ธุรกิจค้าปลีก – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Mon, 18 Mar 2024 13:37:22 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 สยามพิวรรธน์ย้ำ #1 ผู้พัฒนา Global destination ที่หนึ่งในใจนักท่องเที่ยวทั่วโลก เดินหน้าขยาย Global Ecosystem ดึงดูดนักท่องเที่ยวคุณภาพ ร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ https://positioningmag.com/1466638 Mon, 18 Mar 2024 09:50:36 +0000 https://positioningmag.com/?p=1466638

สยามพิวรรธน์ ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจค้าปลีก เจ้าของและผู้บริหารโครงการที่มีชื่อเสียงระดับโลก ตอกย้ำผู้นำในการพัฒนาโครงการที่เป็นจุดหมายปลายทางที่เป็นแม่เหล็กดึงดูด              นักเดินทางจากทั่วโลก เดินหน้าขยายโกลบอล อีโคซิสเต็ม ผนึกกำลังตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำมุ่งเน้นตลาด quality tourist  ล่าสุดเจรจากับ 16 พันธมิตรสายการบินชั้นนำของโลกร่วมส่งมอบสุดยอดประสบการณ์เหนือระดับ

นาง มยุรี ชัยพรหมประสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ สายองค์กรสัมพันธ์และสื่อสารองค์กร บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด กล่าวว่า “สยามพิวรรธน์ คือผู้พัฒนาศูนย์การค้าที่เป็นจุดหมายปลายทางระดับโลกอันดับหนึ่งของไทย  วันนี้เราเดินหน้าผนึกกำลังพันธมิตรทั้งในประเทศและต่างประเทศเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้ครองความเป็นที่หนึ่งในใจของผู้คน และส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นหมุดหมายของนักเดินทางจากทั่วโลก  การเฟ้นหาพันธมิตรเพื่อมาร่วมส่งมอบประสบการณ์สุดพิเศษให้แก่ลูกค้า ตั้งแต่ Pre Trip, During Trip  และ Post Trip โดยมุ่งเน้นการเพิ่มฐานนักท่องเที่ยวซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง ช่วยยกระดับคุณภาพการท่องเที่ยวซึ่งมีบทบาทสําคัญต่อภาคเศรษฐกิจไทย

นางสาว อมรรัตน์ คงสวัสดิ์, Vice President – Marketing, Bangkok Airways กล่าวว่า “บางกอกแอร์เวย์สให้ความสำคัญการผนึกกำลังกับพันธมิตรที่แข็งแกร่งอย่าง สยามพิวรรธน์ เพื่อต่อยอดธุรกิจและนำเสนอสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า  ผู้โดยสารของสายการบิน Bangkok Airways จะได้รับสิทธิพิเศษที่ศูนย์การค้าในเครือของสยามพิวรรธน์ ”

Ms. Keri Lui, Country Manager Thailand and Myanmar, Cathay Pacific กล่าวว่า “การผนึกกำลังกับสยามพิวรรธน์ทำให้สามารถยกระดับประสบการณ์ลูกค้าในแบบพรีเมียม เรามอบสิทธิพิเศษสำหรับผู้โดยสาร และ สมาชิก รวมทั้ง สามารถแลก ONESIAM Coins เป็น Asia Miles และ Asia Miles เป็น ONESIAM Coins ได้อีกด้วย”

Mr. Mohammed Alwahedi, Emirates Airline Manager for Thailand กล่าวว่า “สายการบินเอมิเรตส์มุ่งมั่นที่จะนำเสนอความสะดวกสบายในการเดินทางและไลฟ์สไตล์ที่น่าประทับใจให้กับลูกค้า ผ่านความร่วมมือกับศูนย์การค้าที่เป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวเพื่อมอบประสบการณ์ที่พิเศษสุด”

สายการบินพันธมิตรมอบสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้า ONESIAM ดังนี้

Air Canada นำเสนอสิทธิพิเศษสำหรับสมาชิก ONESIAM ได้รับส่วนลด 5% เมื่อซื้อบัตรโดยสารทุกประเภท สำหรับลูกค้าคนไทย และลูกค้าต่างชาติ จะได้รับ Welcome gift

China Eastern Airlines, China Southern Airlines และ STARLUX Airlines มอบสิทธิพิเศษให้กับผู้โดยสาร เมื่อแสดง boarding pass รับ welcome gift และ welcome drink และรับ Siam Gift Card เมื่อมียอดใช้จ่ายครบตามกำหนด

Qantas มอบสิทธิพิเศษให้สมาชิก ONESIAM เมื่อใช้บริการสายการบิน รับส่วนลดสูงสุด 6% พร้อมรับน้ำหนักสัมภาระเพิ่มอีก 10 กิโลกรัม

กลยุทธ์จุดหมายปลายทางอันดับ 1 ของนักท่องเที่ยวถูกขับเคลื่อนภายใต้ ONESIAM Experience ซึ่งผนึกความแข็งแกร่งของโกลบอลเดสติเนชั่นใจกลางกรุงเทพฯ คือ สยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ สยามดิสคัฟเวอรี่ ไอคอนสยาม ไอซีเอส สยาม พรีเมี่ยม เอาท์เล็ต กรุงเทพ และ ONESIAM SuperApp มีดังนี้    

 

1. ขยายกลุ่มพันธมิตรในทุกอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเพื่อเพิ่มฐานนักท่องเที่ยวต่างชาติทุกกลุ่ม
(Expand Reach)

    • จับมือร่วมกับพันธมิตรกลุ่มนักท่องเที่ยวอิสระ(FIT) มุ่งตอบโจทย์การเดินทางของนักท่องเที่ยวแบบครบวงจร ตั้งแต่เริ่มออกเดินทางจนมาถึงประเทศไทย เพิ่มความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้นจากการร่วมมือกับกลุ่มสายการบินชั้นนำระดับโลก 16 สายการบิน ได้แก่ Air Asia, Air Canada , Air Charter Service (Thailand) , Bangkok Airways, Cathay Pacific, China Eastern Airlines , China Southern Airlines, Emirates , EVA Air, Japan Airlines, Qantas , Qatar Airways, Singapore Airlines, STARLUX Airlines, Thai Airways , VietJet Air เพื่อหารือแนวทางความร่วมมือขยายสิทธิประโยชน์เพิ่มขึ้นให้แก่นักท่องเที่ยว กลุ่ม Online Travel Agent (OTA)  และ กลุ่มผู้ประกอบการด้านโทรคมนาคม รวมทั้ง TagThai แพลตฟอร์มบริการด้านการท่องเที่ยวที่เชื่อมโยงการท่องเที่ยวในทุกมิติ
    • ร่วมกับพันธมิตรที่มีกลุ่มลูกค้ากำลังซื้อสูง (HNWI) โดยการมอบสิทธิพิเศษเหนือระดับให้กับลูกค้า อาทิ โรงแรมต่างๆ , Private Jet และ Helicopter, Thailand Privilege Card และ Thailand Long Stay
    • จับมือร่วมกับพันธมิตรผู้ประกอบการเชิงธุรกิจ (MICE) มุ่งเน้นไปยังกลุ่มเป้าหมายที่มีวัตถุประสงค์เดินทางเข้ามาในเชิงด้านธุรกิจเกี่ยวกับการจัดการประชุมและงานแสดงสินค้าต่างๆ ที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น และยังได้มีการมอบสิทธิพิเศษเหนือระดับให้แก่ลูกค้าผ่านทางพันธมิตรที่วางแผนการเดินทางให้แก่นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้อย่างใกล้ชิด (Destination Management Company for MICE)
    • ผนึกกำลังกับกลุ่มผู้ประกอบการท่องเที่ยวแบบดั้งเดิม (Travel Agents) ร่วมกับผู้ประกอบการด้านสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญที่ตั้งอยู่ในศูนย์การค้า  พร้อมนำเสนอการบริการให้กับนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะแบบกลุ่ม จะได้รับสิทธิพิเศษต่างๆ มากมาย ผ่านทาง Tourist Card ที่มอบให้กับพันธมิตร Travel Agents มากกว่า 100 บริษัทที่เป็นที่รู้จักดีในกลุ่มนักท่องเที่ยวทั่วโลก

2. ขยายกลุ่มพันธมิตรเพื่อเพิ่มสิทธิประโยชน์เหนือระดับให้กับลูกค้าทั้งภายในและภายนอกศูนย์การค้าในเครือ (Elevate Experience)

2.1 สิทธิประโยชน์ภายในศูนย์ฯ รับสิทธิประโยชน์ผ่าน tourist card ที่มีร้านค้าร่วมรายการกว่า 500 แห่ง รวมถึงโปรโมชั่น365 วัน และมอบสิทธิพิเศษร่วมกับพันธมิตรทางการเงิน รวมทั้งสิทธิพิเศษสำหรับการเดินทางท่องเที่ยวในกรุงเทพ ได้แก่ บริการ Shuttle Bus รับส่งจากสยามพารากอนไปยัง สยาม พรีเมี่ยม เอาท์เล็ต กรุงเทพ และรถนำเที่ยว City Sightseeing Hop-On Hop-Off บริการรับ-ส่งไปยังสถานที่ท่องเที่ยวชั้นนำ

2.2 สิทธิประโยชน์ภายนอกศูนย์ฯ โดยการจับมือกับศูนย์การค้าระดับโลก อีก 8 แห่งใน 8 ประเทศ  และมอบสิทธิพิเศษให้สมาชิกของศูนย์การค้าพันธมิตร (Global Privileges) ได้แก่ Hong Kong Time Square (ประเทศฮ่องกง), ION Orchard (สิงคโปร์), Pavilion Kuala Lumpur (มาเลเซีย), Parco (ญี่ปุ่น), Plaza Indonesia (อินโดนีเซีย) Taipei 101 (ไต้หวัน) ผ่านทาง ONESIAM SuperApp และโรงพยาบาลชั้นนำเพื่อมอบประสบการณ์พิเศษให้กับลูกค้าต่างชาติ รวมทั้ง การสร้างความแข็งแกร่งให้กับบัตรสมาชิก Tourist Card ที่สามารถนำไปใช้รับสิทธิพิเศษและส่วนลดต่างๆ จากร้านค้าพันธมิตรนอกศูนย์การค้าในเครือได้ อาทิ ส่วนลด 10% ค่าเข้าชมสนามมวยราชดำเนิน (Rajdamnern Stadium), ส่วนลด 10% ค่าบริการที่ร้านค้าและโรงแรมชั้นนำ, ส่วนลดพิเศษ สำหรับส่งพัสดุไปต่างประเทศ เป็นต้น

ล่าสุดสยามพิวรรธน์ได้ลงนามความร่วมมือ กับ ฮุนไดดีพาร์ทเม้นท์สโตร์ เกาหลีใต้ มอบเอกสิทธิ์เหนือระดับระหว่างสมาชิก ONESIAM และสมาชิก Hyundai พร้อมยกระดับประสบการณ์สุดพิเศษให้กับนักช้อปจากทั่วทุกมุมโลก

นอกจากนี้ สยามพิวรรธน์ได้พัฒนา Tourist Webapp  ที่นักท่องเที่ยวสามารถมาลงทะเบียนรับ Tourist card ทำให้ได้รับความสะดวกมากขึ้น และสามารถเพลิดเพลินไปกับสิทธิประโยชน์ต่างๆ ได้  สำหรับนักท่องเที่ยวที่มาประจำสามารถเข้าร่วมเป็นสมาชิก ONESIAM Member และได้เพลิดเพลินไปกับสิทธิประโยชน์เต็มรูปแบบ  ทุกการจับจ่ายในร้านที่ร่วมรายการ รวมถึงร้าน international luxury fashion ทุกร้านในศูนย์การค้า ลูกค้าจะได้รับ ONESIAM Coins ทันทีซึ่งสามารถใช้ในการซื้อสินค้าครั้งต่อไป

3. ขยายกลุ่มพันธมิตรเพื่อเข้ามาเสริมประสบการณ์ล้ำค่าที่น่าจดจำและอยู่ในกระแสความสนใจให้กับนักท่องเที่ยวได้อย่างไม่รู้จบ (Excite Market)

โดยการจับมือร่วมกับพันธมิตรต่างๆ ผ่านการจัดงานไอคอนิคอีเว้นท์ที่เป็นไฮไลท์สำคัญของประเทศและระดับโลก อาทิ เทศกาลตรุษจีน, สงกรานต์ งานแฟชั่นวีค และงานเคาท์ดาวน์ เป็นต้น รวมทั้ง ร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลกในการสร้างสรรค์งานและกิจกรรมพิเศษที่จัดขึ้นที่ศูนย์ฯ ได้แก่ ร่วมจัด Pride Month, The Celebration Right to Love พร้อมมอบสิทธิพิเศษที่สนับสนุนความเท่าเทียมให้กับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่มาร่วมงาน เพื่อสร้างความประทับใจที่เหนือความคาดหมายของผู้มาเยือน สำหรับนักท่องเที่ยวที่ให้ความใส่ใจเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม สามารถเข้าร่วม Workshop) และกิจกรรมหลายรูปแบบได้ที่ ECOTOPIA เมืองแห่งคนรักษ์โลกที่ให้ความสำคัญกับการออกแบบผลิตภัณฑ์เชิงอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

สยามพิวรรธน์ พร้อมเป็นองค์กรที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ปักหมุดประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวอันดับต้นที่ต้องมาเยือน สร้างความประทับใจและอยู่ในความทรงจำของคนไทยและนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกอย่างไม่รู้ลืม

]]>
1466638
สยามพิวรรธน์เดินเกมรุก ครองแชมป์ Global Destination อันดับหนึ่งของไทย ขานรับนโยบายรัฐบาล ทุ่ม 1,000 ล้านบาท ดันนักท่องเที่ยว ทะลุเกินเป้าใน Q4 https://positioningmag.com/1444112 Thu, 14 Sep 2023 04:00:46 +0000 https://positioningmag.com/?p=1444112

บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจค้าปลีกชั้นนำ เจ้าของและผู้บริหารโครงการที่มีชื่อเสียงระดับโลก อาทิ สยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ สยามดิสคัฟเวอรี่ หนึ่งในพันธมิตรเจ้าของไอคอนสยาม และสยาม พรีเมี่ยม เอาท์เล็ต กรุงเทพ ประกาศยุทธศาสตร์ ขับเคลื่อนธุรกิจขานรับนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวของรัฐบาล ผ่าน 4 Strategic Pillars ย้ำจุดแข็งในการเป็นผู้สร้าง Global Destinations อันดับหนึ่งของประเทศไทย ดังนี้ 1) ผู้นำการสร้างประสบการณ์ shopping ยิ่งใหญ่เหนือความคาดหมาย เสริมแกร่งตลาด Luxury retail ที่มีความครบครันที่สุดแห่งหนึ่งของโลก 2) ผู้นำการจัด World Class Event และการประชุมนานาชาติ 3) ผู้นำในการยกระดับผลงานศิลปะไทย สนับสนุนกรุงเทพฯ ให้เป็นศูนย์กลางศิลปะระดับโลก และ 4) ผู้นำในการปั้น Soft power ของไทยด้วยความคิดสร้างสรรค์และต่อยอดสู่เวทีโลก  ทั้งนี้ สยามพิวรรธน์ได้เตรียมทุ่มงบประมาณกว่า 1,000 ล้านบาท อัดฉีดเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นให้แตะ 30 ล้านคน ในไตรมาส 4 ปีนี้

นางชฎาทิพ จูตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท สยามพิวรรธน์ กล่าวว่าสยามพิวรรธน์เป็นผู้นำในการพัฒนาจุดหมายปลายทางระดับโลก (Global Destinations) ที่เป็นแม่เหล็กดึงดูดให้ประเทศไทยเป็นหมุดหมายที่ครองความเป็นที่หนึ่งในใจผู้คนทั่วโลกมาอย่างยาวนานประสบความสำเร็จและได้รับการยอมรับในวงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับโลกด้วยรางวัลชนะเลิศหลากหลายเวที อีกทั้งยังเป็นผู้ครองฐานลูกค้ากำลังซื้อสูงมากที่สุดในประเทศไทยตลอดมา ทั้งนี้ ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2566 นี้ จำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้ามาศูนย์การค้าของสยามพิวรรธน์มีถึง 14 ล้านคน เพิ่มขึ้น 46% จากปี 2565 โดยมียอดการใช้จ่ายโดยเฉลี่ยที่ 8,500 บาท/คน/วัน เมื่อรัฐบาลมีนโยบายที่จะอำนวยความสะดวกและดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้ามาสู่ประเทศไทยอย่างเต็มที่แล้ว เชื่อมั่นว่าภายในสิ้นปีนี้ประเทศไทยจะมียอดนักท่องเที่ยวถึง 30 ล้านคน และสยามพิวรรธน์จะทุ่มทุนจัดกิจกรรมในไตรมาสสุดท้ายทุกศูนย์การค้าด้วยงบประมาณ 1,000 ล้านบาทเพื่อเป็นแม่เหล็กให้ผู้คนทั่วโลกอยากมาเยี่ยมชม

การขับเคลื่อนธุรกิจของกลุ่มสยามพิวรรธน์เพื่อขานรับนโยบายรัฐบาล ได้กำหนดยุทธศาสตร์ผ่าน 4 Strategic Pillars  ดังนี้

1. ผู้นำการสร้างประสบการณ์ Shopping ยิ่งใหญ่เหนือความคาดหมาย เสริมแกร่งผู้นำในตลาด Luxury retail ด้วยการผนึกกำลังกับ Luxury brand ร้านค้าผู้เช่า และพันธมิตรธุรกิจ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก โดยเตรียมเปิดร้าน Luxury brands ใหม่เพิ่มเติมถึง 20 ร้านค้าในไตรมาส 4 ซึ่งหลายแบรนด์เป็นสาขาแรกในประเทศไทย อีกทั้ง มีคิวจัด Pop-up store และงานอีเวนต์ระดับโลก ร่วมกับแบรนด์ต่างๆ มากกว่า 40 แบรนด์ไปจนถึงสิ้นปี 2567 รวมทั้งบรรดาลักซ์ซูรี่แบรนด์ทุกค่าย เตรียมขยายพื้นที่กว่าเท่าตัวให้เป็น Iconic store ที่ใหญ่ที่สุดในสยามพารากอนและไอคอนสยามในปีหน้าอีกด้วย

2.ผู้นำการจัด World Class Event และการประชุมนานาชาติ โดยทำงานร่วมกับองค์กรภาครัฐ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (สสปน.) และภาคเอกชนต่างๆ เพื่อดึงดูดนักธุรกิจและนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ๆ ที่มีกำลังซื้อสูงจากทั่วโลก โดยใช้พื้นที่รอยัลพารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 ศูนย์การค้าสยามพารากอน และทรู ไอคอนฮอลล์ ชั้น 7 ไอคอนสยาม เป็นสถานที่จัดงานอีเวนต์มาตรฐานระดับโลกหรือการประชุมนานาชาติ ซึ่งในปีนี้ได้รองรับงานสำคัญรวมกันกว่า 40 งาน และมีการจองใช้ใน ปี 2567 แล้วมากถึง 70% โดยสยามพิวรรธน์จะร่วมมือกับพันธมิตรใน Global Ecosystem ซึ่งประกอบด้วยพันธมิตรจากหลากหลายธุรกิจทั้งสายการบิน ธุรกิจโรงแรม ท่องเที่ยว ภัตตาคาร เพื่อรองรับการจัดงานหลากหลายรูปแบบ ส่งเสริมธุรกิจ MICE และสนับสนุนประเทศไทยให้เป็นจุดหมายปลายทางการจัดประชุมนานาชาติของ S/E Asia นอกจากนี้ สยามพิวรรธน์ยังอยู่ระหว่างการเจรจากับผู้จัดงานอีเวนต์รายใหญ่ของโลกรายหนึ่งที่จะมาร่วมลงทุนสร้างศูนย์ประชุมและการแสดงเพิ่มเติมอีกด้วย สำหรับในไตรมาส 4 ของปีนี้จะลงทุนจัดกิจกรรมระดับชาติครั้งยิ่งใหญ่ในทุกศูนย์การค้ารวมกันถึง 40 กิจกรรม ด้วยงบประมาณ 1,000 ล้านบาท โดยจะสื่อสารประชาสัมพันธ์ออกสื่อทั่วโลก จึงมั่นใจว่าจะสามารถดึงดูดให้นักท่องเที่ยวต้องการมาชมและสนุกสนานร่วมกัน

3.ผู้นำในการส่งเสริมศิลปะไทย ยกระดับกรุงเทพฯ ให้เป็นศูนย์กลางศิลปะระดับโลก  โดยสยามพิวรรธน์ได้บุกเบิกและเป็นผู้ประกอบการที่สนับสนุนศิลปินไทยมาตลอดเวลากว่า 15 ปี เป็นรายแรกที่นำผลงานของศิลปินไทยมาจัดแสดงเป็น public arts ประจำในศูนย์การค้า และจัดกิจกรรมต่างๆ ส่งเสริมความสามารถของศิลปินไทยตลอดมา เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ สยามพิวรรธน์เตรียมแผนเสนอรัฐบาลที่จะปั้นให้กรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลางของ S/E Asia ที่จะจัดงานศิลปะระดับโลกให้เกิดขึ้นเพื่อดึงดูดบุคคลในวงการศิลปะเข้ามาในประเทศไทย อาทิ งาน Art Basel และ Frieze เป็นต้น ซึ่งจะทำให้บรรดาศิลปินไทยได้มีโอกาสแสดงผลงานร่วมกับศิลปินระดับโลกด้วย โดยจะร่วมทำงานกับภาครัฐในเรื่องนี้อย่างเต็มที่ ยิ่งไปกว่านั้น สยามพิวรรธน์มีนโยบายที่จะเปิดศูนย์ศิลปะริเวอร์มิวเซียม ชั้น 8 ไอคอนสยาม ในปี 2026 ด้วยพื้นที่ 8,000 ตารางเมตร ซึ่งจะเป็นมิวเซียมมาตรฐานโลกแห่งแรกของประเทศไทยที่สามารถรองรับงานศิลปะ master piece ระดับโลกได้ทัดเทียมกับมิวเซียมชั้นนำในประเทศต่างๆ ถือเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่จะดึงดูดบุคคลสำคัญในวงการศิลปะและบรรดา นักสะสมงานศิลปะจากทั่วโลกเข้ามาในประเทศไทย นับว่าเป็นกลุ่มท่องเที่ยวคุณภาพสูงกลุ่มใหม่ที่จะต่อยอดอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดีในระยะยาว

4.ผู้นำในการปั้น Soft power ของไทยด้วยความคิดสร้างสรรค์และต่อยอดสู่เวทีโลก ตลอดระยะเวลากว่า 10 ปี ที่สยามพิวรรธน์ได้พัฒนาแพลตฟอร์มแห่งโอกาสที่นำสุดยอดฝีมือในด้านต่างๆ ของไทย เพื่อนำเสนอ Soft power ของคนไทย ไม่ว่าจะเป็นด้านอาหาร ภาพยนตร์ แฟชั่น ดีไซเนอร์ และอื่นๆ รวมทั้งการพัฒนาแพลตฟอร์มที่เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการ SMEs และพ่อค้าแม่ค้าจาก 77 จังหวัด จำนวนกว่า 6,000 ราย มารวมตัวกันนำเสนออัตลักษณ์ไทยรูปแบบต่างๆ ผ่านเมืองสุขสยาม ซึ่งมีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมไม่ต่ำกว่าวันละ 70,000 คนและเป็นที่กล่าวขวัญถึงอย่างมากใน social media ทั่วโลก นอกจากนี้ การสร้างแบรนด์สินค้าของคนไทยผ่านธุรกิจรีเทลของสยามพิวรรธน์ อันได้แก่ ICONCRAFT, ODS และ ECOTOPIA ก็สามารถขายแฟรนไชส์ไปต่างประเทศ ทั้งนี้ สยามพิวรรธน์​พร้อมที่จะร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงมหาดไทย รวมทั้งพันธมิตรระดับโลก ยกระดับ Soft power ของคนไทยให้เป็นที่ชื่นชมบนเวทีโลกด้วยเช่นกัน

สยามพิวรรธน์พร้อมที่จะผสานพลังทุกภาคส่วน สนับสนุนนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวของรัฐบาล ร่วมผลักดันอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการ ทำให้ประเทศไทยครองแชมป์จุดหมายปลายทางของโลก ซึ่งถือเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ที่จะช่วยกระตุ้นกิจกรรมเศรษฐกิจ สร้างรายได้ และก่อให้เกิดการจ้างงานกับประชาชนจำนวนมาก ส่งผลกระทบครอบคลุมกว้างขวาง ไม่ใช่เฉพาะผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวโดยตรงเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงธุรกิจค้าปลีก อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจ MICE และบริการที่จะได้ประโยชน์จากการมาเยือนของชาวต่างชาติ

“สยามพิวรรธน์จะเดินหน้าอย่างเต็มกำลัง โดยเตรียมอัดงบประมาณกว่า 1,000 ล้านบาทเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวในไตรมาส 4 นี้ และเตรียมจัดงบประมาณเพิ่มอีกเท่าตัวในปีหน้า เพื่อเดินเครื่องหนุนการท่องเที่ยวของไทยตามนโยบายของรัฐบาล โดยมั่นใจว่ารัฐบาลชุดนี้จะทำให้การท่องเที่ยวของประเทศไทยเป็นจุดแข็งที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม สร้างปรากฏการณ์ ปักหมุดให้ประเทศเป็นจุดหมายปลายทางแรกที่ต้องมาเยือนสำหรับนักท่องเที่ยวและนักเดินทางจากทั่วโลก” นางชฎาทิพกล่าวปิดท้าย

 

]]>
1444112
สยามพิวรรธน์ กระหึ่มครองความเป็นที่ 1 สร้างปรากฏการณ์ความสำเร็จทะลุเป้าไตรมาสแรกปี 2566 https://positioningmag.com/1429096 Tue, 02 May 2023 10:00:29 +0000 https://positioningmag.com/?p=1429096
  •  รายได้รวมทั้งกลุ่มสยามพิวรรธน์ในไตรมาสแรก 2566 เติบโตสูงกว่าไตรมาสแรก 2565 โดยเพิ่มขึ้น 27%
  •  ส่งมอบประสบการณ์เหนือความคาดหมายด้วย Iconic World Class Event ระดับโลก ดึงดูด Traffic มหาศาลเพิ่มขึ้นกว่า 70% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2565
  •  ย้ำความสำเร็จผู้พัฒนาจุดหมายปลายทางสำคัญระดับโลก (Global Landmark Destination) เป็นที่หนึ่งในใจคนไทยและคนทั่วโลกมาโดยตลอ
  •  คว้ารางวัลที่ 1 จากหลายเวที ตอกย้ำแบรนด์ที่หนึ่งในใจของผู้คน

  • กลุ่มบริษัทสยามพิวรรธน์ ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจค้าปลีกชั้นนำ เจ้าของและผู้บริหาร สยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ สยามดิสคัฟเวอรี่ หนึ่งในพันธมิตรเจ้าของไอคอนสยาม และสยาม พรีเมี่ยม เอาท์เล็ต กรุงเทพฯ ประกาศปรากฏการณ์แห่งความสำเร็จทะลุเป้าในไตรมาสแรกปี 2566 ผลประกอบการของทั้งกลุ่มเติบโตต่อเนื่อง โดยมีรายได้ในไตรมาสแรกของปี 2566 เติบโตสูงกว่าไตรมาสแรกของปี 2565 โดยเพิ่มขึ้นกว่า 27% ย้ำความสำเร็จผู้พัฒนาจุดหมายปลายทางสำคัญระดับโลก (Global Landmark Destination) ปริมาณ Traffic ของทั้ง 4 ศูนย์การค้า เพิ่มขึ้นประมาณ 70% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2565 ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั่วโลก หนุนเศรษฐกิจการท่องเที่ยวไทยสร้างเม็ดเงินมหาศาลเข้าประเทศ พร้อมคว้ารางวัลที่ 1 จากหลายเวทีมาครอบครอง สะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่มีต่อกลุ่มสยามพิวรรธน์และสามารถครองความเป็นที่หนึ่งในใจคนไทยและคนทั่วโลกมาโดยตลอด

