ทวิตภพ – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Sat, 10 Jul 2021 15:05:06 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 เจาะลึก 4 บทสนทนา ชาวทวิตเตอร์คุยอะไรกันบนทวิตภพ? แล้วแบรนด์จะเข้าถึงอย่างไร https://positioningmag.com/1339459 Sat, 10 Jul 2021 07:47:09 +0000 https://positioningmag.com/?p=1339459 ทวิตเตอร์กลายเป็นอีกหนึ่งแพลตฟอร์มที่ทรงพลังมากในตอนนี้ กลายเป็นเครื่องมือในการกระจายข่าว เป็นเครื่องด่า เครื่องบ่นในชีวิตประจำวันของใครหลายๆ คน ในช่วงหนึ่งวัยรุ่นหันมาเล่นทวิตเตอร์กันเยอะ เพราะหนีผู้ปกครองที่เริ่มมาเล่นเฟซบุ๊กมากขึ้น แล้วชาวทวิตเตอร์คนไทยพูดคุยอะไรกันบ้าง… ทวิตเตอร์เผยงานวิจัยพบ 4 วัฒนธรรมการพูดคุยที่ทรงพลังบนทวิตเตอร์ประเทศไทย

เครื่องมืออัปเดตเหตุการณ์

ทวิตเตอร์เป็นพื้นที่ที่ผู้คนเข้ามาพูดคุย และคอนเน็กกัน ทำให้เกิดชุมชนต่างๆ และผู้คนเข้ามามีส่วนร่วมในบทสนทนาอย่างต่อเนื่อง คนไทยเข้ามาบนทวิตเตอร์เพื่ออัปเดตว่ามีอะไรที่กำลังเกิดขึ้น ตลอดจนเข้าร่วมบทสนทนาในหัวข้อที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นวงการบันเทิง กีฬา รายการทีวี ภาพยนตร์ ความงาม หรือสถานการณ์ปัจจุบัน ผู้คนจะเข้ามาค้นหา และแชร์เรื่องราวที่เป็นข้อมูลอัปเดตล่าสุดของหัวข้อเรื่องนั้นๆ ตลอดจนเรื่องราวอีกมากมายที่เกิดขึ้นบนทวิตเตอร์

บทสนทนา ถือเป็นหัวใจของทวิตเตอร์ จะเห็นได้ว่า เพียงทวีตเดียว ก็สามารถสร้างอิมแพ็คไปในวงกว้างได้ ทวิตเตอร์จึงได้ทำการวิจัยเพื่อศึกษาลงลึกในกว่า 64,000 ทวีตบนทวิตเตอร์ประเทศไทย เพื่อค้นหาพลังของทวีต และชาวทวิตภพว่ามีวิธีกำหนดวัฒนธรรมเอกลักษณ์ของตัวเองอย่างไรผ่านชุมชน และบทสนทนา

การวิจัยนี้พบวัฒนธรรมการพูดคุยบนทวิตเตอร์ประเทศไทย 4 รูปแบบ ซึ่งประกอบด้วยหัวข้อบทสนทนาที่มีความชัดเจนถึง 11 หัวข้อ แสดงให้เห็นว่า การแสดงออกของชาวทวิตภพนั้นสะท้อนถึงวัฒนธรรมไทย ในขณะเดียวกันก็สะท้อนความชอบ และความสนใจต่างๆ ในบทสนทนาอย่างหลากหลายและกระจายในวงกว้างมากซึ่งนับเป็นเอกลักษณ์ของผู้คนบนทวิตเตอร์ในประเทศไทย โดยวัฒนธรรมการพูดคุยใน 4 หัวข้อนั้นได้แก่

1. บันทึกส่วนตัว

หัวข้อการพูดคุย : การพูดคุยในชีวิตประจำวัน, ความรักและความสัมพันธ์ และการสะท้อนมุมมองความคิด

