ป๊อปคอร์น – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Wed, 01 Jun 2022 11:11:12 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 โรงหนังคัมแบ็ก! “เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์” เดินหน้าอัปเกรดเครื่องฉาย เร่งขยายสาขา แตกไลน์ธุรกิจใหม่ https://positioningmag.com/1387279 Wed, 01 Jun 2022 10:00:29 +0000 https://positioningmag.com/?p=1387279

จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อทุกธุรกิจอย่างแพร่หลาย หนึ่งในอุตสาหกรรมที่เจอศึกหนักที่สุดก็คือ “โรงภาพยนตร์” ทั้งเจอมาตรการล็อกดาวน์ ประกอบกับภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เลื่อนฉาย ทำให้ผู้ประกอบการต้องการกลยุทธ์ใหม่เพื่อประคับประคองธุรกิจ

“เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์” ผู้นำธุรกิจโรงภาพยนตร์ในประเทศไทย ได้รับผลกระทบจากวิกฤตครั้งนี้ไม่น้อย เพราะต้องบอกว่าโรงภาพยนตร์เป็นอีกหนึ่งสถานที่ปิด และรวมคนจำนวนมาก ทำให้เป็นหนึ่งในพื้นที่เสี่ยง และอยู่ในมาตรการล็อกดาวน์ แม้จะช่วงที่คลายล็อกดาวน์แล้ว แต่ก็ยังจำกัดคนเข้าใช้บริการ ไม่สามารถสร้างรายได้ได้เต็มที่

เมื่อปี 2562 ซึ่งเป็นปีก่อนเกิดการแพร่ระบาด ประเทศไทยมียอดจำหน่ายตั๋วหนังสูงที่สุดในประวัติการณ์ที่ 36.5 ล้านใบ เรียกว่าทิศทางของอุตสาหกรรมโรงภาพยนตร์ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่มาสะดุดเพราะโรคระบาด แม้ว่าในปี 2563 จะเจอกับวิกฤตร้ายแรง แต่เมเจอร์ก็ปรับกลยุทธ์จนสามารถกลับมาเติบโตได้ดังเดิม


“เมเจอร์” คัมแบ็ก ถึงเวลาเทิร์นอะราวด์

หลังจากเริ่มมีมาตรการคลายล็อกดาวน์ในปี 2564 หลายธุรกิจเริ่มกลับมาเปิดทำการตามปกติตามมาตรการควบคุมโรค พร้อมกับสถานการณ์การแพร่ระบาดในไทยก็เริ่มคลี่คลาย ประชาชนได้กลับใช้ชีวิตได้ปกติมากขึ้น ร้านค้าต่างๆ ไม่ต้องจำกัดเวลาในการเปิด

ทำให้ได้เห็นบรรยากาศของศูนย์การค้าที่เนืองแน่นด้วยผู้คน ต่างออกมาช้อปปิ้ง ทานข้าว ดูหนังกันมากขึ้น เรียกว่าเป็นสัญญาณอันดีในการฟื้นเศรษฐกิจภายในประเทศกลับมาคึกคัก

ธุรกิจโรงภาพยนตร์ก็เริ่มกลับมามีสีสันมากขึ้นจากการที่ผู้บริโภคออกมาจับจ่ายใช้สอย อีกทั้งหนังที่เข้าโรงภาพยนตร์ก็เต็มไปด้วยหนังฟอร์มยักษ์ ถูกกระตุ้นจากทั้งฝั่งผู้ผลิตหนังเองก็อั้นจากช่วงวิกฤตหนักๆ ต้องเลื่อนการฉาย ส่วนผู้บริโภคเองก็ต้องการเสพภาพยนตร์ ความบันเทิงจากโรงหนังอยู่

ในปี 2565 ถือว่าเป็นฟ้าใหม่ของเมเจอร์ในการ “เทิร์นอะราวด์” เนื่องจากสถานการณ์ COVID-19 เริ่มคลี่คลาย ประชาชนเริ่มใช้ชีวิตร่วมกับโรคระบาดได้อย่างมีสติ หลายธุรกิจเริ่มฟื้นตัว กลับมามีผลกำไร ธุรกิจโรงภาพยนตร์เองก็เช่นกัน เริ่มเห็นสัญญาณในการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ลุ้นกลับมามีผลกำไรทุกไตรมาส เป็นการคัมแบ็กของจริง

