ละครหลังข่าว – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Mon, 24 Jun 2019 07:31:56 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 2 ช่องใหญ่ยังอ่วม! ช่อง 3 หั่นเวลาละครหลังข่าว 15 นาทีหวังลดต้นทุน ช่อง 7 ลดแลกแจกแถมกระตุ้นโฆษณา https://positioningmag.com/1235413 Thu, 20 Jun 2019 09:55:22 +0000 https://positioningmag.com/?p=1235413 ถึงแม้เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า จะเหลือทีวีดิจิทัลที่ไปต่อ 15 ช่อง แต่สถานการณ์ของ “ทีวีดิจิทัล” นับวันจะยิ่งท้าทาย จากการแข่งขันที่รุนแรง เม็ดเงินโฆษณาลดลง ออนไลน์ที่เข้ามาแย่งชิง ซ้ำยังมาเจอสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ ช่องที่เหลืออยู่ต่างต้องปรับกลยุทธ์กันอย่างหนัก แม้แต่ 2 ช่องใหญ่ทั้งช่อง 7 และช่อง 3 ยังต้องปรับกระบวนยุทธ์ขนานใหญ่ ทั้งลดต้นทุนและจัดโปรโมชั่นลดแลกแจกแถม

ล่าสุดช่อง 3 ได้ปรับลดการออกอากาศ “ละครหลังข่าว” เป็นครั้งแรก จากปกติที่เคยออกอากาศละครหลังข่าวเป็นเวลา 2 ชั่วโมงครึ่งต่อวัน ลดลงมา 15 นาที เหลือ 2 ชั่วโมง 15 นาที เพื่อต้องการลดต้นทุน ที่ถือเป็นภารกิจสำคัญของช่อง 3 เวลานี้

บริษัท บีอีซี เวิลด์ หรือกลุ่มช่อง 3 ต้องเผชิญกับปัญหาการขาดทุนมาตั้งแต่ปี 2561 ที่ขาดทุนทั้งปีเป็นแรก โดยขาดทุนอยู่ที่ 330 ล้านบาท และในไตรมาสแรกของปีนี้ ยังขาดทุนอยู่ที่ 128 ล้านบาท

นักวิเคราะห์หลักทรัพย์เปิดเผยว่า ได้รับแจ้งจากทางช่อง 3 ว่า กลุ่มช่อง 3 ได้พยายามลดค่าใช้จ่ายทั้งหมดของกลุ่มบริษัททั้งหมด ซึ่งที่ผ่านมาได้มีหลายมาตรการลดต้นทุนไปแล้ว ทั้งการลดพนักงาน ลดค่าใช้จ่ายในการผลิตรายการ จนกระทั่งล่าสุดมาถึงการลดเวลาออกอากาศละครหลังข่าว วันละ 15 นาที ซึ่งคาดว่าจะสามารถลดต้นทุนแต่ละวันและมีผลต่อการลดต้นทุนรายเดือนได้เป็นหลักหลายล้านบาท

ภาพ : facebook.com/CH3Thailand

สำหรับการลดเวลาออกอากาศละคร เริ่มที่ละครเรื่องแรกหนี้รักในกรงไฟ ที่เริ่มออกอากาศตอนแรกเมื่อวันที่ 15 มิ.ย.โดยเป็นละครที่ออกอากาศในช่วงวันศุกร์-อาทิตย์ ส่วนละครหลังข่าวภาคค่ำ ที่ออกอากาศในช่วงวันจันทร์-พฤหัส จะเริ่มลดเวลาออกอากาศในละครชุดใหม่ที่จะออกอากาศในช่วงปลายเดือนกรกฎาคมเป็นต้นไป

ที่ผ่านมาช่อง 3 เป็นช่องที่ให้ความสำคัญกับละครหลังข่าวมาโดยตลอด จะให้เวลาออกอากาศยาวที่สุด เมื่อเทียบกับช่องอื่นๆ เช่น ช่อง 7 ละครหลังข่าวมีเวลาออกอากาศประมาณ 2 ชั่วโมง 10 นาที แล้วต่อด้วยรายการข่าวภาคดึก ในขณะที่ช่องวัน ในกลยุทธ์วางละครช่วงหลังข่าวไว้ 2 เรื่อง เรื่องละ 1 ชั่วโมง และช่องจีเอ็มเอ็ม 25 ก็ลงละครหลังข่าวไว้วันละ 1 ชั่วโมงเช่นกัน แต่เนื่องจากทุกช่องต่างก็เผชิญกับปัญหาโฆษณาลดลงกันทั้งหมด ปกติทุกช่องจะได้โฆษณาชั่วโมงละ 12 นาที แต่เวลานี้ยากที่จะหาโฆษณาได้เต็มทั้ง 12 นาที

ทั้งนี้การลดเวลาออกอากาศละครวันละ 15 นาทีต่อวันของช่อง จะยังคงต่อด้วยรายการ “ข่าว 3 มิติ” และต่อด้วยรายการภาคดึก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นภาพยนตร์ต่างประเทศ และรายการวาไรตี้

ก่อนหน้านี้ ช่อง 3 ได้ใช้กลยุทธ์การนำละครที่ประสบความสำเร็จในช่วงเวลาหลังข่าว มารีรันในช่วงละครเย็น เริ่มตั้งแต่เรื่อง “แรงเงา1” ต่อด้วยเรื่อง “ทองเอก หมอยาท่าโฉลง” และกำลังจะต่อด้วย “กรงกรรม” เป็นการวางละครเก่าออกอากาศต่อเนื่อง เพื่อต้องการลดต้นทุน อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์ดังกล่าวได้รับการตอบรับจากเอเจนซี่และลูกค้าโฆษณา มีโฆษณาเต็มในทุกช่วงเวลาของละครรีรันช่วงเย็นที่ต่อเนื่องมาถึงละคร “กรงกรรม” ที่จะมารีรันในวันที่ 26 มิถุนายนนี้ด้วย

