พฤติกรรมการทำงาน – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 13 Mar 2020 12:33:56 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ฮาว ทู กัก 5 คำแนะนำวิธีกักตัว “ทำงานอยู่บ้าน” อย่างไรให้ชีวิตยังสมดุล https://positioningmag.com/1268183 Fri, 13 Mar 2020 09:10:47 +0000 https://positioningmag.com/?p=1268183 ช่วงนี้หลายคนอาจจะเริ่ม Work from Home กักตัวเอง “ทำงานอยู่บ้าน” เพื่อลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อไวรัส COVID-19 เมื่อทำงานอยู่ที่บ้าน หลายคนอาจจะเริ่มตารางชีวิตรวน ไม่รู้จะจัดสมดุลระหว่างการงานกับช่วงพักผ่อนอย่างไร เหล่านี้คือคำแนะนำจากคนที่เคย Work from Home มาก่อนว่าต้องทำอย่างไรบ้าง

ช่วงแรกๆ ที่พนักงานเริ่ม Work from Home หรือจินตนาการถึงการทำงานที่บ้าน อาจจะฟังดูเหมือนเป็นโลกการทำงานในฝันเพราะไม่ต้องฝ่าฟันรถติดหรือผู้คนแออัดในรถไฟฟ้า ไม่มีเพื่อนร่วมงานที่มายืนเม้าท์กันข้างๆ ให้เสียสมาธิ แถมยังอาจจะได้แวบไปทำงานบ้านเล็กๆ น้อยๆ ด้วย

แต่ข้อเสียของการทำงานอยู่บ้านก็มีเช่นกัน เพราะเมื่อผ่านไประยะหนึ่ง พนักงานมักจะรู้สึกเบื่อหน่าย และเมื่อไม่มีการตอกบัตรเข้าออกงานตามเวลา งานก็ดูเหมือนจะไม่จบสิ้นเสียที

“ผมคิดว่าข้อเสียที่ใหญ่ที่สุดของการทำงานอยู่บ้าน แต่มักจะถูกประเมินผลกระทบต่ำเกินไปคือ ผลกระทบเรื่องความเหงาทางจิตใจเมื่อต้องอยู่คนเดียว” David Hassell ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอของ 15Five กล่าว โดย 15Five เป็นบริษัทผู้ให้บริการซอฟต์แวร์สำหรับประเมินผลการทำงาน และตัวบริษัทเองยังมีพนักงานถึง 40% ที่ทำงานระยะไกลจากที่บ้าน

ต่อไปนี้คือ 5 คำแนะนำสำหรับคนทำงานอยู่บ้าน จากผู้บริหารหลากหลายบริษัท เพื่อสร้างสมดุลชีวิตไม่ให้ทำงานมากไปหรือน้อยไป และที่สำคัญ…ไม่เหงาเกินไปด้วย

 

1.หาเวลาพักเบรก

จริงๆ แล้วคนเราไม่ได้ทำงานติดต่อกัน 8 ชั่วโมงเวลาอยู่ในออฟฟิศ เราจะต้องมีเวลาพักเบรกทานกาแฟ เดินหาร้านอาหารตอนพักเที่ยง และเวลานั่งเม้าท์กับเพื่อนร่วมงานระหว่างวันบ้าง ดังนั้นการทำงานอยู่บ้านไม่ได้แปลว่าคุณจะไม่สามารถพักเบรกแบบนั้นได้

“มีแนวโน้มที่พนักงานจะโหมทำงานตลอดวัน เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกตราหน้าว่าไม่ได้ทำงานเพราะไม่อยู่ออฟฟิศ” David Rabin รองประธานฝ่ายการตลาดสากลจาก Lenovo กล่าว

แต่คนที่ทำงานอยู่บ้านก็ควรจะได้พักระหว่างวันบ้างเช่นกัน และการพักยังจะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานดีกว่าด้วย

“การพักเบรกไม่ได้ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของคุณน้อยลง” Julie Morgenstern ที่ปรึกษาด้านการจัดการองค์กรกล่าว “การพักเบรกเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างประสิทธิภาพ ที่จริงแล้วมันช่วยให้คุณฉลาดขึ้น และทำให้คุณค้นพบมุมมองหรือคำตอบได้ด้วย”

