รอมแพง – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Wed, 14 Mar 2018 18:03:24 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 เปิดใจ “รอมแพง” เจ้าของนิยาย “บุพเพสันนิวาส” ออเจ้า ฮิตทั้งพระนคร https://positioningmag.com/1161264 Mon, 12 Mar 2018 13:00:04 +0000 https://positioningmag.com/?p=1161264 กลายเป็นปรากฏการณ์ไปทั่วเมืองแล้วจริง ๆ สำหรับละครเรื่อง ‘บุพเพสันนิวาส’ เรื่องราวของหญิงสาวในยุคปัจจุบันซึ่งบังเอิญได้หลุดไปอยู่ในยุคของรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช นำพามาสู่เรื่องราวต่าง ๆ ซึ่งนับได้ว่าเป็นอีกครั้งหนึ่งของวงการละครไทย และนวนิยายเรื่องนี้ผู้อยู่เบื้องหลังแห่งความสำเร็จนี้ รอมแพง หรือ จันทร์ยวีร์ สมปรีดา ผู้ปลุกปั้นตัวอักษรในนิยายให้ทั้งคนอ่านและผู้ชมได้ติดตามมากถึงเพียงนี้

เข้าห้องสมุดแทนการเล่นสนุก

เป็นคนอ่านหนังสือออกได้เร็วมาก ประมาณสัก 6-7 ขวบ ก็อ่านหนังสือออกแล้ว หนังสือที่อ่านในช่วงแรก ๆ จะเป็นพวกนิทานอีสปก่อน แล้วช่วงเด็กเราอยู่ที่ อำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช จะมีห้องสมุดประชาชน เราก็เริ่มอ่านจากตรงนี้ พอถึงเวลาพักเที่ยง เราเข้าไปอ่าน ไม่ค่อยได้เล่นเหมือนเด็ก ๆ ทั่วไปสักเท่าไหร่ อาจจะมีเล่นหมากเก็บ หรือกระโดดยางบ้าง แต่พอหลังจากเลิกเรียน เราก็อยู่ในห้องสมุดจนปิดเลย แล้วก็จะยืมหนังสือจากอาจารย์บ้าง หรือจากห้องสมุดของโรงเรียน แต่ไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ เราก็จะอ่านหมดไม่เหลือเลย แล้วพอขึ้นมาเรียนมัธยมที่โรงเรียนกัลยาณีศรีธรรมราช เราก็อ่านหนังสือจนหมดทุกเล่มในห้องสมุดค่ะ ก็อ่านทุกเล่ม ทุกหมวดหมู่ เหมือนเดิม

เริ่มอ่านนิยายตั้งแต่ 8 ขวบ

เริ่มอ่านนิยายตั้งแต่อายุ 8 ขวบค่ะ นิยายเรื่องแรกที่อ่านคือ เรื่อง ในฝัน ของ โรสลาเลน (หรือ ทมยันตี) แล้วก็อีกเรื่องคือ สัมผัสที่หก ของ ตรี อภิรุม เล่มหนามาก แต่ก็อ่านมาตลอด ซึ่งตอนนั้นก็ไม่ได้เน้นว่าจะเป็นแนวไพรัชนิยายนะคะ แต่จะเป็นลักษณะอ่านไปเรื่อย ๆ แต่โดยส่วนตัวเรา จะชอบแบบแนวแฟนตาซี อย่างเรื่องในฝันก็เช่นเดียวกัน แต่จะเป็นแบบลิเกเจ้าหน่อย หรืออย่าง สัมผัสที่หก ก็จะเป็นแนวพลังจิต เหนือธรรมชาติ และเป็นทางจิต ซึ่งหลังจากนั้นเราก็อ่านหนังสือประเภทนี้มาโดยตลอด

จนกระทั่งเข้ามาเรียนที่ ม.ศิลปากร เราจะเช่าหนังสืออ่านที่ร้านต้นสน แถววังหลัง คือเช่าอ่านทุกวันค่ะ อย่างน้อย ๆ ก็ครั้งละ 2 เล่ม จนเจ้าของร้านยังจำได้ แล้วลักษณะการอ่านก็เหมือนเดิมค่ะ เรียกได้ว่า พอไม่มีวิชาเรียน ก็จะมานั่งอ่านหนังสือ อ่านทั้งนิยาย และการ์ตูน บ้าง จะไม่ใส่ใจในเรื่องการเรียนเท่าไหร่ จะไปอ่านหนังสือเรียนตอนช่วงสอบอย่างเดียว (หัวเราะเบา ๆ) แล้วโดยส่วนตัวจะชอบงานเขียนของ กิ่งฉัตร ทมยันตี ทั้ง 3 นามปากกา แก้วเกล้า ว.วินิจฉัยกุล และ โบตั๋น ตามทุกเรื่องเลย เพราะว่าสำนวนและเนื้อหาถูกใจ และส่วนใหญ่คาแร็กเตอร์ผู้หญิงจะไม่อ่อนแอ เราไม่ค่อยชอบนิยายที่นางเอกอ่อนแอเท่าไหร่

เขียนไดอารี่จากความฝัน

สมัยเรียนมัธยม เคยเขียนบทและแสดงละครเวที ตอนนั้นก็ได้รางวัลจากการเขียนบทเยอะอยู่ แต่ไม่ได้เรียนด้านการเขียนบท เอาตามความเข้าใจของตัวเอง เหมือนกับเราเขียนมาจากที่เราได้อ่านจากนวนิยายมา หลังจากนั้นก็จะมีในลักษณะเขียนไดอารี่บ้าง ซึ่งไม่ใช่แบบเขียนในชีวิตประจำวัน เป็นแบบว่า เขียนจากความฝันในแต่ละคืนที่ผ่านมา ว่าเราได้ฝันอะไรไป ว่าเราหลับแล้วฝันอะไร คือจำความฝันตัวเองได้แล้วเอามาเขียน ซึ่งจุดตรงนี้เองก็น่าจะเป็นในเรื่องพื้นฐานการเขียนของเราด้วย น่าจะมีส่วนอยู่เหมือนกัน เพราะจำได้ว่า การเขียนของเราจะเป็นแนวแฟนตาซีมาก แต่เราก็ทิ้งช่วงการเขียนมายาวเลย ตั้งแต่เรียนมหาลัยจนถึงอายุ 30 เพราะว่าเราก็ไปทำงานด้านอื่น ซึ่งก็ได้พบเจอผู้คนหลายระดับ เนื่องจากทำหลายงาน พอเบื่อแล้วก็ลาออก ก็สมัครที่ใหม่ เป็นอาชีพใหม่ไปเลย 

