พรีเมียร์ลีก – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 01 Aug 2025 14:14:36 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 เสียพรีเมียร์ลีกแล้วไง! ‘ทรู’ ฉก ‘BeIN’ สู้กลับ ‘เอไอเอส’ ดูบอล 9 ลีก 15 ถ้วย ราคา 199 บาท https://positioningmag.com/1532042 Fri, 01 Aug 2025 09:36:33 +0000 https://positioningmag.com/?p=1532042 อย่างที่หลายคนรู้กัน ว่าตลอดช่วง 20 ปี ที่ผ่านมา ผู้ที่ได้ลิขสิทธิ์ในการถ่ายทอดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกมากที่สุดก็คือ True Visions โดยได้ลิขสิทธิ์ตั้งแต่ฤดูกาล 2007-2008 มาจนถึง 2012-2013 มีเพียงฤดูกาล 2013-2016 ที่เสียลิขสิทธิ์ให้กับ บริษัท เคเบิลไทยโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) จำกัด หรือ CTH และฤดูกาล 2016-2019 ให้กับ beIN Sports แต่สุดท้าย ทรูก็ร่วมเป็นพันธมิตรในการถ่ายทอดสด 

นับจากนั้น True Visions ก็กลับมาได้ลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีกลากยาวต่อเนื่องตั้งแต่ฤดูกาล 2019-2022 จนถึงฤดูกาลปี 2022-2025 จนมาฤดูกาล 2025-2026 ไปจนถึง 2030-2031 เป็นอีกครั้งที่ True Visions เสียลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีกไป เพราะมองว่า ไม่คุ้ม ที่จะลงทุนในราคา 19,000 ล้านบาท โดยบริษัทที่ได้ลิขสิทธิ์ไปในครั้งนี้ก็คือ JAS หรือ บมจ. จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล ที่มีแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งอย่าง MonoMax

แต่การเสียลิขสิทธิ์ไปครั้งนี้ ไม่เหมือนกับ 2 ครั้งก่อน เพราะผู้ที่ได้ไปคือ JAS ซึ่ง AIS เพิ่งเข้าซื้อหุ้นใน บริษัท ทริปเปิลที บรอดแบนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ 3BB ในเครือ JAS ดังนั้น ในเมื่อ JAS ได้ลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีกไป AIS (เอไอเอส) จึงถูกมองว่าต้องได้ถ่ายทอดสดพรีเมียร์ลีกแบบนอน และก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ 

ซึ่งหลายคนจะเห็นแล้วว่า หลังจากที่ AIS มีพรีเมียร์ลีกในมือ ก็รุกหนักเพื่อโกยลูกค้าใหม่เข้าค่าย โดยให้ดูฟุตบอลพรีเมียร์ลีกในราคา 199 บาทต่อเดือน และ 1,999 บาทต่อปี หากเป็นลูกค้า AIS จากราคาเต็ม 299 บาทต่อเดือน และ 2,999 บาทต่อปี

นอกจากนี้ เอไอเอสยังใช้พรีเมียร์ลีกในการจับลูกค้าที่ไม่เคยเข้าถึงมาก่อนอย่าง กลุ่มร้านอาหารและสถานบันเทิง ที่มีกว่า 50,000 ร้านทั่วไทย ด้วยแพ็กเกจพรีเมียร์ลีกสำหรับผู้ประกอบการในราคา 2,800 บาท/เดือน พร้อมสิทธิ์รับชมพรีเมียร์ลีก และเอมิเรตส์ เอฟเอ คัพ ครบทุกแมตช์ 

ในขณะที่ดูเหมือนทรูจะเพลี่ยงพล้ำที่เสียพรีเมียร์ลีกไปให้คู่แข่งอย่าง AIS แถมยังอัดโปรฯ หวังดึงลูกค้าย้ายค่ายรัว ๆ โดยอันดับแรกที่ทำเลยก็คือ จัดโปรโมชันให้ลูกค้าทรูที่สมัครดูพรีเมียร์ลีกได้ผ่าน Monomax ได้ในราคา 199 บาท โดยไม่ต้องย้ายค่าย เพราะทรูลดราคาให้เองเลย 

แน่นอนว่าโปรฯ ดังกล่าวจัดได้ไม่นานก็ต้องยกเลิกไป เพราะ JAS ออกแถลงการณ์ชี้แจงกรณีดังกล่าวทันที พร้อมกัส่งหนังสือแจ้งไปยังทรู เพื่อให้ยุติการเผยแพร่โปรโมชันดังกล่าวในทันที

แต่ล่าสุด ทางทรูก็แก้เกมโดยการฉก BeIN Sports มาเป็น Exclusive Partner พร้อมออกแพ็กเกจใหม่ NOW FOOTBALL ดูฟุตบอลสด 9 ลีก 15 ถ้วย อาทิ UEFA Champions League, UEFA Europa League, UEFA Conference League, La Liga และ Calcio Serie A เป็นต้น ในราคา 199 สำหรับลูกค้าทรู และราคา 259 บาท สำหรับลูกค้าทั่วไป

ซึ่งนั่นทำให้ AIS ต้องยกเลิกแพ็กเกจดูบอลราคา 299 บาทต่อเดือน ที่รวมเอา BeIN Sports Connect ออกไป แปลว่า AIS จากเดิมที่เก็บลิขสิทธิ์ฟุตบอลครบทุกถ้วย ทุกลีก ตอนนี้เลยเหลือเพียงพรีเมียร์ลีก และฟุตบอลถ้วยในอังกฤษอย่าง FA cup, Carabao Cup (แต่ก็เป็นลีกที่ได้รับความนิยมสูงสุดในไทย)

นอกจากนี้ ทางทรูยังปรับแพ็กเกจใหม่ของทรูวิชั่นส์ จากเดิมที่แบ่งตามแวร์ลู่ของคอนเทนต์ ให้เข้าใจง่ายขึ้น โดยเป็นการแบ่งชัดระหว่างแพ็กเกจบันเทิงกับกีฬา แถมทำราคา ถูกลง ได้แก่

  • NOW ENT : ดูได้เฉพาะคอนเทนต์บันเทิงทั้งหมด (ละคร ซีรีส์ ภาพยนตร์ วิดีโอสั้น สารคดี) โดยมี 3 ราคา ได้แก่ 99 บาท (ดูได้เฉพาะบนมือถือ 1 จอ) 199 บาท (1 จอบนทุกอุปกรณ์ พร้อมแอป IQIYI) และ 299 บาท (ดูพร้อมกัน 2 จอบนทุกอุปกรณ์พร้อมแอปเอเซียสุดฮิต IQIYI, WeTV และ VIU) 
  • NOW FOOTBALL : ดูเฉพาะฟุตบอลสด 9 ลีก 15 ถ้วย มากที่สุดในไทย พร้อมพากย์สดด้วยนักพากย์ระดับแถวหน้าของประเทศ ราคา 199 สำหรับลูกค้าทรู และราคา 259 บาท สำหรับลูกค้าทั่วไป (ดูได้ 1 จอบนทุกอุปกรณ์) 
  • NOW SPORTS : ดูได้ทครบทุกกีฬา สด ครบ กีฬามันส์มากกว่า 11,000 แมตช์ ราคา 699 บาท (ดูได้ 1 จอบนทุกอุปกรณ์)
  • NOW MAX : มัดรวมทุกแพ็กราคา 1,599 บาท (ดูพร้อมกันสูงสุด 4 จอบนทุกอุปกรณ์)

องอาจ ประภากมล หัวหน้าสายงานทรูวิชั่นส์ และมีเดีย บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น ยอมรับว่า แม้จะไม่ได้คว้าลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีก แต่ทางทรูวิชั่นส์ได้ใช้งบลงทุนด้านคอนเทนต์ เพิ่มขึ้น 20% และมองว่าการแข่งขันในปัจจุบันเน้นที่ความ Exclusive ของคอนเทนต์ ซึ่งในฝั่งของกีฬา ทรูมั่นใจว่ามีความ กว้าง ที่สุดครบทุกหมวดหมู่

ในส่วนของคอนเทนต์บันเทิง ก็จะมีภาพยนตร์ใหม่ ๆ ที่เป็น Exclusive อย่างน้อยเดือนละ 1 เรื่อง หรือในกลุ่มอนิเมชั่นก็จะมีบางเรื่องที่ ฉายพร้อมญี่ปุ่น นอกจากนี้ ยังมีการลงทุน 200 ล้านบาทในการผลิต ออริจินอลคอนเทนต์ ของตัวเอง รวมแล้ว ในฝั่งคอนเทนต์บันเทิงของทรูวิชั่นส์นาวมีกว่า 2,000 รายการ รวมเวลากว่า 30,000 ชั่วโมง