 

2.สร้างโครงสร้างแบบ “ที่ทำงาน” ในบ้าน

สำหรับคนที่เคยชินกับสิ่งแวดล้อมในออฟฟิศอาจจะปรับตัวยากหน่อยเมื่อต้องทำงานอยู่บ้าน ถ้าในหนึ่งวันของคุณต้องเดินไปเดินมาระหว่างโต๊ะของตัวเอง ไปห้องประชุมใหญ่ กลับมาห้องประชุมย่อย Rabin ให้คำแนะนำว่า เมื่อมาทำงานอยู่บ้าน ก็ไม่จำเป็นต้องฝังตัวเองอยู่กับโต๊ะทำงานตัวเดียวเช่นกัน

Morgenstern เสริมว่า เราสามารถจัดพื้นที่ในบ้านให้เหมาะกับฟังก์ชันการทำงานแต่ละอย่างได้ เช่น มุมเงียบๆ ในบ้านใช้สำหรับเวลาทำงานที่ต้องใช้การคิดวิเคราะห์ ขณะที่การย้ายมารับแดดที่ชานบ้านอาจจะเหมาะกับการทำงานรูทีนต่างๆ อย่างการตอบอีเมลหรือจัดการเอกสารยิบย่อย

เธอยังกล่าวด้วยว่า ต้องไม่ลืมจัด “โซนปลอดงาน” ในบ้าน โดยโซนนี้จะไม่มีการนำงานเข้าไปทำเด็ดขาดโดยเฉพาะห้องนอน “คุณจะพักผ่อนช่วงกลางคืนได้ยากมากหากคุณเริ่มนำงานเข้าไปทำในบริเวณที่ใช้พักผ่อน”

 

3.เวลาเดินทางไป-กลับออฟฟิศ นำมาใช้ทำอย่างอื่นแทน

เหตุผลข้อใหญ่ที่ทำให้การทำงานอยู่บ้านมีประโยชน์มากคือ “ไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง” แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องเริ่มงานเร็วขึ้นกว่าเดิม

“เปลี่ยนเวลาที่ใช้เดินทางไปที่ทำงานตอนเช้ามาเป็นช่วงเวลาสำหรับตัวเองหรือครอบครัว ไม่ใช่ทำงานเพิ่ม” Morgenstern กล่าว

 

4.จัดตารางชีวิตให้ชัด

“การทำงานอยู่บ้านไม่ได้แปลว่าคุณจะต้องทำงานนานขึ้นกว่าเดิม” คุณควรจะระบุกับหัวหน้าและเพื่อนร่วมงานให้ชัดเจนว่าตารางชีวิตคุณจะทำอะไรบ้าง

และเมื่อสิ้นสุดเวลาทำงานตามตารางแต่ละวัน ควรจะเก็บอุปกรณ์การทำงานทันที เปลี่ยนชุดเป็นชุดอยู่บ้านหรือชุดนอนเพื่อเปลี่ยนโหมดตนเองว่าตอนนี้เข้าสู่เวลาส่วนตัวแล้ว

นอกจากการคุยกับที่ทำงานแล้ว คุณควรจะคุยกับสมาชิกในบ้านด้วยว่าตารางการทำงานคุณเป็นอย่างไร เพื่อไม่ให้มีการรบกวนกันระหว่างวัน ทั้งนี้ นี่เป็นสิ่งที่ท้าทายที่สุดสำหรับมนุษย์พ่อหรือมนุษย์แม่ในช่วงที่โรงเรียนปิดเทอม

“คุณควรจัดตารางแบ่งเวลางานกับเวลาเล่นกับลูก และจัดสถานที่ให้แบ่งแยกกันด้วย รวมถึงต้องออกคำสั่งที่ชัดเจน” Morgenstern แนะนำ

 

5.แชทและวิดีโอคอลแก้เหงา

ทำงานอยู่บ้าน

เพื่อหลีกเลี่ยงความเหงาและเดียวดายเหมือนเราทำงานอยู่คนเดียว ที่ทำงานควรจะมีการนัดประชุมทางไกลผ่านระบบวิดีโอคอลบ้าง ยกตัวอย่างบริษัท 15Five จะมีการนัดประชุม 3 ครั้งต่อสัปดาห์ เพื่อให้ทุกคนได้เห็นหน้ากัน ไม่ว่าจะทำงานอยู่มุมไหนของโลก

