น้ำเปล่า – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Wed, 16 Jun 2021 16:57:48 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ส่องแบรนด์ที่ ‘โรนัลโด้’ เป็นพรีเซ็นเตอร์ สตาร์ลูกหนังที่ทำรายได้อันดับ 2 ของโลก https://positioningmag.com/1337272 Wed, 16 Jun 2021 11:50:42 +0000 https://positioningmag.com/?p=1337272 จากเหตุการณ์ล่าสุดในศึกฟุตบอลยูโร 2020 ที่ ‘คริสเตียโน่ โรนัลโด้’ ได้ทำเอา ‘โค้ก’ (CoCa-Cola) สปอนเซอร์หลักของฟุตบอลยูโรต้องกุมขมับ เนื่องจากเจ้าตัวหยิบขวดโค้กออกจากหน้าตัวเองบนโต๊ะแถลงข่าวแล้วหยิบน้ำเปล่าแทน ซึ่งก็ได้ส่งผลให้หุ้นของ CoCa-Cola ตกไปถึง 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 124,500 ล้านบาท) เลยทีเดียว ดังนั้นไปดูกันว่านอกจากอิมแพคที่โรนัลโด้สามารถสร้างในสนามแล้ว นอกสนามเจ้าตัวสามารถสร้างอิมแพคได้ขนาดไหนบ้าง

กว่าจะเป็น ‘คริสเตียโน่ โรนัลโด้’

คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ดาวเตะชาวโปรตุกีส เกิดเมื่อ 5 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1985 ปัจจุบันอายุ 36 ปี โรนัลโด้เริ่มต้นอาชีพจากเด็กโนเนมในลีกบ้านเกิดของอังดูรีญา ก่อนที่จะย้ายไปอยู่กับนาซียูนัลในปี 1997 จากนั้นก็ได้เซ็นสัญญากับ สปอร์ติ้ง ลิสบอน ก่อนที่ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน จะอกหักจากการดึงตัว โรนัลดินโญ่ มาร่วมทัพปีศาจแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จนโชคชะตาพาให้เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสันได้พบกับโรนัลโด้จนได้ย้ายมาเล่นกับทีม ก่อนจะถูกดึงตัวไปร่วมงานกับราชันชุดขาว เรอัล มาดริด และปัจจุบันยังคงค้าแข่งกับ ยูเวนตุส ในกัลโช่ เซเรีย อา

ด้วยฝีเท้าอันจัดจ้าน โรนัลโด้ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล โดยเขาได้รับรางวัลบาลงดอร์ 5 สมัย และ รางวัลรองเท้าทองคำยุโรปอีก 4 สมัย และเป็นผู้เล่นคนเดียวในประวัติศาสตร์ที่สามารถทำ 100 ประตูขึ้นไปในการเล่นให้กับ 3 สโมสร ด้วยผลงานอันยอดเยี่ยมจึงไม่น่าแปลกใจที่หลายคนยกย่องให้เป็นไอดอลในดวงใจ และไม่ว่าเขาจะทำอะไรมักจะมีผู้คนคอยเฝ้าติดตามอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นผลงานในสนามหรือสินค้าอะไรก็ตามที่เจ้าตัวหยิบจับ

Cristiano Ronaldo ในศึกยูโร 2020 ภายใต้ทีมชาติโปรตุเกส ในวัย 36 ปี (Photo by Alex Pantling/Getty Images)

นักฟุตบอลรายได้สูงสุดอันดับ 2 ของโลก

ความเป็นสตาร์คนดังก็ไม่ได้สร้างอิมแพคแค่ในเกมการแข่งขัน แต่นอกสนามก็สามารถสร้างอิมแพคได้เช่นกัน อย่างใน Instagram ของเจ้าตัวนั้นก็มีผู้ติดตามกว่า 299 ล้านคน ในการโพสต์เพียงครั้งเดียวของเขาสามารถทำเงินได้ถึง 780,000 ปอนด์ หรือกว่า 34 ล้านบาท!