จากการปรับทัพใหม่ในครั้งนี้ ทาง องอาจ วางเป้าหมายไว้ว่าจะสร้างการเติบโตของจำนวนผู้ใช้ 50% ภายในปีนี้ จากปัจจุบันมีฐานลูกค้า 1.2 ล้านราย โดยเชื่อมั่นว่า จุดแข็งของทรูวิชั่นส์นาวคือ ความหลากหลาย และ ความคุ้นเคยของผู้ใช้ ที่ทำให้ลูกค้าจะไม่ ย้ายค่ายง่าย ๆ

เรียกได้ว่ารอบนี้ ทรูแก้เกมมาดีเลยทีเดียว ทั้งการฉกเอา BeIN Sports มาอยู่ในมือ ทั้งการจัดแพ็กเกจใหม่ให้เข้าใจง่ายขึ้น คงต้องรอดูว่า AIS จะมีอะไรออกมาอีกหรือไม่ หรือสงครามสตรีมมิ่งของทั้ง 2 ค่ายจะยุติลงแต่เพียงเท่านี้ ต้องติดตาม

]]>
1532042
แค่ลูกค้าคอนซูมเมอร์ไม่พอ! ‘AIS Fibre’ เดินหน้าชิงตลาดร้านอาหาร-สถานบันเทิงด้วย ‘พรีเมียร์ลีก’ https://positioningmag.com/1530617 Sat, 19 Jul 2025 10:18:11 +0000 https://positioningmag.com/?p=1530617 นับตั้งแต่ได้ พรีเมียร์ลีก และ ไทยลีก มาอยู่ในมือ เอไอเอส (AIS) ก็เดินหน้าทำเกมขยายตลาดทั้งฝั่งของโมบาย และเน็ตบ้าน โดยเฉพาะตลาดร้านอาหาร ผับ บาร์ ที่ต้องการพรีเมียร์ลีกไว้ดึงลูกค้าเข้าร้าน

ใช้พรีเมียร์ลีกเจาะร้านอาหารสถานบันเทิง

ต้องยอมรับว่าในกลุ่มร้านอาหาร ผับ บาร์ มักจะต้องมีคอนเทนต์อย่าง ฟุตบอล มาเป็นอีกจุดขายเรียกลูกค้าให้เข้าร้านฟุตบอลกับแก๊งเพื่อน ๆ ดังนั้น ค่ายไหนมีลิขสิทธิ์คอนเทนต์ฟุตบอลโดยเฉพาะ พรีเมียร์ลีก อยู่ในมือ ย่อมได้ลูกค้ากลุ่มร้านอาหาร ผับ บาร์ไป

ดังนั้น ในวันที่ เอไอเอส เป็นพันธมิตรกับ JAS หรือ บมจ. จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล ที่เพิ่งคว้าลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีกไปครองเป็นระยะเวลา 6 ฤดูกาล ตั้งแต่ 2025-2026 ไปจนถึง 2030-2031 ทำให้เอไอเอสเดินเกมบุกเต็มสูบ ทั้งการให้ราคาพิเศษสำหรับลูกค้าเอไอเอสเหลือ 199 บาท/เดือน 1,990 บาท/ปี จาก 299 บาท/เดือน 2,990 บาท/ปี รวมถึงเจาะกลุ่ม ร้านอาหารและสถานบันเทิง ด้วย

โดย ยอดชาย อัศวธงชัย หัวหน้าหน่วยธุรกิจการค้า กลุ่มธุรกิจบรอดแบนด์ AIS กล่าวว่า การมาของแพ็กเกจพรีเมียร์ลีก ช่วยให้ในเดือนล่าสุดมีการสมัครเข้าใชังาน AIS 3BB FIBRE 3 ทำสถิติสูงสุดที่เคยมีมา ดังนั้น ไม่ใช่แค่ตลาดผู้ใช้ทั่วไป แต่จะใช้ให้เพิ่มการเติบโตในฝั่งของร้านอาหารและสถานบันเทิงได้

ปัจจุบัน ตลาดร้านอาหารและสถานบันเทิงที่มีกว่า 50,000 ร้านทั่วไทย แต่เอไอเอสยอมรับว่า มีส่วนแบ่งตลาด น้อยมาก แต่การมาของพรีเมียร์ลีก และ บอลไทย จะช่วยให้เอไอเอสมีส่วนแบ่งตลาดในกลุ่มนี้เพิ่มมากขึ้น โดยได้ออกแพ็กเกจสำหรับร้านอาหารและสถานบันเทิงเริ่มต้นที่ 2,800 บาท/เดือน พร้อมสิทธิ์รับชมพรีเมียร์ลีก และเอมิเรตส์ เอฟเอ คัพ ครบทุกแมตช์ 

“เรามีส่วนแบ่งน้อยมาก แต่เมื่อเรามีพรีเมียร์ลีก จะทำให้เราเพิ่มส่วนแบ่งตลาดได้แน่นอน ส่วนบอลไทยจะได้กลุ่มร้านโลคอล ต่างจังหวัด”

ตลาดอีเวนต์ อีกโอกาสของไฟเบอร์

ตลาด MICE หรือ งานอีเวนต์ ต่าง ๆ ในประเทศไทยมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการฟื้นตัวจากสถานการณ์ COVID-19 เฉพาะแค่จากการจัดงานและการจองที่ อิมแพ็ค เมืองทองธานี นับตั้งแต่ปี 2023-2025 มีจำนวนมากถึง 1,073 อีเวนต์ และในไทยก็มีการจัดงานคอนเสิร์ตกว่า 900 คอนเสิร์ต

โดย AIS คาดการณ์ว่าตลาด MICE จะมีมูลค่าถึง 2 แสนล้านบาท ดังนั้น จึงมองว่าเป็นอีกโอกาสในการสร้างการเติบโต โดยออกแพ็กเกจ PRO-EVENT SOLUTION โซลูชันอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงระดับ 2Gbps ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์การจัดงานอีเวนต์ ไม่ว่าจะเป็น Live Stream, Conference, Concert, E-Sport Tournament, งานแสดงสินค้า ไปจนถึงเทศกาลขนาดใหญ่ 

โดยเอไอเอสจะมีพร้อมทีมวิศวกรผู้เชี่ยวชาญที่ดูแลครบวงจร ตั้งแต่การออกแบบโครงข่าย การติดตั้ง จนถึงการดูแลหน้างานตลอดการจัดงาน

ตลาดยังโตแต่ก็ท้าทายด้วยจำนวนครัวเรือน

สำหรับภาพรวมตลาดเน็ตบ้านในไทยช่วงปลายปี 2024 ที่ผ่านมามีอัตราการใช้งาน (Penetration rate) อยู่ที่ราว 36.8% จากจำนวนครัวเรือนในประเทศไทยกว่า 29.1 ล้านครัวเรือน หรือคิดเป็นจำนวนบ้านที่ติดเน็ตใช้งานราว 10.7 ล้านครัวเรือน

โดย ยอดชาย มองว่า แม้ตลาดยังมีโอกาสเติบโต แต่ความท้าทายคือ การเพิ่มอัตรา Penetration ดังนั้น การขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มใหม่ ๆ จึงสำคัญ

ปัจจุบัน เอไอเอสเป็นเบอร์ 1 ในตลาด ด้วยฐานลูกค้ากว่5.1 ล้านครัวเรือน (AIS Fibre 2.8 ล้านราย / 3BB Fibre 2.3 ล้านราย) โดย ยอดชาย มองว่า การ เพิ่มมูลค่าของบริการ เช่น คอนเทนต์ ก็เป็นจุดสำคัญในการดึงดูดลูกค้า แต่สิ่งที่จะตัดสินให้ลูกค้าใช้ระยะยาวคือ บริการ เพราะต้องยอมรับว่าเน็ตบ้านมีความเสี่ยงมากกว่าโมบาย

“พฤติกรรมลูกค้าเราตอนนี้ 40% สมัครใช้งานเฉพาะอินเทอร์เน็ต อีก 60% จะสมัครพ่วงคอนเทนต์ด้วย ดังนั้น แวร์ลูจะเป็นจุดที่ทำให้ลูกค้าเลือก แต่ถ้าใช้แล้วไม่ดี ไม่เสถียร เน็ตดับแล้วแก้ไขช้า เขาก็จะยกเลิก”

