ธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 20 Dec 2019 05:42:25 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ไทยรัฐประกาศ “ลดคน” แล้ว! เปิดโครงการลาออกสมัครใจทุกระดับส่งท้ายปี 61 https://positioningmag.com/1203393 Mon, 17 Dec 2018 09:18:32 +0000 https://positioningmag.com/?p=1203393 สื่อสิ่งพิมพ์ยังต้องเผชิญกับสถานการณ์ยากลำบาก ล่าสุด ค่ายสื่อยักษ์ใหญ่ ไทยรัฐ ได้ออกประกาศ “โครงการลาออกด้วยความสมัครใจ” แล้ว

โดยระบุว่า ด้วยปัจจุบันสถานการณ์สิ่งพิมพ์ของบริษัทฯ ต้องเผชิญกับความท้าทายต่อสภาวะเศรษฐกิจและพฤติกรรมการบริโภคสื่อของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไปมาก ทำให้สภาพทางธุรกิจของบริษัทฯ ไม่เป็นไปตามเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าบริษัทฯ จะได้พยายามประคับประคองธุรกิจสิ่งพิมพ์ในทุกวิถีทางอย่างถึงที่สุดแล้วก็ตาม บริษัทฯ มีความจำเป็นต้องลดโครงสร้างและอัตรากำลังคน เพื่อให้ธุรกิจสามารถดำเนินการต่อไปได้ บริษัทจึงมีนโยบายให้พนักงานประจำ ในสังกัด บริษัท วัชรพล จำกัด ทุกระดับ สมัครเข้าโครงการลาออกด้วยความสมัครใจ โดยได้รับความช่วยเหลือ มีรายละเอียดตามประกาศ ดังนี้

ทั้งนี้ พนักงานที่ประสงค์เข้าร่วมโครงการ ให้กรอกแบบฟอร์มแสดงความประสงค์ ที่ฝ่ายทรัพยากรบุคคล ตั้งแต่วันที่ 17-30 ธันวาคม 261

โดยผลตอบแทนตามโครงการ ประกอบไปด้วย

  1. เงินช่วยเหลือตามอายุงาน โดยให้นับอายุงานตั้งแต่วันเข้าทำงาน จนถึง 31 มกราคม 2562
  2. เงินช่วยเหลือพิเศษอีก 30 วัน

โดยพนักงานที่ได้รับพิจารณาอนุมัติ จะพ้นสภาพการเป็นพนักงานในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2562 และจะได้รับเงินช่วยเหลือเป็นเช็ค ในวันที่ 30-31 มกราคม 2562 ประกาศเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2561 ลงชื่อ ยิ่งลักษณ์ วัชรพล ประธานกรรมการบริหาร

ทั้งนี้ สำหรับเม็ดเงินโฆษณาสื่อหนังสือพิมพ์ ในเดือนพฤศจิกายน 2561 ที่ผ่านมา มียอด 555 ล้านบาท ติดลบ 17.41 % และสำหรับยอด 11 เดือนที่ผ่านมา มียอด 5,589 ล้านบาท ลดลง 20.95% เป็นการลดลงต่อเนื่อง.

]]>
1203393
เคาะเม็ดเงินโฆษณาปี 61 ไม่ร้อนแรง คาดโต 4% แตะ 1.2 แสนล้าน ทีวีช่องหลักพาเหรดขึ้นค่าโฆษณา https://positioningmag.com/1159256 Tue, 27 Feb 2018 23:15:54 +0000 https://positioningmag.com/?p=1159256 สื่อสิ่งพิมพ์ยังคงปิดตัวต่อเนื่อง ถึงคิวของ โจ-ธรรศพลฐ์ แบเลเว็ลด์” เตรียมปิดบริษัทสื่อรวด ทั้งออนไลน์และออฟไลน์หลังจากซื้อกิจการมาได้ 3 ปี

ลองมาดูภาพรวมการใช้เงินโฆษณาที่ใช้ในปี 2561 โดยสมาคมมีเดียเอเยนซี่ และธุรกิจสื่อแห่งประเทศไทย ได้ออกมาคาดการณ์การใช้สื่อในปี 2561 จะเติบโต 4% หรือคิดเป็นเม็ดเงิน 120,912  ล้านบาท

ไตรลุจน์ นวะมะรัตน นายกสมาคมมีเดียเอเยนซี่ และธุรกิจสื่อแห่งประเทศไทย (Media Agency Association of Thailand: MAAT) บอกว่าปี 2561 ปีนี้ภาพรวมของอุตสาหกรรมโฆษณาดีขึ้น ปัจจัยบวกมาจากเศรษฐกิจโดรวมดีขึ้น ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นกับการจับจายมากขึ้น มีสินค้าออกใหม่ออกสู่ตลาด รวมถึงการมีรายการถ่ายทอดกีฬา อย่าง ฟุตบอลโลก เอเชียนเกม เป็นแรงหนุนให้เกิดการซื้อแพ็กเกจโฆษณาเพิ่มขึ้น

ไตรลุจน์ นวะมะรัตน

ถึงแม้ปีนี้จะเติบโต 4% ก็จริง แต่ยังไม่เติบโตเท่ากับในอดีต ในปี 2558 ถือว่า เป็นช่วงที่อุตสาหกรรมโฆษณาเติบโตมาก แต่หลังจากนั้นในปี 2559 ติดลบ 10% และปี 2560 ติดลบ 4%