ดังนั้น ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่จะมีเหล่าสินค้ามากมายหลายชนิดรุมจีบเพื่อดึงตัวไปเป็นพรีเซ็นเตอร์ และนั่นทำให้เขาได้รับรายได้จำนวนมหาศาล จนกลายเป็นนักกีฬาที่ร่ำรวยที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก มีรายได้ 120 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 3,756 ล้านบาท เป็นรองแค่ ลิโอเนล เมสซี ที่มีรายได้ 130 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 4,069 ล้านบาท จากการจัดอันดับของฟอร์บส์นิตยสารด้านการเงินชื่อดัง

หากอ้างอิงจากตัวเลขในปี 2018 พบว่าเฉพาะรายได้จากค่าพรีเซ็นเตอร์ โรนัลโด้สามารถทำได้ถึงปีละ 44 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 1,320 ล้านบาท ขณะที่ค่าเหนื่อยอยู่ที่ 31 ล้านยูโรต่อปี หรือประมาณ 1,140 ล้านบาท ยังไม่รวมธุรกิจส่วนตัวอื่น ๆ อีก ได้แก่

Pestana CR7 ธุรกิจโรงแรม, CR7 Crunch Fitness ธุรกิจฟิตเนสพิพิธภัณฑ์ CR7 Museum, แบรนด์แฟชั่น CR7, แบรนด์ชุดชั้นในและถุงเท้า CR7, แบรนด์รองเท้า CR7 footwear, แบรนด์แฟชั่น Cristiano Ronaldo & Sacoor Brothers, กางเกงยีนส์ CR7 Denim, แบรนด์น้ำหอม Cristiano Ronaldo Legacy และแม้แต่ CR7Selfie แอปถ่ายเซลฟี่

อยู่ในทุกสินค้าตั้งเเต่อุปกรณ์กีฬายันอีคอมเมิร์ซ

มาที่ฝั่งการเป็นพรีเซ็นเตอร์ของโรนัลโด้ ต้องบอกว่าสามารถอยู่ได้ในทุกสินค้า ชื่อเสียงของโรนัลโด้สามารถใช้กับอะไรก็ได้ โดยแบรนด์แรกที่ต้องพูดก็คือ ‘Nike’ (ไนกี้) บริษัทผลิตภัณฑ์กีฬายักษ์ใหญ่ของโลกที่เซ็นสัญญากับโรนัลโด้ ตลอดชีวิต! ซึ่งมีเพียงนักกีฬา 3 คนในโลกที่ได้รับเกียรตินี้ และเขาเป็นนักฟุตบอลคนแรกด้วย

การมีสินค้าเกี่ยวกับกีฬามาจ้างเป็นพรีเซ็นเตอร์ก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ แต่ที่ผ่านมาโรนัลโด้ยังเป็นพรีเซ็นเตอร์สินค้าอีกมากโดยที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องของกีฬาเลย ไม่ว่าจะเป็น 