จุดเริ่มต้นเขียนหนังสือ

ตอนนั้นเล่นเกมพีซีออนไลน์ ชื่อว่า มังกรหยก ซึ่งพอเล่นไป มันก็จะมีโปรแกรมแชท เราก็แชทไป พอแชทไปก็จะมีคนทื่ติดสำนวนเรา ประมาณว่าชอบสำนวนเรา ก็มาตามเราเป็นลูกน้องเราในเกม แล้วเขาก็บอกเราว่า ‘พี่น่าจะเขียนนิยายนะ อ่านแล้วสนุก’ เพราะเวลาที่เราเล่าเรื่องต่าง ๆ เราเล่าด้วยความสนุกจากสิ่งที่เรารู้ เลยลองเขียนดูก็ได้ตามลูกยุ (หัวเราะ) เริ่มเขียนหนังสือมาตั้งแต่ 2549 แล้วก็เขียนมาตลอด จริง ๆ เราก็ได้รับการติดต่อหลังไมค์ให้มาเขียนให้ เพราะก่อนหน้านี้เราเขียนลงออนไลน์ในเว็บพันทิป จนเราตกลงทำสัญญา ก็ลาออกจากงานประจำเลย

ผลตอบรับ

ผลตอบรับดีตั้งแต่เรื่องแรกคือ มิติรักข้ามดวงดาว แล้วพอมาเรื่องที่ 2 สายลับลิปกลอส ผลตอบรับก็ดีมากเลย ต่อด้วย ปักษานาคา ที่ลุยไปป่าหิมพานต์ จนมาถึงเรื่อง ชายพรหม เรื่องนี้ก็ถล่มทลาย เป็นแนวพีเรียด อย่างเรื่อง ดาวเกี้ยวเดือน ก็ได้รับรางวัล Voice Award จากเว็บเด็กดี แล้วตอนหลัง ๆ ก็มาลงในออนไลน์ ซึ่งเราก็มีเป็นรูปเล่มมาตั้งแต่เรื่อง สายลับลิปกลอส แล้ว ผู้อ่านในตอนนั้นจะเป็นในแบบวัยทำงานมากกว่า ซึ่งเขาบอกว่า สำนวนหรือพลอตที่เขียนแบบสดดี เหมือนกับว่าไม่เหมือนสำนวนทั่ว ๆ ไป สำนวนคือสื่อถึงคนอ่านได้ทันที ซึ่งเขียนอยู่ประมาณ 3 ปี 10 กว่าเรื่อง ก่อนที่จะมาถึง บุพเพสันนิวาส

ที่มานิยาย บุพเพสันนิวาส

ตั้งแต่ปี 2549 เลย คิดไว้เลยว่าอยากจะเขียนนิยายอิงประวัติศาสตร์สักเรื่องนึง เพราะสนใจในด้านนี้อชอบอะไรที่มันเป็นไทย ๆ และเป็นอะไรที่เป็นประวัติศาสตร์อยู่แล้ว เคยอ่านนิยายหลาย ๆ เล่ม ที่เป็นแนวนางเอกย้อนยุค หรือแนวโบราณบ้าง ก็เกิดความรู้สึกว่าอยากเขียนจัง จึงเริ่มเก็บข้อมูลมาตั้งแต่ 2549 ไปหาข้อมูลทั้ง หอสมุด ม.ศิลปากร และหอสมุดแห่งชาติ และมีอินเทอร์เน็ตนิดหน่อย  พอหลังจากที่แต่งเรื่องดาวเกี้ยวเดือนจบ ก็มาแต่งบุพเพสันนิวาส และ ดาวเคียงเดือน ซึ่งเป็นดาวเกี้ยวเดือนภาคพิเศษ เรื่องละ 1 เดือน แล้ว 3 เรื่องนี้ จะแต่งแบบติด ๆ กันเลย เหมือนไฟกำลังมา แต่บางช่วงก็มีเหมือนกันที่เขียนไม่ได้เลยก็มี ซึ่งเรื่องนี้ก็ใช้เวลาเขียน 1 เดือน 29 ตอน แต่ก็จะมีช่วงหยุดตรงที่ตัวเอกเข้าหอ ที่จะเข้าช่วงประวัติศาสตร์ที่เครียดหน่อยแล้ว ตรงนั้นจะหยุดนานไปหน่อย หยุดจนคนอ่านบ่นว่า ทำไมตัวเอกโล้เรือสำเภานานจัง ฟ้าเหลืองหมดแล้ว (หัวเราะ) ตอนนั้นหยุดไป 3-4 วันได้ ก็กลับมาเขียนต่อจนจบเลย

จากเรื่องวิชาการ มาแปลงเป็นงานเขียนนวนิยาย 

ตอนที่เขียนในตอนนั้น ถือว่าสนุกมาก เพราะว่าเรื่องนี้ก็เขียนในออนไลน์ แล้วก็จะมีคนตอบโต้มาตั้งแต่เรื่องดาวเกี้ยวเดือนแล้ว แล้วพอเรามาเขียนเรื่องนี้ ก็เหมือนกับว่าคนที่อ่านเรื่องก่อนหน้านี้ มาอ่านเรื่องนี้ต่อเลย ก็ยิ่งทำให้คนอ่านแบบปากต่อปาก เนื่องจากเราเขียนวันละตอนเลย เขียนจบและโพสต์เลย แล้วเราก็มีข้อมูลอยู่ในหัวอยู่แล้ว เรารู้แล้วว่าเราจะเขียนไปแนวไหน แล้วเราจะเขียนอะไรบ้าง เพราะเราศึกษาและรวบรวมข้อมูลมานานไงคะ แล้วตกตะกอนกับที่เราอยากเขียนพอดี วันละตอนจนจบเลย เหมือนอารมณ์คนอ่านก็จะประมาณว่า จบแล้วเมื่อไหร่จะมีตอนใหม่ซะที ตอนเช้าเขาจะเล่าให้ฟังว่ามาเปิดคอมพ์รอแล้ว ซึ่งเขาก็รู้นะคะว่าเราแต่งสด แต่งปุ๊บโพสต์ปั๊บ ซึ่งถ้ามีเรื่องผิดพลาด เราก็จะแก้ทันที ซึ่งตอนนั้นก็ถือว่าเป็นข้อดีอย่างหนึ่งในตอนนั้นด้วย

