เมื่อวันศุกร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา Bloomberg รายงานเป็นแห่งแรกว่า Paul Singer มหาเศรษฐีผู้ก่อตั้ง Elliott Management บริษัทนักลงทุนแบบ Activist กำลังกดดันบอร์ดบริหารเพื่อปลด Jack Dorsey ซีอีโอและหนึ่งในสี่ผู้ก่อตั้งบริษัท Twitter ออกจากตำแหน่ง

โดย Elliott ให้เหตุผลว่า Dorsey เป็นซีอีโอควบสองบริษัทคือ Twitter และ Square รวมถึงมีแผนจะย้ายไปทำงานระยะไกลจากทวีปแอฟริกานานถึง 3-6 เดือน ซึ่งจะทำให้เขาไม่ทุ่มความสนใจกับบริษัท Twitter อย่างเต็มที่

ทั้งนี้ แหล่งข่าวรายหนึ่งกล่าวกับสำนักข่าว CNBC ว่า Elliott ซึ่งถือครองหุ้นส่วนมูลค่ามากกว่า 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐใน Twitter ได้เสนอชื่อคณะกรรมการบริหารใหม่ 4 คนกับคณะกรรมการชุดปัจจุบันของบริษัท โดย Dorsey ไม่ได้เข้าร่วมการประชุมครั้งดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ทั้ง Twitter และ Elliott ยังไม่มีการให้ข้อมูลหรือความเห็นใดๆ เพิ่มเติม

การนั่งตำแหน่งบริหารสูงสุดควบสองบริษัทในแบบ Dorsey ถือว่าเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก เพราะทั้งสองบริษัทดังกล่าวเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และมีมูลค่ารวมมากกว่า 5,000 ล้านเหรียญ ในขณะที่ผู้บริหารบริษัทเทคโนโลยีรายอื่นๆ อาจจะมีการขึ้นตำแหน่งซีอีโอหลายบริษัทพร้อมกันบ้าง อย่าง Elon Musk ที่เป็นซีอีโอทั้ง Tesla และ SpaceX แต่มีเพียง Tesla ที่เป็นบริษัทมหาชน

ส่วนบริษัท Elliott นั้นมีประวัติอย่างต่อเนื่องในฐานะนักลงทุนแบบ Activist การเข้าซื้อหุ้นของบริษัทนี้จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงคณะผู้บริหารในบริษัทที่เข้าลงทุน อย่างที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วใน AT&T และ eBay

ด้าน Michael Levine นักวิเคราะห์จาก Pivotal Research Group ให้ความเห็นเมื่อวานนี้ว่า เขามองว่า Elliott มีโอกาส “สูง” ที่จะเปลี่ยนตัวซีอีโอแทน Dorsey ได้สำเร็จ และเปลี่ยนบอร์ดบริหาร 4 คนตามต้องการ

และ Levine ยังมองว่า เขาต้องการจะเห็น “ความแข็งแกร่งมากกว่านี้ในแนวหน้าของงานปฏิบัติการ” โดยการว่าจ้างซีโอโอที่ทุ่มเทให้กับ Twitter เพื่อมาเติมเต็มช่องว่างที่ขาดหาย จากปัจจุบันที่มีเฉพาะซีอีโออย่าง Dorsey หรือแม้กระทั่งถ้ามีการปลด Dorsey จริง บริษัทนี้ก็ควรจะมีตำแหน่งควบทั้งซีอีโอและซีโอโอในการบริหาร

อย่างไรก็ตาม กระแสจากพนักงานในบริษัทบางส่วนดูจะไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจนี้ โดยพนักงาน Twitter ต่างพากันติดแฮชแท็ก #WeBackJack วันนี้ เพื่อแสดงการสนับสนุนให้ซีอีโอพวกเขาอยู่ในตำแหน่งต่อ โดยส่วนใหญ่มองว่า Dorsey เป็นผู้นำที่พวกเขาเชื่อใจ มีวิสัยทัศน์ และมีมนุษยธรรม โดยเมื่อวานนี้ Twitter เพิ่งจะประกาศนโยบายให้พนักงานสามารถทำงานจากบ้านได้ และให้งดการเดินทางหรืออีเวนต์ที่ไม่จำเป็น เพื่อลดการแพร่กระจายของไวรัส COVID-19

