ล็อตเต้ – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 02 Nov 2023 10:10:17 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ‘ลอตเต้’ ได้ฤกษ์ส่ง ‘Pop Now’ โลคอลแบรนด์แรกในรอบ 35 ปี บุกตลาดช็อกโกแลต 7,500 ล้าน https://positioningmag.com/1449963 Thu, 02 Nov 2023 06:51:50 +0000 https://positioningmag.com/?p=1449963 หลายคนน่าจะคุ้นเคยกับขนมของ ลอตเต้ (Lotte) ไม่ว่าจะเป็นขนมบิสกิต โคอะลา-มาร์ช หรือหมากฝรั่ง อย่าง ลอตเต้ ไซลิทอล เป็นต้น แต่กลับไม่มีสินค้าให้กลุ่ม ช็อกโกแลต แม้ว่าจะเข้ามาทำตลาดในไทยตั้งแต่ปี 1988

2 เสาหลักแข่งสูง

เชื่อว่าคนไทยน่าจะมีความผูกพันกับ ลอตเต้ (Lotte) เพราะเป็นแบรนด์ขนมญี่ปุ่นที่อยู่คู่คนไทยมานานกว่า 35 ปี โดย 2 กลุ่มสินค้าที่สร้างรายได้หลักให้กับบริษัทก็คือ กลุ่มบิสกิต ที่มี โคอะลา-มาร์ช เป็นตัวชูโรง และอีกกลุ่มก็คือ หมากฝรั่ง อย่างไรก็ตาม ทั้ง 2 กลุ่มแม้ว่ายังเติบโตได้ แต่การแข่งขันก็สูงมากเช่นกัน โดยข้อมูลจาก นีลเส็น ระบุว่า ในตลาดบิสกิตมีมูลค่า 1.38 หมื่นล้านบาท เติบโตเฉลี่ย 4.7% แต่แค่สินค้าจากผู้เล่น 3 รายหลัก ก็มีสินค้ารวมกันมากถึง 892 รายการ ขณะที่ราคาเฉลี่ยจะอยู่ที่ 15-20 บาท

ส่วนตลาด ช็อกโกแลต แม้จะมีมูลค่าเพียง 7,500 ล้านบาท ซึ่งน้อยกว่าตลาดยิสกิตเกือบครึ่ง แต่ก็มี คู่แข่งน้อยกว่า โดยมีสินค้าในตลาดประมาณ 311 รายการ ส่วนราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 20-29 บาท แสดงให้เห็นว่าสินค้าสามารถทำราคาได้ดีกว่าหมวดบิสกิต

ป๊อป นาว โลคอลแบรนด์แรกของไทยลอตเต้

แม้จะทำตลาดในไทยมานาน แต่ลอตเต้ก็ไม่เคยมีสินค้าในตลาดช็อกโกแลตเลย ทำให้ในที่สุด ลอตเต้ไทยก็เตรียมบุกตลาดช็อกโกแลตไทยเต็มตัว โดยเตรียมส่ง ป๊อป นาว (Pop Now) ขนมช็อกโกแลตสอดไส้ธัญพืชอบกรอบ ลงประเดิมตลาดในกลุ่ม ครั้นช์ช็อกโกแลต (Crunch Chocolate) และถือเป็นการเปิดตัวแบรนด์ใหม่ในรอบ 10 ปี หลังจากที่เคยเปิดตัวแบรนด์ Toppo เมื่อปี 2013

จริง ๆ แล้ว ลอตเต้ไทยได้ทดลองตลาดตั้งแต่ช่วงโควิด (2021) โดยส่ง Lotte Crunky Chocolate มาลองจำหน่ายในตลาดไทยจำนวน 3 SKU ซึ่งก็ได้ผลตอบรับเป็นที่น่าพอใจ ทำให้ลอตเต้ไทยตัดสินใจพัฒนาป๊อป นาว เพื่อเติมพอร์ตสินค้าในกลุ่มช็อกโกแลต และถือเป็น โลคอลแบรนด์แรกของไทยลอตเต้

