ราคาทองคำ – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Mon, 20 Nov 2023 11:07:35 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 คุยกับ 2 ผู้บริหาร GCAP Gold กับมุมมองราคาทองคำ ทำไมถึงยังเป็นสินทรัพย์น่าลงทุนระยะยาวได้ https://positioningmag.com/1452197 Sun, 19 Nov 2023 07:52:43 +0000 https://positioningmag.com/?p=1452197 Positioning พาไปคุยกับ 2 ผู้บริหารของบริษัท จีแคป จำกัด หรือ GCAP Gold ที่จะมาเปิดเผยถึงพฤติกรรมการลงทุนทองคำของคนไทย ปัจจัยอะไรที่ทำให้ราคาทองคำขึ้น-ลง การปรับตัวของบริษัทจากที่เป็นผู้ทองคำรายใหญ่ของไทยได้หันมาเปิดบริการออมทองคำด้วย

วลีที่เราอาจเคยได้ยินบ่อยอย่างมีเงินเค้านับเป็นน้อง มีทองเค้านับเป็นพี่ จะเห็นได้ว่าคนไทยกับทองคำมีความสัมพันธ์มาเป็นระยะเวลานานแล้ว แม้ว่าเวลาผ่านไปทองคำถือเป็นสินทรัพย์อันดับต้นๆ ที่คนไทยให้ความนิยมในการลงทุน ต่อจากการเก็บออมเงินในธนาคาร

แต่หลายคนสงสัยไม่น้อยว่าปัจจัยทำให้ราคาทองคำขึ้นลงในปัจจุบันมีอะไรบ้าง นอกจากนี้ถ้าอยากจะเริ่มออมทองคำนั้นต้องทำอย่างไรบ้าง

Positioning พูดคุยกับ ธนพิศาล คูหาเปรมกิจ ประธานกรรมการบริหารของ GCAP Gold รวมถึง ชัยวัฒน์ สามัคคีนิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร GCAP GOLD ซึ่งเป็น 2 ผู้บริหารรุ่นใหม่ของบริษัท ในหลากหลายมุมมองเกี่ยวกับทองคำรวมถึงธุรกิจของบริษัท

ชัยวัฒน์ สามัคคีนิชย์ – ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร GCAP GOLD (ภาพจากบริษัท)

วิวัฒนาการของการลงทุนทองคำ และปัจจัยขึ้นลงของราคาทองคำ

ธนพิศาล และ ชัยวัฒน์ กล่าวว่าปัจจุบันการลงทุนในทองคำปัจจุบันมีวิวัฒนาการเพิ่มขึ้นเยอะมาก มีหลายผลิตภัณฑ์หลายๆ นักลงทุนสามารถลงทุนในหลายช่องทางได้ และมองว่าตอบโจทย์ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นตั้งแต่ การซื้อทองคำแทง ตลาดซื้อขายล่วงหน้าทองคำ หรือแม้แต่การลงทุนซื้อทองคำแบบซื้อราคาเฉลี่ย (DCA) ที่สามารถออมทองคำได้ตั้งแต่ไม่กี่กรัม จนถึงมูลค่าหลายบาท

2 ผู้บริหารของ GCAP Gold ยังมองว่าสาเหตุสำคัญที่ทำให้คนลงทุนในทองคำคือ ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์สำคัญในโลก คนจะมองว่าอะไรที่เซฟสุด ซึ่งทองคำเป็นสินทรัพย์หนึ่งที่เป็นคำตอบดังกล่าว

ธนพิศาล ยังกล่าวว่า เวลาโลกเกิดเหตุการณ์ต่างๆ ราคาทองคำกลายเป็นกระชากขึ้นและไม่เคยกลับมาที่เดิมเลย และเขายังให้มุมมองว่าหลังเหตุการณ์ 9/11 ที่สหรัฐอเมริกามุมมองของนักลงทุนกับทองคำเปลี่ยนไปอย่างมาก เขายังให้ความเห็นว่าตอนนี้ค่าเงินบาทอ่อนค่า เมื่อเทียบกับช่วงที่ผ่านมา และมองว่าค่าเงินบาทจะอยู่ระดับนี้ 

ขณะเดียวกับ 2 ผู้บริหารมองว่าช่วงเศรษฐกิจถดถอย คนจะสนใจทองคำมากขึ้น ยิ่งมีข่าวสารน่ากังวล ราคาทองคำมักจะมีราคาขึ้น

ขณะที่ชัยวัฒน์ ได้กล่าวถึงปัจจัยราคาทองคำว่า ตอนนี้ตลาดทองคำเดายากมาก แต่เขาเชื่อว่าระยะยาวราคาทองคำน่าจะขึ้นแน่ๆ ขณะเดียวกันทิศทางราคาทองคำมีช่วงที่ราคาซึมๆ ก็มี ไม่ได้มองว่าจะขึ้นตลอด มันมีช่วงเวลาของมัน

ชัยวัฒน์ยังกล่าวเสริมว่า ตอนนี้ตลาดถือว่าเงียบมาก ตอนนี้นักลงทุนเชื่อว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายไม่ขึ้น ตลาดหุ้นก็ขึ้น เขายังมองว่าปีหน้าตลาดสหรัฐฯ จะซบเซาหรือไม่ ต้องดูสภาวะดัชนีค่าเงินดอลลาร์ ถ้าหากดัชนีอ่อนค่าลงอาจไปราคาทองคำอาจกลับมาได้

ธนพิศาล คูหาเปรมกิจ – ประธานกรรมการบริหารของ GCAP Gold (ภาพจากบริษัท)

คนไทยกับการออมทอง

ชัยวัฒน์มองว่าคนไทยชินกับการออมทองมานานแล้ว ตั้งแต่ทองคำในอดีตมีราคาที่ถูกมากสามารถซื้อทองคำสลึงนึงได้ง่ายๆ แต่ปัจจุบันทองคำสลึงนึงถือว่าแพงมาก คนเริ่มศึกษาว่าทำไมทองคำถึงราคาขึ้น คนไทยมีวินัยออมทองคำ โดยลงทุนทีละเล็กละน้อย โดยเขาสังเกตว่าในช่วงของโควิดคนไทยเอาทองคำที่เก็บออมไว้มาขายเยอะมาก

เขายังชี้ว่าคนไทยมีพฤติกรรมออมมานานแล้ว ปัจจุบันวัยรุ่นก็ออมทองคำมากขึ้น นอกจากนี้คนไทยเองยังซื้อ Gift Card ทองคำให้มอบให้คนที่รัก หรือแม้แต่พ่อแม่ด้วย

เขายังชี้ว่าทองคำในฐานะสินทรัพย์อาจไม่หวือหวาเหมือนหุ้น แต่ทองมีความเสี่ยงแต่ไม่มากเท่า มองว่าในกรณีที่แย่สุดราคาของทองคำจะไม่ลดลงมาเหลือ 0 บาทเหมือนหุ้นรวมถึงตราสารหนี้ที่หลายคนมองว่ามีความปลอดภัยก็ยังมีโอกาสไม่ได้รับเงินต้นคืน

นอกจากนี้ทองคำสามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ไว เขายังชี้ว่าพฤติกรรมของคนไทยชอบซื้อทองคำรูปพรรณ แต่ชัยวัฒน์ก็แนะนำว่าถ้าหากจะลงทุนแล้ว แนะนำให้เป็นทองคำแท่งเนื่องจากจะเสียค่าธุรกรรมน้อยกว่า และตลาดมีสภาพคล่องมากกว่า

ผู้บริหารของ GCAP Gold มองว่าควรจะลงทุนทองคำในรูปแบบเงินบาทจะปลอดภัยสุด – ภาพจาก Shutterstock

ชัยวัฒน์ อยากจะแนะนำเพื่อการออม มองว่าซื้อหรือลงทุนในทองคำแบบเป็นเงินบาทจะปลอดภัยสุด เขามองว่าการที่ค่าเงินบาทอ่อนค่าเหมือนกับมีคนถือหางให้ ทำให้ราคาทองคำที่อยู่ในรูปสกุลเงินบาทไม่เหวี่ยงมากเมื่อเทียบกับราคาทองคำในรูปแบบสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ

นอกจากนี้ ชัยวัฒน์มองว่าพื้นฐานเศรษฐกิจไทยเองไม่แย่ แต่ในระยะยาวแล้วเขาเองให้มุมมองว่าค่าเงินบาทของไทยจะอ่อนค่าในระยะยาวจากโครงสร้างของเศรษฐกิจไทยเอง โอกาสค่าเงินบาทระยะยาวโอกาสแข็งค่าน้อยมาก เขาชี้ว่าราคาทองคำในรูปเงินบาทตอนนี้น่าจะขึ้นไปเรื่อยๆ