รัฐกร สืบสุข อุปนายกสมาคมมีเดียเอเยนซี่ และธุรกิจสื่อแห่งประเทศไทย กล่าวเสริมว่า ลูกค้าหันมาควบคุมต้นทุนในการซื้อสื่อ ต้องการได้มากขึ้น ซึ่งเป็นแรงกดดันให้สื่อขึ้นราคาลำบาก รวมทั้งการที่ลูกค้ามาซื้อแบบกระจายสื่อมากขึ้น ด้วยการลดซื้อสื่อทีวี หันใช้สื่อชนิดอื่น เช่น สื่อออนไลน์ และสื่อนอกบ้าน เม็ดเงินที่ใช้ไม่มากเท่า “ทีวี” ทำให้งบโฆษณารวมไม่เติบโตมากนัก

รัฐกร สืบสุข

อย่างไรก็ตาม สื่อทีวียังเป็นสื่อหลักครองสัดส่วนโฆษณา 57% เติบโต 4% ในปี 2561 โดยสื่อที่ยังเติบโต คือ สื่ออินเทอร์เน็ต เติบโต 25% มูลค่า 14,722 ล้านบาท ครองสัดส่วนโฆษณา 12% สื่อนอกบ้าน โต 10 % เพราะคนใช้ชีวิตนอกบ้าน สื่อบนรถไฟฟ้า เติบโต 15% จากการขยายเส้นทางรถไฟฟ้า

เช่นเดียวกับสื่อโรงภาพยนตร์ เติบโต 25% สื่อในห้างฯ มีการเก็บตัวเลขเพิ่มเติม จากร้านเซเว่น อีเลฟเว่น แต่ก็เติบโตไม่มาก

ส่วนสื่อที่อยู่ในช่วงขาลง คือ หนังสือพิมพ์ แมกกาซีน วิทยุ ยังคงติดลบต่อเนื่องตลอด

5 ท็อปทีวีขึ้นค่าโฆษณา

สำหรับ TV Inflation เป็นตัวชีวัดที่ใช้วิเคราะห์ภาพรวมการเปลี่ยนของทีวี  (ราคาโฆษณาที่เปลี่ยนแปลง หารด้วยจำนวนผู้ชมเปลี่ยนแปลง) พบว่า TV Inflation ปี 2561 อยู่ที่ 6% เนื่องจากทีวีดิจิทัล 5-6 ช่องหลัก ได้ขึ้นค่าโฆษณา สวนทางกับคนดูลดลง ส่งผลให้ต้นทุนในการเข้าถึงกลุ่มผู้ชมมากขึ้น หากต้องการเข้าถึงให้กลุ่มคนดูเท่าเดิม เช่น ใช้เม็ดเงินโฆษณา 100 บาท มูลค่าลดลง 6%

เช่นเดียวกัน สื่อนอกบ้าน ยังมีความต้องการ ราคาจึงเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ Inflation เพิ่มขึ้น 10% รวมทั้งสื่อออนไลน์ ที่Inflation เพิ่มขึ้น 8%

แต่เมื่อมองภาพรวม ปี 2018 คนดูลดลง แต่ไม่ได้ลดมาก เนื่องจากตลาดค่อนข้างนิ่งแล้ว แต่ราคาอาจสูงขึ้น ช่องดิจิทัลปรับราคาขึ้น แต่ไม่ต่างจากเดิมมาก เพราะสื่อขาลงก็ไม่ได้ปรับราคา

สรุปเม็ดเงินโฆษณาปี 2560 ติดลบ 4%

สำหรับเม็ดเงินโฆษณาปี 2560 มูลค่ารวม 116,239 ล้านบาท ติดลบ 4% โดยทีวีติดลบ ทั้งช่องเดิมและช่องดิจิทัล เนื่องจากเหตุการณ์เดือนตุลาคม สื่อวิทยุ หนังสือพิมพ์ แมกกาซีน ติดลบ เนื่องจากย้ายแพลตฟอร์มไปออนไลน์  หลาย ๆ เล่มปิดตัวไป

สื่อที่เติบโตดี โรงภาพยนตร์ จากการขยายสาขาเพิ่มขึ้น สื่อนอกบ้าน (Outdoor) สื่อในห้าง (In-Store) ได้เก็บข้อมูลเพิ่มจากสื่อในร้านเซเว่ล อีเลฟเว่น ทำให้ตัวเลขเติบโต

ส่วนสื่ออินเทอร์เน็ต โต 20% มีสัดส่วน 10% ซึ่งถือว่าฐานยังเล็กมาก เพราะเวลานี้ ประเภทอื่นครองสัดส่วน 20-30% ของงบโฆษณา

อุตสาหกรรมไหนใช้เม็ดเงินสูงสุด

กลุ่มอุตสาหกรรมใช้เงินเยอะ อย่าง รถยนต์ เครื่องดื่ม โทรคมนาคม ปีที่แล้วใช้งบลดลง รวมทั้งกลุ่มสินค้า อุปโภคบริโภค (FMCG) สกินแคร์ ผลิตภัณฑ์ห้องน้ำ สบู่ ยาสีฟัน ลดการใช้งบโฆษณาลงอย่างเห็นได้ชัด หรือแม้แต่สถาบันการเงินก็ใช้เงินทรง ๆ