“เราเริ่มทำตลาดช็อกโกแลตในญี่ปุ่นตั้งแต่ปี 1964 ทำให้เรามีความมั่นใจในประสบการณ์และสูตรว่าสามารถปรับให้เหมาะสมกับผู้บริโภครวมถึงสภาพอากาศของไทย อีกทั้งความซับซ้อนในกระบวนการผลิต ทำให้ผู้เล่นอินเตอร์แบรนด์มีความได้เปรียบกว่าผู้เล่นไทย” ซะดาฟูมิ มัตสุชิตะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยลอตเต้ จำกัด กล่าว

ไม่เกี่ยวว่านำเข้าแล้วคนคิดว่าแพง

ซะดาฟูมิ มัตสุชิตะ ย้ำว่า การที่ลอตเต้เลือกที่จะพัฒนาป๊อป นาว เป็นแบรนด์โลคอลแรกเพราะต้องการส่งมอบสินค้าที่ดี ในราคาที่เหมาะสมที่สุดให้ผู้บริโภค ดังนั้น การผลิตในประเทศไทยจะทำให้บริษัทมีความพร้อมหลาย ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็น รสชาติ ราคาและกำลังการผลิต และแม้จะผลิตในไทย แต่บริษัทมีการนำเข้าเครื่องจักรจากประเทศญี่ปุ่น มีการส่งพนักงานไปอบรมเพื่อเพิ่มความเชี่ยวชาญกับทีมงานผู้เชี่ยวชาญในญี่ปุ่น รวมถึงเชิญบุคคลเหล่านี้มาตั้งแต่วันที่ติดตั้งระบบ และคอยให้คำปรึกษาในการผลิตจริงด้วย

“การผลิตภายในประเทศ เพราะเราอยากจะมอบสินค้าคุณภาพที่ดีที่สุดในราคาที่เหมาะสมที่สุด เพราะนอกจากที่เราจะพัฒนาสูตรให้เหมาะสมกับผู้บริโภคไทย เรายังสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายต่างๆ เพื่อนำมาสู่การตั้งราคาที่เหมาะสม”

อัดงบการตลาดเพิ่ม 32%

เบื้องต้น ลอตเต้อัดงบการตลาดเพิ่ม 32% โดยแผนการตลาดแบ่งเป็น 3 ขั้น เริ่มจากปูพรม สร้างการรับรู้ ผ่านโฆษณาทีวี, สื่อนอกบ้าน (Out of Home) โดยจะเน้นที่ตามขนส่งสาธารณะและบริเวณสถานีรถไฟฟ้า BTS เพื่อเจาะ พนักงานออฟฟิศ ตามด้วย แจกขนม เพื่อให้ผู้บริโภคได้ทดลอง และสุดท้าย โปรโมชั่น เพื่อกระตุ้นผู้บริโภคให้สามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ ยังดึง ไบร์ท นรภัทร วิไลพันธุ์ มาเป็น พรีเซ็นเตอร์ เพื่อให้แบรนด์ดูมีความเฟรนลี่มากขึ้น ช่วยชูให้สินค้าโดดเด่น และมองว่าคาแรกเตอร์เหมาะสม เข้าถึงได้ทั้งกลุ่มหญิง-ชาย

“จริง ๆ เราต้องการเจาะผู้บริโภคทุกกลุ่ม แต่พอเริ่มสร้างแบรนด์เราเลยอยากหาจุดโฟกัสก่อน ซึ่งเรามองว่ากลุ่มพนักงานออฟฟิศเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อ และมักทานช็อกโกแลตเพื่อผ่อนคลายความเครียด เพราะจากการสำรวจพบว่าช็อกโกแลตเป็นขนมที่มักทานเพื่อผ่อนคลาย”

ในส่วนของงบการตลาดปีหน้า (2024) ลอตเต้ได้อัดเพิ่มอีก 11% โดยจะเน้นไปที่การแก้จุดอ่อนของแต่ละสินค้า อย่างโคอะลา-มาร์ชที่เป็นที่รู้จักอยู่แล้ว ก็จะเน้นไปที่การจัดกิจกรรมให้ผู้บริโภคเข้ามามีส่วนร่วม หรือท็อปโปก็จะเน้นการทำโปรโมชั่นกระตุ้นการขาย เป็นต้น