ปัจจัยสำคัญมีทั้งธุรกิจหลักจากโรงภาพยนตร์ ที่จะได้เห็นหนังฟอร์มยักษ์จากฮอลลิวู้ดต่างตบเท้าเข้าโรงอย่างต่อเนื่อง เช่น The Batman, Fantastic Beasts : The Secrets of Dumbledore, Doctor Strange 2, Top Gun : Maverick, Jurassic World : Dominion (8 มิย.), Minions The Rise Of Gru (30 มิย.), Thor : Love and Thunder (6 กค.), Black Panther :Wakanda Forever (10 พย.) และไฮไลท์สุดๆ กับการสิ้นสุดการรอคอยของ Avatar The Way Of Water (15 ธค.) เตรียมทวงบัลลังก์หนังทำเงินสูงที่สุดในโลกอีกครั้ง พร้อมกับตลาดหนังไทยที่เตรียมเข้าโรงถึง 40 เรื่องเช่นกัน

ส่วนธุรกิจเสริมที่ทางเมเจอร์ไปลงทุนเพิ่มเติมทั้งการเข้าไปถือหุ้นใน บริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) และ บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) ก็มีผลประกอบการที่ดีขึ้น เป็นอีกหนึ่งแรงเสริมให้กับเมเจอร์

ทางด้านบล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) ได้วิเคราะห์ว่า คาดการณ์แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2565 ของเมเจอร์จะเติบโตดีขึ้น เนื่องจากจะมีหนังฟอร์มยักษ์จากฝั่งฮอลลีวูดเข้าฉายจำนวนมากในช่วงหน้าร้อนของสหรัฐ ประกอบกับความกังวลเรื่อง COVID-19 เริ่มคลี่คลาย และผู้บริโภคออกมาทำกิจกรรมนอกบ้านมากขึ้น เชื่อว่าทั้งปีจะพลิกกลับมามีกำไร 677 ล้านบาท จากปีก่อนที่ขาดทุนปกติ 832 ล้านบาท

นอกจากประเทศไทยแล้ว ทิศทางของอุตสาหกรรมโรงภาพยนตร์เริ่มมีสัญญาฟื้นทั่วโลก อย่างที่สหรัฐอเมริกาตลาดใหญ่ที่สุดของโลกก็เริ่มฟื้นตัว หลังยอดขายตั๋วหนังฟอร์มยักษ์หลายเรื่องที่เข้าโรงในช่วงไตรมาสแรกเติบโตจากปี 2564 มากกว่า 3 เท่าตัว

ทางด้านสตูดิโอค่ายหนังก็เตรียมเข็นหนังฟอร์มยักษ์ออกมาตลอดทั้งปี ทางด้านผู้ประกอบการโรงภาพยนตร์ก็ลงทุนในการอัพเกรดโรงหนังให้ทันสมัยขึ้น พร้อมกับอัดงบการตลาด เพื่อดึงดูดผู้บริโภคออกมาดูหนังในโรงกันมากขึ้น


หนังฟอร์มยักษ์จ่อคิวเข้าโรง

หนึ่งในกลไกสำคัญที่ทำให้ปีนี้ธุรกิจโรงหนังกลับมาสดใส หนีไม่พ้น “คอนเทนต์” หรือภาพยนตร์ที่จ่อคิวเข้าโรง จะเห็นได้ว่าปีนี้มีคิวหนังทั้งไทย และเทศจ่อเข้าคิวแบบเบียดเสียด ชนิดที่ว่าใครอ่อนแอก็แพ้ไป หนังไทยบางเรื่องต้องหลีกทางให้หนังฮอลลีวู้ดเข้าก่อนกันเลยทีเดียว

