มหาเศรษฐี – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Wed, 08 Oct 2025 15:45:34 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ครึ่งปีแรกจำนวน ‘มหาเศรษฐี’ เพิ่มขึ้นกว่า 5 แสนคน และภายใน 15 ปี เศรษฐี ‘อายุน้อย’ จะครอง 1 ใน 3 ความมั่งคั่งทั้งหมด https://positioningmag.com/1541831 Wed, 08 Oct 2025 04:05:34 +0000 https://positioningmag.com/?p=1541831 จากรายงานของบริษัทวิเคราะห์ความมั่งคั่ง Altrata ระบุว่า ช่วงครึ่งปีแรก จำนวนบุคคลที่มีความมั่งคั่งสูงเป็นพิเศษ (Ultra-High-Net-Worth Individuals หรือ UHNWI) ซึ่งหมายถึง ผู้ที่มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิอย่างน้อย 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ได้เพิ่มขึ้นถึง 510,810 คน ทั่วโลก (+5.4%) ที่น่าสนใจคือ กลุ่มเศรษฐีอายุน้อยใน Gen Y และ Gen Z คาดว่าจะมีจำนวนถึง 1 ใน 3 ของมหาเศรษฐีทั้งหมดใน 15 ปีข้างหน้า

ปัจจุบัน กลุ่ม Gen Y และ Gen Z มีสัดส่วนเพียง 8% ของจำนวนมหาเศรษฐีทั้งหมด ซึ่งมีความมั่งคั่งสุทธิรวมกันถึง 59.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่กลุ่ม Baby Boomer ยังคงครองสัดส่วนมากที่สุดที่เกือบ 45% และกลุ่มคนที่เกิดในปี 1945 หรือก่อนหน้านั้นคิดเป็นอีก 22% อย่างไรก็ตาม สัดส่วนนี้กำลังจะเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากปรากฏการณ์การถ่ายโอนความมั่งคั่งครั้งใหญ่ (Great Wealth Transfer)

โดย Altrata ประเมินว่า ภายในปี 2040 สัดส่วนของกลุ่ม Gen Y และ Gen Z จะเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 1 ใน 3 ของประชากรอภิมหาเศรษฐี ทั้งหมด ในขณะที่สัดส่วนของกลุ่ม Baby Boomer และ Silent Generation จะลดลงจากกว่า 2 ใน 3 เหลือเพียง 1 ใน 5 เท่านั้น และกลุ่ม Gen X จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำด้วยสัดส่วน 45%

Maeen Shaban ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและวิเคราะห์ของ Altrata ให้ความเห็นกับ Inside Wealth ว่า ส่วนหนึ่งของการเติบโตอย่างรวดเร็วนี้มาจากการใช้ ทรัสต์ (Trusts) และ สำนักงานครอบครัว (Family Offices) ที่เพิ่มขึ้นในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เพื่อ ถ่ายโอนความมั่งคั่งไปยังทายาทในวัยที่อายุน้อยลง นั่นหมายความว่า คนหนุ่มสาวสามารถเข้าถึงความมั่งคั่งนั้นได้ โดยที่ไม่ต้องรอให้ผู้ก่อตั้งเสียชีวิต

โดย ความแตกต่าง ระหว่าง มหาเศรษฐีรุ่นใหม่และรุ่นใหญ่ คือ ประเภทของ อุตสาหกรรมที่สร้างความมั่งคั่ง โดย 

  • 15% ของมหาเศรษฐีอายุน้อย สร้างความมั่งคั่งจาก อุตสาหกรรมการบริการและความบันเทิง ในขณะที่เศรษฐีรุ่นใหญ่สร้างความมั่งคั่งจากอุตสาหกรรมนี้มีสัดส่วนต่ำกว่า 5%
  • เศรษฐีรุ่นใหม่กือบ 9% ที่สร้างความมั่งคั่งจาก อุตสาหกรรมเทคโนโลยี เป็นอุตสาหกรรมหลัก ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูงกว่ากลุ่ม Baby Boomer ถึง สองเท่า 
  • อุตสาหกรรมการเงิน ยังคงเป็นอุตสาหกรรมที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในทุกช่วงวัย  แต่สำหรับคนรุ่นใหม่ที่สร้างความมั่งคั่งจากอุตสาหกรรมนี้ มีสัดส่วน ไม่ถึง 20% ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยถึง 10%

ความแตกต่างเหล่านี้สะท้อนถึงการที่ บริษัทเทคโนโลยีสร้างเศรษฐีเงินล้าน รวมถึงการเป็น อินฟลูเอนเซอร์และคนดัง สามารถสร้างรายได้จากโซเชียลมีเดีย

Couple women are relaxing,talking and celebrating their success project on yacht boat in the ocean with happiness and cheerful

อีกความแตกต่างก็คือ พฤติกรรมการใช้เงิน โดยคนรุ่นใหม่ ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับงานการกุศล (philanthropy) แต่จะให้ความสำคัญกับ อสังหาฯ และสินทรัพย์หรูหรา ซึ่งคิดเป็นเกือบ 1 ใน 4 ของความมั่งคั่งของพวกเขา ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ มหาเศรษฐีวัยรุ่นเหล่านี้มักจะบริหารธุรกิจที่อาจขาดสภาพคล่อง (Illiquid Assets) ทำให้มีเวลา และเงินสดเหลือน้อยลงที่จะใช้ไปกับงานการกุศล ดังนั้น ในพอร์ตการลงทุนของคนรุ่นใหม่ จะมีสัดส่วนลงทุนภาคอสังหาริมทรัพย์มากกว่า