ในช่วงที่ผ่านมานั้น 2 ผู้บริหารมองว่าพฤติกรรมอีกอย่างของคนไทยคือถ้าหากเศรษฐกิจดีคนก็ซื้อทองคำไว้ เศรษฐกิจที่ไม่ดีคนซื้อน้อยลง แต่ปัญหาคือจะปรับตัวได้กับราคาทองคำที่แพงได้หรือเปล่า ถ้าคนปรับตัวกับราคาทองที่ยืนราคาได้ก็ไม่มีปัญหาอะไร นอกจากนี้คนชอบโทรมาถามที่บริษัทตอนที่ราคาทองคำนั้นแพงที่สุด

สำหรับเรื่องการออมทองคำนั้น ทั้ง 2 อยากให้ออมทองกับบริษัทที่มีความมั่นคง แนะนำให้ดูคู่ค้าว่าเป็นใคร ต้องดูให้ดี และต้องระวังการโดนหลอกจากมิจฉาชีพด้วย เช่น หลอกว่าลงทุนในราคาทองคำถูกกว่า 20% แต่รับเงินปีหน้า แบบนี้ถือว่าโดนหลอก เป็นต้น

ผู้บริหารของ GCAP Gold ชี้ว่าปัจจัยที่น่าติดตามมองในปี 2024 คือเรื่องของค่าเงินดอลลาร์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา – ภาพจาก Shutterstock

ธุรกิจของ GCAP Gold

2 ผู้บริหารรุ่นใหม่ของ GCAP Gold ได้กล่าวว่าบริษัทประกอบธุรกิจซื้อขายทองคำแท่ง และเป็นผู้เล่นรายใหญ่ 1 ใน 5 ของตลาดทองคำในประเทศไทย และมีโรงหล่อทองคำที่ได้รับการยอมรับจากต่างประเทศ ปัจจุบันธุรกิจบริษัทมีทั้งค้าปลีกโดยส่งทองคำให้ตามร้านทอง รวมถึงดูแลรายย่อย จากปริมาณการค้าทองเพิ่มมากขึ้น ตามเทรนด์ราคา

ชัยวัฒน์ ได้กล่าวว่าปัจจุบันทองคำนั้น มีแหล่งที่มาหลักๆ คือมาจากประเทศออสเตรเลียซึ่งมีเหมืองทองคำกับโรงหล่อทองคำ รวมถึงประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เป็นแหล่งรวมโรงหล่อทองคำ ทั้ง 2 นั้นถือเป็นแหล่งสำคัญของทองคำของโลก

ทั้ง 2 ผู้บริหารยังกล่าวว่า GCAP Gold ให้ความสำคัญกับลูกค้า คำไหนคำนั้น ทำธุรกิจตรงไปตรงมาเหมือนกับสมัยรุ่นของคุณปู่ ซึ่งทำให้ธุรกิจในปัจจุบันนั้นคงอยู่ได้

สำหรับการเปลี่ยนแปลงธุรกิจนั้น ชัยวัฒน์กล่าวว่า สมัยคุณพ่อ คือธุรกิจทองคำสมัยนั้นจะทำในสิ่งที่ทุกคนถนัด คือใครถนัดนำเข้าก็นำเข้า ใครถนัดส่งออกก็ส่งออก และสมัยก่อนการสั่งซื้อทองคำยังไม่มาก ก็มีคนช่วยจดคำสั่งซื้อ แต่เวลาผ่านไปก็นำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยมากขึ้น ทำให้รับคำสั่งซื้อ-ขาย ได้มาก

นอกจากนี้บริษัทขยายเข้ามาในธุรกิจออมทองคำมาเป็นเวลา 7-8 ปีแล้ว มีลูกค้าออมทองคำกับบริษัทมากถึง 4,000 กว่าราย

2 ผู้บริหารยังกล่าวว่าตอนนี้ได้ทำแอปพลิเคชันตัวใหม่ เพื่อตอบโจทย์ลูกค้า มองว่าคนสนใจทองคำมากกว่านี้ เพื่อเตรียมรับลูกค้า และรองรับปริมาณธุรกรรมที่มากขึ้น ภายใน 3 ปีน่าจะโตได้อีกเท่าตัว และตอนนี้ราคาทองคำขยับตลอด บริษัทต้องดูแลลูกค้า ตลาดเปลี่ยนไป ราคาผันผวนมาก มองปัจจัยดังกล่าวเป็นนทั้งโอกาสและการปรับตัว

]]>
1452197
ผลพวง “สงครามอิสราเอล” ดันราคา “น้ำมัน” พุ่ง 4% https://positioningmag.com/1447262 Mon, 09 Oct 2023 06:45:05 +0000 https://positioningmag.com/?p=1447262 สงครามระหว่าง อิสราเอล และ ฮามาส กลุ่มติดอาวุธปาเลสไตน์ ได้ยืดเยื้อมาถึงวันที่ 3 แล้ว ซึ่งจากสงครามดังกล่าวได้ส่งผลต่อ ราคาน้ำมันและทองคำ 

สัญญาซื้อขายล่วงหน้า น้ำมันดิบเบรนท์ มีราคาซื้อขายสูงขึ้น 4.53% ที่ 88.41 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ในวันนี้ (9 ต.ค.2566) ขณะที่สหรัฐฯ ฟิวเจอร์ส West Texas Intermediate เพิ่มขึ้น 4.69% เป็น 88.67 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์เชื่อว่าราคาน้ำมันที่พุ่งนั้นจะเกิดแค่ชั่วคราว เนื่องจากเป็นการตอบสนองของตลาดต่อภาวะสงคราม

โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มีความเห็นไปในทางเดียวกันว่า สงครามไม่ได้ทําให้แหล่งน้ํามันที่สําคัญใด ๆ ตกอยู่ในอันตรายโดยตรง เนื่องจากทั้งสองฝ่ายไม่ใช่ผู้ค้าน้ํามันรายใหญ่ โดย อิสราเอลมีโรงกลั่นน้ํามันสองแห่ง ที่มีกําลังการผลิตรวมกันเกือบ 300,000 บาร์เรลต่อวัน ขณะที่ ดินแดนปาเลสไตน์ไม่ผลิตน้ำมัน อย่างไรก็ตาม แม้ความขัดแย้งทั้งสองจะไม่ได้ส่งผลต่อโรงกลั่นน้ำมันในประเทศสำคัญ ๆ โดยตรง แต่ก็เสมือนอยู่ หน้าประตูของภูมิภาคการผลิตและส่งออกน้ำมันที่สําคัญสําหรับผู้บริโภคทั่วโลก

“ผลกระทบที่ส่งผลต่อราคาน้ำมันโดยตรงจริง ๆ คือ การลดอุปทานหรือการขนส่งน้ำมัน” Vivek Dhar ผู้อํานวยการฝ่ายวิจัยการขุดและสินค้าโภคภัณฑ์ด้านพลังงานของธนาคารเครือจักรภพ กล่าว

ไม่ใช่แค่ราคาน้ำมันดิบที่สูงขึ้น แต่ราคา ทองคำ ก็สูงขึ้น 0.99% มาเคลื่อนไหวที่บริเวณ 1,850 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เนื่องจากนักลงทุนหาสินทรัพย์หลบภัย ส่วนราคาทองในไทย สมาคมค้าทองคำ ประกาศราคาครั้งที่ 1 เพิ่มขึ้น 400 บาท โดยราคารับซื้อทองคำแท่งบาทละ 32,350 บาท ขายออก 32,450 บาท ส่วนทองรูปพรรณ รับซื้อบาทละ 31,760.20 บาท ขายออก 32,950 บาท

ทั้งนี้ จากการโจมตีของกลุ่มฮามาส มีรายงานว่าชาวอิสราเอลอย่างน้อย 700 คนถูกสังหาร ขณะเดียวกัน กระทรวงสาธารณสุขปาเลสไตน์ได้บันทึกผู้เสียชีวิต 313 ราย จนถึงขณะนี้

Source

]]>
1447262
นักวิเคราะห์ประเมิน ‘ทองคำ’ อาจทำลายสถิติสูงสุดตลอดกาลที่ 2,600 ดอลลาร์/ออนซ์ https://positioningmag.com/1424435 Wed, 22 Mar 2023 06:58:21 +0000 https://positioningmag.com/?p=1424435 แม้ว่าราคา ทองคำ วันนี้ (22 มี.ค.66) จะปรับลง 200 บาท แต่ทองไทยได้เงินบาทอ่อนหนุน จึงยังยืนในช่วง 31,000-32,000 บาท อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ธนาคารใหญ่ ๆ ในโลกกำลังเจอกับวิกฤตและธนาคารกลางสหรัฐตัดสินใจขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้ง ทำให้นักวิเคราะห์มองว่าราคาทองคำมีโอกาสทำลายสถิติสูงสุด

