พิมรี่พาย – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Mon, 27 Jun 2022 04:34:28 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 เบื้องลึกดราม่า! ยูนิคอร์นไทย ฉาวไกลสู่ระดับอินเตอร์ ซื้อขายสองมาตรฐานงานถนัดเขาล่ะ https://positioningmag.com/1390099 Mon, 27 Jun 2022 03:44:58 +0000 https://positioningmag.com/?p=1390099 บทความโดย ibit ผู้จัดการออนไลน์
ปัดพัลวัล ปมดราม่าเดือด “พิมรี่พาย” ไลฟ์สดขายบัตร “ศึกแดงเดือด” ราคาถูก กดดันให้ “วินิจ” ออกมายอมรับผิดคนเดียว จับโป๊ะ “บิทคับ” เป็นผู้จัดร่วม ไม่ใช่แค่สปอนเซอร์ หวังฟันกำไร และสานฝัน “ท๊อป จิรายุส” ผู้คลั่งไคล้กีฬาฟุตบอล การตลาดผิดพลาด บัตรแพงลิ่ว ขายไม่ออก ต้องใช้ “พิมรี่พาย” ระบายสต็อก เชื่อแม่ค้าไม่โง่ ทุ่ม 400 ล้าน ซื้อตั๋วมาขายขาดทุนเกือบ 100 ล้าน

กรณี “พิมรี่พาย” น.ส.พิมรดาภรณ์ เบญจวัฒนพัชร์ ไลฟ์สดขายบัตรศึกแดงเดือดในไทย “THE MATCH Bangkok Century Cup 2022” ระหว่าง ลิเวอร์พูล กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ใบละ 20,000 บาท จำนวน 10,000 ใบ และใบละ 15,000 บาท อีก 10,000 ใบ ในราคาต่ำกว่าหน้าบัตร พร้อมกับแถมบัตรเข้าชมการซ้อมของ แมนยูฯ-ลิเวอร์พูล รวมถึงบัตรชมการซ้อมคอนเสิร์ตของ “แจ็คสัน หวัง” จำนวน 200 ใบด้วย

ประเด็นดังกล่าวได้ กลายเป็นดราม่าเดือดภายในชั่วข้ามคืน หลังบรรดาสาวกลิเวอร์พูล และแมนยูฯ ออกมากระหน่ำถึงความไม่ชอบมาพากล เรื่องแหล่งที่มาของบัตร และการเอารัดเอาเปรียบ ไม่ได้รับความเป็นธรรมกับบรรดาแฟนบอลที่ซื้อบัตรก่อนหน้าในราคาเต็ม

จนทำให้ผู้จัดงานอย่าง บริษัท เฟรชแอร์เฟสติวัล จำกัด โดย วินิจ เลิศรัตนชัย ได้ออกมาชี้แจงถึงแหล่งที่มาของบัตรดังกล่าว และมีการขายให้ “พิมรี่พาย” ในราคาเต็ม ไม่มีส่วนลด แล้วนำไปทำการตลาดเองไม่เกี่ยวข้องกับผู้จัดแต่อย่างใด รวมถึงไม่มีการจำหน่ายบัตรเข้าชมวันซ้อมคอนเสิร์ต และไม่มีการจัดมื้อพิเศษกับนักฟุตบอลทั้งสองสโมสร และแจ็คสัน หวัง

รวมถึงได้รับการยืนยันจากสโมสรลิเวอร์พูล และแมนยูฯ เช่นกัน ไม่มีการจัดรับประทานอาหารมือพิเศษกับนักฟุตบอลทั้งสองสโมสร ไม่ได้อนุมัติการจำหน่ายบัตรดังกล่าว ขณะที่ต้นสังกัด แจ็คสัน หวัง (Team Wang records) ก็ได้ออกแถลงการณ์ในลักษณะเดียวกัน คือไม่มีบัตรกินข้าว รับประทานอาหารดินเนอร์ส่วนตัวกับ แจ็คสัน แต่อย่างใด และบริษัทไม่ได้อนุมัติการจำหน่ายดังกล่าว

จุดเริ่มต้นปัญหาความร่วมมือ “วินิจ – ท๊อป”

จุดเริ่มต้นก่อนจะกลายเป็นประเด็นร้อนนั้น น่าจะเกิดจากการที่ วินิจ เลิศรัตนชัย ต้องการจัดศึกแดงเดือดขึ้น และขอรับการสนับสนุนจากภาครัฐ แต่ได้รับการปฏิเสธจนกลายเป็นดราม่ามาแล้วรอบหนึ่ง

ดังนั้น วินิจ จึงหันมาจับมือกับภาคเอกชน และเล็งเห็นศักยภาพ บวกกับสายสัมพันธ์อันดีกับ “ท๊อป จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา” ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด ที่มีศักยภาพทั้งด้านเงินทุน และภาพลักษณ์ที่ดีในแวดวงธุรกิจ รวมถึงมีคนรู้จักจำนวนมาก น่าจะผลักดันให้งานนี้ประสบความสำเร็จได้ จึงได้มีการชักชวนให้ร่วมจัดงานขึ้น

“ท๊อป” หวังสร้างกระแสโกยผลประโยชน์

ขณะที่ “ท๊อป จิรายุส” นอกจากจะเป็นคนดัง ที่มีคนติดตามจำนวนมากแล้ว ยังเป็นผู้ที่คลั่งไคล้ฟุตบอลอย่างหนัก จึงเล็งเห็นผลประโยชน์ที่จะตามมามากมายมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นผลกำไรเป็นกอบเป็นกำ และเป็นการต่อยอดธุรกิจด้วยการนำผลกำไรจากการขายเหรียญ KUB Coin ซึ่งขณะนี้ตลาดคริปโตเคอร์เรนซีเริ่มตกต่ำ ไม่สามารถสร้างราคาได้อีก รวมถึงการประชาสัมพันธ์สร้างภาพลักษณ์ให้กับ “บิทคับ” เพื่อดึงดูดให้แฟนบอล ซึ่งในประเทศไทยมีแฟนบอลทั้ง 2 ทีมจำนวนมากเข้าสู่วงจรตลาดคริปโตฯ

ตรงนี้จะทำให้ “บิทคับ” ได้ผลประโยชน์แบบเต็มๆ สามารถขยายฐานการตลาดใหม่เข้าสู่กลุ่มแฟนบอลของทั้ง 2 ทีม และอาจจะได้รับผลประโยชน์มากกว่าการเข้าไปสนับสนุนสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยเหมือนที่ผ่านมา รวมถึงการประกาศเข้าซื้อสโมสรฟุตบอลของไทยจึงมีความเป็นไปได้อย่างสูงว่า บิทคับ หรือ ท๊อป จิรายุส ไม่ใช่เพียงสปอนเซอร์อย่างเดียวในงานนี้ หากควักเงินร่วมลงทุนด้วย ดังนั้นงานนี้จึงขาดทุนไม่ได้ เลวร้ายสุดคือต้องเสมอตัว

ตระเวนสายโปรโมตสร้างกระแส

หลังจากบรรลุข้อตกลงร่วมกันระหว่าง “วินิจ” กับ “ท๊อป จิรายุส” ทั้งสองก็เริ่มตะเวนทำการประชาสัมพันธ์ สร้างกระแส ออกมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะผ่านช่องทางเฟซบุ๊กส่วนตัว หรือแม้กระทั่งการออกสื่อต่างๆ ไม่เว้นแม้กระทั่งการโปรโมตผ่าน Facebook page: Suthichai Yoon และทาง Youtube: Suthichai live ของ “สุทธิชัย หยุ่น” เป็นต้น

การโปรโมตที่ชัดเจนสุดคือภาพของ วินิจ และท๊อป และโลโก้งานตามป้าย LED ที่บิทคับซื้อโฆษณาไว้เต็มบ้านเต็มเมือง น่าจะสะท้อนว่า ท๊อป ร่วมลงทุนไปมากแค่ไหนอย่างชัดเจน

ขณะเดียวกันทั้งสองคน ยังได้นำสื่อของไทยไปทัวร์สโมสรลิเวอร์พูล และแมนยูฯ พร้อมมีการไลฟ์สดบรรยากาศ และถ่ายภาพภายในสนามของสโมสร และภาพคู่นักเตะของทั้ง 2 ทีม และโพสต์ออกมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างกระแสและกระตุ้นความสนใจของแฟนบอลชาวไทย

บัตรไม่เดินแพงหูฉี่ ปรับแผนดึง “แจ็คสัน หวัง” ช่วย

แต่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจริงกลับตรงกันข้ามสิ่งที่หวังไว้ เนื่องจากราคาจำหน่ายตัวกำหนดไว้สูงเกินไป ถึงราคาใบละ 2 หมื่นบาท และ 1.5 หมื่นบาท ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ไม่เอื้อ กระแสไม่ปังอย่างที่คิด ทำให้บัตรขายไม่หมด ทางผู้จัดจึงได้ปรับกลยุทธ์นำ “แจ็คสัน หวัง” GOT7 มาจัดคอนเสิร์ต หวังจะช่วยดึงแฟนคลับที่คลั่งไคล้ศิลปินเกาหลี ช่วยสร้างกระแสและขยายฐานการตลาดในกลุ่มแฟนคลับของติ่งเกาหลี

อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์การตลาดก็ผิดพลาดอีกครั้ง เมื่อทางผู้จัดคาดการณ์ผิด เพราะบรรดา “ติ่งเกาหลี” กับบรรดาแฟนบอลเป็นคนละกลุ่มกัน จึงไม่ได้รับความสนใจมากนัก และทำให้บัตรยังคงขายไม่ออก

ปัญหาที่ตามมา ผู้จัดต้องคิดหนักจะทำอย่างไรกับบัตรที่เหลือ เพราะตามเงื่อนไขแล้ว ทางผู้จัดไม่สามารถขายบัตรราคาต่ำกว่าที่กำหนดไว้ได้