มีรสอื่นอีกแน่นอน

ในด้านการจัดจำหน่ายจะเน้นไปที่ร้านร้านสะดวกซื้อเป็นหลักก่อน เพราะจากผลสำรวจพบว่ายอดขาย 60% มาจากร้านสะดวกซื้อ ตามด้วย ซูเปอร์มาร์เก็ต ไฮเปอร์มาร์เก็ต 30% และอื่น ๆ 10% โดยปัจจุบัน ป๊อป นาวได้วางจำหน่ายในเซเว่นอีเลฟเว่นครบ 14,053 สาขาแล้ว และกำลังขยายไปที่ไฮเปอร์มาร์เก็ต และขยายให้ครอบคลุมทุกช่องทางในอนาคต

ทั้งนี้ ซะดาฟูมิ มัตสุชิตะ ย้ำว่า ลอตเต้ต้องการ ทำตลาดไปยาว ๆ ดังนั้น ลอตเต้มีแผนที่จะเพิ่มป๊อป นาวรสชาติอื่น ๆ แน่นอน อาทิ สอดไส้ถั่ว ซึ่งก็เป็นที่ชื่นชอบของคนไทยเช่นกัน และเชื่อว่าป๊อป นาวจะกลายมาเป็นเสาหลักใหม่ให้กับลอตเต้ไทยในอนาคต

“ตลาดขนมมีอัตราการเติบโตต่อปีที่สูงขึ้นทั้งกลุ่มสินค้าบิสกิต หมากฝรั่งและช็อกโกแลต ซึ่งเราต้องมองเห็นโอกาสตรงนั้นก่อนลงสนามตลาดช็อกโกแลต และสินค้าช็อกโกแลต เป็นสินค้าที่สนองความต้องการด้านอารมณ์ของผู้บริโภคเป็นหลัก ดังนั้น เชื่อว่ากป๊อป นาวจะเข้ามาช่วยเติมเต็มความรู้สึกให้ผู้บริโภคได้อย่างแน่นอน”

]]>
1449963
สู้พิษการเมืองไม่ไหว! “ล็อตเต้” เล็งขายกิจการซูเปอร์มาร์เก็ตใน “จีน” https://positioningmag.com/1139271 Mon, 11 Sep 2017 08:18:19 +0000 http://positioningmag.com/?p=1139271 รอยเตอร์ – บริษัท ล็อตเต้ ชอปปิ้ง ของเกาหลีใต้กำลังพิจารณาขายกิจการซูเปอร์มาร์เก็ตในจีน รวมถึงทางเลือกอื่นๆ หากความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างกรุงโซลและปักกิ่งยืดเยื้อไปจนถึงปีหน้า เจ้าหน้าที่จากบริษัทค้าปลีกยักษ์ใหญ่ให้สัมภาษณ์กับรอยเตอร์วันนี้ (11 กันยายน)

เจ้าหน้าที่ซึ่งไม่ประสงค์ออกนาม ระบุว่า “เราจำเป็นต้องมองหาทางเลือกต่างๆ ไว้บ้างเป็นธรรมดา แต่เวลานี้ยังไม่ได้มีการพูดคุยหรือตัดสินใจเกี่ยวกับรายละเอียดของแผน” 

เขายังปฏิเสธที่จะเผยว่ามีแผนการอื่นใดอีกบ้างที่ ล็อตเต้ กำลังพิจารณาอยู่

เมื่อวันเสาร์ (9 กันยายน) หนังสือพิมพ์ โชซุน อิลโบ ของเกาหลีใต้ได้อ้างข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงของ ล็อตเต้ กรุ๊ป ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจใหญ่อันดับ 5 ของเกาหลีใต้ว่า ล็อตเต้มีแผนขายกิจการ “ล็อตเต้ มาร์ท” มากถึง 50 สาขาจากทั้งหมด 99 สาขาที่มีอยู่ในจีน รวมถึงปลดพนักงานชาวจีนออกบางส่วน 