  • คาสตรอล (Castrol) บริษัทน้ำมันเครื่องยักษ์ใหญ่
  • อียิปต์เชียน สตีล (Egyptian Steel) เพื่อโปรโมตอุตสาหกรรมเหล็ก
  • Clear (แชมพูเคลียร์) โดยในปี 2014 โรนัลโด้เป็นได้ร่วมงานกับบริษัทแชมพูเคลียร์ ในฐานะแบรนด์แอมบาสเดอร์ โดยทำหน้าที่โฆษณาเกี่ยวกับเรื่องการขจัดรังแค
  • ทรนนิ่ง เกียร์ ซิกซ์แพ็ด (Training Gear Sixpad) อุปกรณ์แผ่นเครื่องนวดกระตุ้นกล้ามเนื้อบริเวณหน้าท้อง
  • และด้วยหุ่นที่เฟิร์มอยู่ตลอด Emporio Armani ก็เคยคว้าโรนัลโด้เป็นพรีเซ็นเตอร์แทน เดวิด เบ็คแฮม ในปี 2010
  • เพราะนักฟุตบอลต้องเดินทางไปแข่งขันในต่างที่ต่างถิ่นเสมอ ดังนั้น อเมริกัน ทัวริสเตอร์ (American Tourister) แบรนด์กระเป๋าเดินทางชื่อดังเลยคว้าโรนัลโด้มาเป็นแบรนด์แอมบาสซาเดอร์พร้อมค่าเหนื่อยประมาณประมาณ 312,000 ปอนด์ (ราว 14 ล้านบาท)
  •  อีเอ สปอร์ตส์ (EA Sports) สตูดิโอผลิตเกมชื่อดังเจ้าของเกม ‘ฟีฟ่า’ (Fifa) หลังจากที่เคยได้ ลิโอเนล เมสซี่ ขึ้นปกเกมเป็นเวลา 4 ปี มาในปี 2018 โรนัลโด้ก็ได้รับเสียงโหวตจากแฟน ๆ ให้ได้ขึ้นปก ฟีฟ่า 18 และ 19
  • แพนเซอร์ กลาสส์ (PanzeerGlass) บริษัทผลิตฟิล์มกระจกกันรอยแบรนด์ชั้นนำจากประเทศเดนมาร์ก เคยได้โรนัลโด้เป็นพาร์ตเนอร์พร้อมออกกระจกกันรอยและเคสรุ่น CR7 สัญลักษณ์ประจำตัวของโรนัลโด้
  • TAG Heuer (แทค ฮอยเออร์) แบรนด์นาฬิกาหรูสัญชาติสวิสก็เป็นอีกแบรนด์ที่ได้โรนัลโด้เป็นพรีเซ็นเตอร์ พร้อมออกรุ่นพิเศษ ‘CR7’ ด้วย

และที่คนไทยน่าจะคุ้นกันสุด ๆ ก็คือ Shopee (ช้อปปี้) อีคอมเมิร์ซเจ้าดัง ซึ่งหลายคนออกแนวช็อกไปตามกันเมื่อเห็นโรนัลโด้เต้นเพลงช้อปปี้ ๆ ๆ ๆ แม้จะดูขัดกับภาพลักษณ์ไปหน่อย แต่พลังของโรนัลโด้ก็ช่วยให้ยอดขายช้อปปี้โตขึ้น 3 เท่าในแคมเปญ 9.9 เลยทีเดียว

อย่างไรก็ตาม แม้เหตุการณ์ล่าสุดที่โรนัลโด้เลือกจะหยิบขวดโค้กออกจากหน้าตัวเองบนโต๊ะแถลงข่าวแล้วหยิบน้ำเปล่าแทนเพื่อแสดงถึงความใส่ใจสุขภาพ แต่หากย้อนการเป็นพรีเซ็นเตอร์ในด้านอาหารและเครื่องดื่มก็นับว่ามีความน่าสนใจ อย่างปี 2013 โรนัลโด้มี เฮอร์บาไลฟ์ นิวทริชั่น เป็นผู้สนับสนุนด้านโภชนาการ ส่วนในปี 2014 โรนัลโด้ก็เคยเป็นพรีเซ็นเตอร์ ไก่ทอด KFC ซึ่งดูขัดกับภาพลักษณ์นักกีฬาสายเฮลตี้อยู่เหมือนกัน

ยังไม่แขวนสตั๊ด ยังมีโอกาสรับทรัพย์อีกเพียบ

โดยปกติแล้วนักฟุตบอลอาชีพจะมีช่วงเวลาในการ แขวนสตั๊ด หรือ ยุติเส้นทางค้าแข้ง ในช่วงอายุประมาณ 34-36 ปี แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะเลือกแขวนสตั๊ดในช่วงอายุดังกล่าว บางคนก็เลิกเล่นก่อน แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าช่วงวัยที่เลยเลข 3 ไม่ใช่ช่วงอายุที่พีคสุดสำหรับการเล่นฟุตบอลแล้ว

