ภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 23 Feb 2021 15:04:55 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 โรงหนัง ‘นิวยอร์ก’ ตลาดใหญ่เบอร์ 2 ของอเมริกาเปิดอีกครั้ง คาดจุดสำคัญฟื้นอุตสาหกรรม https://positioningmag.com/1320629 Tue, 23 Feb 2021 12:13:11 +0000 https://positioningmag.com/?p=1320629 หลังจากที่โรงภาพยนตร์ในมหานคร ‘นิวยอร์ก’ ถูกปิดไปตั้งแต่วันที่ 5 มีนาคม 2020 นับเป็นเวลาเกือบปีทีเดียวที่ไม่ได้ให้บริการ แต่หลังจากที่ผู้ติดเชื้อไวรัส COVID-19 ในนิวยอร์กค่อย ๆ ลดลง จนปัจจุบันเฉลี่ยที่สัปดาห์ละ 7,400 ราย ลดลงมากกว่า 13% ทำให้บริการต่าง ๆ เริ่มกลับมาเปิดอีกครั้ง รวมถึงโรงภาพยนตร์ด้วย

การประกาศเปิดโรงภาพยนตร์เป็นความเคลื่อนไหวล่าสุดของผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก เพื่อเปิดเศรษฐกิจของรัฐอีกครั้ง โดยนอกจากโรงภาพยนตร์แล้วยังมีสนามกีฬาขนาดใหญ่ เช่น Barclays Center และ Madison Square Garden ที่กำลังเตรียมต้อนรับแฟน ๆ จำนวนจำกัดสำหรับเกมบาสเกตบอล รวมไปถึงสวนสนุกต่าง ๆ ก็สามารถเปิดได้อีกครั้ง โดยจะเริ่มเปิดได้ในช่วงเดือนมีนาคม

อย่างไรก็ตาม โรงภาพยนตร์ในนิวยอร์กจะไม่ได้เปิดให้บริการ 100% แต่จะสามารถจุได้ไม่เกิน 25% หรือไม่เกิน 50 คนต่อโรง และจะต้องมีการตรวจคัดกรอง ต้องใส่หน้ากากอนามัย และเว้นระยะห่างของที่นั่ง โดยเจ้าของโรงหนังพอใจกับการประกาศว่าโรงภาพยนตร์ในนครนิวยอร์ก แม้จะมีระเบียบปฏิบัติด้านสุขภาพและความปลอดภัยที่เข้มงวด

“การประกาศของผู้ว่าการคูโม่ว่าโรงภาพยนตร์สามารถเปิดให้บริการอีกครั้งในนิวยอร์กซิตี้ ในสัปดาห์แรกของเดือนมีนาคม ถือเป็นอีกก้าวสำคัญในการฟื้นฟูสุขภาพของอุตสาหกรรมโรงภาพยนตร์ และบริษัทของเรา” อดัม อารอน ซีอีโอของ AMC กล่าว

อดัม กล่าวว่า บริษัท AMC จะเปิดโรงภาพยนตร์ทั้ง 13 แห่งในนิวยอร์กซิตี้อีกครั้งในวันที่ 5 มีนาคมนี้ โดยจะได้ฉายภาพยนตร์อนิเมชั่นฟอร์มยักษ์จากดิสนีย์เรื่อง ‘Raya and the Last Dragon’ ที่ฉายพร้อมกับลงสตรีมมิ่ง Disney+ และฉาย ‘Godzilla v. Kong’ จากค่าย Warner Bros. ในเดือนเดียวกันด้วย

ทั้งนี้ มหานครนิวยอร์กเป็นศูนย์กลางสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการขายตั๋วภาพยนตร์ โดยมีโรงภาพยนตร์เกือบ 300 แห่ง ถือเป็นตัวขับเคลื่อนยอดขายตั๋วที่สูงเป็นอันดับสองในสหรัฐอเมริการองจาก Los Angeles ซึ่งคิดเป็น 8.9%

