โดยตำเเหน่งงานใหม่ที่จะเพิ่มขึ้นนี้จะดูแลในด้านเครือข่าย ฐานข้อมูล เซิร์ฟเวอร์ ชิป และปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งอาลีบาบา (Alibaba) นับเป็นผู้ให้บริการคลาวด์ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียและใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก
ตามรายงานของ Gartner
Jeff Zhang ประธานของ Alibaba Cloud Intelligence ระบุในแถลงการณ์ว่า การจ้างงานนี้จะนำไปสู่การเปลี่ยนเเปลงครั้งสำคัญด้านดิจิทัลในภาคธุรกิจของจีน ซึ่งเคยคาดว่าจะใช้เวลาราว 3-5 ปี เเต่ตอนนี้จะถูกเร่งให้เสร็จสมบูรณ์ให้ได้ภายใน 1 ปีข้างหน้า
“เพื่อการเดินหน้าอย่างเต็มกำลัง เราไม่ได้จะสร้างเเค่ระบบคลาวด์ เทคโนโลยี และบริการที่น่าเชื่อถือเท่านั้น แต่เรายังจะลงทุนเฟ้นหาคนเก่งที่มีศักยภาพด้านไอทีทั่วโลกให้มาร่วมงานกับเรา”
ความเคลื่อนไหวดังกล่าว เกิดขึ้นหลังจากอาลีบาบาประกาศว่าจะใช้เงินลงทุน 2 แสนล้านหยวน (ราว 28,000 ล้านเหรียญสหรัฐ) ในช่วง 3 ปีข้างหน้าเพื่อสร้างศูนย์ข้อมูลเพิ่ม เนื่องจากรายได้ในส่วนเทคโนโลยีคลาวด์ของบริษัทเติบโตขึ้นเป็น 40,000 ล้านหยวน (ราว 5,700 ล้านเหรียญสหรัฐ) ในปีงบประมาณ 2020 นับว่าเพิ่มขึ้นกว่า 62% จากปี 2019
จากการเติบโตที่รวดเร็วนี้ ทำให้เหล่าบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ที่เป็นคู่เเข่งสำคัญ ก็มีการจ้างงานเพิ่มเช่นกัน โดย Microsoft ได้ประกาศจ้างงานเพิ่มอีกหลายร้อยตำแหน่งในส่วนของ Azure cloud service
ด้าน Amazon ไม่น้อยหน้าเพิ่มตำแหน่งงานกว่า 1,000 ตำแหน่ง ในส่วนเทคโนโลยีคลาวด์ และ Google จ้างเพิ่มงานหลายร้อยตำแหน่งในส่วนนี้เช่นกัน
เเม้ว่าช่วงนี้หลายบริษัททั่วโลกมีความจำเป็นต้อง “ปลดพนักงาน” จากผลกระทบอย่างหนักจากวิกฤต COVID-19
โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจสายการบิน โรงเเรมเเละการท่องเที่ยว
เเต่ก็ยังมีหลายบริษัทที่ได้รับอานิสงส์จากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงนี้ เเละมีความต้องการ “จ้างงานเพิ่ม”
อย่างกลุ่มเชนร้านค้าปลีก Walmart, Kroger, Dollar General และ Aldi รวมถึง Raytheon บริษัทผู้ผลิตอาวุธและเทคโนโลยี และบริษัทในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี อย่าง PayPal, Epic Games และ Riot Games ก็มีการจ้างงานเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน
]]>
คาเมรอน จอห์นสัน ผู้อำนวยการด้านนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ เปิดเผยในหน้าบล็อกของบริษัทว่า Netflix จะแสดงผล Top 10 หนังและซีรีส์แบบรายวัน โดยมีทั้งการจัดอันดับแบบ รวมทุกประเภท (overall) และอันดับแยกเป็นหมวดภาพยนตร์ กับ หมวดซีรีส์ และรายการที่ได้ยอดเข้าชมสูงสุดจะมีตราสัญลักษณ์ Top 10 ติดอยู่
