ยาโยอิ – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 07 Jun 2019 07:18:25 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ไม่ต้องต่อคิว! “ยาโยอิ” กระโดดร่วมศึกชานมไข่มุก ส่ง 3 เครื่องดื่มใหม่เสิร์ฟลูกค้าราคา 49 บาท https://positioningmag.com/1233447 Fri, 07 Jun 2019 11:55:16 +0000 https://positioningmag.com/?p=1233447 ชานมไข่มุก เครื่องดื่มที่มีจุดกำเนิดจากไต้หวัน เข้าสู่ตลาดไทยให้ผู้บริโภคได้ทำความรู้จักและลิ้มลองความนุ่มหนึบของไข่มุกครั้งแรกเมื่อ 20 ปีก่อน  ครองตำแหน่งเครื่องดื่มยอดฮิตของคนไทย ผ่านระลอกคลื่นการเติบโตเข้าสู่ยุคที่ 3

จากจุดเริ่มต้นยุคแรกช่วงเข้าสู่ตลาดเมื่อ 20 ปีก่อน ยุค 2 เป็นจังหวะของแบรนด์ไต้หวันต้นกำเนิดและแบรนด์ไทยต่างเดินหน้าเสิร์ฟความอร่อยตามสูตรที่แต่ละแบรนด์พัฒนาขึ้นในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา “ชานมไข่มุก” ยังเป็นเครื่องดื่มใน List ที่ผู้บริโภคเลือกดื่มเป็นอันดับแรกๆ

การเข้าเติบโตยุคที่ 3 เห็นชัดเมื่อ 2 ปีก่อน กระแสความนิยมเรียกว่าขั้น “รุนแรง” หากนับรวมร้านชานมไข่มุกในไทยมีจำนวนกว่า 100 แบรนด์ ตลาดเติบโตหลายสิบเท่า นับจาก 10 ปีก่อน ทั้งแบรนด์ท้องถิ่นของไทยก็มีจำนวนมาก แบรนด์จากไต้หวันก็เยอะ  เรียกว่า “ผู้บริโภค” มีตัวเลือกทั้งประเภทเครื่องดื่มที่มีความหลากหลายและราคา ตั้งแต่ตลาดแมสไปถึงพรีเมี่ยม แพงสุดตอนนี้ขึ้นไปแตะแก้วละ 150 บาทยังต้องต่อคิวซื้อเพื่อให้ได้ลิ้มลอง

ความฮอตฮิตของ “ชานมไข่มุก” ตลาดไทย  ที่ยังคงเป็นเครื่องดื่ม “เทรนดี้” ของกลุ่มผู้บริโภค ที่มีฐานตลาดกว้างขึ้น แนวโน้มจึงยังเติบโตต่อเนื่อง เรียกว่าแซงหน้าประเทศไต้หวันต้นกำเนิด ปีนี้ขยายตัวไม่ต่ำกว่า 50% ในภูมิภาคเอเชียไทยเติบโตเป็นอันดับ 2 รองจาก “จีน”

วันนี้ “ผู้เล่น” ทั้งในกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม รวมทั้งธุรกิจอื่นๆ ต่างมองเห็นโอกาสในตลาด “ชานมไข่มุก” มีการลงทุนขยายธุรกิจสร้างแบรนด์ใหม่อย่างต่อเนื่อง  ขณะที่กลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มก็ต้องเพิ่มไลน์เครื่องดื่ม “ชานมไข่มุก” ไว้ในเมนูเพื่อให้ลูกค้าได้เลือกลิ้มรส

ร้านอาหารญี่ปุ่นยาโยอิ  เชนร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อดังจากญี่ปุ่นที่มีเชฟชาวญี่ปุ่นคิดค้นสูตรอาหารใหม่ๆ เอาใจลูกค้าชาวไทยอย่างต่อเนื่อง ไม่พลาดเกาะกระแสความฮิตของคนรุ่นใหม่ที่ “อิน” กับชานมไข่มุก เพื่อตอกย้ำว่า “ยาโยอิ” คือร้านอาหารญี่ปุ่นแท้ๆ ที่อร่อยและคุ้มค่าสำหรับคนทุกเพศทุกวัย จึงนำเสนอ 3 ชานมในสไตล์ญี่ปุ่น ในราคาจับต้องง่าย