กรงกรรม

สำหรับช่อง 3 มีเรตติ้งเฉลี่ยอยู่ในอันดับ 2 โดยปี 2561 มีเรตติ้งเฉลี่ยช่องอยู่ที่ 1.331 ลดลงจากปี 2560 ที่มีเรตติ้งเฉลี่ยอยู่ที่ 1.348 โดยมีเรตติ้งลดลงไม่มาก เนื่องจากในปี 2561 ช่อง 3 มีละคร “บุพเพสันนิวาส” ที่สร้างปรากฏการณ์เป็นละครที่ทำเรตติ้งสูงสุดของยุคทีวีดิจิทัลด้วยเรตติ้งตอนจบ 18.633 ส่วนเรตติ้งเฉลี่ยของช่อง 3 ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาอยู่ที่ 1.042 และในปีนี้ช่อง 3 มีละคร “กรงกรรม” ทำเรตติ้งสูงสุดของช่อง โดยมีเรตติ้งตอนจบอยู่ที่ 11.136

ช่อง 7 ยังต้องจัดโปร ดึงโฆษณา 

แหล่งข่าววงการเอเจนซี่รายงานว่า ด้วยสถานการณ์ที่เป็นไปอย่างยากลำบาก ทำให้พี่ใหญ่อย่างช่อง 7 ยังต้องจัดโปรโมชั่น ให้ส่วนลดมาแล้วถึง 2 รอบ รอบแรกในไตรมาสแรก และรอบที่ 2 เกิดขึ้นในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เนื่องจากรายได้จากธุรกิจวงการโฆษณาในทีวีดิจิทัลมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง ทั้งๆ ที่ปกติเป็นที่รู้กันว่าในฐานะแชมป์เรตติ้ง และช่องอันดับ 1 ช่อง 7 ไม่เคยต้องใช้กลยุทธ์นี้เลย

ในแง่ความนิยมของช่อง 7 เรตติ้งเฉลี่ยของช่อง 7 ในปี 2561 อยู่ที่ 1.827 ลดลงจากปี 2560 ที่มีเรตติ้งเฉลี่ยช่องอยู่ที่ 3.591 ส่วนเรตติ้งประจำเดือนพฤษภาคม เดือนล่าสุด ช่อง 7 มีเรตติ้งเฉลี่ยอยู่ที่ 1.732

สารวัตรใหญ่

เรตติ้งในช่วงเวลาละครหลังข่าวของช่อง 7 ก็มีเรตติ้งเฉลี่ยลดลงอยู่ในระดับ 4-6 เท่านั้น ลดลงมาชัดเจน ตั้งแต่ปี 2561 ซึ่งเป็นปีที่ช่อง 7 ไม่มีละครเรื่องใดทำเรตติ้งได้เกิน 10 เลย เพิ่งมาได้จากละคร “สารวัตรใหญ่” ที่ออกอากาศในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ ที่ทำเรตติ้งตอนจบที่ 11.291

สำหรับราคา Rate Card ที่ยังไม่รวมส่วนลด และโปรโมชั่นแจกแถมเวลาโฆษณาในช่วงอื่นๆ ของช่อง 7 ในช่วงละครหลังข่าวอยู่ที่ประมาณนาทีละ 5 แสนบาทต่อนาที ช่อง 3 อยู่ที่ประมาณ 480,000 บาทต่อนาที และช่องวันอยู่ที่ประมาณ 450,000 บาทต่อนาที.

]]>
1235413
ไม่ใช่ละครหลังข่าวแล้วนะ ! “ละครเย็น” คอนเทนต์พยุงเรตติ้ง ช่อง 7 ช่อง 3  https://positioningmag.com/1155551 Sat, 03 Feb 2018 01:15:19 +0000 https://positioningmag.com/?p=1155551 ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา 22-28 ม.ค. ละครเย็นเป็นรายการที่ทำเรตติ้งสูงสุดให้กับช่อง 7 แชมป์เรตติ้ง และเป็นรายการหลักที่ช่วยสร้างเรตติ้งให้กับช่อง 3 ไม่ใช่ละครช่วงเวลาไพรม์ไทม์หลัง 2 ทุ่มอีกแล้ว

เมื่อช่วงเวลาไพรม์ไทม์มีการแข่งขันกันดุเดือดเลือดพล่าน ทุกช่องจึงต้องจัดคอนเทนต์ที่เป็นไฮไลต์ ไว้ช่วงเดียวกันหมด ตั้งแต่ภาพยนตร์ฝรั่งของช่องโมโน หรือซีรีส์อินเดีย “หนุมาน สงครามมหาเทพ” ช่อง 8, รายการวาไรตี้ช่องเวิร์คพอยท์ และละครช่องวัน ส่งผลให้เรตติ้งหลัง 2 ทุ่มจึงต้องแชร์กันไป

แชมป์ตลอดกาลอย่างช่อง 7 ยังต้องสะเทือนเรตติ้งลดลงเช่นกัน ทำให้รายการที่มีเรตติ้งสูงสุดของช่องคือช่วงละครเย็น “แม่สื่อจอมป่วน” ที่ได้เรตติ้งสูงสุดถึง 7.493

ส่วนละครหลัง 2 ทุ่มที่เรตติ้งสูงสุดของสัปดาห์ที่แล้ว คือ คุณชายไก่โต้ง ส่วนละครจักรๆ วงศ์ๆ ช่วงเช้าวันหยุด “เทพสามฤดู“ ได้เรตติ้งวันเสาร์ที่ 27 ม.ค. อยู่ที่ 5.434

รายการวาไรตี้ที่เรตติ้งดีสุดของช่อง 7 คือ “ตกสิบหยิบล้าน” ออกอากาศช่วงเย็นจันทร์-ศุกร์ สูงสุดคือ จันทร์ที่ 22 ม.ค. เรตติ้ง 4.157 และกิ๊ก ดู๋ สงครามเพลงเงาเสียง แม้มาตอนดึกแต่ได้เรตติ้ง 3.281

รายการกีฬาสูงสุดคือ รายการถ่ายทอดสด ศึกเอ็ม 150 ยอดมวยโลก WBA ในเที่ยงวันเสาร์ 27 ม.ค.ได้เรตติ้ง 2.057