ทางเลือกสุดท้ายให้ “พิมรี่พาย” ระบายสต็อก

แจกก็แล้ว ก็ยังเหลือ จะลดราคาผ่านช่องทางไทยทิคเก็ต ก็ไม่ได้ เพราะมีคนซื้อบัตรราคาเต็มไปแล้วหลายราย จึงต้องงัดไม้ตายสุดท้าย ดึง “พิมรี่พาย” แม่ค้าไลฟ์สดขายของคนดัง มาช่วยระบายสต็อกบัตรที่ขายไม่หมดหรือไม่? เพราะ “พิมรี่พาย” เองก็มีความสัมพันธ์ที่ดีกับทาง “ท๊อป จิรายุส” จึงได้ยื่นข้อเสนอให้ “พิมรี่พาย” นำบัตรไปขายในราคาถูก และแบ่งผลประโยชน์กัน ซึ่ง “วินวิน” ด้วยกันทั้งคู่ จนกลายเป็นประเด็นร้อนแรงขึ้น

ทั้งนี้ เนื่องจากการก่อนหน้า สื่อโซเชียลได้ตั้งข้อสังเกตถึงความสัมพันธ์อันดี ระหว่าง “ท๊อป จิรายุส” กับ “พิมรี่พาย” จากงาน The Chosen1 ที่บางบิทคับจัดขึ้นเพื่อพบปะเจรจาหรือรับประทานอาหารร่วมกับกลุ่มเจ้าของธุรกิจ ดารา และไฮโซที่มีชื่อเสียง ซึ่งมียอดผู้ติดตามในโลกโซเชียลจำนวนมาก ซึ่งงานนี้ก็มี “พิมรี่พาย” มาร่วมงานด้วย

ขณะเดียวกัน ยังได้มีการตั้งข้อสังเกตอีกด้วยว่า “พิมรี่พาย” เอง คงไม่นำเงินจำนวน 400 ล้านบาท ไปลงทุนซื้อบัตรในราคาเต็ม เพื่อมาขายในราคาถูก ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่า จะขาดทุนเกือบ 100 ล้านบาท เพราะคงไม่มีแม่ค้าคนไหนที่ทำแบบนั้นแน่นอน

ผู้จัดงานออกโรงปัดพัลวัน

จากกระแสความไม่พอใจของแฟนบอลทั้ง 2 ทีม กลายเป็นประเด็นร้อนในโลกโซเชียล ทำให้ผู้จัดอย่างวินิจ เลิศรัตนชัย เจ้าของบริษัท เฟรชแอร์เฟสติวัล จำกัด ผู้จัดงาน ได้ชี้แจงว่า เป็นตั๋วที่เอาไว้ขายให้แฟนๆ ในต่างประเทศ และยืนยันว่าไม่มีการจำหน่ายบัตรเข้าชมวันซ้อมคอนเสิร์ต และไม่มีการจัดมื้อพิเศษกับนักฟุตบอลทั้งสองสโมสร และแจ็คสัน ทำให้โลกออนไลน์มีการตั้งข้อสงสัยว่า พิมรี่พายได้นำตั๋วจำนวนมากมาจากใคร โดยจับตาไปที่บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด

ขณะที่ บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด ที่มี “ท๊อป จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา” เป็นผู้ร่วมก่อตั้ง และเป็นสปอนเซอร์หลักในการจัดกรรมครั้งนี้ ได้โพสต์ข้อความชี้แจงว่า กรณีปัญหาการจำหน่ายบัตรเข้าชม THE MATCH – CENTURY CUP 2022 เนื่องจากมีข้อคิดเห็นในสื่อสังคมออนไลน์ที่อาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิด บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด และบริษัทในเครือ ขอชี้แจงว่า บัตรเข้าชมการแข่งขันที่ทางบิทคับได้รับ จะไม่มีความเกี่ยวข้องกับสปอนเซอร์อื่นใด หรือผู้จัดจำหน่ายอื่นใดทั้งสิ้น

ทั้งนี้ เนื่องจากบิทคับไม่มีการทราบรายละเอียดข้อสัญญาหรือข้อตกลงระหว่างบริษัท เฟรชแอร์ เฟสติวัล จำกัด หรือ บริษัท ไทยทิคเก็ต เมเจอร์ จำกัด หรือบริษัทอื่นๆ ที่ทำร่วมกับบริษัท องค์กร หรือบุคคลอื่นๆ โดยข้อตกลงในการแจกจ่ายหรือจัดจำหน่ายบัตรในส่วนของบิทคับจะทำการแจกจ่ายหรือจัดจำหน่ายได้หลังจากการจัดจำหน่ายบัตรผ่านช่องทางของไทยทิคเก็ตเมเจอร์ได้หมดลง หรือหากบัตรของจากช่องทางอื่นยังไม่หมด บิทคับสามารถเริ่มแจกจ่ายหรือจำหน่ายบัตรได้ในเดือนมิถุนายนเป็นต้นไป

โดยบัตรเข้าชมได้เริ่มแจกจ่ายและจัดจำหน่ายเมื่อวันที่ 11 มิ.ย. 65 ที่ผ่านมา ผ่าน Bitkub M Social เป็นช่องทางหลัก และมีการให้โควต้ากับพันธมิตร อาทิ บริษัทนำเที่ยวโดยวัตถุประสงค์เพื่อช่วยกระจายบัตรเท่านั้น ส่วนการจัดการผ่านแพลตฟอร์มการชำระเงิน เป็นเพียงการอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้า โดยบัตรเข้าชมการแข่งขันที่ลูกค้าได้รับจากบิทคับทุกช่องทาง จะออกในนามบริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด และสามารถขอออกใบกำกับภาษีในนามบริษัท แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด เท่านั้น

“ลิเวอร์พูล-แมนยูฯ” ย้ำชัดไม่มีกินข้าวกับนักเตะ

กระแสความแรงไม่ใช่เกิดขึ้นในประเทศไทยเท่านั้น ยังสร้างแรงกดดันไปยัง สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูลและแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จนต้องออกแถลงการณ์ชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีผู้ค้าออนไลน์นำบัตรเข้าชมมาขายในราคาถูก และสิทธิ์รับประทานอาหารค่ำกับนักเตะ โดยแถลงการณ์จากสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ระบุว่า สโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ตระหนักถึงข่าวการนำบัตรชมการแข่งขันเกมอุ่นเครื่องปรีซีซั่นที่ประเทศไทยมาจำหน่ายต่อ (รีเซล)

สโมสรไม่เคยอนุมัติการขายบัตรในรูปแบบดังกล่าว รวมทั้งไม่มีส่วนร่วมในรายละเอียดการขาย ที่นำไปสู่การเข้าใจผิด ถึงแม้ว่าบัตรเข้าชมการแข่งขันเหล่านั้นคือของแท้ก็ตาม นอกจากนั้นสโมสรไม่เคยทำข้อตกลงให้นักเตะร่วมรับประทานอาหารค่ำกับผู้โชคดี

ทั้งสองสโมสรกังวลและผิดหวังที่เห็นแฟน ๆ ได้รับรู้ข่าวสารที่บิดเบือน เรากำลังเตรียมตัวมาปรีซีซั่นที่ประเทศไทย อดใจรอไม่ไหวที่จะได้พบกับเหล่าแฟน ๆ ของเรา

ต้นสังกัด “แจ็คสัน หวัง” ยันไม่มีกินข้าวกับศิลปิน

ขณะที่ต้นสังกัดของ แจ็คสัน หวัง (Team Wang records) ได้ออกมาแถลงการณ์ปมดราม่าดังกล่าวว่า ไม่มีบัตรกินข้าว นับประทานอาหารดินเนอร์ส่วนตัวกับ แจ็คสัน แต่อย่างใด โดยมีการระบุว่า “ทางบริษัท ทราบถึงการจำหน่ายตั๋วฝึกซ้อมทางออนไลน์และบัตรดินเนอร์ส่วนตัวแล้ว โดยทางบริษัทไม่ได้อนุมัติการจำหน่ายดังกล่าว และไม่มีบัตรเช่นนั้นจำหน่าย ขอบคุณสำหรับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องของคุณ และรอไม่ไหวที่จะได้พบพวกคุณที่กรุงเทพฯ”

“วินิจ” อ้าแขนขอน้อมรับผิดเพียงผู้เดียว

แม้หลายฝ่ายได้พยายามออกมาชี้แจงในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อลดแรงกดดันและความร้อนแรงที่เกิดขึ้น แต่ก็ไม่สามารถสยบดราม่าที่เกิดขึ้น เพราะการออกมาชี้แจงของผู้จัดยังไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนเพียงพอ

ล่าสุดเมื่อคืนที่ผ่านมา นายวินิจ เลิศรัตนชัย ประธานเจ้าหน้าที่ บริษัท เฟรชแอร์เฟสติวัล จำกัด ผู้จัดศึกแดงเดือดในประเทศไทย ออกมาโพสต์ร่ายยาวผ่านอินสตาแกรม vinijdj โดยระบุว่า อยากขอใช้พื้นที่เล็กๆ พูดบ้าง

เรื่องสโมสรออกมาบอกก็ถูกต้องแล้วครับ เขาต้องปกป้องภาพลักษณ์ให้ดีที่สุด แสดงจุดยืน ซึ่งผมเห็นด้วยเช่นเดียวกับแถลงการณ์ อย่างที่ตั้งตารอสำหรับงานครั้งนี้มากๆ เพราะเป็นนัดที่มีความหมายของทั้งสองทีมอย่างยิ่ง

ผมอยากบอกถึงความตั้งใจและจุดยืนเช่นกัน ตั้งแต่เริ่มงาน ดราม่าก็เริ่มมาตั้งแต่ ได้รับงบจากภาคส่วน ความคิดที่สบประมาทต่างๆ จนเกือบถอดใจ ผมตัดสินใจทำงานนี้คนเดียวจริงๆ มันเป็น match เกินฝัน ที่ผมอยากสร้างมาตรฐานใหม่ทุกด้านในการจัดงาน ยกระดับทุกสิ่งที่จะทำได้

