มอเตอร์โชว์ – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Mon, 18 Apr 2022 10:59:06 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 Mercedes-Benz ประกาศใช้ Digital Guide แทน “พริตตี้” ในงานรถยนต์ ไม่จำกัดเพศ ไม่วาบหวิว https://positioningmag.com/1381694 Mon, 18 Apr 2022 08:16:04 +0000 https://positioningmag.com/?p=1381694 Mercedes-Benz ประกาศค่านิยม The Reinvention of Tomorrow พร้อมกับแนวคิดใหม่ของงานแสดงรถยนต์ โดยเปลี่ยน “พริตตี้” เป็น Digital Guide ผู้ให้ความรู้เรื่องรถยนต์ ไม่จำกัดเพศ ไม่แต่งหวาบหวิว ให้ความสำคัญกับความเท่าเทียมกัน

ต้องบอกว่าถ้าพูดถึงงานแสดงรถยนต์ ไม่ว่าจะเป็นมอเตอร์โชว์ หรือมอเตอร์ เอ็กซ์โป สิ่งที่ขึ้นชื่อที่สุดอาจจะไม่ใช่นวัตกรรมของรถยนต์ แต่เป็น “พริตตี้” ภายในงาน ซึ่งพริตตี้ไม่ใช่แค่คนที่คอยสร้างสีสันอย่างเดียวเท่านั้น แต่เป็นเหมือนวัฒนธรรมประจำงานไปเลยก็ว่าได้

วัฒนธรรมพริตตี้ภายในงานแสดงรถยนต์จึงมีความเข้มข้นมากขึ้นทุกปี ยิ่งการเข้ามาของโลกดิจิทัล ทำให้คนแชร์ภาพมากขึ้น จึงทำให้ค่ายรถยนต์หลายค่ายต่างต้องใช้พริตตี้ตัวท็อปๆ ยิ่งแต่งกายวาบหวิว คนยิ่งสนใจมากเท่านั้น ซึ่งในกรณีนี้เอง อาจจะทำให้หลายคนมองภาพของพริตตี้ในแง่ลบ

แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ เริ่มมีกระแสของความเท่าเทียมทางเพศมากขึ้น Mercedes-Benz (เมอร์เซเดสเบนซ์) จึงประกาศปรับเปลี่ยนค่านิยมใหม่ เพื่อให้ความสำคัญกับความหลากหลาย (diversity) และความเท่าเทียมโดยเริ่มจากการเปลี่ยนค่านิยมที่อยู่คู่กับงานจัดแสดงรถยนต์ในประเทศไทยมาอย่างยาวนาน

Mercedes-Benz ประกาศเปลี่ยนวัฒนธรรมการใช้พรีเซ็นเตอร์ ที่ทุกคนรู้จักในนามพริตตี้ ที่ช่วยโปรโมตรถยนต์ในงาน อีเวนต์ต่าง ๆ ซึ่งเป็นกลยุทธ์การตลาดที่ถูกใช้กันอย่างแพร่หลาย จนอาจส่งผลต่อมุมมองของคนไทยที่มีต่อพริตตี้ และหลายๆ ครั้งก็ส่งผลกระทบกับคุณค่าของผู้หญิงและอาจนำไปสู่การกระทำที่ไม่เหมาะสมต่อพวกเธอ

Mercedes-Benz จึงเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ด้วยการสร้างนิยามใหม่ เพื่อให้พรีเซ็นเตอร์คนนี้ถูกให้เกียรติ และสร้างจุดยืนใหม่ๆ ในวงการ ด้วยการนำเสนอ

พรีเซ็นเตอร์ที่ไม่จำกัดเพศ สีผิว หรือรูปร่าง

พรีเซ็นเตอร์ที่ไม่จำเป็นต้องแต่งตัววาบหวิว

พรีเซ็นเตอร์ที่ได้รับการอบรมเรื่องรถยนต์ และมาพร้อมกับเทคโนโลยีที่ให้ข้อมูลอย่างแม่นยำ

เรียกว่า Digital Guide” (ดิจิทัล ไกด์) กลุ่มคนที่จะมาทำหน้าที่ในการให้ความรู้เรื่องรถยนต์ของเมอร์เซเดสเบนซ์ทุกรุ่น ในงานจัดแสดงรถยนต์ทุกงานในประเทศไทย โดยเป็นการแสดงจุดยืน ผ่านทางภาพยนตร์โฆษณาหนึ่งเรื่อง ภายใต้คอนเซ็ปต์ The Reinvention of Tomorrow ว่านี่เป็นเพียงหนึ่งสิ่งที่เราเปลี่ยน เพื่อสร้างค่านิยมใหม่และแนวคิดใหม่ของงานแสดงรถยนต์