นอกจากความเหงาแล้ว การที่พนักงานไม่ได้เจอกันในออฟฟิศ จะทำให้ปฏิสัมพันธ์และพลังงานจากการพบเจอผู้คนขาดหายไป จากบรรยากาศออฟฟิศปกติที่พนักงานอาจจะเดินไปเม้าท์ที่โต๊ะเพื่อนบ้าง ได้คุยเรื่องวันหยุดกับเพื่อนที่บังเอิญเจอระหว่างเดินไปห้องน้ำบ้าง สิ่งเหล่านี้อาจจะหายไปจากการทำงานอยู่บ้าน แต่สามารถทำให้มันเกิดขึ้นได้ แค่ต้องใช้ความพยายาม

15Five แนะนำให้จัดเวลาทักทายประจำวันกับเพื่อนๆ ในทีมหรือหัวหน้างานบนช่องทางออนไลน์ใดๆ ก็ได้ ไม่เพียงแต่จะได้ติดตามความคืบหน้าของงาน แต่ยังเปิดบทสนทนาให้เกิดการระดมสมองเพื่อช่วยกันแก้ปัญหาได้ด้วย

สำหรับ 15Five จะใช้แพลตฟอร์ม Slack เป็นหลักในการสื่อสารงาน แต่จะแยกออกเป็นสองช่องแชท ช่องหนึ่งเป็นช่องทางการใช้สำหรับตามงานและคุยเรื่องงานเท่านั้น แต่อีกช่องหนึ่งถูกเรียกว่า “ตู้กดน้ำ” เปรียบเหมือนช่องแชทที่ใช้คุยสัพเพเหระเวลาเราเข้าไปเจอเพื่อนที่โซนพักเบรกนั่นเอง ในช่องนี้พนักงานสามารถคุยเรื่องส่วนตัวหรือส่งรูปตลกๆ กันได้ตามสบาย

วัฒนธรรมการทำงานและตารางชีวิตอาจจะต้องปรับจูนกันบ้าง เมื่อมีการ Work from Home เกิดขึ้น โดยเฉพาะเมื่อต้องทำงานอยู่บ้านจริงๆ ไม่ใช่การไปนั่งตามร้านกาแฟ ซึ่งจะทำให้เราเหงาและอึดอัดมากขึ้น แต่เราจะผ่านมันไปด้วยกัน!

Source

]]>
1268183
ผลสำรวจชี้ “คนทำงานรุ่นใหม่” มองการทำงานต้องยืดหยุ่นตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตแบบครบวงจร https://positioningmag.com/1243357 Thu, 22 Aug 2019 06:05:41 +0000 https://positioningmag.com/?p=1243357 จากกระแสเทรนด์พฤติกรรมของมนุษย์เงินเดือนหรือคนทำงานรุ่นใหม่ ในสังคมยุคปัจจุบัน แมนพาวเวอร์กรุ๊ปจึงร่วมกับหน่วยงานด้านทรัพยากรมนุษย์กว่า 80 ประเทศทั่วโลกและแรงงานในทุกระดับหลายล้านคน ศึกษาความต้องการของพฤติกรรมของทรัพยากรบุคคลในสังคมปัจจุบันหรือเรียกได้ว่าสังคมยุคดิจิทัลต่อการทำงานของคนรุ่นใหม่ในยุค 4.0

โดยเฉพาะได้ศึกษาพฤติกรรมของทรัพยากรบุคคลในประเทศไทย เพื่อหวังให้องค์กรหรือหน่วยงานได้ปรับเปลี่ยนเข้าถึงพฤติกรรมความต้องการของคนในยุคนี้ ไม่ว่าจะเป็น GEN M ผู้ที่เกิดในช่วงอายุ 21 – 38 ปี หรือ GEN X ผู้ที่เกิดในช่วงอายุ 39 – 53 ปี และยังเจาะลึกไปที่ระดับการศึกษาที่ปริญญาตรี 54% และปริญญาโท 33% อื่น 13%