สำหรับช่อง 3 “ระเริงไฟ” ตอนจบ กลายเป็นรายการที่สร้างเรตติ้งสูงสุดให้ช่อง 3 แต่อันดับต่อจากนั้นเป็นละครเย็น “สะใภ้กาฝาก” และซีรีส์อินเดีย “นาคิน” ส่วนรายการวาไรตี้ที่เรตติ้งสูงสุดของช่อง 3 คือ The Voice 6 ได้เรตติ้ง 2.959 รองลงมาคือรายการ Take Me Out Thailand ได้เรตติ้ง 2.288

รายการข่าวคือ “ข่าวสามมิติ” คืนวันที่ 22  ม.ค. มีเรตติ้ง 1.737 และ รายการ ”เรื่องเล่า เสาร์-อาทิตย์ ในวันอาทิตย์ที่ 28 ม.ค. เรตติ้งอยู่ที่ 1.721

รายการกีฬาคือ รายการมวย Thai Fight Bangkok วันเสาร์ที่ 27 ม.ค. เรตติ้ง 2.721 และศึกเจ้ามวยไทย วันเสาร์ที่ 27 เรตติ้ง 1.627

ด้วยฐานผู้ชมละครที่หลากหลาย ตั้งแต่ละคร, รายการวาไรตี้ และรายการกีฬาของ 2 ช่องใหญ่ ที่สร้างฐานผู้ชมมาหลายสิบปี แม้เรตติ้งรายการบางช่วงจะลดลง แต่ก็ยังสามารถช่วยรักษาเรตติ้งรวมของทั้งช่องให้เป็นผู้นำต่อไปได้

สำหรับภาพรวมเรตติ้งเฉลี่ยของทุกช่องในช่วง 22-28 ม.ค. นั้น ช่อง 7 ได้เรตติ้งเฉลี่ยทั้งสัปดาห์อยู่ในอันดับ 1 ด้วยเรตติ้ง 1.925 ส่วนช่อง 3 คือ 1.155 ตามมาในอันดับ 2

อันดับ 3 คือ เวิร์คพอยท์ ที่แย่งชิงอันดับ 3 มาจากโมโน ได้อันดับ 5 เป็นของช่อง 8 และช่องวันอยู่ในอันดับ 6

]]>
1155551
สเต็ปใหม่ ”ช่อง ONE” ดูย้อนหลังไม่เวิร์ค! อัดละคร-ซีรีส์-เกมโชว์ ดึงคนดูผ่านหน้าจอ-GMM 25 เพิ่มละคร-บันเทิง ลุยกิจกรรม ขยายคนดูทั่วประเทศ https://positioningmag.com/1154959 Mon, 29 Jan 2018 23:15:10 +0000 https://positioningmag.com/?p=1154959 ร้อนแรงจริงๆ สำหรับทีวีดิจิทัล เมื่อช่องต่างๆ เริ่มทยอยเปิดตัวผังรายการ หวังสู้ศึก ชิงเรตติ้งคนดูกันอย่างดุเดือดชนิดไม่มีใครยอมใคร

คราวนี้เป็นคิวของ “ช่องวัน และจีเอ็มเอ็ม 25” สองช่องทีวีดิจิทัลของค่ายแกรมมี่ ที่หลังจากได้ 2 บิ๊กธุรกิจอย่าง นพ.ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ เข้ามาถือหุ้นในช่องวัน ส่วน จีเอ็มเอ็ม 25 ได้ ฐาปน สิริวัฒนภักดี ทายาทคนโต มาเป็นหุ้นส่วน ได้เม็ดเงินอัดฉีดก็เริ่มเกียร์เดินหน้า ส่งรายการลงผังแบบจัดเต็มหวังฟันเรตติ้งเข้าช่องกันแบบไม่ต้องยั้งอีกแล้ว

ช่องวัน จะขายโฆษณาได้ต้องดึงคนดูหน้าจอมากกว่าดูย้อนหลัง

สำหรับ “ช่องวัน” นั้น ความท้าทายในปีนี้ อยู่ที่การดึงผู้ชมให้มาดูบนหน้าจอทีวีมากกว่าการชมย้อนหลังในแพลตฟอร์มออนไลน์ เพราะถือเป็น ตัวแปร สำคัญของการสร้างเรตติ้งเพื่อเรียกเม็ดเงินโฆษณาและสร้างการจดจำแบรนด์ของสถานี

ถกลเกียรติ วีรวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด บอกว่า ธุรกิจสื่อทีวีในปีนี้แข่งขันสูง สงครามแย่งชิงคนดูจากจอทีวีด้วยกันเองและ second screen ที่เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ทุกสถานีต้องตรึงผู้ชมด้วยคอนเทนต์คุณภาพระดับพรีเมียม ที่โดดเด่นและแตกต่างเท่านั้น เพื่อดึงผู้ชมมาชมพร้อมกันในหน้าจอทีวี มากกว่าการชมย้อนหลัง หรือชมในแพลตฟอร์มออนไลน์

ปีที่แล้ว ช่องวันทำเรตติ้งเติบโต 24% จากปี 2559 จัดเป็น 1ใน 5 ของช่องทีวีที่มีเรตติ้งสูงสุด โดยเฉพาะได้ฐานผู้ชมทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ซึ่งเป็นกลุ่มมีอำนาจในการซื้อ โดยจุดเด่นอยู่ที่คอนเทนต์ ซิทคอม และวาไรตี้

อัดละครลงผังใช้อีเวนต์สู้ศึกไพรม์ไทม์

ในปี 2561 ช่องวัน 31 ประกาศใช้กลยุทธ์ Event Television ต่อยอดจากคอนเทนต์ มาเน้นการสร้างประสบการณ์การมีส่วนร่วมกับผู้ชมในรูปแบบต่างๆ เพื่อสร้างความผูกพันกับแบรนด์ของช่องและตัวคอนเทนต์พร้อมกันบนหน้าจอทีวี

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาไพรม์ไทม์ ละครหลังข่าว ที่ถือเป็นช่วงเวลาทองที่ทุกช่องต้องแย่งชิง ซึ่งช่องวันระบุว่า ปี 2561 ช่องวันจะใช้ความชำนาญ วางกลยุทธ์ scripted content ปูพรมวางผังคอนเทนต์ ละคร ซิทคอม ซีรีส์ “ทั้งวัน และทุกวัน”

