ร้านมัลติแบรนด์ – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Wed, 27 Nov 2019 08:52:26 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ครบรอบ 1 ปี JD Sports ในไทย จับทางลูกค้า “ผู้หญิงสายแฟชั่น” https://positioningmag.com/1254511 Fri, 22 Nov 2019 08:52:03 +0000 https://positioningmag.com/?p=1254511 JD Sports ร้านมัลติแบรนด์รองเท้าและเสื้อผ้ากีฬาจากอังกฤษครบขวบปีแรกการเข้าสู่ตลาดไทย เริ่มต้นที่ไอคอนสยามก่อนขยายสู่ 4 สาขา กางแผนปีหน้าเปิดเพิ่มอย่างน้อย 2 สาขา พร้อมวางระบบอีคอมเมิร์ซ จัดสินค้าในร้านเอาใจผู้หญิง

หลังจากเปิดสาขาแรก ณ ไอคอนสยามพร้อมๆ กับการเปิดตัวของศูนย์การค้า 1 ปีเวียนมา ทาง JD Sports ประกาศความสำเร็จของตนเองในสาขานี้ เป็นร้านที่ทำยอดขายสูงสุดของห้างฯ ในหมวดกีฬาและไลฟ์สไตล์ และเป็นอันดับ 2 ในหมวดร้านที่เป็นแบรนด์นำเข้า

ในรอบปี JD Sports ยังขยายไปปักหมุดอีก 3 สาขา ได้แก่ เมกา บางนา, สยามเซ็นเตอร์ และเทอร์มินอล 21 ทำให้ประเทศไทยมีร้าน JD Sports 4 สาขาเท่ากันกับสิงคโปร์ แต่ยังน้อยกว่ามาเลเซียที่มี 13 สาขาหลังจากเข้าตลาด 3 ปี

“เศรษฐกิจไทยในช่วงปีที่ผ่านมาอาจจะไม่ดีมาก แต่เรายังทำยอดขายได้ตามเป้า เพราะคนไทยรู้จักและชื่นชอบแบรนด์ JD Sports อยู่แล้ว” ลูซีนดา เบอร์เกสซ์ ผู้จัดการแบรนด์และหัวหน้าฝ่ายเจดี เอเชีย แปซิฟิก JD Sports กล่าว

ลูซีนดาแย้มว่าขณะนี้บริษัทกำลังดีลกับศูนย์การค้าอีก 2 แห่งเพื่อเปิดสาขาใหม่ในปีหน้า โดยยังคงเน้นหนักในกรุงเทพฯ และปริมณฑลก่อน หากมีสาขาครอบคลุมแล้วจึงจะขยับไปในต่างจังหวัด

คนไทย #สายแฟ

กระแสการแต่งกายสไตล์แฟชันกีฬาในชีวิตประจำวันที่เกิดขึ้นทั้งในระดับโลกและในไทยนั้นเป็นผลบวกกับ JD Sports อย่างมาก เพราะร้านนี้เน้นขายสนีกเกอร์และเครื่องแต่งกายแฟชัน ไม่เน้นด้านเพอร์ฟอร์มานซ์หรือกลุ่มเสื้อผ้ารองเท้าที่ออกแบบและผลิตเพื่อประสิทธิภาพในสนามกีฬา เมื่อเสื้อผ้ารองเท้ากีฬาเข้ามาอยู่ในกิจกรรมอื่นที่ไม่ใช่แค่การออกกำลังกายทำให้เร่งพฤติกรรมการซื้อมากขึ้น

สินค้าแฟชันกีฬาเหล่านี้บริษัทกำลังปรับเพื่อให้เข้ากับตลาดไทยมากขึ้น โดยลูซีนดากล่าวถึงพฤติกรรมผู้บริโภคไทยว่า ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนวัย 20-30 ปี และมีลูกค้าผู้หญิงมากเป็นพิเศษ ทำให้ร้านกำลังปรับสินค้าเป็นอัตราส่วน สินค้าผู้หญิง 40% สินค้าผู้ชาย 40% และสินค้าสำหรับเด็ก 20% จากปกติจะมีสินค้าผู้หญิงน้อยกว่านี้

