วู้ดดี้เวิลด์ – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 13 Sep 2018 10:38:25 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 เมื่อ “ทอล์กโชว์” ไม่ใช่สูตรสำเร็จของ “วู้ดดี้” อีกแล้ว https://positioningmag.com/1187587 Thu, 13 Sep 2018 10:00:56 +0000 https://positioningmag.com/?p=1187587 บทความโดย : Thanatkit 

ต้องบอกว่า เรื่องที่สร้างเสียงฮืออา และ “Talk of the Town” ที่สุดในวงการโทรทัศน์ปี 2017 คงหนีไม่พ้นกรณีที่ “วู้ดดี้ – วุฒิธร มิลินทจินดา” ที่อยู่ในวงการมานานถึง 20 ปี ตัดสินใจปิดตัวรายการ “วู้ดดี้ เกิดมาคุย” รายการกลางคืนที่ทำมายาวนานถึง 9 ปี และ “วูดดี้ ตื่นมาคุย” ท่ามกลางข่าวลือกันว่าปิดเพราะติดหนี้ แต่สุดท้ายวู้ดดี้ออกมาระบุถึงเหตุผลที่ปิด เป็นเพราะต้องเบนเข็มเข้าสู่วงการออนไลน์ 100%

เราค้นพบว่า ถ้าไม่ตัดทีวีออกไป ทีมก็จะไม่สามารถรุกออนไลน์ได้ 100% เนื่องจากสิ่งที่เจอคือรายการทอล์กโชว์ที่ทำ มีจุดขายไม่กี่อย่าง เช่น ขายเรตติ้งไปแลกกับสปอตโฆษณาตัวละเป็นแสนกับ Tie-in แบรนด์ในรายการ หากความเป็นจริงการซื้อขายโฆษณาเปลี่ยนไปทุกไตรมาส ลูกค้ามีความต้องการที่หลากหลายมากขึ้น วู้ดดี้จึงต้องปรับ

พอคิดเร็วทำเร็วมากก็จะมีคำตอบทันที สิ่งที่เขาค้นพบในช่วงเวลาที่โลดแล่นอยู่บนออนไลน์ราว 6 เดือน มี 3 เรื่องด้วยกัน

  1. ถึงจะมีรายได้จากไลฟ์ที่เข้ามา แต่จะมีความเจ็บไวตรงที่ไม่มีความแน่นอน
  2. ทีมต้องไว เพราะทีมทีวีจะคิดเป็นวันต่อวัน พอเป็นออนไลน์ต้องคิดพร้อมทำเดี๋ยวนั้นเลย โลกมันรอไม่ได้ จึงต้องเทิร์นโอเวอร์พนักงานบางส่วนที่ยังคิดแบบทีวีเดิมๆ ไม่ชินกับความเร็วออกไป ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังมีอยู่ ดังนั้นทรัพยากรบุคคลสำคัญมาก
  3. Media Buyer บางส่วนยังให้ความสำคัญกับช่องทางทีวีอยู่ เนื่องจากเห็นว่าเป็นช่องทางที่สามารถวัด KPI ได้ชัดเจน

ในที่สุดวู้ดดี้ก็ตัดสินใจหวนคืนสู่หน้าจอทีวีอีกครั้ง ผ่านรายการ “Woody World วู้ดดี้เวิลด์ออกอากาศทุกวันอาทิตย์ เวลา 22.15 ทางช่องเวิร์คพอยท์ Workpoint 23 โดยเริ่มตอนแรกในวันที่ 6 มกราคม 2018

วู้ดดี้บอกว่า ไม่ใช่ว่าเจ็บตัวแล้วกลับมา ความจริงก็คือ คุณชลากรณ์ (ชลากรณ์ ปัญญาโฉม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานดิจิทัลทีวี) เข้ามานั่งคุยวันเว้นวันถึงความเป็นไปได้ในการทำรายการ สุดท้ายก็ลองดูซิว่าจะเป็นอย่างไร ถ้าว่าครึ่งปีที่ผ่านมาเป็นอย่างไร นี่น่าจะเป็น Business Unit เดียวที่ยังไม่เห็นการเติบโต