นอกจากนี้ นิวยอร์กซิตี้มีราคาตั๋ว และความหนาแน่นของประชากรสูงกว่าค่าเฉลี่ย ซึ่งหมายความว่าสร้างรายได้ให้กับอุตสาหกรรมมากกว่าพื้นที่อื่น ๆ ของสหรัฐอเมริกา และแคนาดา นั่นเป็นหนึ่งในเหตุผลที่สตูดิโอกระตือรือร้นที่จะผลักดันภาพยนตร์ไปตามไทม์ไลน์ และรอให้โรงภาพยนตร์ในนิวยอร์กเปิดให้คนเข้าชม

“นิวยอร์กซิตี้ถือเป็นตลาดหลักสำหรับการรับชมภาพยนตร์ในสหรัฐอเมริกา การเปิดตัวอีกครั้งทำให้เกิดความมั่นใจแก่ผู้จัดจำหน่ายภาพยนตร์ และเป็นก้าวสำคัญในการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมทั้งหมด”

CNBC / theverge

]]>
1320629
การเมืองเป็นเหตุ! Disney ตัดคำว่า “Fox” ออกจากชื่อสตูดิโอหนัง เหลือแค่ “20th Century” https://positioningmag.com/1261166 Sat, 18 Jan 2020 09:26:32 +0000 https://positioningmag.com/?p=1261166 Disney ตัดคำว่า “Fox” ออกจากชื่อ “20th Century Fox” รีแบรนด์ใหม่เหลือแค่เพียง “20th Century Studios” รวมถึงสตูดิโอโปรดักชั่นหนังที่ซื้อมาพร้อมกันคือ Fox Searchlight Pictures ก็จะตัดชื่อเหลือเพียง “Searchlight Pictures” ด้วยเช่นกัน การรีแบรนด์เหล่านี้ประเมินกันว่าเป็นเพราะต้นสังกัดเดิมคือ Fox Corporation ยังทำธุรกิจข่าวซึ่งมีความเอนเอียงทางการเมืองสูง Disney จึงไม่ต้องการติดภาพลักษณ์นั้นมาด้วย

เมื่อปี 2019 Disney เข้าซื้อสตูดิโอนี้จาก Fox Corporation มาในราคา 7.1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เป็นดีลยักษ์ที่ทำให้ Disney ได้ครอบครองโลโก้อันเป็นเอกลักษณ์แห่งฮอลลีวู้ด ผู้ผลิตภาพยนตร์มานานถึง 85 ปี ตั้งแต่ยุคภาพยนตร์เรื่อง The Sound of Music, Star Wars, Die Hard และ Alien แต่ในปี 2020 เป็นต้นไป คำว่า “Fox” จะไม่อยู่ในชื่อและโลโก้ที่เราคุ้นเคยกันอีกแล้ว

โลโก้ใหม่ของ “Searchlight Pictures” จะเริ่มใช้ครั้งแรกในภาพยนตร์ดราม่าคอมเมดี้เรื่อง Downhill ซึ่งจะเข้าโรงในวันที่ 14 กุมภาพันธ์นี้ ต่อจากนั้น โลโก้ “20th Century Studios” จะปรากฏครั้งแรกใน The Call of the Wild ภาพยนตร์แนวผจญภัยนำแสดงโดย Harrison Ford ที่จะเข้าโรงวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2020

การเปลี่ยนโลโก้และชื่อคาดการณ์กันว่าเกิดขึ้นจาก Fox Corporation เจ้าของเดิม ยังทำธุรกิจสื่ออยู่ไม่ว่าจะเป็น Fox Entertainment, Fox Sports และ Fox News ซึ่งล้วนไม่เกี่ยวข้องอะไรกับ Disney ทำให้การตัดชื่อ Fox ออกน่าจะทำให้เกิดความชัดเจนกว่า

นอกจากนี้ กลุ่ม Fox โดยเฉพาะ Fox News นั้นมีความเอนเอียงทางการเมืองชัดเจน ขณะที่ Disney มีนโยบายภาพลักษณ์เป็นกลางทางการเมืองและเป็นมิตรกับครอบครัว ทำให้การลบชื่อ Fox ออกจากแบรนด์ที่ใช้มาหลายทศวรรษอาจจะเป็นการตัดสินใจที่เข้ากับภาพลักษณ์ของ Disney มากกว่า