หลังจากที่หุ้นธนาคารได้รับผลกระทบจากการปิดตัวของ Silicon Valley Bank และ Credit Suisse ส่งผลให้นักลงทุนแห่กันไปที่ทองคำ ทำให้ราคาทองคำซื้อขายทะลุ 2,000 ดอลลาร์ พุ่งขึ้นประมาณ 10% แตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2565

Tina Teng จากบริษัทที่ให้บริการทางการเงิน CMC Markets กล่าวว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดเร็ว ๆ นี้อาจทำให้ราคาทองคำพุ่งสูงขึ้นอีกครั้ง เนื่องจากการลดลงของเงินดอลลาร์สหรัฐและอัตราผลตอบแทนพันธบัตร โดยคาดว่าราคาทองคำจะซื้อขายระหว่าง 2,500-2,600 ดอลลาร์/ออนซ์ (ราว 86,000-89,000 บาท) ทำสถิติสูงสุด แซงช่วงเดือนสิงหาคม 2563 ที่ราคาทองคำอยู่ที่ 2,075 ดอลลาร์/ออนซ์ (ราว 74,000 บาท) ตามข้อมูลของ Refinitiv

“ฉันคิดว่ามันเป็นไปได้มากที่เราเห็นผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของทองคำในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เราอาจเห็นได้ว่ามันจะทำลายจุดสูงสุดใหม่ในไม่ช้า”

ในปีที่ผ่านมา ความต้องการทองคำพุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 11 ปี เนื่องจากการซื้อจำนวนมากของธนาคารกลาง ตามรายงานของ World Gold Council โดยธนาคารกลางได้ซื้อทองคำสูงสุดในรอบ 55 ปีที่ 1,136 ตัน

Source

]]>
1424435
จัดพอร์ตการลงทุนในปี 2566 ยังไง ในสภาวะตลาดการเงินยังไม่เป็นใจ https://positioningmag.com/1407144 Fri, 11 Nov 2022 10:00:01 +0000 https://positioningmag.com/?p=1407144

อย่างที่เราทราบกันดีว่าในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ตลาดการเงินทั่วโลกส่วนใหญ่ได้ให้ผลตอบแทนได้ไม่ประทับใจนักลงทุนมากเท่าไหร่นัก เนื่องจากปัจจัยลบได้สร้างผลกระทบต่อนักลงทุนอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัวลง การบุกยูเครนโดยรัสเซีย นอกจากนี้ในปี 2566 ยังมีปัจจัยบวกและลบหลายเรื่องที่นักลงทุนอาจมองข้ามไป

เดอะวิสดอมกสิกรไทย จึงได้มีการจัดการสัมมนาที่มีชื่อว่THE WISDOM Investment Forum : Wealth in Challenging World ‘เดินหน้าฝ่ามรสุม คว้าความมั่งคั่ง’ เพื่อให้ลูกค้าสามารถได้ข้อมูลและมุมมองการลงทุนที่ลึกซึ้ง หลายประเด็นการลงทุนในงานสัมมนานั้นไม่สามารถมองข้ามไปได้ โดยเฉพาะความเสี่ยงต่างๆ

Positioning ได้สรุปประเด็นที่น่าสนใจของสัมมนาดังกล่าวมา ดังนี้


แบงก์ชาติยังมองเศรษฐกิจไทยยังไปต่อได้ แม้อุปสรรคจะท้าทายก็ตาม

 ดร. ชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายองค์กรสัมพันธ์ ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้กล่าวถึงสภาวะเศรษฐกิจไทย รวมถึงมุมมองเศรษฐกิจโลก หลังจากที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ปรับตัวเลขคาดการณ์ลง 4 ครั้งด้วยกัน สะท้อนว่าภาพเศรษฐกิจโลกนั้นอึมครึมมากขึ้นในช่วงหลังจากนี้ ซึ่งก่อนหน้านี้ประเทศพัฒนาแล้วมีเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวสูงมาก เศรษฐกิจเติบโตร้อนแรง ทำให้เกิดสภาวะเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นมา

ขณะเดียวกันหลายประเทศในยุโรปก็ได้รับผลกระทบจากราคาพลังงาน เนื่องจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ อย่างกรณีของรัสเซียบุกยูเครน ส่งผลทำให้เงินเฟ้อนั้นสูงขึ้นไปอีก ทางด้านเศรษฐกิจจีนนั้นคาดว่าน่าจะโตไม่ถึง 5.5% ตามเป้า เนื่องจากปัญหาหลายๆ เรื่อง เช่นนโยบายโควิดเป็นศูนย์ หรือแม้แต่ปัญหาอสังหาริมทรัพย์ ดร. ชญาวดี ชี้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ IMF คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะเติบโตแค่ 2.7% และมองว่ามีโอกาส 25% ที่เศรษฐกิจอาจโตไม่ถึงคาดการณ์ด้วยซ้ำ

ผลดังกล่าวนี้จะส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยไม่น้อยเช่นกัน แต่ประเทศกำลังพัฒนา (EM) นั้นน่าจะยังเติบโตใช้ได้ ยกเว้นกลุ่มที่ส่งออกสินค้าเป็นหลักอย่าง เกาหลีใต้ หรือแม้แต่ไต้หวัน ขณะเดียวกันไทยน่าจะได้ประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง FDI ที่เข้ามาในประเทศไทย

ค่าเงินบาทของไทย ดร. ชญาวดี มองว่าเคลื่อนไหวตามปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากปัจจัยที่ธนาคารกลางสหรัฐนั้นประกาศขึ้นดอกเบี้ย จนกว่าจะชะลอขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งตลาดคาดว่าน่าจะอยู่ในไตรมาส 1-2 ของปี 2566 ซึ่งถ้าเศรษฐกิจไทยฟื้นตัว และค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าน้อยลง ความผันผวนของค่าเงินบาทหลังจากนี้น่าจะลดลง แต่ความผันผวนนั้นยังไม่หายไปสิ่งที่ต้องจับตามองว่าค่าเงินบาทจะผันผวนหรือไม่คือเศรษฐกิจสหรัฐ รวมถึงอัตราเงินเฟ้อ ถ้าหากผันผวนรวดเร็วเกินไปอาจกระทบต่อธุรกิจต่างๆ ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยพยายามที่จะไม่ให้อัตราแลกเปลี่ยนของไทยผันผวนมากเกินไป

ความเสี่ยงของประเทศไทยที่ ดร. ชญาวดี มองไว้คือ จำนวนนักท่องเที่ยวที่กลับมาที่ไทย ถ้าหากมาจำนวนมากก็จะทำให้เศรษฐกิจดี แต่ถ้าหากกลับมาไม่พอก็อาจกระทบเช่นกัน รวมถึงเรื่องของความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และภาคการเงินที่ผันผวน

เธอได้แนะนำภาคธุรกิจในเรื่องการกระจายความเสี่ยง การสร้างกำแพงป้องกัน รวมถึงสายป่านที่ยาวนั้นช่วยภาคธุรกิจได้ การลดภาระหนี้ รวมถึงประกันความเสี่ยง จะทำให้ธุรกิจไทยสามารถผ่านช่วงเวลายากลำบากได้ โดยธนาคารแห่งประเทศไทยได้คาดว่า GDP ของไทยปีนี้จะเติบโต 3.3% และปีหน้าคาดว่าจะอยู่ที่ 3.8%


หลักทรัพย์กสิกรไทยชี้หุ้นไทย จีน หุ้นเทคฯ สหรัฐอเมริกา ยังเหมาะแก่การลงทุน

คุณสรพล วีระเมธีกุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์ บมจ. หลักทรัพย์กสิกรไทย ได้ชี้ถึงความผันผวนของตลาดทุนทั่วโลก เกิดจากการไถ่บาปทางเศรษฐกิจ จากปัญหาของเงินเฟ้อที่กำลังเพิ่มขึ้น

เขาได้ชี้ว่าเงินเฟ้อในสหรัฐอเมริกากับเงินเฟ้อในประเทศอื่นๆ นั้นไม่เหมือนกัน โดยอสังหาในสหรัฐนั้นเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดเงินเฟ้อ ถ้าหากภาคอสังหาชะลอตัวลงมา เงินเฟ้อก็จะชะลอตัวลงมา ขณะที่ประเทศอื่นๆ เงินเฟ้อนั้นเกิดจากราคาพลังงานและอาหาร

