บริษัท ฟอร์ดมอเตอร์ จำกัด เปิดเผยว่า รายรับรวมของบริษัท ทั้งยอดขายรถยนต์และสินเชื่อลดลง 14.9% คิดเป็นมูลค่า 34,300 ล้านเหรียญสหรัฐในไตรมาสแรกของปี ขณะที่พิษ COVID-19 นั้นมี “ผลกระทบเชิงลบ” คิดเป็นมูลค่าอย่างน้อย 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
อย่างไรก็ตาม ฟอร์ดได้คาดว่าในไตรมาสที่สองของปี ผลจาก COVID-19 อาจทำให้บริษัทสูญเสียรายได้อีกกว่า 5,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่มูลค่าหุ้นของฟอร์ดในปีนี้ลดลง 42% และปิดการซื้อขายช่วงท้ายลงอีก 4.1% สู่ระดับ 5.10 เหรียญสหรัฐ
ในช่วงไตรมาส 1 ที่ผ่านมา ฟอร์ดได้ใช้เงินไปแล้วกว่า 2,200 ล้านดอลลาร์ โดย Tim Stone หัวหน้าเจ้าหน้าที่ด้านการเงินของฟอร์ด กล่าวว่า ผู้ผลิตรถยนต์คาดว่าในไตรมาสที่สองจะได้รับผลกระทบจากการระบาดของ COVID-19 มากที่สุด
ทั้งนี้ โรงงานผู้ผลิตรถยนต์ในอเมริกาเหนือซึ่งเป็นภูมิภาคที่มีผลกำไรอย่างต่อเนื่องถูกปิดตัวลงประมาณสองสัปดาห์ในไตรมาสแรก และยังไม่มีกำหนดว่าจะเปิดใหม่เมื่อไหร่ แม้ว่าบริษัทจะตั้งเป้าหมายที่จะเปิดโรงงานอีกครั้งในช่วงกลางเดือนพฤษภาคมนี้ ขณะที่ปัจจุบัน ฟอร์ดมีเงินสดในมือประมาณ 35,000 ล้านดอลลาร์ โดยคาดว่ายังมีสภาพคล่องให้อยู่ได้ตลอดปีโดยไม่มีการผลิตใด ๆ
“เป้าหมายของเราคือไม่เพียง แต่ทนต่อวิกฤต แต่เรามั่นใจว่ามีความยืดหยุ่นในการลงทุนในอนาคตของเราต่อไป”
]]>ขณะนี้ Ford, GM, Toyota และ Tesla ซึ่งปิดโรงงานชั่วคราวไปในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ออกแถลงการณ์แล้วว่าพวกเขาจะเปลี่ยนโรงงานมาใช้ผลิตเครื่องช่วยหายใจแทน
โดยเมื่อวันศุกร์ที่ 27 มีนาคม 2563 โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยังใช้อำนาจตาม กฎหมายการผลิตเพื่อการป้องกัน (Defense Production Act) เพื่อใช้บังคับให้ GM “ยอมรับ, ปฏิบัติการ และให้ความสำคัญ” กับสัญญาต่อรัฐที่จะผลิตเครื่องช่วยหายใจ
กฎหมายนี้น่าจะช่วยเร่งให้การผลิตเร็วขึ้น แต่การเปลี่ยนจากการผลิตรถยนต์มาเป็นเครื่องช่วยหายใจไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเครื่องช่วยหายใจเป็นเครื่องจักรที่มีความซับซ้อน ต้องการซอฟต์แวร์ระดับสูงและชิ้นส่วนพิเศษ บริษัทหลายแห่งที่ต้องการจะเปลี่ยนมาผลิตเครื่องช่วยหายใจต้องพบเจอกับอุปสรรคความยุ่งยาก ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินทางปัญญา แรงงานทักษะที่ฝึกฝนมาเป็นพิเศษ การได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่รัฐ และการพิจารณาเรื่องความปลอดภัย
จนถึงปัจจุบัน เหล่าผู้ผลิตรถยนต์ต่างประกาศให้ความร่วมมือกับผู้ผลิตเครื่องช่วยหายใจเพื่อให้ผลิตได้มากขึ้น และโรงงานอย่าง Ford กับ GM ยังกำลังหาทางผลิตเครื่องช่วยหายใจในโรงงานตัวเองอยู่ด้วย
แต่กระบวนการเหล่านี้คือการแข่งขันกับเวลา
จำนวนผู้ป่วยล้นโรงพยาบาลไปเรียบร้อยแล้วในรัฐนิวยอร์ก และรัฐนี้กำลังหวาดกลัวสถานการณ์แบบเดียวกับในอิตาลีที่อาจจะมาถึง เมื่อเครื่องช่วยหายใจไม่เพียงพอ บีบให้แพทย์ต้อง “เลือก” ว่าผู้ป่วยรายใดมีสิทธิรอดมากที่สุดและควรจะใช้เครื่องช่วยหายใจกับผู้ป่วยรายนั้น
“จำนวนเครื่องช่วยหายใจที่เราต้องการนั้นมหาศาลมาก” แอนดรูว์ คูโอโม ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก กล่าวเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2563 และเสริมว่า บางโรงพยาบาลเริ่มหาทางแก้แบบทดลองกันแล้ว เช่นทดลองให้ผู้ป่วยสองรายใช้เครื่องช่วยหายใจเครื่องเดียวกัน
ในสหรัฐฯ นั้นมีเครื่องช่วยหายใจทั้งหมด 160,000 เครื่อง แต่ศูนย์ความปลอดภัยทางสุขภาพ Johns Hopkins ประเมินว่าประเทศนี้จะต้องใช้เครื่องช่วยหายใจถึง 740,000 เครื่อง!