ธีมวัฒนธรรมการพูดคุยนี้นับได้ว่ามีพื้นที่บนทวิตเตอร์มากที่สุดโดยมีสัดส่วนถึง 45% ของปริมาณบทสนทนาทั้งหมดบนทวิตเตอร์ประเทศไทย และเป็นหัวข้อที่ผู้คนเข้ามาร่วมพูดคุยในชีวิตประจำวัน โดยมีการแชร์เรื่องราวเกี่ยวกับกิจวัตรการเดินทาง และสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของตัวเอง นอกจากนี้ทวิตเตอร์ยังเป็นพื้นที่ปลอดภัยในการที่ผู้คนบอกเล่าเรื่องจริงจากใจและทวีตเรื่องราวเกี่ยวกับความรักและความสัมพันธ์ ทั้งในเรื่องของข้อบกพร่องของตัวเอง ความปรารถนาต่างๆ และการมีช่วงเวลาที่ดีกับคนสำคัญของพวกเขา

ชาวทวิตภพมักจะแชร์ปัญหาที่พบเจอในแต่ละวัน ซึ่งเป็นการสะท้อนมุมมองความคิดต่างๆ ซึ่งเรื่องราวที่เอามาแชร์อาจจะเป็นแค่เรื่องของการปวดเมื่อยร่างกายเล็กๆ น้อยๆ เช่น อาการปวดหัวหรืออาการเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า จนถึง การชอบแสดงความคิดเห็นในเรื่องของสภาพอากาศ โดยเฉพาะอากาศที่ร้อนจนแทบทนไม่ไหวและอยากให้ฤดูฝนมาถึงไวๆ

2. เชื่อมต่อกับคนคอเดียวกัน

หัวข้อการพูดคุย : เหตุการณ์ปัจจุบัน, แพสชั่น และตลาดนัดออนไลน์

ทวิตเตอร์ได้กลายเป็นส่วนที่มีความสำคัญต่อชีวิตของคนไทย จากงานวิจัยพบว่า การเชื่อมต่อกับคนคอเดียวกันมีสัดส่วนอยู่ที่ 35% ของปริมาณบทสนทนาทั้งหมดบนทวิตเตอร์ประเทศไทย คนไทยได้ใช้ทวิตเตอร์อย่างกระตือรือร้นเพื่อให้มีการเชื่อมต่อกับชุมชนของเขาอยู่ตลอดเวลา รวมถึงเพื่อเป็นการอัปเดตในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น โดยคนไทยมักจะทวีตเกี่ยวกับหลากหลายเหตุการณ์ปัจจุบันอย่างสม่ำเสมอตั้งแต่เรื่อง COVID-19 สกุลเงินคริปโต ไปจนถึงการเมืองในประเทศและในแถบภูมิภาคนี้

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดนตรี กีฬา อาหาร หรือการช้อปปิ้ง ชาวทวิตภพมักจะแชร์แพสชั่นที่มีต่อหัวข้อเรื่องดังกล่าวบนทวิตเตอร์ ตั้งแต่เรื่องของความงาม อาหาร ร้านอาหาร และเทรนด์แฟชั่นล่าสุด คนไทยมีความกระตือรือร้นที่จะรีวิวสินค้าที่พวกเขาซื้อมาหรือสถานที่ที่ได้ไปมา สำหรับผู้ประกอบการธุรกิจ ทวิตเตอร์คือสถานที่ในการขายสินค้าได้เป็นอย่างดี อาทิ อาหารพวกโฮมคุกกิ้ง ขนมหวาน เสื้อผ้า สินค้าจากบรรดาแฟนด้อมและงานฝีมือ คนไทยสามารถทำให้ทวิตเตอร์กลายเป็นตลาดนัดออนไลน์ ที่พวกเขาสามารถทำได้ทั้งนำเสนอสินค้าและแสดงความคิดสร้างสรรค์บนทวิตเตอร์