แต่สำหรับโรนัลโด้ในวัย 36 ปี กลับยังฟิตพอ ๆ กับคนอายุ 20 ปี การจะรักษาสภาพร่างกายให้ฟิตแบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ซึ่งเคล็ดลับสำคัญของ CR7 ที่ทำให้อาชีพนักฟุตบอลยืนยาว และรักษามาตรฐานการเล่นไม่ให้ตกลงไปคือ การดูแลสภาพร่างกายนอกสนามแข่งคือ การกิน, การนอน, การผ่อนคลาย และการว่ายน้ำ ที่ทำให้สุขภาพกายแข็งแรง และสุขภาพใจแข็งแกร่ง

หากโรนัลโด้ยังคงค้าแข้งต่อ แฟน ๆ ก็คงจะได้เห็นอีกหลายแบรนด์ที่พร้อมจะทุ่มเงินดึงโรนัลโด้มาเป็นพรีเซ็นเตอร์แน่นอน แต่อาจจะเดาทางยากสักหน่อยว่าจะเป็นสินค้าหรือบริการประเภทไหน เพราะหากย้อนดูที่ผ่านมาถือว่าสร้างเซอร์ไพรส์ให้แฟน ๆ อยู่เหมือนกัน หรือหากแขวนสตั๊ดไปแล้ว อย่าลืมว่าโรนัลโด้มีธุรกิจส่วนตัวอีกเพียบ ซึ่งก็ไม่แน่ว่าชีวิตหลังแขวนสตั๊ดโรนัลโด้จะผุดแบรนด์ใหม่ ๆ ออกมาอีกก็เป็นได้

]]>
1337272
ขาย “น้ำเปล่า” ยุคนี้ต้องมี “รสชาติ” goodmood -B’lue หวังสร้างพอร์ตใหม่ในตลาดน้ำ https://positioningmag.com/1224433 Thu, 11 Apr 2019 01:55:05 +0000 https://positioningmag.com/?p=1224433 ท่ามกลางความร้อนระอุของอากาศที่นับวันจะยิ่งร้อนขึ้นทุกวัน ก็ยังร้อนไม่เท่ากับการแข่งขันใน “ตลาดเครื่องดื่ม” มูลค่ามหาศาลไม่ต่ำกว่า 2.3 แสนล้านบาท โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน “ตลาดน้ำดื่ม” มูลค่ า36,000 ล้านบาท ที่ยังสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่องเป็นตัวเลข 2 หลักในช่วง 5 ปีมานี้ ในขณะที่กลุ่มอื่นๆ ยังอยู่ในภาวะประคองตัวหรือติดลบ

“พ.ร.บ.สรรพสามิตฉบับใหม่” ทำตลาด “สะดุด”

ที่เป็นอย่างนั้นเพราะเกิดความเคลื่อนไหวสำคัญของตลาดเครื่องดื่มในช่วง 2 ปีนี้ มาจาก “พ.ร.บ.สรรพสามิตฉบับใหม่” เรียกเก็บภาษีความหวานจากผลิตภัณฑ์ทุกชนิด ซึ่งภาษีชนิดนี้ไม่เคยเกิดขึ้นในเมืองไทยมาก่อน

ตามกำหนดได้เริ่มเก็บรอบแรกเดือนกันยายน ปี 2017 ในเครื่องดื่มที่มีค่าความหวานเกิน 6 กรัมต่อ 100 มิลลิลิตร ต้องเสียภาษี และเดือนตุลาคมนี้ภาษีน้ำหวานรอบใหม่จะจัดเก็บเพิ่มขึ้นในกลุ่มที่เกิน 10 กรัมต่อ 100 มิลลิลิตร แบบขั้นบันได อัตราสูงสุดเพิ่มขึ้น 400% ช่วง 2 ปีที่ผ่านมาผู้ประกอบการจึงเดินหน้าพัฒนาสินค้า ลดหวานเข้ามาในพอร์ตโพลิโอของทุกค่าย

นีลเส็น ประเทศไทย รายงานว่า ช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาสินค้าอุปโภคบริโภค (FMCG) อยู่ในภาวะเติบโต “ติดลบ” เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 30 ปี มาจากปัจจัยภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว และที่สำคัญคือการขึ้นภาษีสรรพสามิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และภาษีน้ำตาล ซึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวมทั้งตลาดไทยเครื่องดื่มถือเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่มีมูลค่าสูง

