วรางทิพย์ สัจจทิพวรรณ หรือ รุ้ง ผู้ก่อตั้งแบรนด์ผ้าอนามัย Ira Concept ที่ต้องการให้การใช้ผ้าอนามัยเป็นเรื่องที่ทุกคนมองว่าเป็นเรื่องปกติ และยังต้องปลอดภัยต่อตัวเองและโลกอีกด้วย

ก่อนจะมาเป็น Ira Concept ผ้าอนามัยออร์แกนิค

“Ira Concept (ไอร่า คอนเซ็ปต์)” มันเริ่มมาจากจุดที่ประสบปัญหากับตัวเองก่อน ซึ่งตนจะมองว่ามันมีช่องว่างตรงส่วนไหนในตลาดบ้างที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข ซึ่งตัวเองก็ประสบปัญหาเกี่ยวกับเรื่องผ้าอนามัย และการเป็นประจำเดือนมาก และตั้งคำถามอยู่เสมอว่าจะสามารถทำอะไรที่มันมีความยั่งยืนให้กับชีวิตได้บ้าง

นอกจากนี้เทรนด์ในการรักษ์โลกก็มีมานานแล้ว ส่วนตัวเองก็เป็นคนที่ใช้ชีวิตแบบรักษ์โลก และก็มานั่งคิดว่าความจริงแล้วทางเลือกในการเป็นประจำเดือนมันเป็นอะไรที่น้อยมากที่จะรักษ์โลก เพราะว่าผ้าอนามัยปกติแล้วจะใช้เวลาย่อยสลายนานถึง 500-800 ปี แถมยังจะกลายเป็นไมโครพลาสติกในอนาคตอีกด้วย

ซึ่งปัญหาในเรื่องนี้ค่อนข้างใหญ่มันมีผลกระทบกับคนมากกว่าครึ่งในโลกนี้ แต่ทำไมถึงยังไม่มีนวัตกรรม หรือเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเลย ถึงแม้ว่าผ้าอนามัยจะเป็นสินค้าตัวแรกของ “Ira Concept” แต่ตัวเองก็ไม่ได้คิดจะหยุดอยู่เพียงเท่านี้เช่นกัน เพราะเรื่องสุขภาพของผู้หญิงก็สำคัญ และเป็นเรื่องที่ใหญ่มากๆ และตัวเองก็ยังต้องการยกระดับประสบการณ์ของผู้หญิงในการใช้ชีวิตมากขึ้น

ถอดประสบการณ์ด้วยตัวเอง

ส่วนตัวแล้วเคยมีปัญหาในเรื่องฮอร์โมนมาตั้งแต่เด็ก เนื่องจากครั้งนั้นในการเป็นประจำเดือนครั้งแรกติดต่อกันทุกวันตลอด 3 เดือน จนแม่ต้องพาไปหาหมอ และได้รับยาคุมกำเนิดมากินตั้งแต่เด็ก และเป็นคนที่แพ้ผ้าอนามัยอยู่ตลอด ไม่ว่าจะเป็นสูตรไหนก็ตามในท้องตลาด ก็ไม่เคยมีผลดีกับตัวเองเลย ซึ่งทั้งหมดต้องลองเองแล้ว และถ้าในห่อนั้นแพ้ในแผ่นแรกที่เหลือทั้งหมดก็ต้องทิ้งไป เลยรู้สึกว่าทำไมของที่จำเป็นขนาดนี้ และผู้หญิงทุกคนจำเป็นต้องใช้ ถึงไม่เหมาะกับทุกคน

และมีครั้งหนึ่งที่เป็นประจำเดือนกะทันหันระหว่างการประชุม และจำเป็นจะต้องออกจากห้องประชุมไปเพื่อใส่ผ้าอนามัย แต่ต้องถือกระเป๋าออกไปด้วยเพื่อซ่อนผ้าอนามัย แต่ก็ยังมีบางคนที่ไม่เข้าใจจึงเกิดคำถามต่างๆ

ความพิเศษของ Ira Concept

ผ้าอนามัย Ira Concept เป็นผ้าอนามัยรักษ์โลก เนื่องจากสามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ ใช้เวลาเพียง 12 เดือน ตามสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมเท่านั้น ซึ่งแต่ละชั้นของผ้าอนามัยประกอบไปด้วยเยื่อไม้ไผ่ และข้าวโพด เยื้อไม้ และพลาสติกชีวภาพ