ขณะที่ในช่วงที่ผ่านมาเขาชี้ว่าการจ้างงานในสหรัฐฯ มีการชะลอตัวมากขึ้น และหลายตัวเลขทางเศรษฐกิจนั้นชี้ว่าเศรษฐกิจชะลอตัวลง เป็นเหตุผลทำให้เขามองว่าเป็นช่วงเวลาที่เห็นว่าเงินเฟ้อนั้นทำจุดสูงสุดแล้ว

สำหรับเศรษฐกิจและตลาดหุ้นจีน คุณสรพลมองว่าความผันผวนในตลาดหุ้นจีนที่เกิดขึ้นมาจากแรงเทขายของนักลงทุนชาวต่างชาติ ขณะเดียวกันการเปลี่ยนโปลิตบูโร 7 คนของจีนนั้นเป็นการรวบอำนาจของประธานาธิบดี สี จิ้นผิง แม้ว่ายังไม่มีการพูดถึงนโยบายเศรษฐกิจจีนในการประชุมพรรคคอมมิวนิสต์เท่าไหร่ แต่คุณสรพลมองว่านี่เป็นโอกาสในการลงทุน หลังจากนี้ในช่วงปลายปีจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมา นอกจากนี้จีนยังมี Valuation ที่ถูก และจีนยังมีโอกาสที่เปิดประเทศด้วย

ส่วนความอึมครึมของเศรษฐกิจ เกิดขึ้นเนื่องจากเงินเฟ้อสูงขึ้น การเจริญเติบโตของเศรษฐกิจลดลง คาดว่าปีหน้าเงินเฟ้อจะลดลงแรงมาก ควรจะลงทุนในประเทศที่เงินเฟ้อเกิดจาก Supply เช่น ในประเทศไทย

คำแนะนำคือถ้าสัดส่วนการลงทุน 60% ควรจะลงทุนในหุ้นไทยไปก่อน 30% ในช่วง 6 เดือนข้างหน้า ขณะที่ตลาดต่างประเทศคือจีนกับสหรัฐฯ สัดส่วนรวมกัน 30% หุ้นจีนควรลงทุนใน A-Share และซื้อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสหรัฐ และหลังจากนี้ควรดูว่าดัชนีค่าเงินดอลลาร์ (Dollar Index) จะขึ้นไปถึงจุดพีคเท่าไหร่ ถ้าพีคแล้ว เงินอาจไหลกลับเข้าสินทรัพย์เสี่ยงอื่นๆ แทน

ข้อมูลจากฮั่วเซ่งเฮง


ทองคำถ้าหลุด 1,600 ดอลลาร์ อาจเข้าซื้อได้

คุณธนรัชต์ พสวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มฮั่วเซ่งเฮง ได้ชี้ว่าในช่วงที่ผ่านมา ทองคำได้ทำราคาสูงสุดไปแล้ว แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านคือค่าเงินดอลลาร์แข็งค่ากลับกดดันราคาทองคำ เขามองว่าในช่วงปี 2566 น่าจะเริ่มเห็นเม็ดเงินไหลเข้ามาซื้อทองคำได้ เนื่องจากดอลลาร์ที่อ่อนค่าขึ้น แม้ว่าในปี 2566 ตลาดทองคำจะไม่หวือหวาก็ตาม

ขณะที่ปัญหาของจีน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มฮั่วเซ่งเฮงมองว่า หลังจากนี้นโยบายจะเน้นเรื่องของความมั่นคงมากกว่าเศรษฐกิจ และถ้าเศรษฐกิจชะลอตัวลงก็จะทำให้ความต้องการทองคำลดลง แต่ถ้ามองระยะถัดไปแล้ว ถ้านโยบายเศรษฐกิจจีนทำให้ประชาชนจีนเป็นชนชั้นกลางมากขึ้นก็จะทำให้การบริโภคทองคำมากขึ้นด้วยเช่นกัน

นอกจากนี้ปัจจัยในการขับเคลื่อนทองคำนั้นยังคงเหมือนเดิมในช่วงที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นสภาวะเศรษฐกิจ ค่าเงินดอลลาร์ หรือแม้แต่การบริโภคทองคำของชาวจีน เขามองว่าเงินบาทที่อ่อนค่าทำให้ราคาทองคำยังไปต่อได้

หลังจากนี้คุณธนรัชต์แนะนำให้จับตาการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐอเมริกา ซึ่งอาจทำให้ราคาทองคำนั้นสูงมากขึ้นได้ เนื่องจาก Dollar Index อ่อนค่าลงมา และถ้าราคาทองคำหลุด 1,600 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก็อาจเริ่มเข้าซื้อทองคำได้

ข้อมูลจากคุณพิริยะ สัมพันธารักษ์


Bitcoin ถ้าหากราคาตกลงมามากๆ อาจเริ่มเก็บสะสมได้

คุณพิริยะ สัมพันธารักษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฉลกดอทคอม จำกัด ได้กล่าวถึงสินทรัพย์ดิจิทัล กับกลไกลทางการเงิน เขามองว่าสินทรัพย์ดิจิทัลต้องใช้เวลาเติบโตอย่างมาก โดยเฉพาะ Bitcoin อย่างไรก็ดีเขากลับมองว่า Bitcoin ไม่ได้ทำหน้าที่เป็นสินทรัพย์เพื่อการลงทุนที่มีความปลอดภัย แต่เขามองว่า Bitcoin นั้นมีมูลค่าเพิ่มมากขึ้นจากการพิมพ์เงินดอลลาร์ที่มีจำนวนมากขึ้น ส่งผลทำให้ Bitcoin เหมือนเป็นเครื่องมือป้องกันเงินเฟ้อ

เขายังชี้ว่าทุกสินทรัพย์ไม่เว้นแต่ Bitcoin นั้นสัมพันธ์กับปริมาณเงิน เมื่อเวลาผ่านไปทุกสินทรัพย์นั้นเอาไว้ป้องกันเงินเฟ้อ ซึ่งถ้าดูผลตอบแทนของแต่ละสินทรัพย์ในช่วงที่ผ่านมานั้นเพิ่มขึ้นสูงมาก แต่สำหรับปัญหา ตอนนี้คือเรื่องของสภาพคล่อง ซึ่งส่งผลทำให้เกิดแรงเทขายออกมา

ขณะที่เรื่องความขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจ คุณพิริยะมองว่าปลายยุคสมัยของมหาอำนาจหนึ่ง จะมีอีกมหาอำนาจหนึ่งมาท้าทายอำนาจกัน เช่น สหรัฐอเมริกากับจีน ขณะเดียวกันหลายๆ ประเทศเองก็พยายามที่จะบาลานซ์อำนาจดังกล่าว เรื่องสำคัญที่เขามองคือเรื่องสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอยู่ในช่วงบั้นปลายแล้ว ขณะที่ Bitcoin ก็เกิดขึ้นในช่วงบั้นปลายของดอลลาร์สหรัฐ เหมือนกับช่วง The Great Reset ในการหา Global Reserve Currency และหลายธนาคารกลางกำลังเลือกทางนั้น ไม่ว่าจะเป็นการซื้อทองคำเป็นทุนสำรอง เป็นต้น

สำหรับการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล คุณพิริยะมองว่าการใช้งานของ Bitcoin เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากค่าเงินของหลายๆ ประเทศล่มสลาย ถ้าหากมามองสินทรัพย์อย่าง Bitcoin ล่าสุดราคาลงมาจากจุดสูงสุดราวๆ 70% แต่ถ้ามอง Cycle รอบละ 4 ปี นั้นมาจากการลดการผลิตลง เขามองว่าราคาของ Bitcoin จะลดลงครั้งใหญ่ๆ ใช้เวลาประมาณ 1 ปี ซึ่งอาจได้เห็นกรณีที่แย่สุดอาจเหลือราคาราวๆ 10,000 ดอลลาร์ต่อ 1 BTC ถ้าหากไม่ได้เป็นนักลงทุนระยะสั้นมากๆ ก็ถือว่าช่วงนี้เริ่มเก็บสะสมได้แล้ว

]]>
1407144
บทวิเคราะห์ราคาทองคำ จะแตะ 30,000 บาท เมื่อไหร่? https://positioningmag.com/1364295 Mon, 29 Nov 2021 03:07:01 +0000 https://positioningmag.com/?p=1364295 หลังจากเมื่อช่วงต้นเดือน พ.ย. ที่ผ่านมาทองคำขึ้นไปเฉียด 29,000 บาทต่อบาททอง นักลงทุนหลายท่านคงเริ่มเฮกันแล้วว่าทองคำจะมีโอกาสพุ่งขึ้นไปถึง 30,000 บาทได้ แต่ดีใจได้ไม่ถึง 2 สัปดาห์ ราคาทองก็โดนทุบกลับมาสู่ระดับ 28,000 บาทอีกครั้ง ในเวลาไม่ถึง 1 สัปดาห์

ได้แค่เฉียด 30,000 แต่ก็ไม่ถึงสักที …..  มี “เจ้ามือ” ที่ไหนกดราคาไว้หรือไม่?