สำหรับเป้าหมายในปีนี้ เอไอเอสต้องการเติบโตมากกว่าปี 2024 ที่มีลูกค้าเพิ่มขึ้น 243,000 ราย รวมถึงการเติบโตของอาปู้ ซึ่งปัจจุบัน เอไอเอสมีอาปู้เฉลี่ยประมาณ 400 บาท ขณะที่ภาพรวมตลาดมีอาปู้เฉลี่ย 503 บาท ซึ่งคอนเทนต์ จะเป็นอีกส่วนที่จะช่วยเพิ่มการเติบโต

]]>
1530617
ยิ่งกว่าสิงโตติดปีก! เมื่อ ‘AIS’ ได้ ‘พรีเมียร์ลีก’ เป็นหมัดน็อก พร้อมเดินหน้าดึงลูกค้าย้ายค่าย! https://positioningmag.com/1527515 Wed, 25 Jun 2025 10:28:19 +0000 https://positioningmag.com/?p=1527515 หากพูดถึงการแข่งขันของ โอเปอเรเตอร์ ของไทย เรื่องของ คอนเทนต์ ก็เป็นอีกกลยุทธ์ที่ไม่มีใครยอมใคร และดูเหมือน ทรูมูฟเอช (TrueMove H) จะเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำในเกมนี้ และโดน หมัดน็อก จาก เอไอเอส (AIS) เพราะเดินเกมพลาดเสียลิขสิทธิ์สำคัญอย่าง ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ให้กับ JAS หรือ บมจ. จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล

ตลอด 30 ปี ทรู เสียพรีเมียร์ลีกไป 2 ครั้ง

ย้อนกลับไปในช่วงเกือบ 20 ปี ที่ผ่านมา ผู้ที่ได้ลิขสิทธิ์ในการถ่ายทอดฟุตบอลฟรีเมียร์ลีกมาอย่างยาวนาน คือ True Visions ที่ได้ลิขสิทธิ์ตั้งแต่ฤดูกาล 2007-2008 มาจนถึง 2012-2013 แต่ในปี 2013-2016 ทาง True Vision ได้เสียลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีกให้กับ บริษัท เคเบิลไทยโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) จำกัด หรือ CTH ผู้ให้บริการเคเบิลทีวีในประเทศไทย ที่ทุ่มเงินกว่า 10,100 ล้านบาท เอาชนะการประมูลไป

โดยทาง CTH ได้ปักราคาแพ็กเกจไว้ที่ 300-500 บาท โดยตั้งเป้าหมายในการขายสมาชิกแพ็กเกจที่ 1 ล้านราย เพื่อที่จะ ทำกำไร แต่กลับมีสมาชิกเพียง 2 แสนราย ห่างไกลกับเป้าหมายที่วางไว้อย่างมาก ยังไม่รวมต้นทุนอื่น ๆ เช่น เทคโนโลยี และโครงข่ายในการถ่ายทอด ส่งผลให้บริษัทขาดทุนอย่างหนัก จนต้องยุติการให้บริการในปี 2016

ถัดจากนั้น ฤดูกาล 2016-2019 เป็น beIN Sports ที่ได้รับลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสด ด้วยเม็ดเงิน 9,900 ล้านบาท แต่ ทรูก็ร่วมเป็นพันธมิตร ถ่ายทอดสดช่องทางเพย์ทีวีผ่านทรูวิชั่นส์ จนมาปี TrueVisions ก็ได้ดีลลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีก 3 ฤดูกาลปี 2019-2022 และลากยาวต่อเนื่องมาจนถึงฤดูกาลปี 2022-2025 โดยใช้เงินซื้อลิขสิทธิ์ที่ปีละราว ๆ 10,000 ล้านบาท

เสียพรีเมียร์ลีกครั้งนี้ ไม่เหมือน 2 ครั้งก่อน

จนกระทั่งในปี 2025-2030 ทางกลุ่มทรูก็ ยกธงขาว ยอมแพ้การประมูลให้กับ บริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JAS ได้ลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีกไปครองเป็นระยะเวลา 6 ฤดูกาล ตั้งแต่ 2025-2026 ไปจนถึง 2030-2031 ด้วยมูลค่าสูงถึง 19,000 ล้านบาท ซึ่งทรูมองว่า ถ้าต้องเสียเงินด้วยต้นทุนดังกล่าว ไปต่อได้ยาก

เพราะที่ผ่านมา ทรูถึงกับต้องปรับ ราคาแพ็กเกจ ฤดูกาล 2024-2025 ขึ้นมาเกือบ เท่าตัว จากราคาเต็มจะอยู่ที่ 3,200 บาทต่อฤดูกาล แถมมีราคา Early Bird ที่ 2,900 บาทต่อฤดูกาล มาเป็น 5,490 บาทต่อฤดูกาล และ 799 บาทต่อเดือน ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ต้นทุนมันสูงมากจริง ๆ จนต้องมาขึ้นราคาในปีสุดท้าย

และเมื่อ ราคาแพงขึ้น จนลูกค้าหลายคนส่ายหัว ช่องทางธรรมชาติ ที่ผิดลิขสิทธิ์ ก็กลายเป็นอีก ทางเลือก ไปโดยปริยาย ดังนั้น แปลว่าความท้าทายของผู้ที่ได้สิทธิ์พรีเมียร์ลีกจากนี้ก็คือ ช่องเถื่อน หากทำราคาที่เข้าถึงไม่ได้

อย่างไรก็ตาม การเสียลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีกในครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อน ๆ เพราะผู้ที่ได้ไปคือ JAS ซึ่ง AIS เพิ่งเข้าซื้อหุ้นใน บริษัท ทริปเปิลที บรอดแบนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ 3BB ในเครือ JAS ส่งผลให้ JAS รับทรัพย์ 2.8 หมื่นล้านบาท ดังนั้น ในเมื่อ JAS ได้ลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีกไป AIS จึงถูกมองว่าต้องได้ถ่ายทอดสดพรีเมียร์ลีกแบบนอนมาแน่นอน

ปั้น Entertainment Hub สู้ King of Sports

อย่างไรก็ตาม ในวันที่ TrueVisions ที่มีคอนเทนต์แม่เหล็กอย่างฟุตบอลพรีเมียร์ลีกจนสามารถสถาปนาตัวเองเป็น King of Sports ทางฝั่งของ AIS ก็กำลังคลำทางในการปั้นแพลตฟอร์ม AIS Play เพื่อมาต่อกร และกลยุทธ์ที่ AIS ทำก็คือคว้า พันธมิตร ให้มาอยู่ด้วยให้มากที่สุด ไม่ได้เน้นการซื้อลิขสิทธิ์คอนเทนต์ หรือไปผลิตคอนเทนต์เอง เพราะมองแล้วว่า ไม่น่าเวิร์ก เนื่องจากไม่ได้ถนัด และต้องใช้ต้นทุนมหาศาล

ทำให้ไม่ว่าแพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิ่งเจ้าไหนเข้ามาในตลาด AIS เก็บหมด ไม่ว่าจะเป็น Netflix, Disney+ Hotstar, Prime Video, Max, Viu, iQiYi, WeTV, MonoMax เรียกได้ว่า เอ่ยชื่อแพลตฟอร์มไหน AIS มีหมด ซึ่งนั่นก็ทำให้ภาพลักษณ์ของ AIS ในด้านการเป็น Entertainment Hub ยิ่งชัดในสายตาผู้บริโภค

อย่างไรก็ตาม แม้ภาพของการเป็น Entertainment Hub ของ AIS จะชัดเจนมากในตลาด แต่ ณ ตอนนั้น รุ่งทิพย์ จารุศิริพิพัฒน์ หัวหน้าส่วนงาน AIS PLAY มองว่า การเป็น Entertainment Hub ยังไม่ได้ดึงดูดให้เกิดการ ย้ายค่าย แต่ช่วยให้กับลูกค้าเดิมอยู่กับค่ายนานขึ้นมากกว่า

จากแค่ตรึง สู่การดึงลูกค้าย้ายค่าย!