เริ่มจาก ละครหลังข่าว เวลา 20.10 น. จะเน้นกลุ่มครอบครัว อย่าง  เรือนเบญจพิษ, ดาวจรัสฟ้า, สายรักสายสวาท ฯลฯ รวมทั้งกลยุทธ์ “ละครดีสี่วันรวด” ทุกวันจันทร์ถึงพฤหัสบดี เพื่อสร้างความต่อเนื่องให้คนดูเกิดความผูกพันกับคอนเทนต์และจดจำแบรนด์ช่องในที่สุด เช่น ละคร ชายไม่จริงหญิงแท้ ที่ถือว่าประสบความสำเร็จ

เพื่อดึงคนดูให้อยู่กับช่อง จึงต่อด้วย “ละครสามทุ่มยี่สิบ” จะเน้นเนื้อหาเข้มข้นเพื่อเป็นทางเลือก ประเดิมผังกับละคร “ล่า” จากนั้นต่อด้วยละครแนวสืบสวนสอบสวน “กาหลมหรทึก”

รวมทั้งนำละครแนวใหม่ให้คนดูมีส่วนร่วม ด้วยการโหวตเพื่อกำหนดชะตาชีวิตของตัวละคร และถ่ายทอดสดตามผลโหวตของผู้ชมเป็นผู้เลือก กับละคร “เมืองมายา LIVE” ทุกคืนวันพุธ

ส่วนแม่บ้านคอละครไทย ยังมีละครช่วงเที่ยง เสาร์ อาทิตย์ กับละครเรื่องใหม่ “ทานตะวันจันทร์วาด” ซึ่งกำลังออนแอร์อยู่ในขณะนี้

ขณะเดียวกัน ซิทคอม ที่ถือเป็นจุดแข็งของช่องวัน นอกจากจะส่ง “เป็นต่อ” “บางรักซอย 9/1”, “เสือ ชะนี เก้ง ซึ่งเป็นซีรีส์เก่าที่อยู่มานานลงผังต่อเนื่องแล้ว ช่องวันยังนำ “ซิทคอม” มาสู้ศึกช่วงค่ำเวลา เริ่ม1 ทุ่มตรง” ทุกวัน เพื่อดึงคนดูให้อยู่ยาว เริ่มกันตั้งแต่จันทร์ถึงพฤหัสบดี  ด้วยการปล่อย ซิทคอมชุดใหม่ บ้านสราญแลนด์ เป็นเรื่องราวลูกบ้านแต่ละหลังของหมู่บ้าน วันจันทร์ “ศึกรักข้ามรั้ว”, วันอังคาร “สุภาพบุรุษสุดซอย”, วันพุธ “รักล้นๆ คนเต็มบ้าน”, วันพฤหัสบดี “ชะนีหนีคาน

งานนี้ ช่องวันฝากความหวังไว้มากจึงต้องส่งดาราระดับ “บิ๊กเนม” อย่าง ป้อง ณวัฒน์, นุ่น วรนุช และ บี น้ำทิพย์ ลงมาเล่นซิทคอมเป็นครั้งแรก หวังให้เป็นแม่เหล็กเพื่อหวังเรียกเรตติ้ง พร้อมกับส่งต่อไปที่ละครหลังข่าว

รายการวาไรตี้ รายการประกวดร้องเพลง ก็ยังคงเป็นไฮไลต์ ทั้ง “ศึกวันดวลเพลง” ยังคงเป็นหัวหอก ดึงฐานคนดูทั่วประเทศที่ชอบเพลงลูกทุ่ง  ด้วยการขยายเป็น seasonal ในแต่ละฤดูกาล เพื่อให้คนดูตามดูตามเชียร์ เช่น “สงครามเทพบุตร” “สงครามแชมป์” และ “เสาร์ห้า” ฯลฯ

ปีนี้ ยังเพิ่มรายการร้องเพลงแบบ seasonal program มาเพิ่ม เริ่มจาก “Star War” ต่อด้วยรายการ “Remaster Thailand” รวมถึงซื้อแพลตฟอร์มจากต่างประเทศ “World of Dance” รายการแข่งขันเต้นระดับโลก ที่ เจนนิเฟอร์ โลเปซ เป็นไฮไลต์ ออกอากาศในกลางปี 2561

ส่วนเกมโชว์ นอกจากมีรายการเดิมอย่าง “รู้ไหมใครโสด 2018” 4:4 แฟมิลีเกม, ซุปตาร์ท้า OX, อักษรล่าแสน ช่องวันฝากความหวังไว้กับรายการ “The Wall” กำแพงพลิกชีวิต เกมโชว์ที่วู้ดดี้ วุฒิธร มิลินทจินดา รับหน้าที่เป็นพิธีกร

​ส่วนรายการข่าว จะเน้นกลุ่มเป้าหมายข่าวเพื่อคอละคร รายงานสถานการณ์ เหตุการณ์ดัง เจาะลึกเข้มข้นแบบ Human interest ตลอดทั้งวัน เช้า เที่ยง เย็น และข่าวสั้นอัพเดตทุกชั่วโมง ด้วยทีมข่าวรุ่นใหม่ จั๊ด-ธีมะ กาญจนไพริน และ คิงส์-พีระวัฒน์ อัฐนาค

​ปีนี้ ช่องวันจะให้น้ำหนักกับกลยุทธ์ด้านแบรนด์ดิ้ง เพื่อสร้างการจดจำ ใช้สื่อทั้ง ON AIR, ON LINE และ ON GROUND เพื่อสร้างการรับรู้และจดจำ เป็นการดึงผู้ชมให้กลับมาชมคอนเทนต์พร้อมกัน ณ เวลาออกอากาศจริงบนจอทีวีให้มากที่สุดด้วยกลยุทธ์ event television