ภายในภาพยนตร์โฆษณาจะเห็นว่า Digital Guide ไม่จำกัดเพศ ไม่ว่าจะชาย หญิง หรือ LQBTQ+ มาในลุคยูนิฟอร์มแบบ Unisex มีความทะมัดทะแมง ทันสมัย ลบภาพพริตตี้ที่แต่งกายด้วยชุดโชว์เนื้อหนัง และแต่งหน้าสวยๆ ไปได้เลย

]]>
1381694
The Car Show Disrupt จับตาอนาคตงานโชว์รถระดับโลก เริ่มส่งสัญญาณล่มสลาย https://positioningmag.com/1256464 Sat, 14 Dec 2019 17:31:50 +0000 https://positioningmag.com/?p=1256464 เค้าลางแห่งการล่มสลายของการจัดแสดงรถ หรือมอเตอร์โชว์ เริ่มส่งสัญญาณให้เห็นแบบชัดเจนแล้ว แต่ยุคสมัยที่เปลี่ยนไปเริ่มเห็นการถอนตัวของผู้ประกอบการหลายราย

อย่างที่ทราบกันดีว่า งานแสดงรถยนต์ระดับโลก มีอยู่ด้วยกัน 5 งานใหญ่ ได้แก่ ดีทรอย ออโต้โชว์, เจนีวา มอเตอร์โชว์, แฟรงก์เฟิร์ต ออโต้โชว์, ปารีส มอเตอร์โชว์ และ โตเกียว มอเตอร์โชว์ ถือว่าเป็นงานที่ทุกค่ายรถต้องไปร่วมจัดแสดงเพื่อโชว์ศักยภาพของแบรนด์ตัวเอง

ซึ่งในช่วง 2-3 ปีหลังนี้ เราจะเห็นข่าวของการถอนตัวไม่เข้าร่วมแสดงงานทยอยออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่ยังไม่มีใครคาดคิดว่าการเปลี่ยนแปลงจะรวดเร็วเพียงนี้ โดยในช่วงต้นปี ภาพความยิ่งใหญ่ของงานแสดงรถยนต์ระดับโลกนั้น อย่างเจนีวา ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสัมผัสได้ หลังจากที่ค่ายรถยนต์ที่เข้าร่วมแสดงเหลือเพียงไม่กี่รายเท่านั้น

แฟรงก์เฟิร์ต -โตเกียว เหลือเพียงเจ้าบ้าน

2 งานแสดงรถยนต์ระดับโลกที่ถือว่าเป็นฐานการผลิตรถยนต์ที่สำคัญโลก รวมถึงการมีแบรนด์รถยนต์เป็นหน้าเป็นตาของประเทศอีกด้วย

งานแรก แฟรงเฟิร์ต ออโตโชว์ หรือที่รู้จักในชื่อย่อว่า IAA 2019 ในปีนี้ ความยิ่งใหญ่ลดลงอย่างเห็นได้ชัดในทุกสัดส่วน ไม่ว่าจะเป็นค่ายรถยนต์ ผู้เข้าร่วมแสดง และขนาดพื้นที่จัดแสดง ที่มีเพียงค่ายเจ้าบ้านเป็นหัวเรือหลักอย่าง เมอร์เซเดส -เบนซ์ ที่ยังจัดเต็มพื้นที่ฮอลล์ใหญ่ทางด้านหน้างาน แต่ลดจำนวนของรถที่จัดแสดงลง โดยเน้นไปที่การมีส่วนร่วมของผู้เข้าชมงานผ่านระบบแสง สี เสียง ต่างๆ

ขณะที่โฟล์คสวาเกน กรุ๊ป จัดรถในเครือทั้งหมดไปรวมไว้ในฮอลล์เดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น ปอร์เช่, โฟล์คสวาเกน, อาวดี้, ลัมโบกินี่, เซียท และ สโกด้า โดยมีรถใหม่เปิดตัวเน้นไปที่รถยนต์ไฟฟ้า อย่าง โฟล์คสวาเกน ไอดี3 และ ปอร์เช่ ไทคานน์ จากในอดีตที่แต่ละแบรนด์จะใช้พื้นที่มากกว่านี้ (หนึ่งฮอลล์ของที่งานนั้นจะมีขนาดพอๆ กับชาเลนเจอฮอล์ 1-3 รวมกัน)