จากพฤติกรรมแนวคิดของกลุ่มคนยุคดิจิทัลต่อการทำงานในสังคมยุค 4.0 นั้น เสียงสะท้อนส่วนใหญ่ต้องการการทำงานในองค์กรที่มีความยืดหยุ่น ตอบโจทย์การใช้ชีวิตในสังคมยุคปัจจุบัน จะเห็นได้จากพฤติกรรมการทำงานของคนในสังคมปัจจุบันที่ต้องการทำหลาย อย่างในเวลาเดียวกัน ทั้งการทำงานประจำ ประกอบอาชีพเสริม การพักผ่อน การท่องเที่ยวและการออกกำลังกาย โดยเฉพาะพฤติกรรมของคนทำงานในสังคมเมือง

ดังนั้น แมนพาวเวอร์กรุ๊ป จึงได้ทำการสำรวจถึงความต้องการของกลุ่มคนทำงานในช่วง GEN M และ GEN X ที่ตอบสนองในชีวิตสังคมเมืองมากที่สุด ในบริบทการเข้าถึงไลฟ์สไตล์ที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตในสังคมยุคดิจิทัลทั้งทางด้านการทำงานตลอดจนส่งผลต่อพฤติกรรมในช่วงเวลาว่างของคนกลุ่มนี้

พฤติกรรมเวลาว่างกับการใช้ชีวิตแบบสมาร์ทดีไวซ์ หรือที่เรียกได้ว่าท่องโลกออนไลน์แบบครบวงจร ซึ่งจะเห็นได้ว่าพฤติกรรมของกลุ่มคนรุ่นใหม่ในสังคมไทยในปัจจุบันปรับเปลี่ยนไปตามเทรนด์กระแสโลกแห่งเทคโนโลยี ทั้งการหารายได้ แหล่งช้อปปิ้ง รับประทานอาหาร การเดินทาง การติดต่อสื่อสาร ล้วนแต่ปรับให้พฤติกรรมของคนยุคนี้ไปอยู่บนแพลตฟอร์มของสมาร์ทดีไวซ์ไปเป็นอย่างมาก ดังนั้น องค์กร หรือ หน่วยงานต้องทันต่อพฤติกรรมของกลุ่มคนเหล่านี้ ต้องมีการปรับเปลี่ยนการทำงาน การสั่งงานให้ง่าย เข้าถึงพฤติกรรม เพื่อให้ได้งานที่มีประสิทธิภาพด้วย

พฤติกรรมเทรนด์การออกกำลังกาย จะเห็นได้จากบางองค์กรเริ่มมีการปรับเข้าหาบุคลากรในองค์กรโดยเฉพาะองค์กรในระดับกลางและองค์กรขนาดใหญ่ที่เริ่มให้ความสำคัญในพฤติกรรมของบุคลากรในด้านการออกกำลังกาย ซึ่งผู้บริหารต้องการเข้าถึงสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างองค์กรและบุคลากรในองค์กรให้เกิดความสัมพันธภาพที่ดี

โดยแมนพาวเวอร์กรุ๊ปได้ทำการสำรวจถึงความคิดเห็นของกลุ่มคนใน 2 กลุ่มดังกล่าว GEN M และ GEN X เสียงสะท้อนคือ พวกเขาเหล่านี้ต้องการองค์กรที่ให้ความสำคัญในด้านความรู้สึกให้ความใส่ใจในบุคลากร และหากองค์กรให้ความสำคัญในด้านกีฬาถือเป็นสิ่งที่ตอบโจทย์ในการใช้ชีวิต โดยผลสำรวจที่ได้รับคือกีฬาที่ต้องการให้องค์กรมีส่วนร่วมและพฤติกรรมส่วนตัวที่ชื่นชอบคือเดินวิ่ง 66%, แบดมินตัน 44%, ปั่นจักรยาน 42%, ฟุตบอล 17%บาสเกตบอล 11% และอื่นๆ 10%