จีเอ็มเอ็ม 25 เพิ่มละครขยายสู่กลุ่มแมส

ส่วนทางด้านจีเอ็มเอ็ม 25 ที่มี พี่ฉอดสายทิพย์ มนตรีกุล อยุธยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายธุรกิจ จีเอ็มเอ็ม มีเดีย มองว่า การแข่งขันทีวีดิจิทัลเข้มข้นขึ้นอีก ที่สำคัญ ทุกช่องต่างก็เริ่มแข็งแรง มีทิศทางชัดเจน ทิศทางของช่อง GMM25 ต้องทำคอนเทนต์ที่แข็งแรง โดยมุ่งเน้นขยายฐานคนดูที่เป็นคนรุ่นใหม่ มีไลฟ์สไตล์ทันสมัยทั่วประเทศ จากเดิมที่เป็นกลุ่ม 15-34  ปี เป็นคนรุ่นใหม่คนทันสมัย

โดยคอนเทนต์ยังคงเน้นสนุก สาระ และความบันเทิง ควบคู่กับการใช้ “สื่อ” แบบครบวงจร ทีวีดิจิทัล GMM25 แพลตฟอร์มออนไลน์ ออนกราวน์ และสื่อวิทยุ (GreenWave106.5 FM, EFM104.5, Chill Online) เพื่อเข้าถึงผู้ชมทั่วประเทศ และตอบโจทย์การขายแบบแพ็กเกจที่มีการผสมผสานสื่อ

ในส่วนของคอนเทนต์ละครก็มีการเพิ่มความยาวของละครเป็น 2 ชั่วโมง ทั้งเวลา 20.20. และเพิ่มละครก่อนข่าวเป็นช่วง Family Fun เวลา 18.20 ช่วงเวลาของละครและซีรีส์ต่างประเทศที่เน้นครอบครัว เปิดด้วยซีรีส์จีนฟอร์มยักษ์ 2 เรื่อง ที่มียอดวิวสูงสุดในประเทศจีน ได้แก่ Lost Love in Times อภินิหารรัก เหนือบังลังก์ และ Fighter of the Destiny เทพบุตรนักสู้พลิกลิขิตสวรรค์

ส่วนรายการข่าว ก็มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบและพิธีกร ให้มีความเป็นแมสมากขึ้น อาทิ ข่าวตอนเย็น ข่าวใหญ่ไทยแลนด์โดยดึงผู้ประกาศข่าวที่มีความเป็นคนข่าวมากขึ้น อย่าง ต๊ะพิภู พุ่มแก้วกล้า ในรายการข่าว เช้าวันนี้ GMM News

นอกจากนี้รูปแบบของข่าวบันเทิงเพิ่มรายการใหม่เรื่องใหญ่ไฟกะพริบเป็นรายการวาไรตี้บันเทิงที่นำเอาคอนเทนต์ของข่าวบันเทิงมาทำเป็นรูปแบบของรายการใหญ่ขึ้นและเพิ่มพิธีกร นอกจากนั้นยังเน้นในเรื่องของรายการวัยรุ่น สไตล์กินเที่ยว ช้อปปิ้ง ดูหนัง ฟังเพลง 

คนดูช่องเราดูแล้ว มันคือช่องบันเทิงที่เน้นในเรื่องของไลฟ์สไตล์ การใช้ชีวิต ทุกอย่างจะเป็นการรวบรวมเอาความเป็นไลฟ์สไตล์ของความบันเทิงมาไว้ที่ช่อง GMM25

ในส่วนของ “กลยุทธ์” ในการกำหนดคอนเทนต์ของรายการนั้น จะให้น้ำหนักกับความเป็นเรียลลิตี้หรือความจริง โดยมีจุดเริ่มต้นที่คลับฟรายเดย์เดอะซีรีส์ที่เป็นเรื่องจริง Tie-in เข้าไปในชีวิตของคนจริงๆ

กลยุทธ์ต่อมา คือ การให้โอกาสกับคนรุ่นใหม่ ที่ผ่านมามีรายการ Hotwave Music Awards หรือการรับสมัครนักแสดงหน้าใหม่ NEW FACE ในปีนี้จะเพิ่มรายการที่เน้นให้โอกาสกับคน ใช้คอนเซ็ปต์ของคำว่ากล้าดี เน้นเรื่องการทำความดีผ่านรูปแบบของกิจกรรมต่างๆโดยเฉพาะออนกราวด์ไปสู่ต่างจังหวัดมากขึ้น

ส่วนงานออนไลน์ จะพัฒนาแอปพลิเคชั่นในงานออนไลน์ต่างๆ ควบคู่ไปกับช่อง เพื่อตอกย้ำเรื่อง ออนแอร์ออนกราวน์ออนไลน์.

]]>
1154959
“บ่วงบรรจถรณ์” ช่อง 3 วันแรกแผ่ว เรตติ้งแพ้ช่องวัน https://positioningmag.com/1144852 Tue, 31 Oct 2017 09:47:37 +0000 https://positioningmag.com/?p=1144852 ช่อง 3 เรตติ้งยังแผ่ว วันแรก “บ่วงบรรจถรณ์” ยังแพ้ช่องวัน เรื่อง “เธอคือพรหมลิขิต” ช่อง 7 “นายฮ้อยทมิฬ” ยังนำโด่ง

การกลับมาของละครหลังข่าวของสถานีทีวีดิจิทัลช่องต่าง ๆ จากการรวบรวมข้อมูลของนีลเส็น, สำนักนโยบายและวิชาการกระจายเสียงและโทรทัศน์ สำนักงาน กสทช. และเฟซบุ๊กเพจ  tv digital watch เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม ที่ผ่านมา พบว่า

แชมป์เรตติ้งละครยังตกเป็นของช่อง 7 “นายฮ้อยทมิฬ” ได้เรตติ้งสูงถึง 8.56 นำแสดงโดย ไมค์ ภัทรเดช สงวนความดี และ ปุ๊กลุ๊ก ฝนทิพย์ วัชรตระกูล ที่ออกอากาศอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่วันที่ 25 กันยายนจนถึงวันที่ 17 ตุลาคม 2560 ด้วยเรตติ้ง 8.9 และหยุดออกอากาศ และกลับมาอีกครั้งเมื่อวันที่ 30 ตุลาคมที่ผ่านมา