รอยัล มิลค์ที บราวน์ชูการ์ ไข่มุก รอยัล มิลค์ทีคือชานมรสนุ่มสุดฮิต ถูกจริตชาวญี่ปุ่น กับบราวน์ชูการ์ ซึ่งเป็นไซรัปน้ำตาลไหม้ที่ฮิตที่สุดในเวลานี้ และท้อปปิ้งไข่มุก ราคาเพียง 49 บาท

โฮจิฉะลาเต้ บราวน์ชูการ์ มิลค์พุดดิ้ง ซึ่งชูจุดเด่นคือกลิ่นหอมของชาเขียวคั่วผสมนม กับบราวน์ชูการ์ไซรัป และท้อปปิ้งมิลค์ พุดดิ้ง นุ่มๆหอมนมสด ตามแบบฉบับญี่ปุ่น ราคาเพียง 59 บาท

และยืนหนึ่งในใจสาวกชาเขียว คือ มัทฉะลาเต้ บราวน์ชูการ์ ถั่วแดงญี่ปุ่น ในราคาเพียง 59 บาท

เมื่อชานมไข่มุกจะเยียวยาทุกสิ่ง ยาโยอิพร้อมเยียวยาทุกโมเมนต์ได้แล้ววันนี้ที่ยาโยอิทุกสาขา  185 แห่งทั่วประเทศ หรือสั่งผ่าน “ไลน์แมน” ก็ได้ชานมรสนุ่มเช่นกัน

ติดตามรายละเอียดอาหารญี่ปุ่นทันสมัยและเครื่องดื่มใหม่ๆ ของยาโยอิได้ที่ www.facebook.com/YayoiRestaurantThailand

]]>
1233447
ใครเป็นใครในธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่น https://positioningmag.com/1154063 Sun, 21 Jan 2018 23:15:22 +0000 https://positioningmag.com/?p=1154063 ประเทศไทยถือว่ามีธุรกิจร้านอาหารหลากหลายประเภทมากตั้งแต่ไทย จีน ญี่ปุ่น ฝรั่ง ตอบไลฟ์สไตล์ตั้งแต่ร้านริมทาง (Street food) ไปจนถึงร้านหรู (Fine dining) โดยแต่ปีตลาดรวมมีมูลค่ามหาศาล ขณะที่ปี 2560 ตลาดรวมอยู่ที่ 390,000-397,000 ล้านบาท เติบโต 2-4% เมื่อแบ่งย่อยพบว่า เป็นร้านอาหารขนาดกลางและเล็ก 271,000-275,000 ล้านบาท และร้านอาหารเครือข่ายหรือเชนร้านอาหาร 119,000-122,000 ล้านบาท

แม้ร้านอาหารจะมีจากหลากหลายชาติให้บริการแต่ “ร้านอาหารญี่ปุ่น” นับเป็นตลาดที่มาแรงอย่างต่อเนื่อง ในตลาดดังกล่าวมีมูลค่าประมาณ 21,000-22,000 ล้านบาท เติบโตประมาณ 10% มาดูกันว่าตลาดนี้ใครเป็นใครกันบ้าง

]]>
1154063
ถอดบทเรียน 11 ปี “ยาโยอิ” ทำอย่างไรให้สตรองในตลาดร้านอาหารญี่ปุ่น https://positioningmag.com/1122936 Thu, 20 Apr 2017 07:40:58 +0000 http://positioningmag.com/?p=1122936 ยาโยอิ เป็นแบรนด์ร้านอาหารญี่ปุ่น ในเครือเอ็มเค สุกี้ที่มีอายุ 11 ปี ทำรายได้เป็นอันดับสอง ด้วยสัดส่วน 19% รองจากเอ็มเคที่มีสัดส่วนรายได้ 80% แต่กว่าจะมายืนถึงจุดนี้ได้แบรนด์ร้านอาหารญี่ปุ่นแห่งนี้ต้องผ่านร้อนผ่านหนาวมาไม่น้อย