3. สิ่งสวยงามที่ดีต่อใจ 

หัวข้อการพูดคุย : แกลลอรี่ศิลปะ, คนดังและแฟนด้อม, และความหวังและความฝัน

บทสนทนารูปแบบนี้มีสัดส่วน 16% ของปริมาณบทสนทนาทั้งหมดบนทวิตเตอร์ประเทศไทย ชาวทวิตภพจะทวีตข้อความเกี่ยวกับความสนใจที่มีร่วมกัน ซึ่งสามารถสร้างความประหลาดใจให้กับผู้ใช้งานคนอื่นๆ ด้วยการทำ แกลลอรี่ศิลปะ เหมือนเวลาที่ทำอัลบั้มรูปภาพหรือการทำหนังสือ scrapbook เพราะคนที่ใช้ทวิตเตอร์ชอบแชร์ถานที่สวยๆ หรือสิ่งของที่สวยงามในชีวิตประจำวัน เช่น ภาพคาเฟ่ บ้านสวยๆ วิวธรรมชาติ ชายหาดสวยๆ และอื่นๆ

คนดังและแฟนด้อม ก็เป็นอีกหนึ่งหัวข้อของบทสนทนายอดนิยม ซึ่งเป็นการสนทนาที่สนุกสนานและมีสีสันเป็นอย่างมาก การทวีตถึงศิลปิน K-Pop โดยเฉพาะศิลปินชาวไทยอย่างแบบแบม (@BamBam1A) และ #Lisa จากวงแบล็กพิงค์ (@BLACKPINK) จนถึงศิลปินในประเทศอย่างเป๊ก ผลิตโชค (@peckpalit), วง 4EVE (@4eveOfficial) เรียกได้ว่าคนไทยนั้นเป็นแฟนพันธุ์แท้ของเซเลบดาราไทยที่แท้จริง

แม้ว่าสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 จะยังคงอยู่และสร้างความยากลำบากให้กับหลายๆ คน ทวิตเตอร์ยังเห็นว่าคนไทยมีความหวังและความฝัน ซึ่งเห็นได้จากธีมหลักของบทสนทนาที่ผู้ใช้งานจะทวีตถึงความหลังในอดีตถึงทริปที่เคยไปเที่ยวและการเข้าไปมีส่วนร่วมในการเข้าไปเม้นต์ถามคนอื่นๆ ว่าหลังหมดโควิดแล้ววางแผนจะไปเที่ยวที่ไหน

4. การส่งพลังบวกให้ตัวเอง และคนรอบข้าง

หัวข้อการพูดคุย : การเฉลิมฉลอง และพลังบันดาลใจ

การส่งพลังบวกให้ตัวเองและคนรอบข้างคิดเป็นสัดส่วน 4% ของบทสนทนาทั้งหมด โดยใจความของบทสนทนาในธีมนี้มุ่งสร้างแรงจูงใจและแรงบันดาลใจในการแสดงด้านที่ดีที่สุดของตัวเองออกมา ในอีกด้านทวิตเตอร์ก็เปรียบเสมือนเป็นพื้นที่ของการเฉลิมฉลอง ชาวทวิตภพมีความภูมิใจในการแบ่งปันความสุขและเฉลิมฉลองในทุกเหตุการณ์ อาทิ งานฉลองสำเร็จการศึกษา การได้เกรดดีๆ วันเกิด หรือ การฉลองครบรอบ ฯลฯ

คนไทยนั้นต่างมีน้ำใจโอบอ้อมอารีในการทำให้อีกฝ่ายมีความรู้สึกที่ดีขึ้น ในแบบของ พลังบันดาลใจ ทวิตเตอร์จึงเปรียบเสมือนเครือข่ายในการช่วยเหลือสนับสนุนกัน ในช่วงเวลาแห่งความยากลำบาก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นทวีตข้อความทั่วๆ ไปที่เป็นการส่งพลังบวกให้กับทุกคนในชุมชนโดยรวม ไม่ได้เป็นการระบุเจาะจงถึงบุคคลใดแต่เป็นการให้กำลังใจกับคนอื่นๆ ที่ต้องการกำลังใจอาจเลื่อนทวีตผ่านมาเห็น

แบรนด์จะเชื่อมต่ออย่างไร?