เนื้อเรื่องต้องไม่เครียดอ่านได้ทุกวัย

โดยปกติเราก็จะเขียนนิยายโรแมนติกคอเมดี้อยู่แล้ว แล้วการเขียนนิยายอิงประวัติศาสตร์ มาจากความรู้สึกว่า หลายเรื่อง ๆ ในส่วนนี้มันรู้สึกเครียด แล้วเราจะใส่ไปยังไงไห้ไม่รู้สึกเครียดมากนัก เราก็เลยใช้วิธีในสไตล์ของเราเข้าไป ก็พยายามให้ไม่เครียดมากนัก เพราะว่าเราก็รู้สึกเหมือนกันว่า พออ่านหนังสือที่มันเครียด ๆ เราก็รู้สึกว่าไม่ค่อยอยากอ่าน เราก็จะอ่านไม่จบ เราเองก็ไม่อยากเครียดด้วย เราอยากให้คนอ่านได้สนุกสนานไปกับสิ่งที่เราสื่อ สนุกสนานกับข้อมูลที่เราย่อยไปให้ และอยากให้คนทุกเพศทุกวัยได้อ่าน โดยเฉพาะถ้าให้เด็กอ่าน จะให้รู้สึกว่าไม่น่าเบื่อ เราเลยให้เกศสุรางค์ที่เป็นคนยุคปัจจุบัน ที่หลุดเข้าไปในอดีต ก็จะให้เขาเป็นคนที่ล้น ๆ หน่อยค่ะ

อีกอย่างเรารักในเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ ซี่งเราอยากจะสื่อสารออกไป และเราก็รักในงานเขียนของเราด้วย และเราก็รักในแฟนคลับเราด้วย ให้เขารู้สึกว่าคุ้มค่าที่ได้อ่าน ซึ่งพอแต่งจบ ก็จะเป็นรูปเล่ม เราก็รู้สึกว่าไม่เสียดายเงินที่ได้ซื้อนิยายของเราไป ก็เลยต้องพยายามให้ที่สุดเลย ซึ่งตอนนี้เราก็คิดแบบนี้อยู่

จากนิยายสู่ละคร

ถือว่าสำเร๊จเกินกว่าที่คาดมาก ซึ่งตอนแรกที่จะเอามาทำเป็นละคร ก็เคยพูดกับพี่หน่อง อรุโณชา ว่าถ้าทำเรื่องนี้ให้ดี มันจะเป็นตำนานเลยนะคะ เราบอกพี่เขาไปอย่างงี้เลย แล้วทางทีมละครก็ตั้งใจมาก แล้วคนเขียนบทโทรทัศน์ ก็ได้ อ.ศัลยา (สุชะนิวัตติ์) ซึ่งท่านก็ดีมาก แล้วพอมารวมกับ คุณใหม่ (ภวัต พนังคศิริ) ก็ยิ่งทวีคูณไปอีก เพราะเขาอ่านนิยายไงคะ ก็จมไปในเนื้อเรื่องเลย เลยทำออกมาค่อนข้างตรงกับนิยาย อาจจะมีการเพิ่มสีสันในตัวละครให้เด่นชัดขึ้นตามภาษาศาสตร์ของละครเลย

แล้วพอมาได้ดูแบบละครก็สนุกค่ะ อาจจะมีการลำดับที่แตกต่างกันบ้าง แต่ตัวบทค่อนข้างตรงกับนิยายเลยค่ะ เพราะ อ.ศัลยาท่านบอกว่า ก็เขียนบทละครตามนิยายเลย และจะไม่ลดลง อาจจะเพิ่มให้สมบูรณ์ขึ้น เพราะบางอย่างในนิยายบางจุดอาจจะไม่ชัดเท่าไหร่ แล้วท่านก็จะเน้นให้ชัดขึ้น ก็จะมีสีสันเพิ่มขึ้นมา อย่างเวลาที่ทีมงานกำลังทำละคร ก้จะมาปรึกษาเราตลอด แล้วเราก็แนะนำหลาย ๆ อย่างให้เขา ซึ่งทางทีมงานด้านฝ่ายศิลป์ ก็จะมีการลงพื้นที่ทั้งอยุธยาและลพบุรี เราก็ได้ไปดู และชี้ให้ดูว่าตรงไหนเป็นตรงไหน

ใช้ความชอบประยุกต์เข้ากับนิยาย

เรียนจบเอกประวัติศาสตร์ศิลปะ มันเป็นคนละศาสตร์กัน เพราะวิชานี้จะศึกษาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ทางศิลปะทั้งหมด ทั้งวัตถุโบราณ สถานโบราณ เน้นในด้านศิลปะ พวกปูนปั้น พวกลวดลาย เพราะว่ามันจะบอกยุคสมัยได้ด้วย ลักษณะของพระพุทธรูปว่ามันจะสืบเนื่องกันยังไง หรือรูปปูนปั้นมันเป็นความนิยมสมัยไหน ดูลวดลายแล้วสืบเนื่องว่าเป็นยุคไหน แล้วที่เราเรียนมันจะเน้นไปทางตะวันตกซะมากกว่า อย่างสารนิพนธ์นี่คือทำเรื่องของยุโรปด้วย ซึ่งไม่ค่อยยุ่งเกี่ยวกับของไทยซะเท่าไหร่ แต่ก็เป็นความชอบส่วนตัวในเรื่องประวัติศาสตร์มังคะ แต่มันก็มีส่วนช่วยในเรื่องจินตนาการอยู่นะคะ เพราะเวลาที่เราเห็นวัตถุโบราณ เราก็จะคิดแล้วว่าคนเคยจับนั้นมันจะเป็นยังไง เพราะมันเป็นเรื่องราว ทำให้ตัวเกตุสุรางค์ก็เลยตื่นตาตื่นใจ ทำให้เรามีความรู้สึกเดียวกันได้ เพราะเราชอบในด้านนี้ พอมาเจอของจริง ก็จะตื่นเต้นหน่อย