และที่ผ่านมาไม่นานนี้ เริ่มมีกระแส “หมอแปลกฟีเวอร์” โดยที่ภาพยนตร์ Doctor Strange In The Multiverse Of Madness หรือ Doctor Strange 2จากค่ายมาร์เวล สามารถทำรายได้รวมใน 2 สัปดาห์แรกไปกว่า 291.86 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (10,200 ล้านบาท) ในสหรัฐอเมริกา และทำรายได้รวมทั่วโลก อยู่ที่ 688 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (24,000 ล้านบาท)

ส่วนในประเทศไทยนั้น หมอแปลกภาค 2 ก็ได้ปลุกกระแสการดูหนังในโรงภาพยนตร์กลับมาคึกคักอีกครั้ง รายได้รวมทั่วประเทศกว่า 337.2 ล้านบาท จากการเข้าฉาย 19 วันสะท้อนถึงพฤติกรรมผู้บริโภคที่ใช้ชีวิตนอกบ้านมากขึ้น และพร้อมที่จะเสพความบันเทิงในโรงภาพยนตร์มากขึ้นด้วย

แน่นอนเมื่อมีภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เข้าโรง ย่อมนำพามาด้วยการฟื้นตัวของรายได้จากภาพยนตร์ที่เป็นรายได้หลักของเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ แต่อีกสิ่งหนึ่งที่เป็นอานิสงส์ทางอ้อมก็คือ “โฆษณาในโรงภาพยนตร์” ที่มีการเติบโตไม่แพ้กัน

ข้อมูลในช่วงเดือนมกราคม-มีนาคม ปี 2565 ในภาพรวมอุตสาหกรรม มีการใช้เม็ดเงินลงโฆษณาไปกับโรงภาพยนตร์ ประมาณ 1,736 ล้านบาท มีการเติบโตขึ้นถึง 43.71% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งถือว่าเป็นประเภทสื่อ ที่มีอัตราการฟื้นตัวและการเติบโตของเม็ดเงินโฆษณาสูงที่สุด

สะท้อนให้เห็นว่าแบรนด์สินค้าต่างๆ เริ่มกลับมาสนใจทำกิจกรรมทางการตลาด ร่วมกับโรงภาพยนตร์นั่นเอง มีความมั่นใจว่าผู้บริโภคหันกลับมาดูหนังในโรงภาพยนตร์ ประกอบกับไลน์อัพหนังที่จะช่วยดันศักยภาพได้


ลงทุนต่อเนื่อง อัพเกรด IMAX Laser

นอกจากปัจจัยภายนอกที่ส่งสัญญาณการฟื้นตัวแล้ว เมเจอร์เองก็ประกาศแผนการลงทุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความมั่นใจต่อนักลงทุน และสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ แก่ผู้บริโภค ล่าสุดได้ประกาศความร่วมมือกับ ไอแมกซ์ คอร์ปอเรชั่นหรือ IMAX นำเครื่องฉาย IMAX Laser ระบบทันสมัยที่สุดมาฉายในไทย นำร่อง 3 สาขา ได้แก่ พารากอน ซีนีเพล็กซ์,  ไอคอน ซีเนคอนิค และเปิดโรงภาพยนตร์ IMAX สาขาใหม่ที่เมกา ซีนีเพล็กซ์

สำหรับระบบฉาย IMAX Laserเป็นระบบการฉายภาพยนตร์ที่ล้ำสมัยที่สุด ผสมผสานการฉายภาพด้วยเลเซอร์ระดับ 4K ด้วยระบบออปติคัลใหม่ เลนส์ที่ออกแบบเอง และชุดเทคโนโลยีที่เป็นเอกสิทธิ์เฉพาะ ให้ภาพที่สว่างกว่าด้วยความละเอียดที่เพิ่มขึ้น ทำให้ผู้ชมสามารถมองเห็นภาพขนาดใหญ่ และได้ยินเสียงที่ชัดเจนเหมือนกันทุกที่นั่ง สร้างประสบการณ์การชมภาพยนตร์ระดับพรีเมียม