ด้วยบทสนทนา 11 หัวข้อที่เป็นตัวกำหนดธีมทางวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ 4 รูปแบบของผู้ใช้งานทวิตเตอร์ในประเทศไทย ทำให้เห็นว่ายังมีพื้นที่ว่างมากมายมหาศาลบนทวิตเตอร์ที่รอให้แบรนด์เข้าไปเชื่อมต่อ และสามารถสร้างความเกี่ยวข้องทางวัฒนธรรมกับกลุ่มเป้าหมายได้ ดังนั้นโอกาสกำลังรออยู่

ซึ่งตอนนี้แบรนด์ต้องมาถึงทางแยกที่ต้องเลือกว่าจะยังคงเดินหน้าต่อไปบนถนนที่ราบเรียบ ทางเดินง่ายๆ กับผลลัพธ์ที่ลดน้อยถอยลง หรือจะเลือกเปลี่ยนแนวทางปฏิบัติด้วยการเข้ามามีส่วนร่วมในบทสนทนากับชาวทวิตภพ ซึ่งแบรนด์ยุคใหม่จะลงทุนในการเรียนรู้ถึงประเภทต่างๆ ของคอมมูนิตี้ชุมชนและบทสนทนาบนทวิตเตอร์และเข้าไปสร้างความเกี่ยวข้องทางวัฒนธรรมกับกลุ่มลูกค้าของแบรนด์ในแบบที่จริงแท้มากยิ่งขึ้น จนสามารถสร้างผลลัพธ์ได้ดีในที่สุด

บนทวิตเตอร์มีผู้คนหลากหลาย มีบทสนทนาในแง่บวกมากมาย และยังประกอบด้วยคอมมูนิตี้ที่มีความสร้างสรรค์หลายกลุ่มที่ทำให้ทวิตเตอร์เป็นสถานที่ที่ปลอดภัยสำหรับแบรนด์ โดยจากข้อมูลยังแสดงให้เห็นว่า มีความสัมพันธ์กันระหว่างการใช้จ่ายของผู้ใช้ทวิตเตอร์กับการรับรู้ถึงความเกี่ยวข้องทางวัฒนธรรมของแบรนด์สูงถึง 88% ในขณะที่ 25% ของผู้บริโภคตัดสินใจซื้อสินค้าจากการพิจารณาถึงแบรนด์ที่เข้ามาเกี่ยวข้องในวัฒนธรรมของพวกเขา

  1. บันทึกส่วนตัว: ควรสร้างแบรนด์แบบค่อยเป็นค่อยไป แต่สม่ำเสมอ และหลีกเลี่ยงการสื่อสารเชิงองค์กรที่มากเกินไป

พื้นที่การสนทนากลุ่มนี้มีพื้นที่ใหญ่ที่สุดบนทวิตเตอร์ แต่มีเพียงไม่กี่แบรนด์ที่เข้ามามีส่วนร่วมกับกลุ่มเป้าหมายนี้ หากแบรนด์ใดก็ตามที่ใช้โอกาสนี้ก็จะได้ประโยชน์เป็นอย่างมาก เนื่องจากบทสนทนามีศูนย์กลางเป็นเรื่องราวกิจวัตรและสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของแต่ละคน ดังนั้นการขายแบบฮาร์ดเซลส์ที่จงใจขายแบรนด์และผลิตภัณฑ์แบบโจ่งแจ้งชัดเจน จะไม่ค่อยได้ผลเท่าที่ควร แบรนด์ควรจะมองหาวิธีในการสร้างแบรนด์แบบค่อยเป็นค่อยไป สร้างเสียงที่เป็นลักษณะเฉพาะของแบรนด์ขึ้นมาและเอ็นเกจกับผู้บริโภค เพื่อเป็นการสร้างความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นในระยะยาว