    นางสรัลธร อัศเวศน์ ผู้บริหารสายงานบริหารธุรกิจศูนย์การค้า บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด กล่าวว่า“การเริ่มต้นปี 2566 นี้ สยามพิวรรธน์ได้ตอกย้ำและสร้างปรากฏการณ์ความสำเร็จอย่างสูง สามารถสร้างรายได้ในไตรมาสแรก 2566 เติบโตสูงกว่าไตรมาสแรกของปี 2565 เพิ่มขึ้นกว่า 27% ด้วยปัจจัยจากการเติบโตของนักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างชาติอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งกลยุทธ์ของสยามพิวรรธน์มุ่งเน้นเป็นเวทีที่ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการทั้งกลุ่มลักซ์ซูรี่แบรนด์และผู้ประกอบการไทยสามารถนำเสนอสิ่งที่ดีที่สุด ส่งผลให้สินค้ากลุ่มลักซ์ซูรี่แบรนด์ทุกประเภทได้รับการตอบรับอย่างดี ตอกย้ำให้สยามพารากอนและไอคอนสยามเป็น Destination ของ Luxury Brand ที่รวมแบรนด์ชั้นนำทุกประเภททั้งสินค้าแฟชั่น accessories นาฬิกาและเครื่องประดับชั้นสูงได้ครบครันมากที่สุดในประเทศ ย้ำความเป็นผู้นำที่ครองฐานกลุ่มลูกค้ากำลังซื้อสูงมากที่สุดในประเทศไทย”

    “นอกจากนี้สยามพิวรรธน์ยังคงรังสรรค์ประสบการณ์ที่เหนือความคาดหมาย โดยได้รับเกียรติจากแบรนด์ดังระดับโลก สร้างปรากฏการณ์เปิดตัวเวิลด์คลาสอีเวนต์ยิ่งใหญ่เป็นครั้งแรกในเอเชีย ด้วยการเป็นสถานที่ในการจัดงานสำคัญระดับโลกตั้งแต่ต้นปี อาทิ LOUIS VUITTON (หลุยส์ วิตตอง)หลุยส์ จัดแสดงอินสตอลเลชั่น “Dancing Pumpkin” นำเสนอผลงานสร้างสรรค์อันไร้ขีดจำกัด ณ สยามพารากอน และไอคอนสยาม ซึ่งเป็นการจัดงานแสดงพร้อมกับสถานที่สำคัญและเป็นสุดยอดเดสติเนชั่นต่างๆ ทั่วโลก อาทิ โตเกียว ปารีส ลอนดอน เป็นต้น และอีเวนต์เต็มรูปแบบครั้งแรกในเอเชีย งานแสดง “BAO BAO VOICE” โดย BAO BAO ISSEY MIYAKE (อิซเซ่ มิยะเกะ) ณ สยามดิสคัฟเวอรี่ สะท้อนความแข็งแกร่งในฐานะผู้นำตลาดในการมอบประสบการณ์เหนือความคาดหมายแบบลักซ์ซูรี่สำหรับทุกคน (Luxury for all) อีกทั้งแสดงถึงความเชื่อมั่นที่ลักซ์ซูรี่แบรนด์มอบให้กลุ่มสยามพิวรรธน์ พร้อมยกระดับประเทศไทยเป็นหมุดหมายตลาดลักซ์ซูรี่เทียบเท่าระดับโลก อีกทั้งยังได้ Global Collaboration ร่วมกับ พาราเมาท์ คอนซูเมอร์ โปรดักส์ นำแบรนด์ระดับโลก Nickelodeon SpongeBob SquarePants (นิคคาโลเดียน สพันจ์บ็อบ) การ์ตูนสุดฮอตที่เป็นที่รู้จักและมีแฟนคลับทั่วโลก จัดแคมเปญเต็มรูปแบบครั้งแรกในประเทศไทย ณ สยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ และสยามดิสคัฟเวอรี่ ต้อนรับนักช้อปและนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกตลอดช่วงซัมเมอร์นี้”

    ในไตรมาสแรกของปีนี้ ยังเดินหน้าปล่อยเม็กเน็ตใหม่ต่อเนื่อง โดยสยามดิสคัฟเวอรี่ เปิดพื้นที่ True 5G PRO HUB โลกใบใหม่สำหรับคน New Gen พื้นที่แห่งความสร้างสรรค์ การค้นพบ และการพัฒนาตัวเองสู่ทักษะอนาคต ตอบโจทย์ 3 ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ Gamer & E-Sports, Gen Z Lifestyle และ Future Skills อย่างไร้ขีดจำกัด ในขณะเดียวกันสยามดิสคัฟเวอรี่มีสินค้าแบรนด์ดังมาสร้างกระแสทอล์กออฟเดะทาว์นอย่างต่อเนื่อง อาทิ การเปิด pre-order กระเป๋าแบรนด์ดัง CARLYN จากประเทศเกาหลี ที่สร้างสถิติยอดจองหมดภายใน 11 นาที โดยจากความนิยมของลูกค้าที่มีมากมายจากการเปิด pre order ส่งผลให้แบรนด์ตัดสินใจมาเปิด pop up boutique แห่งแรกในประเทศไทยที่สยามดิสคัฟเวอรี่ ด้านสยามเซ็นเตอร์สร้าง engagement กับกลุ่มลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย ร่วมกับ Tiktok จัดแคมเปญ The Fashhh Battle เปิดโอกาสให้คนทุกเพศ ทุกวัย ได้แสดงออกทางความคิด ไอเดียที่แปลกใหม่ และเปิดกว้างให้ทำในสิ่งที่ถนัด ถ่ายทอดลงบนแพลตฟอร์ม TikTok มีผู้ชมและร่วมแคมเปญกว่า 26 ล้านวิว

    นับตั้งแต่เปิดปี สยามพิวรรธน์ยังคว้ารางวัลชนะเลิศจากหลายเวที ล่าสุดเวที 2023 Thailand’s Most Admired Brand & Why We Buy? โดยนิตยสาร BrandAge สยามพารากอนคว้ารางวัลชนะเลิศอันดับ 1 ศูนย์การค้าที่น่าเชื่อถือมากสุดในประเทศไทย และไอคอนสยามคว้ารางวัลอันดับ 3 นอกจากนี้ ในงานประกาศรางวัล THAILAND SOCIAL AWARDS จัดโดยบริษัท ไวซ์ไซท์ (ประเทศไทย) จำกัด สยามพารากอน คว้ารางวัลชนะเลิศ Best Brand Performance on Social Media เป็นแบรนด์ที่ทำผลงานยอดเยี่ยมบนโซเชียลมีเดีย สาขากลุ่มธุรกิจห้างสรรพสินค้าและศูนย์การค้า และไอคอนสยาม ได้รับรางวัล Finalist เป็นหนึ่งในห้าของแบรนด์ที่ทำผลงานยอดเยี่ยมบนโซเชียลมีเดีย สะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่มีต่อกลุ่มสยามพิวรรธน์และสามารถครองความเป็นที่หนึ่งในใจคนไทยและคนทั่วโลกมาโดยตลอด

    นายสุพจน์ ชัยวัฒน์ศิริกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอคอนสยาม จำกัด กล่าวว่า “ในปี 2566 นี้ ไอคอนสยามก้าวย่างสู่ปีที่ 5 และประสบความสำเร็จเติบโตอย่างสูงมาก ภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด19 ได้คลี่คลายลง ไอคอนสยามสามารถสร้างยอดขายสูงขึ้นกว่า 40% และจำนวน Traffic เพิ่มขึ้นถึง 94% เทียบกับไตรมาสแรกของปี 2565 จากฐานลูกค้าประจำที่เป็นคนไทยที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจำนวนมาก รวมถึงกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงอาศัยในฝั่งธนบุรีและจังหวัดใกล้เคียง อีกทั้งจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่หลั่งไหลเดินทางท่องเที่ยวยังประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น ล้วนปักหมุดไอคอนสยามเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญระดับโลก (Global Landmark Destination) ยืนยันได้จากแกร็บประเทศไทย ได้ประกาศข้อมูลการใช้บริการเรียกรถผ่านแอปพลิเคชันแกร็บของนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยไอคอนสยามติดโผอันดับ 1 เป็นสถานที่ท่องเที่ยวในกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางที่ชาวต่างชาติชอบไปมากที่สุด”

    “นับตั้งแต่ต้นปี ไอคอนสยามรวมพลังความร่วมมือครั้งยิ่งใหญ่ของพลังหัวใจไทย ทั้งจาก ภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชนริมแม่น้ำเจ้าพระยา ที่สร้างมหาปรากฏการณ์ World Class Event ระดับโลกอย่างเต็มรูปแบบ เพื่อตอกย้ำให้แม่น้ำเจ้าพระยาสายประวัติศาสตร์นี้เป็น NATIONAL ICONIC LANDMARK และจุดหมายปลายทางสำคัญของโลก อาทิ ล่าสุดผนึกกำลังพันธมิตร สร้างปรากฏการณ์ครั้งยิ่งใหญ่ เปิดอาร์ตแอทแทรกชั่น “Van Gogh Alive Bangkok” (แวนโกะห์ อะไลฟ์ แบงค็อก) นิทรรศการแสดงผลงานศิลปะดิจิทัลอิมเมอร์ซีฟระดับโลกที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แห่งแรกในประเทศไทย ซึ่งนิทรรศการนี้สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับผู้เข้าชมกว่า 8.5 ล้านคนใน 80 เมืองทั่วโลก ทั้งปักกิ่ง, เบอร์ลิน, เดนเวอร์, ลอนดอน, มาดริด, มอสโก, โรม, ซิดนีย์, แฟรงค์เฟิร์ต, นาโกย่า และกัวลาลัมเปอร์, งานมหาสงกรานต์ “THE ICONIC SONGKRAN FESTIVAL 2023 สืบสานประเพณีสงกรานต์มหัศจรรย์ริมแม่น้ำเจ้าพระยาแห่งเดียวในไทย พร้อมสนับสนุนให้สงกรานต์ไทยขึ้นแท่นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ตอกย้ำแลนด์มาร์คระดับโลกริมแม่น้ำเจ้าพระยา, เบิกฟ้าเทศกาลตรุษจีนปีกระต่ายทองฉลองตรุษจีน “THE ICONSIAM ETERNAL PROSPERITY CHINESE NEW ยิ่งใหญ่ตระการตา นอกจากนี้ ไอคอนสยาม ยังมีเมืองสุขสยาม เมืองสารพัดสุข สนุกแบบไทย ที่เป็นอีกหนึ่งแมกเน็ตสำคัญของไอคอนสยาม จัดกิจกรรมเทศกาลผลไม้ 4 ภาคทั่วไทย กับงาน Amazing Thai Fruit Paradise ณ เมืองสุขสยาม ซึ่งกิจกรรมทั้งหมดล้วนได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและดึงดูดนักท่องเที่ยวทั่วโลกหลั่งไหลเข้าไอคอนสยามอย่างล้นหลาม”

    ความสำเร็จเหล่านี้ล้วนสะท้อนถึงความเชื่อมั่นและความไว้วางใจของผู้บริโภคที่มีต่อศูนย์การค้าในเครือของกลุ่มสยามพิวรรธน์ ผู้นำความคิดสร้างสรรค์นำเสนอประสบการณ์เหนือระดับที่สร้างความตื่นตาตื่นใจรังสรรค์สิ่งที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้า และยังมีส่วนส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศไทยในฐานะ Top of mind of Tourism สร้างชื่อเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวอันดับต้นๆ ของโลก พร้อมช่วยหนุนเศรษฐกิจไทยด้วยการดึงดูดเม็ดเงินมหาศาลเข้าประเทศอีกด้วย

    ]]>
    1429096
    ถอดบทเรียนพลิกเกมของสยามพิวรรธน์ สู่กลยุทธ์ Above the Ocean ก้าวต่อไปอย่างมั่นคงและยั่งยืน บนกลยุทธ์ที่อยู่เหนือความเปลี่ยนแปลง https://positioningmag.com/1403647 Tue, 11 Oct 2022 02:00:40 +0000 https://positioningmag.com/?p=1403647

    สยามพิวรรธน์ดำเนินธุรกิจอยู่คู่กับประเทศไทยมายาวนานกว่า 63 ปี ผ่านวิกฤติมาทุกรูปแบบ โดยเฉพาะย่านสยามซึ่งเป็นสมรภูมิทางการค้าและสมรภูมิทุกชนิด แต่สามารถนำพาธุรกิจของคู่ค้าและร้านค้าทั้งหมดให้ผ่านพ้นทุกวิกฤตด้วยดีมาได้ทุกยุคสมัย ในช่วงสถานการณ์โควิดสยามพิวรรธน์เองก็ได้รับผลกระทบมากมายไม่ต่างจากธุรกิจอื่นๆ แต่แน่นอนว่าประสบการณ์ที่สั่งสมมาได้กลายเป็นอาวุธครบมือที่นำพาธุรกิจให้ก้าวข้ามวิกฤตครั้งนี้มาได้อย่างสง่างามอีกครั้งหนึ่ง

    การที่ผู้บริหารจะต้องประคับประคองธุรกิจให้ผ่านพ้นทุกสถานการณ์เป็นเรื่องที่ไม่ง่าย แต่การพลิกเกมธุรกิจให้ก้าวไปสู่อนาคตได้เป็นเรื่องที่ท้าทายยิ่งกว่า แม่ทัพใหญ่แห่งกลุ่มสยามพิวรรธน์ ชฎาทิพ จูตระกูล ได้พิสูจน์ฝีมือในฐานะผู้นำที่ไม่ว่าจะผ่านมากี่วิกฤติก็สามารถพลิกฟื้นทำกำไรให้กลับมาได้ในเวลาอันรวดเร็ว ซึ่งแน่นอนว่าวิกฤติโควิดครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน

    นางชฎาทิพ จูตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท สยามพิวรรธน์ ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจค้าปลีกชั้นนำ เจ้าของและผู้บริหารโครงการที่มีชื่อเสียงระดับโลก อาทิ สยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ สยามดิสคัฟเวอรี่ หนึ่งในพันธมิตรเจ้าของไอคอนสยาม และสยาม พรีเมี่ยม เอาท์เล็ต กรุงเทพ เปิดเผยว่า โควิดที่ผ่านมาสยามพิวรรธน์กลับมองว่าเป็นประสบการณ์การเรียนรู้ที่ยิ่งใหญ่ และได้ใช้ประสบการณ์ที่สั่งสมมาจากวิกฤตครั้งก่อนๆ ผนวกกับการตัดสินใจปรับตัวปรับองค์กรอย่างรวดเร็วทำให้สามารถรับมือครั้งนี้ได้ ส่งผลให้ผลประกอบการใน 9 เดือนแรกของปี 2565 เติบโตมากกว่าช่วงเดียวกันของปี2562 ก่อนสถานการณ์โควิด ทั้งๆที่ยังไม่มีนักท่องเที่ยวกลับเข้ามา

    ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาสยามพิวรรธน์ ไม่ได้ตั้งเป้าอยากเป็นที่หนึ่งเรื่องของจำนวนศูนย์การค้า และไม่ได้ปรารถนาเป็นที่หนึ่งเรื่องการครองตลาดให้มีพื้นที่ที่มากที่สุด แต่สยามพิวรรธน์กลับใช้กลยุทธ์ Top of Mind 4 ด้าน ที่นำพาธุรกิจให้ยืนหยัดมาได้เสมอถึงวันนี้ ได้แก่:

    1. ที่หนึ่งในใจผู้คน ไม่ใช่แค่เฉพาะคนไทยแต่เป็นของคนทั้งโลก ซึ่งเป้าหมายนี้เป็นจริงได้เมื่อ สยามพารากอนติดอันดับ 6 บน Global Facebook เป็นสถานที่มีผู้เช็คอินมากที่สุดของโลก และยังเป็นสถานที่ที่มีคนเช็คอินมากที่สุดบน Instagram ทุกศูนย์การค้าของสยามพิวรรธน์ได้รับการโหวตจากนักท่องเที่ยวหลายประเทศว่าเป็นศูนย์การค้าที่พวกเขาชื่นชมมากที่สุดตลอดมา

    2. ที่หนึ่งในใจคู่ค้า สยามพิวรรธน์ยึดมั่นในหน้าที่ที่ต้องทำทุกวิถีทางที่จะทำให้คู่ค้าร้านค้านับหมื่นรายในศูนย์การค้าประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง มีบทพิสูจน์ว่าสามารถสร้าง traffic โดยรวมในศูนย์การค้าได้มากกว่า 100 ล้านคนต่อปี ในจำนวนนี้เป็นนักท่องเที่ยวมากกว่า 25 ล้านคน ส่งผลให้ร้านค้าหลายแบรนด์ที่เปิดสาขากับสยามพิวรรธน์มียอดขายเป็นอันดับหนึ่งของประเทศ และแบรนด์จากต่างประเทศก็มียอดขายติดอันดับ TOP 10 ของโลกเมื่อเปรียบเทียบกับสาขาอื่นๆ

    3. เป็นที่หนึ่งในใจพันธมิตรทางธุรกิจ ศูนย์การค้าของสยามพิวรรธน์ ไม่ใช่เพียงแค่ทำหน้าที่ค้าขายแต่ยังทำหน้าที่เป็นเวทีสร้างแบรนด์ สร้างความสัมพันธ์กับพันธมิตรมากมาย จับมือกับทั้งภาครัฐและภาคเอกชนสร้างต้นแบบธุรกิจใหม่ๆ ร่วมกันสร้างประสบการณ์เหนือความคาดหมายให้แก่ลูกค้าของพันธมิตรต่างๆ ตลอดมา

    4. เป็นที่หนึ่งของโลก เพราะศูนย์การค้าคือแม่เหล็กสำคัญที่เสริมสร้างอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยให้เป็น shopping paradise ที่จะดึงดูดคนทั้งโลก สยามพิวรรธน์จึงมุ่งมั่นสร้างโครงการที่จะแข่งขันกับโครงการใหญ่อื่นๆทั่วโลก เพื่อสร้างความยอมรับนับถือในวงการศูนย์การค้าโลกและสร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศไทย ทุกศูนย์การค้าของสยามพิวรรธน์จึงคว้ารางวัลที่หนึ่งจากองค์กรระดับโลกมากกว่า 40 รางวัล ในสาขาต่างๆซึ่งเป็นปรากฎการณ์ที่ไม่เคยมีศูนย์การค้าใดในประเทศและในภูมิภาคเอเซียได้รับรางวัลและเป็นที่กล่าวขวัญถึงมากเช่นนี้

    “เราไม่ได้มีศูนย์การค้าในหลายจังหวัดหรือทั่วประเทศแต่เรามีเพียง 4 ศูนย์การค้ากับอีก 1 Luxury Outlet Mall ที่ล้วนได้รับรางวัลชนะเลิศ เป็นที่ 1 ของโลกในสาขาต่างๆ จากองค์กรและสมาคมระดับโลกมากมาย อาทิ ด้านนวัตกรรมและการออกแบบ การปฏิวัติวงการค้าปลีก ด้านการตลาดและสร้างประสบการณ์ระดับโลก การเป็นโครงการที่สนับสนุนธุรกิจรายย่อย SME ที่ดีที่สุด การเป็น green Leadership การพัฒนาความยั่งยืน และการสร้างจุดหมายปลายทางที่เป็นที่ปรารถนามากที่สุดของคนทั่วโลก ทั้งหมดนี้ตอกย้ำว่าคนไทยสามารถทำได้ และในวันนี้ผู้พัฒนาศูนย์การค้าในประเทศต่างๆ อยากเดินทางมาเพื่อเรียนรู้จากเรา”


    “เป้าหมายในการทำธุรกิจของสยามพิวรรธน์มิใช่เพื่อเรื่องผลตอบแทนเท่านั้น แต่เราต้องสร้างมิตรภาพเหนือกาลเวลากับคู่ค้าและพันธมิตร รางวัลชีวิตของพนักงานของเรา คือ การที่ได้เป็นบ้านหลังที่สองของผู้คน ดูแลและเติมเต็มความปรารถนาและประสบการณ์ชีวิตให้แก่ลูกค้าอย่างดีที่สุดในทุกสถานการณ์ และเป็นแพลตฟอร์มที่สร้างความสำเร็จให้กับคู่ค้าและพันธมิตร ด้วยกลยุทธ์และพันธสัญญาทั้งสิ้นนี้ ส่งผลให้ 7 ปีที่ผ่านมา สยามพิวรรธน์สามารถสร้างยอดขายเติบโตขึ้น 5 เท่า บริษัทย่อยของเราเติบโตจาก 32 บริษัทขึ้นมาเป็น 48 บริษัท ท่ามกลางวิกฤตโควิดเรายังสามารถเปิดธุรกิจใหม่ Siam Premium Outlets Bangkok ซึ่งเป็น luxury outlet mall แห่งแรกในประเทศไทยในกลางปี 2564 และพัฒนา Digital Platform ใหม่คือ ONESIAM SuperApp สำเร็จได้ภายใน 13 เดือน” นางชฎาทิพ จูตระกูล กล่าว


    ความท้าทายภายหลังสถานการณ์โควิดเป็นสิ่งที่หลายองค์กรต่างขบคิดและเผชิญหน้าอยู่ เช่นเดียวกับสยามพิวรรธน์ที่วางกลยุทธ์ใหม่ไว้เรียบร้อยแล้ว ผู้บริหารสยามพิวรรธน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า เมื่อ 10 ปีก่อนสยามพิวรรธน์ได้เล็งเห็นถึงแนวโน้มการถูก disrupt จาก digital evolution จึงปรับกลยุทธ์ให้ทุกศูนย์การค้าสร้างคุณค่าและประสบการณ์ที่แตกต่างแต่โดนใจ สร้าง emotional engagement ด้วยกลยุทธ์ emotional marketing อีกทั้ง ได้เริ่มทำ digital transformation ภายในบริษัทต่อเนื่องมา และสร้าง data bank ข้อมูลทั้งหมดสำเร็จในต้นปี 2022 เมื่อเกิดวิกฤตโควิดจึงพร้อมที่จะรับมือและสร้าง digital platform เพื่อบริการลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว จากนี้ไปสยามพิวรรธน์จะพลิกเกมใหม่ด้วยแนวคิด Rise above and beyond คือ การสร้างกลยุทธ์ที่จะก้าวข้ามทุกความสำเร็จที่เคยทำได้ ก้าวข้ามทุกการเปลี่ยนแปลงของโลกไม่ว่าจะเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีหรือไม่ดี และท้ายสุดคือ ก้าวข้ามทุกความท้าทายให้ได้

    กลยุทธ์ใหม่ของสยามพิวรรธน์ คือ การเปลี่ยนจาก Blue Ocean Strategy ไปสู่ Above the Ocean Strategy ซึ่งก็คือ กลยุทธ์ที่อยู่เหนือการเปลี่ยนแปลง โดยถอยตัวเองออกมาและมองธุรกิจในบริบทใหม่ ทำลายกรอบเดิมๆในการทำธุรกิจให้หมดสิ้นไป พร้อมสรรค์สร้างสิ่งใหม่ๆบนคุณค่าที่เป็นต้นทุนของเราอย่างไม่มีข้อจำกัด ดำเนินธุรกิจโดยปราศจากคู่แข่งแต่เปี่ยมไปด้วยพันธมิตร ร่วมกันสร้าง Ecosystem เพื่อความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่กว่าและยั่งยืน สร้างโลกใหม่ที่ไร้พรมแดน และเปี่ยมด้วยโอกาสหลากหลายมิติ

    สิ่งที่สยามพิวรรธน์จะทำต่อไปภายใต้ Above the Ocean Strategy คือ การต่อยอดจากการสร้างคุณค่าไปสู่มูลค่า

    1. ด้วยการแบ่งปันประโยชน์ให้เกิดขึ้นแก่ทุกฝ่าย (Sharing Economy) ผ่าน ONESIAM SuperApp และ VIZ COINS

    2. ผนึกกำลังกับพันธมิตร (Co-Creation) สร้างประสบการณ์เหนือความคาดหมาย ทั้ง Physical Platform และ Digital Platform เพื่อขยายสู่การรองรับ Global Citizen

    3. ร่วมมือเพื่อเติบโตไปด้วยกัน (Collaboration To Win) โดยสร้างระบบนิเวศแห่งความสำเร็จร่วมกับ 50 พันธมิตร 13 อุตสาหกรรมที่ได้เริ่มทำงานร่วมกันแล้ว

    4. สร้างความยั่งยืนผ่านทุกกระบวนการและในทุกธุรกิจที่ดำเนินการ (Sustainable Value In Process) เพื่อสร้างการเติบโตร่วมกันในทุกภาคส่วน ทั้งกับผู้คน สิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจ สร้างนิยามและบุกเบิกธุรกิจใหม่ทั้งในรูปแบบ สินค้าบริการ และแพลตฟอร์มส่งเสริมให้เกิดโอกาสในการมีคุณภาพชีวิตที่ดีโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง มีส่วนร่วมในการฟื้นฟูและส่งต่อโลกที่น่าอยู่ให้กับคนรุ่นหลังสืบต่อไป


    “Above the Ocean Strategy ในแบบสยามพิวรรธน์ จะทำให้เราสร้างการเติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืนกับทุกภาคส่วน ทำให้เกิดผลกระทบเชิงบวกสู่สังคมชุมชน สิ่งแวดล้อม และเป็นส่วนหนึ่งที่จะนำประเทศไทยสู่ความยิ่งใหญ่บนเวทีโลก” ชฎาทิพ กล่าวทิ้งท้าย

     

    ]]>
    1403647
    เดอะมอลล์ กรุ๊ป ประสบความสำเร็จในกลยุทธ์การขับเคลื่อนองค์กรสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน คว้า 2 รางวัลยิ่งใหญ่ระดับสากล จากเวที Asia Pacific Enterprise Awards 2022 ในฐานะองค์กรยอดเยี่ยม และแบรนด์ที่สร้างแรงบันดาลใจยอดเยี่ยม https://positioningmag.com/1391837 Sat, 09 Jul 2022 09:00:48 +0000 https://positioningmag.com/?p=1391837

    เดอะมอลล์ กรุ๊ป ผู้นำด้านธุรกิจค้าปลีกของประเทศไทย ดำเนินการบริหารศูนย์การค้าและห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ และเดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์, ดิ เอ็มโพเรียม, ดิ เอ็มควอเทียร์ และ พารากอน ดีพาร์ทเม้นท์สโตร์ ตอกย้ำความสำเร็จในกลยุทธ์การขับเคลื่อนองค์กรสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน คว้า 2 รางวัลสุดยิ่งใหญ่แห่งปี จากเวที Asia Pacific Enterprise Awards (APEA) 2022 ซึ่งเป็นรางวัลอันทรงเกียรติระดับสากล ที่ยกย่องความเป็นเลิศของผู้ประกอบการในเอเชียแปซิฟิก ในหมวดธุรกิจ Retail ในฐานะองค์กรยอดเยี่ยม (Corporate Excellence Award) และแบรนด์ที่สร้างแรงบันดาลใจยอดเยี่ยม (Inspirational Brand Award) โดยมี อัจฉรา อัมพุช รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด เป็นผู้แทนบริษัทฯ เข้ารับมอบรางวัล จาก ดร. สรรเสริญ สมะลาภา ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพาณิชย์

    คุณอัจฉรา อัมพุช รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด (MS. ACHARA UMPUJH ; EXECUTIVE VICE PRESIDENT, THE MALL GROUP CO., LTD.) กล่าวว่า