ในขณะที่ “มีเดีย มาร์เก็ตติ้ง” อย่างไดเร็คมาร์เก็ตติ้ง ขายสินค้าทางทีวี เติบโตเยอะ เพราะทุ่มโฆษณา จากที่ไม่เคยติดอันดับ ปีนี้ขึ้นมาติดอันดับ 5 สะท้อนภาพการแข่งขันทีวีเปลี่ยนไป แทนที่จะเป็นสินค้าไดเร็คเซลส์เพิ่มมากขึ้น

Top 20 บริษัทใช้งบโฆษณา

ทั้ง ยูนิลีเวอร์ โตโยต้า พีแอนด์จี ล้วนแต่ใช้งบโฆษณาลดลง เอไอเอส ดีแทคใช้เม็ดเงินโฆษณาลดลง เช่นเดียวกับสินค้า FMCG ส่วนรถยนต์ค่อนข้างผสมผสาน บางแบรนด์ใช้เพิ่ม และบางแบรนด์ลดลง

ที่น่าสนใจ บริษัท วิซาร์ด โซลูชั่น เจ้าของกระทะโคเรียคิง ยังใช้เม็ดเงินโฆษณาต่อเนื่อง แต่สะดุดไปบางช่วงเพราะติดเรื่องข้อกฎหมาย

แบรนด์ใช้งบโฆษณา

  • อันดับ 1 กระทะโคเรียคิง โฆษณาออกเกือบทุกวัน แต่การใช้เม็ดเงินจริง ๆ อาจไม่ถึง
  • อันดับ 2 แคมเปญภาครัฐ 
  • อันดับ 3 ทีวีไดเร็ค    
  • อันดับ 4 ​โค้ก

สะท้อนว่า ปัจจุบันการใช้จ่ายโฆษณาในสื่อหลัก ๆ จะเปลี่ยนแปลงไป  ไม่ใช่ธุรกิจโทรคมนาคม ธนาคาร รถยนต์ เหมือนกับในอดีต.

]]>
1159256
เจาะตำนาน “ขายหัวเราะ” ธุรกิจความฮาสามัญประจำบ้าน อยู่อย่างไรในยุคดิจิทัล    https://positioningmag.com/1154505 Thu, 25 Jan 2018 10:59:07 +0000 https://positioningmag.com/?p=1154505 ท่ามกลางกระแสดิจิทัลมาแรง กระเทือนสื่อสิ่งพิมพ์ให้ “ล้มหายตายจาก” ไปทีละเล่มสองเล่มจากแผงหนังสือ พฤติกรรมผู้บริโภคชาวไทยที่ถูกตราหน้าว่า “อ่านหนังสือไม่เกิน 7 บรรทัด” และสถานการณ์ใช้จ่ายเม็ดเงินโฆษณาผ่านสื่อสิ่งพิมพ์ เช่น หนังสือพิมพ์ที่ลดลง แมกกาซีนติดลบ นับเป็นความท้าทายของคนทำธุรกิจผลิตตำรับตำรา หนังสืออย่างมาก

อีกหนึ่งสื่อที่น่าสนใจในการ “ฝ่ากระแส” Digital Disrupt ยุคนี้ คงต้องยกให้หนังสือการ์ตูน “ขายหัวเราะ ซึ่งเป็นการ์ตูนที่ผู้บริโภคในประเทศไทยจำนวนไม่น้อย โตมากับเสียงหัวเราะ อ่านมุกตลก จดจำลายเซ็นนักวาดการ์ตูน ลายเส้นคาแร็กเตอร์ตัวการ์ตูนได้อย่างดี เรียกได้ว่าเป็น “ความฮาสามัญประจำบ้าน” ตามคอนเซ็ปต์ของหนังสือจริงๆ

หากจะพิจารณาจุดแข็งจุดอ่อนที่ “ขายหัวเราะ” ประสบความสำเร็จในตลาดได้อย่างยาวนานถึง 44 ปี คงเริ่มจากการมองเห็น “โอกาสทางการตลาด” ของ “วิธิต อุตสาหจิต” ผู้เป็นทั้งบรรณาธิการหนังสือการ์ตูนในเครือบรรลือสาส์น และผู้ก่อตั้งนิตยสารขายหัวเราะ มองว่าการ์ตูนแนว 3 ช่องจบหรือการ์ตูนแก๊ก ในยุคนั้นมีน้อยมาก สะท้อนให้เห็นถึง “ช่องว่าง” ในการเข้าไปบุกเบิกและทำตลาดได้

ขณะที่ “คอนเทนต์” ของหนังสือ ก็มีความ “หลากหลาย” ตั้งแต่การ์ตูนแก๊ก การ์ตูนที่มีเนื้อเรื่องยาว ขำขัน เรื่องราวมุกตลกจากต่างประเทศมาแทรก รวมถึงเรื่องสั้นภายในเล่ม การ์ตูนมีทั้งความเซ็กซี่ เป็นต้น ตอบโจทย์ผู้บริโภคนักอ่านทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ ผู้หญิง และผู้ชาย เรียกว่าครบเครื่อง 