ก่อนหน้านี้ หน่วยงานดับเพลิงจีนได้สั่งปิดห้าง ล็อตเต้ มาร์ท ไปถึง 74 สาขา โดยอ้างว่ามีการฝ่าฝืนระเบียบด้วยการระงับและป้องกันอัคคีภัย เช่น เอากล่องไปวางขวางประตูหนีไฟ เป็นต้น ส่วนอีก 13 สาขาก็จำเป็นต้องปิดตัวลงเนื่องจากทำกำไรไม่ได้ตามเป้า

รัฐบาลจีนหันมาใช้วิธีเล่นงานบริษัทเกาหลีใต้ต่างๆ นานา เพื่อแก้แค้นที่กรุงโซลตัดสินใจอนุญาตให้สหรัฐฯ ส่งระบบป้องกันขีปนาวุธในบรรยากาศชั้นสูง (THAAD) เข้าไปติดตั้งบนคาบสมุทรเกาหลีเมื่อปีที่แล้ว 

แม้เกาหลีใต้จะอ้างว่าทำเพื่อสกัดภัยคุกคามเกาหลีเหนือ แต่จีนนั้นเกรงว่าเรดาร์อันทรงพลังของ THAAD จะสอดแนมเข้าไปถึงดินแดนของตนได้

ล็อตเต้ เป็นกลุ่มธุรกิจโสมขาวที่ถูกจีนแก้เผ็ดหนักที่สุด เนื่องจากบริษัทยอมยกที่ดินให้รัฐบาลโซลนำไปใช้ติดตั้งระบบ THAAD

รัฐบาลเกาหลีใต้อนุมัติให้ติดตั้งแท่นยิงจรวด THAAD เพิ่มอีก 4 ตัวเมื่อวันพฤหัสบดีที่แล้ว (7 กันยายน) หลังจากโสมแดงทดสอบระเบิดนิวเคลียร์ครั้งที่ 6


ที่มา : mgronline.com/around/detail/9600000092988

]]>
1139271
“ล็อตเต้” ขนธุรกิจยกแผงบุกไทย รวบดิวตี้ฟรี-รถเช่า-โรงแรม-อาหาร https://positioningmag.com/1123036 Thu, 20 Apr 2017 07:07:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=1123036 ยักษ์ใหญ่ร้านค้าปลอดอากรอันดับ 3 ของโลก “ล็อตเต้ กรุ๊ป” พร้อมเปิดบริการในไทยย่านพระราม 9 หลังทุ่ม 8 พันล้านบาท พร้อมเตรียมลงทุนเพิ่มทั้งรถเช่า-โรงแรม-ร้านเบอร์เกอร์ คาดอนาคตผู้นำค้าปลีกไทย “เซ็นทรัล-เดอะมอลล์” สยายปีกร่วมสนามรบ ฟาก “คิง เพาเวอร์” เร่งขยายการลงทุนพัฒนาธุรกิจในเครือฯ ปูทาง Top 5 ใน 5 ปี

นายสง่า เรืองวัฒนกุล กรรมการบริหาร บริษัท ล็อตเต้ ดิวตี้ ฟรี (ไทยแลนด์) จำกัด ผู้บริหารร้านค้าปลอดอากร LOTTE DUTY FREE จากประเทศเกาหลีใต้ เปิดเผยว่า “ล็อตเต้ กรุ๊ป” ใช้เวลาศึกษาโอกาสและตลาดในประเทศเป็นระยะเวลานานกว่า 10 ปี จึงตัดสินใจเปิดสาขาแรก ณ ศูนย์การค้า SHOW DC พระราม 9 ตั้งแต่ปี 2558 โดยใช้งบประมาณลงทุน 8 พันล้านบาท บนพื้นที่ 1 หมื่นตร.ม.ครอบคลุมบริเวณชั้น 2-3 ศูนย์การค้า SHOW DC โดยเบื้องต้นจะเริ่มทดลองเปิดตัวให้บริการโดยเน้นจำหน่ายสินค้าไทยและโอทอปในเดือน พ.ค.ศกนี้ ก่อนที่จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการเต็มรูปแบบในเดือน ก.ค.60 ถือเป็นร้านค้าปลอดอากรสาขาที่ 6 นอกประเทศเกาหลีใต้ และเป็นสาขาที่ 14 ของ “ล็อตเต้ กรุ๊ป” ทั่วโลก