ถึงอย่างนั้นก็ยังทำต่อ เพราะอยากเห็นผลลัพธ์ที่คาดว่าจะเกิดภายในสิ้นปีนี้ ตัววู้ดดี้เองก็บอกว่า ฟอร์แมตที่ทำไม่เข้ากับยุคสมัยนี้แล้ว เดิมคิดว่าการทำทอล์กที่เป็นกระแสเข้ามาจะได้รับความสนใจ แต่ตอนนั้นยังไม่มีออนไลน์เข้ามาเกี่ยวข้องทุกอย่างเลยรอได้ ไม่เหมือนสมัยนี้ที่ออนไลน์ทำให้เข้าถึงกันหมด

ทำให้ต้องคิดนอกกรอบ การสัมภาษณ์จึงต้องดูง่ายและสบาย แต่สิ่งที่ว่าก็ไม่พอสำหรับ Workpoint ที่มีคาแร็กเตอร์สนุกสนาน ซึ่ง Workpoint เป็นช่องที่เจ๋งและจับจุดถูกที่เลือกมาสายบันเทิง เราเองต่างหากที่บอกเลยว่าปรับตัวไม่ทัน แต่ตอนนี้ต้องปรับ และภายในสินปีนี้ ถ้าเวิร์ค ไปต่อ ถ้าไม่เวิร์ค ไม่ไปต่อ

สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของธุรกิจที่วู้ดดี้ทำเท่านั้น แต่อาณาจักร “Woody World” ที่แท้จริงประกอบไปด้วย Business Unit ถึง 4 ขาด้วยกัน ได้แก่ 1.Communication Plan, 2.Content Management 3.Event และ 4.Media

อีเวนต์รวมรายได้กว่า 50%

หลายคนอาจมองว่า รายได้หลักของ “Woody World” มาจากรายการทั้งหลายแหล่ที่ทำ แต่ความเป็นจริงรายได้หลักกว่า 50% มาจากการทำอีเวนต์ที่วันนี้มีอยู่ 3 งานหลักไม่นับงานย่อยๆ อีกปีละมากกว่า 20 ครั้ง ได้แก่ S2O ทำมา 5 ปี, Fit Fest กำลังจะทำปีที่ 2 และ The Bangkok Countdown ทำมา 1 ปีแล้ว

วู้ดดี้ เล่าให้ฟังว่า ทุกโปรเจกต์ของ Woody World ในการทำปีแรกจะติดลบเสมอ อย่าง S2O ปีแรกลงทุน 90 ล้านบาท ขาดทุนไปถึง 40 ล้านบาท เข้าสู่ 3 ปีถึงทำกำไร จากแบรนด์ที่เริ่มติด คนเริ่มมาเยอะ อย่างปีแรกคนมาประมาณ 20,000 คน ส่วนปีนี้ 3 วันมีคนเข้างานทั้งหมด 60,000 คน

รายได้ในปีแรกยอดขายบัตรกับสปอนเซอร์มีสัดส่วน 50:50 ปีที่สอง 30% ปีที่สาม 20% ปีล่าสุด 10% ถ้าจะอยู่ได้ต้องมาจากการขายบัตรถึงจะมีกำลัง ทั้งนี้ก็ยังมีสปอนเซอร์ที่อยู่มาทุกปีอย่าง เป๊ปซี่และไฮเนเก้น

ปีที่ผ่านมาขยายใหญ่ บัตรขายหมดล่วงหน้า 1 เดือน ทำให้มีการนำบัตรไปขายต่อบางคนปั๊มราคาเป็นเท่าตัว สิ่งหนึ่งที่ได้เรียนรู้จากกรณีนี้คือ เมื่อราคาบัตรเป็นเท่าตัวในฐานะผู้จัดต้องคิดดีๆ ว่าจะจัดการอย่างไรต่อ เพราะคนที่ซื้อบัตรมูลค่า 5,000 บาท แต่ต้องจ่าย 10,000 บาท เวลาเดินเข้ามาในงานความคาดหวังก็ต้องเป็น 10,000 บาท และเราก็ไม่มีสิทธิ์มาพูดว่า ก็แล้วแต่เค้าที่ตัดสินใจซื้อบัตรมาต่อเอง

นี่จึงกลายเป็นความท้าท้ายของทีมมิวสิค เฟสติวัล ที่ต้องทำให้คุ้มค่าบัตรที่เข้ามา สมมุติลงทุน 90 ล้านบาท ต้องให้ความรู้สึกเหมือนกับลงทุน 200 ล้านบาท