นอกจากนี้ “ตัวการ์ตูน” ถือเป็น “จุดแข็งมาก” ของขายหัวเราะ เพราะคาแร็กเตอร์ของแต่ละตัวนั้นแตกต่างกันออกไป ตั้งแต่การล้อเลียนตัวของ “วิธิต” เอง ซึ่งนักวาดการ์ตูนของบริษัทมักเรียกว่า “บก.วิติ๊ด” เป็นการสร้างสีสันให้คนอ่าน และมีความสนใจใคร่รู้ว่าแท้จริงแล้ววิธิตเป็นคนอย่างที่ได้อ่านหรือเปล่า  

ด้าน “ราคา” เป็นปัจจัยสำคัญต่อการตัดสินใจซื้อ ในอดีตจะเห็นว่าการ์ตูนเล่มเล็กๆ นี้ขายประมาณ 10 บาท ทำให้จับจ่ายง่าย แต่ปัจจุบันราคาขายขึ้นมาที่ 20 บาทแล้ว แม้จะเป็นหนังสือการ์ตูนราคาไม่แพง แต่ขายหัวเราะมีการกระตุ้นตลาดอย่างต่อเนื่อง ด้วยการทำ Loyalty Program ให้ผู้บริโภคร่วมสนุกกับเกมในเล่ม ร่วมกับผลิตภัณฑ์ต่างๆ เพื่อชิงโชค เป็นต้น

วันนี้กลิ่นอายของการอ่านขายหัวเราะอาจลดลงไป จากการอยู่บนแผงหนังสือน้อยลง การอยู่บนแผงในร้านสะดวกซื้อเซเว่นอีเลฟเว่นที่ปะปนทับถมกับหนังสือพิมพ์ ซ่อนอยู่ใต้หนังสือประเภทอื่นๆ

ทว่า ขายหัวเราะ กลับปรับตัวยืนหยัดเพื่อ “อยู่รอด” ได้ และเป็นกรณีศึกษาที่ดีในการทำตลาด โดยปัจจุบัน “คนอ่าน” อยู่บนโลกออนไลน์ ขายหัวเราะก็ตามมาเสิร์ฟความตลกทุกช่องทาง มี Application ให้ดาวน์โหลดอ่านได้ทั้งระบบ IOSและ Android แฟนคลับยังสามารถติดตามข่าวสาร พูดคุยได้ทั้ง Facebook Instagram Line Twitter มีครบ

ขณะที่การหารายได้บนหน้ากระดาษ ยังคงมี “โฆษณา” ให้เห็นแทรกอยู่ตามหน้าต่างๆ บ้างเล็กน้อย แต่นั่นก็เป็นโฆษณาหนังสือจากบริษัทในเครือบรรลือสาส์น เทียบกับอดีตจะเห็นโฆษณาที่มาจากขนมขบเคี้ยว และอื่นๆ อีกด้านคือ “ยอดขาย” จากจำนวนเล่มที่ตีพิมพ์นั่นเอง

“ขายหัวเราะ” อาจเป็นหนังสือการ์ตูนหัวหอกของเครือบรรลือสาส์น แต่ในพอร์ตโฟลิโอยังมีทั้ง มหาสนุก, นางสาวดอกไม้กับนายกล้วยไข่, ปังด์ปอนด์, หนูหิ่นอินเตอร์ และอีกมากมายที่ผู้อ่านคุ้นเคยกันอย่างดี

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่แค่ขายหัวเราะที่ปรับตัว เพราะในเครือบันลือกรุ๊ป ก็เปลี่ยนตัวเองไม่น้อย โดยที่ผ่านมาเห็นการขยายธุรกิจ “วิธิตา แอนิเมชั่น” นำคอนเทนต์การ์ตูนที่มีมาทำภาพยนตร์ รับทำคอนเทนต์วาดการ์ตูน ตัดต่ออัดเสียงแบบครบครัน มีธุรกิจ มาโชบิส ดูแลลิขสิทธิ์และบริการการตลาดในเครือ และบริษัทยังมีการจำหน่ายหนังสือออนไลน์ เพื่อรับกับโลกดิจิทัลด้วย.

]]>
1154505
ยุบ Men’s Fitness แต่แมส กรุ๊ป ยังขอโต เปลี่ยน L’Optimum เป็น L’Officiel Hommes เปิดลิสต์ท็อป 15 ธุรกิจ-แบรนด์ยังซื้อโฆษณาสิ่งพิมพ์ https://positioningmag.com/1151473 Fri, 22 Dec 2017 14:51:26 +0000 https://positioningmag.com/?p=1151473  “ไม่ได้ขาดทุน ไม่ได้วิกฤต แถมยังไปได้ดี ด้วยรายได้เพิ่มขึ้นปีละ 20-25% แต่ก็ต้องปิด และยุบนิตยสารในเครือ 1 เล่ม และเปลี่ยนชื่อ 1 เล่ม นี่คือสถานการณ์ที่เกิดขึ้นล่าสุดกับบริษัท แมส คอนเน็ค จำกัด ค่ายหนังสือหัวนอกระดับไฮเอนด์หลายฉบับ