แต่หลังจากที่ JAS ได้ประกาศว่า AIS เป็นพันธมิตรในการถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีก แถมยังเอาสิทธิ์ ฟุตบอลไทยลีก มาได้อีก นั่นแปลว่า AIS ได้ จิ๊กซอว์ครบทุกตัว ที่จะใช้ แย่งลูกค้าทรู มาอยู่ในมือ ไม่ใช่แค่มีคอนเทนต์ไว้ตรึงลูกค้าให้อยู่กับค่ายอีกต่อไป

ทำให้ AIS เปิดศึกโดยการ ดั๊มพ์ราคา สุดว้าวที่ 299 บาทต่อเดือน และ 2,999 บาทต่อปี ดูได้ 1 จอ จากที่ True เคยทำไว้ 799 บาทต่อเดือน และ 5,490 บาทต่อปี ดูได้ 2 จอ เรียกได้ว่า หารครึ่ง ก็ยังแพงกว่า และถ้าเป็น ลูกค้า AIS ราคาลดไปอีกเหลือ 199 บาทต่อเดือน และ 1,999 บาทต่อปี ได้ดูทั้งพรีเมียร์ลีก ไทยลีก และคอนเทนต์ Monomax

ไม่ใช่แค่ราคาที่จูงใจให้ ย้ายค่าย แต่ AIS ยังออก แพ็กเกจย้ายค่าย ทั้งโมบายและเน็ตบ้าน พร้อมให้ดูพรีเมียร์ลีกฟรีทั้งฤดูกาล โดยโมบายจ่ายเดือน 699 บาท ได้โทร 200 นาที เน็ต 5G 45GB ส่วนเน็ตบ้านราคาเดียวกันได้อินเทอร์เน็ต 500/500 Mbps และไม่ต้องกลัวจะไม่ได้ดูทันทีเพราะรอย้ายค่าย เพราะ AIS จะให้ ซิมดูบอล ไปใช้ก่อนเลยระหว่างรอ เรียกได้ว่าดึงดูดกันสุด ๆ เพราะ AIS คิดไว้แล้วว่าถ้าเพิ่มฐานลูกค้าได้มาก ก็จะยิ่งเป็นผลดีในระยะยาว

True แอบจัดโปร Monomax?

แน่นอนว่าฝั่ง True เองก็คงไม่ยอมอยู่เฉย ๆ เพราะนอกจากมีการปรับทัพคอนเทนต์ใหม่ไปเน้นเอนเตอร์เทนเมนต์มากขึ้นแล้ว ยังได้จัดโปรโมชันสำหรับ ลูกค้าที่สมัครแอปฯ กีฬา ตั้งแต่ 299 บาทขึ้นไปต่อรายการ และชำระด้วยเบอร์ทรูและดีแทค รับส่วนลด 100 บาท ไปเลย

แม้ว่า True จะไม่ได้เอ่ยชื่อ แต่ถ้าคุณไม่ใช่ลูกค้า AIS แล้วต้องการดูพรีเมียร์ลีก ก็มีแต่ต้องดูผ่าน Monomax ในราคา 299 บาทเท่านั้น ซึ่งทางทรูก็ชิงให้ส่วนลดไปเลย 100 บาท สำหรับลูกค้าทรูที่สมัครแอป Monomax แล้วจ่ายผ่านทรูหรือดีแทค สรุปง่าย ๆ ลูกค้าทรูก็ดูพรีเมียร์ลีกได้ผ่าน Monomax ได้ในราคา 199 บาท โดยไม่ต้องย้ายค่าย เพราะทรูลดราคาให้เองเลย!

ซึ่งโปรฯ ดังกล่าวก็ทำให้ JAS ออกแถลงการณ์ชี้แจงกรณีดังกล่าวทันที พร้อมกับยืนยันว่า JAS ไม่มีนโยบายอนุญาตให้ทรูดำเนินกิจกรรมส่งเสริมการขายในลักษณะนี้ และบริษัทฯ ได้ดำเนินการส่งหนังสือแจ้งไปยังทรู เพื่อให้ ยุติการเผยแพร่โปรโมชันดังกล่าวในทุกช่องทางทันที และยืนยันว่าโปรโมชันนี้จะต้องถูกยกเลิกตลอดระยะเวลาที่เกี่ยวข้อง

เรียกได้ว่า สงครามสตรีมมิ่งเดือดยิ่งกว่าสงครามส่งด่วน เสียอีก งานนี้ก็คงต้องรอดูกันยาว ๆ ว่า AIS ที่ได้อาวุธครบมือจะโกยลูกค้าเข้าบ้านได้มากน้อยแค่ไหน และ True จะงัดอะไรออกมาต่อกรอีกบ้าง
]]>
1527515
‘True’ รับอาจ ‘เสียลูกค้า’ เมื่อไม่มี ‘พรีเมียร์ลีก’ เตรียมโยกงบไปเน้น ‘บันเทิง’ ชดเชย ใช้ความหลากหลายยื้อลูกค้า https://positioningmag.com/1520765 Thu, 08 May 2025 07:18:43 +0000 https://positioningmag.com/?p=1520765 หลังจากที่ JAS หรือ บมจ. จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล คว้าลิขสิทธิ์ฟุตบอล พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2025-2028 ด้วยการลงทุนกว่า 19,000 ล้านบาท ล่าสุด บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น ก็เคลื่อนไหว พร้อมเปิดตัว TrueVisions NOW ที่ยังคงความเป็น King of sports และเพิ่มความบันเทิงเพื่อชดเชย พรีเมียร์ลีก ที่หายไป

รู้ว่าจ่ายเท่าไหร่ถึงขายได้ เลยต้องยอม

องอาจ ประภากมล หัวหน้าสายงานทรูวิชั่นส์ และมีเดีย บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น ได้เปิดใจถึงกรณีที่ทรูชวดลิขสิทธิ์ฟุตบอล พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2025-2028 ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นรายการฟุตบอล ยอดนิยม ของคนไทย โดยยอมรับว่า เสียดาย และอาจจะส่งผลกระทบให้ จำนวนผู้ใช้ และรายได้ลดลง จากปัจจุบันอยู่ที่ 1.3 ล้านราย มีรายได้รวม 6,000 ล้านบาท และ ARPU (Average Revenue Per User) เฉลี่ย 290 บาท/เดือน แต่ในวิกฤตอาจมีโอกาส เพราะต้นทุนการลงทุนคอนเทนต์ก็ลดลง ดังนั้น ต้องรอดูที่ กำไร ว่าดีขึ้นหรือลดลง

“จะเห็นว่าทีวีแทบไม่มีใครซื้อลิขสิทธิ์ฟุตบอลมาถ่ายทอด เพราะรายได้จากโฆษณามันไม่พอ และตอนนี้พรีเมียร์ลีกกำลังเป็นแบบนั้น เพราะดีที่สุด แต่ก็แพงสุด ซึ่งเราจ่ายมา 20 ปี เรารู้ว่ามันขายได้เท่าไหร่ เราจ่ายได้เท่าไหร่ แพงกว่านี้มันขายไม่ได้ ซึ่งคู่แข่งเขาชนะเราด้วยราคามากกว่าเรา 2 เท่าครึ่ง ตอนนั้นเราไม่รู้ว่าใครได้ แต่คิดว่าขอให้โชคดี” 

ไม่ได้พรีเมียร์ลีก ก็มีเงินมาทุ่มบันเทิง

กลยุทธ์ของทรูวิชั่นส์ในวันที่ไม่มีพรีเมียร์ลีก ก็คือนำงบลงทุนไปเน้นที่คอนเทนต์ บันเทิง ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ ซีรีส์ ที่เป็น Top-Tier รวมถึงการผลิต ออริจินัลคอนเทนต์ ซึ่ง องอาจ มองว่าเป็น ตลาดที่ใหญ่กว่า และทรูก็มี พาร์ทเนอร์ ที่พร้อมขายคอนเทนต์ดี ๆ ให้

“เงินที่จ่ายซื้อพรีเมียร์ลีกอาจจะเสิร์ฟลูกค้าได้แค่กลุ่มเดียว แน่นอนว่าเป็นกลุ่มใหญ่ แต่ในกลุ่มบันเทิงมันใหญ่กว่า โดยเมื่อดูจากจำนวนชั่วโมง ลูกค้าเราส่วนใหญ่ก็ดูบันเทิงมากกว่ากีฬา ดังนั้น การมาเน้นบันเทิงอาจทำให้เราได้กลุ่มลูกค้าที่ใหญ่กว่า อาจทำรายได้มากกว่าที่ได้”

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของ กีฬา ทางทรูมั่นใจว่ายังคงเป็น King of Sports โดยยังมีกีฬาระดับโลกอื่น ๆ เช่น F1, MotoGP, NFL, NBA, ฟุตบอลลาลีกา, บุนเดสลีกา, ซาอุดิลีก, ยูฟ่าแชมเปียนส์ ลีก, ยูโรปา ลีก, คอนเฟอเรนซ์ ลีก, ฟุตซอลไทยลีก และกำลังเจรจาถึงลิขสิทธิ์ ไทยลีก 