ปัจจัยที่ทำให้ละครเรื่องนี้โด่งดังมาก

อาจจะเป็นเพราะว่า นางเอกที่เป็นคนยุคปัจจุบัน ที่ไปอยู่ในร่างของคนในอดีต ทำให้ความคิดความอ่านของคนปัจจุบันมันเชื่อมโยงกันได้กับคนดู มันทำให้คนดูมีความรู้สึกว่า ถ้าคนดูเป็นเกตุสุรางค์จะรู้สึกยังไง มันเลยทำให้มีความเอาใจช่วยนางเอก ก็เลยทำให้คนชอบละครเรื่องนี้ เพราะเหมือนตัวเองไปเที่ยวเอง แล้วด้วยเจตนาของการเขียนแต่แรกอยู่แล้วาอยากสอดแทรกประวัติศาสตร์ให้คนอ่านรู้สึกชอบ รู้สึกเหมือนเรา ตอนที่เขียนนี่คือพยายามเขียนให้มันคลุมเครือเข้าไว้ แล้วประวัติศาสตร์ช่วงนั้นมันมีหลายกระแสมาก เราจึงต้องเลือกพล็อตแบบ โรแมนติก-คอมเมดี้ ก็เลยมาเป็นบุพเพสันนิวาส นี่แหละค่ะ 

ตอนที่เขียนคือพยายามสร้างคาแร็กเตอร์ของตัวละครที่เป็นคนจริง ๆ ในประวัติศาสตร์สมัยก่อน อาจจะมีการเติมแต่งในบางส่วน อาจจะมีบิด ๆ บ้าง ในบางส่วนของการกระทำ เพื่อให้เขาเป็นมนุษย์จริง ๆ เพราะว่าเขาอาจจะมีดี มีเลวอยู่ในตัว แล้วในข้อมูลทางประวัติศาสตร์ก็เป็นการเล่าแบบทื่อ ๆ จากการมองของคนในสมัยนั้น แล้วเล่าต่อ ๆ กันมา ก็อาจจะผิดเพี้ยนไป เราก็ใช้ส่วนนี้ค่ะ เป็นส่วนที่เราแทรกเข้าไป เหมือนกับเราต่อจิ๊กซอว์เข้าไป แล้วเสริมจินตนาการแทรกระหว่างประวัติศาสตร์ที่เราเลือกมาแล้ว แล้วมาร้อยให้เป็นหนึ่งเดียวกัน

ถูกละเมิดลิขสิทธิ์

โดยส่วนตัวเรา ก็ไม่ได้ซีเรียสมากนัก ก็ให้เป็นไปตามกฎหมาย และไม่ได้ส่งผลอะไรมากนัก เพราะว่าเจอบ่อย เจอมาตั้งแต่เขียนนิยายมาจนถึงตอนนี้ แต่ช่วงปีที่ผ่านมาจนคาบเกี่ยวมาจนถึงปีนี้ อาจจะหนักหน่อย เพราะว่าพอเจอเรื่องหนัก ๆ ก็รู้สึกเหมือนชินชา แต่ก็เป็นไปตามกฎหมาย อีกอย่าง ก็มีคนให้กำลังใจเราเยอะด้วยมังคะ มีคนเห็นใจเข้าใจเราเยอะ เราก็รู้สึกว่ามันก็ได้เลวร้ายเสมอไป ซึ่งความเลวร้ายมันก็มีอยู่แล้ว แต่ความดีงามมันก็มี จากคนรอบข้างที่เขากำลังใจเรา ต่อให้ทุกข์ใจไปมันก็เท่านั้น ในเมื่อมันเกิดไปแล้ว ก็ทำให้ดีที่สุด เอาตามเท่าที่ได้ค่ะ เพราะกฎหมายฉบับนี้ มันก็ยากเหมือนกัน ถ้าเราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับคนทำผิด ก็ไม่สามารถแจ้งความได้ต้องสืบค้นกันไป ซึ่งถ้าไม่ได้จริง ๆ ก็คือไม่ได้ค่ะ ไม่สามารถสืบหาคนทำผิดได้ มันก็รู้สึกไม่ค่อยดีหรอกค่ะ แต่ในเมื่อเราทำดีที่สุดแล้ว ก็ต้องยอมรับในสิ่งที่เป็น

ทิศทางต่อไป 

เราคิดว่ามันเป็นกระแสในช่วงนี้ แต่เดี๋ยวละครจบกระแสก็คงซา เพราะฉะนั้นถ้าใครคิดจะทำอะไรที่จะทำให้กระตุ้นเศรษฐกิจ กระตุ้นรับความเป็นไทย ตอนนี้ต้องรีบทำเลยค่ะ เราแทบไม่ปฎิเสธเลย ถ้าให้ไปพูดตามงานต่าง ๆ คือพยายามช่วยเขาให้มากที่สุดค่ะ เพราะเรารักในผลงานเรา ก็ไม่คาดคิดว่ามันจะมาถึงขนาดนี้ด้วยค่ะ อาจจะคิดแค่ว่ามีชื่อเสียงในระดับหนึ่ง เพราะเราก็เขียนงานให้เป็นปกติธรรมดา แต่ก็ไม่สามารถให้คนไปอ้างอิงได้ เนื่องจากมันเป็นนิยาย แต่ก็อยากให้คนอ่าน อ่านแล้วนึกฉุกใจว่า ที่เราเขียนไป มันใช่หรือเปล่า แล้วไปค้นคว้าเอง อาจจะมีการแลกเปลี่ยนความรู้กัน เพื่อให้เกิดความสนใจและศึกษาค่ะ ซึ่งถ้าเป็นประตูบานแรกสำหรับผู้ที่อยากศึกษา ไปค้นคว้าต่อ ถือว่าสมใจนึกเลยนะคะ เพราะคิดแบบนี้ในตอนช่วงที่เริ่มเขียนเรื่องนี้อยู่แล้ว ซึ่งถ้าจะมองก็ขอให้มองผ่านทางเกศสุรางค์ แล้วตัวละครนี้ก็ไม่รู้ว่าคนที่เขามองนั้น เป็นแบบที่เขาคิดจริง ๆ หรือเปล่า คือพยายามเขียนให้เป็นประมาณนี้ แล้วให้คนอ่านฉุกคิด ว่าแล้วเรื่องราวมันเป็นยังไง ทำนองนี้ค่ะ.

เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ภาพ : Facebook Fan Page : รอมแพง

ที่มา : mgronline.com/onlinesection/detail/9610000023892

]]>
1161264
อิทธิฤทธิ์ “ออเจ้า” ไม่ใช่แค่กระชากเรตติ้ง แต่เรียกโฆษณาคืนจอ กระตุ้นสินค้าเกาะกระแส เรียลไทม์ มาร์เกตติ้ง เต็มโซเชียล https://positioningmag.com/1160723 Thu, 08 Mar 2018 10:38:51 +0000 https://positioningmag.com/?p=1160723 ยอมรับมาเสียดีๆ วันนี้ใครก็อปปี้ เมนู “ออเจ้า” เตรียมตั้งวงหมูกระทะดูบุพเพสันนิวาสกันบ้าง เพราะกลายเป็นฉากที่ทุกคนเฝ้ารอว่าออเจ้าจะเสิร์ฟหมูกระทะท่าไร

แต่เชื่อแน่ว่า หลายคนคงได้จัดเมนูมะม่วงน้ำปลาหวานล้างปากหลังอาหาร หรือไม่ก็กุ้งย่างจิ้มน้ำจิ้มแซ่บๆ กันไปแล้ว

อิทธิฤทธิ์ “ออเจ้า” นี่ช่างแรงนัก อย่าได้เอ่ยอะไรออกมาจากปาก มีอันต้องฮิตติดแฮชแท็คกันเลยทีเดียว

แค่ออกอากาศสัปดาห์ที่สาม จากกระแสระดับประเทศ ก็ขยายสู่ระดับโลก ด้วยการคว้าแฮชแท็กอันดับหนึ่งในทวิตเตอร์ไปครอง จาก #บุพเพสันนิวาส

สงสารอย่างเดียวก็คือ “รอมแพง” เจ้าของบทประพันธ์ที่ต้องเจออาการเหมือนได้ลาภแต่ต้องฟาดเคราะห์ ถูกเผยแพร่บทประพันธ์เสียหมดเปลือกจนถึงขั้นต้องฟ้องร้องกัน เฮ้อ… นี่มันอาการไม่ต่างจากถูกหวย 30 ล้านเลยนะ แต่แบบว่า ปล้นกันซึ่ง ๆ หน้า เลยได้อายกันไปทั้งบางกันเลยล่ะออเจ้า

แต่ที่แน่ๆ งานนี้ทำให้หลายคนสงสัยไม่ได้ว่า บาร์บีคิวพลาซ่า เจ้าของมาสคอตมังกรบาร์บีก้อน จะมาร่วมเขียนบทโทรทัศน์ Tei-in หมูกระทะเข้าไปในบทของออเจ้าการะเกดหรือเปล่า เพราะหลังฉากออกเจ้าเกิดไอเดียจะกินหมูกระทะ จนเป็นเหตุให้ต้องออกไปสั่งทำกระทะแล้วนั้น

ระหว่างพักโฆษณาของ เสิร์ฟความนัวอีกครั้ง “สุขนัว” ของบาร์บีคิวพลาซ่า ซึ่งเผยแพร่ในยูทูบเมื่อวันที่ 5 มีนาคม ที่ผ่านมา ก็แทรกเข้ามาได้จังหวะพอดี ซึ่งเป็นโฆษณาสำหรับโปรโมชั่น สำหรับเมนูทั้งย่าง ทั้งซด พร้อมซุปสไตล์จิ้มจุ่ม กับน้ำจิ้มแจ่ว น้ำครบเครื่องในราคา 599 บาทในช่วงนี้ถึงช่วงเทศกาลสงกรานต์ 6 มีนาคม – 15 เมษายน 2561 ที่บาร์บีคิวพลาซ่า เฉพาะสาขากระทะทองเท่านั้น

ส่วนในแฟนเพจบาร์บีคิวพลาซ่า ก็ไม่รอช้าโพสต์ภาพพี่ก้อนใส่ชุดย้อนยุค ด้านหลังเป็นเรือนไทย ยืนถือกระทะ พร้อมกับแคปชั่นว่า “ที่ไหนรับส่งของข้ามมิติมั้ยครับ อยากส่งกระทะไปให้ออกเจ้าการะเกด” กลายเป็น “ไวรัล” เรียกได้ทั้ง ไลค์ เม้นท์ แชร์ ไปเต็มๆ

บุณย์ญานุช บุญบำรุงทรัพย์รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร แบรนด์บาร์บีคิวพลาซ่า บริษัท ฟู้ดแพชชั่น จำกัด บอกถึงที่มาว่า เป็นส่วนหนึ่งของการวางแนวทางให้บาร์บีคิวพลาซ่า เป็นแบรนดเลิฟ ให้มีความเป็นมนุษย์สูง โดยมี “บาร์บีก้อน” เป็นตัวแทนของแบรนด์ ที่เปรียบเสมือนเป็นคน พูดคุยกับลูกค้า รู้ว่ากระแสไหนมา และเป็นกระแสบวก ก็จะเข้าไปอยู่ร่วมในหตุการณ์  ซึ่งเป็นแนวทางสำคัญที่ทุกคนต้องมองเห็นร่วมกันก่อน

ดังนั้นเมื่อละครเรื่องนี้อยู่ในกระแสความสนใจ และมีเหตุการณ์ที่เชือมโยงกับแบรนด์อย่างกรณีหมูกระทะในละครที่ออนแอร์ไปเมื่อคืน  ทีมงานที่รับผิดชอบในเรื่องออนไลน์ จึงคิดและทำได้ทันที ไม่ต้องรอขออนุมัติ เพราะคีย์ซักเซสที่สำคัญการทำเรียลไทม์ มาร์เก็ตติ้งคือ “ความเร็ว” “เก่งไม่กลัว แต่กลัวช้า” เป็นเรื่องจริง ดังนั้นแบรนด์ต้องดูจังหวะ และฉวยโอกาสได้ก่อน รวมทั้ง “ข้อความ”เองต้องมีความคมและกลมกล่อมจึงจะสำเร็จ

“ก่อนหน้านี้ เราก็พาบาร์บีก้อนไปอยู่ในหลายเหตุการณ์ที่เป็นเรียลไทม์มาร์เก็ตติ้งมาแล้ว อย่างเรื่องนี้ ต้องให้เครดิตทีมงาน ที่เขาเข้าใจแนวทางแล้วก็ทำได้เลย  กระแสออนไลน์ต้องเร็ว”

ต่อจากนี้ จะมีการออกโปรโมชั่นออกมาโดยเร็ว เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกว่าเขาได้รับประโยชน์ต่อเนื่อง จากการมีส่วนร่วมกับแบรนด์ หลังจากได้ในเรื่องความสนุกมาแล้ว