ซึ่งปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดความรู้สึกอย่างนั้นอยู่ที่ขยะโดยตำแหน่งของวู้ดดี้ใน S2O คือตำแหน่งกวาดเก็บ ถ้าคนที่เข้ามาในงานก็จะตกใจว่าบนพื้นทำไม่มีขยะ เรามีเจ้าหน้าที่เก็บเรียลไทม์ กระป๋องตกพื้นปุ๊บเก็บทันที ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยคุยกับใครมาก่อน โดยก่อนงานเริ่ม ก็จะเข้าไปคุยกับแม่บ้านหรือคนที่เก็บขยะ โน้มน้าวให้ทุกคนทำในสิ่งที่เราอยากได้ ด้วยเวลาไปเทศกาลดนตรีต่างๆ มักจะเหยียบขยะ แล้วรู้สึกไม่สนุกเลย

อีกปัจจัยที่ตามมาอยู่ที่แสง สีแสง ต้องให้ความรู้สึก 100 ล้านบาท และขนาดของเวทีที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

S2O เริ่มออกดอกออกผล

S2O

เมื่อเข้าสู่ปีที่ 4 S2O เริ่มออกดอกออกผลให้วู้ดดี้เก็บเกี่ยว เพราะได้ขยายไปจัดงานที่ต่างประเทศครั้งแรก

ถึงปีนักท่องเที่ยวชาวจีนจะคิดเป็น 35% ของผู้ที่มาร่วมงาน 10% เป็นชาวต่างชาติ ที่เหลือ 55% เป็นคนไทย แต่ “S2O” กลับไม่ได้เป็นตัวเลือกแรกที่ถูกขยายไป

จีนเคยเป็นประเทศหนึ่งที่อยากไป แต่สุดท้ายก็หยุดไปเพราะคิดว่าไม่สามารถคอนโทรลได้ ด้วย 1.ไม่มีความชัดเจนของพาร์ตเนอร์ เพราะว่าที่จีนพาร์ตเนอร์ที่คุยส่วนใหญ่จะเน้นขนาดและจำนวน แต่ทีมต้องการพาร์ตเนอร์ที่สนใจเรื่องคุณภาพของคอนเทนต์ซึ่งยังไม่เจอ แต่ที่ญี่ปุ่นเจอ ดังนั้น S2O จะไม่ใช่ขายไปแล้วขยายๆ ค่อนข้างมีรายละเอียดเยอะ ด้วยมีน้ำจึงต้องมีความปลอดภัยด้วย

ครั้งแรกของ S2O ในญี่ปุ่นจัดขึ้น 4-5 สิงหาคมที่ผ่านมา ที่ โอไดบะ” (Odaiba) มีคนเข้าประมาณวันละ 10,000 คน รวม 2 วันมีผู้เข้าร่วมงานราว 20,000 คน แผนที่วางไว้ต่อจากนี้จะเปิดปีละเมือง ส่วนปีหน้ากำลังมองหาอยู่ ด้วยทำสัญญา 3 ปีในรูปแบบของแฟรนไชส์

ส่วน S2O ในเมืองไทยปีที่ 5 ก็กำลังจะย้ายสถานที่ เนื่องจากที่เดิมแออัดและรับคนไม่พอแล้ว

Fit Fest ขยายต่อเป็นปีที่ 2

ด้าน Fit Fest งานที่รวบรวมเกี่ยวกับการออกกำลังาย ถึงปีแรกจะเสมอตัว มีคนเข้าร่วมงาน 24,000 คน แต่ในปีที่ 2 นี้เริ่มทำกำไรแล้ว และคาดหวังจะมีคนมางานไม่น้อยกว่า 40,000 คน

สิ่งที่เพิ่มเติมเข้ามาในปีนี้ คือการเรียกกระแสด้วย “BNK48” และตูน อาทิวราห์รวมไปถึงฟิตเนส คอนเสิร์ต เอาอินฟลูเอนเซอร์มาเป็นผู้นำการออกกำลังกายแบบแมส เอาคนที่รู้จักมาก คนรู้จักบ้าง หรือคนไม่ค่อยรู้จักเลยขึ้นมาปั้น แล้วจะขยายผลให้เป็นกิจกรรมประจำ โดยทุกปีก็จะมี Fit Fest ส่วนทุกไตรมาสก็จะมีโชว์แบบนี้ ซึ่งตอนนี้กระแสฟิตเนส คอนเสิร์ตในอเมริกาหรือยุโรป เริ่มต้นจาก Boot Camp หรือในฟิตเนส แต่ยังไม่ได้มีการจัดเต็ม แสง สี แสง เหมือนที่จะทำใน Fit Fest เลยหวังว่าจะเป็นผู้นำตลาดในตรงนี้