เราไม่ทิ้งคำว่า King of Sports เราอาจไม่มีพรีเมียร์ลีก แต่ยังมีกีฬาอื่น ๆ ที่กว้างและลึก ซึ่งลูกค้าระดับท็อปเขายอมจ่าย และใช้ความหลากหลายของคอนเทนต์ฮุกเขา ให้เขารู้สึกว่าคุ้มค่า ไม่ได้จ่ายแล้วดูได้แค่อย่างเดียว”

ไม่ได้ปิดโอกาสร่วมกับ JAS

แม้ว่าล่าสุด JAS จะได้ AIS หรือ บมจ. แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส เป็น พาร์ทเนอร์ ในการถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีกตั้งแต่ฤดูกาล 2025-26 ไปแล้ว แต่ทางทรูก็ พร้อมเปิดกว้าง หาก JAS หาพาร์ทเนอร์ใหม่ในอนาคต 

“เราเข้าใจว่า AIS น่าจะเป็นเอ็กซ์คลูซีฟพาร์ทเนอร์กับ JAS แต่เราก็เปิดกว้าง เรายินดีที่จะมีส่วนร่วม แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับทาง JAS ไม่ใช่เรา ดังนั้น ต้องดูกันยาว ๆ”

สำหรับแพ็กเกจ ทรูวิชั่นส์ นาว (TrueVisons NOW) มีทั้งหมด 4 แพ็กเกจ ได้แก่

  • TrueVisions NOW POP ราคา 119 บาทต่อเดือน แพ็กเกจที่คนไทยต้องดู เพลิดเพลินไปกับซีรีส์ หนังสุดฮิตจากไทย และเชียร์ทัพนักกีฬาไทยไปด้วยกัน
  • TrueVisions NOW PLUS ราคา 249 บาทต่อเดือน แพ็กเกจสำหรับคอซีรีส์ไทย จีน, เกาหลี, ญี่ปุ่น      อนิเมะ และกีฬาดัง เช่น F1, ฟุตบอลลีก และถ้วยยุโรปชั้นนำ และชมฟรีซีรีส์ดังจากแอปฯ IQIYI
  • TrueVisions NOW PRIME ราคา 449 บาทต่อเดือน รับชมภาพยนตร์ วาไรตี้ สารคดี กีฬาดังระดับโลก MOTO GP, NBA, NFL สามารถดูซีรีส์จีน และอนิเมะจากแอปฯ IQIYI และ We TV
  • TrueVisions NOW MAX ราคา 2,155 บาทต่อเดือน ดูฟรีแพลตฟอร์มพาร์ทเนอร์ดัง ได้แก่ IQIYI, We TV, MAX, VIU และ NETFLIX

]]>
1520765
JAS ส่งบอลพรีเมียร์ลีก-เอฟเอคัพ ลงจอ MONOMAX https://positioningmag.com/1504198 Thu, 19 Dec 2024 06:54:33 +0000 https://positioningmag.com/?p=1504198 หลังจากประกาศการได้รับสิทธิ์ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกและเอฟเอคัพ ล่าสุดทาง ‘บริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน)’ หรือ JAS ได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทอนุมัติให้ทำธุรกรรมเพื่อเผยแพร่คอนเทนต์รายการฟุตบอลพรีเมียร์ลีกและเอฟเอคัพผ่านแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งออนไลน์ MONOMAX กับ MONO Streaming บริษัทย่อยของ บริษัท โมโน เน็กซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ MONO และเข้าทำสัญญาใด ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดสิทธิและหน้าที่ระหว่างบริษัทและ MONO Streaming ในการเผยแพร่เนื้อหาคอนเทนต์รายการฟุตบอลพรีเมียร์ลีกและเอฟเอคัพในรูปแบบถ่ายทอดสด รับชมย้อนหลัง คลิปไฮไลต์ และรายการอื่น ๆที่บริษัทได้รับสิทธิเผยแพร่จาก The Football Association Premier League Limited (FAPL) และ The Football Association Limited (คอนเทนต์รายการฟุตบอลพรีเมียร์ลีกและเอฟเอคัพ)

ภายใต้สัญญาเพื่อการถ่ายทอดสดภาพและเสียง สำหรับฟุตบอลพรีเมียร์ลีก สัญญาเพื่อการถ่ายทอดสดภาพและเสียง สำหรับเอฟเอคัพ (FA Rights) และสัญญาที่เกี่ยวกับคลิปภาพและเสียงดิจิทัล สำหรับฟุตบอลพรีเมียร์ลีก (รวมเรียกว่า “Long Form Agreement”) ที่บริษัทจะเข้าทำกับ FAPL ต่อไป

ทั้งนี้ MONO Streaming จะมีหน้าที่ให้บริการแพลตฟอร์มที่เกี่ยวข้องและจำเป็นสำหรับการเผยแพร่คอนเทนต์รายการฟุตบอลพรีเมียร์ลีกและเอฟ เอคัพ ครอบคลุมทุกช่องทางในการเผยแพร่กับทุกเครือข่าย แพลตฟอร์ม อุปกรณ์ และช่องทางรับชมทั้งหมด

โดย JAS ตกลงชำระค่าบริการให้แก่ MONO Streaming ไม่เกิน 5,400 ล้านบาท คาดว่า จะเข้าทำสัญญาที่เกี่ยวข้องภายในไตรมาส 1 ปี 2568 ก่อนเริ่มฤดูกาลฟุตบอลพรีเมียร์ลีกที่ 2025/26 มีระยะเวลาของสัญญารวม 6 ปี และบริษัทมีสิทธิที่จะต่ออายุได้อีกครั้งละ 1 ปี โดยให้เงื่อนไขและข้อตกลงเป็นไปตามสัญญาเดิม โดยแจ้งล่วงหน้าเป็นลายลักษณ์อักษรแก่ MONO Streaming

อนึ่ง ณ วันที่ 16 ธ.ค.67 นายพิชญ์ โพธารามิก ถือหุ้น 51.08% ใน JAS และถือหุ้น 57.73% ใน MONO

ทั้งนี้ MONO Streaming จะเสนอขายแพ็กเกจคอนเทนต์รายการฟุตบอลพรีเมียร์ลีกและเอฟเอคัพให้แก่ลูกค้า รวมทั้งดำเนินการในรูปแบบที่ให้สิทธิผู้ใช้บริการสามารถรับชมคอนเทนต์อื่น ๆ ของ MONOMAX ตลอดจนพัฒนาระบบการให้บริการบนแพลตฟอร์มเพื่อใช้สำหรับเผยแพร่เนื้อหาคอนเทนต์รายการฟุตบอลพรีเมียร์ลีกและเอฟเอคัพผ่านแพลตฟอร์ม MONOMAX เพื่อให้สามารถรองรับการบริการผ่านทุกเครือข่าย ครอบคลุมทุกแพลตฟอร์มและอุปกรณ์

รวมถึงให้บริการถ่ายทอดสดพร้อมเสียงบรรยายภาษาไทย ตลอดจนผลิตรายการ ก่อนเข้าการแข่งขันและรายการระหว่างการแข่งขัน รวมถึงคลิปไฮไลต์ และให้การสนับสนุนด้านการตลาด ประชาสัมพันธ์ ผลิตสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์ และจัดกิจกรรมที่เกี่ยวข้องโดยบริษัทฯ เพื่อส่งเสริมการขายแพ็กเกจคอนเทนต์รายการฟุตบอลพรีเมียร์ลีกและเอฟเอคัพ

JAS ตกลงชำระค่าบริการรายเดือนให้แก่ MONO ในอัตรา 50 บาท (โดยไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ต่อบัญชีผู้ใช้ที่ได้ตกลงซื้อแพ็กเกจคอนเทนต์รายการ ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกและเอฟเอคัพในรูปแบบที่ให้สิทธิผู้ใช้บริการสามารถรับชม คอนเทนต์อื่น ๆ ของ MONOMAX เช่น ภาพยนตร์ ซีรีส์ และรายการต่าง ๆ ของ MONOMAX ที่ MONO ดำเนินการธุรกิจอยู่ในปัจจุบันผ่าน MONO ต่อเดือน