พรวิภา เธียรธนวาณิชย์ ผู้อำนวยการฝ่ายเทคโนโลยี บริษัทแมส คอนเน็ค จำกัด เปิดแถลงข่าว หลังมีข่าวลือว่าจะมีการปิดตัวนิตยสารบางเล่มในเครือ ที่ซื้อลิขสิทธิ์จากต่างประเทศ

เล่มแรก “เมนส์ ฟิตเนส (Men’s Fitness)” บริษัทเจ้าของลิขสิทธิ์คือ อเมริกัน มีเดีย ได้แจ้งยุติการพิมพ์ทั่วโลก ดังนั้น นิตยสาร เมนส์ ฟิตเนส ประเทศไทย ฉบับเดือนธันวาคมนี้ จึงเป็นฉบับสุดท้าย หลังจากเพิ่งเริ่มพิมพ์เล่มแรก เมื่อเดือนพฤษภาคม 2560 รวม 8 ฉบับเท่านั้น

จริง ๆ แล้ว เมนส์ ฟิตเนส ยังไปได้ดีและมีรายได้ตามเทรนด์ของไลฟ์สไตล์ผู้บริโภค และตัวเองยังได้บินไปเพื่อเจรจาอยากให้พิมพ์ต่อในเมืองไทย แต่สไตล์ของอเมริกาเมื่อตัดสินใจคือชัดเจนว่าปิด และทางเจ้าของลิขสิทธิ์เองก็ไม่อยากให้มีชื่อนิตยสารนี้อีกแล้ว พรวิภา กล่าว

เล่มที่สอง คือจะไม่มีชื่อนิตยสาร ลอปติมัม อีกต่อไป แต่จะรวมจุดแข็งของเนื้อหาเล่มที่เจาะกลุ่มผู้ชายไปอยู่ในนิตยสาร ชื่อ ลอฟฟีเซียล ออมส์ (L’Officiel Hommes) ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2561 ตามนโยบายของเจ้าของลิขสิทธิ์ คือสำนักพิมพ์ฌาลู เจ้าของและผู้ผลิต นิตยสารลอฟฟีเชียล และลอปติมัม ฝรั่งเศส

ความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ไม่มีผลกับพนักงาน อย่างพนักงาน เมนส์ ฟิตเนสประมาณ 5 คนยังมีหน้าที่ทำนิตยสารให้ในเครือต่อไป

**แมส กรุ๊ป รุกขายแพ็กเกจสิ่งพิมพ์ ออนไลน์ดันรายได้

นับตั้งแต่ปีหน้า แมส กรุ๊ป มีนิตยสารรายเดือนในเครือดังนี้

L’Officiel ,  L’Officiel Hommes

กลุ่มราย 2 เดือน L’Officel wedding , L’officiel watches and jewelry และ L’Oficiel art  design and decors , นิตยสารนาฬิการาย 3 เดือน Wow Thailand  นอกจากนี้ยังรับจ้างผลิตนิตยสารรายเดือนบนเครื่องบิน We smile

พรวิภา เปิดเผยว่า ความเปลี่ยนแปลงนิตยสารสองเล่มในเครือดังกล่าว เป็นไปตามแผนของต่างประเทศ ที่ผ่านมาแมสกรุ๊ปปรับตัวรับความเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภค และเทคโนโลยีมาตลอด นับตั้งแต่ปีแรกที่เปิดตัว ลอฟฟีเชียล ไทยแลนด์ ในปี 2555 โดยมีช่องทางโซเชียลมีเดียในการสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมาย และทีมงานของแมสกรุ๊ป ก็ปรับตัวได้ตามเทรนด์ รวมถึงยังมีทีมงานกลุ่มใหม่ ๆ ทั้งครีเอทีฟ ตัดต่อ ภาพวิดีโอ เพื่อตอบสนองผู้บริโภคทางออนไลน์ด้วย

โมเดลธุรกิจของนิตยสารในเครือที่ใช้แพลตฟอร์ม “ออนไลน์” ด้วย จึงมีรายได้เติบโตปีละประมาณ 20-25% และปีหน้าคาดว่าจะเติบโต 25% เพราะมีการขายโฆษณาเป็นแพ็กเกจ ที่ไม่ใช่เพียงแค่การลงโฆษณาในนิตยสารอย่างเดียว แต่ถ้าลูกค้าต้องการสื่อสารทางโซเชียลมีเดีย ทั้งเว็บไซต์ เฟซบุ๊ก ไอจี ก็มีรูปแบบให้ลูกค้าเลือก

นอกจากนี้ยังมีอินฟลูเอ็นเซอร์ อย่างที่มีแคมเปญชมพู่ อารยา เอ ฮาร์เก็ต ร่วมกับแมสกรุ๊ปทำ และยังมีอีกหลายคนสำหรับหลายเซ็กเมนต์ รวมถึงยังมี เคโอแอล ในสังกัด บริษัทเคโอแอล แมนเนจเม้นท์ จำกัด ที่ อาลี ซีอานี หนึ่งในผู้ถือหุ้นของแมสกรุ๊ป ร่วมถือหุ้นกับชมพู่ อารยา เอ ฮาร์เก็ต ด้วย