“พวกเขาอยู่ในช่วงของการซื้อทรัพย์สินมากกว่าคนรุ่นก่อน ๆ พวกเขายังคงซื้อของ สำหรับบางคน พวกเขากำลังซื้อบ้านหลังแรก รถหรูคันแรก บ้านพักตากอากาศหลังแรก หรืออะไรก็ตาม มันเป็นวัฏจักรชีวิตที่แตกต่างกัน”

Maya Imberg หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์และการวิเคราะห์ของ Altrata ระบุว่า การเปลี่ยนแปลงนี้ อาจส่งผลกระทบอย่างมากต่อบริษัทที่ให้บริการกลุ่มอภิมหาเศรษฐี ตั้งแต่ผู้จัดการความมั่งคั่ง ตัวแทนจำหน่ายงานศิลปะ ไปจนถึงองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร เพราะความชอบของคนแต่ละ Gen นั้นไม่เหมือนกัน

“รถที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจะมีความสำคัญขึ้นไหม? Gen Z จะยังอยากได้เรือยอชต์ไหม? ความชอบที่เปลี่ยนไปจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อธุรกิจเหล่านั้น ดังนั้น พวกเขาต้องคิดล่วงหน้า เพราะระยะเวลา 15 ปีนั้นไม่ได้นานเลย” Imberg ทิ้งท้าย

Source

]]>
1541831
‘ดูไบ’ มีอะไรดี ทำไมคน (รวย) ชอบไปอยู่? https://positioningmag.com/1537022 Sun, 07 Sep 2025 13:56:05 +0000 https://positioningmag.com/?p=1537022 ดูไบ ไม่ใช่ประเทศ แต่เป็นหนึ่งในรัฐของ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หรือ UAE และถือเป็นศูนย์ กลางทางธุรกิจที่สำคัญของประเทศ โดยเป็นศูนย์กลางการค้าระหว่างประเทศที่สำคัญ มีท่าเรือและสนามบินที่ทันสมัยและใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ทำให้เป็นจุดเชื่อมต่อการค้าและการขนส่งสินค้าที่สะดวก

ดูไบ ไม่ได้รวยจาก น้ำมัน อย่างที่หลายคนคิด แต่น้ำมันสร้างรายได้ให้กับดูไบเพียง 5% เท่านั้น จากรายได้ทั้งหมด รายได้หลักของดูไบมาจากธุรกิจและการท่องเที่ยวเป็นหลัก ส่วนอีก 20% เป็นการลงทุนจากต่างประเทศ

ดูไบ ไม่มีการจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และภาษีรายได้จากธุรกิจส่วนใหญ่ก็เก็บใน อัตราที่ต่ำ โดยถ้าเป็นเจ้าของธุรกิจที่มีรายได้รวมผลกำไรไม่เกิน 3.3 ล้านบาท ไม่ต้องเสียภาษี ถ้าเกินก็เสียภาษีเพียง 9% เท่านั้น ส่วน VAT ที่ดูไบอยู่ที่ 5% 

นอกจากนี้ ดูไบยังมีการจัดตั้ง Free Zone หลายแห่งที่อนุญาตให้นักลงทุนต่างชาติสามารถถือครองธุรกิจได้ 100% โดยไม่มีข้อจำกัด และสามารถโอนเงินทุนและกำไรกลับประเทศได้โดยไม่มีการควบคุม และมีการออก Golden Visa เพื่อดึงดูดนักลงทุนที่มีศักยภาพสูง ผู้ประกอบการ และผู้มีความสามารถพิเศษให้เข้ามาอยู่อาศัยและทำงานในประเทศ ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่ดูไบจะดึงดูดทั้งแรงงาน และนักลงทุนและคนรวยที่ต้องการย้ายถิ่นฐาน

ที่สำคัญคือ ดูไบแทบไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนกับประเทศใด รวมถึงอัตราการเก็บภาษีที่ต่ำ ทำให้ดูไบเป็นหนึ่งในศูนย์กลางของเศรษฐีที่มั่งคั่งจากธุรกิจสีเทา รวมถึงเป็นปลายทางจากเหล่าผู้ต้องหาจากประเทศอื่น ๆ ทำให้ปัจจุบันดูไบเป็นเมืองที่ต้องต่อสู้กับการฟอกเงินอย่างมหาศาล และทางสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ก็พยายามจะแก้ไขอยู่

นอกจากนี้ เป็นเมืองที่มีอัตราการเกิดอาชญากรรมต่ำมาก และมีเสถียรภาพทางการเมืองสูง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติ อีกทั้งยังมีการลงทุนอย่างมหาศาลในการพัฒนาระบบสาธารณูปโภค การคมนาคม และเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุด อีกทั้งยังมีบริการทางการแพทย์ที่มีคุณภาพสูง

ในส่วนของการท่องเที่ยวก็น่าสนใจ เพราะมีตึกที่สูงที่สุดในโลก คือ เบิร์จคาลิฟา มีโรงแรมหรู และมีห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เช่น The Dubai Mall ที่มีร้านค้ากว่า 1,200 ร้าน ร้านอาหาร โรงแรม และพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ หรือ Mall of the Emirates ที่เป็นห้างที่มีขนาดใหญ่เช่นกัน มีร้านค้ามากมาย และยังเป็นที่ตั้งของลานสกีในร่ม

]]>
1537022
Oxfam ชี้มหาเศรษฐีโลกมีแต่รวยขึ้น และส่วนใหญ่รวยจากมรดก และระบบพวกพ้อง https://positioningmag.com/1513908 Fri, 07 Mar 2025 05:57:32 +0000 https://positioningmag.com/?p=1513908 เราจะเห็นมหาเศรษฐีหลายต่อหลายคนมักจะบอกว่า หากอยากประสบความสำเร็จในชีวิตและมีฐานะร่ำรวยต้องขยันและพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ แต่ CNBC ได้เปิดเผยถึงรายงาน Billionaire wealth surged in 2024 ของ Oxfam พบว่า 