ปกติแผ่นฟิล์มชั้นล่าง และซองห่อผ้าอนามัยทั่วไปทำมาจาก Polyethylene (PE) ย่อยสลายไม่ได้ และกลายเป็นไมโครพลาสติก Ira Concept เป็นแบรนด์แรก และแบรนด์เดียวในไทยที่ใช้ Polylactic acid (PLA) และ Polybutylate adipate terephthalate (PBAT) ซึ่งเป็นพลาสติกชีวภาพที่ย่อยสลายได้ และไม่กลายเป็นไมโครพลาสติก

PE เป็นพลาสติกที่ใช้เป็นถุงหิ้ว ฟิล์มเก็บอาหาร หรือขวด เพราะว่าทนทานแต่ยืดหยุ่นสามารถปรับรูปร่างได้ง่าย อุณหภูมิที่ทำให้ PE แตกตัวอยู่ในระดับร้อยองศาเซลเซียสและใช้เวลาหลายสิบ หรือร้อยปีเลยทีเดียวแล้วแต่สภาพแวดล้อม และกลายเป็นไมโครพลาสติก

PLA คือพลาสติกชีวภาพที่ทำมาจากการหมักแป้งข้าวโพด และสามารถย่อยสลายได้ในเครื่องหมักปุ๋ยที่มีอุณหภูมิ 58 องศาเซลเซียส ในความชื้นที่เหมาะสม เป็นเวลา 6 เดือน และจะไม่กลายเป็นไมโครพลาสติก ซึ่งการผสม PBAT เข้าไปจะลดความเปราะ และเพิ่มความเหนียวและยืดหยุ่นของวัสดุมากขึ้น เหมาะสำหรับตัวเลือกใหม่ของฟิล์มชั้นล่าง และซองห่อผ้าอนามัย

ทั้งยังไม่ใส่สาร SAP ซึ่งเป็นสารที่ทำให้น้ำกลายเป็นเจล เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการย่อยสลาย ผู้หญิงส่วนใหญ่จึงไม่เห็นปริมาณของประจำเดือนที่แท้จริง ทำให้ไม่เปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อยเท่าที่ควร ประจำเดือนที่ค้างนาน และหมักหมมเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคและแบคทีเรีย และอาจก่อให้เกิดการติดเชื้อบนผิวหนัง ในช่องคลอด หรือในทางเดินปัสสาวะได้ ลดการเสียสี ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนัง

แพ็กเกจของผ้าอนามัยยังใช้เป็นพลาสติกชีวภาพที่ทำมาจากพืช (plant-based bioplastic) เพื่อห่อผลิตภัณฑ์ ทำให้ซองห่อรักษาทั้งสินค้า และโลกไปพร้อมๆ กัน เพราะพลาสติกชีวภาพสามารถป้องกันผลิตภัณฑ์จากความชื้น และแบคทีเรียจากภายนอกและยังย่อยสลายได้อีกด้วย ส่วนกล่องทำมาจากกระดาษที่สามารถรีไซเคิลได้

พร้อมผลักดัน ทางด้านสวัสดิการผ้าอนามัย

ต้องการให้หน่วยงาน หรือบริษัทใหญ่ๆ รวมไปถึงสถานศึกษา ใช้ผ้าอนามัยให้เป็นสวัสดิการให้กับบุคลากร ซึ่งการสนับสนุนด้านนี้อาจจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานอีกด้วย เพราะถ้าเกิดว่าประจำเดือนมาแบบไม่ทั้นตั้งตัว ผู้หญิงส่วนใหญ่ก็จะต้องคิดไว้แล้วว่าจะต้องไปซื้อผ้าอนามัยที่ไหน มันทำให้เสียเวลาในส่วนนี้ไป ซึ่งผ้าอนามัยมันควรจะเหมือนทิชชูที่มันควรจะมีอยู่ในห้องน้ำ

ทั้งนี้ในเรื่องแบบนี้ก็ยังถือเป็นเรื่องที่ใหม่สำหรับประเทศไทยอยู่ ซึ่งตัวเองก็ไม่ได้หมายถึงเพียงภาครัฐเพียงอย่างเดียว และเข้าใจว่าเรื่องนี้ยังอีกไกล ปัจจุบันจึงต้องทำอะไรอย่างเป็นขั้นเป็นตอนก่อน ค่อยๆ ให้ความรู้กับคนอื่นทั่วไปก่อน