อันดับสองเซอร์ไพรส์ ที่เป็นของช่องวัน มีเรตติ้งละครหลังข่าวสูงมาอันดับสอง 3.10 ชนะช่อง 3 ด้วยเรื่อง ”เธอคือพรหมลิขิต” ละครที่ช่องวันซื้อลิขสิทธิ์ซีรีส์เกาหลีเรื่อง Fated to Love You มาสร้างในเวอร์ชั่นไทย นำแสดงโดย “บี้” สุกฤษฎิ์ วิเศษแก้ว และ เอสเธอร์ สุปรีย์ลีลา ออกอากาศมาตั้งแต่วันที่ 4 กันยายนถึง 26 กันยายน 2560 ด้วยเรตติ้ง 2.50 และหยุดออกอากาศในช่วงเดือนตุลาคมและกลับมาใหม่อีกครั้งเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม ทีผ่านมา

อันดับสาม คือละครเรื่อง “บ่วงบรรจถรณ์” เรตติ้งอยู่ที่ 2.86 ละครใหม่แกะกล่องของช่อง 3 เป็นละครรีเมค ที่ได้นักแสดงนำ “คู่ขวัญพันล้าน” มาริโอ้ เมาเร่อ และ ใหม่ ดาวิกา โฮร์เน่

อันดับสี่ เป็นซีรีส์อินเดียที่ยังคงแรงต่อเนื่องจากช่อง 8 เรื่อง ”หนุมาน สงครามมหาเทพ ได้เรตติ้งไป 2.37 ก่อนหน้านี้ช่อง 8 เคยประสบความสำเร็จจากซีรีส์อินเดียชุด สีดาราม ศึกรักมหาลงกามาแล้ว

อันดับห้า คือหนังดังฮอลลีวู้ดของช่องโมโน เรื่อง Dream Catcher เรตติ้งอยู่ที่ 1.65

ในขณะที่ช่องหลักอีกช่องอย่างเวิร์คพอยท์ ที่นำเสนอรายการวาไรตี้ X Factor Thailand รายการเรียลลิตี้ประกวดร้องเพลงสัญชาติอังกฤษ ได้เรตติ้ง 1.473 ตามมาเป็นอันดับหก

]]>
1144852
ช่อง 3 ช่อง 7 เจอศึกหนัก “ละคร” ถูกแย่งเรตติ้ง ไพรม์ไทม์สะเทือน https://positioningmag.com/1135614 Wed, 09 Aug 2017 22:55:44 +0000 http://positioningmag.com/?p=1135614 ต้องนับว่าเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงของ “อุตสาหกรรมทีวี” อย่างเห็นได้ชัด เมื่อ 2 บิ๊กทีวี ช่อง 3 และช่อง 7 กำลังถูกท้าทายอย่างหนักจากการมาของคู่แข่งทีวีดิจิทัล จนส่งผลกระทบไปถึงเรตติ้งผู้ชมและโฆษณาในช่วงไพรม์ไทม์ของทั้งคู่

ละครหลังข่าว รายการ แม่เหล็ก” ที่สร้างเรตติ้งและรายได้ให้กับช่อง 3 และช่อง 7 มาตลอด ต้องถูกแย่งชิงเรตติ้งจากรายการต่างๆ ของคู่แข่งทีวีดิจิทัล ที่เข้ามาสร้างทางเลือกใหม่มากมายให้กับคนดู

ไม่ว่าจะเป็นรายการ วาไรตี้ เกมโชว์ ที่มาแรงของช่องเวิร์คพอยท์ ละครของช่องวัน ภาพยนตร์จากต่างประเทศ และซีรีส์จากอินเดีย รวมไปถึง สื่อออนไลน์ จากบริการ OTT ที่ตอบโจทย์คนดู คนรุ่นใหม่ ที่ดาหน้าเข้ามาแย่งชิงคนดู ส่งผลกระทบต่อเรตติ้งและเม็ดเงินโฆษณาไปให้กับคู่แข่งเหล่านี้

ดูได้จาก เรตติ้ง คนดูทั่วประเทศ ละครล็อตใหม่ของช่อง 3 และช่อง 7 ที่ออกอากาศระหว่างวันจันทร์ที่ 31 กรกฎาคม ถึง 1 สิงหาคมที่ผ่านมา “หล่นวูบ” ลงอย่างเห็นได้ชัด

ช่อง 3 ได้นำ เล่ห์ลับสลับร่าง ที่มี “ณเดชน์ คูกิมิยะ และ ญาญ่า อุรัสยา เสปอร์บันด์” 2 ดาราคู่ขวัญระดับแม่เหล็กอันดับ 1 ของช่อง และขายโฆษณาได้เต็มล่วงหน้าก่อนออกกาศ ซึ่งช่องเองตั้งความหวังไว้สูง แต่กลับไม่ได้มีเรตติ้งสูงอย่างที่คาดหมาย จากการเปิดตัวตอนแรกวันจันทร์ที่ 31 กรกฎาคม เรตติ้งอยู่ที่ 3.357 และเรตติ้งลดลงมาเหลือเพียง 2.948 ในวันที่ 1 สิงหาคม ซึ่งฉายไปตอนที่ 2 ทำให้เรตติ้งเฉลี่ยสองวันอยู่ที่ 3.153

ในขณะที่ เพลิงบุญ ละครแนวแซ่บ ของ จ๋า ยศสินี ณ นคร แห่งเมคเกอร์ กรุ๊ป ที่ช่อง 3 คาดว่าจะเป็น “หมัดเด็ด” ละครแนวแซ่บที่คาดว่าจะมากวดเรตติ้งเพราะทั้งเนื้องเรื่อง และมีดาราระดับแม่เหล็กอย่าง ป้อง ณวัฒน์, เจนี่ เทียนโพธิ์สุวรรณ, เบลล่า ราณี แคมเปน, หลุยส์ สก๊อต มาประชันฝีมือ โดยออกอากาศต่อจาก เล่ห์ลับสลับร่าง ในวันพุธ พฤหัส แต่หลังเริ่มออนแอร์วันแรกวันพฤหัสที่ 3 สิงหาคม กลับทำเรตติ้งไปได้เพียงแค่ 2.674 เท่านั้น