พร้อมกับการลงทุนอย่างต่อเนื่อง เปิดโรงภาพยนตร์ Screen X เพิ่มอีก 1 แห่งที่พารากอน ซีนีเพล็กซ์ ในปี 2565 เมเจอร์มีแผนขยายโรงภาพยนตร์อีก 25-30 โรง จากปัจจุบันมีโรงภาพยนตร์ทั้งหมด 839 โรง ใน 170 สาขารวมทั้งในประเทศ และต่างประเทศ

นอกจากการลงทุนอัปเกรดเครื่องฉายสุดล้ำแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ทางเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ยังเดินหน้าลงทุนอย่างต่อเนื่องก็คือการขยายสาขา ล่าสุดได้เปิดสาขาใหม่ “จันทบุรี ซีนีเพล็กซ์” ที่เซ็นทรัล จันทบุรี เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2565 แบบสดๆ ร้อนๆ

พร้อมกับการรีโนเวตโฉมใหม่ของ “เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ สุขุมวิท-เอกมัย” เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2565 ที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังเดินหน้าทยอยอัปเกรดเครื่องฉายเป็นระบบ Laserplex ในโรงภาพยนตร์ปกติอีกด้วย รวมถึงการเป็นเจ้าภาพงาน CineAsia 2022 ในวันที่ 5 – 8 ธันวาคม 2565 ที่ Icon Siam


ขยาย “ป๊อปคอร์น” เข้าเซเว่นฯ

อีกหนึ่งธุรกิจที่ถือว่าเป็นตัวชูโรงไม่น้อย ก็คือ “ป๊อปคอร์น” โดยปกติแล้วธุรกิจโรงหนัง ต้องคู่กับเครื่องดื่ม และป๊อปคอร์น เป็นตัวสร้างรายได้เสริมให้เมเจอร์ไม่น้อย แต่เมื่อเจอมาตรการล็อกดาวน์ ทำให้ธุรกิจต้องหยุดชะงัก ถึงแม้ว่าจะคลายล็อกดาวน์ ก็ไม่สามารถทานอาหารในโรงหนังได้

ตั้งแต่ช่วงเกิดวิกฤต เมเจอร์เริ่มปรับตัวจากการขายป๊อปคอร์นที่ขายหน้าโรงหนัง แล้วใช้บริการเดลิเวอรี่ส่งตามบ้าน บริการ “Major Popcorn Delivery” รวมถึงการขายผ่าน ‘Major Mall’ ใน Shopee จนได้พัฒนาเป็นป๊อปคอร์นรูปแบบใหม่ๆ ทั้งแบบ Pop To Go ป๊อปคอร์นในถุงซีปล็อก, POP STAR ป๊อปคอร์นพรีเมียมบรรจุในกระป๋อง ขนาด 60 ออนซ์ และป๊อปคอร์น พรีเมียม POPSTAR 3 รูปแบบ คือ ป๊อปสตาร์ สแน็ค ป๊อปคอร์นแบบซอง, ป๊อปสตาร์ ไมโครเวฟ และ ป๊อปสตาร์พรีเมียม ทินแคน ป๊อปคอร์นบรรจุกระป๋อง

แรกเริ่มได้ขยายสู่ช่องทางอื่นๆ อย่างซูเปอร์มาร์เก็ต และไฮเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำ เพื่อขยายช่องทางการขายสู่ผู้บริโภคมากขึ้น และที่น่าสนใจก็คือ เมเจอร์มีแผนที่จะนำป๊อปคอร์นเข้าจำหน่ายในเซเว่นฯ ภายในปีนี้ และเตรียมขยายไปยังโมเดิร์นเทรด และร้านสะดวกซื้ออื่นๆ ในอนาคต

จะเห็นได้ว่าปีนี้น่าจะเป็นอีกปีหนึ่งที่ธุรกิจโรงหนังเริ่มเห็นแสงสว่าง มีแนวโน้มที่ดีขึ้น มีการประเมินว่าต้องกลับมามีกำไรจากทั้งธุรกิจหลักในการขายตั๋วหนัง พร้อมกับธุรกิจอื่นๆ ที่จะมาเสริมความแข็งแกร่งให้มากขึ้น ไม่แน่ว่าปีนี้อาจจะพลิกกลับมาเป็นปีทองของเมเจอร์อีกทีก็เป็นได้…