แต่ในอีกมุมหนึ่ง การเปลี่ยนแปลงนี้ก็อาจมีผลทางการตลาดเช่นกัน เพราะแบรนด์เป็นที่รู้จักมานาน “ชื่อของ 20th Century Fox มีรากฐานที่ลึกมากในวงการภาพยนตร์ (การเปลี่ยนชื่อ) จึงเป็นการดึงเอาประวัติศาสตร์ส่วนหนึ่งออกไปจากฮอลลีวู้ด” Leonard Martin นักวิจารณ์ภาพยนตร์ให้สัมภาษณ์กับ CNN “โลโก้นี้เป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ชมภาพยนตร์ไปแล้ว แม้แต่คนที่ไม่ใช่แฟนหนังตัวยงยังรู้จักโลโก้และเสียงประกอบที่ขึ้นมาพร้อมกันของ 20th Century Fox”

Source: CNN, The Verge

]]>
1261166
โมโน อัพเลเวลขอขึ้นเบอร์ 2 อัดหนังซีรีส์ ตปท.ลงผัง เพิ่มค่าโฆษณาขึ้น 50% https://positioningmag.com/1153913 Fri, 19 Jan 2018 03:30:31 +0000 https://positioningmag.com/?p=1153913 ร้อนแรงจริงๆ สำหรับศึกทีวีดิจิทัล ที่หลายช่องเร่งเปิดเกมทุ่มเม็ดเงิน อัดคอนเทนต์ลงผัง หวังชิงเรตติ้งและเม็ดเงินโฆษณา ล่าสุดเป็นคิวของช่องโมโน ทีวีดิจิทัลอีกช่องที่กำลังถูกจับตา หลังจากทำเรตติ้งแซงขึ้นมาเป็นอันดับ 3

สูตรสำเร็จที่ผ่านมาช่องโมโนคือภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด และซีรีส์ต่างประเทศที่ตอบโจทย์คนดูที่นิยมความบันเทิงไม่ต้องจ่ายเงินดูเพย์ทีวีเหมือนในอดีต ยิ่งในช่วงปลายปีโมโนอัดหนังต่างประเทศลงผังรายการรับกับวันหยุดยาวช่วงเทศกาลปีใหม่ ก็ยิ่งดันเรตติ้งเพิ่มสูงขึ้นจนแซงขึ้นมาเป็นอันดับ 3

เมื่อเรตติ้งเพิ่มรายได้ในปีที่แล้ว (60) ทำได้ 2,500 ล้านบาท เติบโต 40% ส่วนปีนี้ตั้งเป้าไว้ที่ 3,500 ล้านบาท มาพร้อมกับขยับค่าโฆษณา 50% เฉลี่ยทั้งวัน จากเดิม 28,000 บาท เป็น 40,000 บาท/นาที ส่วนไพรม์ไทม์เฉลี่ย 1 แสนกว่าต่อนาที

ปี 61 โมโน จึงใส่เกียร์เร่ง ควักงบ 800 ล้านบาท เพิ่มคอนเทนต์ที่เป็นภาพยนตร์และซีรีส์ต่างประเทศ รวมทั้งซีรีส์และหนังไทย ลงผังให้หนักขึ้น  เพราะนอกจากจะเป็นการตอกย้ำจุดยืน” หลักแล้ว เวลานี้คู่แข่งหลายช่องก็นำภาพยนตร์ต่างประเทศมาลงผังกันเป็นแถว โดยเฉพาะพีพีทีวี ซึ่งเคยเอาดีจากฟุตบอลต่างประเทศ ก็ประกาศจุดยืนใหม่ ขอเป็น เวิลด์คลาสทีวีอัดฉีดงบ 1 พันล้าน เพิ่มสัดส่วนคอนเทนต์บันเทิง นำภาพยนตร์และซีรีส์ต่างประเทศจากค่ายหนังฮอลลีวู้ดมาลงผังหวังดึงเรตติ้งขึ้นท็อป 10

สำหรับคอนเทนต์หลักของโมโนในปีนี้ นอกจากหนังจากฮอลลีวู้ด ทเวนตี้ เซนจูรี่ ฟ็อกซ์, วอร์เนอร์ บราเธอร์ส วอลท์ ดิสนีย์,โซนี่, ยูนิเวอร์แซล, พาราเม้าท์, ซีบีเอส ซึ่งเป็นพาร์ตเนอร์เดิมในช่วงบุกเบิกแล้ว ปีนี้ เพิ่มหนังของ ฟ็อกซ์ ดรีมเวิร์ค ไลออนส์เกต และบาสเก็ตบอลเอ็นบีเอ