เครื่องช่วยหายใจเป็นสิ่งจำเป็นที่สามารถช่วยผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัส COVID-19 และมีอาการรุนแรงจนไม่สามารถหายใจเองได้ อุปกรณ์นี้จะช่วยให้ผู้ป่วยหายใจได้ และทำให้ปอดของผู้ป่วยได้พักขณะที่ร่างกายกำลังต่อสู้กับไวรัส
เครื่องช่วยหายใจไม่ได้เหมือนกันหมดทุกเครื่อง บางเครื่องจะซับซ้อนกว่ารุ่นอื่น สำหรับผู้ป่วยจากการติดเชื้อ COVID-19 ที่อาการหนักที่สุด ปอดของพวกเขาอาจจะตึงตัวจนต้องใช้อุปกรณ์ระดับไฮเอนด์ซึ่งราคาสูงถึง 50,000 เหรียญสหรัฐฯ ต่อเครื่อง (ประมาณ 1.63 ล้านบาท) เพราะอุปกรณ์ระดับนี้จะสามารถปรับค่าให้ตรงกับความต้องการของผู้ป่วยได้อย่างเฉพาะเจาะจง และต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ที่ฝึกการใช้เครื่องนี้มาโดยเฉพาะมาดำเนินการ
ดังนั้น การผลิตอุปกรณ์ระดับไฮเอนด์จะดีที่สุดหากให้ผู้ผลิตเครื่องช่วยหายใจที่เชี่ยวชาญเป็นผู้จัดการ
“เพราะนี่คืออุปกรณ์เพื่อช่วยชีวิตคน มันไม่สามารถผิดพลาดได้ การฝึกฝนและประสบการณ์ในการผลิตชิ้นส่วนจึงสำคัญอย่างมาก” วาฟา จามาลี รองประธานบริษัท Medtronic หนึ่งในไม่กี่บริษัทผู้ผลิตเครื่องช่วยหายใจ กล่าวกับ CNN
ทำให้ส่วนประกอบสำคัญของเครื่องต้องใช้พนักงานที่มีประสบการณ์ของ Medtronic ไม่สามารถให้โรงงานอื่นภายนอกช่วยผลิตได้ แม้แต่โรงงานรถยนต์ก็ไม่สามารถทำได้ หรืออย่างน้อยต้องใช้เวลาฝึกฝนก่อนระยะหนึ่ง
Medtronic เองเพิ่มกำลังผลิตไปแล้วตั้งแต่เดือนมกราคม ทำให้ผลิตเครื่องช่วยหายใจเพิ่มจากปกติได้ 40% โดยปัจจุบันโรงงานดำเนินการผลิตตลอด 24 ชั่วโมง และบริษัทยังวางแผนในช่วงหลายสัปดาห์ข้างหน้าโรงงานจะเพิ่มกำลังผลิตอีก 200% โดยการเพิ่มพนักงานผลิตอีกเท่าตัว
เป้าหมายของบริษัทคือการผลิตเครื่องช่วยหายใจให้ได้ 500 เครื่องต่อสัปดาห์ หรือเพิ่มขึ้น 5 เท่าจากก่อนหน้านี้
แต่การเพิ่มเป็น 500 เครื่องก็ยังไม่เพียงพอ เพราะทีมแพทย์กำลังต้องการเครื่องช่วยหายใจเพิ่มอีกหลักพันเครื่อง ทำให้บริษัทยอมตอบรับไอเดียของโรงงานรถยนต์ที่จะเข้ามาช่วยผลิต โดย Medtronic เริ่มคุยกับ Tesla, GM และ Ford แล้ว แต่ขณะนี้ยังไม่มีแผนการผลิตร่วมกันอย่างเป็นทางการออกมา
อย่างไรก็ตาม GM ยังคุยกับผู้ผลิตเครื่องช่วยหายใจเจ้าอื่นด้วย โดยบริษัทประกาศเมื่อวันที่ 27 มีนาคมที่ผ่านมาว่า บริษัทมีแผนจับมือกับ Ventec Life Systems เพื่อช่วยเพิ่มกำลังผลิตให้บริษัทนี้แล้ว และคาดว่าจะทำให้เพิ่มกำลังผลิตเครื่องช่วยหายใจไปถึง 10,000 เครื่องต่อเดือนได้ โดยลอตแรกจะออกสู่ตลาดภายในเดือนเมษายนนี้ ทั้งนี้ โรงงาน GM ที่จะนำมาช่วยผลิตคือโรงงานประกอบยนต์ในเมืองโคโคโม รัฐอินเดียนา และขณะนี้กำลังเริ่มจัดจ้างพนักงานเพิ่ม
