะกัญชา, กัญชง และกระท่อม ไม่ได้มีแค่ TNR ที่เล็งเห็นโอกาสเติบโต ซึ่ง อมร ดารารัตนโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยนิปปอนรับเบอร์อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน) หรือ TNR ยอมรับว่า มาช้า แต่ก็มั่นใจใน ความพร้อม ทั้งในส่วนของกำลังการผลิตและการวิจัยพัฒนา

“แม้ว่าจะมาทีหลังใครในประเทศ แต่เชื่อว่าพร้อมกว่าคนอื่น ๆ โดยตอนนี้เรามีวัตถุดิบพร้อมแล้ว และเราคาดว่าจะสกัดสาร CBD (Cannabidiol) ได้ในช่วงกลางปีนี้ และยังไม่เห็นบริษัทไหนที่สามารถสกัด CBD มาจำหน่ายในปริมาณที่มากได้”

สำหรับแผนการทำงานของ TNR จะแบ่งเป็น 3 เฟส ครอบคลุมต้นน้ำยันปลายน้ำ โดยปัจจุบันได้ผ่านเฟสแรกไปแล้ว ก็คือ การรุกเข้าสู่อุตสาหกรรมกัญชง ระดับต้นน้ำ โดยร่วมมือกับสถาบันการศึกษาสนับสนุนการทดสอบ วิจัย และพัฒนาสายพันธุ์กัญชงที่สามารถสกัดสาร CBD ในปริมาณสูง รวมถึงจัดตั้งจุดรับซื้อช่อดอกกัญชงและศูนย์ตรวจวัดค่าต่าง ๆ ตามมาตรฐาน

ส่วน ระดับกลางน้ำ บริษัทได้ลงทุน 200 ล้านบาทจัดตั้งโรงงานสกัดสารสำคัญจากกัญชงและกระท่อม เพื่อจำหน่ายสารสกัด CBD และ Mitragynine เพื่อนำไปใช้พัฒนาผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ พร้อมกับจัดตั้งห้องปฏิบัติการวิเคราะห์ (แล็บทดสอบ) เพื่อตรวจวัดระดับสารสำคัญ CBD ,THC รวมไปถึงสารปนเปื้อน คาดว่าโรงงานจะแล้วเสร็จในช่วงกลางปีนี้

สุดท้าย ระดับปลายน้ำ หรือการ พัฒนาผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับสุขภาพที่มีส่วนผสมสารสกัดจากกัญชงภายใต้แบรนด์ของบริษัทฯ ออกสู่ตลาด คาดว่าจะได้เห็นภายในปี 2566 โดยสินค้าตัวแรกจะสกัดกลิ่นและสาร CBD จากกัญชง-กัญชามาใช้ใน ถุงยางอนามัยและสารหล่อลื่น เพื่อใช้ในการนวดสปา

“ปีนี้ก็มีการศึกษา CBD และ THC มาทำเป็นเครื่องดื่ม เครื่องสำอาง เนื่องจากมีคุณสมบัติช่วยลดการอักเสบ ช่วยป้องกันมะเร็งปากมดลูกด้วย ดังนั้นเชื่อว่า ถุงยางอนามัยและสานหล่อลื่นผสมกัญชาจะขายได้ดี ในราคาที่ไม่แพงมากมาย”

เน้นส่งออกต่างประเทศปั้นรายได้พันล้านใน 3 ปี

เนื่องจากกัญชายังเป็นธุรกิจใหม่ในไทย TNR จึงเน้นส่งออกเป็นหลัก โดยมีเป้าหมายในปีนี้คือ ทำมาตรฐานให้แมตช์กับประเทศปลายทาง โดยประเทศแรกที่ส่งออกคือ สหรัฐอเมริกา เพราะหลายรัฐกัญชาถูกกฎหมายแล้ว ตามด้วยยุโรป ออสเตรเลีย และแคนนาดา

ในส่วนของธุรกิจถุงยางอนามัยที่เป็นธุรกิจหลัก จะเน้นสร้างแบรนด์ One Touch และใช้คอนเน็กชั่นเพื่อไปไปจัดจำหน่ายแทนที่แบรนด์ Playboy ที่ยังมีปัญหา ขณะที่ส่วนของ OEM ก็ยังมีการเติบโต โดยภาพรวมผลประกอบการปีนี้ คาดว่าจะปิดที่ 2,000 ล้านบาท โดยมาจากธุรกิจถุงยางอนามัย 1,700 ล้านบาท กล่องกระดาษอีก 200 ล้านบาท และ 100 ล้านบาท จากกัญชา-กัญชง