ผมเต็มที่กับทุกอย่างที่ทำ ผมโชคดีที่มีเพื่อนรอบตัว มีผู้สนับสนุนที่มีน้ำใจและเต็มใจ หลายเรื่องที่ไม่สามารถอธิบายได้ รู้อย่างเดียวคือ เดินหน้า เพื่อให้ 12 กรกฎานี้ ออกมาสมบูรณ์ที่สุด ให้สมกับกรุงเทพฯ ประเทศไทยที่รักของพวกเรา เป็นที่จดจำ พร้อมถ่ายทอดอวดสายตาชาวโลกไปกว่า 145 ประเทศแล้วครับ

มันไม่ง่ายเลยครับกับการทำงานกับสโมสรที่มีมาตรฐานสูงที่มีแฟนกว่า 3 พันล้านคน ปัญหา มีทุกวันทุกวินาที แต่แก้ไขได้ครับ ผมสัญญากับทุกคนครับว่า ต้องทำทุกอย่างไม่ให้บกพร่อง ไม่ให้เสียชื่อความเป็นคนไทย

ความผิดพลาดคลาดเคลื่อนไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารใดๆ จากส่วนไหน ทั้งทางตรงทางอ้อมที่ผ่านมา ผมขอน้อมรับผิดแต่เพียงผู้เดียวครับ และจะทำงาน THE MATCH Bangkok Century Cup 2022 ให้ดีที่สุดที่ชีวิตนึงจะทำได้ เหลืออีกไม่ถึง 3 สัปดาห์ ขอให้ทุกคนร่วมกันเป็นเจ้าภาพที่ดี ต้อนรับ match ประวัติศาสตร์ match เปิดประเทศ ต้อนรับนักฟุตบอล ศิลปินระดับโลก และแขกต่างประเทศ เพื่อชื่อเสียงที่ดีของประเทศเรา ร่วมกันครับ

“พิมรี่พาย” วอนจบดราม่า

ด้าน “พิมรี่พาย” เผยในไลฟ์ขายของผ่านเพจเฟซบุ๊ก พิมรี่พายขายทุกอย่าง คืนที่ผ่านมา ถึงประเด็นดราม่าดังกล่าว โดยระบุจากเรื่องราวที่เกิดขึ้น ทำให้ผู้ที่ซื้อบัตรนัดแดงเดือดจากตนไปชะลอการชำระเงิน รวมถึงประเด็นดราม่าการกินข้าวกับนักเตะและแจ็คสัน หวัง ถึงขนาดกล่าวว่า

“ยังไม่จบอีกหรือ จบเถอะ ก็ต้องตามที่ผู้จัดงานเขาออกมาออกข่าว ตามนั้นแหละ ทางสโมสรหรือว่าทางคนขายตั๋วเขาก็ต้องออกมาบอกว่า มันไม่มีตั๋วกินข้าวอยู่แล้ว ก็ถูกแล้ว ก็มันไม่มีตั๋วกินข้าวไง ก็บอกไปหลายครั้งแล้ว ว่าเออ มันไม่มีตั๋วกินข้าว”

ย้อนระบบ 2 มาตรฐาน งานถนัด “บิทคับ”

จากแรงกดดันที่ส่งผลให้ “วินิจ เลิศรัตนชัย” ต้องออกมาแสดงความรับผิดชอบเพียงคนเดียว ยังคงถูกมองว่า เกิดความขัดแย้งภายในของทางผู้จัดเอง และจากข้อผิดพลาดจากการทำการตลาดแบบ 2 มาตรฐานหรือไม่ ? เพื่อถือเป็นเรื่องที่ทาง “บิทคับ” ถนัดและใช้บ่อยในการทำตลาดลักษณะดังกล่าว

เทียบกับก่อนหน้า การสร้างราคาเหรียญ KUB Coin โดยการอาศัยพันธมิตรธุรกิจขนาดใหญ่เพื่อช่วยพยุงราคาเหรียญ โดยเสนอให้พาร์ตเนอร์เข้ามาลงทุนเหรียญ KUB Coin และทาง “บิทคับ” ได้รับประกันราคาซื้อคืน เมื่อถึงเวลาที่กำหนดไว้ จนสร้างความไม่พอใจให้นักลงทุนรายย่อยที่เข้าลงทุนเหรียญ KUB Coin และได้รับความเสียหายจำนวนมากจากราคาเหรียญที่ตกต่ำ

โดยก่อนหน้านี้ Bitkub ได้จับมือกับพันธมิตรบริษัทขนาดใหญ่หลายแห่งร่วมสังฆกรรมธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลหรือคริปโตเคอร์เรนซี โดยมีบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ รวมอยู่ด้วย 7 แห่ง ประกอบด้วย บริษัท ทีวี ไดเร็ค จำกัด (มหาชน) หรือ TVD บริษัท โปรเอ็น คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ PROEN บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ANAN บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) หรือ SPC บริษัท ทีพีซีเอส จำกัด (มหาชน) หรือ PTCS บริษัท สยามราชธานี จำกัด (มหาชน) หรือ SO และ บริษัท เอสไอเอส ดิสทริบิวชั่น (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ SIS (รายชื่อเฉพาะบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ)

ซึ่งการเป็นพันธมิตร อยู่ในรูปแบบการผู้ตรวจสอบธุรกรรมผ่านบล็อกเชน โดยได้รับค่าธรรมเนียม ภายใต้เงื่อนไขที่แตกต่าง โดยหลายบริษัทต้องซื้อ KUB Coin นับร้อยล้านบาท เพื่อเป็นหลักประกันการเป็นผู้ตรวจสอบธุรกรรมจาก บริษัท บิทคับ บล็อกเชน เทคโนโลยี จำกัด

ขณะที่ผู้ขายหรือ “บิทคับ” จะรับประกันซื้อคืนเหรียญในราคาทุน เมื่อครบกำหนดระยะเวลาการถือครอง หากราคาเหรียญที่ซื้อขายในตลาดลดลงต่ำกว่าราคาที่ซื้อ แต่หากมีกำไรบริษัทเหล่านั้นก็สามารถรับกำไรไปแบบเต็ม หากดูพฤติกรรมเหล่านี้แล้ว เหมือนกับว่า Bitkub ต้องการให้พันธมิตร หรือพาร์ตเนอร์เข้ามาช่วยกันพยุงราคาหรือไม่

อัดโปรฯ เปิดช่องรายย่อยล็อกเหรียญ

หลังจากได้รับแรงกดดันจากบรรดารายย่อย และเล็งเห็นว่าพาร์ตเนอร์รายใหญ่ ไม่สามารถช่วยพยุงราคาเหรียญ KUB Coin ได้เท่าที่ควร เมื่อวันที่ 21 มิ.ย. ที่ผ่านมา “บิทคับ” จึงได้ประกาศเปิดตัวโครงการที่ชื่อว่า KUB ON THE ROCK (Original locking) แพ็กเกจ Lock & Drop ใหม่ (แบบแรกจากสามรูปแบบ) บน Bitkub NEXT

โดย Bitkub NEXT เปิดโอกาสให้ผู้ใช้งานล็อกเหรียญ KUB เป็นเวลา 365 วัน เพื่อรับโบนัสเป็นเหรียญ KBTC ซึ่งมีอัตราผลตอบแทนโดยประมาณสูงสุดต่อปี 5-8% (อาจมีการเปลี่ยนแปลง ขึ้นอยู่กับราคาเหรียญ KUB และเหรียญโบนัส ณ เวลานั้น)

สำหรับแพ็กเกจนี้จะเปิดให้ล็อกทุกเดือน เริ่มตั้งแต่วันที่ 27 มิถุนายน 2565 เวลา 12.00 น. เป็นต้นไป และในกรณีที่มีการล็อกไม่เต็มจำนวนที่เปิด จะสมทบมูลค่าโบนัสที่เหลือของแพ็กเกจนั้นให้กับแพ็กเกจถัดไป

เป็นที่น่าสังเกตว่า โครงการดังกล่าว จะเป็นนโยบายที่ Bitkub เคยใช้เช่นเดียวกันกับการดึงพันธมิตรรายใหญ่เข้ามาลงทุนเหรียญ KUB Coin และมีการรับประกันราคาซื้อคืนเมื่อครบกำหนดระยะเวลา เพื่อพยุงเหรียญ KUB Coin ไม่ให้ตกต่ำหรือไม่ เพราะหลังจากที่ประกาศตัวอย่างเป็นทางการ ราคาเหรียญ KUB Coin ก็ได้ปรับตัวขึ้นอย่างแรง ล่าสุด ณ เวลา ประมาณ 18.45 น. ของวันที่ 26 มิ.ย. สามารถยืนอยู่เหนือ 100 บาท ที่ 105 บาท เพิ่มขึ้น 0.98% จากรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม การทำการตลาดที่ผิดพลาด และการใช้ระบบสองมาตรฐานดังกล่าว จนกลายเป็นกระแสดราม่าในวงกว้างไม่ใช่เฉพาะในเมืองไทย และลุกลามไปถึงต่างประเทศ ไม่ได้ส่งผลกระทบและเสียหายเฉพาะผู้จัด เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของประเทศ ในความไม่เป็นมืออาชีพในการจัดงาน ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อการจัดงานหรือกิจกรรมระดับโลกที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ที่มา : https://mgronline.com/stockmarket/detail/9650000060786

]]>
1390099
สรุปดราม่า ‘พิมรี่พาย’ ทุ่ม 400 ล. เหมาบัตร ‘แดงเดือด’ ขาย พร้อมสุ่มกินข้าวกับ ‘แจ็คสัน หวัง’ https://positioningmag.com/1389953 Thu, 23 Jun 2022 17:03:50 +0000 https://positioningmag.com/?p=1389953 เชื่อว่าสาวก ‘หงส์แดง’ และ ‘ปีศาจแดง’ หลายคนกำลังตั้งตารอแมตช์ประวัติศาสตร์ในรอบ 100 ปีของสองสโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับ ลิเวอร์พูล ที่มีการเจอกันนอกเกาะอังกฤษ เป็นครั้งแรกในเอเชียและในประเทศไทย ในวันที่ 12 กรกฎาคม 2565 ณ ราชมังคลากีฬาสถาน แต่แล้วก็มีดราม่าเมื่อ ‘พิมรี่พาย’ ขายบัตรแดงเดือด แถมขายต่ำกว่าราคาจริง อีกทั้งยังจัดจะสุ่ม กินข้าวกับ แจ็คสัน หวัง และ นักเตะของทั้ง 2 ทีม