ความหวังที่อยากจะหลุดดอยเป็นต้องหายไป สวดมนต์เท่าไหร่ทองก็ไม่ขึ้นไปถึง 30,000 สักที

หรือจริงๆ แล้วมีใครที่คอยกำหนดราคาทองคำโลกอยู่? “เจ้ามือ” คนนั้นมีอยู่จริงหรือไม่? วันนี้อินเตอร์โกลด์มีคำตอบมาให้คุณ

“หุ้นยังมีเจ้า แล้วทองละมีเจ้า (มือ) ด้วยไหม?” 

หลายคนอาจสงสัย เพราะถึงแม้ว่าในตอนนี้สัญญาณเงินเฟ้อทั่วโลกชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ 

โดยเฉพาะทางฝั่งสหรัฐฯ ที่เงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้นอย่างมาก สาเหตุมาจากการทำ QE อีกทั้งดอกเบี้ยทั่วโลกยังต่ำเตี้ยเรี่ยดิน จากภาวะเศรษฐกิจโลกซบเซา ปัจจัยต่างๆ ชี้นำให้จริงๆ แล้วราคาทองคำควรทะลุ 30,000 ไปนานแล้วด้วยซ้ำ ถึงแม้ล่าสุดทองคำจะขึ้นไปแตะ 29,000 ได้ จากเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่ถูกประกาศออกมาสูงสุดในรอบ 30 ปี 

Photo : Shutterstock

แต่ยืนได้ไม่นานก็โดนทุบลงมาอย่างรวดเร็ว ทำให้ตั้งแต่ต้นปี 2021 จนจะสิ้นปี้นี้ ทองคำไม่เพียงแต่ไม่ทะลุ 30,000 ซ้ำอาจจะปรับตัวเป็นขาลงเสียด้วย…มันเป็นเพราะอะไร

ในความเป็นจริงแล้ว ตลาดทองคำเป็นตลาดที่ถูกจัดว่าใกล้เคียงกับคำว่า Perfectly Competitive Market หรือเป็นตลาดที่กลไกตลาดทำงานอย่างเต็มที่ การขึ้นลงของราคาจึงมีผลต่อการตัดสินใจซื้อ-ขายทองคำของคนในตลาดเป็นอย่างมาก

ดังนั้นการจะมี ‘เจ้ามือ’ ผู้สามารถกำหนดทิศทางของราคาทองคำโลกก็อาจจะเป็นไปได้จริงๆ ลองนึกภาพว่ารายใหญ่ๆ ที่ถือทองคำเอาไว้แต่ยังไม่อยากให้ทองคำรีบขึ้นไปตอนนี้ ก็พอจะมีความเป็นไปได้ที่จะใช้เทคนิคบางอย่างทำให้ทองคำยังขึ้นไม่ได้ แม้ปัจจัยทางเศรษฐกิจหลายๆ อย่างจะเอื้อแค่ไหนก็ตาม

แต่ก็คงจะไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้นสำหรับผู้ที่เป็น “เจ้ามือ”

เนื่องจากตลาดทองคำโลกมีมูลค่าทั้งหมดอยู่ที่ 11.7 ล้านล้านดอลลาร์ การที่จะผลักดันราคาให้ไปทางใดทางหนึ่ง สัก 1% ก็ต้องใช้เงินกว่า 1.17 แสนล้านดอลลาร์แล้ว หากนึกภาพไม่ออกว่านั่นคือเงินที่มากมายขนาดไหน ให้นึกเทียบเท่า บริษัท Apple หรือ amazon แบ่งเงินทั้งหมด 10% ของมูลค่าบริษัทมาซื้อทองคำ ซึ่งทั้งสองบริษัทนี้ ติด Top 5 ของบริษัทที่มีมูลค่าสูงสุดในโลก

Photo : Shutterstock

ไม่เพียงแค่นั้น เพราะถึงแม้ว่าจะมี ‘เจ้ามือ’ ที่เกิดใจป้ำและรวยเวอร์อยากจะขยับราคาทองให้ขึ้นซัก 1% จริงๆ มันก็อาจจะไม่สำเร็จ หาก ตลาด’ หรือคนที่ถือทองอยู่แล้วไม่ว่าจะเป็น นักลงทุนรายย่อย รายใหญ่ หรือกองทุนอื่นๆ เขารวมพลังขายทำกำไรขึ้นมาแบบไม่ได้นัดหมาย ราคาที่ดันมา 1% ก็อาจจะกลับไปที่เดิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็เป็นได้ 

สรุปคือ รวยมหาศาลอย่างเดียวไม่พอ ต้องอาศัย ‘ปัจจัย’ ที่มากกว่าการโยนเงินปริมาณมากๆ เข้าไปในตลาด ให้ตลาดเป็นคนตัดสิน ซึ่งนี่คือการวัดดวง ถ้าพลาดก็เสี่ยงที่จะขาดทุนมหาศาลได้เช่นกัน

กลับมาที่คำถามว่า แล้วทำไมทองถึงไปไม่ถึง 30,000 สักที ทั้งๆ ที่ปัจจัยต่างๆ ก็ดูเหมือนจะเอื้อให้แล้ว

เศรษฐวัชร์ พุทธทิพย์ นักวิเคราะห์อินเตอร์โกลด์ มองว่าเป็นเรื่องของ การยังไม่ถึงจังหวะเวลาที่เหมาะสม 

เพราะตั้งแต่ต้นปี 2021 เป็นต้นมา เศรษฐกิจโลกกำลังอยู่ในช่วงฟื้นฟูจากวิกฤตโควิด และสหรัฐฯ ก็เป็นหนึ่งในประเทศที่แก้ปัญหาได้ดี และมีแนวโน้มสูงที่จะกลับมาเป็นปกติเป็นประเทศแรกๆ ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ และสินทรัพย์เสี่ยงอื่นๆ มีความน่าสนใจมากกว่าทองคำที่กำลังอยู่ในช่วงพักตัว ประกอบกับท่าทีของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด ที่ได้ส่งสัญญาณว่าจะขึ้นดอกเบี้ยเพื่อลดความร้อนแรงของเงินเฟ้อบวกกับเศรษฐกิจที่มีแววกลับมาฟื้นตัว ส่งผลให้ทองกลายเป็นสินทรัพย์ที่ดูน่าสนใจน้อยลงหรือถูกมองข้ามไป

ซึ่งถ้าถามว่าตอนไหนคือช่วงที่ทองคำจะกลับไปยืนเหนือ 30,000 บาทได้อีกครั้ง ก็ต้องตอบว่าตอนนี้ค่อนข้างจะเป็นไปได้ยาก สาเหตุสำคัญที่ทำให้ทองคำร่วงมาในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาคือ จากการที่นักลงทุนลุ้นกันว่าประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) คนใหม่จะมีส่วนส่งเสริมให้เงินเฟ้อสหรัฐฯ พุ่งสูงเพื่อเปิดทางให้กับทองคำ แต่ผลที่ออกมาก็คือนายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟดคนเดิมกลับมาดำรงตำแหน่งสมัยที่ 2 แทน 

Photo : Shutterstock

ซึ่งนายพาวเวลล์มักจะส่งสัญญาณถึงเงินเฟ้อเสมอว่าจะเป็นการมาแค่ชั่วคราว อีกทั้งนโยบายของนายพาวเวลล์ก็ยังส่งเสริมให้การจ้างงานและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจต้องมาเป็นอันดับ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริง ระดับเงินเฟ้อกลางๆ กับการจ้างงานที่จะกลับมา ก็ยังไม่มีเหตุผลที่ดีพอที่จะให้ทองคำจะกลับมาเป็นขาขึ้นได้เร็วๆ นี้ เจ้ามือที่เราพูดถึงไปเมื่อตอนต้นบทความก็อาจจะยังไม่เอาด้วย ทำให้นักลงทุนที่รอทองคำ 30,000 บาทอีกครั้ง

สิ่งที่ต้องจับตาก็คือเมื่อไหร่ที่เงินเฟ้อกลับมาพุ่งสูงอีกครั้ง และดูภาพรวมของการจ้างงาน และเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ดูจะไปต่อไม่ได้ เมื่อไหร่ก็รอลุ้นกันได้ยาวๆ แต่ในตอนนี้หลังจากราคาทองลงมาจนสู่ระดับ 28,000 บาทอีกครั้ง