“ผลกระทบจากแบรนด์ Playboy จบไปเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งทำให้เรามีสต็อกสินค้าที่จำหน่ายไม่ได้ แต่ปีนี้คาดว่าจะไม่กระทบ โดยเราจะเน้นการดันแบรนด์ของตัวเองทดแทน ซึ่งที่ผ่านมา รายได้จากแบรนด์ Playboy ไม่ได้เยอะ คิดเป็นแค่ 5-6% เท่านั้น”

อย่างไรก็ตาม อมร มองว่าธุรกิจสมุนไพรมีศักยภาพมากพอที่จะกลายเป็น ธุรกิจหลัก แทนที่ถุงยางอนามัย โดยคาดว่าภายใน 10 ปีจากนี้จะมีรายได้ถึง 50,000 ล้านบาท โดยภายใน 3 ปีแรกคาดว่าจะมีรายได้จากสมุนไพรราว 1,000 ล้านบาท โดยจะค่อย ๆ มีสัดส่วนต่อรายได้รวมเพิ่มขึ้น จาก 5% ในปีนี้ เพิ่มเป็น 20% และ 25% ในปี 2567 ตามลำดับ

นับเป็นอีกความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจสำหรับการรุกตลาดสมุนไพรของ TNR แน่นอนว่าจะช่วยย้ำภาพของ คุณภาพ สินค้าเดิมอย่างถุงยางอนามัยได้แล้ว แถมยังแตกไลน์ไปยังสินค้าอื่น ๆ ได้อีก แต่ต้องรอดูเพราะธุรกิจใหม่นี้ก็มีคู่แข่งไม่น้อย แถมยังไม่ใช่สายงานที่เชี่ยวชาญอีก ดังนั้น จะไปถึงฝันที่ 50,000 ล้านได้ตามที่หวังหรือจะต้องกลับไปเน้นธุรกิจเดิมต้องติดตามต่อไป

]]>
1379886
ถุงยาง Durex ยอดพุ่ง! โตแบบ “ดับเบิล ดิจิต” หลังหลายประเทศคลายล็อกดาวน์ https://positioningmag.com/1330340 Mon, 03 May 2021 14:51:40 +0000 https://positioningmag.com/?p=1330340 Reckitt รายงานยอดขายไตรมาส 1/2021 ถุงยางแบรนด์ Durex เติบโต “ดับเบิล ดิจิต” ตามเทรนด์การคลายล็อกดาวน์ในหลายประเทศทั่วโลก ขณะเดียวกัน แบรนด์ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดอย่าง Dettol ยังเติบโตต่อเนื่อง สวนทางกับสินค้ากลุ่มยาและนมผงที่มีดีมานด์ลดลง

Reckitt Benckiser บริษัทแม่ของแบรนด์ถุงยาง Durex เปิดเผยว่า ยอดขายแบรนด์ในไตรมาส 1 ปี 2021 เติบโตได้แบบ “ดับเบิล ดิจิต” เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ย้อนกลับไปเมื่อปีก่อนซึ่งเป็นช่วงเริ่มต้นของโรคระบาด บริษัทระบุว่าผู้บริโภคเริ่มมีเพศสัมพันธ์กันน้อยลง เนื่องจากวิกฤตการระบาดของไวรัส ส่วนหนึ่งเกิดจาก “ความกังวล”

ในขณะที่ปีนี้ ยอดขายถุงยาง Durex กลับมาโตพุ่งเพราะการคลายล็อกดาวน์ กฎการเว้นระยะห่างทางสังคมลดลงในช่วงฤดูร้อน โดยยอดขายที่เห็นการเติบโตชัดเจนเกิดขึ้นในประเทศจีน สหรัฐอเมริกา และทวีปยุโรป

ไม่น่าแปลกใจที่ยอดขายจะดีขึ้นเมื่อคลายล็อกดาวน์ เพราะทำให้ผู้คนกลับไปพบปะตัวต่อตัวได้เหมือนปกติ และลดความกังวลเรื่องโรคระบาดลง