พร้อมกันนี้ยังวางแผนต่อยอด Fit Fest ไปสู่การมีแพลตฟอร์มสำหรับการออกกำลังกาย ด้วยทุกวันนี้สามารถติดตามได้ทาง Facebook เป็นหลัก อนาคตมองไปถึงคลาสออกกําลังกายที่ไลฟ์ ผ่านการจับมือกับยิมต่างๆ อินฟลูเอนเซอร์ เพื่อออกชิ้นงานที่สามารถขายได้ แต่ยังไม่ได้มองว่าจะเป็นในโมเดล Subscription หรืออย่างไร ปัจจุบันให้ดูฟรีไปก่อน เพราะมีการจับมือกับแบรนด์ต่างๆ มาสนับสนุน นอกจากนี้ต่อไปวางแผนที่จะทำ Fit Fest Plus สำหรับผู้ใหญ่ และ Fit Fest Kid สำหรับเด็ก

บอกเลยว่าตลาดเฮลท์แอนด์ฟิตเนส สำหรับวู้ดดี้ก่อนหน้านี้ถือเป็นตลาดที่ไม่ได้มีความชัดเจน เลยมองว่า เป็นหนึ่งในกลุ่มแรกที่ทำ เหมือนกับตอนที่ทำ S2O เราบ้าอยากทำอะไรที่ไม่เหมือนคนอื่นก่อน มีอะไรขาดในตลาด สมัยก่อนขาดทอล์กโชว์ที่ถามตรง เลยมีวู้ดดี้เกิดมาคุย รวมถึงเป็นพรีเซ็นเตอร์ของโคเรียคิง ที่ชูจุดเด่นกระทะไม่ต้องใช้น้ำมัน ซึ่งแต่ละอย่างที่ทำต้องมั่นใจว่าไม่ใช่สิ่งที่ตลาดมีอยู่แล้ว

The Bangkok Countdown จะไปต่อดีไหมนะ ?

ขณะที่ The Bangkok Countdown ยังอยู่ในระหว่างการตั้งคำถามอยู่ว่า จะไปต่อไหม ? เพราะกำลังมีอีกโปรเจกต์เข้ามา เป็น JV (Joint Venture) กับชาวต่างชาติ ทำมิวสิค เฟสติวัล

ด้วยกำลังที่มีอยู่ลังเลอยู่ว่าจะไปในทิศทางไหน ทำ The Bangkok Countdown หรือ อีเวนต์ใหม่แกะกล่องกับชาวต่างชาติที่ทำมิวสิค เฟสติวัล ที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป กำลังจะมาปีหน้าในเมืองไทย

สิ่งหนึ่งที่ทีมเรียนรู้ คือ นำกรุงเทพฯ และเมืองไทย เป็นพื้นที่สำหรับ R&D แล้วพอสำเร็จค่อยขยายต่อ ถ้ามีชื่อเสียงก็จะมีชาวต่างชาติติดต่อเข้ามาเอง แต่โมเดลธุรกิจต่อไปก็น่ามอง เพราะสุดท้ายแล้วเราไม่ต้องการซื้อฟอร์แมตจากที่อื่นมาทำ แต่ต้องการคิดขึ้นมาเอง

แต่ถึงจะมีโปรเจกต์ใหม่เข้ามาตัววู้ดดี้เองก็อยากให้ทำต่อ แต่ผู้ที่รับผิดชอบโปรเจกต์คือน้องชาย กลับมองว่าถ้าไม่ดีและไม่โอเค ก็ไม่อยากทำต่อ เพราะปีที่แล้วผลของการจัดงานคือเสมอตัว

ยกเครื่องรายการครั้งใหญ่

ในขณะที่ฝั่งอีเวนต์ยังไปอย่างสวยหรู เมื่อหันกลับมามองฝั่งคอนเทนต์หรือรายการต่างๆ วู้ดดี้บอกว่า ต้องรื้อใหม่ทั้งระบบ