แต่เดิมนั้น การแสดงผลของ Netflix เพื่อแนะนำหนังหรือซีรีส์เรื่องใดให้กับผู้ชม จะแตกต่างกันไปแบบเฉพาะบุคคล เพราะแพลตฟอร์มนี้ใช้อัลกอริธึม ในการคาดเดาว่าผู้ชมรายนั้นๆ จะชอบคอนเทนต์แบบไหนจากประวัติการรับชมที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม วิธีการนี้ก็ได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์มาตลอดว่าทำให้ผู้ชมมองหาคอนเทนต์ที่ต้องการดูได้ยาก และทำให้บริษัทผู้ผลิตหนังหรือซีรีส์ไม่มั่นใจในความโปร่งใสของการวัดยอดวิวของ Netflix
แม้ว่าจะมีการจัด Top 10 ให้แล้ว แต่อันดับจะไม่จัดเรียงตามลำดับยอดวิว เพราะ Netflix ยังไม่ยอมทิ้งระบบอัลกอริธึม โดยระบบจะดันคอนเทนต์ในกลุ่ม Top 10 ที่เราน่าจะชื่นชอบขึ้นมาไว้ด้านบน เช่น หากประวัติการชมของเราชื่นชอบหนังสารคดีและไม่ค่อยดูหนังโรแมนติกคอมเมดี้ คอนเทนต์ที่ใกล้เคียงกับความชอบของเราจะขึ้นมาอยู่ด้านบนมากกว่า
ทั้งนี้ Netflix มีการทดลองแสดงผล Top 10 แบบนี้มาแล้วในเม็กซิโกและสหราชอาณาจักรตลอดช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา และเพิ่งเริ่มเปิดฟีเจอร์นี้ในสหรัฐอเมริกาเมื่อเดือนธันวาคมปีก่อน ปรากฏว่าผู้ชมมีเสียงตอบรับที่ดี ทำให้บริษัทตัดสินใจจะสร้างฟีเจอร์เดียวกันนี้ทั่วโลก
“เมื่อคุณรับชมหนังหรือซีรีส์ที่ยอดเยี่ยม คุณมักจะแบ่งปันให้ครอบครัวหรือเพื่อนได้ดูด้วย หรือพูดถึงหนังเรื่องนั้นในที่ทำงาน เพื่อให้คนอื่นๆ มารับชมด้วยกัน เราหวังว่าลิสต์ Top 10 จะช่วยสร้างให้การแบ่งปันเหล่านั้นเพิ่มมากขึ้น และทำให้เราหาสิ่งที่ต้องการรับชมได้เร็วและง่ายขึ้น” แถลงการณ์ในหน้าบล็อกดังกล่าวเปิดเผยจุดประสงค์ของฟีเจอร์นี้
การเปิดตัวฟีเจอร์ Top 10 เกิดขึ้นท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือดขึ้นในธุรกิจสตรีมมิ่งคอนเทนต์ หลังจากการเติบโตของจำนวนผู้ใช้ Netflix ในสหรัฐฯ เริ่มโตช้าลง และบรรดาผู้ผลิตคอนเทนต์เริ่มดึงคอนเทนต์ไปลงในแพลตฟอร์มคู่แข่ง เช่น Peacock หรือ HBO Max
บริษัท Netflix ถูกตั้งข้อสงสัยเรื่องวิธีนับยอดวิวมาตลอด โดยจะบอกยอดวิวเฉพาะเรื่องที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงเท่านั้น รวมถึงไม่ยอมให้บริษัทบุคคลที่สาม เช่น Nielsen เข้ามาประเมินยอดวิวด้วย อย่างไรก็ตาม Netflix มีการชี้แจงล่าสุดว่าการนับยอดเข้าชมจะนับก็ต่อเมื่อมีการเข้าชมเกิน 2 นาทีต่อตอน
ฟีเจอร์ Top 10 อาจจะยังไม่บอกยอดวิวที่ชัดเจน แต่อย่างน้อยก็ได้เห็นภาพคร่าวๆ ว่าอะไรที่กำลังมาในประเทศของคุณ!