(Photo : Shutterstock)

นอกจาก Durex แล้ว บริษัท Reckitt ยังเป็นเจ้าของแบรนด์ผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อ/ทำความสะอาด Dettol และ Lysol ซึ่งพบว่าสินค้ากลุ่มนี้ยังมียอดขายเติบโต 21.1% เพราะผู้บริโภคยังระวังเรื่องการระบาด และนิสัยการดูแลความสะอาดเป็นเรื่องปกติมากขึ้น

แต่ Reckitt ระบุด้วยว่า เริ่มเห็นการเติบโตที่ช้าลงในกลุ่มประเทศที่การระบาดควบคุมได้หรือฉีดวัคซีนให้ประชากรแล้วเป็นจำนวนมาก เช่น จีน ประชากรจะเริ่มใช้น้ำยาล้างมือหรือใช้แอลกอฮอล์ล้างมือน้อยลง

อย่างไรก็ตาม แบรนด์กลุ่มสินค้าอื่นในเครือมียอดขายต่ำลง ได้แก่ Enfa นมผงสำหรับทารก ยอดขายไตรมาสแรกลดลง -12.3% และกลุ่มสินค้าสุขภาพ เช่น ยาแก้ปวด Nurofen ยาอมแก้เจ็บคอ Strepsils ยอดขายลดลง -16.4% คาดว่าเกิดจากผู้ป่วยโรคหวัดลดลง และผู้บริโภคมีการกักตุนสินค้ากลุ่มนี้ไว้ตั้งแต่ปีที่แล้ว

เทรนด์ยอดขายสินค้าของ Reckitt อาจเป็นดัชนีหนึ่งที่ทำให้เราเห็นเทรนด์ภายในประเทศว่าสินค้าใดจะรุ่งหรือร่วง หากการระบาดในไทยเริ่มดีขึ้น

Source

]]>
1330340
กลับมาผงาด! ถุงยาง ‘Durex’ เติบโตอีกครั้ง หลังจากยอดตกช่วงล็อกดาวน์ https://positioningmag.com/1302482 Wed, 21 Oct 2020 02:54:52 +0000 https://positioningmag.com/?p=1302482 เมื่อช่วงล็อกดาวน์ที่ผ่านมา แม้คู่รักจะอยู่ที่บ้านมากขึ้น แต่กลับมีกิจกรรมทางเพศน้อยลง อีกทั้งผู้บริโภคไม่มีโอกาสสานสัมพันธ์กัน ส่งผลให้ถุงยาง ‘ดูเร็กซ์’ (Durex) ยอดขาย ‘ตก’ ในบางประเทศ เช่น อิตาลี อังกฤษ แต่หลังจากที่หลายประเทศเริ่มคลายล็อกดาวน์ก็ทำให้ถุงยางอนามัยและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพทางเพศเติบโตขึ้น 12.6% ในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา

แล็กซ์แมน นาราซิมฮาน ซีอีโอของ เรคกิตต์ เบนค์กิเซอร์ (Reckitt Benckiser) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าสุขภาพสัญชาติอังกฤษเจ้าของผลิตภัณฑ์อย่าง ‘เดทตอล’ (Dettol) และ ‘ดูเร็กซ์’ (Durex) ได้รายงานผลประกอบการของบริษัทประจำไตรมาสที่ 3 โดยมีรายได้รวม 3,513 ล้านปอนด์ (140,000 ล้านบาท) โตขึ้น 13.3% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเติบโต 19.5% และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพทางเพศเติบโต 12.6%

Durex,love sex,lubricant. (Photo by: Newscast/Universal Images Group via Getty Images)

เดทตอลเป็นผลิตภัณฑ์กลุ่มสุขภาพที่ทำยอดขายได้ดีต่อเนื่องนับตั้งแต่เกิดการระบาดของ COVID-19 โดยยอดขายสเปรย์ผ้าเช็ดทำความสะอาดและของเหลวตราเดทตอลเพิ่มขึ้นมากกว่า 50% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ขณะที่ดูเร็กซ์ที่ประสบปัญหายอดตกในช่วงไตรมาส 2 แต่ในไตรมาส 3 นี้ก็พลิกกลับมาเติบโตได้ แม้จะไม่ได้บอกถึงตัวเลขยอดขายของดูเร็กซ์อย่างชัดเจน แค่ระบุว่าทำยอดขายเพิ่มขึ้นได้สองหลัก และยังได้ส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นในประเทศจีนและอินเดีย ซึ่งจัดว่าเป็นตลาดเกิดใหม่ที่สำคัญอีกด้วย