หากเมื่อไหร่ราคาทองคำเริ่มหลุด 28,000 บาท หรือหลุดแนวรับสุดท้ายที่เป็นราคาดอลลาร์คือ 1,750 เมื่อไร ครั้งนี้ก็ต้องบอกว่าเราอาจจะได้เห็นการซึมของราคาทองคำระยะยาว อย่างน้อยก็กลายเป็นขาลงไม่ต่ำกว่า 6 เดือน – 1 ปี ก็เป็นได้ครับ

แต่คนที่ติดดอยอยู่ไม่ต้องตกใจไป ยังมีช่วงที่เรายังสามารถลุ้นได้ในประมาณช่วงกลางปี 2565 คือช่วงที่จะมีการสิ้นสุดการพิมพ์เงินของสหรัฐฯ ถ้าถามจังหวะไหนที่จะสามารถหลุดดอยได้ ก็คงจะมีแต่ช่วงนั้น…

]]>
1364295
มิติใหม่! “ธนาคารกรุงเทพ” ผนึก “ฮั่วเซ่งเฮง” ซื้อ-ขายทองคำด้วยสกุลดอลลาร์สหรัฐ https://positioningmag.com/1308778 Wed, 02 Dec 2020 15:12:01 +0000 https://positioningmag.com/?p=1308778 ครั้งแรกในประเทศไทย ภายใต้ความร่วมมือของธนาคารกรุงเทพ และฮั่วเซ่งเฮง เปิดโอกาสให้นักลงทุนสามารถซื้อ-ขายทองคำราคาเดียวกับในตลาดโลกแบบเรียลไทม์ ด้วยเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ (USD) บนแพลตฟอร์ม Hua Seng Heng USD Gold Trade ผ่านบัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเทศ (Foreign Currency Deposit Account: FCD) สำหรับลูกค้าธนาคารกรุงเทพ  ช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของค่าเงิน เพิ่มทางเลือกในการลงทุนและทำกำไรได้มากกว่าเดิม

ชาญศักดิ์ เฟื่องฟู กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า

“ภายหลังธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ไฟเขียวให้ลูกค้านักลงทุนสามารถลงทุนซื้อ-ขายทองคำกับบริษัทผู้ค้าทองคำที่ได้รับอนุญาตจาก ธปท. สามารถชำระค่าซื้อขายทองด้วยสกุลเงิน USD ผ่านบัญชี FCD ได้โดยไม่ต้องแปลงสกุลเงิน จากที่ก่อนหน้าการซื้อขายทองคำในประเทศตามปกติต้องชำระเป็นสกุลเงินบาท ผ่านการตัดบัญชีบาทเท่านั้น ทำให้กลุ่มผู้ค้าทองรายใหญ่ เริ่มสนใจและหันมาขยายบริการในตลาดกลุ่มนี้เพิ่มมากขึ้น”

ขณะที่ธนาคารกรุงเทพ และฮั่วเซ่งเฮง มองเห็นโอกาสที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับลูกค้าของทั้ง 2 กลุ่ม ภายใต้มาตรการดังกล่าว นำมาสู่การผนึกกำลังร่วมกันของทั้ง 2 ผู้นำ ใน 2 กลุ่มธุรกิจ เพื่อร่วมบุกเบิกบริการรูปแบบใหม่นี้เป็นครั้งแรกในประเทศไทย

ผ่านแพลตฟอร์มบริการที่ชื่อว่า HUA SENG HENG USD GOLD TRADE หรือการลงทุนในรูปแบบการซื้อขายทองแท่ง 99.99 Gold Spot ด้วยสกุลเงิน USD ผ่านระบบออนไลน์ โดยอ้างอิงราคาทอง Live Gold Spot แบบ Real Time เพื่อช่วยลดต้นทุนจากแรงกดดันและความผันผวนต่อค่าเงินบาท จากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากไม่ต้องแปลงค่าเงินเป็นบาททุกครั้งที่มีการซื้อขาย สร้างความคุ้มค่าทำให้นักลงทุนได้มากขึ้น รวมทั้งอำนวยความสะดวกมากยิ่งกว่าเดิม ด้วยการทำธุรกรรมแบบออนไลน์

ทั้งนี้ การให้บริการแพลตฟอร์ม HUA SENG HENG USD GOLD TRADE สามารถทำธุรกรรมได้ทั้งบนเว็บไซต์ และแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน โดยผู้ลงทุนจะสามารถซื้อขายทองคำเป็นเงิน USD ได้แบบเรียลไทม์ ผ่านบัญชี FCD ธนาคารกรุงเทพ ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนในการเทรดทอง เพราะไม่ต้องเปลี่ยนค่าเงินจาก USD เป็นเงินบาท

ทุกครั้งที่มีการซื้อและขาย ช่วยให้ผู้ลงทุนตัดสินใจลงทุนได้ง่ายขึ้น พร้อมด้วยโปรโมชันอัตราแลกเปลี่ยนพิเศษจากธนาคารกรุงเทพในการแปลงค่าเงินระหว่างบัญชี FCD สกุลเงินดอลลาร์กับบัญชีสกุลเงินบาท พร้อมทั้งยังได้รับดอกเบี้ยเงินฝากอีกด้วย

ด้าน ธนรัชต์ พสวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฮั่วเซ่งเฮง กล่าวว่า ในนามกลุ่มธุรกิจค้าทองฮั่วเซ่งเฮง รู้สึกเป็นเกียรติเป็นอย่างยิ่ง ที่ทางธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ให้ความไว้วางใจ และให้การอนุญาตแก่บริษัทในการชำระและรับชำระค่าทองคำที่ซื้อขายในประเทศ กับลูกค้าของบริษัทที่เป็นบุคคลในประเทศ และบุคคลที่มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศ ด้วยสกุลดอลลาร์สหรัฐ อย่างเป็นทางการเป็นรายแรก

ฮั่วเซ่งเฮงในฐานะผู้นำในธุรกิจค้าทองในประเทศไทยมากว่า 70 ปี มีความยินดีที่ได้มีโอกาส ร่วมพัฒนาแพลตฟอร์มการให้บริการซื้อขายทองในรูปแบบใหม่รองรับการลงทุนรูปแบบการซื้อขายทอง Gold Spot เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายการผ่อนผันการถือครองสกุลเงินตราต่างประเทศของธนาคารแห่งประเทศไทย และพร้อมที่จะเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจค้าทองของไทย ให้เป็นแบบอย่างที่ก้าวล้ำและเป็นผู้นำในภูมิภาค

ปัจจุบันการซื้อขายทองคำผ่านระบบออนไลน์มีการเติบโตเป็นอย่างมาก Hua Seng Heng USD GOLD จะเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ยิ่งเพิ่มความสะดวกให้กับนักลงทุน สามารถช่วยลดต้นทุนจากแรงกดดันและความผันผวนต่อค่าเงินบาท อีกทั้งยังสามารถดูราคาซื้อขายอ้างอิงราคา spot ในต่างประเทศได้ทันที ทำให้ซื้อขายได้คล่องสามารถชำระเงินได้อย่าง real time และทำธุรกรรมแบบออนไลน์ได้ทุกที่ที่ต้องการ จึงเพิ่มโอกาสให้นักลงทุนทำกำไรได้มากขึ้น ส่วนลูกค้าที่มีบัญชี FCD อยู่ก่อนแล้ว ยังสามารถบริหารต้นทุนผ่านการลงทุนทองคำได้โดยไม่ต้องไปลงทุนในต่างประเทศ

สำหรับนักลงทุนที่สนใจลงทุนผ่านแพลตฟอร์ม HUA SENG HENG USD GOLD TRADE สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ทางเว็บไซต์ www.huasengheng.com หรือ โทร 0-2763-9999 และสามารถเปิดบัญชี FCD ที่เคาน์เตอร์ธนาคารกรุงเทพ 45 สาขา ใกล้บ้าน พร้อมรับเอกสารแนะนำจากฮั่วเซ่งเฮง

โดยบัญชี FCD ธนาคารกรุงเทพ สามารถเปิดบัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเทศในสกุลหลักๆ ได้ถึง 16 สกุลเงิน อาทิ ดอลลาร์สหรัฐ หยวน ยูโร ปอนด์สเตอร์ลิง ฟรังก์สวิส เยน ดอลลาร์ออสเตรเลีย ดอลลาร์นิวซีแลนด์ ดอลลาร์ฮ่องกง ดอลลาร์สิงคโปร์ เป็นต้น ด้วยอัตราเงินฝากเริ่มต้น 1,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือเทียบเท่าในสกุลเงินอื่น โดยมีจุดเด่น คือ การทำธุรกรรมได้ง่าย ทั้งฝาก ถอน หรือโอนเงินระหว่างบัญชี หลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน รวมทั้งฝากได้ในหลากหลายสกุลเงินที่รับฝาก ทั้งบัญชีสะสมทรัพย์ประจำ หรือกระแสรายวัน