ย้อนไปเมื่อวันที่ 2 เมษายน ถือเป็นวันแรกของการเปิดจำหน่ายบัตรเข้าชมการแข่งขันฟุตบอล ‘ศึกแดงเดือด’ THE MATCH: Bangkok Century Cup 2022 ระหว่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ปะทะ ลิเวอร์พูล โดยจะเป็นการเตะช่วงพรีซีซัน ในวันที่ 12 กรกฎาคม 2565 ณ สนามราชมังคลากีฬาสถาน ประเทศไทย

โดยบัตรเข้าชมการแข่งขันได้จัดจำหน่ายผ่าน Thaiticketmajor โดยมีจำหน่ายทั้งหมด 7 ราคา คือ 5,000 / 7,000 / 12,000 / 15,000 / 20,000 / 22,000 และ 25,000 บาท ซึ่งภายในวันแรกที่เปิดจำหน่าย ตั๋วโซนราคา 25,000 / 12,000 / 7,000 และ 5,000 บาท ถูกจำหน่ายหมดแล้ว โดยเหลือบัตรโซนราคา 20,000 และ 15,000 บาท โดยปัจจุบัน บัตรทั้ง 2 โซนมีเหลือไม่ถึง 1,000 ใบ

จากนั้นวันที่ 9 มิถุนายน ก็มีประกาศบิ๊กเซอร์ไพรส์ว่า แจ็คสัน หวัง ศิลปินชื่อดังแห่งวง GOT7 จะมาแสดงเปิดเกมแดงเดือดเป็นเวลา 1 ชั่วโมงเต็ม ซึ่งก็มีข้อสงสัยว่าที่ต้องดึงแจ็คสัน หวัง มาแสดงคอนเสิร์ตก่อนเปิดเกม เพื่อดึงให้เหล่า อากาเซ่ หรือแฟนคลับ GOT7 มาซื้อบัตรเนื่องจาก บัตรขายไม่หมด 

อย่างไรก็ตาม ทาง เสี่ยวินิจ เลิศรัตนชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เฟรชแอร์ เฟสติวัล จำกัด ออกมากล่าวเกี่ยวกับประเด็นนี้ว่า การจัดคอนเสิร์ตขึ้นในงาน เดอะแมตช์ ไม่ใช่เพิ่งคิด แต่คิดมาตั้งแต่เริ่มจะจัดการแข่งขันครั้งนี้แล้ว และก่อนที่จะมาลงตัวที่แจ็คสัน หวัง ชื่อของ ลิซ่า แบล็กพิงก์ และวง คาราบาว ก็ถือเป็นหนึ่งในตัวเลือก แต่ด้วยช่วงเวลาต่าง ๆ มาลงตัวที่แจ็คสัน หวัง

แต่แล้วดราม่าของ The Match ก็บังเกิด เมื่อ พิมรี่พาย ทุ่ม 400 ล้านบาท ซื้อบัตร The Match มาขายรวมแล้ว 20,000 ใบ แบ่งเป็นบัตร 20,000 บาท รวม 10,000 ใบ และ บัตร 15,000 บาท รวม 10,000 ใบ นอกจากนี้ยังมี ตั๋วเข้าชมการซ้อมของทั้ง แมนยูฯ, ลิเวอร์พูล รวมทั้ง แจ็คสัน หวัง วันที่ 11 ก.ค. นี้อีกด้วย ซึ่งตามจริงแล้ว บัตรเข้าชมการซ้อมจะเป็นการสุ่มจากผู้ที่ซื้อบัตรเข้าชม The Match

เนื่องจากบัตร The Match จำกัดการซื้อที่ 1 คนไม่เกิน 4 ใบ จึงทำให้เกิดคำถามว่า ทำไมพิมรี่พายถึงมีบัตรในมือถึง 20,000 ใบ ซึ่งเกือบครึ่งหนึ่งของความจุ อีกทั้งเป็น ชื่อตัวเองในการซื้อทั้งหมด นอกจากนี้ ยัง จำหน่ายในราคาที่ต่ำกว่าราคาขาย โดย บัตรราคา 20,000 บาท ขาย 15,000 บาท ส่วนบัตรราคา 15,000 บาท ขาย 11,000 บาท อีกทั้งยัง ได้สิทธิ์ดูซ้อมอีกด้วย

จากไลฟ์ของพิมรี่พาย ทำให้กลุ่มแฟนบอลที่ซื้อตั๋วเข้าชมตั้งเเต่วันแรกรู้สึกไม่พอใจที่มีบัตรมาขายในราคาถูกและยังได้ชมการซ้อม แต่ดราม่าไม่ได้จบแค่กลุ่มแฟนบอล เพราะในไลฟ์ของพิมรี่พายได้พูดว่า จะสุ่มจับเลขที่ออเดอร์เพื่อไปกินข้าวกับแจ็คสัน หวัง แถมล้อมวงด้วยนักเตะแมนยูฯ ลิเวอร์พูล ซึ่งทำให้หลายคนตั้งข้อสงสัยว่าการที่จะพาศิลปินชื่อดังและนักเตะระดับโลกทั้ง 2 ทีมมานั่งกินข้าวด้วยมันเป็นไปได้จริงหรือ

“เดี๋ยวเอาใบเลขที่ออเดอร์จับสลากแล้วเราไปกินข้าวกับ แจ็คสัน หวัง กันเพื่อนรัก พิมรี่ เพื่อนรัก เพื่อนรัก ฝั่งตรงข้ามเป็นแจ็คสัน หวัง นั่งกินข้าวกัน และพิมรี่ ล้อมวงนักเตะแมนยู ลิเวอร์พูล และเอาเพื่อนรักไปนั่งกินข้าวด้วย”

ขณะที่เหล่าแฟนคลับของแจ็คสัน หวังเองก็ไม่พอใจอย่างมาก เพราะก่อนหน้านี้พิมรี่พายก็มีดราม่าที่ พาดพิงถึงแจ็คสัน หวัง ว่าคนดูไลฟ์ของแจ็คสัน หวังยังไม่เท่ากับที่ตนไลฟ์ขายของ และยิ่งให้มานั่งกินข้าวด้วยถือเป็นการ ไม่ให้เกียรติศิลปินและนักเตะระดับโลก และมองว่า ทำเหมือนกับศิลปินมารับงานกินข้าว ซึ่งจากเรื่องราวต่าง ๆ นี้ก็ทำให้เกิด #พิมรี่พาย ติดเทรนด์ทวิตเตอร์อันดับ 1 ตามด้วย #ProtectJacksonWang #Thaiticketmajor

ซึ่งหลังจากดราม่าเกิดขึ้น ล่าสุด​ เสี่ยวินิจ ได้ออกมาชี้แจงว่า บัตรในส่วนที่พิมรี่พายเอาไปขาย คือ บัตรโควต้าของ 2 ทีม คือ แมนฯยู​ และ ลิเวอร์พูล เป็นบัตรที่กันไว้ให้ทีมเอาไปขายแฟนบอลต่างประเทศ แต่บัตรเหลือตีกลับมาที่เฟรชแอร์​ โดยบัตรส่วนนี้ ไม่ได้ถูกขายในระบบไทยทิคเก็ตเมเจอร์ตั้งแต่แรก เพราะให้โควต้า 2 ทีมไปขาย​ จากนั้นทาง พิมรี่พายติดต่อขอซื้อบัตร ก็ขายให้ในราคาปกติ ไม่ได้ลด แต่พิมรี่พายไปจัดกิจกรรมเอง ส่วนที่จะสุ่มผู้โชคดีได้นั่งกินข้าวกับแจ็คสัน หวังและนักเตะแมนยู ลิเวอร์พูล ก็ไม่เป็นความจริง

เรียกได้ว่า ก่อนจะฟาดแข้งศึกแดงเดือด ก็เกิดดราม่าเดือด ๆ ก่อนเสียแล้ว

]]>
1389953
ส่องกระแส ‘คังคุไบ’ ฟีเวอร์ ที่ทำให้โซเชียลไทยเต็มไปด้วยชุดส่าหรี! https://positioningmag.com/1385862 Thu, 19 May 2022 05:45:56 +0000 https://positioningmag.com/?p=1385862 มีคำแซว ๆ กันในโลกโซเชียลที่ว่า “เพื่อน 100 คนลูกไปเรียน อีก 300 คนเป็นคังคุไบ” ถึงจะเป็นตัวเลขขำ ๆ แต่ก็สะท้อนให้เห็นชัดว่ากระเเสภาพยนตร์ ‘คังคุไบ’ มาแรงจริง ซึ่งขณะนี้ ภาพยนตร์เรื่อง Gangubai Kathiawadi หรือ หญิงแกร่งแห่งมุมไบ ก็ขึ้นแท่นเป็นภาพยนตร์ยอดนิยมอันดับ 1 ของ Netflix อย่างที่ยังไม่มีใครมากลบกระเเสได้

ด้วยเรื่องราวการพูดถึง หญิงสาวฐานะดีที่ถูกชายคนรักหลอกมาขายในซ่องโสเภณีย่านกามธิปุระ โดยเธอสามารถต่อสู้ฝ่าฟันจนกลายมาเป็นวีรสตรีและสัญญาลักษณ์การต่อสู้ของโสเภณีอินเดีย จากเนื้อหาที่สะท้อนประเด็นต่าง ๆ ในสังคมอินเดียออกมาได้อย่างดี ส่งผลให้ คังคุไบ กลายเป็นที่พูดถึงอย่างมากบนโลกโซเชียลประเทศไทย บางคนที่ไม่เคยดูภาพยนตร์อินเดียก็ถึงกับต้องลองเปิดใจดูเลยทีเดียว