ส่วนราคาแพ็กเกจคาดจะไม่เกิน 400 บาทต่อเดือน รอประกาศเป็นทางการอีกครั้งต้นปีหน้า

นอกจากนี้ JAS ได้รับสิทธิแต่เพียงผู้เดียว (Exclusivity right) ในการถ่ายทอดสดภาพและเสียงรายการฟุตบอลพรีเมียร์ลีกและเอฟเอคัพ บนอินเทอร์เน็ตทีวี และ ดิจิทัลทีวี รวมถึงชุดวิดีโอสั้น สำหรับรายการฟุตบอลพรีเมียร์ลีก เป็นจำนวน 6 ฤดูกาล โดยเริ่มตั้งแต่ต้นฤดูกาลฟุตบอลพรีเมียร์ลีกที่ 2025/26, 2026/27, 2027/28, 2028/29, 2029/2030 และ 2030/31 ในประเทศไทย ประเทศลาว และประเทศกัมพูชา โดยมีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 559,980,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 19,167,723,414 บาท

]]>
1504198
ฉลองแชมป์! “พรีเมียร์ลีก” ติดคำค้นหายอดนิยมใน Google เดือนมิ.ย. พุ่งขึ้น 800% https://positioningmag.com/1287129 Thu, 09 Jul 2020 09:44:27 +0000 https://positioningmag.com/?p=1287129 Google Trends เผยพฤติกรรมการค้นหาข้อมูลของผู้คนในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา พบว่าการค้นหาเกี่ยวกับพรีเมียร์ลีก ที่มาพร้อมกับการค้นหาการรายงานผลพรีเมียร์ลีก และตารางแข่งขันพรีเมียร์ลีกที่มีผู้คนให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก

ในขณะที่การค้นหาเกี่ยวกับ “ไวรัสโคโรนา” ยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่สิ่งเดียวที่ยังมีผู้ให้ความสนใจค้นหาเกี่ยวกับไวรัสโคโรนาในเดือนนี้ คือจำนวนยอดผู้เสียชีวิตด้วยโรคไวรัสโคโรนาที่มียอดการค้นหาเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 

ทั้งนี้ ยังพบว่าความสนใจค้นหาเกี่ยวกับ “คาเฟ่” ในเดือนมิถุนายนได้เพิ่มสูงขึ้นถึง 2 เท่า ซึ่งเป็นสถิติการค้นหารายเดือนที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ สำหรับรายละเอียดเทรนด์การค้นหาที่น่าสนใจภายในเดือนมิถุนายน มีดังต่อไปนี้

เทรนด์การค้นหาในเดือนมิถุนายน

  • “พรีเมียร์ลีก” เป็นหัวข้อค้นหายอดนิยมในเดือนมิถุนายน โดยมีการค้นหาพุ่งสูงขึ้นกว่า 800%
  • “การรายงานผลพรีเมียร์ลีก” และ “ตารางแข่งขันพรีเมียร์ลีก” เป็นหัวข้อย่อยที่มีการค้นหาพุ่งสูงขึ้นถึง 5,000%
  • ความสนใจค้นหาเกี่ยวกับ “ไวรัสโคโรนา” ยังคงลดลงอย่างต่อเนื่องในเดือนมิถุนายน โดยลดลงถึง 46% จากเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นปริมาณการค้นหารายเดือนที่ต่ำที่สุดสำหรับประเทศไทย
  • การค้นหายอดนิยมที่เกี่ยวข้องกับไวรัสโคโรนา และมีเพียงหนึ่งเดียวในเดือนมิถุนายน คือ “coronavirus death toll” โดยมีการค้นหาเพิ่มขึ้นเพียง 60%
  • ความสนใจค้นหาเกี่ยวกับ “คาเฟ่” ในเดือนมิถุนายนเพิ่มสูงขึ้นถึง 2 เท่า ซึ่งเป็นสถิติการค้นหารายเดือนที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยกาญจนบุรีเป็นจังหวัดที่มีผู้สนใจค้นหาเกี่ยวกับคาเฟ่มากที่สุด ตามด้วยนครนายก และเพชรบุรี

คำค้นหาเกี่ยวกับไวรัสโคโรนาที่มีการค้นหามากที่สุดในเดือนมิถุนายน 

  1. โคโรนาไวรัส
  2. Coronavirus update
  3. Coronavirus worldometer
  4. ขอบคุณทุกคนที่ช่วยเหลือด้านโคโรนาไวรัส
  5. Coronavirus Thailand
  6. Coronavirus news
  7. Coronavirus USA
  8. Coronavirus UK
  9. Coronavirus India
  10. Coronavirus tips

10 อันดับจังหวัดที่มีความสนใจค้นหาเกี่ยวกับไวรัสโคโรนามากที่สุดในเดือนมิถุนายน

  1. ภูเก็ต
  2. ประจวบคีรีขันธ์
  3. ชลบุรี
  4. สุราษฎร์ธานี
  5. ตราด
  6. ระนอง
  7. เชียงใหม่
  8. กรุงเทพมหานคร
  9. กระบี่
  10. พังงา

]]>
1287129
อย่างนี้ต้องเฮ! รวมโปรโมชั่นฉลองแชมป์พรีเมียร์ลีก “ลิเวอร์พูล” มีตั้งแต่อาหารยันรถแห่! https://positioningmag.com/1285331 Fri, 26 Jun 2020 09:22:18 +0000 https://positioningmag.com/?p=1285331 ใครที่เป็นแฟนบอลของสโมสร “ลิเวอร์พูล” คงจะปลาบปลื้มใจอย่างมากในวันนี้ เพราะได้เป็นแชมป์ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกในรอบ 30 ปีได้สำเร็จ ท่ามกลางอุปสรรคต่างๆ นานา พ่วงด้วยไวรัส COVID-19

ในประเทศไทยก็มี “The Kop” ที่เป็นแฟนบอลลิเวอร์พูลอยู่ไม่น้อย แน่นอนว่าทำให้เราได้เห็น Real Time Marketing บนโซเชียลมีเดียมากมาย ทั้งในเรื่องของคอนเทนต์ และโปรโมชั่นเพื่อเอาใจแฟนบอล จะเห็นได้ว่ามีตั้งแต่อาหารการกิน ไปจนถึงรถแห่แชมป์เลยก็มี!

เริ่มต้นจากร้าน Potato Corner ของหนุ่ม “พีช พชร จิราธิวัฒน์” ถึงแม้ว่าตัวพีชเองจะเป็นแฟนบอลทีมเชลซี แต่พีชได้เลยเล่นมิวสิกวิดีโอเพลงแอบดีของแสตมป์ อภิวัชร์ รับบทบาทเป็นแฟนบอลลิเวอร์พูล โดยที่พีชก็ได้แสดงความยินดีกับแฟนๆ ลิเวอร์พูลเช่นกัน

จึงถือโอกาสจัดโปรโมชั่นสำหรับแฟนลิเวอร์พูลซะเลย ฉลองแชมป์ให้แฟนลิเวอร์พูลกินเฟรนช์ฟรายส์ฟรี ที่หน้าร้านทุกสาขา วันนี้วันเดียว มีเงื่อนไขแค่ว่าใส่เสื้อทีมลิเวอร์พูล มาที่สาขาใดก็ได้ของ โปเตโต้ คอร์เนอร์ ในวันนี้ (26 มิ.ย.) รับไปเลย เฟรนช์ฟรายส์ไซส์ Large 1 ถ้วย แจก 30 ถ้วยต่อสาขา

มาที่ร้านเตาถ่าน Yakiniku ก็จัดโปรโมชั่น ใส่เสื้อลิเวอร์พูลมาทานที่ร้าน ทานครบ 2,020 บาท ได้รับส่วนลดไปเลย 300 บาท

มาลีข้าวมันไก่ จัดโปรฉลองแชมป์อย่างเป็นทางการ เมื่อลูกค้าสั่งอาหารครบ 300 บาท รับฟรี! ไก่ทอด 1 ชิ้นทันที

ร้าน Underdog Micro Brewery จัดโปรโมชั่นพิเศษสำหรับ The Kop ใส่เสื้อลิเวอร์พูลมาที่ร้านรับไก่ทอดฟรี 1 จาน เริ่มตั้งแต่วันนี้ไปจนถึง วันที่ 15 กรกฎาคม 63 ทุกศุกร์ และเสาร์ 21.00 เป็นต้นไป

ร้าน JIM’s Burgers & Beers จัดโปรให้ลูกค้าที่ใส่เสื้อฉลองแชมป์ลิเวอร์พูลมาทานเบอร์เกอร์รับฟรี “เครื่องดื่มในดวงใจ 1 แก้ว

ในส่วนของ “ท็อปส์” ก็ไม่พลาดเรียลไทม์ คอนเทนต์ ด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด “เป็ด”