“หลังจากที่ต้องเจอกับความท้าทายอย่างมากในช่วงครึ่งปีแรก เนื่องจากมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม แต่หลังจากที่ไตรมาส 3 เริ่มผ่อนคลายลงส่งผลให้ความต้องการผลิตภัณฑ์สุขอนามัยทางเพศเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในตลาดของประเทศที่อัตราการติดเชื้อลดลง”

ไม่ใช่แค่ผลิตภัณฑ์ถุงยางอนามัยที่เติบโตในไตรมาส 3 แต่สินค้าอย่าง ‘Sex Toy’ ก็เติบโตขึ้น โดย Ann Summers ซึ่งเป็นที่รู้จักจากการขายชุดชั้นในและเซ็กส์ทอย กล่าวว่า ยอดขายโดยรวมเพิ่มขึ้น 14.4% ไตรมาส 3 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม อีกธุรกิจที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ในระยะยาวก็คือ ธุรกิจสำหรับเด็กแรกเกิดและเด็กทารก เนื่องจากอัตราการเกิดทั่วโลกที่อาจลดลง

“มีหลักฐานว่าอัตราการเกิดจะลดลงอีกในไตรมาสต่อ ๆ ไปอันเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับการระบาดของโรค” แล็กซ์แมน กล่าว

Source

]]>
1302482
COVID-19 ทำให้เราห่างกัน! ถุงยาง Durex “ยอดขายตก” ช่วงล็อกดาวน์-คนหมดอารมณ์ https://positioningmag.com/1288351 Fri, 17 Jul 2020 09:38:40 +0000 https://positioningmag.com/?p=1288351 ถุงยาง Durex พบว่า “ยอดขายตก” ในบางประเทศเช่น อิตาลี อังกฤษ ช่วงล็อกดาวน์ป้องกันโรค COVID-19 เพราะผู้บริโภคไม่มีโอกาสสานสัมพันธ์กัน และแม้แต่คู่รักที่อยู่บ้านเดียวกันก็มีกิจกรรมทางเพศน้อยลง

ลักซ์มาน นาราซิมฮาน ซีอีโอบริษัท Reckitt Benckiser บริษัทแม่ของถุงยางอนามัยยี่ห้อ Durex เปิดเผยว่า ยอดขายถุงยางของบริษัทตกลงในช่วงไวรัสโคโรนาระบาด เพราะโรคระบาดทำให้ผู้บริโภคมีโอกาส ‘เจอกัน’ น้อยลง จากการล็อกดาวน์อยู่กับบ้าน ลดการปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์ผู้อื่น ซึ่งเป็นกำแพงกั้นการสร้างความสัมพันธ์ทางเพศ

“กิจกรรมใกล้ชิดในบางประเทศลดลง เพราะถ้าคุณลองคิดดูก็จะเห็นว่าการพบปะเข้าสังคมเกิดขึ้นน้อย และทำให้มีผลกระทบกับ Durex ด้วย” นาราซิมฮานกล่าว

เขากล่าวว่า ผู้บริโภคในอิตาลีมีเพศสัมพันธ์กันน้อยลงมาก รวมถึงในสหราชอาณาจักร และอีกหลายประเทศที่การล็อกดาวน์เกิดขึ้นทำให้คนมีเพศสัมพันธ์แบบชั่วข้ามคืนไม่ได้ เพราะการเดินทางไปบ้านของคนที่ไม่ใช่ครอบครัวเดียวกันจะขัดต่อกฎระเบียบ สำหรับในสหราชอาณาจักรนั้น แม้แต่ผู้บริโภคที่มีคู่รักอยู่แล้ว โรคระบาดก็ทำให้คนมีคู่มีเพศสัมพันธ์กันน้อยลง เนื่องจากภาวะเครียดกังวลเรื่องไวรัสโคโรนา