2. การเชื่อมต่อกับคนคอเดียวกัน: ความเร็ว และเนื้อหาที่สั้น กระชับ เข้าใจง่าย คือหัวใจสำคัญในการเชื่อมต่อ

สำหรับธีมของการสนทนานี้เป็นพื้นที่ที่ผู้คนกำลังมองหาข่าวสารที่ย่อยง่ายและข้อมูลที่อัปเดตเกี่ยวกับเหตุการณ์ล่าสุด แบรนด์ที่อยากเข้ามาสื่อสารกับพื้นที่ในส่วนนี้ควรจะสื่อสารด้วยเนื้อหาที่อัปเดต ทวีตเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ หรือการขายผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ถึงจะสามารถส่งเสียงสะท้อนไปถึงกลุ่มคนได้ดี เอ็นเกจเมนต์ของพื้นที่ในธีมนี้ค่อนข้างน้อย ดังนั้นสิ่งที่มีความสำคัญแบรนด์ควรจะต้องพิจารณาคือต้องมีการสื่อสารที่ชัดเจน กระชับ ตรงกลุ่มเป้าหมาย และสามารถดำเนินการได้ในทันที

3. การส่งพลังบวกให้ตัวเองและคนรอบข้าง: กุญแจหลักที่ต้องมี คือ เนื้อหาเชิงบวก ผ่อนคลาย และให้กำลังใจ

พื้นที่การสนทนาในกลุ่มนี้ต้องภาพประกอบสวยงามซึ่งชาวทวิตภพมีแนวโน้มที่จะแชร์รูปภาพที่มีเนื้อหาตรงใจพวกเขามากที่สุด การจัดวางองค์ประกอบภาพที่มีข้อความประกอบเพียงเล็กน้อยจะสามารถดึงดูดความสนใจได้ เพราะสิ่งที่ผู้คนต้องการซื้อคือความความรู้สึก ไม่ใช่สิ่งของ เช่น ความรู้สึกที่พวกเขาได้รับจากการซื้อสินค้าแฟชั่นที่เป็นเทรนด์ใหม่ล่าสุดมาใช้ เช่น ลิปสติกรุ่นใหม่ล่าสุดหรือน้ำหอมกลิ่นใหม่ล่าสุด แบรนด์ควรจะสร้างมู้ดแอนด์โทนที่สนุกสนานและกระตุ้นอารมณ์เชิงบวกด้วยการใช้ภาพที่สร้างสรรค์ซึ่งจะช่วยกระชับความสัมพันธ์กับกลุ่มเป้าหมายให้แน่นแฟ้นและช่วยเสริมแกร่งแบรนด์ให้มีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มลูกค้าอยู่ตลอด

4. การส่งพลังบวกให้ตัวเองและคนรอบข้าง: อาวุธหลักในการดึงความสนใจ คือ รูปที่สวยงาม และสะดุดตา

ธีมการสนทนากลุ่มนี้จัดได้ว่ามีความสำคัญมากเช่นกัน เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีแง่มุมในการสร้างความรู้สึกดีๆบนทวิตเตอร์ สำหรับแบรนด์ที่อยากสร้างความเกี่ยวข้องกับกลุ่มเป้าหมายบนบทสนทนาพื้นที่นี้ ควรจะแชร์ข้อความที่มีเนื้อหาสบายๆ สอดแทรกอารมณ์ขัน และสร้างความรู้สึกดีๆ ส่วนคอนเทนต์ที่ต้องการแอคชั่นควรจะสร้างความพึงพอใจให้เกิดขึ้นได้ในทันทีและกระตุ้นให้เกิดการซื้อ เช่น ทวีตเกี่ยวกับการขายสินค้าที่มีความโดดเด่นสะดุดตา การร่วมแข่งขัน หรือโปรโมชันต่างๆ