Mission Goal ของ Ira Concept

เป้าหมายของ Ira Concept ตอนนี้มีอยู่ 3 อย่าง อย่างแรกคือต้องการจะเปลี่ยนตลาดสุขภาพของผู้หญิง ต้องการสร้างมาตรฐานใหม่ๆ ให้ทุกคนกลับมาใส่ใจในเรื่องนี้มากขึ้น อย่างที่ 2 คือ ต้องการให้ลูกค้าไม่ต้องเลือกระหว่างความยั่งยืนหรือความสะดวกสบาย แต่ต้องการให้ได้รับทั้ง 2 อย่างไปพร้อมๆ กัน

และสุดท้ายต้องการให้ความรู้ในเรื่องของการเป็นประจำเดือน และต้องการให้ทุกคนเข้าถึงและเข้าใจในเรื่องของการเป็นประจำเดือนให้มากขึ้น จนทำให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องที่เป็นปกติในชีวิตประจำวัน

ปัจจุบัน Ira Concept มีจำหน่ายในช่องทางออนไลน์ เว็บไซต์ และไลน์ พร้อมกับหน้าร้าน White Wood Green Spa เอกมัย 12, Ringo & Friends สุขุทวิท 49 และ Tops Supermarket

รวมถึงโมเดลสั่งแบบรายเดือนได้ที่ subscription.iraconcept.com จะมีราคาถูกกว่า 27% มีส่งถึงบ้านทุกเดือน, สั่งได้ไม่มีขั้นต่ำ, เว้นเดือน ยกเลิก และเปลี่ยนรายการได้ และไม่มีข้อผูกมัด ราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 56 บาท ไปจนถึง 81 บาท

Source

แต่ด้วยอัตราเติบโตที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นแรงจูงใจทำให้บริษัท เอลิแอล อินเตอร์เนชั่นแนล (ไทยแลนด์) จำกัด ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์กระดาษรายใหญ่จากญี่ปุ่น ได้ตัดสินใจเข้ามาตั้งโรงงานผลิตผ้าอนามัยยี่ห้อ “เอลิส” ที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จ.ระยอง ด้วยเงินลงทุน 400 ล้านบาทหลังจากในปีที่ผ่านมาได้นำเข้าเอลิสมาทดลองจำหน่ายได้ผลตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี

บริษัท เอลิแอล เริ่มเข้ามาลงทุนในไทย ด้วยการผลิตและจำหน่ายผ้าอ้อมเด็กสำเร็จรูปยี่ห้อ กูนน์ จนปัจจุบันเป็นอันดับ 3 ในตลาดแล้ว มาในปีนี้จึงเตรียมขยับขยายอีกครั้ง ด้วยการตั้งโรงงานผลิตผ้าอนามัย ยี่ห้อ “เอลิส” เพื่อใช้ไทยเป็นฐานผลิตและจำหน่ายในประเทศ รวมทั้งในอาเซียน

ฮิโรยูคิ ฟูจิตะ ประธาน บริษัท เอลิแอล อินเตอร์เนชั่นแนล (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวถึงแผนการทำตลาดเบื้องต้น จะวางจำหน่ายเอลิส  3 รุ่น รวม 11 รายการ ทั้งแบบกลางวันและกลางคืน และสร้างการรับรู้ด้วยการเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาที่ใช้ แต้ว–ณฐพร เตมีรักษ์ เป็นพรีเซ็นเตอร์ รวมทั้งการโฆษณาบนบีทีเอส อาคารสำนักงาน สื่อออนไลน์ เช่น เฟซบุ๊ก ไลน์ และโรดโชว์ ตามสถานศึกษา แจกให้ทดลอง และให้ข้อมูล สอนวิธีการใช้อย่างถูกวิธี โดยตั้งเป้าหมายภายใน 3 ปีจะขึ้นเป็นอันดับ 3 ด้วยส่วนแบ่งการตลาด 10%

สำหรับตลาดผ้าอนามัยในไทยมูลค่าประมาณ 1,680 ล้านชิ้น เติบโต 4.8% โดยมีโซฟี เป็นผู้นำด้วยส่วนแบ่งการตลาด 50%, ลอรีเอะ 37%, โมเดส 10% และวิสเปอร์ 3% ซึ่งยังเติบโตได้ต่อเนื่อง เพราะเป็นสินค้าจำเป็นสำหรับผู้หญิง

ที่มา : http://www.manager.co.th/Business/ViewNews.aspx?NewsID=9600000075765