โชคดีที่บริษัทแม่คือ Reckitt Benckiser มีผลิตภัณฑ์อื่นในพอร์ตที่ไม่เกี่ยวกับสุขภาพทางเพศด้วย เช่น ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดแบรนด์ Dettol และ Lysol ซึ่งทำยอดขายพุ่งสูงขึ้น 50% ช่วงไตรมาสแรก 2020 และยังคงขายดีไม่หยุดจนบริษัทต้องเพิ่มกำลังผลิตน้ำยาทำความสะอาดถึง 20 เท่าในเดือนกรกฎาคมปีนี้เทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อน สะท้อนให้เห็นดีมานด์สินค้าที่ช่วยชดเชยยอดขายถุงยางได้

อย่างไรก็ตาม นาราซิมฮานหวังว่าช่วงที่คลายล็อกดาวน์แล้ว ยอดขายถุงยางจะกลับมาดีขึ้นตามลำดับ เหมือนกับตลาดจีนซึ่งผ่อนคลายล็อกดาวน์ก่อนประเทศอื่น และบริษัทพบว่ายอดขายกลับมาเป็นปกติแล้วตั้งแต่เดือนเมษายน

Source: Business Insider, The Guardian

]]>
1288351
นอกจากหน้ากาก “ถุงยางอนามัย” เสี่ยงขาดตลาดทั่วโลก หลัง COVID-19 กระทบการผลิต https://positioningmag.com/1270634 Sun, 29 Mar 2020 07:42:47 +0000 https://positioningmag.com/?p=1270634 แคเร็กซ์ บีเอชดี (Karex Bhd) ผู้ผลิตถุงยางอนามัยรายใหญ่สัญชาติมาเลเซีย ออกมาเตือนความเสี่ยงถุงยางอนามัยขาดตลาดทั่วโลก ภายหลังรัฐบาลมาเลเซียมีคำสั่งล็อกดาวน์ปิดเมืองเพื่อสกัดการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งส่งผลให้โรงงานทั้ง 3 แห่งของบริษัทต้องหยุดผลิตสินค้ามาเป็นเวลานานกว่า 1 สัปดาห์

ขณะนี้กำลังผลิตถุงยางอนามัยได้หายไปแล้วประมาณ 100 ล้านชิ้น โดยที่ผ่านมาทางบริษัทได้ผลิตถุงยางภายใต้แบรนด์ต่างๆ เช่น ดูเร็กซ์ และจัดส่งให้แก่หน่วยงานสาธารณสุขทั่วโลก เช่น ระบบบริการสุขภาพแห่งชาติของอังกฤษ (NHS) รวมถึงกองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ (UN Population Fund)

แคเร็กซ์ บีเอชดี ได้รับอนุญาตให้กลับมาผลิตสินค้าอีกครั้งเมื่อวันที่ 27 มีนาคม ด้วยกำลังคน 50% ซึ่งเป็นมาตรการยกเว้นพิเศษสำหรับอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญ บริษัทแห่งนี้เป็นผู้ผลิตถุงยางอนามัยราว 1 ใน 5 ที่วางจำหน่ายอยู่ทั่วโลก

โกะห์ เมียะห์ เกียต (Goh Miah Kiat) ซีอีโอของแคเร็กซ์ ให้สัมภาษณ์กับรอยเตอร์ว่า การกลับมาผลิตสินค้าอีกครั้งต้องใช้เวลาพอสมควร และจะพยายามตอบสนองความต้องการของตลาดให้เพียงพอด้วยกำลังคนเพียงครึ่งเดียว

ทั่วโลกกำลังจะเผชิญปัญหาถุงยางอนามัยขาดแคลน ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ากลัว ผมรู้สึกเป็นห่วงโครงการด้านมนุษยธรรมในแอฟริกา เพราะความขาดแคลนจะไม่ได้เกิดขึ้นแค่ 2 สัปดาห์หรือ 1 เดือน แต่อาจลากยาวไปอีกหลายเดือนทีเดียว

มาเลเซียเป็นประเทศที่มีการระบาดของเชื้อ COVID-19 รุนแรงที่สุดในอาเซียน โดยยอดผู้ติดเชื้อสะสมวันที่ 28 มี.. พุ่งขึ้นไปถึง 2,161 คน เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 26 คน

ทำให้รัฐบาลกัวลาลัมเปอร์ได้สั่งขยายมาตรการล็อคดาวน์ไปจนถึงวันที่ 14 เม..

