ก่อนหน้านี้ กนง. ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจากร้อยละ 1.25 มาอยู่ที่ร้อยละ 1 ต่อปี ไปเมื่อวันที่ 5 ก.พ. ที่ผ่านมา (อ่านรายละเอียด : กนง. ปรับลดดอกเบี้ยเหลือแค่ 1% หลังประเมินเศรษฐกิจ​ไทยแย่กว่า​ที่คาด )

ล่าสุดคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้มีการประชุมนัดพิเศษในช่วงเย็นของวันที่ 20 มี.ค. เพื่อประเมินผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและกลไกการทำงานของตลาดการเงินของประเทศ

คณะกรรมการฯ เห็นว่าการระบาดของ COVID-19 ในระยะข้างหน้ารุนแรงกว่าที่คาดไว้เดิม รวมทั้งจะใช้เวลาอีกระยะหนึ่งกว่าที่จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ซึ่งจะส่งผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจไทย

การระบาดที่เกิดขึ้นได้สร้างความกังวลให้กับตลาดเงินและตลาดทุนทั่วโลก ซึ่งที่ผ่านมาได้ส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องและกลไกการทำงานของตลาดการเงินไทย แม้ว่าระบบการเงินไทยโดยรวมยังมีเสถียรภาพ

คณะกรรมการฯ จึงมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 ต่อปี จากร้อยละ 1.00 เป็นร้อยละ 0.75 ต่อปี โดยให้มีผลในวันที่ 23 มีนาคม 2563 เพื่อลดภาระดอกเบี้ยของลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบ บรรเทาปัญหาสภาพคล่องในตลาดการเงิน และลดผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจโดยรวม ซึ่งจะช่วยสนับสนุนมาตรการการคลังของรัฐบาลที่ได้ออกมาแล้วและจะออกมาเพิ่มเติม

“การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในครั้งที่ผ่านมาและในครั้งนี้ จะเกิดผลต่อระบบเศรษฐกิจก็ต่อเมื่อสถาบันการเงินจะต้องมีบทบาทเชิงรุกในการช่วยแก้ปัญหาสภาพคล่องของลูกหนี้ โดยเฉพาะธุรกิจ SMEs และประชาชน รวมทั้งการเร่งปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้เกิดผลอย่างชัดเจนเป็นรูปธรรม จึงขอให้ธนาคารแห่งประเทศไทยติดตามการช่วยเหลือลูกหนี้ของสถาบันการเงินแต่ละแห่งอย่างใกล้ชิด”

นอกจากนี้ ขอให้ธนาคารแห่งประเทศไทยดูแลสภาพคล่องและกลไกการทำงานของตลาดการเงินเพื่อให้มั่นใจว่าตลาดการเงินมีเสถียรภาพและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ที่มา : ธนาคารแห่งประเทศไทย 

การปรับครั้งนี้หวังเป็นการช่วยลดภาระต้นทุนด้านค่าใช้จ่ายอัตราดอกเบี้ยในการดำเนินธุรกิจของลูกค้า SME และลูกค้ารายย่อย เพื่อปรับตัวต่อความท้าทายจากสภาวะเศรษฐกิจของไทยในปัจจุบัน รวมถึงการตอบรับทิศทางการลดดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)

การปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MRR ในครั้งนี้ นอกจากจะช่วยเหลือลูกค้ารายย่อยแล้ว ยังสอดคล้องกับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่มีผลต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศโดยภาพรวม

SCB ขานรับนโยบายการปรับลดดอกเบี้ยของคณะกรรมการนโยบายการเงิน โดยปรับลดทั้งดอกเบี้ยเงินกู้ และดอกเบี้ยเงินฝากประจำ

อาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานกรรมการบริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า

“ธนาคารไทยพาณิชย์มีเจตนารมณ์ที่จะช่วยลดภาระต้นทุนในการดำเนินธุรกิจของลูกค้า SME และลูกค้ารายย่อย เพื่อสนับสนุนการปรับตัวต่อความท้าทายจากสภาวะเศรษฐกิจไทยที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า และการชะลอตัวของการใช้จ่ายในประเทศ”

เป็นการขานรับทิศทางการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ด้วยการประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายย่อยชั้นดี (MRR) ลง 0.25% มาอยู่ที่ 6.87% พร้อมกันนี้ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำลง 0.25% เพื่อให้สอดคล้องกับภาวะสภาพคล่องในระบบการเงินในปัจจุบัน

ทั้งนี้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MRR และอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำใหม่ จะมีผลตั้งแต่วันศุกร์ที่ 8 พฤศจิกายน เป็นต้นไป