 

ปัจจุบันบรรดามหาเศรษฐีโลกที่คิดเป็น 1% ของประชากรโลก ถือครองทรัพย์สินทั่วโลกในสัดส่วนถึง 45% และ ‘เพียงปีเดียว’ พวกเขามีความมั่งคั่งรวมเติบโตขึ้นจาก 13 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็น 15 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ

 

โดยในปี 2024 ความมั่งคั่งของเหล่ามหาเศรษฐีเพิ่มขึ้นถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 5.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ต่อวัน ซึ่งความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวมีอัตราเร็วกว่าปีก่อนถึง 3 เท่า หรือเฉลี่ยแล้วมีมหาเศรษฐีเกิดใหม่ 4 คนต่อสัปดาห์

 

ในทางกลับกัน ผ่านไป 34 ปี หรือนับตั้งแต่ปี 1990 ‘คนจน’ ที่เป็นประชากร 44% ของโลก ซึ่งต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดด้วยรายได้ต่ำกว่าเส้นแบ่งความยากจนที่ธนาคารโลกกำหนดไว้ที่ 6.85 ดอลลาร์ต่อวัน หรือประมาณ 230 บาทต่อวัน แทบไม่ลดลงเลย 

 

รายงานดังกล่าวของ Oxfam ยังระบุว่า ความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นของบรรดามหาเศรษฐีโลก 60% มาจากมรดก, การผูกขาด, อิทธิพลจากความสัมพันธ์หรือระบบพวกพ้อง 

 

นอกจากนี้ ยังคาดการณ์ว่า จากความมั่งคั่งที่เติบโตเร็วเกินการคาดการณ์ของบรรดามหาเศรษฐีโลก จะทำให้มีจำนวนมหาเศรษฐีเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 5 ล้านล้านคนในอีก 10 ปีข้างหน้าโดย 36% ของมหาเศรษฐีเหล่านี้ได้รับความร่ำรวยมาจากมรดกของบรรพบุรุษ 

 

ที่มา

 

https://www.cnbc.com/2025/01/20/oxfam-inequality-report-billionaire-wealth-surges-by-2-trillion.html

]]>
1513908
สวรรค์เศรษฐี “ดูไบ” จ่อดึงคนมีฐานะย้ายประเทศเพิ่มอีก หลังพรรคแรงงานชนะเลือกตั้งอังกฤษ https://positioningmag.com/1484411 Tue, 30 Jul 2024 06:43:39 +0000 https://positioningmag.com/?p=1484411 วิจัยพบ “ดูไบ” เมืองหลวง UAE มีโอกาสเป็นแหล่งดึงดูด “เศรษฐี” ย้ายประเทศเข้าไปพำนักเพิ่มขึ้นมากที่สุดในโลกต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ในขณะที่ “สหราชอาณาจักร” น่าจะได้เห็นเศรษฐีย้ายออกราว 17% ภายใน 4 ปี หลังพรรคแรงงานชนะเลือกตั้งและน่าจะออกนโยบายที่ไม่เอื้อต่อคนมีฐานะ

รายงาน Henley Private Wealth Migration เปิดเผยว่า สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) มีโอกาสเป็นประเทศที่สามารถดึงดูด “เศรษฐี” ย้ายถิ่นฐานเข้าไปพำนักเพิ่มขึ้นมากที่สุดในโลกเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน

ขณะเดียวกัน Swiss Bank UBS คาดการณ์ว่า “สหราชอาณาจักร” น่าจะเห็นการย้ายออกของเศรษฐีราวๆ 17% ภายในปี 2028 จากปัจจุบันมีเศรษฐีกว่า 3.06 ล้านคน เชื่อว่าใน 4 ปีจะลดเหลือ 2.54 ล้านคนเท่านั้น

เนื่องจากกลุ่มผู้มีความมั่งคั่งสูง หรือ High-Net Worth Individuals: HNWIs มักจะตัดสินใจลงหลักปักฐานด้วยสิทธิประโยชน์เรื่อง “ภาษี” เป็นหลัก ทำให้นโยบายปลอดภาษีของ “ดูไบ” กลายเป็นสวรรค์เศรษฐีกลางทะเลทราย

กรุงลอนดอน

ตรงกันข้ามกับสหราชอาณาจักร ซึ่งเพิ่งผ่านการเลือกตั้งและกลายเป็นพรรคแรงงานที่กำชัยชนะในครั้งนี้ ทำให้มีแนวโน้มว่าต่อไปรัฐบาลอังกฤษอาจจะออกนโยบายที่ไม่เอื้อต่อผลประโยชน์ของเศรษฐี

Karim Jetha นักลงทุนรายหนึ่งที่ย้ายออกจากสหราชอาณาจักรไปยัง UAE ให้สัมภาษณ์กับ CNBC ว่า การเลือกย้ายประเทศไปอยู่ใน UAE แทนนั้นมีทั้งแรงผลักและแรงดึงดูด โดยแรงผลักสำคัญคือ “ภาษี” ที่น่าจะปรับขึ้นในอังกฤษหลังพรรคแรงงานชนะเลือกตั้ง เช่น นโยบายหาเสียงของพรรคแรงงานมีการกล่าวถึงการเก็บภาษี VAT กับโรงเรียนเอกชน ซึ่งจะทำให้ค่าเทอมพุ่งขึ้น 20% ทันที ส่วนแรงดึงดูดจาก UAE เกิดจากการดูแลให้ประเทศมีความปลอดภัยสูงในการอยู่อาศัย และปฏิรูปวีซ่าเพื่อให้การย้ายประเทศเกิดง่ายขึ้น