ส่วนช่อง 7 ก็จัดละครแพ็กใหญ่ มัสยา ของดาวรุ่งหน้าใหม่ของช่อง มิกค์ ทองระย้า มาเป็นพระเอกคู่กับนางเอกใหม่ มุกดา นรินทร์รักษ์ ที่ชิงออกอากาศมาล่วงหน้าตั้งแต่วันอังคาร 25 กรกฎาคม มีเรตติ้งเริ่มต้นที่ 5.2 และเพิ่มมาในวันจันทร์ที่ 31 กรกฎาคม อยู่ที่ 5.822 และวันอังคารที่ 1 สิงหาคม เรตติ้งเฉลี่ย 2 วันอยูที่ 6.796  ตามาด้วยละคร “นักรบตาปีศาจ” ออกอากาศ 2-3 สิงหาคม เรตติ้งเฉลี่ย 6.144

ละครของช่องวัน บ่วงเสน่หา ที่ออกอากาศจันทร์และอังคาร เริ่ม 3 กรกฎาคม เรตติ้งเฉลี่ย 2 วัน คือ 2.191 ส่วน รักซ่อนแค้น ออกอากาศวันพุธ พฤหัส เรตติ้งอยู่ที่เฉลี่ย 0.709

ช่อง GMM25 ละคร “หลงไฟ” วันจันทร์และอังคาร เฉลี่ยสองวันอยู่ที่ 0.450 วันพุธ พฤหัส เป็น Club Friday ตอน รักลองใจ เรตติ้ง 0.521 และ “ทรายย้อมสี” ของช่อง 8 ของวันจันทร์ อังคาร เฉลี่ยอยู่ที่ 0.794 ส่วนเพลิงรักไฟมาร วันพุธ พฤหัส อยู่ที่เฉลี่ย 1.229

เรตติ้งละครเวลานี้นับว่าสวนทางกับเรตติ้งรายการวาไรตี้ เกมโชว์ ที่เพิ่มขึ้น จนตีขึ้นมาสูสีกับละครช่อง 7 ไปแล้ว อย่างรายการ I can see your voice หรือ นักร้องซ่อนแอบ เรตติ้งทะยานขึ้นมาอยู่ที่ 5.261 ในขณะที่ The Mask Singer ซีซัน 2 หรือ หน้ากากนักร้อง ได้เรตติ้ง 6.064

รายการ “เด็กร้องก้องโลก” หรือ We Kid Thailand รายการประกวดร้องเพลงเด็ก ที่เวิร์คพอยท์ซื้อลิขสิทธิ์มาจากเกาหลี เจ้าของเดียวกับรายการ I can see your voice ที่ออกอากาศ เริ่มออกอากาศไปเมื่อวันจันทร์และอังคาร คว้าเรตติ้ง 2 กว่า ๆ และทำท่าจะดีขึ้นเรื่อยๆ

ส่วนช่องโมโน ที่มี “หนังดัง” เป็นจุดขายเพื่อสร้างความแตกต่าง การนำภาพยนตร์ดังอย่าง Transformers มาออกอากาศในวันอังคาร 1 สิงหาคม คว้าเรตติ้ง 3.546

จากตัวเลขเหล่านี้ แสดงให้เห็นว่า เรตติ้ง ละครของช่อง 3 และช่อง 7 ลดลงต่อเนื่อง ยิ่งถ้าดูจากงบปี 2559 ที่ผ่านมา เรตติ้งละครของช่อง 7 จะอยู่ในหลักตั้งแต่ 7 ขึ้นไปจนถึง 10 กว่า ส่วนของช่อง 3 ก็อยู่ในระดับ 4-5 และยังมีละคร “นาคี” ที่ทำได้เฉลี่ยไปถึง 10.9 จนช่อง 3 สานต่อนำไปผลิตเป็นภาพยนตร์

ผ่านมาครึ่งแรกของปีนี้ เรตติ้งละครช่อง 3 กลับยิ่งลดลงเหลือเรื่องละ 3-4 ส่วนช่อง 7 เรตติ้งที่เคยทำ 6-7 เริ่มตกลงมาเหลือ 5-6 แต่ก็ยังสูงกว่าช่อง 3 เพราะฐานคนดูของช่อง 7 คนต่างจังหวัด ที่มีประมาณ 70% ของประชากร   

ด้วยฐานกลุ่มคนดูช่อง 3 ซึ่งเป็นคนเมือง มักนิยมดูละครย้อนหลังผ่านออนไลน์ จึงทำให้เรตติ้งทีวีของช่อง 3 หล่นมากกว่า ช่อง 7 ฐานคนดูต่างจังหวัด ยังคงนิยมดูผ่านหน้าจอเป็นหลัก

สถานการณ์เรตติ้งละครหลังข่าวของช่อง 3 และช่อง 7 ที่หดหายไป สวนทางกับเรตติ้งของรายการวาไรตี้ เกมโชว์ ที่ขยับเพิ่มสูงขึ้นจนเทียบเท่า ในขณะที่บางรายการก็แซงหน้าละครไปแล้ว อย่างตั้งแต่กรณี The Mask Singer ซีซันแรก เคยทำเรตติ้ง10 กว่า แม้ว่าซีซัน 2 จะหล่นลงมาแต่ก็ยังมีเรตติ้งสูสีกับละคร

ช่อง 3 ดูตกที่นั่งลำบากกว่าช่อง 7 เพราะต้องเจอ “ช่องวัน” คู่แข่งโดยตรง เพราะเน้นกลุ่มคนดูในเมืองเหมือนกันได้ตีตื้นขึ้นมา โดยเรตติ้งของละครในวันที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมา ละครบ่วงเสน่หา ของช่องวัน ก็ทำไปได้ 2.735  ในขณะเล่ห์ลับสลับร่างของช่อง 3 ทำเรตติ้ง 2.824 เรียกว่าสูสีกันเลย

นอกจากนี้ กลุ่มคนดูในเมืองยังหันไปนิยมดูละครย้อนหลังผ่านออนไลน์ เช่น Facebook, YouTube แอปพลิเคชันของช่อง ซึ่งนีลเส็นเองเริ่มนำมาวัดผลคนดูผ่านมัลติสกรีน digital content rating วัดผู้ชมแบบมัลติสกรีนตั้งแต่ วิดีโอ เว็บไซต์ และวิทยุ เริ่มให้บริการตั้งแต่ 1 สิงหาคมเป็นต้นไป แต่ยังไม่รวมแพลตฟอร์ม YouTube และ Facebook ซึ่งคนส่วนใหญ่นิยมดู ก็ต้องมาลุ้นว่าหลังจากนี้ผลการวัดเรตติ้งแบบมัลติสกรีน จะช่วยเรตติ้งของละครดีขึ้นหรือไม่