]]>
1387279
ญี่ปุ่นเปิดโรงหนังเต็มทุกที่นั่ง แต่ต้องขาย “ป๊อปคอร์น” แพร่เชื้อน้อยลงเมื่อ “ไม่คุย” https://positioningmag.com/1306627 Sat, 21 Nov 2020 16:33:34 +0000 https://positioningmag.com/?p=1306627 พลิกมุมคิดสุดๆ รัฐบาลญี่ปุ่นผ่อนคลายมาตรการ Social distancing สำหรับโรงภาพยนตร์ ให้ขายตั๋วเต็มทุกที่นั่งได้ และอนุญาตให้ขายป๊อปคอร์น และเครื่องดื่ม โดยพบว่าระหว่างกินอาหารจะมีโอกาสแพร่เชื้อ COVID-19 ได้น้อย เพราะไม่ได้คุยกัน

ญี่ปุ่นกำลังเผชิญกับการระบาดของไวรัส COVID-19 ระลอกที่ 3 ผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นมากกว่าวันละ 1,000 คน แต่รัฐบาลญี่ปุ่นยืนยันว่าจำเป็นต้องเดินหน้าเศรษฐกิจพร้อมกับควบคุมการระบาดไม่ให้พุ่งสูง แต่จะไม่มีการประกาศภาวะฉุกเฉินอีก

รัฐบาลญี่ปุ่นได้ขยายการจำกัดจำนวนผู้ชมกีฬา และเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ไม่เกินครึ่งหนึ่งของที่นั่งรวมทั้งหมด เช่น สนามกีฬาที่จุผู้ชมได้ 10,000 คน จะสามารถมีผู้เข้าชมได้ไม่เกิน 5,000 คน เดิมมาตรการนี้มีกำหนดจะสิ้นสุดในเดือนธันวาคม แต่ขณะนี้ได้ขยายระยะเวลาบังคับใช้ไปจนถึงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า

มาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม หรือ Social distancing สำหรับโรงภาพยนตร์ จะได้รับยกเว้น ก่อนหน้านี้โรงภาพยนตร์จะขายตั๋วได้เพียงครึ่งหนึ่งของที่นั่งทั้งหมด ผู้ชมจะต้องนั่งเว้นเก้าอี้แต่ละตัว แต่หลังจากนี้โรงภาพยนตร์จะขายตั๋วได้เต็มทุกที่นั่ง โดยมีเงื่อนไขว่าผู้ชมจะต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา และสามารถกินป๊อปคอร์น และดื่มเครื่องดื่มได้เหมือนปกติ

รัฐบาลญี่ปุ่นอ้างอิงผลการศึกษาพบว่า เชื้อไวรัสที่แพร่ผ่านฝอยละอองในอากาศจะมีปริมาณจำกัดในช่วงที่คนกำลังกินอาหาร โดยที่ไม่พูดคุยกัน

ธุรกิจโรงภาพยนตร์ในญี่ปุ่นได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการระบาดของ COVID-19 ในเดือนพฤษภาคม รายได้จากตั๋วเข้าชมของผู้จัดจำหน่ายภาพยนตร์รายใหญ่ 12 รายรวมกันลดลงเหลือเพียง 1.1% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว หลังจากยกเลิกประกาศภาวะฉุกเฉิน โรงภาพยนตร์ขายตั๋วได้ครึ่งหนึ่งของที่นั่งทั้งหมด แต่ห้ามขายอาหาร และเครื่องดื่ม รายได้ในเดือนกรกฎาคม-สิงหาคมก็ยังเหลือเพียงแค่ 30% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว

จนกระทั่งกลางเดือนตุลาคม ภาพยนตร์อนิเมชั่น เรื่อง “ดาบพิฆาตอสูร” ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม ทำรายได้มากเป็นประวัติการณ์กว่า 20,000 ล้านเยน