รายงานของ Henley คาดการณ์ว่า UAE จะมีเศรษฐีใหม่ย้ายเข้าประเทศกว่า 6,700 คนภายในสิ้นปี 2024 ทิ้งห่างอันดับ 2 คือ “สหรัฐอเมริกา” ที่คาดว่าจะมีเศรษฐีย้ายเข้าราว 3,800 คนในสิ้นปีนี้

ดูไบ (Photo : Shutterstock)

รายงานฉบับนี้นำเสนอว่าเหตุที่เศรษฐีนิยมย้ายไป UAE เพราะปัจจัยเรื่องไม่เก็บภาษีเงินได้ มีระบบ “Golden Visa” ไลฟ์สไตล์ลักชัวรี และทำเลที่ตั้งสะดวกในการเดินทางไปทั่วโลก

Golden Visa ของ UAE นั้นมีส่วนสำคัญมากในการดึงดูด เพราะการได้วีซ่านี้หมายถึงสิทธิพำนักถาวรในประเทศ และอนุญาตให้ชาวต่างชาติอาศัย ทำงาน และเรียนในประเทศได้ตามต้องการ

Sunita Singh-Dalal พาร์ทเนอร์บริษัท Hourani Private Wealth & Family Offices ในดูไบ กล่าวเสริมว่า ระบบนิเวศในการจัดการความมั่งคั่งของ UAE มีการพัฒนาสูงมากในช่วง 5 ปีหลังมานี้ โดยมีการสร้างโซลูชันเพื่อทำให้การป้องกัน เก็บรักษา และต่อยอดความมั่งคั่งของผู้มีฐานะทำได้อย่างเป็นระบบมากขึ้น

UAE สร้างแรงดึงดูดจากโครงสร้างพื้นฐานในประเทศด้วย เช่น ระบบโรงเรียนอินเตอร์แข็งแรง ปราบปรามอาชญากรรมให้อยู่ในอัตราต่ำ และบรรยากาศเมืองที่ทันสมัย

ปัจจุบันเศรษฐีส่วนใหญ่ที่ย้ายไปอยู่ “ดูไบ” มักจะมาจากอินเดีย ตะวันออกกลาง รัสเซีย และทวีปแอฟริกา แต่ในระยะหลังพบว่าเศรษฐีอังกฤษและยุโรปก็เริ่มนิยมย้ายไปอยู่แล้วเช่นกัน

เหตุผลเพราะแต่เดิมภาษีอสังหาริมทรัพย์ของอังกฤษนับว่าไม่จูงใจเศรษฐีอยู่แล้ว ด้วยการเก็บภาษีอสังหาฯ สูงถึง 40% หากครอบครองอสังหาฯ ในราคามากกว่า 325,000 ปอนด์ (ประมาณ 15 ล้านบาท) และอนาคตอันใกล้ รัฐบาลอังกฤษยังเตรียมยกเลิกนโยบายไม่เก็บภาษีเงินได้ผู้พำนักอาศัยหากได้มาจากแหล่งรายได้นอกประเทศ (non-dom tax) โดยจะเริ่มปี 2025 แถมพรรคแรงงานยังมีนโยบายเก็บภาษีโรงเรียนเอกชนซึ่งจะทำให้ค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาบุตรหลานเพิ่มขึ้น

ปัจจัยการรีดภาษีผู้มีฐานะ ทำให้ “เศรษฐี” เหล่านี้เตรียมเก็บกระเป๋าและย้ายประเทศไปอยู่ดูไบมากยิ่งขึ้น

Source

]]>
1484411
‘ฮ่องกง’ ปูพรมแดงรอรับ ‘เศรษฐีจีน’ กลับประเทศ หลัง ‘สิงคโปร์’ เริ่มตรวจสอบเงินชาวต่างชาติจากคดีการ ‘ฟอกเงิน’ https://positioningmag.com/1481939 Tue, 09 Jul 2024 05:51:10 +0000 https://positioningmag.com/?p=1481939 จากที่รัฐบาลจีนกำลังเข้มงวดกับการปราบปรามการ หนีภาษี ของบรรดา เศรษฐี รวมถึงการป้องกันทรัพย์สินจากนโยบาย Common Prosperity เพื่อลดความไม่เท่าเทียม ทำให้ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เศรษฐีจีนจึงย่องออกนอกประเทศ โดย สิงคโปร์ เป็นหนึ่งในปลายทางยอดนิยม

โดยจากรายงานของ Henley & Partners บริษัทที่ปรึกษาด้านการลงทุนและการย้ายถิ่นฐาน เผยว่า ในปีที่ผ่านมา เศรษฐีจีน ที่มีรายได้อย่างน้อย 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 36.7 ล้านบาท) อพยพออกนอกประเทศถึง 13,800 คน ทำให้จีนเป็นประเทศที่มีจำนวนเศรษฐีไหลออกนอกประเทศมากสุดในโลก และในปี 2024 นี้ คาดว่าจะพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 15,200 คน

โดย สิงคโปร์ ถือเป็นปลายทาง Top 3 ที่เศรษฐีจีนย้ายไปอยู่มากที่สุด นอกเหนือจากสหรัฐอเมริกาและแคนาดา เนื่องจากรัฐออกมาตรการดึงดูดหลายประการ เช่น การลดหย่อนภาษีสำนักงานครอบครัว, โปรแกรมวีซ่าและจัดหาถิ่นที่อยู่ นอกจากนี้ ประชากรส่วนใหญ่ของสิงคโปร์ยังเป็นคนเชื้อสายจีนอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากคดีฟอกเงินมูลค่า 3 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ และมีความผิดฐานพัวพันกับการพนันออนไลน์ ซึ่งสร้างความฮือฮาให้กับสำนักงานธุรกิจครอบครัว (Family Office) ซึ่งเป็นบริษัทที่ทำหน้าที่บริหารจัดการทรัพย์สินของครอบครัวที่สิงคโปร์ในอนาคต ทำให้มีมาตรการคุมเข้มเพื่อป้องกันการฟอกเงิน ส่งผลให้ลูกค้าบางส่วนไม่อยากมาใช้บริการสำนักงานธุรกิจครอบครัว เพราะหงุดหงิดกับกระบวนการและคำถามที่ถูกถาม