ด้านมหาเศรษฐีคนดังแห่งโลก Twitter อย่าง Elon Musk ก็ให้กำลังใจ Jack Dorsey เช่นกัน โดยเขาทวีตข้อความว่า “แค่อยากจะบอกว่า ผมสนับสนุน Jack ในฐานะซีอีโอ Twitter เขามีจิตใจที่ดี” ทั้งนี้ Musk มีผู้ติดตามบน Twitter ถึง 31.6 ล้านคน

Just want say that I support @Jack as Twitter CEO. He has a good .

— Elon Musk (@elonmusk) March 3, 2020

Source: CNBC, MarketWatch

รายงานข่าวเปิดเผยว่า ประชุม มาลีนนท์ มีคำสั่งเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยระบุว่าเพื่อให้การทำงานในบริษัท เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น จึงให้ วรุณเทพ วัชราภรณ์ พ้นจากตำแหน่ง หัวหน้าคณะผู้บริหารการตลาด หรือ Chief Marketing Officer ไปเป็น ที่ปรึกษาฝ่ายการตลาด ส่วนงานการขายทั้งหมดให้มาขึ้นตรงกับ รัชนี นิพัทธกุศล กรรมการบริหารบริษัทบีอีซี เวิลด์

ส่วน สำราญ ฉัตรโท ให้พ้นจากตำแหน่ง รองกรรมการผู้จัดการ และผู้จัดการฝ่ายข่าว บริษัท บางกอกเอ็นเตอร์เทนเม้นต์ ไปเป็นที่ปรึกษา อัมพร มาลีนนท์ ซึ่งเป็นกรรมการบริหาร และ Chief Operation Officer โดยให้ฝ่ายข่าวรายงานตรงต่ออัมพร และตั้งอนุชา สังฆกุล ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายข่าว เป็นรักษาการผู้จัดการฝ่ายข่าวแทนสำราญ

การสั่งปรับเปลี่ยนตำแหน่งผู้บริหารอย่างกะทันหันครั้งนี้ ท่ามกลางกระแสข่าวความพยายาม ลดต้นทุนของกลุ่มช่อง 3 หลังจากที่ต้องเผชิญหน้ากับการแข่งขันสูง และรายการได้ลดลงอย่างต่อเนื่อง

สำหรับวรุณเทพนั้น รับตำแหน่ง CMO ตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2560 รับหน้าที่สำคัญในแผนกหารายได้ให้กับกลุ่มช่อง 3

อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการของกลุ่มช่อง 3 ตกลงอย่างต่อเนื่องแม้ว่าในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้จะมีละคร “บุพเพสันนิวาส” เป็นละครที่สร้างปรากฏการณ์แห่งชาติ ทำเรตติ้งสูงสุดในยุคทีวีดิจิทัล

โดยผลประกอบการไตรมาส 3/2561 พบว่า บีอีซีเวิลด์มีรายได้จากค่าโฆษณา 2,255.8 ล้านบาท ลดลง 11.2% จากช่วงเดียวกันของปี 2560 โดยบริษัทมีรายได้รวม 2,672.5 ล้านบาท แต่เนื่องจากบริษัทสามารถลดต้นทุนได้มาก จึงทำให้บริษัทกลับมาทำกำไรได้ 78.3 ล้านบาท หลังจากที่ต้องขาดทุนต่อเนื่องติดต่อกันมาตั้งแต่ไตรมาส 4/2560

วรุณเทพ เป็นอดีตลูกหม้อจากกลุ่มเอไอเอส มารับตำแหน่งใหญ่ในกลุ่มช่อง 3 ตามหลัง สมประสงค์ บุญยะชัย อดีตซีอีโอค่ายมือถือยักษ์ใหญ่-เอไอเอส และกลุ่มอินทัช ได้เข้ามารับตำแหน่งประธานคณะกรรมการบริหารที่กลุ่มช่อง 3 ในวันที่ 27 เมษายน 2560 เพียงไม่ถึงปี สมประสงค์ ก็ลาออกจากตำแหน่งประธานกรรมการบริหารเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2561 เหลือเพียงตำแหน่งกรรมการบริษัทเท่านั้น