เจ๊ต่าย Jaytherabbit ก็ยังคงคอนเซ็ปต์ไว้อยู่…

ไปจนถึง “รถแห่” ที่เป็นเหมือนกิมมิกสำคัญของการฉลองแชมป์ ดีลเลอร์ Suzuki ที่ภูเก็ตก็จัดโปรรถพร้อมแห่ แบบ You will never drive alone

ใช้รถ All New Suzuki Carry รถกระบะอเนกประสงค์ เปิดกระบะได้ 3 ด้าน สามารถรองรับการบรรทุกได้เทียบเท่ารถกระบะขนาด 1 ตัน สามารถนำไปพ่นสีแดง หรือ ตกแต่งเพิ่มเติม เพื่อทำเป็นรถแห่ถ้วยแชมป์ได้ จัดโปรโมชั่นในราคารถ 385,000 บาท (ไม่รวมพ่นสีและต่อเติม)

]]>
1285331
30 ปีที่รอคอย! ราคาโรงแรมเมือง Liverpool พุ่ง 4 เท่าคืนวันแห่ถ้วยแชมป์ “พรีเมียร์ลีก” https://positioningmag.com/1263446 Thu, 06 Feb 2020 09:13:56 +0000 https://positioningmag.com/?p=1263446 แม้จะยังไม่เป็นทางการ และแม้จะยังต้องรอแข่งอีกอย่างน้อย 6 นัดจึงจะมั่นใจได้ แต่แฟนบอล Liverpool จากต่างเมืองก็แห่จองที่พักในถิ่น Anfield ในวันที่ 18 พฤษภาคม 2020 วันพาเหรดแห่ฉลองแชมป์พรีเมียร์ลีกกันแล้ว ทำให้ราคาห้องพักในวันดังกล่าวพุ่งทะยาน 4 เท่า บางแห่งถือโอกาสดันราคาไปถึง 8 แสนบาท!!

รายงานข่าวจาก The Mirror สำรวจราคาโรงแรมเมือง Liverpool ในคืนวันที่ 18 พฤษภาคมนี้ ซึ่งจะเป็นวันจัดพาเหรดฉลองแชมป์พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2019/2020 หากสโมสรฟุตบอล Liverpool ได้ชูถ้วยตามเป้าหมาย โอกาสสำคัญที่แฟนๆ รอคอยมา 30 ปีทำให้ห้องพักโรงแรมในตัวเมืองราคาพุ่งตามดีมานด์ของเหล่า The Kop ที่ต้องการมีส่วนร่วมอย่างใกล้ชิดกับประวัติศาสตร์ของทีมเช่นนี้

The Mirror พบว่าบางโรงแรมเช่น Hatters Hostel เปิดขายเตียงเดี่ยวในราคาถึง 20,444 ปอนด์ หรือ 826,000 บาท!! โดยเป็นราคาที่ปรากฏใน booking.com

อย่างไรก็ตาม แม้ราคาดังกล่าวอาจจะเป็นราคา ‘เผื่อฟลุก’ แต่ Positioning สำรวจราคาผ่านเว็บไซต์ Agoda พบว่า ราคาโรงแรมส่วนใหญ่ใน Liverpool สามารถดันขึ้นไปสูงกว่าปกติ 3-4 เท่าในวันฉลองแชมป์

ยกตัวอย่าง The Z Hotel ที่เปิดราคา 375 ปอนด์ หรือประมาณ 15,100 บาท สำหรับห้องเตียงเดี่ยวขนาดเพียง 10 ตร.ม. ทั้งที่วีคเอนด์ปกติช่วง 2 สัปดาห์ก่อนหน้า โรงแรมนี้ขายในราคาเพียง 100 ปอนด์ หรือประมาณ 4,040 บาท ส่วน Easy Hotel โรงแรมอีกแห่งหนึ่ง จากราคาปกติ 105 ปอนด์ หรือ 4,240 บาท ปรับราคาเป็น 283 ปอนด์ หรือกว่า 11,400 บาท

ราคาโรงแรมใน Liverpool คืนวันพาเหรดแห่ถ้วยหากทีมได้แชมป์พรีเมียร์ลีก

อีเวนต์สำคัญเช่นนี้ทำให้โรงแรมสามารถทำกำไรได้เทียบเท่ากับคืนส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่เลยทีเดียว ด้วยดีมานด์ที่สูงจากแฟนๆ ที่จะหลั่งไหลเข้ามา โดยเปรียบเทียบกับการพาเหรดฉลองถ้วย UEFA Champions League ฤดูกาล 2018/19 ครั้งนั้นมีแฟนคลับเข้ามาในเมืองถึง 750,000 คน ส่วนการฉลองครั้งนี้เชื่อว่าจะทำลายสถิติดังกล่าว

สโมสร Liverpool ปีนี้สามารถทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม กวาดชัยชนะ 24 นัดจาก 25 นัด เสมอ 1 นัด และยังไม่ประสบความพ่ายแพ้เลยแม้แต่นัดเดียว ทำให้พวกเขาสะสมคะแนนไป 73 แต้ม นำเป็นจ่าฝูงเหนือ Manchester City อันดับ 2 ถึง 22 แต้ม โดยในตารางแข่งขันที่ยังเหลือการแข่งอีก 13 นัด หาก Liverpool เอาชนะได้อีก 6 นัดหรือเก็บ 18 แต้ม จะถือว่านำขาดและเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีก 2019/2020 อย่างแน่นอนแล้ว

ครั้งล่าสุดที่ Liverpool FC ได้ถ้วยแชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษคือเมื่อฤดูกาล 1989/90 หรือ 30 ปีก่อน นั่นทำให้การร่วมฉลองครั้งนี้มีความหมายอย่างยิ่งจนลูกค้ายอมจ่าย!

Source

]]>
1263446
PPTV งดถ่ายทอดพรีเมียร์ลีกชั่วคราว เนื่องจากสัญญาณรั่วไหลไปนอกประเทศ https://positioningmag.com/1251027 Fri, 25 Oct 2019 14:54:17 +0000 https://positioningmag.com/?p=1251027 PPTV ประกาศงดถ่ายทอดพรีเมียร์ลีกชั่วคราวตั้งแต่วันเสาร์ที่ 26 ตุลาคมนี้ เนื่องจากมีเหตุขัดข้อทางเทคนิค กำลังเร่งหาทางแก้ไข

สถานีโทรทัศน์ PPTV HD ช่อง 36 ได้ประกาศในช่องทางเว็บไซต์ และเฟซบุ๊กว่า งดทำการถ่ายทอดสดการแข่งขันพรีเมียร์ลีกชั่วคราว โดยมีเนื้อหาเต็มๆ ว่า

สถานีโทรทัศน์พีพีทีวี เอชดี ช่อง 36 ในฐานะผู้ได้รับสิทธิ์ในการถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2019/20 ได้แจ้งถึงกรณีที่ พรีเมียร์ลีก ส่งหนังสือแจ้งให้ระงับการถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกเป็นการชั่วคราว เนื่องจากมีการรั่วไหลของสัญญาณไปนอกประเทศไทยผ่านระบบโทรทัศน์ดาวเทียม ทางสถานีฯ จึงจำเป็นต้องงดการถ่ายทอดสดชั่วคราว โดยมีผลตั้งแต่วันเสาร์ที่ 26 ตุลาคมนี้ เป็นต้นไป

โดยทางสถานีฯ ได้มีการสื่อสารกับผู้ชมผ่านทางหน้าจอ และช่องทางออนไลน์ถึงข้อขัดข้องดังกล่าว แต่โดยที่เป็นเหตุสุดวิสัย นอกเหนือการควบคุมดูแล พีพีทีวี จึงจำเป็นต้องระงับการถ่ายทอดสดชั่วคราว และกำลังเร่งหาทางออกกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ไขโดยเร็วที่สุด

]]>
1251027
“ทรูวิชั่นส์” ลั่นกลับมาบริหาร “พรีเมียร์ลีก” รอบ 6 ปี ต้อง “คุ้มทุน” ชู “ออมนิ แชนแนล” หนุนรายได้ ยิงสด PPTV 30 แมตช์ https://positioningmag.com/1241633 Wed, 07 Aug 2019 10:35:58 +0000 https://positioningmag.com/?p=1241633 ประกาศคว้าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2019/20 – 2021/22 ในประเทศไทยถือเป็น King of Content ในฝั่งกีฬาฟุตบอลไปเมื่อเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา นับเป็นการกลับมาบริหารลิขสิทธิ์เต็มรูปแบบอีกครั้งในรอบ 6 ปี ของ “ทรูวิชั่นส์” ที่ปั้นฐานแฟนฟุตบอล EPL มาเกือบ 30 ปีตั้งแต่เริ่มธุรกิจเพย์ทีวี