ทางด้านธนาคารออมสินก็ได้ขานรับนโยบายเช่นกัน ได้ปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ในอัตราเท่ากัน 0.125% ทำให้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดี หรือ MRR และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขั้นต่ำประเภทเงินเบิกเกินบัญชี หรือ MOR (Minimum Overdraft Rate) ลดลงจาก 6.87% เหลือ 6.745% ส่วนอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขั้นต่ำประเภทเงินกู้ที่มีระยะเวลา หรือ MLR (Minimum Lending Rate) ปรับลดลงจาก 6.50% เหลือ 6.375% โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 11 พฤศจิกายน 2562 เป็นต้นไป

ความเคลื่อนไหวนี้ออกมาในขณะที่ประธานาธิบดี มุน แจอิน กำลังพยายามผลักดันอัตราเงินเฟ้อ หลังจากราคาสินค้าลดลงเป็นครั้งแรกเมื่อเดือนที่แล้ว และกระตุ้นเศรษฐกิจฝืดเคืองด้วยการเลือกตั้งรัฐสภาในอีก 6 เดือนข้างหน้า

มันยังทำให้ธนาคารเกาหลีกลายเป็นธนาคารกลางแห่งล่าสุดในโลกที่ลดอัตราดอกเบี้ย ในขณะที่เจ้าหน้าที่หลายคนพยายามพยุงเศรษฐกิจท่ามกลางภาวะถดถอยทั่วโลก

ธนาคารกลางเกาหลีปรับอัตราดอกเบี้ยเหลือ 1.25% จาก 1.5% โดยอ้างการหดตัวของการค้าทั่วโลกและความเฉื่อยชาในการส่งออกและการลงทุนโดยโรงงานต่างๆ

อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ตอนนี้อยู่ในระดับเดียวที่เคยต่ำสุดก่อนหน้านี้ ในระหว่างเดือนมิถุนายน ปี 2016 – พฤศจิกายน ปี 2017 เงินวอนอ่อนค่าลง 2 เปอร์เซ็นต์เทียบกับดอลลาร์ในการซื้อขายช่วงบ่าย

“อย่างที่คาดการณ์กันว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจภายในประเทศจะอยู่ในระดับกลางๆ และมีการพยากรณ์ว่า แรงกดดันเงินเฟ้อต่อด้านอุปสงค์จะยังคงอยู่ในระดับต่ำ คณะกรรมการจะยังคงจุดยืนนโยบานการเงินแบบยืดหยุ่นต่อไป” ธนาคารกลาง ระบุในถ้อยแถลง

การหั่นดอกเบี้ยครั้งนี้เกิดขึ้นในขณะที่เศรษฐกิจใหญ่อันดับ 11 ของโลกกำลังได้รับผลกระทบจากข้อพิพาทการค้ายืดเยื้อระหว่างสหรัฐฯ และจีน รวมทั้งการเผชิญหน้าของโซลกับโตเกียวที่มีสาเหตุจากข้อพิพาททางประวัติศาสตร์

เพื่อนบ้านสองรายนี้ติดพันในข้อพิพาทนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม เมื่อญี่ปุ่นยกระดับควบคุมการส่งออกสารเคมีสามอย่างที่มีมีความจำเป็นต่อผลิตภัณฑ์สำคัญของบริษัทเทคโนโลยีเกาหลีใต้ เช่น ซัมซุง

ถึงแม้ว่าทั้งสองจะเป็นพันธมิตรของสหรัฐฯ ในภูมิภาคนี้ แต่ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองยังคงได้รับผลกระทบจากลัทธิแผ่ขยายของญี่ปุ่นในครึ่งแรกของศตวรรษที่ 20 รวมทั้งการปกครองแบบอาณานิคมในคาบสมุทรแห่งนี้

อัตราเงินเฟ้อราคาผู้บริโภคคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 0% ในบางช่วงเวลา ก่อนที่จะขึ้นเป็น 1% ตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป ธนาคารกลาง ระบุ ไม่ถึงเป้าหมาย 2% ที่ตามตั้งไว้

นักวิเคราะห์เตือนว่า เกาหลีใต้อาจกำลังเข้าสู่ขอบเขตการชะลอตัวหลังจากราคาสินค้าลดลง 0.4% ในเดือนกันยายนเทียบกับปีที่แล้ว

ธนาคารกลางเกาหลี ระบุว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจคาดว่าจะเหลือไม่ถึง 2.2% ที่คาดการณ์ไว้เมื่อเดือนกรกฎาคม การปรับลดอีกครั้งจากตัวเลขคาดการณ์แรกสุดที่ 2.5% เมื่อปี 2018 ตัวเลข GDP เติบโต 2.7% การเติบโตที่น้อยที่สุดในรอบ 6 ปี.

Source