สำหรับประเทศผู้ผลิตถุงยางอนามัยรายใหญ่อื่นๆ ได้แก่ จีนซึ่งพบเชื้อ COVID-19 ระบาดเป็นที่แรกจนนำไปสู่การสั่งปิดโรงงานอย่างกว้างขวาง รองลงมาได้แก่ อินเดียและไทย ซึ่งก็เริ่มรณรงค์ให้ประชาชนเก็บตัวอยู่แต่ในบ้านหลังพบผู้ติดเชื้อไวรัสเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ผู้ผลิตอุปกรณ์จำเป็นอื่นๆ เช่น ถุงมือแพทย์ ก็เผชิญข้อจำกัดในการผลิตสินค้าเช่นกันในมาเลเซีย

Source

]]>
1270634
เปิดศึก “ถุงยางอนามัย” ฟังก์ชันหลบไป ยุคใหม่ต้องขายด้วย “อีโมชันนอล” https://positioningmag.com/1265265 Thu, 20 Feb 2020 18:31:01 +0000 https://positioningmag.com/?p=1265265 “ถุงยางอนามัย” เป็นสินค้าที่มีปัจจัยในการทำการตลาดที่เฉพาะตัวอย่างมาก เพราะเป็นทั้งสินค้าที่เชื่อมโยงกับประเด็นทางศีลธรรม และยังเป็นเครื่องมือแพทย์ซึ่งโฆษณาต้องได้รับการกลั่นกรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) แบรนด์ถุงยางจะขยับตัวไปทางไหนจึงค่อนข้างยากและท้าทายความสามารถนักการตลาดในปัจจุบัน

ย้อนไปราวๆ 30 ปีก่อน ถุงยางอนามัยเป็นอุปกรณ์การแพทย์ที่ใช้เพื่อต่อสู้กับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะโรคเอดส์ รวมถึงใช้วางแผนครอบครัวด้วย การสื่อสารเพื่อให้ใช้ถุงยางส่วนใหญ่จะมาจากภาครัฐและเน้นย้ำไปที่ฟังก์ชันพื้นฐานเหล่านี้ของถุงยาง คือทำให้ผู้ใช้ปลอดภัยจากโรคและจากลูกที่มาตอนไม่พร้อม

ตัวแบรนด์ถุงยางเองก็ต้องโฆษณาในแง่ฟังก์ชันทางการแพทย์ของถุงยางเป็นหลัก ด้วยเหตุทั้งเรื่องศีลธรรมและกฎหมายกำหนด ตามประกาศของ อย. ว่าด้วยการโฆษณาเครื่องมือแพทย์ มีข้อสำคัญที่ตีกรอบสินค้าถุงยางชัดเจนคือต้องไม่โฆษณาในทางที่ผิดต่อศีลธรรมอันดี และอีกข้อหนึ่งคือต้องไม่โฆษณาโอ้อวดเกินจริง 

ดังนั้นการจะพูดเรื่องคุณสมบัติของถุงยางว่ามีประโยชน์กับการทำกิจกรรมทางเพศอย่างไรจึงเป็นไปไม่ได้ แม้แต่การโฆษณาโน้มน้าวให้ใช้ถุงยางยังอาจถูกต่อต้าน ตัวอย่างเช่นแคมเปญโฆษณา “ยืดอกพกถุง” ของ สสส. (สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ) รณรงค์ให้คนไทยใช้ถุงยางกันมากขึ้นช่วงปี 2550 ยังมิวายมีผู้ร้องเรียนให้ถอดโฆษณาชุดนี้ออกเพราะเกรงจะกระตุ้นการมีเพศสัมพันธ์ของวัยรุ่น 

ทศวรรษก่อน: ถุงยางฟังก์ชันแปลกใหม่ 

แม้หนทางจะยากลำบาก แต่ตลาดถุงยางอนามัยมูลค่า 1,400 ล้านบาทของไทย (ข้อมูลปี 2562) กลับมีผู้เล่นหลักจำนวนไม่น้อย นำโดย Durex แบรนด์จากอังกฤษ ตามด้วย Onetouch แบรนด์สัญชาติไทย Okamoto แบรนด์ญี่ปุ่น Playboy แบรนด์อเมริกันที่ไทย นิปปอน รับเบอร์ฯ ของไทยได้สิทธิจัดจำหน่ายทั่วโลก และล่าสุด myONE จากมาเลเซียเพิ่งเปิดตัวในวันวาเลนไทน์ที่ผ่านมา