“เทียบกับประเทศอื่นแล้วผู้ซื้อชาวไทยตามเทรนด์แฟชันมากกว่า เป็นนักผจญภัยในการแต่งตัวคือชื่นชอบสินค้ามีสีสัน แปลกใหม่ ดูโดดเด่น มีนักสะสมสนีกเกอร์มาก และมีลูกค้าผู้หญิงมากกว่าประเทศอื่นอย่างชัดเจน” ลูซีนดากล่าวถึงพฤติกรรมผู้บริโภคชาวไทย

โดยสินค้าที่ลงขายใน JD Sports ประเทศไทยขณะนี้ได้แก่ Nike, Adidas, Puma, Reebok, New Balance, Fila, Vans, Champion, Crep Protect และปีหน้าจะมีแบรนด์ใหม่เพิ่มเติมคือ Converse, Lacoste และเฮาส์แบรนด์ของร้านเองคือ Supply & Demand และ Pink Soda

เปิดอีคอมเมิร์ซครบลูป Omnichannel

นอกจากการขยายสาขาแล้ว JD Sports เตรียมเปิดเว็บไซต์ของตนเอง www.jdsports.co.th ภายในไตรมาส 1 ปี 2020 เพื่อเป็นช่องทางสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ ตั้งเป้ามีสัดส่วนยอดขายจากออนไลน์ 35% ภายใน 3 ปี ซึ่งลูซีนดามองว่าค่อนข้างสูงเทียบกับประเทศอื่น

ระบบนี้จะเชื่อมโยงกับ kiosk ภายในร้านรีเทลด้วย kiosk นี้จะเป็นจุดสั่งซื้อและรับของภายในร้าน ทำให้การขายเป็นระบบ Omnichannel ลูกค้าสามารถเช็กของบนแพลตฟอร์มออนไลน์ สั่งซื้อ และมาลองสินค้าที่ร้าน หรือกลับกันคือลูกค้ามาลองสินค้าในร้าน แต่ร้านอาจไม่มีสต็อก ก็สามารถสั่งผ่าน kiosk เพื่อซื้อออนไลน์ให้จัดส่งที่บ้านได้

ทั้งนี้ ระบบขายออนไลน์ของ JD Sports จะมีเฉพาะช่องทางเว็บไซต์ของแบรนด์เท่านั้น ยังไม่มีแผนการขายบนมาร์เก็ตเพลซ ซึ่งเป็นนโยบายกลางทั้งในไทยและประเทศอื่นๆ ของเอเชียแปซิฟิก

]]>
1254511
เปิดแผน Beauty Buffet แก้โจทย์หินฟื้นรายได้ ตั้งตัวแทนตลาดจีน-ผนึกพันธมิตรเปิดร้าน “มัลติแบรนด์” ปั้นโมเดลเจาะแมส https://positioningmag.com/1243008 Mon, 19 Aug 2019 11:45:54 +0000 https://positioningmag.com/?p=1243008 ปี 2560 หุ้น Beauty ถูกจัดว่าสวยตามชื่อเป็นหุ้นร้อนแรงในตลาดหลักทรัพย์ รายได้ปีนั้นอยู่ที่ 3,735 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1,229 ล้านบาท ราคาหุ้น 20.80 บาท มาร์เก็ตแคป 62,456 ล้านบาท เป็นผลจากแรงซื้อมหาศาลตลาดจีน

จากนั้นไม่ถึง 2 ปี Beauty กลับสวยน้อยลง เดือน ส.ค. 2562 ราคาหุ้นอยู่ที่ 3.02 บาท มาร์เก็ตแคปร่วงมาอยู่ที่ 9,080 ล้านบาท ลดลงเกือบ 6 เท่า ถือเป็นโจทย์หินในรอบ 22 ปีตั้งแต่อยู่ในอุตสาหกรรมก่อนเข้าตลาด

ไตรมาส 2 ปีนี้ Beauty รายงานตลาดหลักทรัพย์ รายได้รวมอยู่ที่ 531 ล้านบาท ลดลง 38% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน ขณะที่รายได้ 6 เดือน ปี 2562 อยู่ที่ 1,080 ล้านบาท ลดลง 38.70% จากช่วงเดียวกันปีก่อน