]]>
1308778
“ราคาทอง” พุ่งทะลุ 30,000 บาท แนวโน้มยังปรับขึ้น Gold Spot อาจถึง 2,050 เหรียญ/ออนซ์ https://positioningmag.com/1291197 Wed, 05 Aug 2020 07:37:36 +0000 https://positioningmag.com/?p=1291197 พุ่งแรงไม่หยุด! “สมาคมค้าทองคำ” รายงาน “ราคาทอง” วันนี้ปรับขึ้นมาแล้วรวม 600 บาท ส่งให้ล่าสุดจากการปรับราคารอบ 13.57 น. ราคาทองคำแท่ง 96.5% ราคารับซื้ออยู่ที่ 29,550 บาท และขายออกที่ 29,650 บาท ส่วนราคาทองรูปพรรณ 96.5% รับซื้อที่ 29,016 บาท และขายออก 30,150 บาท

ส่วนราคาทองคำ Spot ล่าสุดปรับขึ้นมาเป็น 2,030 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ ทั้งนี้ธนรัชต์ พสวงศ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มฮั่วเซ่งเฮง กล่าวว่า ราคาทองคำ Spot เมื่อคืนที่ผ่านมาปรับขึ้นร้อนแรงทะลุแนวต้านสำคัญ 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และทำจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 2,020 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก่อนที่จะมีแรงขายทำกำไร ทำให้ราคาอ่อนลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ 2,013 ดอลลาร์ต่อออนซ์

ปัจจัยบวกมาจากความคืบหน้าในการเจรจามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ของสหรัฐฯ วงเงิน 1 ล้านล้านดอลลาร์ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐลดลง และเงินดอลลาร์อ่อนค่า ซึ่งการเจรจาระหว่างสภาคองเกรสและทำเนียบขาวเกี่ยวกับการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่คาดว่าใกล้จะบรรุลข้อตกลง ทางด้านกองทุน SPDR ซื้อทองคำต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 โดยซื้อทองคำ 9.35 ตัน

หลังจากที่ราคาทองคำปรับขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ ทำให้แนวโน้มราคาทองคำคาดปรับขึ้นต่อเนื่อง โดยมีแนวต้าน 2,030 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และมีแนวโน้มปรับขึ้นที่แนวต้าน 2,050 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ในระยะถัดไป ทั้งนี้ การปรับขึ้นของราคาทองคำที่รวดเร็วต้องระวังแรงเทขายเช่นกัน ขณะที่มีแนวรับที่ 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และ 1,980 ดอลลาร์ต่อออนซ์

สอดคล้องกับรายงานวิเคราะห์ประจำเดือนสิงหาคม 2563 ของ บล.เอเซีย พลัส รายงานราคาทองคำเดือนกรกฎาคม 2563 เคลื่อนไหวเหนือความคาดหมาย ปรับขึ้น 200 ดอลลาร์ต่อออนซ์ภายในเดือนเดียว โดยแรงขับเคลื่อนราคาทองคำมาจากการระบาดของ COVID-19 ความขัดแย้งที่รุนแรงมากขึ้นระหว่างจีน-สหรัฐฯ รวมถึงการอ่อนค่าของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ

ปัจจัยดังกล่าว เอเซีย พลัสคาดว่าจะมีผลต่อเนื่องถึงเดือนสิงหาคม 2563 เนื่องจากเป็นช่วงประกาศจีดีพีของหลายประเทศ ซึ่งน่าจะเติบโตลดลงหรือถึงติดลบในหลายประเทศ ส่วนความขัดแย้งของจีนกับสหรัฐฯ ก็ไม่น่าจะคลี่คลายได้เร็วๆ นี้ ทำให้ “ราคาทอง” น่าจะขึ้นไปแตะ 2,050 เหรียญต่อออนซ์ได้

Source: mgronline, สมาคมค้าทองคำ

]]>
1291197
ราคาทองพุ่งบาทละ 23,000 บาท ทุบสถิติสูงสุดในรอบ 6 ปี กังวลสหรัฐฯ-อิหร่านรุนแรง https://positioningmag.com/1259431 Mon, 06 Jan 2020 04:54:06 +0000 https://positioningmag.com/?p=1259431 Photo : Shutterstock

ราคาทองพุ่งทำสถิติสูงสุดในรอบ 6 ปี กังวลสหรัฐฯอิหร่านรุนแรงและยืดเยื้อ หนุนราคาในประเทศ บวก 350 บาท คาดสัปดาห์นี้มีโอกาสถึง 1,600 ดอลลาร์ต่อออนซ์

ฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส กล่าวว่า

ราคาทองคำในตลาดโลกปรับตัวทำสถิติสูงสุดในรอบ 6 ปี ที่ 1,588 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ จากสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯอิหร่าน ส่งผลให้ราคาทองคำในประเทศปรับขึ้นถึง 350 บาท โดยราคาทองแท่ง ขายออกที่ 22,500 บาท ทองรูปพรรณ ขายออกที่ 23,000 บาท ซึ่งคาดว่าภายในสัปดาห์นี้มีโอกาสที่จะเห็นราคาทองคำปรับขึ้นไปถึง 1,600 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์

ถ้าสถานการณ์การตอบโต้ระหว่าง 2 ชาติยังยืดเยื้อ ซึ่งคาดว่าอาจจะลากยาวไปถึงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในเดือนพฤศจิกายน 2563 ประกอบกับมีกระแสข่าวจีนจะเลื่อนการลงนามการค้าเฟสแรกกับสหรัฐอเมริกา จากเดิมกำหนดไว้วันที่ 15 มกราคมนี้ ทำให้นักลงทุนยิ่งกังวล และมองทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยจึงมีแรงซื้อเข้ามามากใกล้ช่วงเทศกาลตรุษจีน ซึ่งเป็นเทศกาลที่คนนิยมซื้อทองคำ ส่งผลให้มีความต้องการซื้อทองคำมากกว่าปกติ

เเฟ้มภาพ – โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 45

ต้องยอมรับว่าราคาทองคำปรับตัวขึ้นมาเร็วและแรงมาก จากระดับ 1,550 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ เมื่อวันศุกร์ ปรับขึ้นแรงมาถึง 1,588 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ในเช้าวันนี้ และมีโอกาสที่จะถึง 1,600 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ในสัปดาห์นี้ ทำให้นักวิเคราะห์ทองคำปรับเปลี่ยนเป้าหมายราคาทองคำปีนี้ใหม่ เป็น 1,740 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หากสถานการณ์ระหว่างสหรัฐฯอิหร่านตึงเครียดและยืดเยื้อมากขึ้น” 

สำหรับกลยุทธ์การลงทุน ให้เข้าสะสมเมื่อราคาทองย่อตัวที่ 1,560-1,566 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ แต่ให้ระมัดระวังหากสถานการณ์ระหว่างสหรัฐฯอิหร่านคลี่คลายจะมีแรงเทขายทำกำไรทองคำออกเร็วและแรงเช่นกัน

ด้านนายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ และประธานห้างทองจินฮั้วเฮง กล่าวว่า นักลงทุนกำลังติดตามสถานการณ์ระหว่างสหรัฐฯอิหร่านอย่างใกล้ชิด เพราะเกรงว่าจะรุนแรงจนเกิดเป็นสงครามโลกครั้งที่ 3 ซึ่งเชื่อว่าความตึงเครียดจะยืดเยื้อ ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อราคาทองคำให้ปรับตัวขึ้น โดยมีแนวต้านที่ 1,600 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ อย่างไรก็ตาม การที่เงินบาทแข็งค่าในช่วงต้นปี 2563 ประมาณ 0.40-0.50 บาท มีผลทำให้ราคาทองคำในประเทศถูกลงไปประมาณ 300 บาท แต่ขณะนี้เงินบาทอ่อนค่ามาบ้างเล็กน้อย ทำให้ราคาทองคำเช้านี้ปรับขึ้นมา 350 บาท