กลยุทธ์ธุรกิจของถุงยาง จากเดิมที่ ‘พูดอะไรมากไม่ได้’ ด้วยกรอบกฎหมายดังกล่าว ราว 10 ปีก่อนสินค้าถุงยางก็เริ่มมีทางออกด้วยการผลิตฟังก์ชันถุงยางแบบแปลกใหม่ ออกมา ทั้งถุงยางแบบมีกลิ่น (ที่นิยมมากที่สุดในไทยคือกลิ่นสตรอว์เบอร์รี่) แบบมีปุ่ม แบบเติมสารหล่อลื่นมากพิเศษ แบบลดความไวต่อสัมผัส จนถึงแบบบางพิเศษที่กำลังเป็นที่นิยมขณะนี้ 

ตัวอย่างถุงยางฟังก์ชันแปลกใหม่ที่ฮิตกันในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา

ด้วยสินค้าแบบใหม่ ถึงจะโฆษณาสรรพคุณตรงๆ ไม่ได้ว่าดีอย่างไรเพราะติดประเด็นทางศีลธรรม แต่การเอ่ยถึงชื่อรุ่นและคุณสมบัติสินค้าตามจริงก็เรียกเสียงฮือฮาในหมู่ผู้บริโภคแล้ว ส่วนการเจาะลึกหรือรีวิวการใช้งานก็เป็นไปตามครรลองของยุคอินเทอร์เน็ตที่ผู้บริโภคจะคุยกันปากต่อปากทางโซเชียลมีเดีย 

สร้างแบรนด์ถุงยางไปนั่งในใจผู้บริโภค 

ถัดมาในช่วง 2-3 ปีนี้ การโฆษณาถุงยางได้ก้าวไปอีกขั้น หลังจากเรื่องเพศในสังคมเป็นเรื่องเปิดมากขึ้น แบรนด์ถุงยางจึงหันมาจับกลยุทธ์ Emotional Engagement สร้างความรู้สึกดีๆ ของผู้บริโภคต่อแบรนด์ สร้างความคุ้นเคยของลูกค้ากับถุงยางอนามัยให้เป็นเรื่องใกล้ตัว

หากมองไปในตลาดถุงยาง 3 เจ้าใหญ่ต่างใช้กลยุทธ์นี้ทั้งนั้น เริ่มที่ Durex ผู้เล่นหลักที่ครองตลาดอันดับ 1 ส่วนแบ่งกว่า 50% มักจะใช้โฆษณาภาพนิ่งสื่อสารภาพลักษณ์สนุกสนาน ใช้มุกตลกสื่อถึงกิจกรรมบนเตียงแบบไม่ให้หยาบโลนเกินไปแต่ชัดพอที่จะตรึงใจผู้บริโภค ยกตัวอย่างโฆษณาที่เรียกเสียงฮือฮาล่าสุดคือภาพวันลอยกระทงที่ใช้ถุงยาง Durex แทนดวงจันทร์

ตัวอย่างโฆษณากวนๆ แบบ Durex ช่วยสร้าง engagement กับผู้บริโภค

ส่วนอันดับ 2 อย่าง Onetouch ที่พยายามอย่างหนักหน่วงเพื่อชิงส่วนแบ่งตลาดให้มากขึ้นทุกปี (ปัจจุบันมีส่วนแบ่งราว 28%) แบรนด์ไทยแบรนด์นี้ฉีกแนวมาโฆษณาถุงยางแบบสร้างความรู้สึกร่วม โดยเพิ่งปล่อยหนังโฆษณาชุด All What You Want ออกมาช่วงก่อนวันวาเลนไทน์ กล่าวถึงเรื่องราวความรักซึ้งๆ ของคน 3 คู่ ตบท้ายด้วยภาพสินค้า 

ต่อด้วยชุดคลิปวิดีโอ “เพศศึกษา 101” สอนการใช้ถุงยางอนามัยและความรู้ด้านเพศสัมพันธ์ที่ถูกต้อง โดยได้กวาง-เดียร์ลอง เจ้าของเพจชื่อดังและคุณหมอเฟิร์นมาพูดคุยเรื่องเพศอย่างเปิดเผยในเชิงวิชาการ สร้างความรู้สึกที่ดีและให้ความรู้กับสังคมไปในตัว