ดร.พีระพงษ์ กิติเวชโภคาวัฒน์

ตั้งตัวแทนขายฟื้นตลาดจีน

ดร.พีระพงษ์ กิติเวชโภคาวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ BEAUTY ผู้ดำเนินธุรกิจค้าปลีกผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและบำรุงผิว ร้าน Beauty Buffet กล่าวว่า แนวโน้มรายได้ปีนี้ยังอยู่ในภาวะ “ถดถอย” อีกปีจากหลายปัจจัย ปีนี้ประเมินรายได้ทั้งปีไว้ที่ 2,200 ล้านบาท ลดลงจากปี 2561 ที่มีรายได้ 3,501 ล้านบาท แต่เชื่อว่ายังทำอัตรากำไรสุทธิได้ที่ 17%

ผลกระทบในแง่รายได้ของ BEAUTY มาจากสงครามการค้าจีน ทำให้ตลาดต่างประเทศที่มีสัดส่วน 30% ของรายได้ ได้รับผลกระทบเพราะตลาดจีนครองสัดส่วน 70%

ที่ผ่านมาการเติบโตของ BEAUTY ในปี 2560 มาจากลูกค้าชาวจีนเข้ามาหิ้วสินค้าจากไทยและสั่งซื้อออนไลน์เข้าไปขายในจีน จากความนิยมเครื่องสำอางไทยทำให้ยอดขายจากตลาดจีนมีสัดส่วน 30% ของยอดขายในปีนั้น แต่หลังจากนั้นจีนออกกฎหมายคุมภาษีสินค้าอีคอมเมิร์ซและเกิดสงครามการค้า (Trade War) ทำให้ยอดขายจากตลาดจีนซบเซามาต่อเนื่องถึงปัจจุบัน

วิธีการแก้ไขตลาดจีน จึงเข้าไปแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการในจีน รวมทั้งเปิดช็อปแบรนด์บนอีคอมเมิร์ซทุกแพลตฟอร์มในประเทศจีน เชื่อว่ายอดขายจากตลาดจีนจะเริ่มฟื้นตัวหลังจากนี้ อีกทั้งได้กระจายรายได้ตลาดต่างประเทศ เพื่อบาลานซ์รายได้ตลาดจีน ด้วยการขยายการทำตลาดในประเทศต่างๆ รวม 15 ประเทศ ให้มีสัดส่วนใกล้เคียงกัน

จับมือ 14 แบรนด์ปรับโฉมร้าน “มัลติแบรนด์”

นอกจากนี้ร้าน “BEAUTY BUFFET” ซึ่งปัจจุบันมีสาขาทั่วประเทศ 259 แห่ง เดิมจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของกลุ่ม BEAUTY ทั้งเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว รวมทั้งสินค้าสุขภาพประกอบด้วยแบรนด์ จีโน่ แม็คเครย์, เดอะ เบเกอรี่, เซนทิโอ, แลนซ์เลย์, เมด อิน เนเจอร์, บิวตี้ ไอดอล กว่า 3,000 – 4,000 รายการ (SKU) รวม 480 ไอเท็ม

ปัจจุบันได้ปรับโฉมร้าน “BEAUTY BUFFET” ใหม่สู่รูปแบบ “มัลติแบรนด์” โดยจับมือกับพันธมิตร “แบรนด์ไทย” กลุ่มเครื่องสำอางและสินค้าสุขภาพกว่า 14 แบรนด์ อาทิ แบรนด์ KARMART, SNAIL WHITE, BOKHTOH SMITH, HER HIGHNESS นำร่องเปิดแฟลกชิปสโตร์สาขาแรกที่มาบุญครอง ปี 2562 จะนำสินค้าจากแบรนด์พันธมิตรเข้ามาจำหน่ายในร้าน BEAUTY BUFFET 120 สาขาทั่วประเทศ และจะขยายเพิ่มเติมในปีหน้า

โดยสัดส่วนผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายในร้าน แบ่งออกเป็นสินค้า BEAUTY BUFFET 80% และสินค้าแบรนด์พันธมิตร 20% เน้นกลุ่มลูกค้าระดับกลางถึงบน