“สำหรับมหาเศรษฐีบนแผ่นดินใหญ่หลายคน เพราะพวกเขาไม่ชอบการแทรกแซงของรัฐบาลตามอำเภอใจ การตรวจสอบของรัฐบาล หรือการคุกคามต่อความมั่งคั่งส่วนบุคคลของพวกเขา นั่นคือเหตุผลที่พวกเขาต้องการย้ายเงินออกจากจีน หากสิงคโปร์จะตรวจสอบและกฎระเบียบที่เข้มงวดมากขึ้นเช่นเดียวกับแผ่นดินใหญ่ แล้วทำไมพวกเขาถึงอยากไปที่นั่น?” Zhiwu Chen ศาสตราจารย์ด้านการเงินของมหาวิทยาลัยของฮ่องกง กล่าว

ส่งผลให้คาดว่า ฮ่องกง จะได้อ้าแขนรับเศรษฐีจีนกลับมาประมาณ 200 คนในปีนี้ เนื่องจาก ธุรกิจในฮ่องกงกำลังฟื้นตัว โดยในปี 2023 ที่ผ่านมา สินทรัพย์ภายใต้การบริหารของฮ่องกงเติบโต 2.1% เป็น 31 ล้านล้านดอลลาร์ฮ่องกง (5.4 ล้านล้านดอลลาร์สิงคโปร์)

“ผมเริ่มเห็นมหาเศรษฐีที่เริ่มเข้าไปสร้างธุรกิจสำนักงานครอบครัวในฮ่องกงมากขึ้น หลังธุรกิจของธนาคารเอกชนในจีนฟื้นตัวขึ้น ในขณะที่การเติบโตของกลุ่มเดียวกันในสิงคโปร์ชะลอตัวลง ซึ่งหมายความว่าเงินจะย้ายไปสิงคโปร์น้อยลง”

อีกจุดที่เป็นข้อบ่งชี้ว่าเงินของเศรษฐีจีนที่จะไปสิงคโปร์ตอนนี้มุ่งหน้าไปยังฮ่องกงก็คือ ยอดขายผลิตภัณฑ์ประกันภัย ยอดนิยมของชาวจีนผู้มั่งคั่งจากแผ่นดินใหญ่ ซึ่งเพิ่มขึ้น 63% เป็น 1.56 หมื่นล้านดอลลาร์ฮ่องกง ในไตรมาสแรก เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2023

ขณะที่ พอล ชาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยในเดือนนี้ว่า ในปีที่ผ่านมา กระแสเงินไหลเข้าสุทธิของกองทุนพุ่งสูงขึ้น มากกว่าสามเท่า เป็นเกือบ 3.9 แสนล้านดอลลาร์ฮ่องกง จากที่ในปี 2022 กระแสเงินไหลเข้าของกองทุนความมั่งคั่งและธนาคารส่วนตัวลดลงประมาณ 80%

 

Source

]]>
1481939
‘เจฟฟ์ เบโซส์’ ผู้ก่อตั้ง ‘Amazon’ ประกาศจะ “บริจาคทรัพย์สินส่วนใหญ่” ให้การกุศลหากเสียชีวิต https://positioningmag.com/1408474 Tue, 15 Nov 2022 12:02:17 +0000 https://positioningmag.com/?p=1408474 ดูเหมือนเหล่ามหาเศรษฐีของโลกจะเริ่มวางแผนที่จะ ‘บริจาคทรัพย์สิน’ ให้กับองค์กรการกุศลกันแล้ว อาทิ ‘บิล เกตส์’ อภิมหาเศรษฐีร่ำรวยติดอันดับต้นของโลก และเป็นผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟท์ ได้วางแผนบริจาคทรัพย์สินมากกว่า 700,000 ล้านบาทให้กับการกุศล ล่าสุด ก็มาถึงคิวของ เจฟฟ์ เบโซส์ (Jeff Bezos) ผู้ก่อตั้ง Amazon

เจฟฟ์ เบโซส์ ผู้ก่อตั้ง Amazon ยักษ์ใหญ่แห่งอีคอมเมิร์ซ และเป็นผู้ที่ครองตำแหน่งมหาเศรษฐีเบอร์ 2 ของโลก ได้เปิดเผยว่า เขาและแฟนสาว ลอเรน ซานเชซ (Lauren Sanchez) เตรียมจะ บริจาคทรัพย์สินส่วนใหญ่ ให้กับการกุศล อาทิ การใช้เพื่อพัฒนาด้านสภาพแวดล้อมและสังคม แม้จะไม่ได้ระบุจำนวนทรัพย์สินที่ชัดเจน แต่ปัจจุบัน เจฟฟ์ เบโซส์ มีทรัพย์สินราว 1.24 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 4.4 ล้านล้านบาท

“ส่วนที่ยากคือ การหาวิธีทำมัน ซึ่งมันไม่ง่ายอย่างที่คิด อย่างการสร้าง Amazon ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องใช้ความพยายามอย่างมากและเราต้องมีเพื่อนร่วมทีมที่ฉลาดมาก การบริจาคทรัพย์สินเพื่อการกุศลก็เช่นกัน มันไม่ง่าย มันยากจริง ๆ”