Source

]]>
1259431
เปิด 6 ข้อวิเคราะห์ทิศทางตลาดเงิน-ตลาดทุน หลังเหตุสหรัฐฯ ลอบสังหารนายพลอิหร่าน https://positioningmag.com/1259367 Sat, 04 Jan 2020 12:22:03 +0000 https://positioningmag.com/?p=1259367 หลังสหรัฐอเมริกาเข้าโจมตีทางอากาศสังหาร “นายพลคาสเซม โซเลมานี” แห่งอิหร่านเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 2 มกราคม 2020 สร้างแรงกระเพื่อมในตลาดเงินตลาดทุน โดยตลาดหุ้นโลกราคาตกฮวบ ขณะที่ราคาทองคำพุ่งขึ้นสูงสุดในรอบ 6 ปี รวมถึงราคาน้ำมันและพันธบัตรรัฐบาลที่ปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากนักลงทุนเลือกหนีตลาดสินทรัพย์ความเสี่ยงสูง และเกรงว่าเหตุการณ์นี้จะส่งผลต่อซัพพลายน้ำมันระดับโลก

การโจมตีอิหร่านครั้งนี้เกิดขึ้นจากคำสั่งโดยตรงของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ โดยกล่าวว่าเป็นภารกิจเพื่อขัดขวางแผนการโจมตีในอนาคตของอิหร่าน ขณะที่ฝั่งอิหร่านตอบโต้กลับด้วยคำแถลงของ อายะตอลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี ผู้นำระดับสูงของอิหร่านว่า “การแก้แค้นอย่างรุนแรงกำลังรอสหรัฐฯ อยู่”

สำหรับตลาดเงินตลาดทุนจะเป็นอย่างไรหลังความตึงเครียดที่เกิดขึ้นในตะวันออกกลาง ติดตามได้จากบทวิเคราะห์จาก 6 แหล่งนี้

1.ทองคำจะเป็นที่ต้องการ

Oanda มองว่า ความเสี่ยงที่จะเกิดความขัดแย้งสูงขึ้นน่าจะทำให้ราคาหุ้นตกลงอีกในเดือนนี้ และส่งให้เงินลงทุนไหลสู่ตลาดสินทรัพย์ปลอดภัยจนกว่าความกลัวจะลดลง

Oanda กล่าวว่า การโจมตีทางอากาศครั้งนี้ทำให้ภูมิภาคสั่นสะเทือน และการตายของโซเลมานีนั้นอาจจะเป็นเพียงจุดเริ่มต้น “ภูมิภาคนี้ทั้งหมดกำลังอยู่ในช่วงอ่อนไหว และตลาดหุ้นอาจจะร่วงลงได้อีก” เอ็ดเวิร์ด โมยา นักวิเคราะห์อาวุโสกล่าว “ทองคำจะยังเป็นตลาดสินทรัพย์ปลอดภัยที่นักลงทุนชื่นชอบ”

นอกจากนี้ ตลาดสินทรัพย์ปลอดภัยอื่นๆ เช่น สกุลเงินดอลลาร์ และ สกุลเงินเยน น่าจะเป็นจุดพักเงินลงทุนสูงขึ้น “แต่ทองคำจะยังเป็นราชาของกลุ่มนี้” โมยากล่าวเสริม และเชื่อว่าราคาทองคำจะพุ่งขึ้นจากปี 2019 ไปแตะ 1,600 เหรียญต่อออนซ์ภายในสิ้นเดือนมกราคมนี้

2.ใช้โอกาสตลาดขาลงเร่งช้อนซื้อหุ้นกลุ่มเทคฯ

Wedbush มองว่า ราคาหุ้นสหรัฐฯ ที่ทรุดลงเป็น “โอกาสทองในการช้อนซื้อ” สำหรับนักลงทุนที่ต้องการจะซื้อ หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี เพราะราคาถูกลงแล้วในขณะนี้ หลังจากปี 2019 ราคาหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นมากที่สุดในรอบทศวรรษ

ที่แนะนำหุ้นกลุ่มเทคฯ เพราะ Wedbush มองว่าหุ้นกลุ่มนี้จะเติบโตได้อีกในปี 2020 แม้ว่าจะสะดุดไปบ้างจากเหตุการณ์โจมตีอิหร่าน ดังนั้น นี่จึงเป็นโอกาสช้อนซื้อหุ้นเทคฯ เด่นๆ เช่น Microsoft, Apple, Nuance, CyberArk, Fortinet, Varonis, SailPoint, Zscaler 

3.การโจมตีครั้งนี้จะเพิ่มโอกาสเกิดสงคราม

ด้าน Capital Economics กล่าวว่า การลอบสังหารโซเลมานีจะเพิ่มโอกาสเสี่ยงเกิดความขัดแย้งโดยสมบูรณ์ระหว่างสหรัฐฯ และอิหร่าน และหากเกิดสงครามขึ้นจริงจะกระทบกับจีดีพีโลกโดยตรงประมาณ 0.3% เนื่องจากเศรษฐกิจอิหร่านจะพังทลาย นอกจากนี้ยังต้องจับตามองว่าสงครามที่อาจเกิดขึ้นจะกระทบกับประเทศในเขตตะวันออกกลางและแอฟริกาตอนเหนือมากน้อยแค่ไหน

Capital Economics ยังกล่าวด้วยว่า อิหร่านอาจโต้กลับด้วยการปิดช่องแคบฮอร์มุซเพื่อส่งให้ราคาน้ำมันสูงขึ้นทั่วโลก ประเทศพัฒนาแล้วน่าจะผ่านสถานการณ์นี้ไปอย่างยากลำบาก ส่วนประเทศกำลังพัฒนาอาจเพิ่มอัตราดอกเบี้ย

4.นักลงทุนไม่ควรตื่นตระหนกเกินไป

บริษัทบริหารจัดการการลงทุนส่วนบุคคล CIBC มองว่า อิหร่านมักจะตอบโต้กลับ แต่บริษัทยังคงความเห็นเหมือนเดิมว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปีนี้จะเป็นตลาดกระทิง (ตลาดขาขึ้น) แม้ว่าจะต้องระมัดระวังคอยจับตาดูสถานการณ์ในอิหร่าน แต่นักลงทุนไม่ควรตื่นตระหนกจนเกินไป

CIBC ยังชี้ว่าอัตราเงินเฟ้อและรายได้ขององค์กรขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ ยังอยู่ในเกณฑ์เศรษฐกิจสุขภาพดี และดีลการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่กำลังจะเซ็นสัญญากันนั้นจะยิ่งส่งเสริมให้ตลาดหุ้นเติบโต

5.แนะนำให้ “มองผลกำไรระยะยาว”

ธนาคาร UBS เชื่อว่า ความขัดแย้งทางการเมืองอาจทำให้ตลาดเหวี่ยงลงอย่างกะทันหันแต่น่าจะเป็นไปในระยะสั้นเท่านั้น นักลงทุนควรจะ “นิ่งไว้ก่อน” และยังไม่ควรปรับกลยุทธ์การลงทุนใหม่ตามสถานการณ์โจมตีอิหร่าน

“ความเสี่ยงเรื่องความขัดแย้งระหว่างประเทศยังไม่มีแนวโน้มจะทำให้เกิดตลาดขาลง นักลงทุนควรจะมองผลตอบแทนในระยะยาวต่อไป” Mark Haefele ประธานเจ้าหน้าที่ด้านการลงทุนระดับโลกของ UBS กล่าว เขายังแนะนำลูกค้าด้วยว่า “ไม่ควรคาดหวังการแข่งขันด้านราคาน้ำมัน” และ “ทองคำจะเป็นแหล่งพักเงินที่ดีระหว่างที่การเมืองยังไม่นิ่ง”

6.อิหร่านอาจตอบโต้ด้วยปฏิบัติการขนาดเล็กมากกว่าสงคราม

ปิดท้ายที่ Pantheon วิเคราะห์ว่า อิหร่านจะตอบโต้กลับการโจมตีของสหรัฐฯ แต่ไม่น่าจะเกิดสงครามเต็มรูปแบบขึ้น (แต่ยังคงไม่ตัดความเป็นไปได้ทิ้ง) เนื่องจากการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ มีผลกระทบหนักกับประเทศอยู่แล้ว อิหร่านจึงไม่น่าจะต้องการก่อให้เกิดสงครามเต็มรูปแบบขึ้น

อิหร่านจึงน่าจะหันไปใช้โครงสร้างพื้นฐานคือ “น้ำมัน” ในการตอบโต้ ส่วนในทางการศึก อิหร่านอาจจะใช้ปฏิบัติการขนาดเล็ก เช่น การลักพาตัว ลอบสังหาร เพื่อเพิ่มความตึงเครียด เพราะความกลัวว่าจะเกิดสงครามนี้เองที่จะทำให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นอย่างน้อยใน 2-3 เดือนข้างหน้า

Source

]]>
1259367