จุดเริ่มต้นของ ร้านยาโยอิ ในไทย มาจากการที่ เอ็มเค สุกี้ ได้ไปตั้งสาขาในประเทศญี่ปุ่น และได้ร่วมมือกับบริษัทเพลนัส เจ้าของแบรนด์ ยาโยอิ ประเทศญี่ปุ่น พาร์ตเนอร์คนสำคัญที่ช่วย ต่อมาจึงได้ขยายความร่วมมือกันมากขึ้น ด้วยการขอลิขสิทธิ์แบรนด์ ร้านอาหารญี่ปุ่นยาโยอิซึ่งบริษัทเพลนัส ได้เปิดกิจการมากกว่า 100 ปี มีสาขา 500 แห่งในญี่ปุ่นมาเปิดสาขาในไทยและสิงคโปร์

เวลานั้นเอ็มเค มองว่า ร้านอาหารญี่ปุ่นเริ่มเป็นกระแสนิยมสำหรับคนไทย แต่ร้านส่วนใหญ่จะมีราคาสูง คนทั่วไปทานได้ยาก จุดยืนของยาโยอิจึงเป็นร้านอาหารญี่ปุ่นในระดับกลาง ที่ผู้บริโภคสามารถทานได้ทุกวันโดยไม่ต้องรอวันเงินเดือนออก หรือต้องเก็บเงินเพื่อมาทาน ราคาอาหารจึงเริ่มต้นหลักสิบไปจนถึง 300 กว่าบาท เพื่อรองรับกลุ่มเป้าหมายที่เป็นกลุ่มวัยรุ่น คนรุ่นใหม่ วัยเริ่มทำงาน เพื่อให้แตกต่างจากแบรนด์คู่แข่งที่จะเน้นกลุ่มครอบครัว หรือกลุ่มคนทำงานมีรายได้ มีกำลังซื้อสูง

กิตติยา วรรณสุรีย์ ผู้อำนวยการฝ่ายดูแลกิจการอาหารญี่ปุ่น บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด ได้เล่าว่าที่ผ่านมา ยาโยอิ ต้องปรับตัวอยู่ตลอด เริ่มจากการทดลองตลาด ศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภค ลองผิดลองถูกในหลายๆ อย่าง รวมถึงปรับเปลี่ยนรูปแบบร้าน ปรับเปลี่ยนโทนสี จากครั้งแรกเลือกใช้โทนสีเหลืองน้ำตาล เพื่อให้ดูเป็นญี่ปุ่น แต่เมื่อไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคเปลี่ยน เริ่มนำสีชมพูเข้ามาใส่มากขึ้นเพื่อจับกลุ่มวัยรุ่น ในช่วง 5-6 ปีแรกเน้นการขายเพียงอย่างเดียว ใช้หน้าร้านเป็นจุดขายเพื่อดึงดูดลูกค้าเพียงอย่างเดียว ยังไม่มีการทำตลาดใดๆ 

จนเมื่อทุกอย่างเริ่มลงตัว แบรนด์เริ่มติดตลาด ผู้บริโภครู้จักมากขึ้นจึงมีการสร้างแบรนด์มากขึ้นกว่าเดิม จุดเปลี่ยนสำคัญอยู่ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมานี้ มีการเพิ่มงบการตลาด เพื่อออกหนังโฆษณาทางโทรทัศน์ และออกแคมเปญโปรโมชั่น ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาเช่นกัน ขณะเดียวกันก็สร้างแบรนด์ เพื่อสร้างการรับรู้และเป็นแบรนด์ และกระตุ้นยอดขายเพิ่มเติมด้วย

กิตติยาเสริมว่า ถึงแม้ยาโยอิอายุ 11 ปี แต่ก็ยังถือว่าอายุน้อย เมื่อเทียบกับแบรนด์คู่แข่งที่เป็นเบอร์ 1 อย่าง ฟูจิ ที่มีอายุกว่า 30 ปีแล้ว ความท้าทายที่สุดในตอนนี้คือต้องสร้างแบรนด์ยาโยอิให้เป็น Top of Mind เมื่อผู้บริโภคนึกถึงอาหารญี่ปุ่น ซึ่งเวลานี้ยาโยอิก็ไล่ตามมาติดๆ โดยฟูจิมีส่วนแบ่งตลาด 40% และยาโยอิมีส่วนแบ่งตลาด 35%