Source: Reuters, Techcrunch
]]>แต่จากแถลงการณ์ล่าสุดดูเหมือนกว่า Netflix จะดูไม่ค่อยกังวลเท่าไหร่นัก เพราะ Netflix ระบุว่า การเปิดตัวบริการวิดีโอสตรีมมิ่งของ Apple และ Disney เมื่อเร็วๆ นี้ จะไม่กระทบกับการเติบโตของบริษัท เนื่องจากว่ายังมีโอกาสอีกมหาศาลในด้านความต้องการรับชมทีวีและภาพยนตร์ที่มีคุณภาพ
โดย Netflix สามารถตอบสนองสัดส่วนเพียงเล็กน้อยของความต้องการนั้น เช่นในสหรัฐอเมริกา ชั่วโมงการชมทีวีสตรีมมิ่งของ Netflix คิดเป็นเพียงประมาณร้อยละ 10 ของการดูทีวีทั้งหมดเท่านั้น และ Sandvine ประเมินว่า การชม Netflix ผ่านอุปกรณ์อินเทอร์เน็ตเคลื่อนที่ทั่วโลกคิดเป็นเพียงร้อยละ 2 เท่านั้น
ขณะเดียวกัน Netflix รายงานรายได้และข้อมูลสำคัญประจำไตรมาสแรกปี 2019 ว่าทำรายได้ได้กว่า 4.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 1.4 แสนล้านบาท และมีผู้ที่สมัครชำระค่าบริการทั่วโลกถึง 148 ล้านสมาชิก
โดยในไตรมาสนี้มีสมาชิกเพิ่มขึ้นมากเป็นประวัติการณ์ถึง 9.6 ล้านสมาชิก หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 16 จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว แบ่งเป็นสมาชิกในสหรัฐอเมริกา 1.74 ล้านสมาชิก และ 7.86 ล้านสมาชิกในประเทศอื่นๆ)
นอกจากนี้ยังมีข้อมูลที่น่าสนใจอื่นๆ ในไตรมาสนี้ ประกอบด้วย
• เนื้อหาจากประเทศต่างๆ ได้รับความนิยมทั้งในประเทศเจ้าของเนื้อหาและในต่างประเทศ เช่น ซีรีส์เกาหลี Kingdom เป็นซีรีส์ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดตั้งแต่ซีซันแรก ในประเทศเกาหลีและยังเป็นซีรีส์ที่ถูกใจผู้ชมนับล้านนอกประเทศเกาหลีโดยเฉพาะอย่างยิ่งในทวีปเอเชีย
• มีสมาชิกทั้งครัวเรือนจำนวนถึง 45 ล้านครอบครัวที่ชมซีรีส์เรื่อง Umbrella Academy ภายในสี่สัปดาห์แรกที่เปิดให้ชม
• ภาพยนตร์แอคชั่น Triple Frontier นำแสดงโดย เบน แอฟเฟล็ก มีผู้ชมถึง 52 ล้านครอบครัวในช่วงสี่สัปดาห์แรกที่นำออกฉาย
• The Highwaymen นำแสดงโดย เควิน คอสต์เนอร์ และ วูดดี แฮร์เรลสัน มีผู้ชม 40 ล้านครอบครัวในเดือนแรกตามที่คาดการณ์ไว้
• สารคดีธรรมชาติ เรื่อง Our Planet ก็กำลังจะขึ้นเป็นอันดับหนึ่งในซีรีส์สารคดีระดับโลกที่ประสบความสำเร็จที่สุดของ Netflix ที่คาดว่าจะมีจำนวนผู้ชมมากกว่า 25 ล้านครัวเรือนภายในเดือนแรกที่เปิดตัว
• ซีรีส์ใหม่แนวอินเทอร์แอคทีฟที่ให้ผู้ชมมีส่วนร่วม เรื่อง You vs Wild จะดึงดูดผู้ชมราว 25 ล้านคนให้ร่วมสนุกภายใน 28 วันแรกหลังจากการเปิดตัว
ที่สำคัญในไตรมาสที่ 2 นี้ Netflix จะทำการทดลองระบบ Top 10 lists สำหรับคอนเทนต์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดประจำสัปดาห์ เพื่อช่วยให้ผู้ชมตัดสินใจเลือกชมได้ง่ายขึ้นโดยดูจากภาพยนตร์ที่คนอื่นๆ กำลังชมกันอยู่ โดยจะเริ่มทดลองกับบริการในเขตสหราชอาณาจักรเป็นที่แรก.