ประเทศไทยมีความน่าสนใจในการลงทุนด้านร้านค้าปลอดอากร เนื่องจากมีความท้าทายของตลาดที่มีผู้ประกอบการเพียงรายเดียว ประกอบกับพื้นที่ตั้งของ LOTTE DUTY FREE SHOW DC ยังมีข้อได้เปรียบในเรื่องระยะเวลาการเดินทางจากสนามบินดอนเมืองและสนามบินสุวรรณภูมิเพียง 30 นาทีเท่านั้น

นอกจากนั้นรัฐบาลยังมีแผนกระจายความเติบโตในด้านๆ ไปยังสนามบินอู่ตะเภา จ.ชลบุรี ซึ่งมีศักยภาพรองรับนักท่องเที่ยวได้ถึงปีละ 50 ล้านคน จึงทำให้เห็นโอกาสที่ประเทศไทยจะเป็นจุดหมายปลายทางด้านการพักผ่อนหย่อนใจและความเป็นศูนย์กลางการพักผ่อนหย่อนใจและความบันเทิง (Leisure & Entertainment Hub) ในอนาคตอันใกล้

ร้านค้าปลอดอากร “ล็อตเต้ ดิวตี้ ฟรี” ที่จะเริ่มเปิดให้บริการในประเทศไทย ประมาณเดือน พ.ค.60

หลังจากเปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้วจะมีสินค้าไม่ต่ำกว่า 2 หมื่นเอสเคยู เน้นสินค้าอินเตอร์แบรนด์มากกว่า 100 แบรนด์ แบ่งสัดส่วนเป็นสินค้ายุโรป 50% สินค้าไทย 30% และสินค้าเกาหลีใต้ 20% เน้นกลุ่มเป้าหมายนักท่องเที่ยวไทย 20% และต่างชาติ 80% คิดเป็นชาวจีน 90% ซึ่งมีค่าใช้จ่ายต่อบิลสูงถึงคนละ 4 พันบาท โดยคาดว่าช่วงแรกจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาจับจ่ายสินค้าวันละไม่ต่ำกว่า 1 พันคน พร้อมสร้างยอดขายรวมเฉลี่ยเดือนละ 50 ล้านบาท

“นักท่องเที่ยวจีนเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสินค้าปลอดอากรสูงมาก เนื่องจากสินค้าแบรนด์เนมที่จำหน่ายในประเทศจีนมีกำแพงภาษีสูงถึง 30-40% เช่นเดียวกับการจำหน่ายสินค้าในห้างสรรพสินค้ารายใหญ่ของไทย เช่น เซ็นทรัล เดอะมอลล์ และอื่นๆ มีราคาสูงกว่าร้านค้าปลอดอากร 20-30% จึงถือเป็นโอกาสของธุรกิจค้าปลีกไทยที่จะเข้าสู่ธุรกิจร้านค้าปลอดอากรมากขึ้นเพื่อดึงกำลังซื้อจากนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติ”

นายสง่า กล่าวด้วยว่า นอกจากลงทุนร้านค้าปลอดอากรแล้ว “ล็อตเต้ กรุ๊ป” ยังมีการลงทุน บริษัท ล็อตเต้ เร้นท์-อะ-คาร์ (ไทยเลนด์) จำกัด ให้บริการรถชัตเติลบัสจำนวน 130 คัน เพื่อให้บริการรับ-ส่งนักท่องเที่ยวและลูกค้าแก่ศูนย์การค้า SHOW DC โดยยังมีแผนร่วมลงทุนก่อสร้างโรงแรมล็อตเต้โรงแรมระดับ 4-5 ดาว ความสูง 30 ชั้น ขนาด 500 ห้องพัก พร้อมเปิดร้านเบอร์เกอร์ภายใต้ชื่อ “ลอตเตอเรีย” รวมถึงแผนการเปิดร้านซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ “ล็อตเต้ มาร์ท” ซึ่งปัจจุบันมี 130 สาขาในเกาหลีใต้