2 ปีที่ผ่านมามีการใช้งบการตลาดมากขึ้น จากที่ใช้เฉลี่ยปีละ 80-90 ล้านบาท ในปีนี้ได้ใช้งบการตลาดเพิ่มเป็น 100 ล้านบาท เพื่อออกแคมเปญชิงโชคลุ้นกินยาโยอิฟรี ซึ่งจัดต่อเนื่องจากปีที่แล้ว สามารถการกระตุ้นให้ลูกค้าเข้าร้านถี่ขึ้น ปีนี้เพิ่มของรางวัลเป็นกินฟรี เน็ตฟรี และดูหนังฟรี นำไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคเข้ามามากขึ้น แคมเปญนี้ใช้งบการตลาด 10 ล้านบาท

ปรับตัวท่ามกลางสงครามร้านอาหาร

สถานการณ์การแข่งขันของยาโยอิไม่ได้ต่อสู้แค่กับตลาดร้านอาหารญี่ปุ่นที่มีมูลค่า 20,000 ล้านอย่างเดียวเท่านั้นแล้ว แต่ต้องต่อสู้กับตลาดร้านอาหารที่มีมูลค่านับแสนล้าน เพราะปัจจุบันผู้บริโภคมีทางเลือกมากขึ้น ขี้เบื่อ มีพฤติกรรมการทานอาหารที่หลากหลาย ไม่ได้จำกัดในการทานประเภทเดียว ซึ่งปัจจุบันก็มีแบรนด์ร้านอาหารเปิดใหม่ทุกปี

ถึงแม้ราคายังคงมีผลต่อการตัดสินใจซื้อ แต่สิ่งที่ยาโยอิเอามาสู้จะเน้นเรื่องของเมนูอาหารใหม่ และแคมเปญโปโมชั่น เน้นในเรื่องความคุ้มค่ามากกว่าราคาถูก ยาโยอิได้ปรับตัวในการเปิดเมนูใหม่เป็นเมนูพิเศษทุกๆ 2 เดือน จากเดิมที่มีทุกๆ 3 เดือน มีเมนูตามฤดูกาล เมนูพรีเมี่ยม เพื่อสร้างความต่อเนื่องและสร้างความตื่นเต้น ดึงดูดทั้งลูกค้าเก่าและใหม่รวมทั้งเพิ่มความถี่ในการเข้าร้านมากขึ้นด้วย

ในอนาคตมีแผนที่จะปรับร้านให้มีคอนเซ็ปต์ใหม่ๆ เช่นขนาดเล็กลง ปรับดีไซน์การตกแต่งในร้าน มีมุมบริการตัวเอง หรือเปิดให้มองเห็นครัว ยังคงอยู่ในช่วงของการศึกษา ทางเจ้าของแบรนด์จากญี่ปุ่นก็คอยให้คำปรึกษาและหารือกันว่าตรงไหนทำได้ตรงไหนทำไม่ได้ เพราะทางญี่ปุ่นเองก็มีจุดยืนของแบรนด์

ปัจจุบันยาโยอิมีสาขาทั้งหมด 160 สาขา แบ่งเป็นใน กทม. 60% และต่างจังหวัด 40% ในปีนี้มีแผนขยายสาขาอีก 20-25 สาขา ในพื้นที่ กทม. 50% ต่างจังหวัด 50% ใช้งบลงทุนรวม 150 ล้านบาท หรือเฉลี่ย 7-8 ล้านบาท/สาขา ในช่วง 3-5 ปีต่อจากนี้จะมีการขยายสาขาเฉลี่ย 20-25 สาขาไปตลอดเช่นกัน

ในปี 2559 มีรายได้รวม 2,900 ล้านบาท เติบโต 15% ในปีนี้ตั้งเป้ารายได้ 3,500 ล้านบาท เติบโต 15-18%

]]>
1122936