***เปิดลิสต์ 15 ธุรกิจ-แบรนด์ ซื้อโฆษณาสิ่งพิมพ์

บริษัทมีเดีย อินเทลลิเจนซ์ หนึ่งในผู้นำด้านการให้บริการซื้อ – ขาย สื่อโฆษณา และวางกลยุทธ์สื่อสารทางการตลาดในประเทศไทย เปิดเผยว่างบของสื่อสิ่งพิมพ์ในช่วง 11 เดือนแรกของปี (ม.ค.-พ.ย.) เปรียบเทียบปี 2559-2560 นั้น ชัดเจนว่าลดลง

แต่ที่ตอกย้ำว่านิตยสารแนวใดจะอยู่รอดนั้น เห็นได้ว่า ธุรกิจ และแบรนด์ที่ลงโฆษณานั้น จะเลือกเล่มที่มีเนื้อหาเฉพาะเจาะจง มีกลุ่มผู้อ่านแฟนประจำ โดยในกลุ่มธุรกิจ อันดับ 1 ยังเป็นนาฬิกา ใน 15 อันดับสูงสุด แสดงถึงสินค้าที่เกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ เช่น รถยนต์ เสื้อผ้า กระเป๋า ความงาม ตกแต่งบ้าน ท่องเที่ยว ที่หลายคนชอบดู อ่านทางเล่มนิตยสารมากกว่า

สอดคล้องกับข้อมูลที่พรวิภาเปิดเผยว่า กลุ่มสินค้าที่ยังคงลงโฆษณาในนิตยสารเป็นกลุ่มดังกล่าว

สำหรับแบรนด์หรูยังคงเห็นลงโฆษณาในนิตยสารไฮเอนด์เป็นหลักเพราะหลายแบรนด์ยังไม่กล้าเสี่ยงกับโซเชียลมีเดีย เพราะกลัวการถูก คอมเมนต์” ทำให้ภาพลักษณ์ของแบรนด์ไม่ตรงกับที่วางไว้

ขณะที่ธุรกิจหนังสือพิมพ์ ชัดเจนว่าธุรกิจกลุ่มแมสยังซื้อโฆษณาเป็นหลัก เช่น เทสโก้ โลตัส และบิ๊กซี ที่มีคูปองให้ตัดจากหนังสือพิมพ์ มีธุรกิจทัวร์ท่องเที่ยว ธนาคาร เครื่องดื่มกลุ่มไทยเบฟเวอเรจ

ทั้งนิตยสาร และหนังสือพิมพ์ บางเซ็กเมนต์ ยังคงมีกลุ่มราชการ รัฐวิสาหกิจ ซื้อโฆษณาอีกด้วย.

 

]]> 1151473 ปิดฉาก 49 ปี นิตยสาร “ขวัญเรือน” ประกาศอำลาแผงสิ้นปีนี้ https://positioningmag.com/1147152 Sat, 18 Nov 2017 05:12:53 +0000 https://positioningmag.com/?p=1147152 สึนามิดิจิตอลพัดพาเอาธุรกิจสิ่งพิมพ์ ทั้งนิตยสาร และหนังสือพิมพ์ต้องปิดฉากลง ล่าสุดนิตยสารขวัญเรือนประกาศอำลาแผง โดยจะจัดทำฉบับเดือนธันวาคมนี้ เป็นเล่มสุดท้าย เหตุภาวะเศรษฐกิจสื่อโซเชียลเข้ามามีบทบาทแทนสื่อสิ่งพิมพ์ จนส่งผลกระทบรุนแรงทั้งการขายโฆษณาและยอดจำหน่าย 

นิตยสารขวัญเรือน ได้ทำหนังสือแจ้งต่อสมาชิก ว่า เนื่องด้วยภาวะเศรษฐกิจและการเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภค โดยเฉพาะในยุคที่สื่อโซเชียลเข้ามามีบทบาท ส่งผลกระทบต่อสื่อสิ่งพิมพิ์ ทั้งในแง่ของการขายโฆษณาและยอดจำหน่าย โดยนิตยสารขวัญเรือนได้พยายามต่อสู้อย่างถึงที่สุดกับการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจและยุคสมัย

ด้วยเหตุนี้ ทางนิตยสารขวัญเรือน จึงขออนุญาตแจ้งให้ท่านสมาชิกทราบ เรื่อง การยุติการจัดทำนิตยสารขวัญเรือน โดยจะจัดทำฉบับที่ 1102 (ฉบับเดือนธันวาคม) เป็นเล่มสุดท้าย หลังจากทยอยแจ้งกับนักเขียนมาตั้งแต่เดือนสิงหาคมที่ผ่านมา

นิตยสารขวัญเรือน ก่อตั้งเดือนธันวาคม ปี 2511 โดยบริษัทศรีสยามการพิมพ์จำกัดนับเป็นนิตยสารเก่าแก่อีกฉบับที่ต้องปิดฉากไปในที่สุด