]]>
1339459
เปิดศึกโฆษณาการเมือง Twitter-Facebook หลังทวิตภาพประกาศแบนโฆษณา https://positioningmag.com/1252027 Sat, 02 Nov 2019 18:59:55 +0000 https://positioningmag.com/?p=1252027 กลายเป็นศึก 2 คน 2 คมไปแล้วสำหรับ Jack Dorsey ประธานบริหารของ Twitter ที่ประกาศเมื่อว่าจะไม่มีการซื้อขายโฆษณาทางการเมืองในระบบ Twitter อีกต่อไป กำหนดดีเดย์คือตั้งแต่พฤศจิกายน 2019 เป็นต้นไป

แม้ว่าจะไม่มีการเอ่ยชื่อ Mark Zuckerberg เจ้าพ่อ Facebook แต่ก็ชัดเจนว่าความเคลื่อนไหวนี้กระทบกับจุดยืนการรับเงินซื้อโฆษณาทางการเมืองที่พบว่ามีการแสดงข้อมูลเท็จบน Facebook อย่างจัง ทำให้สื่อทั่วโลกจับตาเป็นพิเศษเพราะ CEO Twitter นั้นออกหมัดตรงถึง Facebook มากขึ้นเรื่อย แม้ว่าทั้งคู่จะตกที่นั่งคล้ายกัน เรื่องถูกตรวจสอบเนื้อหาบนแพลตฟอร์ม

Twitter ไม่ใช่คนแรกที่เลือกเดินทางนี้ ยังมี TikTok ที่ประกาศไปก่อนหน้านี้แล้วว่าจะห้ามโฆษณาทางการเมืองบนแพลตฟอร์ม

สื่อมอง Twitter กำลังกระทุ้ง Facebook

การประกาศงดซื้อขายโฆษณาทางการเมืองบนแพลตฟอร์ม Twitter อาจถูกมองว่าเป็นการตัดสินใจเพื่อรับช่วงเวลาเตรียมการเลือกตั้งปี 2020 ที่จะมีขึ้นวันที่ 22 พฤศจิกายนปีหน้า บนเหตุผลที่ Twitter มองว่าการจ่ายเงินเพื่อเพิ่มตัวเลข reach ของเนื้อหาที่เป็นสุนทรพจน์ทางการเมืองนั้นมีแง่มุมและแนวทางหลากหลายซึ่งโครงสร้างระบบประชาธิปไตยปัจจุบันอาจยังรับมือไม่ได้

คำพูดนี้ทำให้สื่อเชื่อว่า Jack Dorsey กำลังกระทุ้ง Mark Zuckerberg เพราะการประกาศจุดยืนใหม่ของ Twitter นั้นเกิดขึ้นเพียงไม่กี่นาทีก่อนที่จะมีการประกาศผลประกอบการ Facebook ซึ่งตัว Facebook ยังไม่มีวี่แววเมินโฆษณาทางการเมือง เนื่องจากต้องการยืนฝั่งสนับสนุนเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นหรือ freedom of speech

Facebook ยืนยันช่วงก่อนหน้านี้ว่าจะไม่ปิดกั้นโฆษณาทางการเมือง แม้ว่าโฆษณานั้นจะแสดงข้อมูลเท็จ โดยให้เหตุผลว่าหาก Facebook ปิดกั้น ก็จะเข้าข่ายละเมิดภารกิจของบริษัทในการส่งเสริมความเสรีในการแสดงความคิดเห็น ซึ่งไม่กี่สัปดาห์หลังจากที่ Facebook ประกาศแบบนี้ Twitter ก็ประกาศคนละทางว่าไม่อนุญาตให้มีโฆษณาทางการเมืองอีกต่อไป ซึ่งรวมถึงโฆษณาแคมเปญจากผู้สมัครทางการเมืองและโฆษณาในหัวข้ออ่อนไหวอื่นด้วย เช่น ภาวะโลกร้อนหรือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก และการทำแท้ง