]]>ข้อตกลงในครั้งนี้คือการนำซีรีส์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดของกลุ่มจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ เช่น Hormones (ฮอร์โมน), Bad Genius (แบด จีเนียส), O-Negative (โอเนกาทีฟ) ฯลฯ เช่นเดียวกับ ซีรีส์ 11 เรื่องใหม่ที่กำลังจะออกอากาศ ไม่ว่าจะเป็น Girl From Nowhere The Series (เกิร์ลฟอร์ม โนแวร์ เดอะ ซีรีส์), The Judgement (เดอะ จัดจ์เมนท์), Monkey Twins (มังกี้ ทวิน), Bangkok Love Stories Season 2 (แบงคอก เลิฟ สตอรี่ส์ ซีซัน 2) และ Sleepless Society (สลีปเลส โซไซตี้) ซึ่งจะทยอยออกอากาศให้ได้ชมพร้อมกันทั่วโลกทาง Netflix (เน็ตฟลิกซ์) เร็วๆ นี้
การมีคอนเทนต์ไทยไปออกอากาศให้กับสมาชิกทั่วโลก ถือเป็นอีกสเต็ปของเน็ตฟลิกซ์ ที่ต้องใช้ความหลากหลายของคอนเทนต์ สร้างฐานสมาชิกนอกสหรัฐฯ ให้มากขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาเน็ตฟลิกซ์เองก็นำคอนเทนต์จากหลายประเทศไปออกอากาศ โดยทำซับไตเติล 20 ภาษา และมีเสียงพากย์ภาษท้องถิ่น
เช่นเดียวกับการทำตลาดในไทยที่เน็ตฟลิกซ์มีทั้งซับไตเติลและเสียงพากย์ภาษาไทยในคอนเทนต์ต่างประเทศที่นำมาออกอากาศในไทย
ความร่วมมือกับจีเอ็มเอ็มแกรมมี่ในครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มของเน็ตฟลิกซ์ที่อาจจะมีความร่วมมือกับผู้ผลิตคอนเทนต์รายอื่นๆ อีกในอนาคตหากซีรีส์จากไทยเป็นที่ชื่นชอบของคนดู
แต่อาจไม่ใช่เรื่องง่ายนัก เพราะตลาดวิดีโอสตรีมมิ่งเวลานี้ นอกจาก ยูทูปแล้ว ยังมี ไลน์ทีวี ที่กำลังบุกตลาดอย่างหนัก จับมือกับผู้ผลิตคอนเทนต์ของไทยหลายราย ในการนำซีรีส์ ละคร มาออนแอร์บนแพลตฟอร์มของไลน์ทีวี รวมทั้งมีคอนเทนต์ เอ็กซ์คลูซีฟ ที่ไลน์ทีวีจ้างผลิตด้วย
ในขณะที่ผู้ผลิตคอนเทนต์อย่างช่อง 3 นอกจากร่วมมือกับไลน์ และยูทูปแล้ว ได้ร่วมมือกับบริษัท เทนเซ็นต์ วิดีโอ ในเครือบริษัทเทนเซ็นต์ (Tencent) ยักษ์ใหญ่วงการไอทีของจีน เท็นเซ็นต์ ในการนำละครไปออนแอร์ในประเทศจีน ที่เป็นตลาดใหญ่ มีคนดูจำนวนมาก ที่สำคัญไม่ใช่ละครย้อนหลัง แต่เป็นละครที่ออนแอร์พร้อมกับไทยเลย
แน่นอนว่าเจ้าของคอนเทนต์เองก็ไม่ได้ผูกขาดกับแพลตฟอร์มเดียว แต่เปิดกว้างกับทุกแพลตฟอร์มที่มีฐานคนดูจำนวนมาก
ดังนั้นสิ่งที่หลายคนรอดู คือ เน็ตฟลิกซ์จะลงทุนผลิตคอนเทนต์ไทยขึ้นมาเองเมื่อไหร่ เหมือนกับที่เคยทำมาแล้วในหลายประเทศ รวมประเทศในแถบเอเชีย อย่างญี่ปุ่น และกัมพูชา
ส่วนในแง่ของผู้ผลิตคอนเทนต์ นั้นจะมีช่องทางและรายได้เพิ่มขึ้น ยิ่งการแข่งขันของผู้ให้บริการเหล่านี้มากเท่าไหร่ โอกาสก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น.
]]>