Source

]]>
1306627
สธ.แจงไม่มีมาตรการห้ามกิน “ป๊อปคอร์น” ในโรงหนัง แค่ขอความร่วมมืออย่าถอดหน้ากาก https://positioningmag.com/1282401 Sat, 06 Jun 2020 08:55:00 +0000 https://positioningmag.com/?p=1282401 กระทรวงสาธารณสุขชี้แจงว่าไม่มีมาตรการห้ามกินป๊อปคอร์น-เครื่องดื่มในโรงหนัง แต่อยากขอความร่วมมือ เพราะถ้าต้องถอดหน้ากากออก เพิ่มความเสี่ยงจากการอยู่ที่ปิดเป็นเวลานาน ย้ำเอาเข้าไปกินควรเก็บออกมาด้วย ช่วยรักษาความสะอาด

พญ.พรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงกรณีโรงหนังมีการอนุญาตให้กินป๊อปคอร์นเครื่องดื่มขณะชมว่า ตามมาตรการหลักไม่ได้กำหนดห้ามไว้ แต่เป็นคำแนะนำที่กรมอนามัยอยากให้คำแนะนำและเชิญชวนทุกท่าน การผ่อนคลายด้วยการชมภาพยนตร์ เนื่องจากเราไปอยู่ในพื้นที่ปิดร่วมกัน อยากให้สวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยตลอดเวลา ซึ่งการชมภาพยนตร์ถ้าไม่มีการรับประทาน จะสวมหน้ากากได้ตลอดเวลา

“เราก็มีความเป็นห่วง ไม่อยากให้ท่านมีความสุ่มเสี่ยงบางอย่าง แต่ตรงนี้เป็นมาตรการเชิงคำแนะนำสำหรับทุกท่าน แม้โรงภาพยนตร์ไม่ได้ห้ามที่จะเข้าไปพร้อมป๊อปคอร์นและเครื่องดื่ม แต่ก็ขอความกรุณาให้เก็บกลับออกมาที่ชมภาพยนตร์เสร็จ เพราะพนักงานต้องเข้ามาทำความสะอาด ถ้าพวกเราช่วยกันจัดการขยะของพวกเรา จะช่วยให้เจ้าหน้าที่ทำความสะอาดได้อย่างดี ชวนทุกท่านไปที่ไหนอะไรที่เป็นขยะของเราเก็บมาให้สะอาดเรียบร้อย” พญ.พรรณพิมลกล่าว

Source

]]>
1282401
“โรงหนัง” ธุรกิจขายของหวาน! รายได้ 80% มาจากป๊อปคอร์น-น้ำอัดลม https://positioningmag.com/1135068 Thu, 03 Aug 2017 10:05:53 +0000 http://positioningmag.com/?p=1135068 ธุรกิจภาพยนต์ยังคงทำเงินได้อย่างร้อนแรง หากแต่ไม่ใช่จากยอดขายตั๋วหนังโดยตรง แต่เป็นการขายขนม และน้ำอัดลมหน้าโรงภาพยนตร์ต่างหาก

ปัจจุบันการไปดูหนังแต่ละเรื่อง ผู้ชมหนึ่งแทบจะเสียเงินเฉลี่ยให้กับ “อย่างอื่น” มากกว่าค่าตั๋วหนังไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นขนมขบเคี้ยว, น้ำอัดลมแก้วใหญ่ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งแก้วรูปภาพยนตร์สุดฮิตที่กำลังลงโรงฉายอยู่ในขณะนั้น

โรงหนังทุกแห่งในปัจจุบันแทบจะให้ความสำคัญกับการขายของเหล่านี้พอๆ กับการโปรโมตหนังแต่ละเรื่องก็ว่าได้ มีขนมแบบใหม่ๆ มาเสนอให้ลองอยู่เรื่อย และแก้วน้ำอัดลมที่หลายๆ คนเก็บเป็นของสะสมก็ดูจะยิ่งเว่อวังอลังการขึ้นไปแบบไม่หยุดหย่อน …. และเหตุผลที่โรงหนังเน้นโปรโมตของกินเล่นพวกนี้อย่างเป็นเรื่องเป็นราวชนิดเป็น “วาระ” สำคัญ ก็เพราะคือนี่ “รายได้หลัก” ของธุรกิจสายนี้นั่นเอง