ส่วนบีเอ็มดับเบิลยู และมินิ งานครั้งนี้ลดขนาดลงไปอย่างน่าใจหาย โดยจัดแสดงอยู่ที่ฮอลล์สุดท้ายด้านในสุดขนาดพื้นที่แบ่งร่วมกันกับค่ายอื่นๆ อย่างเช่น จากัวร์ แลนด์โรเวอร์, โอเปิล, อัลพินา และฮุนได ขณะที่ค่ายญี่ปุ่นนั้นมีเพียง ฮอนด้า รายเดียวเท่านั้นที่มาร่วมจัดแสดงในงานนี้โดยมีขนาดพื้นที่เท่าๆ กับที่จัดแสดงในเมืองไทย

ทั้งนี้ ค่ายอื่นที่เข้าร่วมแสดงด้วยได้แก่ ฟอร์ด และค่ายรถจากประเทศจีน 3 ราย รวมแล้วมีค่ายรถมาจัดแสดงเพียง 11 รายเท่านั้น โดยพื้นที่อื่นๆ จะมีค่ายผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์มาจัดแสดง เรียกได้ว่า ไม่มีค่ายจาก อิตาลี และฝรั่งเศส มาร่วมแสดงเลย

สำหรับงานโตเกียวมอเตอร์โชว์ ปีนี้ แยกพื้นที่จัดแสดงเป็นหลายจุด เนื่องจากฮอลล์มีการปรับปรุงใหม่เพื่อรองรับกีฬาโอลิมปิกที่จะมีขึ้นในปีหน้า (ค.ศ. 2020) แต่ขนาดพื้นที่และค่ายรถที่เข้าร่วมแสดงนั้นมีจำนวนลดลงอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับงานครั้งที่แล้ว

โตโยต้า ยังคงเป็นค่ายหลักที่เชิดหน้าชูตาของรถญี่ปุ่น แต่งานนี้ต้องย้ายมาแสดงในพื้นที่ใหม่และใช้พื้นที่ของเมกาเวป ในการแสดงเทคโนโลยีด้วย ส่วนค่ายอื่นๆ ของญี่ปุ่นมากันครบถ้วนทั้ง ฮอนด้า, นิสสัน, มาสด้า, ซูซูกิ, ไดฮัทสุ, อีซูซุ, มิตซูบิชิ, ซูบารุ, ฮีโน่, ฟูโซ่, ยูดี และ เลกซัส

ขณะที่ค่ายจากฝั่งยุโรป มีเพียง เมอร์เซเดส-เบนซ์ ,อัลไพน์ และ เรโนลต์ (ในฐานะพันธมิตรของนิสสันและมิตซูบิชิ) เท่านั้น ที่เข้าร่วมแสดงในงานนี้ ส่วนบีเอ็มดับเบิลยูมาในนามของสำนักแต่งอัลพินา จากเดิมที่เคยมีหลากหลายแบรนด์เข้าร่วม เช่นเดียวกับค่ายสองล้อ มีเพียงสี่ค่ายที่เข้าร่วมแสดงงานได้แก่ ฮอนด้า, ยามาฮ่า, คาวาซากิ และ ซูซูกิ

ซึ่งจะเห็นได้ชัดเจนว่าทั้งสองงานนี้จากที่เคยเป็นงานใหญ่ระดับโลกมีรถจากทุกค่ายมาจัดแสดงกันอย่างละลานตา ในปีนี้กลับกลายเป็นเหมือนงานโชว์รถของเจ้าบ้านเท่านั้น ขนาดและความยิ่งใหญ่ลดลงไปอย่างเห็นได้ชัด

ปัจจัยสำคัญมาจากการเข้าร่วมงานแต่ละครั้งจะต้องใช้เงินจำนวนมหาศาล ซึ่งงานดังกล่าวเป็นงานที่จัดแสดงเพียงอย่างเดียว ไม่มีการขาย ประกอบกับอุตสาหกรรมยานยนต์โลกกำลังอยู่ในช่วงถดถอยและมีการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยี ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่ค่ายรถยนต์เริ่มให้ความสำคัญกับการแสดงงานแบบนี้น้อยลง เพราะเมื่อผู้ร่วมแสดงมีจำนวนน้อย สิ่งที่ตามมาคือผู้เข้าชมงานจะน้อยลงตามไปด้วยเสมอ แล้วถ้างานลักษณะนี้กำลังจะล้มหาย แล้วงานแบบไหนจะไปรอด