ก่อนหน้านี้มีกลุ่มผู้บริหารในระดับ C Level ออกจากตำแหน่งและลาออกจากบริษัทไปแล้ว 4 คน

เริ่มตั้งแต่ อาภัทรา ศฤงคารินกุล ลาออกจากตำแหน่ง Chief Technology and New Media Officer เมื่อ 1 กรกฎาคม แต่มีการแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาแทน ซึ่งเมื่อกลางเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา อาภัทราก็ลาออกจากตำแหน่งที่ปรึกษาไปแล้ว ต่อมาวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา ภัทรศักดิ์ อุตตมะโยธิน Chief HR Officer

ตามมาด้วย วันที่ 1 พฤศจิกายน ธงชัย ชั้นเสวิกุล ลาออกจากตำแหน่ง Chief Creative Officer เพราะหมดสัญญา และเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน อรนา ตั๋นเจริญ ลาออกจากตำแหน่ง Chief Research Officer นอกจากนี้ยังมีตำแหน่งที่ปรึกษาอีกหลายราย ก็ทยอยหมดสัญญา ลาออกไปเพราะไม่มีการต่อสัญญาตามไปด้วยเช่นกัน

โดยวรุณเทพ เป็นรายที่ 5 ที่ต้องถูกโยกไปเป็นที่ปรึกษาด้านการลาด

ทำให้ขณะนี้ ตำแหน่งผู้บริหารในกรุ๊ป C Level จากเดิม 13 คน ลดลงเหลือเพียง 8 คน ได้แก่ ประชุม มาลีนนท์ Chief Executive Officer, อัมพร มาลีนนท์ Chief Operating Officer, พิริยดิส ชูพึ่งอาสน์ Chief Financial Officer, รณพงษ์ คำนวณทิพย์ Chief Commercial Officer, ชาคริต ดิเรกวัฒนชัย Chief Corporate Affair Officer, นพดล เขมะโยธิน Chief Investment Officer, น้ำทิพย์ พรหมเชื้อ Chief Strategy Planning Officer และ สมรักษ์ ณรงค์วิชัย Chief Production Officer

มีรายงานข่าวด้วยว่า จะมีการทยอยหลุดจากตำแหน่งของกลุ่มผู้บริหารระดับ C Level นี้ เพื่อการปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ทั้งหมดให้สอดคล้องกับสถานการณ์การแข่งขันในปัจจุบัน

ในขณะเดียวกันช่อง 3 ก็เพิ่งมีข่าวให้พนักงานลาออกจากตำแหน่ง โดยให้พนักงานที่อายุเกิน 60 ลาออกจากงาน และอาจจะพิจารณารับกลับเข้ามาใหม่หากมีตำแหน่งงานที่เหมาะสม เนื่องจากพนักงานที่ทำงานกับกลุ่มช่อง 3 มาตั้งแต่ก่อนปี 2545 ไม่มีระบบเกษียณอายุมาก่อน จึงมีพนักงานอายุมากในบริษัทเป็นจำนวนมากกว่า 100 คน

นอกจากนี้ยังได้ให้พนักงาน ที่มีผลงานไม่เข้าตา ออกอีกประมาณ 80 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพนักงานจากฝ่ายข่าว ที่ขึ้นตรงกับการดูแลของ สำราญ ฉัตรโท ในฐานะผู้บริหารสูงสุดในสายงานข่าวของกลุ่มช่อง 3 ที่ทำงานมานาน

โดยมีรายงานข่าวว่ามีการร้องเรียนเรื่องหลักเกณฑ์เอาพนักงานออก ที่ไม่เป็นธรรม รวมถึงระบบการบริหารงานในฝ่ายข่าวที่มีต้นทุนสูง ทั้งนี้ฝ่ายข่าวมีพนักงานมากถึงประมาณ 600 คน.