    “นับเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ เดอะมอลล์ กรุ๊ป ได้รับรางวัลจากเวที Asia Pacific Enterprise Awards (APEA) ซึ่งเป็นรางวัลอันทรงเกียรติระดับสากล ที่ยกย่องความเป็นเลิศของผู้ประกอบการในเอเชียแปซิฟิก โดยรวมกลุ่มผู้ประกอบการและองค์กรชั้นนำทั่วเอเชียเพื่อส่งเสริมนวัตกรรม แนวปฏิบัติที่เป็นธรรม และการเติบโตของผู้ประกอบการ เป็นการสร้างระบบนิเวศน์ของผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จ เพื่อหล่อหลอมเอเชียสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคมที่ยั่งยืน โดยเปิดโอกาสให้ผู้นำธุรกิจและองค์กรที่มีผลงานโดดเด่น มีความแน่วแน่ในการพัฒนาธุรกิจให้ประสบความสำเร็จควบคู่กับความรับผิดชอบต่อสังคม และมีความเป็นผู้นำเข้าร่วมประกวด โดยการจัดประกวดในครั้งนี้ได้ดำเนินการร่วมกับภาครัฐ เพื่อส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันและการพัฒนาผู้ประกอบการ และมีคณะกรรมการจากหลากหลายสาขา ทั้งนักวิชาการ นักลงทุน มหาวิทยาลัย และนักธุรกิจในวงการอุตสาหกรรมต่างๆ โดยมีองค์กรธุรกิจเข้าร่วมคัดเลือกกว่า 2,000 บริษัท จากกว่า 19 ประเทศทั่วเอเชีย สำหรับงานในปีนี้ จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ที่กรุงเทพฯ เพื่อเป็นเกียรติแก่เจ้าของธุรกิจและผู้ประกอบการที่มีผลงานโดดเด่น และดำเนินธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ โดยได้รับเกียรติจากบุคคลที่มีชื่อเสียงมากมาย รวมถึง Tan Sri Datuk Seri Dr. Fong Chan Onn (ชานสี ดาตุ๊บ เสรีดร. ฟง ชาน ออน) ประธานที่ปรึกษาอาวุโส เอ็นเตอร์ไพรส์เอเชีย

    เดอะมอลล์ กรุ๊ป ในฐานะผู้นำด้านธุรกิจรีเทลของประเทศ ดำเนินการบริหารศูนย์การค้าและห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ และเดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์, ดิ เอ็มโพเรียม, ดิ เอ็มควอเทียร์ และพารากอน ดีพาร์ทเม้นท์สโตร์ ได้รับรางวัลชนะเลิศ 2 รางวัล ในหมวดธุรกิจ Retail จากเวที Asia Pacific Enterprise Awards (APEA) 2022 คือ

    1. รางวัล CORPORATE EXCELLENCE AWARD รางวัลที่มอบให้กับองค์กรที่สามารถแสดงศักยภาพในการขับเคลื่อนองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถนำพาองค์กรให้บรรลุผลลัพธ์ในเชิงธุรกิจในขณะเดียวกันก็ยังคงรักษาไว้ซึ่งเป้าหมายขององค์กร ซึ่งในปีนี้ บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด ได้รับเลือกให้เป็นองค์กรยอดเยี่ยมในหมวดค้าปลีก ประจำปี 2565

    2. รางวัล INSPIRATIONAL BRAND AWARD รางวัลที่มอบให้แก่องค์กรที่สามารถสร้างหรือปฎิรูปแบรนด์ให้เป็นแรงบันดาลใจและสามารถสร้างแรงบันดาลใจ โดยที่การปฏิรูปแบรนด์ ที่เกิดขึ้นสามารถต่อยอดให้เกิดคุณค่าอย่างยั่งยืน และเป็นต้นแบบให้กับแบรนด์อื่นๆซึ่ง เดอะมอลล์ ไลฟ์สโตร์ ได้รับรางวัลในหมวดธุรกิจค้าปลีก ที่มุ่งมั่นตั้งใจในการพัฒนาทุกๆ ด้านอย่างต่อเนื่อง

    ]]>
    1391837
    สยามพิวรรธน์ จับมือ ทาคาชิมายะ รุกขยายธุรกิจรีเทล นำสินค้าแบรนด์ไทยบุกตลาดญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก https://positioningmag.com/1388503 Tue, 14 Jun 2022 03:55:30 +0000 https://positioningmag.com/?p=1388503

    บริษัท สยามพิวรรธน์ รีเทล โฮลดิ้ง จำกัด ผู้นำนวัตกรรมธุรกิจค้าปลีกในเครือกลุ่มบริษัทสยามพิวรรธน์ เดินหน้าขับเคลื่อนกลุ่มธุรกิจค้าปลีกของสยามพิวรรธน์สู่ตลาดต่างประเทศ ผนึกเครือข่ายพันธมิตรผู้นำธุรกิจระดับโลก Takashimaya Transcosmos IC Japan Company Limited (TTICJ) ในเครือทาคาชิมายะ ซึ่งเป็นห้างสรรพสินค้ายักษ์ใหญ่ระดับพรีเมียมที่ประสบความสำเร็จและได้รับการยอมรับสูงที่สุดในประเทศญี่ปุ่น ได้นำผลิตภัณฑ์ 3 แบรนด์ไทยสุดสร้างสรรค์ ได้แก่ แอ็บโซลูท สยาม (Absolute Siam) อีโค่โทเปีย (Ecotopia) และ ไอคอนคราฟต์ (ICONCRAFT) รุกตลาดประเทศญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก ในงาน Meetz STORE งานแสดงสินค้าและแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซรูปแบบใหม่ ที่ห้างทาคาชิมายะ ไทม์สแควร์ ในกรุงโตเกียวและงาน Asian Fair ที่ห้างทาคาชิมายะ เมืองนาโกยา ตอกย้ำกลยุทธ์หลักในการเร่งการเติบโต ของกลุ่มธุรกิจค้าปลีกและเพื่อขยายฐานลูกค้า พร้อมร่วมส่งเสริม นักธุรกิจรายย่อยในไทย (SME) ให้ก้าวสู่ตลาดโลก เปรียบเหมือน Local Hero ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน

    นางอุสรา ยงปิยะกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจค้าปลีก บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด กล่าวว่า “สยามพิวรรธน์ทำธุรกิจกับบริษัทยักษ์ใหญ่จากประเทศญี่ปุ่นมาอย่างยาวนาน ทาคาชิมายะ คือ หนึ่งในพันธมิตรสำคัญของกลุ่มสยามพิวรรธน์ ที่ได้มาเปิดสาขาแรกในประเทศไทย ณ ไอคอนสยาม ความร่วมมือครั้งนี้จึงถือเป็นการต่อยอดความสัมพันธ์ทางธุรกิจที่แน่นแฟ้น โดย TTICJ ในเครือทาคาชิมายะ จะช่วยเชื่อมโยงในการเข้าถึงความรู้และประสบการณ์ความสำเร็จอันยาวนานในตลาดญี่ปุ่น ในขณะที่สยามพิวรรธน์จะนำความเชี่ยวชาญในการนำเสนอสินค้าที่แตกต่าง มีอัตลักษณ์ของความเป็นไทย ไปสร้างประสบการณ์แปลกใหม่ในตลาดญี่ปุ่น การเปิดตลาดในครั้งนี้นับเป็นประเทศที่ 3 ในเอเชีย หลังจากที่ได้ขยายไปยังมาเลเซีย และไต้หวันในก่อนหน้านี้ โดยใช้ระยะเวลาเพียง 5 เดือน หลังเปิดศักราชเมื่อต้นปี และในงาน Meetz STORE ด้วยโมเดลธุรกิจอีคอมเมิร์ซแบบใหม่ผ่านแพลตฟอร์ม O2O เชื่อมโยงลูกค้าจากช่องทางออฟไลน์สู่ออนไลน์ ถือเป็นการเพิ่มโอกาสของแบรนด์ไทยให้เข้าถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมายในต่างประเทศ และส่งเสริมศักยภาพในการตอบสนองความต้องการ และพฤติกรรมการซื้อสินค้าของลูกค้าชาวญี่ปุ่นได้ดียิ่งขึ้น”

    สินค้า 3 แบรนด์ดังกล่าว คือ แอ็บโซลูท สยาม (Absolute Siam) อีโค่โทเปีย (Ecotopia) และ ไอคอนคราฟต์ (ICONCRAFT) โดยแต่ละแบรนด์มีจุดเด่นแตกต่างกัน และเป็นสินค้าจากฝีมือของคนไทยที่มีความเป็น อัตลักษณ์ และเต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ ทั้งชิ้นงานนวัตศิลป์และงานคราฟต์ร่วมสมัยจากนักออกแบบไทยมากฝีมือ นักสร้างสรรค์รุ่นใหม่ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม และผู้ประกอบการรายย่อยทั่วประเทศ งาน Meetz STORE จัดขึ้นที่ห้างทาคาชิมายะ ไทมสแควร์ ย่านชินจูกุ กรุงโตเกียว ตั้งแต่วันที่ 29 เมษายน 2565 เป็นต้นไป โดยบริษัท สยามพิวรรธน์ รีเทล โฮลดิ้ง จำกัด จะเริ่มเปิดดำเนินการที่ Meetz STORE ในช่วงปลายเดือนมิถุนายน 2565 จากทำเลที่ตั้งซึ่งอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟชินจูกุ ซึ่งมีผู้โดยสารราว 3.6 ล้านคนต่อวัน ถือเป็นโอกาสที่จะดึงดูดผู้เข้าชมงาน และที่สำคัญคือ Meetz STORE ตั้งเป้าที่จะเจาะตลาดลูกค้า ผู้ถือบัตรสมาชิกของทาคาชิมายะจำนวนกว่า 5.7 ล้านรายทั่วประเทศ

    Meetz STORE เป็นวิวัฒนาการโชว์รูมสินค้าแบบออฟไลน์รูปแบบใหม่ที่เชื่อมต่อแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ เพื่อสร้างประสบการณ์ช้อปปิ้งจากออฟไลน์สู่ออนไลน์ (O2O) และกระตุ้นให้เกิดการจับจ่ายได้จากทุกที่ทั่วประเทศ โดยมีการนำเสนอสินค้าหลากหลายที่ได้คัดสรรมาแล้วอย่างดีจากบรรดานักสร้างสรรค์ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญหลากหลายสาขา โดยแบรนด์ของสยามพิวรรธน์จะถูกนำเสนอโดย Mao Sakaguchi นักสร้างสรรค์ที่มีชื่อเสียง ในเรื่องการสร้างการรับรู้ ผ่านหลักด้านจริยธรรมโดยคัดสรรผลิตภัณฑ์ที่เป็น มิตรต่อสิ่งแวดล้อมและรับผิดชอบต่อสังคม ซึ่งเป็นเทรนด์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มผู้บริโภค ชาวญี่ปุ่น

    สำหรับงาน Asian Fair เป็นงานแสดงสินค้านานาชาติที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในแต่ละปี โดยจะจัดขึ้นที่ห้างทาคาชิมายะ เมืองนาโกยา ศูนย์กลางมหานครใหญ่อันดับ 3 ของญี่ปุ่น ในวันที่ 23-28 มิถุนายน 2565 ลูกค้าชาวญี่ปุ่นจะได้พบกับสินค้าหลากหลาย และตื่นตาตื่นใจไปกับคอลเลคชั่นสินค้าจากแบรนด์ที่รังสรรค์ขึ้นโดย สยามพิวรรธน์ รีเทล โฮลดิ้ง ซึ่งเป็นงานที่เหล่านักช้อปญี่ปุ่นตั้งตารอคอย หลังจากไม่สามารถเดินทางได้ ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19

    ความร่วมมือครั้งนี้ ถือเป็นการขับเคลื่อนกลุ่มธุรกิจค้าปลีกของสยามพิวรรธน์ โดยมุ่งยกระดับความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจที่มีความแข็งแกร่งอย่าง ทาคาชิมายะ และเป็นโอกาสที่จะขยายตลาดสินค้าที่รังสรรค์โดยสยามพิวรรธน์ (Owned Brand) และแบรนด์ของคนไทยที่ต่อยอดในต่างประเทศด้วยโมเดลธุรกิจรูปแบบใหม่ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้สยามพิวรรธน์และพันธมิตรบรรลุผลประโยชน์ และสร้างการเติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืนในอนาคต

    ]]>
    1388503
    Lotus’s SMART App มิติใหม่ของการช้อปออนไลน์ รวมรีวอร์ดโปรแกรมอยู่ในที่เดียว! https://positioningmag.com/1380952 Fri, 08 Apr 2022 10:30:40 +0000 https://positioningmag.com/?p=1380952

    โลตัสพลิกโฉมการช้อปปิ้งออนไลน์ด้วย Lotus’s SMART App แอปพลิเคชันใหม่ที่รวมทั้งการช้อปปิ้ง และรีวอร์ดโปรแกรมแบบใหม่ My Lotus’s ไว้ในที่เดียว เปลี่ยนรูปแบบการสะสมแต้มสมาชิกที่สะดวก คุ้มค่า และรู้ใจกว่าเดิม สร้างประสบการณ์ช้อปปิ้งแบบสมาร์ท ตรงใจด้วยระบบ AI


    ยกเครื่องแอปใหม่ ไฉไลกว่าเดิม!