ย้อนไปปี 2021 ที่ผ่านมา เจฟฟ์ เบโซส์ ได้ลาออกจากตำแหน่งซีอีโอของ Amazon โดยให้เหตุผลว่าต้องการใช้เวลาให้กับงานการกุศลและโครงการอื่น ๆ มากขึ้น โดยเขาได้จัดตั้งกองทุน Bezos Earth Fund พร้อมบริจาคเงินมูลค่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ให้เป็นเงินตั้งต้นเพื่อต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นอกจากนี้ เขาบริจาคเงิน 510.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อการกุศลอื่น ๆ นอกจากนี้ เขาเพิ่งบริจาคเงิน 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐให้กับ Dolly Parton นักร้องที่มีส่วนในการช่วยสร้างวัคซีน Moderna เพื่อต่อสู้กับ COVID-19

อย่างไรก็ตาม ในอดีต เจฟฟ์ เบโซส์ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า ไม่ลงนามในแคมปญ Give Pledge ซึ่งเป็นแคมเปญที่ริเริ่มโดย Bill Gates, Melinda French Gates และ Warren Buffet เพื่อสนับสนุนให้มหาเศรษฐีบริจาคความมั่งคั่งส่วนใหญ่ผ่านการทำบุญ ขณะที่ แม็คเคนซี สก็อตต์ อดีตภรรยาของเขาที่หย่าร้างกันในปี 2019 ได้บริจาคเงินเพื่อการกุศลอย่างมหาศาล โดยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เธอมอบเงินมากกว่า 1.2 หมื่นล้านดอลลาร์ให้กับวิทยาลัย, มหาวิทยาลัย, กลุ่มสิทธิสตรี และองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรอื่น ๆ

Source

]]>
1408474
‘บิล เกตส์’ วางแผน ‘บริจาคทรัพย์สินทั้งหมด’ เพื่อการกุศล https://positioningmag.com/1392849 Sun, 17 Jul 2022 07:42:31 +0000 https://positioningmag.com/?p=1392849 ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินมักแนะนำให้เราควรระมัดระวังในการจัดสรรเงินเพื่อไม่ให้เงินหมด แต่สำหรับมหาเศรษฐีอันดับ 4 ของโลกอย่าง บิล เกตส์ (Bill Gates) กลับมีเป้าหมายในการ บริจาคเงินให้หมด

บิล เกตส์ ผู้ร่วมก่อตั้ง Microsoft ได้เปิดเผยว่า เขาได้บริจาคเงิน 2 หมื่นล้านเหรียญ หรือราว 7.3 แสนล้านบาท ให้กับมูลนิธิ Bill & Melinda Gates พร้อมกับระบุว่า เขาจะ บริจาคทรัพย์สินทั้งหมด ให้กับมูลนิธิ แม้ว่าชื่อเขาจะหลุดออกจากตำแหน่งบุคคลที่มั่งคั่นที่สุดในโลกก็ตาม

“ผมมีภาระผูกพันที่จะคืนทรัพยากรของผมสู่สังคม เพื่อบรรเทาความทุกข์ยากของผู้คน รวมถึงพัฒนาคุณภาพชีวิตของพวกเขา และผมหวังว่ามหาเศรษฐีคนอื่น ๆ จะช่วยบริจาคเพิ่มมากขึ้นข้อความที่บิล เกตส์ประกาศผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัว

นับตั้งแต่ปี 1994 บิล เกตส์ และอดีตภรรยา เมลินดา เฟรนช์ เกตส์ ได้บริจาคเงินกว่า 5 หมื่นล้านเหรียญ และถ้าเขาต้องการบริจาคทรัพย์สินทั้งหมด แปลว่าเขาจะบริจาคทรัพย์สินถึง 1.13 แสนล้านเหรียญ จากการประเมินทรัพย์สินทั้งหมดในปัจจุบันของเขาโดยบลูมเบิร์ก

สำหรับมูลนิธิ Bill & Melinda Gates ได้ก่อตั้งขึ้นในปี 2000 โดยมีวัตถุประสงค์ในการค้นหาแนวทางแก้ไขปัญหาระดับโลก เช่น โรคภัยไข้เจ็บ ความยากจน การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพและการศึกษา

บิล เกตส์ ระบุว่า มูลนิธิของเขาวางแผนที่จะเพิ่มการใช้จ่ายประจำปีอีกราว 50% จากประมาณ 6 พันล้านเหรียญเป็น 9 พันล้านเหรียญ ภายในปี 2026 เพื่อเป็นทุนในการวิจัยและพัฒนาในการป้องกันโรคระบาดในอนาคต บรรเทาการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ และลดการเสียชีวิตของเด็กจากโรคที่ป้องกันได้

“ตอนนี้เป็นที่ชัดเจนว่าความต้องการในทุกพื้นที่ที่เราทำงานมีมากขึ้นกว่าที่เคย เพราะในสมัยของเรามีวิกฤตครั้งใหญ่จำนวนมาก และเราต้องการให้ทุกคนทำมากกว่านี้ นับตั้งแต่การระบาดใหญ่ของ COVID-19 และการรุกรานยูเครนของรัสเซีย ถือเป็นการพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ของโลก”

Source

]]>
1392849
‘ฟอร์บส์’ จัดอันดับมหาเศรษฐีโลก ‘อีลอน มัสก์’ ครองเบอร์ 1 ส่วน ‘เจ้าสัวธนินท์’ ติดอันดับ 137 https://positioningmag.com/1380674 Wed, 06 Apr 2022 05:00:05 +0000 https://positioningmag.com/?p=1380674 เป็นประจำทุกปีที่นิตยสารระดับโลกอย่าง ฟอร์บส์ ได้จัดอันดับ มหาเศรษฐีโลก (The World’s Billionaires) ที่มีทรัพย์สินมากกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 33,000 ล้านบาท โดยที่น่าสนใจคือ จำนวนมหาเศรษฐีปีนี้ลดลง เนื่องจากปัญหาสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน

สำหรับมหาเศรษฐีในปี 2565 นี้ มีจำนวนลดลงกว่าปีที่แล้ว 87 คน แม้จะมีเศรษฐีหน้าใหม่เพิ่มขึ้น 236 ราย ก็ตาม ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากภาวะสงคราม, โรคระบาด และตลาดที่ซบเซา ขณะที่มหาเศรษฐีที่ติดอันดับเหล่านี้มีทรัพย์สินรวมกันมูลค่า 12.7 ล้านล้านดอลลาร์ ลดลงกว่าในปี 2564 ถึง 400,000 ล้านดอลลาร์ โดยในประเทศรัสเซีย มีมหาเศรษฐีลดลง 34 คนจากปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม เศรษฐีพันล้านจำนวนกว่า 1,000 คนก็มีฐานะร่ำรวยขึ้น

สหรัฐอเมริกายังคงเป็นผู้นำของโลก โดยมีมหาเศรษฐี 735 คน ซึ่งมีมูลค่ารวม 4.7 ล้านล้านดอลลาร์ ส่วน ประเทศจีน (รวมถึงมาเก๊าและฮ่องกง) ยังคงเป็นที่สอง โดยมีมหาเศรษฐี 607 คน มูลค่ารวม 2.3 ล้านล้านดอลลาร์

อีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลก

สำหรับ มหาเศรษฐีเบอร์ 1 ของโลก ในปีนี้ อีลอน มัสก์ นักธุรกิจและนักลงทุนชาวอเมริกัน-แอฟริกาใต้ ผู้ก่อตั้งและผู้บริหารของบริษัทเทสลาก็ครองตำแหน่งนี้ไป โดยมีมูลค่าทรัพย์สินโดยรวม 219,000 ล้านดอลลาร์ แซง เจฟฟ์ เบซอส ผู้ก่อตั้งอเมซอน บริษัทค้าปลีกออนไลน์ชื่อดังสัญชาติเดียวกัน โดยมีทรัพย์สินรวมที่ 171,000 ล้านดอลลาร์

มาที่ประเทศไทย มีมหาเศรษฐีที่ติดอันดับรวมทั้งสิ้น 28 คน นำโดย เจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์ แห่งเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) โดยอยู่ อันดับที่ 137 ด้วยมูลค่าทรัพย์สินโดยรวม 13,500 ล้านดอลลาร์ ลดลงจากปี 2564 ที่ผ่านมา ซึ่งติดอันดับที่ 103 มีทรัพย์สินโดยรวม 18,100 ล้านดอลลาร์

เจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์

นอกจากนี้ยังมี เจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี ในเครือ ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด หรือเจ้าของอาณาจักร เบียร์ช้าง อยู่ อันดับที่ 156 มีทรัพย์สินโดยรวม 12,000 ล้านดอลลาร์ ตามด้วย นายสารัชถ์ รัตนาวะดี เจ้าของ gulf ธุรกิจด้านพลังงานของไทย ติด อันดับที่ 161 มีทรัพย์สินโดยรวม 11,800 ล้านดอลลาร์

เจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี

Source

]]>
1380674
สหรัฐฯ เล็งเก็บภาษี ‘มหาเศรษฐี’ ขั้นต่ำ 20% ย้ำคนรวยต้องจ่ายภาษีมากกว่า ‘ครู’ https://positioningmag.com/1379560 Tue, 29 Mar 2022 04:19:13 +0000 https://positioningmag.com/?p=1379560 ในปีที่ผ่านมา รายงานฉบับล่าสุดของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ระบุว่า คนร่ำรวยระดับ top 1% ของอเมริกา ไม่ได้จ่ายภาษี 163,000 ล้านดอลลาร์ ขณะที่คนร่ำรวยระดับ top 5% ก็ไม่ได้จ่ายภาษีเป็นมูลค่า 307,000 ล้านดอลลาร์ รายได้ที่สูญเสียไปทำให้รัฐบาลมีแผนจะกำหนด ภาษีขั้นต่ำ ของเหล่ามหาเศรษฐีให้อยู่ที่ 20%

ประธานาธิบดีโจ ไบเดน มีแผนจะเสนอภาษีขั้นต่ำใหม่ที่จะเริ่มใช้ในปี 2023 โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือ เหล่ามหาเศรษฐี โดยเรียกว่า ภาษีเงินได้ขั้นต่ำของมหาเศรษฐี โดยจะประเมินอัตราภาษีขั้นต่ำที่ 20% สำหรับครอบครัวที่มีรายได้มากกว่า 100 ล้านดอลลาร์ ซึ่งมีประมาณกว่า 700 ครอบครัว และภาษีนี้ยังตั้งเป้ากำไรที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงในมูลค่าสินทรัพย์สภาพคล่อง เช่น หุ้น ซึ่งไม่ต้องเสียภาษีจนกว่าจะขาย

“ภาษีขั้นต่ำนี้จะช่วยให้แน่ใจว่าคนอเมริกันที่ร่ำรวยที่สุดจะไม่จ่ายภาษีในอัตราที่ต่ำกว่าครูและนักดับเพลิงอีกต่อไป”

ทั้งนี้ ผลการศึกษาของรัฐบาลพบว่า ระหว่างปี 2010-2018 เศรษฐีระดับพันล้านราว 400 ครัวเรือน เสียภาษีเฉลี่ยแค่ 8.2% ของรายได้ ซึ่งถือว่า ต่ำกว่าครัวเรือนชาวอเมริกันอีกมากมาย ซึ่งการจัดเก็บภาษีที่เสนอนี้ คาดว่าจะเพิ่มรายได้ประมาณ 3.6 แสนล้านดอลลาร์ใน 10 ปีข้างหน้า