งานโชว์พร้อมขาย ทางรอดอีเวนต์

ด้วยเหตุผลที่กล่าวไว้ข้างต้นว่า ปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งคือการเข้าร่วมแสดงงานในลักษณะดังกล่าวนั้นเป็นเรื่องของภาพลักษณ์ล้วนๆ ไม่มีส่วนของการขายเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะเป็นงานที่โชว์เทคโนโลยี นำรถมาจัดแสดงให้ผู้เข้าชมงานได้สัมผัส ไม่มีพนักงานขายหรือการรับจองรถภายในงานแต่อย่างใด ดังนั้นงบประมาณที่ทุ่มลงทุนมานั้น จะไม่มีผลตอบแทนกลับมาเป็นตัวเลขให้เห็นได้

ซึ่งจะตรงข้ามกับการจัดงานแสดงยานยนต์อีกประเภทหนึ่งที่นอกจากจัดโชว์แล้วยังมีการขายพ่วงเข้าไปด้วย สามารถวัดผลตอบรับเป็นตัวเลขยอดจองได้ ซึ่งในเมืองไทยของเราถือว่า คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ส่วนในต่างประเทศนั้น งานแสดงรถที่มีการขายด้วยนั้นเริ่มได้รับความนิยมและค่ายรถให้ความสำคัญมากขึ้น

ตัวอย่างของงานแสดงรถที่กำลังเป็นขาขึ้นและได้รับความสนใจจากทั้งผู้ชมและค่ายรถยนต์ในต่างประเทศ คือ งานกู๊ดวู๊ด เฟสติวัล ออฟ สปีด (GoodWood Festival of Speed) จากเดิมที่เป็นงานเฉพาะกลุ่ม แต่เมื่อเกิดกระแสขึ้นและเจ้าของงานคือคนที่เข้าใจคนรักรถ เปิดโอกาสให้ทั้งรายใหญ่และรายย่อย เจ้าของรถโดยตรงนำรถของตัวเองมาโชว์ในงานได้ และหากถูกใจสามารถทำการซื้อขายกันได้โดยตรง

สิ่งนี้เองทำให้กลุ่มผู้ประกอบการทั้งพ่อค้ารถมือสอง คนเล่นรถเก่า รถโบราณ ใช้งานดังกล่าวเป็นเวทีในการจัดแสดงขายรถตัวเอง เช่นเดียวกับค่ายรถยนต์ที่นำรถรุ่นใหม่มาร่วมงาน พร้อมจัดให้มีพนักงานขายรับจอง รวมถึงการเปิดตัวรถใหม่ในงานนี้กันมากขึ้น เนื่องจากเป็นงานที่ไม่ใช่แค่นำรถมาโชว์เพียงอย่างเดียว แต่มีการวิ่งจริงให้ดู พร้อมกับขับแข่งขันกันอย่างสนุกสนาน นับเป็นแรงจูงใจให้ผู้เข้าชมงานได้ลุ้นอีกด้วย

ทั้งนี้ การได้รับความนิยมของ งานกู๊ดวู๊ด เฟสติวัล ออฟ สปีด สามารถเห็นได้อย่างชัดเจนจากการที่ค่ายรถยนต์หลายๆ ค่ายเลือกนำรถมาทั้งเปิดตัวเป็นครั้งแรกในโลกหรือนำมาโชว์ให้เห็นก่อน ไม่ว่าจะเป็น ปอร์เช่ ไทคานน์, ฮอนด้า อี และ เดอโทมาโช พี72 เป็นต้น

สำหรับประเทศไทยนั้น เราคุ้นเคยกับการจัดแสดงรถที่มีการขายพ่วงอยู่ในงาน หรือเรียกอีกอย่างว่า เรามักจะรอช่วงงานดังกล่าวไม่ว่าจะเป็น งานมอเตอร์โชว์ ช่วงต้นปี หรืองานมอเตอร์ เอ็กซ์โป ช่วงปลายปีเพื่อจะซื้อรถเนื่องจากจะมีการจัดแคมเปญส่งเสริมการขายอย่างหนักหน่วงเป็นประจำทุกงาน

เมื่อทิศทางของการจัดแสดงรถยนต์เปลี่ยนไปเป็นแบบนี้ น่าจะเรียกได้ว่า ประเทศไทยของมีการจัดแสดงงานที่เป็นแนวคิดก้าวหน้า รับกับการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยได้อย่างน่าทึ่ง