“พรีเมียร์ลีก อังกฤษ” ถือเป็นลีกการแข่งขันฟุตบอลที่ได้รับความนิยมและมีผู้ติดตามชมมากที่สุดในโลก “ทรูวิชั่นส์” ถือลิขสิทธิ์ลีกดังตั้งแต่ทำธุรกิจเพย์ทีวีเกือบ 30 ปี เว้น 3 ฤดูกาลปี 2013 – 2016 ที่อยู่ในมือ CTH ด้วยการทุ่มประมูลกว่า 9,000 ล้านบาท เป็นครั้งแรกที่ พรีเมียร์ลีก ไม่ได้อยู่ในเพย์ทีวี “ทรูวิชั่นส์” และท้ายที่สุดธุรกิจเพย์ทีวี CTH ก็ไปไม่รอด แม้มี King of Content ในมือ

จากนั้น 3 ฤดูกาลในปี 2016 – 2019 ลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ตกอยู่ในมือ beIN Sports ที่ร่วมเป็นพันธมิตรถ่ายทอดสดช่องทาง “เพย์ทีวี” ผ่านทรูวิชั่นส์ ถือเป็นการคืนสู่แพลตฟอร์มอีกครั้งของลีกดัง แต่การบริหารยังอยู่ในมือ beIN Sports

หลังจากดีลลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีก 3 ฤดูกาลใหม่ ปี 2019 – 2022 ในประเทศไทย ลาว กัมพูชา และเวียดนาม ของ “เฟซบุ๊ก” ที่ประกาศคว้าลิขสิทธิ์ลีกดังต้อง “ล่ม” จนต้องมีการเปิดประมูลใหม่ ครั้งนี้ “ทรูวิชั่นส์” เป็นผู้คว้าลิขสิทธิ์ด้วยราคาต่ำกว่าที่เฟซบุ๊กเสนอ และเป็นราคาที่ “พอใจ”

พีรธน เกษมศรี ณ อยุธยา

หวังพรีเมียร์ลีกหนุนธุรกิจ “คุ้มทุน”

พีรธน เกษมศรี ณ อยุธยา หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านคอนเทนต์และมีเดีย บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า การได้ลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดพรีเมียร์ลีก 3 ฤดูกาลใหม่ ถือเป็นการกลับมาบริหารลิขสิทธิ์ลีกดัง แบบ All Right จากพรีเมียร์ลีก อังกฤษโดยตรงอีกครั้งในรอบ 6 ปี สามารถออกอากาศครบทั้ง 380 แมตช์ตลอดฤดูกาล ได้ทุกแพลตฟอร์มทั้งเพย์ทีวี ฟรีทีวี ออนไลน์ OTT รับชมผ่านจอทีวีและสมาร์ทดีไวซ์ ทั้งชมสดและรีรัน

“การกลับสู่ทรูวิชั่นส์ กรุ๊ปของลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ครั้งนี้ วางเป้าหมายผลักดันลีกดังให้กลับมาได้รับความนิยมสูงสุดอีกครั้ง และจะเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีของทรูวิชั่นส์ ที่กล้าตั้งเป้าหมายคุ้มทุน”

พรีเมียร์ลีก อังกฤษ เป็นคอนเทนต์ที่ได้รับความนิยมในประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่อง แต่การทำตลาดในช่วงที่ไม่ได้อยู่กับทรูวิชั่นส์ อาจไม่ครอบคลุมฐานผู้ชมทั้งหมดที่เคยเข้าถึงลีกดัง แต่คนที่ชื่นชอบพรีเมียร์ลีกยังมีอยู่จำนวนมาก

ชู Omni Channel เจาะ 20 ล้านผู้ชม

กลยุทธ์การทำตลาด พรีเมียร์ลีก 3 ฤดูกาลใหม่ เป็นรูปแบบ Omni Channel Omni Platform เป็นการ Synergy การรับชมลีกดังในทุกช่องทางทั้ง ออฟไลน์และออนไลน์ ผ่านทุกแพลตฟอร์มในเครือทรู ทั้งเพย์ทีวี ทรูออนไลน์ ทางเว็บไซต์บนโน้ตบุ๊คหรือแอปพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟน ผ่าน ทรูไอดี และ TrueID Box ที่สามารถรับชมได้ทุกที่ทุกเวลา ส่วนทีวีดิจิทัล ทรูโฟร์ยูและทีเอ็นเอ็น จะเป็นช่องทางนำเสนอคลิปคอนเทนต์ก่อนเกมและและหลังเกมแข่งขัน เพื่อช่วยโปรโมตลีกดัง

ขณะที่การถ่ายทอดสดทาง “ทีวีดิจิทัล” PPTV เป็นผู้ได้รับลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดรวม 30 แมตช์ตลอดฤดูกาล

ความแตกต่างของการบริหารลิขสิทธิ์ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ครั้งนี้ อยู่ที่แพลตฟอร์ม OTT ทรูไอดี ที่สามารถรับชมได้ทุกเครือข่ายมือถือ ปัจจุบันมีผู้ดาวน์โหลด ทรูไอดี ไปแล้วกว่า 15 ล้านราย โดยเป็นแอปที่สามารถดูพรีเมียร์ลีกบนมือถือได้ฟรี 100 แมตช์ตลอดฤดูกาล

นอกจากนี้ ทรูไอดี ยังมีแพ็กเกจดูครบตลอดฤดูกาล 2,500 บาท รายเดือน 319 บาท รายสัปดาห์ 179 บาท และรายวัน 99 บาท ส่วนแพ็คเกจ ทรูออนไลน์ พร้อมกล่องทรูไอดีทีวี ดูพรีเมียร์ลีกฟรีทุกสัปดาห์ ราคา 999 บาทต่อเดือน

ส่วน ทรูวิชั่นส์ ซึ่งปัจจุบันมีฐานสมาชิก 4 ล้านราย แพ็กเกจแพลตินัมดูฟรีทั้ง 380 แมตช์ตลอดฤดูกาล แพ็กเกจเสริม ทรู พรีเมียร์ ฟุตบอล เอชดี พลัส ราคา 399 บาทต่อเดือน โกลด์ 199 บาทต่อเดือน และแพ็กเกจอื่นๆ 299 บาทต่อเดือน

“การบริหารลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีกทุกแพลตฟอร์มตลอด 3 ฤดูกาลใหม่ ทำให้ลีกดังเข้าถึงผู้ชมกว่า 20 ล้านรายในประเทศไทย โดยเฉพาะ OTT และจะผลักดันรายได้ทรูวิชั่นส์ กรุ๊ป ให้กลับมาเติบโตอีกครั้งตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป”

นอกจากนี้ยังได้รับการสนับสนุนจากสปอนเซอร์ชิป 6 พันธมิตร คือ ทรู คอร์ปอเรชั่น, สิงห์ คอร์เปเรอชั่น, ซีพี ออลล์, เอ.พี. ฮอนด้า, ซีพีเอฟ และสยามแมคโคร ที่จะทำแคมเปญการตลาดทั้งบนหน้าจอ ออนไลน์ และจัดกิจกรรมร่วมกันตลอด 3 ฤดูกาล

สำหรับนัดเปิดสนามเป็นโปรแกรม “ฟรายเดย์ไนท์” คืนวันศุกร์ที่ 9 ส.ค. ระหว่าง ลิเวอร์พูล พบกับ นอริช ซิตี้ ต่อด้วยโปรแกรมวันเสาร์ที่ 10 ส.ค. อีก 7 คู่ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด พบ แมนเชสเตอร์ ซิตี้, บอร์นมัธ พบ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด, เบิร์นลีย์ พบ เซาแธมป์ตัน, คริสตัล พาเลซ พบ เอฟเวอร์ตัน, เลสเตอร์ ซิตี้ พบ วูล์ฟแฮมป์ตัน, วัตฟอร์ด พบ ไบรจ์ตัน, ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ พบ แอสตัน วิลลา ปิดท้ายด้วยเกมวันอาทิตย์ที่ 11 สิงหาคม 2 คู่ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด พบ อาร์เซนอล, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พบ เชลซี ถ่ายทอดสดผ่านทรูวิชั่นส์ 6 ช่อง

]]>
1241633