ไม่ใช่แค่ บาร์บีคิวพลาซ่า แต่สินค้าอีกหลายประเภทต่างๆ พากันกลยุทธ์ “เรียลไทม์ มาร์เก็ตติ้ง” เกาะกระแสความดังของแม่นางการะเกดกันถ้วนหน้า

อิทธิฤทธิ์ “มะม่วง น้ำปลาหวาน” เมนูสุดแซ่บในละคร  ที่ออเจ้าการะเกด ปิ๊งไอเดีย ทำให้คนในเรือนรับประทาน  ระหว่างนั้นแอดมินเพจเซเว่น ไม่รอช้า จัดให้ทันควันระหว่างละครออนแอร์ โชว์ภาพดูสด”บุพเพสันนิวาส” พร้อมถาดมะม่วงน้ำปลาหวาน จัดต่อด้วยข้อความว่า “ไม่กงไม่กลับแล้วบ้าน กลับไม่ทัน #ออเจ้า แวะดูกันที่เซเว่นเลยละกัน เห็นบอกจะทำมะม่วงน้ำปลาหวาน แอดนี่เปี้ยวปากรีบจัดก่อนเลยจ้าดีนะ #ออเจ้า ไม่อยากกินข้าวผัดกระเพรา

เรียกเสียงตอบรับจากลูกเพจ รีบแวะไปเซเว่นหาซื้อมะม่วงน้ำปลาหวาน บางรายบอกว่าไปไม่ทัน ของหมดแล้ว

ในไลน์ ออฟฟิสเชียลของประกันภัยค่ายฝรั่งอย่าง AIA  ไม่ยอมน้อยหน้า ส่งภาพทั้งหมูกระทะบนเตาร้อนๆ พร้อมระบุแคลลอรี่  375 แคล และมะม่วงน้ำปลาหวาน 150 แคล พร้อมข้อความว่า “เมนูสุดโปรดของออเจ้า ก่อนทานเช็คแคลกันสักนิดนะขอรับ

สายการบินอย่างแอร์เอเชีย ยังส่งข้อความในไลน์ว่า “ออเจ้า อย่ามัวชม้อยชายตา รีบมาจับจอง  Big Sale กันนะเจ้าคะ“

ในขณะที่ ท็อปส์ มาร์เก็ต เกาะกระแสละครเรื่องนี้มาตลอด ปล่อยโฆษณาในทวิตเตอร์ ออกมาหลายชิ้น

แม้แต่ เจ้าของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ อย่าง shopee ก็ยังเกาะกระแสออเจ้าด้วยคนแก้ลำด้วยการไม่ต้องให้ลูกค้าไปช้อปที่ไหน แต่ให้มาสั่งซื้ออนไลนได้ทันที “ออเจ้า ไม่ต้องทะเวนหาที่ไหน ชม้อยชายตามาทางนี้ SHOPEE มีทุกอย่าง”

นอกจากนี้ บรรดาเมนูอาหารสุดฮิตในละคร ยังครอบคลุมไปถึง กุ้งเผาตัวใหญ่สดๆ จับที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา พร้อมน้ำจิ้มซีฟู๊ดสุดแซ่บ ที่ออเจ้าการะเกดจัดให้รับประทานกันทั้งเรือน จนทำให้ในโลกโซเชียลเพรียกหา เมนูนี้กันพร้อมพรั่ง บางรายถึงกับบอกว่า วันหยุดนี้ต้องจัดให้ได้

ใน 4 ตอนแรกกระแส ”บุพเพสันนิวาส” สร้างกระแสคนแห่ไปเที่ยววัดไชยวัฒนาราม ที่อยุธยาในเสาร์-อาทิตย์ที่ผ่านมาคนคนล้นแน่นวัดมาแล้ว  สัปดาห์นี้มาดูว่า อิทธิฤทธิ์ของแม่นางการะเกด จะลามไปถึงบรรดาร้านกุ้งเผา ที่ขึ้นชื่อของเมืองอยุธยาให้แน่นขนัดตามไปอีกหรือไม่

เรียกโฆษณาคืนจอ

อ่อ การได้เห็นโฆษณาหมูกระทะแบรนด์ดังในจอทีวีแบบนี้ ต้องบอกเลยนะว่า เป็นปรากฏการณ์ที่หายไปนาน ถ้าไม่บอกว่าเป็นเพราะออเจ้า แล้วจะให้บอกว่าเป็นเพราะอะไร ก็เดี๋ยวนี้คิวโฆษณา ก็ไม่ได้แน่นเหมือนเมื่อก่อนแล้วปะเจ้าคะ

ก่อนบุพสันนิวาสออนแอร์ ช่อง3 สามารถขายโฆษณาล่วงหน้าไปได้เพียง 70% ของเวลาโฆษณาทั้งหมด เพราะเอเจนซี่ยังไม่แน่ใจในละครชุดใหม่ว่าจะปังแค่ไหน เพราะละครล็อตก่อนหน้านี้ก็แป๊กไปหลายเรื่อง ขนาดละคร”เสน่ห์นางงิ้ว” ของค่ายแอคอาร์ต เจนเนอเรชั่น การันตีโดย พงพัฒน์ วชิรบรรจง ที่เคยประสบความสำเร็จอย่างสูงจาก”นาคี” ในปี 2559 แต่”เสน่ห์นางงิ้ว” กลับได้เรตติ้งต่ำที่สุดของช่องในปีนี้ ด้วยเรตติ้งเฉลี่ยเพียง  2.08 เท่านั้น

แต่เมื่อบุพเพสันนิวาส ออกอากาศเพียงตอนแรก กระแสก็มา ทำให้โฆษณาติดต่อเข้ามา จนทำให้สัปดาห์นี้แน่นเอียด ทุกเบรก ทุกจอ

นอกจากนี้ ยังมีสถิติยอดคนดูสดทางออนไลน์ ที่เวป Ch3thailand.com พร้อมๆกัน มีสถิติถึง 500,000 คนทำให้ยอดผู้เข้าเวปช่อง 3 จากข้อมูลของ Truehits เมื่อวันที่ 7 มีนาคม ติดอันดับสูงสุดอันดับ 7  มียอดคนเข้าเวปถึง 561,103 ราย มากที่สุดในบรรดาช่องทีวีดิจิทัลด้วยกัน