พฤติกรรมผู้บริโภคและนักช้อปส่วนใหญ่ต้องการช้อปปิ้งในรูปแบบร้านมัลติแบรนด์ ด้านราคาและสินค้าที่หลากหลาย เชื่อว่าจะได้รับการตอบรับที่ดี ตอบโจทย์กลุ่มนักช้อปปัจจุบันและเพิ่มโอกาสขายให้กับธุรกิจร้านค้าปลีกเครื่องสำอาง

“การปรับร้านสู่มัลติแบรนด์ เรากำลังทำตัวเป็นเวทีให้แบรนด์ไทยอื่นๆ เข้ามาร่วมสร้างความแข็งแกร่งให้เครื่องสำอางแบรนด์ไทย เป็นช็อปที่มีสินค้าให้เลือกเพิ่มขึ้น วันนี้ถึงเวลาที่เราต้องดึงนักเตะเก่งๆ เข้ามาเริ่มทีม”   

ปั้นบิสสิเนสโมเดลเจาะแมส

ปัจจุบันต้องยอมรับว่ากำลังซื้อผู้บริโภคยังไม่กลับสู่ภาวะปกติ จากเศรษฐกิจและกำลังซื้อชะลอตัว แม้คนไทยยังต้องการจับจ่ายสินค้าด้านความงาม แต่ก็ต้องเป็นการ “สวยอย่างประหยัด” BEAUTY จึงมองโอกาสปั้นบิสสิเนสโมเดลใหม่ที่เป็นคอนเซ็ปต์ Everyday low price ที่ทำได้ทั้งตลาดบน กลาง แมส โดยจะเริ่มที่ตลาดแมส เพื่อเป็นการขยายฐานกลุ่มลูกค้าใหม่ให้กับ BEAUTY สินค้าเริ่มที่ 39 บาท

การทำตลาดเป็นการจัดอีเวนต์ หรือ ป็อปอัพ เอาท์เล็ต รูปแบบเฟสติวัล ตามสถานที่ต่างๆ หากได้รับความสนใจอาจพัฒนาเป็นช็อปจำหน่าย โดยจะเริ่มทำตลาดนี้ในไตรมาส 3

นอกจากนี้จะใช้กลยุทธ์การตลาดแบบ O2O (Online to Offline) ควบคู่ไปกับการใช้ Experience Sharing ผ่านทางกลุ่มของ Macro Influencers ที่สามารถสร้าง Mass Awareness

ตลาดเครื่องสำอางในไทยมีมูลค่ากว่า 1.8 แสนล้านบาท เติบโตเฉลี่ย 7 – 8% และมูลค่าตลาดอาหารเสริม 8.7 หมื่นล้านบาท จึงถือยังถือเป็นโอกาสของบิวตี้ บุฟเฟต์

จากกลยุทธ์การตลาดดังกล่าว BEAUTY คาดว่าปี 2563 จะเป็นปีที่รายได้กลับมาเติบโตได้อีกครั้งในอัตรา 20% และหุ้น BEAUTY จะอยู่ในกลุ่มที่เติบโตในโหมด Normal ไม่ใช่หุ้นกระดี๊กระด๊า เหมือนที่ผ่านมา.

]]>
1243008
คนไทยชอบแต่งตัว “JD Sports” น้องใหม่จากอังกฤษ ลุยศึกร้านมัลติแบรนด์แฟชั่นกีฬา https://positioningmag.com/1200778 Sun, 02 Dec 2018 23:08:11 +0000 https://positioningmag.com/?p=1200778 Thanatkit

ถ้าเดินไปถามวัยรุ่นแถบสยามถึงร้านมัลติแบรนด์ขายสินค้าแฟชั่นกีฬาทั้งรองเท้า เสื้อผ้า และเครื่องประดับ “Carnival” และ “VAC” น่าจะเป็น 2 ตัวเลือกแรกที่รู้จักกันเป็นอย่างดี