นางรวิษา พงศ์นุชิต นายกสมาคมการค้าร้านค้าปลอดอากรไทย

คาด “เซ็นทรัล-เดอะมอลล์” สนใจร่วมวงลงทุนรายใหม่

ด้าน นางรวิษา พงศ์นุชิต นายกสมาคมการค้าร้านค้าปลอดอากรไทย กล่าวเสริมว่า “ล็อตเต้ กรุ๊ป” ถือเป็นผู้ประกอบการร้านค้าปลอดอากรอันดับที่ 3 ของโลก การเข้ามาลงทุนครั้งนี้จึงถือเป็นการส่งเสริมการลงทุนที่คาดว่าจะมีโอกาสเติบโตขึ้นอีกมากโดยเฉพาะจากผู้นำอันดับ 1 คือ DFS จากยุโรป รวมถึงกลุ่มทุนจากประเทศจีน

นางรวิษา ยังกล่าวถึงกรณีที่ “คิง เพาเวอร์” จะหมดอายุสัมปทานกับภาครัฐในปี 2560 ด้วยว่า ขึ้นอยู่กับว่าจะมีผู้ประกอบการกี่รายที่มาร่วมประมูลและเสนอผลประโยชน์ให้รัฐได้มากกว่ากัน เพราะในความเป็นจริงแล้ว กรมศุลกากร มีการเปิดเสรีมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ยังมีผู้สนใจลงทุนไม่มากนัก เนื่องจากยังมีข้อจำกัดด้านงบลงทุน พันธมิตรผู้ร่วมค้า รวมถึงการส่งเสริมจากภาครัฐ ทั้งๆ ที่ประเทศไทยไม่มีอุปสรรคด้านการท่องเที่ยวแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะเป็นกำลังซื้อของนักท่องเที่ยว รวมถึงองค์ประกอบอื่นๆ ด้านการท่องเที่ยว

ดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ผู้ประกอบการไทยว่าจะดำเนินการอย่างไร เพราะในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ลาว และเวียดนาม กำลังเร่งส่งเสริมการลงทุนด้านการเปิดเสรีการเปิดร้านค้าปลอดอากรอย่างจริงจังนั้น หากประเทศไทยไม่เร่งส่งเสริมการลงทุนอย่างเร่งด่วนจะทำให้เสียโอกาสทางการค้าและเปรียบเสมือนเป็นทางผ่านสินค้าเท่านั้น โดยคาดว่าขณะนี้ธุรกิจค้าปลีกรายใหญ่ของไทยต่างกำลังศึกษารายละเอียดและสนใจที่จะขยายการลงทุนเพิ่มขึ้น เช่น เซ็นทรัล, เดอะมอลล์ และอื่นๆ

นายอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์

“คิง เพาเวอร์” มุ่ง Top 5 ใน 5 ปี

ด้าน นายอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ กล่าวว่าปัจจุบันคิง เพาเวอร์เปิดให้บริการ 4 สาขา ได้แก่ คิง เพาเวอร์ รางน้ำ พัทยา ศรีวารี ภูเก็ต และ 6 สนามบิน ได้แก่ ท่าอากาศยานดอนเมือง สุวรรณภูมิ เชียงใหม่ หาดใหญ่ ภูเก็ต และอู่ตะเภา

ในปี 2560 กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ได้วางกลยุทธ์การตลาดเพื่อผลักดันธุรกิจปลอดอากรไทยก้าวสู่ 5 อันดับแรกในธุรกิจปลอดอากรระดับโลกภายใน 5 ปี โดยมุ่งขยายการลงทุนพัฒนาธุรกิจในเครือฯ เพื่อก้าวสู่มาตรฐานระดับโลก อาทิ ร้านค้าปลอดอากร “คิง เพาเวอร์”, โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ กรุงเทพ, โรงละครอักษรา และภัตตาคารรามายณะ