การที่ตลาดเครื่องดื่มติดลบจากอัตราภาษีใหม่จึงส่งผลกระทบต่อตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคให้อยู่ในภาวะ “ติดลบ” ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา

ดังนั้นหากสำรวจชั้นวางสินค้าพบว่าผู้ผลิตในกลุ่ม “ซอฟต์ดริงก์” ปรับตัวด้วยการออกผลิตภัณฑ์ใหม่สูตร “น้ำตาลต่ำ” เข้ามาในตลาดมากขึ้น แต่ในกลุ่มสินค้าที่ผู้บริโภคยังชื่นชอบรสชาติเดิมผู้ผลิตจะใช้วิธีลดไซส์สินค้า เพื่อให้ยังคงจำหน่ายราคาเดิมได้และไม่กระทบกับกำลังซื้อผู้บริโภค

อีกหนึ่งวิธีคือการแทรกตัวเข้าไปหาตลาดที่ยังเติบโตอยู่จึงหนีไม่พ้น “ตลาดน้ำดื่ม” เพียงแต่ตลาดนี้การแข่งขันรุนแรง เพราะ “สิงห์” และ “คริสตัล” เปิดศึกกันชนิดไม่มีใครยอมใคร เพื่อชิงความเป็นเบอร์ 1 ที่ผลัดกันขึ้นชนิดเดือนต่อเดือน

ประกอบกับแบรนด์ผู้ผลิตเอง พยายามหา “ช่องว่าง” และโอกาสทางการตลาดใหม่ๆ ด้วยการออก “น้ำเปล่า” ที่เป็นมากกว่าน้ำเปล่า ประกอบกับพฤติกรรมคนไทยคือการชอบกิน “หวานแต่ยังรักสุขภาพ” จึงต้องการได้เครื่องดื่มที่มีน้ำตาลต่ำ ที่ดับกระหายและได้รับความสดชื่น

“goodmood” น้ำดื่มใสแต่งกลิ่นรส ส่งตรงจากดินแดนซากุระ

รายแรกๆ ที่มองเห็นโอกาสนี้ คือ “goodmood” น้ำดื่มใสแต่งกลิ่นรสที่อิมพอร์ตมาจากดินแดนซากุระ ถือเป็นสินค้าตัวแรกที่ “ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย)” คลอดออกมาร่วมกันหลังควบรวมบริษัทไปเมื่อมีนาคม 2018

การเข้ามาในครั้งนี้ ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค มองว่าเป็นการสร้างCategoryใหม่ในตลาดเครื่องดื่มของประเทศไทย คือ “Flavoured Water” หรือ วอเตอร์พลัส (Water Plus) เป็นน้ำดื่มแต่งกลิ่นรสมาในรูปแบบเครื่องดื่มน้ำใส ที่ตอบโจทย์ดับกระหายและให้ความสดชื่น

ในบ้านเราอาจจะไม่คุ้นแต่ในญี่ปุ่นต้องบอกว่าเครื่องดื่มวอเตอร์พลัสเริ่มต้นในปี 2007 จากสินค้านำเข้ามาในปี 2010โคคา-โคล่า ที่ช่วงหลังแตกไลน์ขยายเครื่องดื่มชนิดใหม่ๆ โดยเฉพาะรับเทรนด์สุขภาพ ได้คลอดแบรนด์ I-Lohasน้ำดื่มแต่งกลิ่นรสในกลุ่มรสชาติผลไม้เป็นหลักจนขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ในตลาดญี่ปุ่น

เมื่อเป็นเช่นนั้นเจ้าถิ่นอย่าง “ซันโทรี่” จะยอมได้ไง จึงเริ่มเปิดตลาดกลุ่มนี้ในปี 2014 ภายใต้แบรนด์ Tennensuiเริ่มด้วยกลิ่นรสผลไม้ ต่อมามีกลิ่นรส โยเกิร์ตที่เรียกว่าได้ว่าสร้างความWOWให้กับตลาด และยังมี “ชานม” ตามมาติดๆ