หนังที่เพิ่มเติมใหม่ในปีนี้ คือพรีเมียม บล็อกบัสเตอร์ ไทยแลนด์ พรีเมียร์ หนังฮออลีวู้ด มาออกอากาศที่โมโนเป็นที่แรก เดือนละ 1-2 เรื่อง เฉลี่ยต่อปีมีหนัง 4 พันเรื่อง ปีนี้จะมีเพิ่มอีก 400-500 เรื่องต่อปี

“ซีรีส์ก็เช่นกัน จะมีซีรีส์ใหม่ฉายพร้อมอเมริกาเข้ามาเพิ่มจากทุกค่าย รวมทั้งซีรีส์ ออนแอร์พร้อมอเมริกา รวมเบ็ดเสร็จ 200 เรื่อง เท่ากับ 4 พันชั่วโมง จึงมีรีรันน้อยมาก เพราะแอรไทม์ไม่พอ บรรณสิทธิ์ รักวงษ์  ผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์ช่อง MONO29

ทำให้ภาพรวมคอนเทนต์ในปีนี้ ภาพยนตร์และซีรีส์ต่างประเทศ 70% ( หนัง 40% ซีรีส์ 30%) ส่วนอีก 30% เป็นคอนเทนต์ที่ผลิตเอง ไทยซีรีส์  เช่น ตำนานสมเด็จพระนเรศวร ภาค 2-6  ตี๋ใหญ่ภาค 2 รวมทั้งรายการ วาไรตี้บันเทิง และข่าว ที่จะปรับผังใหม่ ลดเวลาข่าวเช้าลง 40 นาที (เดิมออกอากาศตี 5- 7.45) มาออกอากาศในช่วงกลางวันของวันธรรมดาและเสาร์อาทิตย์

ที่ขาดไม่ได้ คือ แคมเปญการตลาดเพื่อดึงดูดคนดูให้ดูหนังแล้ว ลุ้นโชค  ปีนี้จัดขึ้นภายใต้คอนเซ็ปต์ “MONO29 World Trip 2018” พาไปเดินทางไปเที่ยวรอบโลก 10 ทริป

เมื่อ เรตติ้งได้ รายได้มา แถมยังอัดคอนเทนต์หนังและซีรีส์เต็มที่ งานนี้โมโน เลยประกาศขอตั้งเป้าขอขึ้นเป็นอันดับ 2 เบียดเบอร์ใหญ่อย่างช่อง 3

เป้าหมายของเราไม่ได้หยุดแค่อันดับ 3 แต่ต้องการขึ้นอันดับ 2 มั่นใจว่าเป็นไปได้ เพราะถ้าวิเคราะห์ด้วยบิ๊กดาต้า พบว่ายังมีช่องวางอีกพอสมควรที่จะทำให้เราดึงเรตติ้งขึ้นได้ เช่น วันเสาร์และอาทิตย์ช่วงเช้า รวมทั้งเวลาช่วงเย็นๆ บ่ายๆ ยังมีช่องว่างทำได้นวมินทร์ ประสพเนตร ผู้ช่วยประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่การตลาด บมจ. โมโน เทคโนโลยี  และกรรมการผู้จัดการบริษัท โมโน บรอดคาซท์ จำกัด กล่าว

สัดส่วนคอนเทนต์

  • ภาพยนตร์ต่างประเทศ 40%
  • ซีรีส์ต่างประเทศ 30%
  • ซีรีส์ไทย วาไรตี้ ข่าว 30%
  • รายได้ปี 2560 2,500 ล้านบาท เติบโต 40%
  • รายได้ปี 2561 3,500 ล้านบาท
  • งบลงทุนคอนเทนต์ 800 ล้านบาท

ค่าโฆษณาโมโนปี 2561

  • เฉลี่ยทั้งวัน ปรับเพิ่มจาก 28,000 บาท เป็น 40,000 บาท
  • ช่วงไพรม์ไทม์ 100,000 บาท 
]]>
1153913