ขณะที่ Ford จับมือกับ GE Healthcare เพื่อช่วยเพิ่มกำลังผลิต จิม บอมบิก รองประธานบริษัท Ford กล่าวว่า บริษัทเข้าไปช่วยดูสายการผลิตของ GE เพื่อทำให้มันมีประสิทธิภาพสูงขึ้น (Ford คือบริษัทผู้คิดค้นระบบสายพานการผลิตเป็นครั้งแรก) และช่วยหาซัพพลายเออร์เพิ่มเติมสำหรับบางชิ้นส่วนที่ใช้ผลิตเครื่องช่วยหายใจ เพื่อไม่ให้เกิดคอขวดในการผลิตของ GE บริษัท Ford ยังเสนอให้ GE เปลี่ยนชิ้นส่วนบางอย่างด้วยเพื่อให้หาซัพพลายเออร์ได้ง่ายขึ้น
GE ไม่ได้ให้ข้อมูลจากฝั่งของบริษัทว่าทำงานร่วมกับ Ford อย่างไรบ้าง บอกแต่เพียงว่าบริษัทคาดว่าจะเพิ่มกำลังผลิตเป็นเท่าตัวได้ภายในสิ้นเดือนมิถุนายนนี้
ด้าน Toyota ประกาศการจับมือกับผู้ผลิตเครื่องช่วยหายใจ 2 แห่งเพื่อช่วยบริษัทเหล่านั้นเพิ่มกำลังผลิตเช่นกัน แต่ Toyota ไม่ได้เปิดเผยชื่อบริษัทที่ร่วมมือด้วย
บริษัท Medtronic ยังผลิตเครื่องช่วยหายใจรุ่นสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงน้อยกว่าด้วย และบริษัทกำลังพิจารณาเปิดแบบเครื่องช่วยหายใจ 1-2 รุ่นให้เป็นแบบ open source เพื่อให้โรงงานอื่นสามารถนำไปใช้ผลิตได้เลย
สำหรับเครื่องรุ่นที่ซับซ้อนน้อยกว่านี้ จามาลีเชื่อว่ากลุ่มผู้ผลิตรถยนต์น่าจะสามารถผลิตได้สำเร็จ
แต่เขายังกล่าวเสริมด้วยว่า “คำถามก็คือ ‘กรอบเวลาของจังหวะเริ่มต้นผลิตจนถึงเมื่อคุณสามารถนำเครื่องช่วยหายใจออกวางตลาดได้จะเป็นเมื่อไหร่’ ”
ส่วนการจับมือกันของ Ford กับ GE Healthcare เองก็กำลังตอบโจทย์นี้เช่นกัน โดยกำลังร่วมกันดีไซน์เครื่องช่วยหายใจรุ่นใหม่ที่เน้นให้ผลิตง่าย โดยบอมบิกกล่าวว่านักออกแบบกำลังใช้เครื่องดมยาสลบเป็นต้นแบบ เพราะเครื่องนี้มีแกนกลางสำคัญคือการเป็นเครื่องช่วยหายใจ ดังนั้นถ้านำส่วนที่ไม่เกี่ยวข้องกับการช่วยหายใจออก ก็น่าจะทำให้ได้เครื่องช่วยหายใจแบบไม่ซับซ้อน
บอมบิกกล่าวว่าหากดีไซน์สำเร็จจะทำให้มีแบบเครื่องช่วยหายใจที่ผลิตในโรงงานอื่นนอกจาก GE ได้ แต่ Ford ยังไม่ได้ให้ตารางเวลาว่าเมื่อไหร่จะสามารถเริ่มผลิตได้
ฝั่งเจ้าหน้าที่รัฐผู้กำกับดูแล องค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ (FDA) กล่าวว่า หน่วยงานได้เปลี่ยนกฎระเบียบครั้งใหญ่ เพื่อให้ผู้ผลิตรถยนต์และโรงงานที่ไม่ใช่ผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์อื่นๆ สามารถเข้ามาช่วยงานการผลิตครั้งนี้ได้