เมื่อพฤติกรรมคนดูเปลี่ยน ช่องเบอร์รอง ช่อง One และ GMM25 ที่ได้พยายามโปรโมตให้ชมสดผ่าน Facebook Live หรือการดูรีรันผ่าน YouTube เพื่อนำสถิติคนดูผ่านช่องทางเหล่านี้มานับรวมกับเรตติ้งทางทีวี

ไม่เพียงต้องเจอ “วาไรตี้” ละครที่เข้ามาแย่งชิงคนดู แต่ยังต้องรายการซีรีส์ หรือภาพยนตร์ต่างประเทศ เวลานี้เป็นคู่แข่งสำคัญในการชิงฐานคนดูและเรตติ้ง ทั้งหนังฝรั่งจากช่องโมโน ที่หากเป็นหนังดังที่รู้จักกันดี ก็ดึงเรตติ้งไปได้ถึง 3 กว่าๆ

นอกจากนี้ยังมีซีรีส์อินเดีย “สีดา ราม ศึกรักมหาลงกา” ออกอากาศทางช่อง 8 ก็ทำเรตติ้งเฉลี่ย 2.716 ดึงคนดูในช่วงไพรม์ไทม์ไปได้ไม่น้อยทีเดียว

ถึงแม้ว่าในภาพรวมช่องที่ได้รับความนิยมสูงสุดยังเป็นช่อง 7 ตามมาด้วยช่อง 3 ช่อง Workpoint TV และช่อง MONO29 ก็ตาม แต่สัดส่วนผู้ชมช่องทีวีดิจิทัลขยับเพิ่มเป็นร้อยละ 57.1 ส่วนช่องรายการเดิมอย่าง 3 และช่อง 7 เหลือสัดส่วนอยู่ที่ร้อยละ 42.9

เมื่อต้องได้รับผลกระทบถูกแย่งชิงฐานคนดูจากช่องคู่แข่งต่างๆ ที่นำรายการมาสร้างทางเลือกให้กับคนดูมากขึ้น รวมถึงสภาพเศรษฐกิจที่ทำให้ลูกค้าใช้งบโฆษณาลดลง ส่งผลกระทบโดยตรงกับโฆษณาละครหลังข่าว หรือไพรม์ไทม์ของช่อง 3 และช่อง 7 จากเดิมที่เอเยนซีและเจ้าของสินค้าต้องจองกันล่วงหน้า แม้ราคาจะสูงถึง 4.8-5 แสนบาทต่อนาทีก็ตาม แต่เวลานี้กลับมีเวลาโฆษณาเหลือ ลูกค้าจองไม่เต็ม

ส่งผลให้ช่อง 3 และช่อง 7 ต้องปรับตัวสู้อย่างหนัก จัดโปรโมชัน หั่นราคา จัดแพ็กเกจขายให้ลูกค้า ส่งผลให้ราคาโฆษณาเฉลี่ยลดลง 10-15% เมื่อเทียบกับยอดขายปกติ

 รายงานข่าวระบุว่า ช่อง 7 นั้น ต้องปรับตัวอย่างหนัก นอกจากการเปิดศึกละครอย่างเข้มข้น วางละครต่อเนื่อง เพื่อดึงเรตติ้ง “เพลิงพระนาง” ลงจอ ตามด้วย “น้ำเซาะทราย” แต่ละเรื่องเรตติ้งแต่ละตอนไม่ต่ำกว่า 6 และตอนจบบางเรื่องเรตติ้ง 9 ถือเป็นตัวเลขของละครที่ทำได้ยากในปัจจุบัน

ช่อง 7 ยังหันมาใช้วิธีจัด อีเวนต์ เพื่อให้เข้าถึงฐานผู้ชมมากขึ้น เช่น การจัดอีเวนต์โปรโมตละครที่ออกอากาศไปแล้ว และซีรีส์ละครชุด “ภารกิจรัก” ที่มีทั้งหมด 4 เรื่อง คือ เหนี่ยวหัวใจสุดไกปืน, ราชนาวีที่รัก, มือปราบเจ้าหัวใจ และ ยึดฟ้าหาพิกัดรัก

การเคลื่อนไหวของช่อง 7 เป็นไปในทิศทางเดียวกับช่อง 3 ที่เลือกใช้อีเวนต์เปิดตัวละครเพื่อสร้างความสนใจและเรียกลูกค้าให้ลงโฆษณา

ช่อง 3 นั้นต้องหันมาจัดถี่ขึ้น จากเดิมจะจัดปีละครั้ง แต่ช่วงหลังมานี้ต้องจัดปีละ 2 ครั้ง คือช่วงปลายปีและกลางปี และล่าสุดได้จัด “อีเวนต์” นำเสนอละครที่จะลงจอในครึ่งปีหลังนี้ เช่น รากนครา, เล่ห์ลับสลับร่าง, เพลิงบุญ เป็นต้น หลังจากพบว่าช่วงละครไพรม์ไทม์หลังข่าวเริ่มขายโฆษณาได้ไม่เต็มอย่างที่ผ่านมา

นอกจากนี้ ช่อง 3 ยังต้องเพิ่มการขายโฆษณาก่อนเข้าเบรกละคร ด้วยรูปแบบของ “ผู้สนับสนุนรายการ” ซึ่งเป็นกลยุทธ์เดียวกับช่องรองอย่าง GMM25 และช่องวัน ที่ใช้มาพักใหญ่แล้ว เพื่อเพิ่มโอกาสในการขาย

ช่อง 3 และช่อง 7 จะแก้มือกับสถานการณ์ที่กำลังเผชิญได้หรือไม่ อีกไม่นานก็รู้ แต่ที่แน่ๆ สถานการณ์ของบิ๊กทีวี ช่อง 3 และช่อง 7 ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว.

]]>
1135614