ปัจจุบันงบใช้จ่ายโฆษณานิตยสารลดลงต่อเนื่อง  ล่าสุดตัวเลขจากนีลเส็น ประเทศไทย ระบุว่า งบโฆษณานิตยสารช่วง 10 เดือนของปี 2560 (..-. 60) ลดลงเหลือ 1,622 ล้านบาท ติดลบ 34.96 % เมื่อเทเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว  เอเจนซี่โฆษณา ระบุว่า เป็นผลมาจากพฤติกรรมของผู้อ่านเปลี่ยนไปหันไปเสพสื่อผ่านออนไลน์มากขึ้น  การใช้จ่ายเเม็ดเงินโฆษณาสื่อสิ่งพิมพ์ไหลตามไปอยู่ในสื่อออนไลน์เพิ่มขึ้นตามคนอ่านที่เปลี่ยนแปลงไป

ที่มา : mgronline.com/onlinesection/detail/9600000116462

]]>
1147152
“มติชน” ยุบแผนกพิมพ์-สายส่ง ใช้บริการ “สยามสปอร์ต” https://positioningmag.com/1141860 Sat, 30 Sep 2017 18:26:32 +0000 https://positioningmag.com/?p=1141860 นับเป็นอีกความเคลื่อนไหวของค่ายสื่อสิงพิมพ์ เมื่อ “เครือมติชน” ยุบแผนกการพิมพ์และแผนกการขนส่ง ใช้บริการ “สยามสปอร์ต ซินดิเคท” รับจ้างพิมพ์และจัดส่งหนังสือแทน มีผล 1 พ.ย. คาดกระทบพนักงานนับร้อย ต้องการประหยัดต้นทุน และหันไปทุ่มสื่อดิจิตอล

รายงานข่าวแจ้งว่า ฐากูร บุนปาน กรรมการผู้จัดการ บริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) เจ้าของหนังสือพิมพ์มติชน ข่าวสด ประชาชาติธุรกิจ และนิตยสารในเครือ ได้ทำหนังสือถึงตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 29 ก.ย. ที่ผ่านมา ระบุว่า บริษัทฯ ได้ปรับปรุงโครงสร้างกิจการ ด้วยการยุบแผนกการพิมพ์และแผนกขนส่ง โดยโอนส่วนงานดังกล่าวไปให้กับ บริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) เป็นผู้เข้ามารับจ้างพิมพ์และจัดส่งหนังสือและนิตยสารให้กับบริษัทตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. เป็นต้นไป

โดยจะทำให้สยามสปอร์ต ลดต้นทุนการพิมพ์และขนส่งต่อฉบับ และมีรายได้จากการรับงานเพิ่มขึ้น ขณะที่มติชนจะสามารถประหยัดต้นทุน และทำให้หนังสือพิมพ์มติชน ข่าวสด รวมทั้งนิตยสารในเครือทุ่มเทเวลาและทรัพยากรในการขยายตลาดด้านสื่อดิจิตอลให้มากขึ้นกว่าเดิม

อย่างไรก็ตาม การปรับโครงสร้างครั้งนี้ จะเกิดผลกระทบต่อพนักงานบางส่วน ซึ่งบริษัทได้ดำเนินการชดเชยให้กับพนักงานที่ได้รับผลกระทบมากกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด รวมทั้งจัดโครงการและมาตรการช่วยเหลือพนักงานกลุ่มดังกล่าว โดยเฉพาะในเรื่องการจัดหางานใหม่และการฝึกอบรมความรู้วิชาชีพให้พนักงานสามารถปรับตัวเข้ากับความเปลี่ยนแปลงได้

ก่อนหน้านี้ เครือมติชนมีโรงพิมพ์และจัดจำหน่ายสื่อสิ่งพิมพ์เป็นของตนเอง ในชื่อ “โรงพิมพ์มติชน ปากเกร็ด” ตั้งอยู่บนพื้นที่ 24 ไร่ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ที่ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี เดิมเป็นที่เก็บกระดาษหนังสือพิมพ์สำรอง ประกอบด้วยอาคารขนาดใหญ่ 2 หลัง และอาคารขนาดกลาง 1 หลัง วางหนังสือเล่มที่ส่งคืนจากท้องตลาด ก่อนจะสร้างโรงพิมพ์ขึ้นมาใหม่ เปิดให้บริการเมื่อปี 2549 ลงทุนซื้อเครื่องพิมพ์ 6 เครื่อง รวมมูลค่า 220 ล้านบาท ที่ผ่านมา นอกจากจะพิมพ์หนังสือและนิตยสารในเครือมติชนแล้ว ยังหาลูกค้ารับจ้างผลิตสื่อสิ่งพิมพ์หรือแพคเกจจิ้งที่รับจ้างผลิตให้กับบริษัท ห้างร้าน โรงพยาบาล

อีกทั้งยังมีบริษัทย่อย คือ บริษัท งานดี จำกัด จัดจำหน่ายสื่อสิ่งพิมพ์ในเครือมติชนและสำนักพิมพ์อื่นๆ ให้แก่เอเย่นต์ต่างๆ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด แบบขายฝากแก่เอเย่นต์ที่บริษัทได้ตั้งตัวแทนจำหน่ายและรับช่วงขายต่อให้แก่ร้านค้าต่อไป อย่างไรก็ตาม เดิมเครือมติชนมีโรงพิมพ์อยูที่ซอยเทศบาลนิมิตใต้ 12 ย่านประชาชื่น แต่ปัจจุบันได้ยุบโรงพิมพ์และปรับปรุงเป็นศูนย์อาชีพและธุรกิจมติชน