ขณะที่ Okamoto ดูจะเงียบๆ ในการทำการตลาด แต่เมื่อ 2 ปีก่อนก็เคยออกหนังโฆษณาชุดหนึ่งที่ว่าด้วยเรื่อง ความสัมพันธ์หญิงชายที่อาจมีงอนมีหึงหวงกันบ้าง แต่สุดท้ายความสัมพันธ์จะดีได้ต้องเป็นห่วงความรู้สึกกันและกันให้มากๆ จบด้วยภาพสินค้าถุงยางที่เป็นส่วนหนึ่งของความสัมพันธ์ โฆษณาชุดนี้มีผู้ชมทาง YouTube ไปถึง 1.2 ล้านครั้งและคอมเมนต์เกือบ 300 ความเห็น

สำหรับหน้าใหม่ในไทยแต่เป็นหน้าเก่าในตลาดโลกอย่าง myONE เลือกที่จะใช้เรื่องแพ็กเกจจิ้งและศิลปะมาเป็นตัวนำในการทำตลาด โดยดีไซน์ฟอยล์ห่อถุงยางเป็นรูปวงกลมแทนที่สี่เหลี่ยมแบบดั้งเดิม และมีการพิมพ์ลายศิลปะน่ารักๆ บนฟอยล์ ส่วนแพ็กเกจจิ้งแบบบรรจุ 12 ชิ้นยังดีไซน์เป็นทรงกระบอกแทนแบบกล่องสี่เหลี่ยมด้วย ดีไซน์ทั้งหมดของ myONE เป็นไปเพื่อช่วยลดความรู้สึกแปลกแยก ความเป็นของต้องห้ามของถุงยางในสายตาผู้บริโภค

ดีไซน์ฟอยล์ห่อถุงยางอนามัย myONE เลือกใช้เป็นวงกลมแทนสี่เหลี่ยมแบบเดิม

การใช้กลยุทธ์เรื่องแพ็กเกจจิ้งศิลปะสนุกๆ ของ myONE เป็นแบรนด์แรกที่ใช้วิธีนี้เป็นแนวทางหลัก แต่ใช่ว่าจะไม่เคยมีมาก่อน เพราะ Onetouch เคยออกถุงยางห่อฟอล์ยวงกลมดีไซน์รูปโดนัทสีชมพูหวานมาแล้ว เมื่อปี 2561 และดีไซน์กระป๋องใส่ถุงยางร่วมกับศิลปินดัง The Duang เมื่อปีที่แล้วนี้เอง แต่ทั้งสองรุ่นเป็นแบบ Limited Edition เท่านั้น 

ถุงยาง Onetouch รุ่น Limited Edition เคยดีไซน์ฟอยล์ห่อรูปวงกลมมาแล้ว

การใช้กลยุทธ์แพ็กเกจจิ้งสวยๆ มาสานสัมพันธ์กับผู้บริโภคเป็นไอเดียที่น่าสนใจ แต่ถึงแม้แบรนด์อาจจะมีไอเดียการดีไซน์ที่จะช่วยสร้างสรรค์ตลาดและทำให้ผู้บริโภคกล้าซื้อถุงยางมากขึ้น แต่กฎหมายยังเข้มให้แพ็กเกจจิ้งถุงยางต้องมีความชัดเจนว่าเป็นถุงยางอนามัย เพื่อไม่ให้ผู้ซื้อสับสน ดังนั้นเราคงไม่ได้เห็นการผลิตแพ็กเกจถุงยางน่ารักๆ เหมือนกล่องขนม หรือกล่องสไตล์มินิมอลเรียบๆ เหมือนต่างประเทศในเร็วๆ นี้ 

ต้องติดตามการตลาดของถุงยางอนามัยต่อไปว่าจะเกิดอะไรขึ้น เมื่อโซเชียลมีเดียเปิดกว้างให้เรื่องเพศถูกพูดถึงง่ายขึ้น (แม้จะยังมีกรอบกฎหมายกำหนด) และถุงยางได้ขยับจากเรื่องการป้องกันโรคหรือการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ มาเป็นเรื่องการทำแบรนดิ้งให้ผูกพันกับผู้บริโภคแล้ว 

]]>
1265265