พฤติกรรมด้านความบันเทิง จากการสอบถามกลุ่ม GEN M และ GEN X กิจกรรมด้านความบันเทิงเสมือนเป็นการผ่อนคลายของบุคลากรในองค์กร และยังเป็นกิจกรรมที่สร้างความสัมพันธ์ที่ดีให้กับบุคลากรในการทำกิจกรรมร่วมกัน ซึ่งที่ผ่านมาบางองค์กรยังเอากิจกรรมเหล่านี้ส่งต่อไปถึงการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างบุคลากรในองค์กรและกลุ่มลูกค้าเช่น การทำ CRM (Customer Relationship Management) ร่วมกัน จากผลสำรวจกิจกรรมบันเทิงที่กลุ่มคนเหล่านี้ชื่นชอบคือ การชมภาพยนตร์ 89%, ร้องเพลงคาราโอเกะ 37%, การชมคอนเสิร์ต 35%, การชมละครเวที 15%, อื่น 10%

ทางด้านพฤติกรรมในส่วนของกิจกรรมการเรียนรู้ ที่กลุ่มคนรุ่นใหม่ GEN M และ GEN X ชื่นชอบ จะเห็นได้ว่าสะท้อนมาจากพฤติกรรมองค์รวมของเทรนด์สังคมในด้านเทคโนโลยี ความเปลี่ยนแปลงในสังคมที่เข้าถึงการสื่อสารได้อย่างขีดสุด จะเห็นได้จากผลสำรวจส่วนใหญ่ตอบว่า ชอบท่องอินเทอร์เน็ตกว่า 87% ไม่ว่าจะเป็นการใช้ Google, Facebook, IG และ Twitter แต่ยังมีอีกกลุ่มที่ยังคงพฤติกรรมด้านการอ่านหนังสือถึง 64% และต้องการศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมต้องการเข้าอบรมคอร์สต่างๆ 39% ตามลำดับ

จากพฤติกรรมของกลุ่มคนในสังคมยุคดิจิทัลหรือคนทำงานในยุค 4.0 ที่มีการปรับเปลี่ยนไป และส่งผลต่อพฤติกรรมการทำงาน ที่ต้องการทำงานที่มั่นคง มีรายได้ที่แน่นอน ต้องการใช้ชีวิตที่เป็นตัวของตัวเอง ตอบโจทย์ในไลฟ์สไตล์ของคนในสังคมปัจจุบัน ซึ่งทั้งหมดต้องมีความยืดหยุ่น ปรับเข้าได้กับพฤติกรรมในสังคมเมือง สังคมปัจจุบัน สังคมแห่งเทคโนโลยี

จะเห็นได้จาก การใช้เวลาว่างของคนกลุ่มนี้ที่มักท่องโลกออนไลน์ หากิจกรรมที่ชื่นชอบ มักทำงานและเก็บวันเวลาว่างทำกิจกรรมที่ชื่นชอบ อาทิ กิจกรรมท่องเที่ยวภายในประเทศและต่างประเทศ กิจกรรมช่วงวันว่าง รับประทานอาหาร ช้อปเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ตลอดจนสถานที่ที่ไป ได้แก่ ห้างสรรพสินค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต คอมมูนิตี้มอลล์ หรือแม้กระทั่งพฤติกรรมการดูแลสุขภาพ 

ถึงเวลาที่องค์กรหรือหน่วยงานอาจต้องศึกษาเรียนรู้กับทรัพยากรบุคคลภายในองค์กรผู้บริหารฝ่ายทรัพยากรบุคคลหรือ HR ในการปรับเปลี่ยนเรียนรู้ไปกับกระแสเทรนด์พฤติกรรมของคนในสังคมปัจจุบัน สังคมในยุคที่ความคิดเปลี่ยน และเทคโนโลยีเข้ามามีส่วนในชีวิตประจำวัน

อย่างไรก็ตาม การศึกษาพฤติกรรมการดำเนินชีวิตของกลุ่มคนแรงงานยุคใหม่ท่ามกลางดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น คือ เสียงสะท้อนให้เห็นไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนแปลงต้องผนวกควบคู่การทำงานในกลไกหลักขององค์กรคือทรัพยากรบุคคลซึ่ง มนุษย์หรือ แรงงานคือ สิ่งสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจ ขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตอย่างมีประสิทธิภาพ และทรัพยากรบุคคล คือ มดงานที่นำพาองค์กรไปถึงเส้นชัยในอนาคต.

]]>
1243357