แต่จากพฤติกรรมของวัยรุ่นไทยที่หันมาสนใจแต่งตัวแนวแฟชั่นมากขึ้นได้สร้างแรงดึงดูดให้ร้านมัลติแบรนด์ชื่อดังจากต่างประเทศอยากบุกเข้าเมืองไทยด้วยโดยรายแรกที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการในปีนี้คือ atmos ร้านจำหน่ายสนีกเกอร์ ที่มีอิทธิพลอย่างมากในญี่ปุ่นด้วยจำนวน 30 สาขาที่มีในปัจจุบัน สำหรับสาขาแรกในไทยอยู่ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ เปิดเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา

“JD Sports” ถือเป็นแบรนด์ล่าสุดที่เข้าสู่สังเวียน แบรนด์นี้มีต้นตำรับอยู่ที่เกาะอังกฤษ โดยเปิดมาแล้ว 37 ปี ตอนนี้มีร้านค้าทั้งหมด 800 แห่งทั่วโลก ตลาดหลักๆ อยู่ที่สหราชอาณาจักร เนเธอร์แลนด์ ฝรั่งเศส เยอรมนี และเบลเยียม ก่อนที่ 3 ปีก่อนจะเริ่มบุกเข้าสู่เอเชีย โดยเริ่มเปิดร้านภายในศูนย์การค้าแฟชั่น ซันเวย์ ปิรามิด ประเทศมาเลเซีย เมื่อปีที่แล้วได้ขยายเข้าไปเปิดที่เกาหลีใต้ก่อนตามด้วยสิงคโปร์

เมืองไทยจึงเป็นประเทศที่ 4 ในภูมิภาคนี้ เปิดสาขาแรกที่ศูนย์การค้าไอคอนสยาม ถือเป็นแฟลกชิพสโตร์ ด้วยพื้นที่ 900 ตารางเมตร แบ่งออกเป็น 2 ชั้น ภายในมีเสื้อผ้าสตรีทแวร์ทั้งเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย รองเท้า และเครื่องประดับประมาณ 20 แบรนด์

JD Sports ให้เหตุผลที่เลือกเปิดไอคอนสยาม ว่า ทำเลดี ร้านเช่าเต็มหมดแล้ว จึงขยับออกมาหน่อย ซึ่งไอคอนสยามมีกลุ่มครอบครัวที่เป็นฐานลูกค้าหลักของ JD Sports และยังมีกลุ่มนักท่องเที่ยว

เมืองไทยมีความน่าสนใจอยู่ที่กลุ่มผู้บริโภคสนใจแฟชั่นมากขึ้น และชอบแต่งตัวสีสันจัดจ้าน สาขาแรกที่ไอคอนสยามเพิ่งเปิดได้ประมาณ 1 เดือน มีผลงานดีเกินกว่าที่คาดไว้มากๆ”

การเป็นน้องใหม่ย่อมชนกับเจ้าถิ่น ทั้ง Carnival และ VAC อย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ JD Sports เชื่อว่า การมีสินค้ารุ่นเอ็กซ์คลูซีฟที่ขายเฉพาะ ร้าน JD Sports “Only at JD” จะสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง และคู่แข่ง Carnival ยังเป็นคู่ค้าด้วยเพราะมีการนำสินค้ามาวางขายในร้านด้วย

เมืองไทยมีความน่าสนใจอยู่ที่กลุ่มผู้บริโภค เริ่มมีความสนใจแฟชั่นมากขึ้น และชอบแต่งตัวสีสันจัดจ้าน

JD Sports จึงเปิดสาขาแห่ง 2 ที่ “เมกา บางนา” จากนั้นจะขยายสาขาเพิ่มจำนวนมาก เน้นในกรุงเทพฯ จากนั้นจึงขยายไปสู่หัวเมือง โดยมีการลงทุนสร้างคลังสินค้าขนาดใหญ่ รวมถึงการเปิดตัวเว็บไซต์ JDsports.co.th ไว้สำหรับให้ลูกค้าต่างจังหวัดได้เป็นอีกหนึ่งช่องทางในการซื้อสินค้า ส่วนเกมการตลาดหลักๆ จะเน้นการสื่อสารในออนไลน์ เน้นการการรับรู้ของแบรนด์ และจะมีอินฟลูเอนเซอร์ร่วมด้วย.

]]>
1200778