อย่างที่เคยมีคนในวงการหนังของสหรัฐฯ เองเคยพูดติดตลกในหมู่คนแวดวงธุรกิจเดียวกันว่า “พวกเราทำธุรกิจขายขนมหวานต่างหาก” 

ค่าตั๋วแบ่งคนละครึ่ง แต่โรงรับกำไรจากขนม และน้ำดื่มไป “เต็มๆ”

เป็นที่รู้กันดีว่าตามปกติแล้วว่าค่าตั๋วหนังแต่ละเรื่องจะแบ่งให้กับเจ้าของโรง และเจ้าของหนังอย่างละครึ่ง นั่นก็หมายความว่าโรงหนังจะได้รับเงินจากค่าตั๋วแค่ส่วนเดียว แต่จะได้รับเงินจากำไรของของกินแบบเต็มๆ ซึ่งว่ากันว่าคำนวนออกมาแล้ว รายได้จากของกินจะสูงกว่ารายได้จากการขายตั๋วเป็นสัดส่วน 70:30 หรือ 80:20 กันเลยทีเดียว

นั่นก็เป็นเหตุผลว่าทำไมโรงภาพยนตร์ จึงพร้อมที่จะลดราคาตั๋วในบางวัน และมอบโปรโมตชั่นหลากหลายให้กับผู้ชมมากมาย ก็เพราะโรงหนังมีจุดประสงค์ในการดึงคนมาดูหนัง (และซื้อของกิน) ให้มากที่สุดนั่นเอง

ฮาเวิร์ด อเดลแมน แห่ง Movieland Cinemas เครือโรงหนังอิสระในสหรัฐฯ ก็ยอมรับตรงๆ ว่าธุรกิจโรงหนังแทบจะกลายเป็นธุรกิจขายขนมแล้ว “หนังก็แค่เอาไว้ดึงคนมาซื้อป๊อปคอร์น กับขนมเท่านั้นแหละครับ เราทำเงินจากตรงนั้น”

80 ปีที่ผ่านมาราคา “ป๊อปคอร์น” หน้าโรงหนัง “พุ่งกระฉูด” อย่างเหลือเชื่อ

ยุคสมัยหนึ่งเราอาจจะนั่งแกะถั่วต้มไปดูหนังไป หรือ เคี้ยวฟั่นอ่อยไปพร้อมๆ กันดูหนังได้อย่างสบายใจ แต่ปัจจุบัน ป๊อปคอร์น หรือ ข้าวโพดขั้วเท่านั้นที่คือขนมกินเล่นอันดับ 1 ในโรงภาพยนตร์

ป๊อปคอร์มเริ่มได้รับความนิยมในฐานะขมกินเล่นระหว่างดูหนังในช่วงยุค 1930s อันเป็นยุคเริ่มต้นยุคทองของวงการหนังสหรัฐฯ ซึ่งจากวันนั้นจนมาถึงปัจจุบัน เจ้าของโรงหนังก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่าต้องการ “เอาดี” กับการขายขนม เพราะคณะทีค่าตั๋วมีราคาขึ้นมาพอสมควร แต่ค่าป๊อปคอร์นกลับแพงขึ้นอย่าง “บ้าคลั่ง” เลยก็ว่าได้

จากข้อมูลของ gizmodo ในปี 1930 เมื่อปรับค่าเงินเฟ้อแล้ว ราคาตั๋วหนังของที่สรหัฐฯ จะอยู่ที่ 4.32 เหรียญฯ (ราคาจริง 0.35 เหรียญฯ) โดยในอัตราเดียวกันป๊อปคอร์นหน้าโรงหนังหนึ่งถุงจะมีราคา 0.62 เหรียญฯ (ราคาจริง 0.05 เหรียญฯ) กระทั่ง 80 ปีต่อมา ตั๋วหนังราคาเพิ่มขึ้นตามลำดับเป็น 7.20 เหรียญฯ คิดเป็น 1.6 เท่า ขณะทีป๊อปคอร์นราคาสูงถึงเป็น 4.75 เหรียญฯ หรือ 7.6 เท่ากันเลยทีเดียว!!!