ความเห็นของ Dorsey ที่ไม่ลงรอยกับ Zuckerberg ถูกสื่ออเมริกันจับตามองใกล้ชิด โดยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา Dorsey ใช้คำว่า “Hell no” หรือไม่มีทางเลยเมื่อถูกถามว่า Twitter จะเข้าร่วมโครงการเงินดิจิทัล Libra Currency ของ Facebook หรือไม่? ไม่ว่าอย่างไร จุดยืนชัดเจนของ Twitter จะถูกประกาศอีกครั้งในวันที่ 15 พฤศจิกายนนี้ ซึ่งจะเริ่มบังคับใช้นโยบายใหม่ใน 7 วันถัดมา เพื่อแจ้งให้ผู้โฆษณาปัจจุบันทราบรายละเอียดก่อนที่การเปลี่ยนแปลงจะมีผลบังคับใช้

หน้าที่ใคร?

ในมุมของ Zuckerberg เจ้าพ่อ Facebook ยืนยันว่ามีเหตุผลสำคัญที่ทำให้ตัดสินใจคนละทางกับ Twitter โดยบอกว่าที่ต้องอนุญาตให้โฆษณาทางการเมืองที่มีข้อมูลเท็จแสดงผลบน Facebook เพราะไม่คิดว่าเป็นเรื่องเหมาะสมสำหรับบริษัทเอกชนที่จะเซ็นเซอร์นักการเมืองและข่าวสาร

แต่ประเด็นนี้ Twitter มองว่าปัญหานี้แก้ไขได้ด้วยการทำให้โฆษณาทางการเมืองไม่สามารถให้บริการได้จนกว่าจะมีทางออกที่ดีกว่าเพื่อให้ทุกอย่างอยู่ในความดูแลอยู่เสมอ โดยที่ชาวออนไลน์จะยังสามารถโพสต์สิ่งที่ต้องการบน Twitter ได้ต่อไป แต่พวกเขาไม่สามารถจ่ายเงินให้ Twitter เพื่อกำหนดกลุ่มเป้าหมายและขยายข้อความทางการเมืองที่อาจทำให้เข้าใจผิดได้

CEO ของ Twitter ยอมรับว่าปัญหานี้จะส่งผลต่อการสื่อสารบนอินเทอร์เน็ตทั้งหมดไม่ใช่แค่โฆษณาทางการเมือง โดย Dorsey ทวีตว่าทางที่ดีที่สุดที่ Twitter จะทำได้คือการมุ่งเน้นที่รากฐานของปัญหา โดยไม่ต้องรับภาระและความซับซ้อนในการรับเงินค่าโฆษณา ซึ่งความพยายามแก้ไขปัญหาทั้ง 2 ทางจะช่วยแก้ไขภาพเสียและบ่อนทำลายความน่าเชื่อถือของ Twitter ได้ด้วย

โฆษณาทางการเมืองนั้นได้รับการยืนยันว่ามีสัดส่วนน้อยมาก ทำให้ผลกระทบทางธุรกิจโดยรวมของโฆษณากลุ่มนี้อยู่ในระดับน้อยทั้ง Facebook และ Twitter โดยประธานฝ่ายการเงิน Twitter ทวีตว่าการโฆษณาทางการเมืองสร้างรายได้เพียง 3 ล้านเหรียญสหรัฐในช่วงการเลือกตั้งกลางปี 2018

แม้จะถูกเหน็บแนมขนาดไหน Zuckerberg ยังคงยึดมั่นในแนวทางเดิมว่าไม่ใช่หน้าที่ของ Facebook ในการคุมกำเนิดโฆษณาทางการเมือง โดยมองว่าการประกาศของ Dorsey เป็นภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่สำหรับผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม แต่ในที่สุดแล้ว Facebook จะยังติดตามผลดีผลเสียอย่างต่อเนื่องว่าจะอนุญาตให้มีการลงโฆษณาทางการเมืองหรือไม่ในอนาคต.

]]>
1252027