อย่างไรก็ตาม อนาคตยังคงเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน พฤติกรรมของผู้บริโภคก็เปลี่ยนแปลงไปด้วยเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าของค่ายรถระดับหรูหรา ที่เริ่มหันมาจัดอีเวนท์ของตัวเองในพื้นที่ของตัวเอง เช่นงาน ยูนิเวอโซ่ ของเฟอร์รารี่ ที่มีการเชิญลูกค้าจากทั่วโลกให้มาชมรถทุกรุ่นของแบรนด์ตัวเอง แน่นอนว่าย่อมจะต้องมีพนักงานคอยดูแลและเป็นผู้ประสานงานในการพาเข้าเยี่ยมชม ส่วนในเมืองไทยเริ่มมีค่ายรถจัดอีเวนท์เฉพาะของตัวเองขึ้นแล้วเช่นเดียวกัน ซึ่งสุดท้ายจะสามารถวัดด้วยยอดขายเทียบกับต้นทุนค่าจัดงานได้

ดังนั้นการจัดแสดงรถแบบรวมทุกยี่ห้อเช่นนี้จะได้รับความนิยมอยู่หรือไม่ จะเปลี่ยนแปลงรูปแบบไปในทิศทางใด ยังต้องจับตาดูต่อไปในอนาคต

Source

]]>
1256464
ปิดฉาก “มอเตอร์โชว์” ยอดจองรถทะลุ 36,093 คัน https://positioningmag.com/1122215 Tue, 11 Apr 2017 07:07:53 +0000 http://positioningmag.com/?p=1122215 รูดม่านเป็นที่เรียบร้อยไปแล้วสำหรับงาน บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 38 เผยยอดคนเข้าชมงานมากกว่า1.6 ล้านคน พร้อมเผยยอดจองรถภายในงานรวม 36,093 คัน แบ่งออกเป็น รถยนต์ 31,031 คัน รถจักรยานยนต์ 4,043 คัน และรถไฟฟ้าอีก 1,019 คัน โตโยต้าคว้าแชมป์ด้วยยอดจอง 5,465 คัน ผู้จัดงานมั่นใจความคึกคักในการจองรถจะช่วยกระตุ้นตลาดรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไตรมาส 2 ให้เติบโตได้อย่างแน่นอน

จาตุรนต์ โกมลมิศร์ กรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ในฐานะรองประธานจัดงาน บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ เปิดเผยว่า งานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 38 นับเป็นอีกครั้งของการจัดงานที่ประสบความสำเร็จในทุกด้าน ทั้งจำนวนบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ รถจักรยานยนต์ และผู้ประกอบการธุรกิจยานยนต์ที่เข้าร่วมงาน ซึ่งทุกค่ายต่างนำผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาร่วมจัดแสดงอย่างคับคั่ง จำนวนผู้เข้าชมงานจากการเก็บรวบรวมสถิติพบว่า มีตัวเลขอยู่ที่ 1.6 ล้านคน

จาตุรนต์ โกมลมิศร์

จากยอดจองภายในงานครั้งนี้พบว่า ผลจากการเริ่มทยอยปลดล็อกรถยนต์คันแรก รวมถึงภาคการเกษตรมีแนวโน้มปรับตัวไปในทางที่ดี ทำให้สถานการณ์ของตลาดเริ่มกลับเข้าสู่สภาวะปกติ ส่งผลให้กลุ่มรถยนต์นั่งขนาดกลาง และขนาดเล็ก ร่วมถึงรถเพื่อการพานิชย์ ยังคงได้รับความนิยมจากผู้บริโภค แม้จะมีกระแสข่าวเกี่ยวกับการเข้มงวดเรื่องความปลอดภัยในการใช้รถเพื่อการพานิชย์ก็ตาม แต่รถยนต์ในกลุ่มนี้ก็ยังคงได้รับความสนใจจากผู้เข้าชมงานโดยมีสัดส่วนยอดจองอยู่ที่ 20-30 เปอร์เซ็นต์ ของยอดจองในปีนี้

ส่วนกลุ่มรถยนต์นั่งขนาดกลางและรถยนต์หรูสัญชาติตะวันตกได้รับความนิยมจากผู้เข้าชมงานเป็นอย่างมากเช่นกัน เนื่องจากรถยนต์ในกลุ่มนี้มีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ออกมาจากหลายบริษัท โดยเฉพาะรถประเภทเอสยูวีที่เริ่มมีทิศทางการเติบโตตามความต้องการของตลาดมากขึ้น

ที่มา : http://manager.co.th/Motoring/ViewNews.aspx?NewsID=9600000036677

]]>
1122215