“ข้อความจาก FDA นั้นชัดเจนมาก” FDA ประกาศในวันที่ 22 มีนาคม 2563 “ถ้าคุณต้องการช่วยขยายกำลังการผลิตเครื่องช่วยหายใจเพื่อช่วยชีวิตชาวอเมริกันจากการระบาดใหญ่ครั้งนี้ เราจะทำงานร่วมกับคุณเพื่อกำจัดกำแพงขวางทางทุกอย่างออกให้”
ตัวอย่างการผ่อนปรนของ FDA เช่น หน่วยงานจะไม่บังคับใช้กฎที่ว่า ผู้ผลิตเครื่องช่วยหายใจต้องได้รับการอนุมัติจาก FDA ก่อนทุกครั้งก่อนที่จะมีการปรับแก้แม้เพียงเล็กน้อยในตัวอุปกรณ์
FDA กล่าวว่า การผ่อนปรนกฎนี้จะทำให้ผู้ผลิตที่ต้องการขึ้นไลน์ผลิตเพิ่ม หรือเพิ่มแหล่งผลิตชั่วคราว ซึ่งอาจจะมีอุปกรณ์ผลิตแตกต่างไปจากเดิม สามารถทำงานได้สะดวกขึ้น
บริษัทผู้ผลิตเครื่องช่วยหายใจบางแห่งยังลังเลที่จะทำงานกับบริษัทภายนอก เพราะพวกเขากังวลว่า หากเกิดข้อผิดพลาดในการผลิต “มันจะเป็นหายนะครั้งใหญ่ถ้าหากคุณกระจายอุปกรณ์พวกนั้นออกไปอย่างกว้างขวางแล้ว” จามาลีกล่าว “คุณอาจจะสร้างความเสียหายอย่างมากมายต่อผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงที่สุด”
นอกจากนี้ ประเด็นทรัพย์สินทางปัญญาอาจจะเป็นอีกหนึ่งอุปสรรค เพราะการออกแบบเครื่องช่วยหายใจ ซอฟต์แวร์ที่ใช้ หรือส่วนประกอบสำคัญของเครื่องนั้น ปกติแล้วจะมีการจดสิทธิบัตรหรือเกี่ยวข้องกับความลับทางการค้า
โดยอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์นั้น “มีประวัติที่ชัดเจนว่าเป็นอุตสาหกรรมที่อ่อนไหวอย่างมากต่อประเด็นการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา” เด็บบี้ หวัง นักวิเคราะห์จาก Morningstar กล่าว “และฉันไม่คิดว่าประเด็นนี้จะหายไป แม้กระทั่งเมื่อโลกต้องเผชิญกับการระบาดใหญ่”
แพทริก คีน ทนายความด้านทรัพย์สินทางปัญญา เห็นตรงกันว่า ประเด็นทรัพย์สินทางปัญญาอาจจะทำให้ผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์ลังเลที่จะทำงานร่วมกับบุคคลภายนอก
แต่กฎหมายการผลิตเพื่อการป้องกันที่ทรัมป์ลงนามแล้วนั้น จะกลายเป็นเครื่องมืออันทรงพลังจากรัฐเพื่อให้ทำเนียบขาวเป็นผู้ชี้ทางการผลิตเครื่องมืออันสำคัญยิ่ง กล่าวคือบริษัทที่ได้รับคำสั่งให้ผลิตเครื่องช่วยหายใจตามกฎหมายฉบับนี้ พวกเขาจะไม่ต้องรับผิดเรื่องการละเมิดสิทธิบัตรในภายหลังหลังจากวิกฤตผ่านพ้นไปแล้ว
ปัจจุบันประธานาธิบดีทรัมป์กำลังถูกกดดันจากหลายฝ่ายให้เริ่มใช้อำนาจตามกฎหมายฉบับนี้เสียที เพื่อให้การประสานงานและร่วมกันผลิตเครื่องช่วยหายใจทำได้ดีขึ้น เพื่อช่วยยกภูเขาออกจากอกให้กับบรรดาผู้ว่าการรัฐ อย่างเช่น คูโอโมแห่งรัฐนิวยอร์กที่กำลังเข้าตาจนกับการหาเครื่องช่วยหายใจเพิ่ม