    ในการทำธุรกิจในยุคปัจจุบัน การเข้าสู่ตลาด “อีคอมเมิร์ซ” หรือช้อปออนไลน์ ย่อมเป็นสิ่งสำคัญที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ทำให้ได้เห็นหลายอุตสาหกรรมต้องลงมาเปิดช่องทางออนไลน์กันถ้วนหน้า โดยเฉพาะธุรกิจ “ค้าปลีก” การทำอีคอมเมิร์ซกลายเป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญไปแล้วเรียบร้อย

    “โลตัส” หนึ่งในยักษ์ใหญ่ของตลาดค้าปลีกในประเทศไทย เรียกว่าเป็นผู้เล่นแรกๆ ที่ลงมาจับตลาดอีคอมเมิร์ซ ได้เปิดช่องทางออนไลน์ครั้งแรกเมื่อปี 2556 เริ่มจากการช้อปปิ้งผ่านเว็บไซต์ แล้วพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ในตอนนั้นถือว่าเป็นการสร้างปรากฎการณ์ใหม่ของวงการ Grocery Online เลยทีเดียว

    ในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา โลตัสไม่หยุดที่จะพัฒนาทั้งรูปแบบร้านค้า และระบบช้อปออนไลน์ ล่าสุดได้มีการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ ด้วยการเปิดตัว Lotus’s SMART App เรียกว่าเป็นแอปพลิเคชันที่ย่อโลตัสมาไว้ในขนาดย่อมๆ ความพิเศษอยู่ที่การเป็นแพลตฟอร์มช้อปปิ้งออนไลน์ ที่รวมรีวอร์ดโปรแกรมอยู่ในที่เดียวกัน

    แอปพลิเคชั่นนี้จะยิ่งสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ SMART และตรงใจกว่าเดิม ด้วยการใช้ AI (Artificial Intelligence) ประมวลผล big data นำเสนอโปรโมชั่นและส่วนลดสินค้าที่ออกแบบโดยเฉพาะสำหรับลูกค้าแต่ละคน

    วรวรรณ เพียรลิขิตวงศ์ ผู้อำนวยการบริหารฝ่ายการตลาด โลตัส กล่าวว่า

    “เพื่อส่งมอบประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ SMART และไร้รอยต่อผ่านช่องทางออมนิแชนแนลของทั้งสาขาและแพลตฟอร์มออนไลน์ โลตัส ได้พัฒนาแอปพลิเคชัน Lotus’s SMART App ขึ้น เพื่อเป็น one-stop destination ที่รวบรวมทั้งรีวอร์ดโปรแกรมและออนไลน์ช้อปปิ้งอยู่ในแอปพลิเคชันเดียว เพิ่มความสะดวกสบายในการใช้งานของลูกค้าผ่านฟีเจอร์ต่างๆ มากมาย

    โดย Lotus’s SMART App เข้ามาแทนที่แอปพลิเคชันทั้งหมดที่เราเคยมี โดยนำปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาช่วยในการวิเคราะห์และประมวลผล big data เพื่อให้สามารถสร้างคูปองส่วนลด โปรโมชั่น สิทธิพิเศษนำเสนอสินค้า ที่ตรงใจลูกค้าแต่ละคน”


    My Lotus’s รีวอร์ดโปรแกรมใหม่ โดนใจมากขึ้น

    การยกเครื่องแอปพลิเคชันใหม่ในครั้งนี้ ยังมาพร้อมกับการเปิดตัวรีวอร์ดโปรแกรมใหม่ ภายใต้ชื่อ My Lotus’s (มายโลตัส)แทนที่โปรแกรมเดิมที่ทำตลาดมากว่า12 ปีเรียกว่าเป็นการพัฒนามาเพื่อตอบสนองต่อความต้องการในยุคดิจิทัล เป็นการอุด Pain Point เดิมๆ ที่มีในอดีต

    ถ้าใครที่ช้อปปิ้งที่โลตัสบ่อยๆ น่าจะพอจำได้ว่า การสะสมแต้มแบบเก่า มีขั้นตอนในการใช้คะแนน หรือนำมาแลกเป็นคูปองแทนเงินสดที่ต้องใช้เวลาพอสมควร แถมยังต้องมีการส่งคูปองแบบกระดาษไปที่บ้านลูกค้าอีกด้วยแต่ My Lotus’s ได้ปรับให้มีประสบการณ์การใช้งาน ทั้งการสะสมและการแลก “ง่ายขึ้น ทันใจขึ้น คุ้มขึ้น และตรงใจขึ้น” กว่าเดิม สามารถใช้งานได้อย่างสะดวกสบายผ่านแอปพลิเคชันและ 100% paperless ไม่มีการส่งสเตทเม้นท์และคูปองไปยังบ้านของลูกค้า ช่วยลดการใช้ทรัพยากรและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย

    ซึ่งทางโลตัสได้มีการย้ายสมาชิกจากระบบเดิมที่มีกว่า 18 ล้านราย ไปอยู่ใน My Lotus’s โดยอัตโนมัติลูกค้าสามารถ login เข้า Lotus’s SMART App ด้วยเบอร์โทรศัพท์ก็จะสามารถใช้งานได้เหมือนเดิม

    จุดเด่นของ My Lotus’s

    • ง่ายขึ้น : ทุกการใช้จ่าย 100 บาท จะได้รับ 1 โลตัสคอยน์
    • ทันใจขึ้น : 1 โลตัสคอยน์ = 1 บาท สามารถใช้เป็นส่วนลดได้ทันที ทั้งในสาขา และในแอปพลิเคชัน ไม่ต้องรอการส่งสเตทเม้นท์รายเดือน และคูปองอีกต่อไป
    • คุ้มขึ้น : ทุกเดือน เดือนละ 1 ครั้ง สมาชิกจะสามารถแลก 50 โลตัสคอยน์ เป็นคูปองเงินสด 100 บาท เพิ่มความคุ้มค่า 2 เท่า
    • ตรงใจขึ้น : คูปองเงินสด ส่วนลด ดีลรู้ใจกว่า 200 รายการ จากการประมวลผลของ AI ตรงใจลูกค้าแต่ละราย

    เสริมแกร่งธุรกิจ O2O(Online to Offline)

    อีกส่วนสำคัญของการพัฒนา Lotus’s SMART App คือ การเป็นแพลทฟอร์มออนไลน์ช้อปปิ้ง ที่จะช่วยยกระดับประสบการณ์การสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ของลูกค้าและเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ O2O ของโลตัส เรียกว่าเป็นการช้อปปิ้งแบบไร้รอยต่อทั้งออนไลน์ และออฟไลน์

    จุดแข็งของโลตัสก็คือ การมีสาขาที่ครอบคลุมทั่วประเทศ และมีหลายฟอร์แมตทั้งรูปแบบไฮเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ และฟอร์แมตเล็กอย่าง “โลตัส โก เฟรช” เป็นร้านสะดวกซื้อเข้าถึงตามชุมชน มีสาขารวมกว่า 2,300 สาขา เรียกว่าเป็นการผนึกกำลังได้เป็นอย่างดี

    เท่ากับว่าสาขากว่า 2,300 แห่ง จะเป็นจุดกระจายสินค้าในการส่งสินค้าถึงมือลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้นรวมถึงมีการจับมือกับพันธมิตรแพลทฟอร์มเดลิเวอรี่ต่างๆ และฟลีทขนส่งของโลตัสเอง ทำให้สามารถเลือกการจัดส่งได้หลากหลายรูปแบบ

    ภายใน Lotus’s SMART App ยังมีสินค้าที่หลากหลายรวมกว่า 30,000 รายการ ทั้งอาหารสด อาหารแห้ง สินค้าอุปโภคบริโภค

    ทางด้าน ธรินทร์ ธนียวัน กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ กลุ่มโลตัสส์ เอเชีย-แปซิฟิก ยกเว้นประเทศจีน กล่าวว่า

    “หนึ่งในเป้าหมายของโลตัสคือการขยายธุรกิจ O2O เพื่อสอดรับกับพฤติกรรมการช้อปปิ้งของลูกค้าที่เปลี่ยนไป ธุรกิจอีคอมเมิร์ซในประเทศไทย เติบโตอย่างก้าวกระโดดมาอย่างต่อเนื่อง การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19ก็เป็นปัจจัยเร่งสำคัญที่ทำให้การซื้อสินค้าออนไลน์ในปี 2021 โตขึ้นกว่า 30% (ข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย) ทั้งจากความจำเป็นที่มีการปิดให้บริการของศูนย์การค้าและความกังวลของประชาชนในเรื่องสุขภาพ

    ในส่วนของธุรกิจออนไลน์ของโลตัสในช่วงปี2564 ที่ผ่านมาเติบโตกว่า 250%จากปัจจัยข้างต้นประกอบกับการขยายช่องทางและเครือข่ายการจัดส่งสินค้าให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น โดยเป้าหมายใน 5 ปีข้างหน้า คือการเพิ่มสัดส่วนยอดขายออนไลน์ต่อธุรกิจโลตัสโดยรวม จากเลขหลักเดียว (single digit) เป็นเลขสองหลัก(double digit) ซึ่งหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนการเติบโตนี้คือ Lotus’s SMART App ที่เราได้มีการพัฒนาออนไลน์ช้อปปิ้งให้มีประสิทธิภาพและสะดวกสบายกว่าเดิมในการใช้งาน”

    สรุป SMART features ของระบบออนไลน์ช้อปปิ้งบน Lotus’s SMART App

    • สินค้ากว่า 30,000 รายการ ครอบคลุมทุกหมวดหมู่ อาทิ อาหารสด อาหารแห้ง เครื่องดื่ม เครื่องใช้ในบ้าน ผลิตภัณฑ์แม่และเด็ก ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงาม เป็นต้น
    • อัพเดทสต็อคสินค้าแบบ real-time
    • สามารถติดตามสถานะการจัดส่งสินค้าได้
    • เชื่อมต่อกับ Google Maps ทำให้มีพิกัดในการจัดส่งแม่นยำ
    • การจัดส่งหลายรูปแบบ โดยค่าจัดส่งสมเหตุสมผล เนื่องจากจัดส่งจากสาขาที่ตั้งอยู่ใกล้สถานที่จัดส่งของลูกค้าที่สุด
    • เชื่อมต่อกับ My Lotus’s สะสมและแลกโลตัสคอยน์ได้อย่างสะดวกและง่ายดาย
    • คูปองและโค้ดส่วนลดพิเศษ
    ]]>
    1380952
    “โลตัส” ตอกย้ำการเป็น “แพลทฟอร์มแห่งโอกาส” พา SME และเกษตรกรไทย เติบโตอย่างยั่งยืน https://positioningmag.com/1371395 Tue, 25 Jan 2022 11:00:04 +0000 https://positioningmag.com/?p=1371395

    ต้องบอกว่าทิศทางขององค์กรใหญ่ๆ ทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศ ไม่มีใครที่อยากเติบโตไปแค่คนเดียว ย่อมต้องการให้สังคม และธุรกิจเล็กๆ เติบโตไปด้วยกัน ซึ่งจะเป็นการสร้างการเติบโตในระยะยาว อีกทั้งยังช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้มั่นคงมากยิ่งขึ้นอีกด้วย

    ถึงแม้ว่า “โลตัส” จะเป็นผู้นำในธุรกิจค้าปลีก มีสาขา และพันธมิตรทั่วประเทศ แต่โลตัสเองก็ไม่เคยลืมที่จะพาคนตัวเล็กๆ ให้เดินไปด้วยกัน ในปีที่ผ่านมา โลตัสเดินหน้าสนับสนุนผู้ประกอบการ SME และเกษตรกรไทยมากมาย และได้สานต่อความมุ่งมั่นนั้นในปี 2565 ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการเป็น “แพลทฟอร์มแห่งโอกาส” อย่างแท้จริง

    ในปีที่แล้วโลตัสได้ช่วยเหลือ SME และเกษตรกรไทยเกือบ 7,000 ราย ผ่านโครงการต่างๆ ตั้งแต่การเจรจาทางธุรกิจออนไลน์ทุกเดือน นำไปสู่การเพิ่มสินค้า SME กว่า 1,000 รายการ จำหน่ายในสาขาทั่วประเทศและช่องทางออนไลน์ รับซื้อสินค้าเกษตรตรงโดยไม่ผ่านพ่อค้าคนกลางในทุกภูมิภาค ไปจนถึงการเปิดพื้นที่ในศูนย์การค้าให้คนตัวเล็กฟรีท่ามกลางสถานการณ์โควิด-19 และพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการรอบด้านอีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นการสนับสนุนที่ครอบคลุมทุกมิติ

    นายสมพงษ์ รุ่งนิรัติศัย ประธานคณะผู้บริหาร ธุรกิจโลตัส ประเทศไทย กล่าวว่า

    “โลตัส ในฐานะผู้ดำเนินธุรกิจค้าปลีก เรามุ่งมั่นดูแลลูกค้าให้ ‘รู้สึกดีดี ทุกวันที่โลตัส’ ผ่านการบริการ และสินค้าคุณภาพในราคาที่เอื้อมถึง ไปพร้อมๆ กับการดูแลชุมชนและสังคม รวมถึงการสนับสนุนเกษตรกร และผู้ประกอบการ SME ที่เป็นรากฐาน และหัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย โลตัสสนับสนุนเกษตรกร และผู้ประกอบการ SME มาอย่างต่อเนื่อง โดยเป็นทั้งช่องทางการจำหน่ายสินค้าทั้งออนไลน์ และออฟไลน์ในกว่า 2,100 สาขาทั่วประเทศ และเป็นพันธมิตรที่คอยสนับสนุนเกษตรกร และผู้ประกอบการ SME ให้มีรากฐานที่มั่นคง และสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน”

    การสนับสนุนของโลตัสได้ออกแบบมาให้เหมาะสมสำหรับผู้ประกอบการในแต่ละราย ไม่ว่าจะเป็นระดับเริ่มต้น หรือระดับใหญ่ ทำให้ผู้ประกอบการมีรายได้ และโอกาสในการเติบโตที่ยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นการมีพื้นที่จำหน่ายสินค้า หรือจะเป็นคำแนะนำในการประกอบธุรกิจก็ตาม จากการดำเนินงานตลอดปี 2564 โลตัสยังได้สนับสนุน และให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SME ผ่านการอบรมเพื่อพัฒนาศักยภาพกว่า 1,600 ราย และลดค่าเช่าในศูนย์การค้าให้กับผู้ประกอบการกว่า 1,500 ราย ในช่วงของสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการ SME นำเสนอสินค้าต่อฝ่ายจัดซื้อของโลตัส ผ่านช่องทางออนไลน์ (Online Business Matching) โดยได้พัฒนาและเพิ่มคู่ค้ารายใหม่ที่เป็นผู้ประกอบการ SME ที่มีศักยภาพ จำนวน 724 ราย และเพิ่มสินค้า SME คุณภาพ จำนวน 1,125 รายการ ในปีที่ผ่านมา