ส่วนในเว็บ เมลโลของช่อง 3 ก็เริ่มมีโฆษณาเข้า สถิติคนดู ”บุพเพฯ” ตอนล่าสุดเป็นล้านวิวแล้ว และยอดคนเข้าดูในตอนที่ 1–4 ก็อยู่ในระดับ 6-8 ล้านวิว

เรตติ้งแซงหน้า”นาคี” 

เมื่อ”นาคี”คือละครผลงานสร้างชื่อของช่อง 3 ในปี 2559 ที่สร้างเรตติ้งเฉลี่ย 10.902  โดยที่ตอนจบได้สูงสุด 17.291  แต่ใน 4 ตอนแรกของ ”บุพเพฯ” แม้ว่าจะแรงมาก แต่ยังไม่เกินหน้า ”นาคี“ แต่ปรากฏว่าตอนที่ 5 ออกอากาศไปเมื่อวาน (7 มีนาคม 2561) เรตติ้งแรงแซง ”นาคี” ไปเรียบร้อย โดยเจ้าแม่”นาคี”ได้เรตติ้งเฉลี่ยทั่วประเทศ ในตอนที่ 5 ไปที่ 10.173 ในขณะที่ “บุพเพสันนิวาส” ได้ไปถึง 11.354

โดยแยกเป็นเรตติ้งในพื้นที่กรุงเทพฯ  14.171  และต่างจังหวัดอยู่ที่  9.694  ชนะทุกรายการทุกช่องในวันเดียวกันทั้งหมด

เมื่อเทียบกับละครเรื่องอื่นๆในช่วงเวลาเดียวกันของวันที่ 7 มีนาคม “บุพเพสันนิวาส” ชนะทั้งละครบู๊ “มือปราบเหยี่ยวดำ” ช่อง 7 ที่ได้เรตติ้งเฉลี่ย  5.513 , รายการ I can see your voice  ช่องเวิร์คพอยท์ ที่เรตติ้งตกต่ำกว่า  2  มาอยู่ที่ 1.992  และละครเพลงลูกทุ่ง “ดาวจรัสฟ้า”ช่องวัน ที่มาในจังหวะไม่ดี ออกอากาศตอนแรกได้เรตติ้งไปเพียง 1.795.

]]>
1160723
เปิดวาร์ป #บุพเพสันนิวาส ละครพีเรียด แต่ทำไมถึงปังทั้งออนแอร์-ออนไลน์ https://positioningmag.com/1158406 Fri, 23 Feb 2018 01:10:26 +0000 https://positioningmag.com/?p=1158406 ละครล็อตใหม่ของช่อง 3 กำลังกลับมา หลังจาก ”เงินปากผี” ที่สร้างความหลอน สยองขวัญจนเรตติ้งพุ่งในล็อตละครหลังข่าววันจันทร์ อังคาร ตามมาด้วย “บุพเพสันนิวาส” ที่เพิ่งลงจอเมื่อวานนี้ (21 ก.พ.)

ผลตอบรับด้านเรตติ้งการออกอากาศวันแรก “บุพเพสันนิวาส” ได้เรตติ้งทั่วประเทศ 3.417 อยู่ในอันดับ 3 โดยที่อันดับ 1 คือ “มือปราบเหยี่ยวดำ” ละครบู๊เรื่องราวของตี๋ใหญ่ทางช่อง 7 และ ”เรือนเบญจพิษ” ละครพีเรียดดราม่าเข้มข้นช่องวัน

แม้ว่าจะเรตติ้งทั่วประเทศเป็นรอง แต่ ”บุพเพสันนิวาส” ได้แชมป์เรตติ้งในพื้นที่กรุงเทพฯ สูงสุดของวัน โดยได้เรตติ้งอยู่ที่ 5.882 เป็นเคสไม่ธรรมดาสำหรับละครที่ออกอากาศวันแรก ก็สร้างเรตติ้งได้ปังขนาดนี้

ยิ่งเมื่อพฤติกรรมคนดูแบบมัลติสกรีน เมื่อเรตติ้งทีวีมา ส่งผลให้เกิดกระแสบนโซเชียลมีเดีย ติดทวิตเตอร์เทรนด์ 2 วันเต็ม ที่ติดใจกับละครแนวพีเรียดแนวตลกขบขัน สร้างความแปลกใหม่ นำมุกขบขันสมัยใหม่ เหตุการณ์ใส่เข้าไปเล่นในละคร ช่วยดึงกลุ่มคนรุ่นต่ำกว่า 35+ เข้ามารับชมละครมากยิ่งขึ้น แทนที่จะเป็นคนสูงอายุที่เป็นฐานผู้ชมดูทีวีในปัจจุบันเท่านั้น

กระแสความแรงของละครเรื่องนี้ ทำให้แบรนด์เสือปืนไวอย่าง ท็อปซูเปอร์มาเก็ต” ขึ้นชื่อในเรื่อง ใช้เรียลไทม์ มาร์เก็ตติ้ง รีบออกแคมเปญโฆษณา อีโน ยาคลายกรดในกระเพาะอาหาร ด้วยคำว่า “บุพเฟ่ต์ฉันมิพลาด” ด้วยฟอนต์ตัวอักษรและรูปเลียนแบบฟอนต์ของชื่อละคร ”บุพเพสันนิวาส” มาใช้ เพื่อเรียกกระแส

ช่อง 3 เอง ก็ใช้จังหวะนี้ โปรโมตแอป mello ของตัวเอง ด้วยการให้ดูย้อนหลังก่อนแอปพันธมิตรอื่นๆ เรียกว่า ได้ทั้งออนแอร์ บวกออนไลน์

ถอดรหัส บุพเพสันนิวาสทำไมถึงปัง

“บุพเพสันนิวาส” เป็นละครที่สร้างมาจากนิยายชื่อดังของ ”รอมแพง” นิยายที่ได้รับรางวัลหนังสือดีเด่นของเซเว่นบุ๊คอวอร์ด ประจำปี พ.ศ. 2553  และยังเป็นนิยายที่มีผู้อ่านเรียกร้องให้สร้างเป็นละครมากที่สุด ต้องใช้เวลารอคอยกันอย่างยาวนาน จนกระทั่งช่อง 3 เข้ามาซื้อลิขสิทธิ์ ค่ายบรอดคาซท์ ของ ”หน่อง อรุโณชา” เป็นผู้จัด เริ่มวางตัวนักแสดง ฟิตติ้ง และใช้เวลาถ่ายทำอีก 2 ปี