อย่างไรก็ตาม สุดท้ายแล้วประเด็นปัญหาจะกลับมาที่การเติมซัพพลายให้ทัน และเป็นการแข่งขันกับเวลา ไลน์ผลิตเครื่องช่วยหายใจที่มีอยู่นั้นไม่เพียงพอกับความต้องการอย่างมาก และการเปิดไลน์ผลิตใหม่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
]]>ช่วงทศวรรษที่ผ่านมา หลายธุรกิจหลากอุตสาหกรรมในสหรัฐฯ ประสบความสำเร็จและทำกำไรมากขึ้นจากช่วงที่เกิดภาวะถดถอยมาก่อนหน้านี้ ความร้อนแรงของธุรกิจทำให้ตลาดแรงงานในสหรัฐฯ เริ่มเคลื่อนไหวเพื่อขอความเป็นธรรมให้กับตัวเอง กลายเป็นเทรนด์การประท้วงเพื่อขอเพิ่มสวัสดิการที่เห็นชัดเจนและแพร่หลายทั้งในอุตสาหกรรมการบิน รถยนต์ โรงแรม รวมถึงแบรนด์ออนไลน์มากมาย
สถิติล่าสุดชี้ว่าสายการบินในสหรัฐอเมริกานั้นบูมสุดขั้วจนสามารถทำกำไรเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 10 ติดต่อกัน สายการบินที่ใหญ่ที่สุด 4 อันดับแรกและผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุด 3 อันดับแรกในสหรัฐอเมริกา ทำกำไรรวมกันได้มากกว่า 25,000 ล้านเหรียญในปีที่ผ่านมา
แต่ภาวะสวยหรูนี้กลับมีผลกระทบที่ชัดเจน รายงานระบุว่าแรงงานปัจจุบันทั่วทั้งสหรัฐอเมริกา ทั้งที่อยู่ในสายการประกอบรถยนต์ นักบิน ฝ่ายจัดเตรียมอาหารสำหรับบริการบนเครื่องบิน พนักงานทำความสะอาดห้องพัก รวมถึงพนักงานผู้จัดเรียงสินค้าในชั้นวาง ต่างพยายามหาทางเจรจาเพื่อปรับสัญญาการจ้างงานที่มีสวัสดิการดีกว่า แต่ทั้งหมดยังไม่ถึงขั้นนัดหยุดงานจนสร้างความเสียหายรุนแรง
สำนักข่าว CNBC ยกตัวอย่างสัญญาจ้างงานที่อยู่ในระหว่างการเจรจาเพื่อยกระดับสวัสดิการตามเทรนด์ร้อนที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ คือสัญญาระหว่างสหภาพแรงงานบริษัทรถยนต์ United Auto Workers และ Big Three Detroit ผู้ผลิตรถหลายค่ายที่ตัวสัญญาจะสิ้นสุดลงในเดือนกันยายน สัญญานี้จะกำหนดค่าจ้างและผลประโยชน์ให้กับพนักงาน 158,000 คนในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
ขณะเดียวกัน นักบินมากกว่า 37,000 คนใน 3 สายการบินรายใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา ได้แก่ Delta, United และ American ต่างกำลังเรียกร้องให้เพิ่มค่าแรง รวมถึงเพิ่มผลประโยชน์หลังเกษียณที่ดีกว่าอัตราเดิมที่ถูกปรับลดลงตามภาวะเศรษฐกิจถดถอยในอดีต ประเด็นนี้สายการบิน Delta ย้ำว่าเป้าหมายของบริษัทคือการบรรลุข้อตกลงที่พอใจกับทั้ง 2 ฝ่าย เพื่อแสดงว่าบริษัทให้ความสำคัญกับนักบินในฐานะบุคคลสำคัญที่มีผลต่อความสำเร็จของบริษัท ขณะเดียวกันก็ยังต้องบริหารค่าใช้จ่ายเพื่อให้ Delta สามารถแข่งขันได้ต่อไป