    • ผู้ประกอบการในระดับเริ่มต้น : มีการจัดอบรมให้ความรู้เบื้องต้น และมอบพื้นที่ในศูนย์การค้าฟรี โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ให้กับผู้ประกอบการรายย่อยกว่า 1,670 ราย ได้เปิดบูธจำหน่ายสินค้า ทดลองตลาด และขยายฐานลูกค้าผ่านสาขาของโลตัสทั่วประเทศผ่านกิจกรรมต่างๆ อาทิ Food and Art Free Market
    • ผู้ประกอบการในระดับกลาง : เสริมสร้างองค์ความรู้และนวัตกรรม พัฒนาศักยภาพ ยกระดับมาตรฐานสินค้า มาตรฐานคุณภาพ และมาตรฐานการผลิตรวมถึงการเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่เชื่อถือได้ ให้กับผู้ประกอบการเพื่อเตรียมความพร้อมในการวางจำหน่ายสินค้าในโลตัส

    ผู้ประกอบการที่มีความพร้อมสูง สามารถวางจำหน่ายสินค้า SME ทั้งในกว่า 2,100 สาขา และช่องทางออนไลน์ของโลตัส เข้าถึงฐานลูกค้าทั่วประเทศ พร้อมโอกาสในการส่งออก

    เริ่มต้นปี 2565 โลตัส ได้แสดงถึงความมุ่งมั่นในการเป็นแพลทฟอร์มแห่งโอกาสให้กับผู้ประกอบการ SME ด้วยการจัดโครงการ “รวมพลังลดใหญ่ สนับสนุน SME ไทยให้เติบโตไปด้วยกัน” สนับสนุนคู่ค้า SME กว่า 1,600 รายให้สามารถเพิ่มยอดขาย ผ่านการจัดโปรโมชั่นที่น่าสนใจ การจัดวางสินค้าในพื้นที่พิเศษที่มีความโดดเด่นในสาขาและช่องทางออนไลน์ รวมถึงการสื่อสารให้ลูกค้าและประชาชนรับทราบในวงกว้าง เพื่อเพิ่มการเข้าถึงของลูกค้าทั่วประเทศ โดยมีสินค้า SME ที่มีคุณภาพและเอกลักษณ์กว่า 17,000 รายการที่เข้าร่วมโครงการ ซึ่งโครงการ “รวมพลังลดใหญ่ สนับสนุน SME ไทยให้เติบโตไปด้วยกัน” จัดขึ้นเป็นระยะเวลา 3 เดือน เริ่มตั้งแต่วันที่ 6 มกราคม – 2 มีนาคม พ.ศ. 2565 ช่วยให้ลูกค้าได้รับรู้และได้เข้าถึงสินค้า SME สนุบสนุนให้ SME ไทยเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง

    นางสาวศรี ปานสูง กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอส.ดี.เจ.อินเตอร์ จำกัด กล่าวว่า “เราได้ทำงานร่วมกับโลตัสมาเป็นเวลากว่า 10 ปี ตั้งแต่ปี 2550 โดยเริ่มจากการผลิตถุงขยะสีดำให้กับทางโลตัส ในปี 2559 บริษัทและโลตัสได้ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น เราได้ร่วมกันพัฒนาและผลิตถุงขยะที่มีสีและกลิ่นภายใต้แบรนด์โลตัส ซึ่งได้รับผลตอบรับที่ดีมากจากลูกค้า อีกทั้งโลตัส ยังช่วยเพิ่มขีดจำกัดของบริษัท ทำให้มีสินค้าใหม่ๆออกสู่ตลาดอยู่เสมอ พร้อมยอดขายที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง จนนำมาสู่การส่งออกไปยัง โลตัส มาเลเซีย ในปี 2561 ช่วยให้เราสามารถเปิดโรงงานแห่งที่สองขึ้นได้ เพื่อตอบรับความต้องการของผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ

    สำหรับการสนับสนุนเกษตรกรไทย โลตัส ยังคงดำเนินโครงการรับซื้อผลผลิตตรงจากเกษตรกร (Direct Sourcing) มาอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2564 ได้รับซื้อผลผลิตทางการเกษตรตรงจากเกษตรกรกว่า 1,400 ครัวเรือน จากทั้ง 4 ภูมิภาคทั่วประเทศ รวมผลผลิตที่รับซื้อตรงจากเกษตรกรกว่า 1,820 ตัน เพื่อส่งมอบผักสดคุณภาพสูง ปลอดภัย ในราคาที่เอื้อมถึง ให้กับลูกค้า

    โลตัส มีแผนงานที่ชัดเจนในการเพิ่มปริมาณการรับซื้อสินค้าเกษตร และสินค้า SME อย่างน้อย 10% ทุกปี เป็นระยะเวลา 5 ปี ยังคงมุ่งมั่นทำงานร่วมกับผู้ประกอบการ SME และเกษตรกรไทย ที่เป็นรากฐานสำคัญของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยอย่างต่อเนื่อง โดยทำงานจะร่วมกันกับพันธมิตรทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ และภาคเอกชนเพื่อส่งเสริม สนับสนุน และพัฒนาศักยภาพ พร้อมต่อยอดการเป็น “แพลทฟอร์มแห่งโอกาส” ให้กับผู้ประกอบการ SME และเกษตรกรไทย ให้มีรากฐานที่มั่นคง และสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน

    ]]>
    1371395
    ซีพีเตรียมเร่งขยายต่างประเทศ ปรับโครงสร้างธุรกิจกลุ่มค้าปลีก ตั้งเป้าเพิ่มจำนวนร้านทั่วภูมิภาค ต่อยอดออนไลน์ออฟไลน์ https://positioningmag.com/1349545 Wed, 01 Sep 2021 03:30:11 +0000 https://positioningmag.com/?p=1349545 “ธุรกิจค้าปลีกเป็นโอกาสสำคัญของประเทศไทยบนเวทีโลก

    และเป็นธุรกิจที่ประเทศไทยสามารถประสบความสำเร็จบนเวทีโลกได้”

    ศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ ประธานกรรมการ บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน)

     

    “เราต้องการให้ธุรกิจค้าปลีกของเราทั่วโลกทำหน้าที่เป็นแพลตฟอร์มให้กับเกษตรกร ผู้ผลิตและ SME ไทย ให้สามารถนำผลผลิตและสินค้าไปขายในต่างประเทศได้”

    ศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ ประธานกรรมการ บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน)

     

    เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) โดยนายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ และประธานกรรมการ บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) ประกาศว่าเครือซีพีตั้งเป้าขยายร้านค้าปลีกและร้านค้าส่งของเครือให้ได้อย่างรวดเร็ว ทั่วภูมิภาค ซึ่งรวมถึงสาขาของสยามแม็คโคร และศูนย์ค้าปลีกค้าส่งรูปแบบอื่นๆ ในเครือซีพี

    ปัจจุบัน เครือซีพีมีธุรกิจค้าปลีกและธุรกิจค้าส่งอยู่ในประเทศจีน มาเลเซีย อินเดีย กัมพูชา เมียนมา ภายใต้แบรนด์และรูปแบบร้านค้าที่หลากหลาย รวมจำนวนประมาณ 337 ร้านค้า

    นายศุภชัย กล่าวว่า “ธุรกิจค้าปลีกเป็นโอกาสสำคัญของประเทศไทยบนเวทีระดับโลก และเป็นธุรกิจที่ประเทศไทยสามารถประสบความสำเร็จบนเวทีโลกได้ นี่คือวิสัยทัศน์ร่วมกันของธุรกิจในกลุ่มค้าปลีกและค้าส่งในเครือซีพี”


    เพิ่มความคล่องตัวและเพิ่มประสิทธิภาพ

    “เพื่อที่จะประสบความสำเร็จบนเวทีโลกที่ซับซ้อน เราต้องตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว เพื่อนำบริษัทในกลุ่มธุรกิจค้าปลีกของเครือซีพีขยายธุรกิจและแข่งขันกับผู้ประกอบธุรกิจในเวทีระดับโลก หากเมื่อมีการปรับโครงสร้างธุรกิจต่างๆ หลังได้รับอนุมัติจากผู้ถือหุ้นแล้ว จะทำให้สยามแม็คโคร กลายเป็นบริษัทแม่ของ บริษัท ซี.พี. รีเทล ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด”

    “การปรับเปลี่ยนครั้งนี้ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพความคล่องตัวในการตัดสินใจต่างๆ และยังมีประโยชน์อื่นๆ ที่จะเกิดขึ้นด้วย ก็คือ จะช่วยทำให้แม็คโคร และโลตัสส์ มีความคล่องแคล่ว รวดเร็ว (Agility) ในการเดินหน้าสู่ความสำเร็จบนเวทีระดับนานาชาติ” นายศุภชัย กล่าว


    เพิ่มการมีส่วนร่วมของประชาชนทั่วไป

    ในการประชุมคณะกรรมการบริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันอังคารที่ 31 สิงหาคม คณะกรรมการฯ มีมติเห็นชอบที่จะนำเสนอต่อผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ในการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ที่จะจัดขึ้นในช่วงกลางเดือนตุลาคม เพื่อให้อนุมัติเพิ่มทุนจดทะเบียน บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) จากปัจจุบัน 2,400 ล้านบาท เป็น 5,586 ล้านบาท โดยการเปิดขายหุ้นใหม่ จำนวน 6,372,323,500 หุ้น ที่ราคาพาร์ หุ้นละ 0.5 บาท ซึ่งในจำนวนนั้น จะเป็นการเปิดขายให้กับประชาชนทั่วไป จำนวน 1,362,000,000 หุ้น ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะเดินหน้าตามแผนการขยายธุรกิจในต่างประเทศ และแผนธุรกิจอื่นๆ

    นางสุชาดา อิทธิจารุกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจสยามแม็คโคร กล่าวว่า “เราต้องการเชิญชวนให้ประชาชนทั่วไปได้เข้ามามีส่วนร่วมในธุรกิจที่มีอนาคตการเติบโตที่น่าตื่นเต้นบนเวทีระดับนานาชาติ ด้วยการเพิ่มสัดส่วนที่มากขึ้นให้ประชาชนทั่วไปได้เข้ามาร่วมเป็นเจ้าของแม็คโคร โดยบริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนการเป็นเจ้าของบริษัทฯ ให้กับประชาชนทั่วไป ถึง 2 เท่า จากเดิมสัดส่วนที่ประชาชนทั่วไปร่วมเป็นเจ้าของ บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) อยู่ที่ 7% จะเพิ่มเป็นมากกว่า 15% ในขณะที่ จำนวนการถือหุ้นของเครือซีพี ในบริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) จะลดลงจาก 93% เหลือประมาณ 85%”

    การปรับโครงสร้างธุรกิจของบริษัทต่างๆ ครั้งนี้ จะไม่มีผลกระทบต่อการดำเนินการของ บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) และบริษัทอื่นๆ ที่ดำเนินการอยู่

    “พนักงานทั้งหมด ผู้บริหาร การจัดการและงานประจำวัน ฟอร์แมตธุรกิจ การวางตำแหน่งทางธุรกิจ ลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย และซัพพลายเออร์ จะยังคงอยู่และดำเนินการเช่นเดิม โดยการปรับโครงการธุรกิจครั้งนี้จะไม่มีผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเรื่องบุคลากร และจะไม่มีผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นที่มีอำนาจควบคุมของบริษัทฯ ทั้งนี้การดำเนินการขั้นตอนต่างๆ ตามแนวทางการปรับโครงสร้างธุรกิจครั้งนี้ ยังคงต้องผ่านการเห็นชอบจากผู้ถือหุ้น รวมถึงการอนุมัติต่างๆ ที่เกี่ยวข้องต่อไป” นายศุภชัยกล่าว


    ‘แพลตฟอร์มแห่งโอกาส’

    นายศุภชัยกล่าวเพิ่มเติมว่า การจัดโครงสร้างใหม่ของธุรกิจค้าปลีกเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งของเครือซีพีบนเวทีนานาชาติครั้งนี้ จะช่วยสนับสนุนกลยุทธ์ ‘แพลตฟอร์มแห่งโอกาส’ ที่เครือซีพีเพิ่งประกาศไปก่อนหน้านี้ โดยมีเป้าหมายเพื่อเสริมความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย ในระบบเศรษฐกิจโลกยุคหลังวิกฤตโควิดด้วย “การสร้างแพลตฟอร์มให้กับบริษัทอื่นๆ จากประเทศไทย และผลิตภัณฑ์ของคนไทย เพิ่มศักยภาพการทำธุรกิจของพวกเขาให้ได้มากที่สุด”

    “เราต้องการให้ธุรกิจค้าปลีกของเราทั่วโลกทำหน้าที่เป็นแพลตฟอร์มให้กับเกษตรกร ผู้ผลิต และ SME ไทยนับหมื่นๆ ราย ให้สามารถนำผลผลิตและสินค้าไปขายในต่างประเทศ”

    “การขยายช่องทางค้าปลีกในตลาดโลกให้มากขึ้นสำหรับสินค้าไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลผลิตทางการเกษตร และอาหารสด คือสิ่งสำคัญที่จะช่วยสานฝันของประเทศไทยในการเป็น ‘ครัวของโลก (Kitchen of the World)’ โดยร้านค้าของเครือซีพีจะทำหน้าที่เสมือนท่อธุรกิจที่ลำเลียงนำธุรกิจขนาดเล็กๆ จากประเทศไทย ให้เข้าสู่ตลาดใหม่ได้ พร้อมกับนำผลผลิตและสินค้าของไทยไปนำเสนอ สร้างการเติบโตให้กับธุรกิจของเขาเอง ตลอดจนเสริมสร้างความแข็งแกร่งในทุกสถานการณ์ (Resilience) ให้กับธุรกิจของเรา” นายศุภชัย กล่าว


    ยักษ์ใหญ่ระดับโลก

    ประเทศไทยได้รับการยอมรับในวงการค้าปลีกระดับสากล จากการที่ธุรกิจค้าปลีกของไทยสามารถคว้ารางวัลยอดเยี่ยมด้านนวัตกรรม จากสมาคมค้าปลีกที่มีชื่อเสียงระดับโลก และยังเป็นเจ้าของกิจการค้าปลีกระดับแลนด์มาร์คในหลายประเทศ อย่างไรก็ดี อาจจะยังไม่สามารถเทียบกับยักษ์ใหญ่ของวงการค้าปลีกระดับโลกได้