ด้วยกระเเสดังกล่าว บริษัท ไวซ์ไซท์ (ประเทศไทย) จำกัด จึงได้ทำการเก็บข้อมูลผ่านเครื่องมือ ZOCIAL EYE ระหว่างวันที่ 8 – 17 พฤษภาคม 2565 เพื่อดูภาพรวมกระแสนี้ พบว่ามีการพูดถึงทั้งสิ้น 11,947,168 เอ็นเกจเมนต์ จาก 8,017 แอคเคาท์ เฉลี่ยมีการพูดถึง 1,800 ข้อความต่อวัน แบ่งเป็นการพูดถึงจาก ผู้หญิง (68.04%) มากกว่า ผู้ชาย (31.96%) และช่องทางที่มีการพูดถึงมากที่สุด ได้แก่

  • Facebook (47.74%)
  • Twitter (35.86%)
  • Instagram (12.5%)
  • ช่องทางอื่น ๆ (3.9%)

จากเอ็นเกจเมนต์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด ไวซ์ไซท์ได้สรุปออกมา 5 ประเด็นที่ชาวโซเชียลพูดถึงมากที่สุด ดังนี้

โคฟเวอร์เป็นคังคุไบ (4,612,628 เอ็นเกจเมนต์)

มองไปทางไหนก็เจอคังคุไบบนหน้าฟีด! เหล่าคนดังพร้อมใจลุกขึ้นมาโคฟเวอร์ จัดเต็มแฟชั่นชุดส่าหรี ชนิดที่ว่าสวยไม่แพ้ต้นฉบับ บ้างก็ออกมาเต้น ‘Garba’ เลียนแบบฉากในภาพยนตร์ โดยดารา นักแสดง และเหล่าคนดังที่ทำคอนเทนต์โคฟเวอร์ออกมาและได้รับเอ็นเกจเมนต์สูงที่สุด 5 อันดับ ได้แก่

  • พิมรี่พาย
  • จ๊ะ อาร์สยาม
  • พิงกี้ สาวิกา
  • มิวกี้ ไปรยา
  • กระแต อาร์สยาม

Sex worker กับกฎหมายไทย (4,085,538 เอ็นเกจเมนต์)

อีกหนึ่งประเด็นที่คนให้ความสนใจไม่แพ้กันคือเรื่องการเรียกร้องสิทธิให้อาชีพ Sex Worker ถูกกฎหมายในบ้านเรา รวมถึงได้รับความคุ้มครองในฐานะของพลเมืองประเทศ หลายๆ คนต้องการให้สังคมเข้าใจอาชีพนี้มากยิ่งขึ้น ไม่อยากให้ตีตราว่าเป็นอาชีพที่ไม่ดี

โปรดักชั่นและคอสตูม (2,229,877 เอ็นเกจเมนต์)

งานโปรดักชั่นของภาพยนตร์เรื่องนี้ถือเป็นอีกหนึ่งประเด็นที่คนชื่นชมกันอย่างมาก ทั้งองค์ประกอบศิลป์ มุมกล้องแบบสมมาตร การจัดแสงและสี เนื้อหาที่เข้มข้นชวนให้ติดตาม นักแสดงที่เล่นได้อย่างสมบทบาท เพลงเพราะ และฉากเต้นอลังการสมกับคุณภาพระดับบอลลีวูด ชาวโซเชียลหลายคนบอกว่าถือเป็น 2.30 ชั่วโมงที่คุ้มค่าและไม่ควรพลาดภาพยนตร์ดี ๆ แบบนี้

เปิดวาร์ป อาเลีย บาตต์ ผู้รับบทคังคุไบ (1,049,031 เอ็นเกจเมนต์)

ยอดเสิร์ชและการพูดถึงอาเลีย บาตต์เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดในสัปดาห์ที่ผ่านมา ทั้งเรื่องที่เธอคือนักแสดงบอลลีวูดที่ค่าตัวแพงที่สุดในอินเดีย ค่าตัวต่อเรื่องอยู่ที่ 90 ล้านบาท เรื่องประวัติส่วนตัวตั้งแต่ก่อนมาเข้าวงการ รวมถึงเรื่องชีวิตคู่ หลายคนชื่นชมในฝีมือการแสดงอันทรงพลังของเธอและพากันติดตามทาง Instagram จนยอดผู้ติดตามของเธอทะลุ 65 ล้านคนเป็นที่เรียบร้อย

ประเด็นเนื้อหาบิดเบือนความจริง (679,904 เอ็นเกจเมนต์)

ถึงแม้ภาพยนตร์เรื่องคังคุไบจะได้ผลตอบรับที่ดีจากผู้ชม แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีกระแสด้านลบให้เห็นอยู่บ้าง มีการพูดถึงประเด็นว่าเรื่องนี้บิดเบือนความจริงทำให้คังคุไบตัวจริงเสื่อมเสีย และไม่อนุญาตให้นำเรื่องดังกล่าวไปเผยแพร่ รวมถึง ภาพที่สื่อออกมาจากภาพยนตร์นั้นลดทอนปัญหาและทำให้ออกมาสวยหรูจนเกินจริง

ถือเป็นอีกตัวอย่างการส่งออก Soft Power ที่เด่นชัดมาก เพราะต้องยอมรับว่าภาพยนตร์อินเดียในไทยนั้นค่อนข้างมีความเฉพาะกลุ่มไม่เหมือนภาพยนตร์ฮอลลีวูดหรือซีรีส์เกาหลี เเต่เพราะภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้คนไทยหลายคนเปิดใจดูภาพยนตร์อินเดียเป็นครั้งแรก มีหลายคอนเทนต์บนโซเชียลเริ่มแนะนำอาหารอินเดีย สถานที่ท่องเที่ยว และการแต่งตัวด้วยชุดส่าหรี เป็นครั้งแรกของหลาย ๆ คนอีกด้วย

]]>
1385862
10 อันดับประเด็นร้อนแรงบนโลกโซเชียลแห่งปี 2564 “โควิด-19” ครองแชมป์ https://positioningmag.com/1369215 Thu, 30 Dec 2021 14:09:15 +0000 https://positioningmag.com/?p=1369215 ก้าวเข้าสู่วันสุดท้ายของปี 2564 ซึ่งเป็นอีกปีหนึ่งที่มีเหตุการณ์สำคัญต่างๆ เกิดขึ้นบนโลกโซเชียล ไวซ์ไซท์จึงได้ทำการรวบรวมข้อมูลผ่านเครื่องมือ ZOCIAL EYE เพื่อวิเคราะห์และจัดอันดับประเด็นที่ชาวโซเชียลพูดถึงมากที่สุด โดยเก็บข้อมูลช่วงระหว่างวันที่ 1 มกราคม-28 ธันวาคม 2564 เรามาดูกันดีกว่าว่าระหว่าง 1 ปีที่ผ่านมา มีประเด็นสำคัญอะไรเกิดขึ้นบ้าง

อันดับที่ 1 สถานการณ์โควิด-19 (119,499,177 เอ็นเกจเมนต์)

สถานการณ์โควิด-19 ในปัจจุบันยังคงน่าเป็นห่วง หลังจากผ่านการล็อกดาวน์ ปิดประเทศ จนเปิดประเทศล่าสุด ก็ต้องเจอกับเชื้อโควิดสายพันธุ์ใหม่ ‘โอมิครอน’ อีกระลอก ทำให้ปีนี้ ประเด็นโควิดมาเป็นอันดับ 1 บนโลกโซเชียล

อันดับที่ 2 ปรากฏการณ์ลิซ่าฟีเวอร์ (98,967,525 เอ็นเกจเมนต์)

เมื่อวันที่ 10 กันยายน ที่ผ่านมา ลลิษา มโนบาล หรือที่รู้จักกันดีในนาม ลิซ่า แบล็กพิงก์ หนึ่งในสมาชิกของวงเกิร์ลกรุ๊ปจากประเทศเกาหลีใต้ ได้ปล่อยอัลบั้มเดี่ยวของตัวเองเป็นครั้งแรกและสร้างความฮือฮาให้กับโลกออนไลน์อย่างมาก ทั้งประเด็นการเป็นศิลปินหญิงเดี่ยวคนแรกที่มียอดเข้าชมผ่านช่องทาง YouTube มากกว่า 10 ล้านครั้งภายใน 1 ชั่วโมงครึ่ง ทุบสถิติเดิมของเทย์เลอร์ สวิฟต์ และได้สร้างเอ็นเกจเมนต์ขึ้นในโลกออนไลน์มากกว่า 53 ล้านเอ็นเกจเมนต์ภายใน 24 ชั่วโมงหลังจากที่ปล่อยเอ็มวี รวมถึง ลูกชิ้นยืนกินที่สร้างรายได้ให้ชุมชนมากมาย นั่นทำให้ลิซ่ามาเป็นอันดับที่ 2 ในปีนี้

อันดับที่ 3 การประกวดมิสยูนิเวิร์ส 2020/2021 (80,398,276 เอ็นเกจเมนต์)

เป็นครั้งแรกที่งานประกวด Miss Universe 2020 และ 2021 จัดขึ้นในปีเดียวกันอันเนื่องมาจาก สถานการณ์โควิด-19 ซึ่งผู้ชนะทั้งสองรายการ ได้แก่ อแมนด้า ออบดัมและแอนชิลี สก๊อต-เคมมิส ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาได้ปลุกกระแสให้ผู้คนหันมาให้ความสำคัญกับประเด็น “Real Size Beauty” หรือการภูมิใจในรูปร่างของตนเอง และมีความสุขในสิ่งที่ตัวเองเป็น

อันดับที่ 4 มหกรรมกีฬาโอลิมปิกโตเกียว 2020 (59,829,135 เอ็นเกจเมนต์)

มหกรรมกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมวลมนุษยชาติกับงานโอลิมปิกโตเกียวที่ได้เลื่อนจากปี 2563 มาจัดในปี 2564 ซึ่งหนึ่งเหตุการณ์ที่ทำให้ชาวไทยทั้งประเทศมีความสุขท่ามกลางสถานการณ์โควิดที่มีความรุนแรง คือ น้องเทนนิส พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ ได้คว้าเหรียญทองจากการแข่งขันเทควันโดนั่นเอง

อันดับที่ 5 พิมรี่พาย (54,686,116 เอ็นเกจเมนต์)

อีกหนึ่งบุคคลที่เป็นที่พูดถึงตลอดทั้งปีนี้คงหนี้ไม่พ้นพิมรี่พาย หรือ พิมรดาภรณ์ เบญจวัฒนะพัชร์ ทั้งประเด็นงาน CSR วันเด็กในช่วงต้นปี ที่เข้าไปติดแผงโซล่าร์เซลล์ที่หมู่บ้านชนบทในจังหวัดเชียงใหม่ ไปจนถึงปรากฏการณ์ไลฟ์ขายของ 10 นาที 100 ล้านบาท ที่เปิดขายกล่องสุ่มเครื่องสำอางกล่องละ 1 แสนบาท และมีคนสนใจสั่งซื้อกว่า 1,000 ชุด รวมถึง ประเด็นคลินิกเสริมความงามที่มีผู้เสียหายเข้ามาร้องเรียนหลายราย

อันดับที่ 6 ไฟไหม้โรงงานกิ่งแก้ว (39,427,269 เอ็นเกจเมนต์)

เกิดเหตุระเบิดและเพลิงไหม้โรงงานผลิตเม็ดโฟมพลาสติกบริษัท หมิงตี้ เคมิคอล จำกัด ใน ซอยกิ่งแก้ว 21 จังหวัดสมุทรปราการ เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม ทำให้ประชาชนในรัศมี 5 กิโลเมตร ต้องอพยพออกจากพื้นที่ดังกล่าวเนื่องจากกลัวว่าเพลิงจะลุกลาม นับว่าเป็นอีกหนึ่งเหตุเพลิงไหม้ขนาดใหญ่ในรอบหลายปีที่ผ่านมาและมีการพูดถึงบนโลกโซเชียลอย่างมากตลอด 24 ชั่วโมงในขณะที่เจ้าหน้าที่ดับเพลิงกำลังปฏิบัติหน้าที่ในการควบคุมเพลิง

อันดับที่ 7 น้ำท่วม (34,989,035 เอ็นเกจเมนต์)

นอกจากพิษโควิด-19 แล้วปีนี้เรายังคงเจอกันสถานการณ์น้ำท่วมในหลายพื้นที่ตั้งแต่เดือนตุลาคม ซึ่งส่งผลกระทบอย่างหนักทั้งในกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมถึงหลายๆ จังหวัดในภาคกลาง, ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และจากสถานการณ์ครั้งนี้ได้เกิดคลิปไวรัลจากชาวโซเชียลที่จังหวัดนครราชสีมาทำคลิปล้อเลียนโฆษณาของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แบรนด์ดัง

อันดับที่ 8 ลุงพล (34,239,932 เอ็นเกจเมนต์)

สิ้นสุดคดีน้องชมพู่ ที่อยู่บนความสนใจของชาวโซเชียลมาอย่างยาวนาน การเกาะติดความคืบหน้าของคดีได้สร้างให้เกิดเรื่องราวของ “ผู้ต้องหา” ที่ถูกจับตาจากโซเชียลทุกย่างก้าวให้กลายเป็น “คนดัง” ในชั่วข้ามคืน และในที่สุดศาลจังหวัดมุกดาหาร ได้ออกหมายจับลุงพล หรือนายไชย์พล วิภา 3 ข้อหา ผู้ต้องหาคดี “น้องชมพู่” หนูน้อยวัย 3 ขวบ แห่งบ้านกกกอก ที่เสียชีวิตเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

อันดับที่ 9 ผู้กำกับโจ้ (33,367,496 เอ็นเกจเมนต์)

ประเด็นร้อนบนโลกโซเชียลกับกรณีมาวิน ผู้ต้องสงสัยคดียาเสพเสียชีวิตระหว่างถูกควบคุมตัวโดย พ.ต.อ. ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือ ผู้กำกับโจ้ โดยสาเหตุเกิดจากการขาดอากาศหายใจ ส่งผลให้เกิดเป็น คดีดัง และถูกขุดขุ้ยจนพบว่าครอบครองรถหยนต์หรูกว่า 30 คันและพบการ ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ จนได้ฉายา “โจ้เฟอร์รารี่”

อันดับที่ 10 น้าค่อม (33,160,272 เอ็นเกจเมนต์)

ถือเป็นอีกหนึ่งการสูญเสียครั้งใหญ่ของวงการบันเทิงและวงการตลกไทย กับการจากไปของนายอาคม ปรีดากุล หรือ น้าค่อม ชวนชื่น หลังพบเชื้อโควิด-19 และอาการทรุดลงเรื่อยๆ ชาวโซเชียลร่วมไว้อาลัย #น้าค่อม จนขึ้นอันดับ 1 ทวิตเตอร์ไทย

]]>
1369215
สรุปดราม่า #พิมรี่พาย แบรนด์จะพังหรือไม่? เมื่อสุดท้ายการทำบุญคือการ PR https://positioningmag.com/1333109 Thu, 20 May 2021 07:26:10 +0000 https://positioningmag.com/?p=1333109 กลายเป็นดราม่าแค่ชั่วพริบตา เมื่อแม่ค้าออนไลน์ใจบุญ “พิมรี่พาย” ตอบโต้กรณีอดีตนายกทักษิณ ชินวัตรอ้างอิงถึงในคลับเฮาส์ กลายเป็นประเด็นเดือด และตามต่อมาด้วยการทำบุญเพื่อหวัง PR ตัวเอง ด้วยประโยคอย่าง “มึงโกรธกูไปเถอะ เดี๋ยวพอกูปล่อยคลิปทำความดี มึงก็หายโกรธ” ทำเอาคนทั่วไปรู้สึกไม่ดี

จากแม่ค้าออนไลน์ สู่เจ้าแม่บริจาค

แม้ชื่อของ “พิมรี่พาย” จะเป็นที่รู้จักมานานหลายปีแล้ว ในฐานะแม้ค้าออนไลน์ฝีปากกล้า มีลีลาการขายสุดแซบ ทำเอาลูกค้า CF กันถล่มทลาย แต่ต้องบอกว่าตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ชื่อของพิมรี่พายดูเหมือนจะมีสปอตไลท์ฉายดวงใหญ่เป็นพิเศษ เป็นที่จับจ้องทั้งบุคคลทั่วไป และทางฝากฝั่งของรัฐบาลด้วย

พิมรี่พายแจ้งเกิดจากการเป็นแม่ค้าขายของออนไลน์ จุดเด่นคือขายสินค้าทุกอย่างตั้งแต่อาหาร ปลาร้า น้ำพริก พริกทอด ไปจนถึงสินค้าความงามอย่างน้ำหอมและสกินแคร์ โดยมีราคาที่ถูกกว่าท้องตลาดทั่วไป พิมรี่พายมักใช้ช่องทาง “ไลฟ์สด” ผ่านเฟซบุ๊ก “พิมรี่พายขายทุกอย่าง” มีผู้ติดตามถึง 4.5 ล้านราย การไลฟ์แต่ละครั้งมีผู้เข้าชมแบบเรียลไทม์หลายแสนคน มียอดรวมนับล้านครั้ง

ช่วงพีคๆ ที่พิมรี่พายถูกพูดถึงเยอะๆ ในช่วงเดือนมกราคม ในการไลฟ์ขายของเพียง 1 ชั่วโมง มียอดสั่งซื้อกว่า 16,000 ออเดอร์เลยทีเดียว

แต่นอกจากจะเป็นแม่ค้าออนไลน์แล้ว พิมรี่พายยังพ่วงตำแหน่ง YouTuber อีกขานึงด้วย โดยช่อง “พิมรี่พาย” ใน YouTube มีผู้ติดตามถึง 4.1 ล้านราย รวมถึงในเฟซบุ๊กเพจส่วนตัว Pimrypie – พิมรี่พาย ที่มียอดคนติดตามถึง 9.9 ล้านราย คอนเทนต์มีหลากหลาย ทั้งเรื่องอาหาร รีวิวสินค้าของตัวเอง เพลง และการทำบุญ

สปอตไลท์ดวงใหญ่ที่ฉายมาที่พิมรี่พายเกิดจากกระแส “คอนเทนต์ใจบุญ” ของเธอนี่เอง เริ่มต้นตั้งแต่เดือนมกราคมที่ได้นำเงิน 550,000 บาทไปซื้อทีวี ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ และสร้างแปลงผักให้แก่เด็กๆ ที่หมู่บ้านแม่เกิบ ต.นาเกียน อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ เพื่อเป็นของขวัญในวันเด็กแห่งชาติ

เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวไม่สามารถเข้าถึงกระแสไฟฟ้า และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ซึ่งพิมรี่พายมองว่าการที่ให้เด็กๆ ได้ดูทีวี ทำให้เด็กๆ มีความฝัน ได้เห็นว่าตัวเองอยากเป็นอะไร ทำให้คลิป “สุขสันต์วันเด็ก พิมรี่พายจัดใหญ่ให้น้องบนดอยสูง” ในยูทิวบ์มียอดเข้ามากกว่า 6.8 ล้านวิว

แน่นอนว่าคอนเทนต์นี้ทำให้ชาวเน็ตต่างยกย่องชมเชย และอวยยศเธออย่างมาก ชื่อของพิมรี่พายกลับมาเป็นกระแสอีกครั้งหนึ่ง เป็นตัวอย่างของคนทำความดี ในวันนั้นทำให้ #พิมรี่พาย ขึ้นเทรนด์อันดับ 1 ในทวิตเตอร์ด้วย