ข่าวนี้สะท้อนความเปลี่ยนแปลงในรอบ 35 ปีที่อัตราการมีส่วนร่วมของสหภาพแรงงานทั่วสหรัฐอเมริกาชะลอตัว แต่วันนี้ในองค์กรอย่าง JetBlue, Amazon, Uber และ Lyft ต่างก็พบแรงงานที่ต้องการให้องค์กรจ่ายเงินค่าแรงที่มากขึ้น รวมถึงพยายามจัดระเบียบสวัสดิการเพื่อให้พนักงานมีภาระภาษีต่ำลง ได้รับการคุ้มครองสิทธิรักษาพยาบาล ตอบโจทย์ค่าครองชีพที่สูงขึ้นได้
ความต้องการนี้ยังขยายไปถึงแรงงานในธุรกิจร้านชำอย่าง Kroger และ Albertsons รวมถึงร้านค้าปลีก Albertsons, Vons, Pavilions และ Ralph’s ต่างกำลังเจรจาลึกซึ้งกับสหภาพแรงงานเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายจากการนัดหยุดงาน โดยที่ผ่านมา การนัดหยุดงานของพนักงานร้านขายของชำครั้งล่าสุดในสหรัฐเมื่อ 15 ปีที่แล้วสร้างความเสียหายไม่ต่ำกว่า 1,500 ล้านเหรียญ
อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์มองว่าปัญหานี้จะเป็นปัญหาเรื้อรังต่อไปอีกหลายปี เนื่องจากความไม่เท่าเทียมกันที่สะสมในมุมมองของแรงงานหลายสิบปี ไม่สามารถสะสางได้ใน 1 – 2 ปี ซึ่งเป็นไปได้ว่าภาวะนี้อาจจะเกิดขึ้นในอีกหลายพื้นที่ของโลกด้วย.
]]>สำหรับบริษัทผู้สร้างสรรค์เทคโนโลยีมีชื่อว่า ซาวด์ฮาวด์ (SoundHound) บริษัทสัญชาติเดียวกัน ที่ปัจจุบันหันมาสร้างเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ โดยต้องการให้มันสามารถทำงานได้ไม่ต่างจากผู้ช่วยอเล็กซ่า (Alexa) ของแอมะซอน (Amazon) หรือแม้แต่ Google Assistant เลยทีเดียว
ผู้ช่วยดิจิทัลตัวนี้จะเข้ามามีบทบาทในด้านการให้คำแนะนำเส้นทางกับคนขับ อิงจากงานที่นัดหมายไว้ในปฏิทิน หรือตามสถานการณ์ต่าง ๆ ที่คนขับเป็นผู้กำหนด นอกจากนั้น ยังสามารถควบคุมรถจากระยะไกล และควบคุมบ้านอัจฉริยะได้โดยใช้คำสั่งเสียงด้วย
ส่วนงานอื่น ๆ ที่ไม่ยากนัก เช่น ให้ข้อมูลเกี่ยวกับสภาพอากาศ หรือข่าวสารต่าง ๆ ปัญญาประดิษฐ์ตัวนี้ก็สามารถทำได้เช่นกัน
สำหรับการเปิดตัวอย่างเป็นทางการของผู้ช่วยดิจิทัลดังกล่าวจะมีขึ้นในงาน CES ที่สหรัฐอเมริกาในอีกไม่กี่วันนี้ ส่วนการทดสอบวิ่งจริงบนถนนจริงจะเริ่มในปี 2018
การทำเช่นนี้ จึงทำให้ค่ายฮุนได และเกีย กลายเป็นอีกหนึ่งบริษัทแห่งอนาคตที่มองเรื่องปัญญาประดิษฐ์ในรถว่าจะสร้างความท้าทายให้กับตลาด ไม่ต่างจากคู่แข่งอย่างโตโยต้า ฮอนด้า และนิสสันที่เริ่มกันไปแล้วก่อนหน้านี้
]]>