นอกจากนี้ ยังเตรียมแผนปรับโฉม “คิง เพาเวอร์” รางน้ำ ในช่วงวันที่ 26 เม.ย.60 โดยคาดว่าจะเปิดให้บริการอีกครั้งในช่วงไตรมาส 4/60 โดยก่อนหน้านั้นจะมีการจัดแคมเปญ “See You Soon SaleParty” มหกรรมลดราคาสินค้าสุดพิเศษสูงสุดถึง 70 % ระหว่างวันที่ 21-25 เม.ย.60

สปท.-สตง.ร่วมตรวจสอบ “คิง เพาเวอร์”

สำหรับกลุ่มบริษัท “คิง เพาเวอร์” ได้รับใบอนุญาตให้เปิดตัวร้านค้าปลอดภาษีและอากรในเมืองแห่งแรกของประเทศไทยที่อาคารมหาทุนพลาซ่า เมื่อปี 2532 จนกระทั่งได้รับสัมปทานจาก บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ให้เข้าบริหารพื้นที่สินค้าปลอดภาษีทั้งที่สนามบินสุวรรณภูมิ ดอนเมือง และสนามบินตามหัวเมืองใหญ่ โดยเดิมทีสัมปทานจะสิ้นสุดในวันที่ 27 ก.ย.59 แต่ได้รับการอนุญาตให้ระยะเวลาขยายสัมปทานออกไปเป็น 27 ก.ย.61 และขยายอีกครั้งเป็นสิ้นสุด 27 ก.ย.63

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านั้นคณะอนุกรรมาธิการวิสามัญศึกษากลไกปราบปรามทุจริต ในคณะกรรมาธิการวิสามัญป้องกันและปราบปรามการทุจริต สภาขับเคลื่อนเพื่อการปฏิรูปประเทศ (สปท.) และสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) กำลังอยู่ระหว่างตรวจสอบเอกสารจากหน่วยงานภาครัฐแห่งหนึ่ง ซึ่งเข้าไปร่วมตรวจสอบพฤติกรรมที่เข้าข่ายการทุจริตของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ร่วมกับ บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด ในการจำหน่ายสินค้าปลอดภาษีในสนามบินสุวรรณภูมิ และสนามบินภูมิภาคโดยมีการตั้งประเด็นสอบ “คิง เพาเวอร์” ว่าเป็นธุรกิจผูกขาดจนทุบระบบการค้าเสรีพัง ทั้งยังพบว่ามีการเลี่ยงเข้าระบบ พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ ทั้งที่มูลค่าโครงการเกิน 1 พันล้านบาท และยังพบว่ามีการลักไก่ต่อสัญญาให้อีก 2 ครั้ง

มีรายงานว่า นายวิชัย ศรีวัฒนประภา เจ้าของกลุ่มบริษัท “คิง เพาเวอร์” ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีดังกล่าวว่า ตนยืนยันว่า “คิง เพาเวอร์” ดำเนินกิจการที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ทุกขั้นตอนและยินดีให้ตรวจสอบ โดยวิธีทำงานจะร่วมกับ ทอท. หาแนวทางเพื่อนำประโยชน์สูงสุดตอบแทนรัฐ และเมื่อใดที่ ทอท. มีมติให้ปรับเปลี่ยนเรื่องใดที่เป็นผลประโยชน์ของรัฐ “คิง เพาเวอร์” แม้จะสูญเสียผลประโยชน์แต่ก็ดำเนินการให้ตลอด โดยทีมกฎหมายได้ดำเนินการฟ้องร้องผู้ที่ให้ข้อมูลที่ไม่เป็นความจริง ก่อให้สาธารณชนเข้าใจผิดและถูกดูหมิ่นเหยียดหยามอย่างถึงที่สุดในขั้นตอนของกฎหมาย

ที่มา : http://manager.co.th/iBizChannel/ViewNews.aspx?NewsID=9600000039275

 

]]>
1123036