หลังจากนั้นเราก็ได้เห็น “โปรเจกต์ใจบุญ” ของพิมรี่พายมาอีกหลาย EP ไม่ว่าจะเป็น การขุดน้ำบาดาล, พัฒนาสำนักสงฆ์, เหมาก๋วยเตี๋ยวยายตาบอด, ติดไฟชุมชนคลองเตย, เลี้ยงหมาแมว และอื่นๆ อีกมากมาย มาจนถึงโปรเจกต์ล่าสุดคือ “โรงพยาบาลสนาม”

การทำบุญของพิมรี่พายย่อมถูกนำไปเปรียบเทียบกับโครงการ หรือการบริหารของรัฐบาลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงบประมาณที่น้อยกว่าหลายเท่าตัว รวมถึงการปฏิบัติการที่รวดเร็ว ช่วยเหลือได้เร็วกว่า แน่นอนว่าแต่ละโปรเจกต์ต้องตามมาด้วยประเด็นดราม่า ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสอบ หรือการบุกรุกพื้นที่ ซึ่งแล้วแต่กรณีไป

อย่างไรก็ดี พิมรี่พายได้กลาย “ไอคอน” ของการทำบุญ ช่วยเหลือไปโดยปริยาย หากเป็นแต่ก่อน ถ้าชาวเน็ตอยากขอความช่วยเหลือ คงจะนึกถึงเพจ “แหม่มโพธิ์ดำ” หรือเพจอื่นๆ ที่ค่อนข้างมีอิทธิพล แต่ตอนนี้มีแต่คนนึกถึงพิมรี่พาย ถ้าใครได้รับความลำบาก ก็จะนึกถึงให้พิมรี่พายช่วยทั้งนั้น

โทนี่พูดถึง สะเทือนความมั่นคง

ด้วยความเป็นไอคอนของการช่วยเหลือนี่เอง บวกกับกระแสที่คนไทยพูดถึงอย่างมาก แม้แต่รัฐบาลยังจับจ้อง ไม่เว้นแม้แต่ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย ปัจจุบันจะนิยมเรียกกันว่า “โทนี่” เป็นชื่อที่ใช้ในคลับเฮาส์

ประเด็นร้อนแรงล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อโทนี่ได้พูดคุยในคลับเฮาส์เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ในหัวข้อ “CARE Clubhouse x CARE Talk #เป็นไงวัยรุ่น : ปลดล็อกยูนีคสกิลสู่ยุคใหม่ของวัยเยาวรุ่น กับ Tony Woodsome” โดยในบางช่วงบางตอนทักษิณพูดถึงในประเด็น​ว่า

“ภายในเรือนจำเขามีสนามฟุตบอล มีโรงอาหาร เราสามารถเปลี่ยนมาเป็นโรงพยาบาลสนามชั่วคราวได้หรือไม่ หรือถ้าตั้ง (รพ.สนาม) มันแพง ก็ไปขอพิมรี่พายตั้งให้ พอตั้งแล้วก็เอาคนออกมาตรงนั้นซะ และไปทยอยฉีดวัคซีน”

ทำให้พิมรี่พายถึงกับต้องตอบโต้เลยทีเดียว ได้พูดผ่านการไลฟ์สดขายสินค้า มีใจความประมาณว่า

“คุณโทนี่ที่ฉันพูดถึงก็คือคุณทักษิณ ชินวัตร พูดถึงดิฉันเมื่อคืน ดิฉันไม่ทราบเพราะดิฉันไม่ได้ไปเล่นโซเชียลอะไร ดิฉันไม่ว่าง ดิฉันทำงาน ดิฉันทำบุญ มีคนส่งคลิปมาให้ดิฉันเยอะมาก ดิฉันขอพูดหน่อยนะคะ ท่านอยู่ข้างนอกประเทศ ท่านจะพูดอะไรก็ได้ แต่คนข้างในประเทศจะซวยเอา ได้โปรดอย่าลากดิฉันไปเกี่ยวข้องนะคะ กราบขอร้อง ทุกๆ คน หรือทุกๆ สื่อ ดิฉันยังอยากทำบุญต่อ อย่าให้ดิฉันซวยเลยค่ะ ท่านพูดทีหนึ่งอีกฝั่งก็ด่าดิฉัน ดิฉันรู้เรื่องไหมคะ ยืนขายปลาร้า ก็โดนด่า มันใช่เรื่องไหม ทำความดีต้องมาโดนด่าไหมเพราะว่ามึ…พูด ดิฉันอยากอยู่ในประเทศนะคะ ดิฉันไม่อยากจะไปตายที่ต่างประเทศ อยากอยู่ต่อ อยากทำความดีต่อ ขอความกรุณาเลิกเอาดิฉันไปเป็นเครื่องมือเหน็บแนม อย่าแปลเจตนาดิฉันผิด ขอบพระคุณค่ะ”

ในประเด็นมีเสียงแตกออกเป็นหลายทาง บ้างก็มองว่าโทนี่ต้องการแค่แซะรัฐบาลที่บริหารจัดการอะไรไม่ได้ ให้ไปขอความช่วยเหลือพิมรี่พายที่เสกสรรค์โปรเจกต์ออกมาได้ว่องไวกว่า หรือบางคนก็มองว่าโทนี่แค่พูดอ้างอิงถึงไม่ได้ไปในทางลบ ทำไมไม่มองที่ต้นเหตุที่ว่าสังคมนี้ แค่คนคนนึงพูดถึง จะต้องอยู่ยากมากขึ้น

แบรนด์พังเพราะประโยคเดียว?

ดราม่านี้ร้อนแรงถึงขั้น #พิมรี่พาย ขึ้นเทรนด์ในทวิตเตอร์อีกครั้ง ตอนนี้ไม่ได้มีแค่ประเด็นเรื่องการอ้างอิงของโทนี่ แต่เป็นเรื่องของทัศนคติของพิมรี่พายที่มีต่อการทำบุญบริจาค

เมื่อพิมรี่พายพูดถึงกรณีนี้ในไลฟ์ขายของอีกครั้ง พูดถึงคนที่โกรธเธอว่า โกรธที่ปกป้องตัวเองหรือ ซึ่งมั่นใจว่าพูดไม่ผิด พร้อมกับประโยคที่ว่า “มึงโกรธกูไปเถอะ เดี๋ยวพอกูปล่อยคลิปทำความดี มึงก็หายโกรธ”

กลายเป็นประโยคที่จุดชนวนให้คนดราม่ามากขึ้น เกิดความไม่พอใจอย่างหนัก เพราะหลายคนมองว่าการทำความดีที่ผ่านมาล้วนมีผลประโยชน์ทั้งสิ้น รวมถึงการเอาคนจน คนด้อยโอกาสเป็นเครื่องมือในการทำ PR ให้ตัวเอง สร้างชื่อเสียง และขายของได้มากขึ้น เพราะถึงแม้ร้านของพิมรี่พายจะมีลูกค้าประจำที่ซื้อของสินค้าราคาถูก มีคุณภาพ แต่ก็ต้องยอมรับว่ามีจำนวนไม่น้อยที่ตามซื้อเพราะกระแสโปรเจกต์ใจบุญ เพราะรู้สึกว่าได้ร่วมสนับสนุน ได้ร่วมทำบุญไปด้วย

รวมถึงยังมีประเด็นที่ว่า “ไม่อยากไปตายต่างประเทศ” เพราะไม่อยากเป็นปรปักษ์กับรัฐบาล หลายคนมองว่าเป็นการแซะผู้ลี้ภัยทางการเมือง หรือผู้ต่อสู้ทางการเมืองด้วย

แปลเจตนาไม่ออกหรอ?

เมื่อเกิดกระแสการไม่สนับสนุนพิมรี่พายมากขึ้นเรื่อยๆ เธอก็ยังคงพูดถึงในไลฟ์ขายของต่อ โดยยังคงย้ำว่า “แปลเจตนาไม่ออกหรอ” ไม่ว่าจะเป็นการทำบุญที่ผ่านมา หรือการพูดตอบโต้ต่างๆ เป็นการบอกเป็นนัยๆ ว่า ถึงแม้การกระทำจะเป็นอย่างนี้ แต่ให้ดูที่เจตนาหลักของเธอก็พอ พร้อมกับพูดถึงโทนี่อีกว่า

“ท่านพูดถึงใครได้รับผลกระทบหมด ท่านเป็นคนมีอิทธิพล แค่บอกว่าจะคุยกับปูตินเรื่องวัคซีน อีก 2 วันมีวัคซีนแล้ว แต่รอบนี้พูดถึงพิมรี่พาย เราจะอยู่อย่างไร เป็นคนธรรมดา อยากอยู่แบบปลอดภัย พูดถึงแค่ 5 วินาที ตอนเช้าส่งของไปบริจาค 200,000 บาท เขาส่งกลับ ไม่ยอมรับของ”

การทำบุญ กับโครงสร้างสังคม

ต้องบอกว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่มีการช่วยเหลือเกื้อกูลกันมาแต่ไหนแต่ไร ใครที่ได้รับความเดือดร้อน หรือประสบภัยพิบัติ ก็มีการช่วยเหลือกันเอง บริจาคกันเองมาโดยตลอด เพราะความมีน้ำใจ และมองว่าเป็นการช่วยเหลือพี่น้องด้วยกัน ยิ่งด้วยนิสัยคนไทยที่มีน้ำใจ ชอบช่วยเหลือ ยิ่งยุคปัจจุบันเป็นยุคโอนไว ย่อมได้เห็นคนได้รับบริจาคจำนวนหลายๆ ล้านอยู่บ่อยครั้ง

หลายคนมองว่าการทำบุญ บริจาคในทำนองนี้มันบิดเบี้ยวมาตั้งแต่โครงสร้างทางสังคม ถ้าหน่วยงานราชการ หรือรัฐบาลมีการบริหารจัดการที่ดี จัดสรรงบประมาณช่วยเหลือที่ดี ก็สามารถเข้าถึงคนได้ทั่วประเทศ ลดการเหลื่อมล้ำได้ การบริจาคเป็นแค่ปลายเหตุเท่านั้น ไม่สามารถสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีในระยะยาว แต่ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย

ทำให้การทำบุญ การทำความดี การบริจาค เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ CSR ของแบรนด์ต่างๆ ไม่ว่าจะแบรนด์เล็ก แบรนด์ใหญ่ เป็นอีกหนึ่งเครื่องมีในการ PR ภาพลักษณ์ของตนเองให้ดี เมื่อผู้บริโภคเห็นว่าแบรนด์นี้ได้ช่วยเหลือคน ก็จะรู้สึกดีไปด้วย

ล่าสุดวันนี้ เวลา 17.00 น. พิมรี่พาย ได้ไลฟ์สดขายของเช่นเคย และได้ชี้แจง พร้อมกล่าวขอโทษลุงโทนี่

“หลังจากพูดพาดพิงไป โดยชี้แจงแล้วเมื่อวานว่าไม่อยากเป็นเครื่องมือทางการเมืองของใคร ซึ่งสืบเนื่องจากไลฟ์สดเมื่อวานนี้ อยากบอกว่าหากพูดจาพาดพิงถึงคุณทักษิณ หรือลุงโทนี่ ด้วยถ้อยคำที่ขาดสติ ทำให้ประชาชนไม่พอใจ พิมจึงอยากพูดแบบเด็กพูดกับผู้ใหญ่ว่า กราบขอโทษคุณทักษิณและประชาชนที่พิมปากไว และจากนี้จะพูดจาและไตร่ตรองให้มากกว่านี้ โดยจะเป็นเด็กที่น่ารักกว่านี้”

สุดท้ายแล้วแบรนด์ “พิมรี่พาย” จะพังหรือไม่ ไม่สามารถตอบได้ เพราะขึ้นอยู่กับการตีความ และความพอใจของแต่ละคน เมื่อเธอลงคลิปความดี คนอาจจะหายโกรธแล้วลืมเรื่องราวต่างๆ ก็ได้ หรือบางคนอาจจะเลิกติดตามไปเลยก็ได้…
]]>
1333109
“พิมรี่พาย” ขายทุกอย่าง! พาส่อง 10 ไอเท็มเด็ดที่แม่ค้าปากแรงคนนี้มีจำหน่าย https://positioningmag.com/1313575 Mon, 11 Jan 2021 07:30:25 +0000 https://positioningmag.com/?p=1313575 ดราม่าคลิปบริจาคของให้เด็กๆ บนดอย ทำให้สปอตไลต์ส่องลงมาที่ “พิมรี่พาย” แม่ค้าและอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดัง แต่สำหรับคนที่ไม่รู้จักพิมรี่พาย อาจจะนึกภาพไม่ออกว่าการเป็น “แม่ค้า” ของเธอนั้นไม่ได้ขายของแค่ไม่กี่อย่าง แต่มีทุกอย่างมาขายราวกับเป็นตลาดนัดทีเดียว

“พิมรี่พาย” เป็นแม่ค้าและอินฟลูเอนเซอร์บนอินเทอร์เน็ต โด่งดังจากการไลฟ์ขายของได้เพลิดเพลิน น่าติดตาม พร้อมคาแร็กเตอร์ “ปากแรง” ไม่ไว้หน้าใครแม้แต่ลูกค้า ถ้ากวนใจมากๆ จะถูกด่าสดกลางรายการ แต่แทนที่ลูกค้าจะแอนตี้พิมรี่พาย กลับกลายเป็นสิ่งที่ทำให้มีคนติดตามเธอมากขึ้น เพราะรู้สึกว่าการด่าของเธอ “ตลก” และสร้างความรู้สึกจริงใจ ตรงๆ คิดอย่างไรพูดอย่างนั้น

ความโด่งดังของพิมรี่พายทำให้แต่ละคลิปของเธอบน Facebook Page ส่วนใหญ่มียอดผู้ชมทะลุหลักล้านวิว ยิ่งช่วงหลังที่เธอทำคลิปแจกของ บริจาค คอนเทนต์ทำบุญ ทำความดี ยิ่งได้รับความนิยม ยกตัวอย่างเช่น คลิปเซอร์ไพรส์แม่ สักแขนเป็นรูปแม่พร้อมนำเงินมากองให้ 5.2 ล้านบาทเนื่องในวันแม่ มีคนดูไปถึง 28 ล้านวิว!

แล้วพิมรี่พายขายอะไร? เธอเป็นแม่ค้าที่ขนานนามตนเองว่า “พิมรี่พายขายทุกอย่าง” เพราะเธอมีสินค้าสารพัดอย่างมานำเสนอ ไม่ว่าจะเป็นสินค้าที่รับทำโฆษณาขายให้พร้อมเป็นตัวแทนขาย สินค้าแบบซื้อมาขายไป หรือทำแบรนด์ของตัวเองขึ้นมาหลังจากโด่งดังพอที่จะปั้นแบรนด์ตัวเองได้แล้ว ไปดู ตัวอย่าง 10 ไอเท็มเด็ดที่พิมรี่พายขาย กัน แล้วจะเห็นว่าเธอขายได้ทุกอย่างจริงๆ

1.น้ำหอม

ไอเท็มจุดพลุความโด่งดังของเธอก็ว่าได้ ด้วยน้ำหอมเป็นสิ่งที่ต้องทดลองดมกลิ่น ทำให้เป็นจุดบอดว่าจะขายออนไลน์ได้อย่างไรถ้าไม่เคยไปลองกลิ่นมาก่อน แต่พิมรี่พายทำได้! ด้วยการบรรยายสรรพคุณคาแร็กเตอร์กลิ่นน้ำหอมแบบถึงพริกถึงขิง

2.ลิปสติก

อีกหนึ่งสินค้าขายดี แท่งละร้อย ซื้อง่ายขายคล่อง พร้อมคลิปในตำนานเมื่อครั้งหนึ่งลูกค้าเข้ามาถามว่าลิปสติกมี อย. ไหม จนพิมรี่พายบ่นยาวเป็นนาทีว่าลิปสติกไม่มีเลข อย. แต่ต้องถามเลขที่จดแจ้งต่างหาก

3.แป้งทาหน้า

มีน้ำหอม มีลิป ไม่มีแป้งก็คงไม่ได้ เครื่องสำอางที่สาวๆ ส่วนใหญ่ใช้ กับลีลาการขายแบบลองให้ดูกันจริงๆ แบบเทียบก่อนและหลังแต่ง ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ

4.กางเกงใน

เธอขายทุกอย่างที่คนน่าจะซื้อ แม้แต่กางเกงในยกกล่องก็เคยนำมาขาย ในไลฟ์เดียวกันยังมีขายแมวกวักญี่ปุ่นเรียกโชคลาภด้วย

5.ครีมทาหน้า

ยุครุ่งเรืองของพิมรี่พายที่เริ่มเพิ่มโปรดักชันและลูกน้องเข้ากล้อง ทำคลิปโฆษณาขายครีมทาหน้าฉ่ำยี่ห้อหนึ่ง พร้อมเป็นตัวแทนจำหน่าย

6.อาหารเสริม

เมื่อกิจการใหญ่โต ยอดขายดีมีกำไร พิมรี่พายเริ่มมีทุนเข้าสู่วงการพัฒนาสินค้าแบรนด์ตัวเองขาย ยกตัวอย่างเช่น อาหารเสริมไฟเบอร์ช่วยขับถ่าย

7.เซรั่มจุดซ่อนเร้น

ต่อด้วยสินค้าแบรนด์ตัวเองอีกหนึ่งอย่าง เซรั่มเกี่ยวกับจุดซ่อนเร้นของผู้หญิง มาพร้อมการลงทุนโปรดักชันโฆษณาระดับมืออาชีพ

8.น้ำปลาร้า

ฉีกแนวสินค้ามาที่ “ของกิน” บ้าง ถึงแม้สินค้าจะดูแหวกแนวจากบรรดาเครื่องสำอางและสินค้าแฟชั่น แต่ถ้าดูคอนเทนต์รวมของพิมรี่พายก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะขายน้ำปลาร้า เพราะเธอมีรายการ “แอบแ_ก” กินอาหารโชว์คนดูมานานแล้ว ทำให้การขายของกินเป็นการต่อยอดจากคอนเทนต์บันเทิงที่เธอทำอยู่

9.ร้านทำเล็บ

สิ่งหนึ่งที่ติดตาคนดูเวลาชมไลฟ์พิมรี่พายคือ “เล็บ” ของเธอที่จะไว้ยาวและแต่งเล็บเปรี้ยวจี๊ดอยู่เสมอ จนมีคนถามบ่อยครั้งว่าเธอทำเล็บร้านไหน สุดท้ายแม่พิมก็เลยเปิดร้านทำเล็บเองเสียเลย

10.คอร์สสอนขายของออนไลน์

ปิดท้ายที่การต่อยอดขายของที่พลาดไม่ได้ เมื่อขายดีขนาดนี้ย่อมมีคนอยากรู้เคล็ดลับการขาย จนเธอสามารถเปิดขาย “คอร์สออนไลน์” สอนขายของสไตล์พิมรี่พาย

สรุปการเป็นแม่ค้ากึ่งอินฟลูเอนเซอร์ทำให้เธอใช้ชื่อเสียง บุคลิก เอกลักษณ์ มาขายสินค้าได้สารพัดอย่าง ต่อยอดไปสู่การผลิตสินค้าแบรนด์ตนเองออกจำหน่าย และขายได้แม้แต่ “องค์ความรู้” ของตนเอง ท่ามกลางกระแสดราม่าทั้งทางบวกและทางลบจากคลิปทำบุญที่กำลังเป็นกระแส คงไม่มีใครปฏิเสธถ้าหากเราจะบอกว่าเธอประสบความสำเร็จในฐานะ “แม่ค้า” แล้ว!

ภาพจาก : Facebook Page @pimrypie.official

]]>
1313575