นักวิเคราะห์มองว่า แผนการนี้จะเปลี่ยนแปลงการเสียภาษีของเหล่าเศรษฐีพันล้านสหรัฐฯ ตามการคำนวณของกาเบรียล ซุคแมน นักเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียเบิร์กลีย์ ระบุว่า อีลอน มัสก์ ต้องจ่ายภาษีเพิ่ม 5 หมื่นล้านดอลลาร์ ส่วน เจฟฟ์ เบซอส ผู้ก่อตั้งอเมซอน ต้องจ่ายเพิ่มราว 3.5 หมื่นล้านดอลลาร์

ในปีงบประมาณ 2021 การขาดดุลของรัฐบาลกลางมีมูลค่าเกือบ 2.8 ล้านล้านดอลลาร์ แต่น้อยกว่าในปี 2020 ประมาณ 3.6 แสนล้านดอลลาร์ ขณะที่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วหลังการระบาดยังเป็นปัจจัยในการลดการขาดดุลอีกด้วย โดยทำเนียบขาวให้เครดิตกับแผนการกู้ภัยของอเมริกา ซึ่งจัดทำขึ้นเพื่อสนับสนุนการบรรเทาทุกข์แก่ชาวอเมริกันในช่วงวิกฤตโควิด ซึ่งช่วยให้เศรษฐกิจเติบโต 5.7% ในปี 2021

Source

]]>
1379560
10 มหาเศรษฐีโลก “รวยขึ้น” 2 เท่า ในช่วง COVID-19 เพิ่มเฉลี่ย 1,300 ล้านเหรียญ/วัน https://positioningmag.com/1370663 Tue, 18 Jan 2022 09:15:13 +0000 https://positioningmag.com/?p=1370663 มูลนิธิอ็อกซ์แฟม (Oxfam) เผย 10 มหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในโลกมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นอีก “เท่าตัว” ในช่วง 2 ปีแรกที่โลกเผชิญกับโรคระบาดใหญ่ COVID-19 ในขณะที่ปัญหาความยากจนและความไม่เท่าเทียมทางรายได้ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น

รายงานที่อ็อกซ์แฟมเผยแพร่วันที่ 17 ม.ค. ระบุว่า มหาเศรษฐีระดับท็อป 10 ของโลกมีทรัพย์สินรวมกันเพิ่มขึ้นจาก 700,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็น 1.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเพิ่มเฉลี่ยถึง 1,300 ล้านดอลลาร์ต่อวัน

อ็อกซ์แฟมเป็นสมาพันธ์องค์กรการกุศลที่มุ่งบรรเทาปัญหาความยากจนทั่วโลก ระบุด้วยว่า มหาเศรษฐีกลุ่มนี้มีมูลค่าทรัพย์สินเพิ่มขึ้นในช่วง COVID-19 เร็วที่สุดในรอบ 14 ปี ในขณะที่เศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญภาวะถดถอย (recession) ครั้งรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่กรณีตลาดหุ้นวอลล์สตรีทล่มเมื่อปี 1929

รายงานฉบับนี้เตือนว่า ความไม่เท่าเทียมดังกล่าวถือเป็น “ความรุนแรงทางเศรษฐกิจ” (economic violence) และมีส่วนทำให้ประชากรเฉลี่ย 21,000 คนต่อวันต้องเสียชีวิตจากการเข้าไม่ถึงบริการด้านสุขภาพ เผชิญความรุนแรงบนฐานของเพศสภาพ เผชิญความหิวโหย และได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ

อ็อกซ์แฟมระบุด้วยว่า COVID-19 ทำให้ประชากรโลกเข้าสู่วงจรความยากจนเพิ่มขึ้นถึง 160 ล้านคน โดยชาติพันธุ์กลุ่มน้อยต่างๆ ที่ไม่ใช่คนผิวขาว (non-white ethnic minorities) และสตรีเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด

องค์กรเพื่อการกุศลแห่งนี้เรียกร้องให้มีการปฏิรูปภาษี เพื่อนำมาเป็นทุนอุดหนุนการผลิตวัคซีนสำหรับทั่วโลก รวมถึงสนับสนุนบริการด้านสุขภาพ การปรับตัวให้เข้ากับสภาพภูมิอากาศ และการต่อต้านความรุนแรงบนฐานของเพศสภาพ เพื่อรักษาชีวิตผู้คน

อ็อกซ์แฟมอ้างอิงรายชื่อมหาเศรษฐีโลกประจำปี 2021 ที่จัดทำโดยนิตยสารฟอร์บส และคำนวณมูลค่าทรัพย์สินโดยอาศัยแหล่งข้อมูลที่ทันสมัย และครอบคลุมที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

สำหรับ 10 สุดยอดมหาเศรษฐีโลกตามการจัดอันดับของฟอร์บส ได้แก่

  • อีลอน มัสก์ ผู้ก่อตั้งและผู้บริหารเทสลาและสเปซเอ็กซ์
  • เจฟฟ์ เบซอส เจ้าพ่อแอมะซอน
  • แลร์รี เพจ และเซอร์เกย์ บริน ผู้ร่วมก่อตั้งกูเกิล
  • มาร์ค ซัคเกอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้งเฟซบุ๊ก
  • บิล เกตส์ และ สตีฟ บอลล์เมอร์ อดีตซีอีโอไมโครซอฟท์
  • แลร์รี แอลลิสัน อดีตซีอีโอออราเคิล
  • วอร์เรน บัฟเฟตต์ เศรษฐีชาวอเมริกันเจ้าของฉายา “พ่อมดการลงทุน”
  • แบร์นาร์ด อาร์โนลต์ ประธานและซีอีโออาณาจักรแบรนด์หรูของฝรั่งเศส LVMH

Source

]]>
1370663