เป็นละครเรื่องหนึ่ง ที่ให้ความสำคัญในแต่ละรายละเอียด เช่น ผ้านุ่ง ผ้าสไบสำหรับนักแสดง มีการส่งพิมพ์ลายเลียนแบบลายโบราณที่ต่างประเทศเพื่อให้สมจริงที่สุด ชนิดที่นักเขียนมีอึ้งมาแล้ว

เนื้อเรื่องเกิดสองยุค คือสมัยปัจจุบัน และสมัยพระนารายณ์ ยุครุ่งเรืองทางการค้าของไทยในยุคกรุงศรีอยุธยา เป็นเรื่องย้อนยุค เมื่อ เกศสุรางค์ สาวนักโบราณคดีร่างตุ้ยยุ้ยผู้แสนร่าเริง เกิดอุบัติเหตุ วิญญาณออกจากร่าง แต่พอจะกลับเข้าร่างได้ กลับกลายย้อนเข้าไปอยู่ในร่างของแม่นางการะเกด สาวสวยใจอำมหิต ในสมัยพระนารายณ์ แห่งกรุงศรีอยุธยา ที่แสดงโดย ”เบลล่า ราณี”

พล็อตเรื่องแนวใหม่ของละครพีเรียด ที่เหมือนเอาพล็อตหากินของนิยายเรื่องต่างๆ มาจัดวาง ตั้งแต่พล็อตการที่วิญญาณออกจากร่าง ต้องสลับร่าง แต่งานนี้ไม่ใช้สลับร่างแบบผู้หญิงผู้ชาย หรือคนทั่วไปในสังคม แต่สลับกับร่างย้อนยุคไปหลายร้อยปีกันเลยทีเดียว เรียกได้ว่า เอาทั้งการสลับร่าง และการย้อนยุคเข้าไปในอดีต มาจับรวมพร้อมกันทีเดียว

 

ในขณะเดียวกัน ก็ยังจับเอาพล็อตความฝันสูงสุดของคนอ้วนที่อยากผอม ใส่เข้ามาในละครได้อย่างสนุกสนาน เมื่อ เกศสุรางค์ สาวร่างอ้วนเข้าไปอยู่ในร่างแม่นางการะเกด สาวสวยหุ่นอรชร ทันทีที่สาวอ้วนเห็นตัวเองในกระจก ก็ต้องฮากระจาย นึกว่าฝันไป “ทำไมฝันดีแบบนี้..ฝันว่าผอม“ ย้อนยุคมาผอมมันดีแบบนี้นี่เอง

นอกจากนี้ยังใส่ตัวละครจริงลงไปในเรื่อง เมื่อเกดสุรางค์ในร่างการะเกดต้องแสดงอาการดุ ให้บ่าวเกรงกลัว แต่นึกไม่ออก จึงต้องเปรยออกมา ขอยืมคาแร็กเตอร์ นางร้ายต้นตำรับของจริง ”กิ๊ก สุวัจนี” มาใช้ในเรื่อง ด้วยการทำหน้าเหยียด ปากเบี้ยว จนโลกออนไลน์ไปจับเอารูปจริงในการแสดงของ ”กิ๊ก สุวัจนี” มาเปรียบเทียบกับ ”เบลล่า ราณี”

ฝ่ายพระเอกก็ฉีกกฎแหวกแนวพระเอกหล่อเหลา และเป็นคนดี ไม่แสดงอาการหลุดจากมาดพระเอก มาเป็นหมื่นสุทรเทวา หรือพ่อเดช ที่แสดงโดย “โป๊ป ธนวรรธ์” ​ที่คิดอยากทำอะไรโดยไม่ต้องคีฟลุคพระเอก เปิดมาก็แสดงท่าทางรังเกียจคู่หมั้นอย่างแม่นางการะเกดที่แสนใจร้าย พร้อมทั้งยังพยายามสาปแช่ง ”แม่นางการะเกดไปนรกเสียเถิด” (ฮา)

นอกจากนี้ ในตอนแรก สร้างเรื่องราวเดินเรื่องตัดต่ออย่างกระชับ สร้างความเร้าใจ ใส่ทั้งเวทมนตร์ ไสยศาสตร์ ความฮา โก๊ะของนางเอกอ้วน และความร้ายของนางเอกสวย ที่ช่อง 3 มีการเตรียมทีมตัดต่อการเดินเรื่องใหม่ก่อนออกอากาศ เพื่อต้องการสร้างความพีคให้ได้ทุกเบรก เพื่อตรึงผู้ชมให้อยู่หน้าจอ ไม่กดรีโมตหนีไปช่องอื่นๆ ทันที ที่สำคัญเรื่องนี้ได้ “ศัลยา” นักเขียนบทมือหนึ่งที่การันตีด้วยผลงานรางวัลมากมาย มาเขียนบทละครให้

สำหรับนักแสดงหลักอย่าง ”เบลล่า ราณี” บทนี้เรียกว่าเป็นอีกบทส่งการแสดงของเธอให้ชัดเจนมากขึ้น ความจริงแล้ว “เบลล่า” เริ่มแสดงครั้งแรกๆ ในช่อง 3 จากบทร้ายมาก่อน ในฐานะนางร้ายจากเรื่อง “รอยมาร” ในบทพี่สาวร้ายเงียบของนางเอก “มาร์กี้ ราศรี” มาแล้ว ก่อนที่จะมาดังบทนางเอก ในละครชุด ”สุภาพบุรุษจุฑาเทพ ตอน คุณชายพุฒิภัทร” ที่จับคู่กับ ”เจมส์ จิรายุ”

ภาพจาก : pantip

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้าที่จะมาลงตัวที่ “เบลล่า” ช่อง 3 เคยวางตัว “ชมพู่ อารยา” ไว้ในบทนี้ แต่ชมพู่ติดงานละครซ้อน และต้องการเตรียมตัวท้องเสียก่อน

สิ่งที่สอดแทรกผ่านละครเรื่องนี้ คือการที่คนรุ่นใหม่จะได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ไทยผ่านละคร และยังมีประวัติของ ท้าวทองกีบม้า หรือ มารี กีมาร์ สาวชาวโปรตุเกส ที่มาแต่งงานกับคอนสแตนติน ฟอลคอน ชาวกรีกที่มารับราชการในกรุงศรีอยุธยา มาทำงานเป็นต้นเครื่องในวัง ต้นกำเนิดขนมทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง ในประเทศไทย.

]]>
1158406