    “ขนาดของธุรกิจ (scale) ถือเป็นหนึ่งในปัจจัยความสำเร็จที่สำคัญที่สุดของธุรกิจค้าปลีกระดับโลก นั่นคือเหตุผลที่ในโลกปัจจุบัน บริษัทค้าปลีกระดับโลกจะเป็นบริษัทขนาดยักษ์ใหญ่ ยกตัวอย่างผู้ค้าปลีก 2 รายที่ใหญ่ที่สุดของโลก สามารถสร้างยอดขายของแต่ละรายได้มากกว่าขนาดเศรษฐกิจทั้งหมดของประเทศไทย จึงเป็นความท้าทายของธุรกิจค้าปลีกของไทยในการไปแข่งขันในระดับโลก”

    “ผมมั่นใจว่า การร่วมมือกับธุรกิจอื่นๆ ในประเทศไทย การปรับโครงสร้างธุรกิจ และการก้าวไปข้างหน้าอย่างมีเป้าหมายชัดเจน ตลอดจนมีเงินทุนที่เพียงพอ จะส่งผลให้ประเทศไทยมีเครือข่ายการจัดจำหน่ายสินค้าในต่างประเทศที่ค่อนข้างใหญ่ และมีนัยสำคัญได้ในอนาคตอันใกล้นี้” นายศุภชัย กล่าว

    นางสุชาดากล่าวว่า “แม็คโคร ได้สนับสนุนลูกค้าผู้ประกอบการต่างๆ มากมายในประเทศไทย โดยเฉพาะผู้ประกอบการร้านค้าปลีกรายย่อย เช่น ร้านโชห่วย มินิมาร์ท ตลอดจนโรงแรม ร้านอาหาร และธุรกิจจัดเลี้ยงอย่างแข็งขัน มาเป็นระยะเวลายาวนานกว่า 32 ปี ความสัมพันธ์ทางธุรกิจที่ดีนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ว่า คุณภาพและความปลอดภัยของสินค้าเป็นเรื่องสำคัญสูงสุด เราได้คัดสรรสินค้าที่หลากหลาย ครบครัน มีคุณภาพดี ในราคาขายส่ง เพื่อให้ลูกค้าผู้ประกอบการรายย่อยสามารถลดต้นทุน ประกอบธุรกิจได้อย่างมีกำไร และเติบโตอย่างยั่งยืน นอกจากนี้เรายังมุ่งมั่นเป็นพันธมิตรที่คู่ค้าทุกคนวางใจ พร้อมสนับสนุนลูกค้าผู้ประกอบการของเราให้พัฒนาธุรกิจและเติบโตอย่างต่อเนื่อง”

    “เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า การเร่งขยายธุรกิจต่างประเทศของเราในอนาคต จะสร้างโอกาสให้ผู้ผลิตสินค้ารายย่อย (เอสเอ็มอี) และเกษตรกร ผู้ผลิตอาหารสด สินค้าสำเร็จรูป และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ในประเทศไทย ประสบความสำเร็จในการขยายตลาดและเติบโตในเวทีโลกต่อไป” นางสุชาดา กล่าว

    ]]>
    1349545
    คว้าโอกาส ตลาด ‘อีคอมเมิร์ซ’ ไทย ฉายเเววรุ่ง โตเฉลี่ยปีละ 20% คาดเเตะ 7.5 แสนล้านในปี 68 https://positioningmag.com/1349187 Mon, 30 Aug 2021 08:59:00 +0000 https://positioningmag.com/?p=1349187 ตลาด ‘อีคอมเมิร์ซ’ ในไทย หลังโควิดฉายเเววรุ่ง ประเมินขยายตัวเฉลี่ย 20% ตลอดช่วง 5 ปีข้างหน้า มูลค่าตลาดอาจพุ่งเเตะ 7.5 แสนล้านในปี 2568 จาก 3 แสนล้านในปัจจุบัน E-marketplace เเข่งขันดุเดือดเหลือเจ้าใหญ่ไม่กี่ราย โอกาสร้านเล็กกระจายความเสี่ยง ปรับตัวรับลูกค้าเเนวใหม่ 

    KKP Research โดยกลุ่มการเงินเกียรตินาคินภัทร ประเมินว่า ตลาดค้าปลีกออนไลน์ หรือ อีคอมเมิร์ซ (E-commerce) ในไทยหลังวิกฤตโควิด-19 จะขยายตัวเฉลี่ย 20% ต่อปีตลอดช่วง 5 ปีข้างหน้า เพิ่มขึ้นจากระดับ 3 แสนล้านบาท เป็น 7.5 แสนล้านบาทในปี 2568 หรือคิดเป็น 16% ของตลาดค้าปลีกรวม

    โดยในปี 2563 ตลาดอีคอมเมิร์ซไทยขยายตัวก้าวกระโดดถึง 80% สะท้อนพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนมาสู่ช่องทางออนไลน์เพิ่มขึ้น ท่ามกลางข้อจำกัดการเดินทางเเละมาตรการล็อกดาวน์

    สำหรับสินค้าที่มีเเนวโน้ม ‘ขยายตัวได้ดี’ จะอยู่ในหมวดสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ อาหารและสุขภาพ สวนทางกับยอดใช้จ่ายเพื่อการจองโรงแรมและการเดินทางท่องเที่ยวที่หดตัวลงอย่างรุนแรง 

    อีคอมเมิร์ซไทย ใหญ่เบอร์ 2 อาเซียน มีปัจจัยหนุนอะไรบ้าง 

    ปัจจุบัน ตลาดอีคอมเมิร์ซในไทย มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของอาเซียนรองจากอินโดนีเซีย แต่ในแง่มูลค่าใช้จ่ายต่อผู้ใช้ยังอยู่ในระดับต่ำกว่าสิงคโปร์ อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ชี้ให้เห็นโอกาสในการเติบโตได้ เนื่องจากยังอยู่ในช่วงระยะเริ่มต้นโดย 3 ปัจจัยหลักๆ ที่จะทำให้อีคอมเมิร์ซในไทยเเละอาเซียน สามารถเติบโตได้สูงต่อเนื่อง ได้แก่

    1. การเข้าถึงอินเทอร์เน็ต : เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากปัจจุบันที่เฉลี่ยราว 80% ของประชากร

    2. การใช้โทรศัพท์มือถือและเครือข่ายสังคมออนไลน์อย่างเข้มข้น : โดยเฉพาะในกลุ่ม Gen Y และ Gen Z โดยกลุ่มประเทศในอาเซียนมีจำนวนบัญชี Facebook ต่อประชากรสูงที่สุดในโลกและเป็นโอกาสทางการตลาดที่สำคัญ

    3.บริการชำระเงินออนไลน์ที่แพร่หลายในอาเซียน : ไทยเป็นประเทศที่มีการใช้บริการธนาคารผ่านมือถือ (mobile banking) และการชำระเงินผ่านมือถือ (mobile payments) สูงที่สุดเป็นอันดับ 1 และอันดับ 2 ของโลก โดยมีบริการพร้อมเพย์ (PromptPay) ที่สะดวกและมีต้นทุนต่อผู้ใช้ต่ำ

    เเพลตฟอร์มใหญ่ ‘คุมตลาด’ 

    ธุรกิจค้าปลีกในไทย เปลี่ยนไปเป็นการซื้อขายบนแพลตฟอร์มออนไลน์หรือ E-marketplace มากขึ้น คิดเป็นกว่าครึ่งหนึ่งของมูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซรวมของไทย
    “โดยเป็นการแข่งขันระหว่างสองแพลตฟอร์มข้ามชาติ ได้แก่ Shopee และ Lazada ทิ้งห่างแพลตฟอร์มรายอื่น” 
    ส่วนแนวโน้มการแข่งขันในธุรกิจแพลตฟอร์มที่เข้มข้นเพื่อช่วงชิงส่วนแบ่งตลาด และเป็นฐานต่อยอดไปสู่โอกาสธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ส่งผลให้โดยรวมแล้วแม้รายได้ของธุรกิจแพลตฟอร์มจะขยายตัวขึ้นอย่างมาก แต่ยังคงมีแนวโน้มขาดทุนต่อเนื่องจากการโฆษณาประชาสัมพันธ์และการร่วมอุดหนุนการขาย
    KKP Research ประเมินว่า ท้ายที่สุดจะเหลือธุรกิจแพลตฟอร์มที่สามารถทำกำไรได้เพียงไม่กี่ราย และอาจมีผู้ชนะเพียงรายเดียว เช่นเดียวกับตลาดอีคอมเมิร์ซในจีนและสหรัฐฯ ที่มีกลุ่ม Alibaba และ Amazon เป็นเจ้าตลาดทิ้งห่างคู่แข่งที่เหลือ

    ร้านเล็ก-ใหญ่ ต้องกระจายความเสี่ยง 

    ธุรกิจค้าปลีก ที่มีหน้าร้านสามารถปรับกลยุทธ์ไปสู่ช่องทางออนไลน์เพิ่มมากขึ้น เพื่อลดผลกระทบจากโควิด-19 และขยายโอกาสการเติบโตในคราวเดียวกัน ในภาวะที่สูตรสำเร็จของธุรกิจค้าปลีกเปลี่ยนจากการมีทำเลที่ตั้งที่ใกล้แหล่งผู้บริโภค (localization) ความน่าเชื่อถือของผู้ขาย (trust) และประสบการณ์หน้าร้าน (human touch) และถูกแทนที่ด้วย

    1.การส่งสินค้าถึงบ้าน (home delivery)

    2. คะแนนรีวิวและยอดขาย (online reputation)

    3. การสอบถามและบริการผ่านการสนทนาออนไลน์ (online support) บนอีคอมเมิร์ซ 

    ธุรกิจค้าปลีกขนาดกลางและขนาดย่อม ที่มีหน้าร้านควรเริ่มสร้างรอยเท้าดิจิทัล (Digital footprint) บนช่องทางและแพลตฟอร์มที่หลากหลายเพื่อเพิ่มการมองเห็น (visibility) และเพื่อกระจายความเสี่ยงหากบางแพลตฟอร์มต้องปิดตัวลง

    KKP Research มองว่า ธุรกิจค้าปลีกขนาดใหญ่ เช่นห้างสรรพสินค้า หรือร้านค้าประเภทที่มีผู้ให้คำแนะนำ (Specialist Shops) มีข้อได้เปรียบในด้านความน่าเชื่อถือของผู้ขายเป็นทุนเดิมและมีบริการหลังการขายที่ดี สามารถนำช่องทางออนไลน์มาหลอมรวมกับหน้าร้านเพื่อยกระดับประสบการณ์ของผู้บริโภค (omnichannel experience) หรืออาจสร้างช่องทางออนไลน์แยกจากช่องทางหน้าร้าน (multichannel) และเน้นการส่งสินค้าอย่างรวดเร็วถึงบ้าน เช่น การส่งสินค้าถึงบ้านใน 3 ชั่วโมงในเขตกรุงเทพฯ

    แม้ฐานลูกค้า E-commerce ของธุรกิจค้าปลีกเดิม จะมีไม่สูงนักเมื่อเทียบกับแพลตฟอร์มรายใหญ่ แต่จำนวนผู้เข้าใช้บริการสามารถเติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19

    “ธุรกิจหน้าร้านยังคงมีข้อเสียเปรียบในด้านโครงสร้างต้นทุน โดยเฉพาะค่าเช่าพื้นที่และค่าจ้างพนักงาน จึงจำเป็นต้องปิดจุดอ่อนผ่านการบริหารต้นทุนของช่องทางหน้าร้าน ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเพื่อรักษาอัตรากำไรในระยะต่อไป”

    Photo : Shutterstock

    เเนะรัฐส่งเสริม ‘โลจิสติกส์-ระบบการเงิน’ ลดขั้นตอนระหว่างแดน

    การขยายตัวธุรกิจค้าปลีกออนไลน์ยังส่งเสริมให้ภาคธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องได้รับประโยชน์ไปด้วย ได้แก่ ธุรกิจคลังสินค้า (Warehouse) บรรจุภัณฑ์ (Packaging) และขนส่ง (Logistics) รวมถึงโฆษณาออนไลน์

    ขณะที่มีบางธุรกิจที่จะได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น ธุรกิจค้าปลีกที่อาศัยหน้าร้าน ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับการขายหรือให้เช่าพื้นที่เพื่อการพาณิชย์ หรือร้านอาหารขนาดใหญ่ที่ถูกแย่งส่วนแบ่งจากบริการส่งอาหาร (Food Delivery)

    กลยุทธ์การปรับตัวไปสู่ภาวะปกติใหม่ (New Normal) จะเป็นกุญแจสำคัญสำหรับธุรกิจที่จะอยู่รอดต่อไป และเป็นโอกาสในการสร้างการเติบโตใหม่ของธุรกิจได้

    KKP Research วิเคราะห์ว่า ภาครัฐสามารถมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนธุรกิจค้าปลีกออนไลน์และเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ เพื่อยกระดับผลิตภาพในภาคบริการ สร้างงานในภาคธุรกิจใหม่ และสร้างการเข้าถึงโอกาสที่เท่าเทียมแก่ธุรกิจรายย่อย ผ่านการส่งเสริมด้านโครงสร้างพื้นฐานและลดขั้นตอนและกฎระเบียบใน 3 ด้าน ได้แก่

    (1) ส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพโลจิสติกส์ในประเทศ ทั้งการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานและสนับสนุนการจัดตั้งคลังสินค้าสมัยใหม่แบบครบวงจร (Fulfillment center)

    2) สนับสนุนการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์และการจัดเก็บภาษีบนธุรกิจออนไลน์อย่างโปร่งใสและเป็นระบบ เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกรรมค้าปลีกออนไลน์ในอนาคต

    3) ขยายตลาดค้าปลีกออนไลน์ ให้ไปไกลกว่าตลาดในประเทศผ่านการลดขั้นตอนและกฎระเบียบระหว่างแดน เพื่อให้ธุรกิจอีคอมเมิร์ซของไทยสามารถเข้าถึงผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ต 470 ล้านคนในอาเซียนได้

     

     

    ]]>
    1349187