ส่งผลให้เครื่องดื่มกลุ่มวอเตอร์พลัสของซันโทรี่ขึ้นมาครองอันดับ 1 ในญี่ปุ่นตั้งแต่ปี 2015 ถึงปัจจุบัน โดยมีส่วนแบ่งการตลาด 50% ขณะที่แบรนด์สินค้าของโคคา-โคล่าเป็นอันดับ 2 ที่ 40% ถือเป็นศึกของแบรนด์ตะวันตกและแบรนด์ตะวันออกอย่างแท้จริง

การเข้ามาในเมืองไทยของ “goodmood” เลือกเปิดตัวด้วย2 รสชาติ คือ โยเกิร์ต และผลไม้แบล็คเคอร์แรนท์ เพราะในเมืองไทยรสชาติเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมคือรสผลไม้มาเป็นอันดับ 1 อยู่ที่ 57% ตามด้วยสมุนไพร 19% และอื่นๆ 24%

วางโพสิชันเป็นเครื่องดื่มที่ให้ความสดชื่นดับกระหายและรสชาติอร่อยตอบโจทย์สุขภาพ เพราะมีปริมาณน้ำตาลต่ำอยู่ที่ 6 กรัมต่อ 100 มิลลิลิตร พลังงาน 130 กิโลแคลอรีต่อขวด ขนาดบรรจุ 450 มิลลิลิตร ราคา 20 บาท

การเปิดNew Categoryที่คนไทยยังไม่รู้จักการจะทำให้สินค้าติดตลาดจึงต้องสร้างการรับรู้อย่างหนัก ในครั้งนี้ซันโทรี่ เป๊ปซี่โคทุ่มงบ 170 ล้านบาท ปูพรมสื่อในทุกช่องทางพร้อมกับดึง “มาริโอ้ เมาเร่อ” มาเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์คนแรก

ด้วยหวังว่าภายในระยะเวลา5 ปีจะผลักดันแคทิกอรี วอเตอร์พลัสในไทยให้มีสัดส่วน30% ของตลาดน้ำดื่มบรรจุขวด และดัน “goodmood” ขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งอย่างแข็งเกร่งเหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นในญี่ปุ่นมาแล้ว

“B’lue” ความหวังของ “ดานอน–เซ็ปเป้ เบฟเวอเรจเจส” 

หลังจากการเปิดตัว “goodmood” ไม่นานนัก ก็มีเครื่องดื่มน้ำเปล่ามีรสชาติตัวใหม่ออกมาติดๆ นั้นคือ “B’lue” โดย “ดานอน–เซ็ปเป้ เบฟเวอเรจเจส” บริษัทร่วมทุนระหว่าง “Danone group” ยักษ์ใหญ่ด้านตลาดผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับนม (Dairy Products) และ “Sappe” เจ้าตลาดในกลุ่มกลุ่มเครื่องดื่มฟังก์ชันนอล

เป้าหมายของการร่วมทุนคือการที่ Danone ต้องการนำสินค้าชนิดอื่นๆ เข้ามาขายในเมืองไทยหลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้จับกับ “เบอร์ลี่ ยุคเกอร์” ในการนำ “โยเกิร์ต แอคทีเวีย” เข้ามาขายในไทยในปี 2007 ก่อนที่จะยกธงขาวออกจากตลาดไปในปี 2016นอกจากนี้ยังต้องการพัฒนาค้าตัวใหม่ๆ

ด้วยพฤติกรรมของผู้บริโภคในปัจจุบันไม่สามารถรอ “Need” แล้วค่อยออกสินค้าไปรองรับสาเหตุสำคัญคือ วัฏจักร” ของสินค้าได้ลดลงเหลือเพียง 3 ปีเท่านั้น ทางแก้คือต้องหา “Unmet Need” ออกสินค้าที่ไปจุดความต้องการที่ซ่อนเร้น ซึ่งผู้บริโภคจะไม่ได้แสดงออกมาตรงๆ แต่มักจะเป็นความต้องการเรื่อง ความรู้สึก เสียมากกว่า