ทำไม “ป๊อปคอร์น” โรงหนังจึงอร่อยแบบนี้!?

แน่นอนว่าคนดูจำนวนมาก “เซ็ง” และ “บ่น” เรื่องป๊อปคอร์นราคาแพงมาโดยตลอด แต่หลายคนก็ยัง “อดไม่ไหว” ต้องจ่ายเงินซื้อข้าวโพดคั้วมากินเล่นตอนดูหนังในโรงภาพยนตร์อยู่ดี ทั้งๆ ป๊อปคอร์น ไม่ได้เป็นขนมที่หาได้ยากอะไรเลย แต่ผู้ชมจำนวนไม่น้อยต่างยอมรับว่าป๊อปคอร์นโรงหนังมัน “อร่อยจริงๆ”

โดยมีคำอธิบาย 3 ข้อที่น่าจะตอบคำถามได้บ้างว่าทำไมเราถึงยอมกินป๊อปคอร์นในโรงหนัง

ประการแรก “จำนวน และขนาด” ป๊อปคอร์นเป็นอาหารประเภทที่ “ยิ่งกินยิ่งมัน” การได้กินป๊อปคอร์นในโรงหนังยังเป็นความเพลิดเพลินแบบที่หาไม่ได้จากที่อื่นด้วย ทั้ง “ถังขนาดใหญ่” และจำนวนที่ “กินเท่าไหร่ก็กินไม่หมด” ก็ทำให้การกินป๊อปคอร์นในโรงหนังพิเศษมากขึ้นไปอีก

ประการที่ 2 “รสชาติ และวิธีปรุง” ป๊อปคอร์นโรงหนังจะเน้นใช้ “น้ำมันเนย” แทนที่จะเป็น “เนย” ธรรมดาๆ เพื่อไม่ให้ออกมาแฉะเกินไป นอกจากนั้นโรงหนังยังขยันหา “สูตร” แปลกๆ ใหม่ๆ มานำเสนออยู่ตลอดเวลา ทั้ง หวานทั้งเค็มทั้งมัน

ประการที่ 3 “ความเคยชิน” ที่สำคัญที่สุดก็คือการกินป๊อปคอร์นกลายเป็นส่วนหนึ่งของ วัฒนธรรมในโรงหนังไปแล้ว เรามี “ความทรงจำ” กับการ “จก” ข้าวโพดขั้วฝังอยู่ในหัว ความทรงจำสมัยเด็ก หรือเดตแรก ล้วนมีโรงหนัง และป๊อปคอร์นเป็นส่วนประกอบสำคัญ จนการดูหนังจอใหญ่ในที่มืด จะขายขนมชนิดนี้ไปไม่ได้แล้ว


ด้วยข้อมูลเหล่านี้ก็คงแสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าทำไม “กฎเหล็ก” การ “ห้ามนำของกินจากที่อื่นเข้าไปโรงภาพยนตร์” เป็นเรื่องคอขาดบาดตายสำหรับธุรกิจโรงหนังมาก เพราะการปล่อยให้ผู้ชมซื้อน้ำ และขนมจากที่อื่นเข้าไปกินกันตามสบายจะกระทบต่อรายได้หลักของหนังโดยตรงนั่นเอง

ส่วนคำแก้ตัวจากฝ่ายโรงหนังนั้นว่ากันว่า จริงๆ แล้วผู้ชมภาพยนตร์ต้อง “ขอบคุณ” ป๊อปคอร์น และน้ำอัดลมด้วยซ้ำไป เพราะการทำโรงหนังมีต้นทุนที่สูงมาก ถ้าไม่ขาดป๊อปคอร์นราคากระฉูด (และอัดโฆษณากันยาวเหยียด) แบบนี้ เจ้าของโรงในสหรัฐฯ ได้ถามกลับว่า “ขึ้นค่าตัวเอาไหม?” 


ที่มา : manager.co.th/Entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9600000072173

]]>
1135068