รายงานข่าวแจ้งว่า เครือมติชนและข่าวสดได้ประชุมกันเมื่อวันที่ 28 ก.ย. ที่ผ่านมา โดยมีรายงานว่าจะจ้างบริษัทภายนอกว่าจ้างพิมพ์หนังสือ และมีการปลดพนักงานจริง แต่ไม่ทราบจำนวนที่แน่ชัด อย่างไรก็ตาม ผลของการยุบแผนกการพิมพ์และแผนกการขนส่ง คาดว่า จะมีพนักงานที่ถูกเลิกจ้างประมาณ 270 คน แต่อนาคตของโรงพิมพ์มติชนที่ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี จะนำไปใช้ประโยชน์หรือขายทอดตลาด รวมทั้งบริษัท งานดี จำกัด ซึ่งเป็นผู้จัดจำหน่ายสื่อสิ่งพิมพ์ในเครือมติชน จะเลิกกิจการหรือไม่ก็ยังไม่เป็นที่แน่ชัด หลังเครือมติชนตัดสินใจให้สยามสปอร์ตจัดส่งหนังสือและนิตยสาร สำหรับผลประกอบการไตรมาส 2/2560 มีรายได้รวม 468.89 ล้านบาท กำไรสุทธิ 7.12 ล้านบาท

ส่วนบริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) จัดจำหน่ายสิ่งพิมพ์กีฬา โดยเฉพาะหนังสือพิมพ์กีฬา 6 ฉบับ โดยจัดจำหน่ายผ่านตัวแทนร้านค้าทั่วประเทศ โดยบริษัทฯ จะให้ส่วนลดการค้าร้อยละ 30 จากราคาหน้าปก ปัจจุบันมีตัวแทนจำหน่ายประมาณ 600 รายทั่วประเทศ โดยบริษัทฯ จะเป็นผู้จัดส่งให้กับลูกค้า มีทั้งใช้รถยนต์ของบริษัท จ้างสายส่งมืออาชีพ หรือเครื่องบินของการบินไทย นอกจากนี้ยังได้มีช่องทางการขายในร้านสะดวกซื้อ และร้านหนังสือ โดยมีเครื่องพิมพ์ของบริษัทเอง ในซอยรามอินทรา 40 เขตบึงกุ่ม กทม. และว่าจ้างบริษัท กิเลนการพิมพ์ จำกัด โดยมีกำลังการผลิตเริ่มต้นที่ 27,500 ฉบับต่อชั่วโมง ผลประกอบการไตรมาส 2/2560 มีรายได้รวม 487.71 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 129.68 ล้านบาท


ที่มา : mgronline.com/onlinesection/detail/9600000100142

]]>
1141860
“กลุ่มจิราธิวัฒน์” ซื้อถือหุ้น “เนชั่น” ต่อจาก “คีรี” กุมสื่อ 2 ค่าย “บางกอกโพสต์-เนชั่น” https://positioningmag.com/1138429 Mon, 04 Sep 2017 07:21:15 +0000 http://positioningmag.com/?p=1138429 รายงานข่าวจาก สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ได้รับรายงานการได้มาของหุ้น บมจ. เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป (มหาชน) โดยบริษัท CHIT LOM LIMITED ในสัดส่วน 9.6359%  ของสิทธิ์ออกเสียงทั้งหมดของกิจการ เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2560 ที่ผ่านมา

โดยบริษัท CHIT LOM LIMITED ได้ซื้อหุ้นมาจาก บริษัท DIGITAL SKY HOLDINGS LIMITED ในสัดส่วน 9.6359%  ของสิทธิ์ออกเสียงทั้งหมดของกิจการ  

ทั้งนี้ บริษัท CHIT LOM LIMITED เป็นธุรกิจของกลุ่มตระกูลจิราธิวัฒน์  ได้เข้ามาซื้อหุ้นจากบริษัท DIGITAL SKY HOLDINGS LIMITED ซึ่งเป็นธุรกิจของ คีรี กาญจนพาสน์ ประธาน บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) ที่ถือหุ้นในเนชั่น เป็นอันดับ 2 จำนวนหุ้น 391,972,000 หุ้น ในสัดสวน 9.64% รองจาก บริษัท นิวส์ เน็ทเวิร์ค คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ถือเป็นอันดับ 1 ด้วยสัดส่วน 9.96%

หลังการซื้อขายหุ้นในครั้งนี้ ส่งผลให้ ตระกูลจิราธิวัฒน์ กลายเป็นเจ้าของธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ 2 ค่าย คือ บางกอกโพสต์ และเนชั่น ซึ่งเป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษ 2 หัวใหญ่ของไทย โดยก่อนหน้านี้ สุทธิเกียรติ จิราธิวัฒน์ เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัท โพสต์ พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) เจ้าของหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ โพสต์ทูเดย์ และล่าสุดได้มาซื้อหุ้นต่อจากกลุ่มคีรี ในนามบริษัท บริษัท CHIT LOM LIMITED และกลายเป็นผู้ถือหุ้นของเนชั่น มัลติมีเดีย ซึ่งเป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์เนชั่น ช่องเนชั่นทีวี ช่อง now, หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ

]]>
1138429