ฟากของ “Sappe” การร่วมทุนทำให้สามารถออกจากกลุ่มเครื่องดื่มฟังก์ชันนอลดริงก์มาตลอด ไปสู่ “ตลาดแมส” ได้เสียที เพราะหากทำเองต้องใช้เวลาในการศึกษา และเงินทุนค่อนข้างสูงในการวิจัยสินค้าใหม่ๆ แต่นี่ได้ Know-how จากบริษัทระดับโลกมาเลย ซึ่งมี R&D ที่แข็งแรงมาก ทำให้การขยายเป็นไปอย่างรวดเร็ว

สำหรับ “B’lue” (บลู) วางตัวเองเป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่ให้ความรู้สึกสดชื่นและเป็นเครื่องดื่มที่มีรสชาติ มีน้ำตาลน้อย โดยอยู่ตรงกลางระหว่างน้ำเปล่า และเครื่องดื่มผสมวิตามิน ถือเป็นเซ็กเมนต์ใหม่ที่ยังไม่สามารถหามูลค่าตลาดได้ มีให้เลือก 3 รสชาติ จำหน่ายในราคา 25 บาท

เบื้องต้น “ดานอน–เซ็ปเป้ เบฟเวอเรจเจส” ไม่ได้หวังยอดขายเพราะต้องการทดลองตลาดเสียก่อน แต่ในอนาคตทั้งคู่วางแผนจะเพิ่มสินค้าใหม่ๆ เข้ามาอีก พร้อมกับวางแผน 3-5 ปีจะมีรายได้ 3,000 – 3,500 ล้านบาท

“เนสท์เล่” เอาด้วย Sparkling Water

ก่อนหน้านั้นไม่นานในตู้แช่ของร้านสะดวกซื้อได้มีเครื่องดื่มใหม่ออกมาวางขายโดยเป็นของ “เนสท์เล่ เพียวไลฟ์” ที่ขยายพอร์ตโฟลิโอสินค้าให้มีความวาไรตี้ไม่หยุดอยู่แค่ “น้ำดื่ม”

ผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ว่าคือเครื่องดื่มชนิดมีฟอง หรือ Sparkling Waterที่มาพร้อม 2 รสชาติ ได้แก่กลิ่นแอปเปิลและกลิ่นมิกซ์เบอร์รี่ นับเป็นการเพิ่ม Gimick ในการบริโภคเครื่องดื่มมากขึ้น ส่วนขนาดสินค้ามีเพียงไซส์เดียว คือ 340 มิลลิตร (มล.) ราคาขาย 14 บาท

ช่วงแรกที่เข้ามาได้แบรนด์ได้แอ็กชั่นชิมลางโพสต์คอนเทนต์ลงบนเพจเฟซบุ๊กของแบรนด์กระแสตอบรับมีทั้งเชิง “บวก” ด้วยตอบโจทย์สุขภาพเพราะไม่มีน้ำตาล พลังงาน 0 แคลอรี และ “ลบ” ทั้งเรื่องราคา รสชาติ ความซ่า กลิ่น เกิดจากความคุ้นลิ้นชินรสชาติ

ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าสินค้าดังกล่าวยังไม่ตอบจริตการบริโภคของคนไทยในวงกว้าง เพราะแบรนด์ระดับโลก “อควาฟิน่าวิตซ่า” ของค่ายเป๊ปซี่ทำตลาดมานานกว่า 2 ปี ถือว่าไม่ได้สร้างความว้าว! เท่าที่ควร

ต้องมาดูว่าเมื่อมีน้องใหม่จากเนสท์เล่ เพียวไลฟ์ จะสามารถทำให้ตลาดหมวดนี้มีการโตแรงมากน้อยแค่ไหน เพราะก่อนหน้านี้ผู้บุกเบิกอย่าง “อควาฟิน่าวิตซ่า” ต้องการปลุกตลาดให้มีมูลค่าหลัก “พันล้านบาท” แต่ก็ยังไม่ถึงเสียที.

]]> 1224433