อีเวนต์โตขึ้นเห็นได้ชัด 20% ในแต่ละปี แต่ในขาของคอนเทนต์กลับกลายพันธ์ุ เพราะมีรายการทีวีรายการเดียว แต่ที่เหลือกระจายเข้าไปสู่ในออนไลน์หมด ผมพูดตามตรงคอนเทนต์ในรอบปีที่ผ่านมาถือได้ว่ามึนที่สุดในการทำ เพราะว่าเราไม่ใช่เจ้าของช่อง เมื่อไม่ใช่การวางผังก็จะไม่ใช่ 24 ชั่วโมง การซื้อขายจะไม่ใช่ตลาดที่มี สิ่งที่พบคือเหนื่อย ปีหน้าต้องทำผังกลับไปเหมือนช่องทีวีเลย พร้อมกับปรับรูปแบบรายการใหม่

โดยรายการ Woody Live จะเป็นเปลี่ยนใหม่มาเดือนละครั้ง ทำใหญ่ไปเลยกับแขกรับเชิญที่ปังที่สุด ทั้งไทยและโลก เนื่องจากเดิม Live บ่อยละคนไม่ดู จากที่คนดูมากสุด 200,000 – 300,000 คน ตอนนี้ต่ำสุดประมาณ 800 คน

เราไม่ได้โทษว่าอัลกอริทึมของ Facebook เปลี่ยนไป แต่ตอนนี้ใครๆ ก็ Live ได้แล้ว คนดูก็ต้องเลือกระหว่างมาดูคน 2 คนที่คุยกับเรื่องชีวิตดีๆ กับอีกคนที่โชว์นมอยู่

รายการทำทันที พูดคุยเกี่ยวกันธุรกิจ ซีชั่น 13 ตอน กำลังจะกลับมา คนแปลงร่าง 40 ตอน ก็จะกลับมาใหม่ ไม่ใช่แค่นั้นในเดือนตุลาคมจะมีรายการ Podcast ชื่อวู้ดดี้เอฟเอ็มที่จะผันตัวเองไปใส่หูฟัง นั่งสัมภาษณ์กับบุคคลระดับประเทศที่ตกผลึกแล้วกับชีวิต ตั้งกล้องรอบตัวแต่ไม่มีทีมงาน จึงคุยกันเรื่องเปิดเผยและลึกซึ่้งเกี่ยวกับชีวิต มีเดือนละ 2 ตอน

วู้ดดี้ บอกว่า ทีมงานก็ถาม ทำไปทำไม ใครจะดู ? แต่ที่ทำเพราะรู้สึกการทำธุรกิจต้องเติมเต็มด้วยไฟและไม่ได้อินกับการสัมภาษณ์ดาราแล้ว ชอบคุยกับนักธุรกิจมากกว่า โปรเจกต์นี้จึงมาจาก Passion จริงๆ และจะไม่เอาลูกค้าด้วย

ส่วนการที่เป็นครีเอเตอร์รายแรกของไทยใน Facebook Watch ตอนนี้ยังไม่ได้คุยรายละเอียดอะไรมาก แต่คาดว่าจะมีรายการ 2-3 ตัวที่จะทำในนี้

เอเจนซี่เว็บไซต์แผนการของวู้ดดี้ในปี 2019

ทั้งหมดคือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในปี 2018 แต่สำหรับปี 2019 วู้ดดี้ได้เผยถึงแผนที่จะทำถึง 2 เรื่องด้วยกัน

เรื่องแรกจะมีการเพิ่มดิจิทัล เอเจนซี่เข้ามาเป็น Business Unit ใหม่ หลังจากพบว่า 2 ปีที่ผ่านมาทีมได้ทำงานให้กับคอนเทนต์ที่ไม่ใช่ของวู้ดดี้เองเยอะมาก แต่อยู่ในรูปแบบของการร่วมมือกับแบรนด์และเอเจนซี่ในการทำขึ้นมา มีสัญญาระยะยาว 1 ปี พร้อมกับใช้สื่อที่วู้ดดี้มีในการกระจายและยังต้องไปซื้อสื่ออื่นๆ ด้วย

ชื่อคร่าวๆ ตอนนี้คือวู้ดดี้ ดิจิทัล เอเจนซี่ แต่ยังไม่ได้เคาะชื่อและจะไม่ใส่คำว่า ดิจิทัล เอเจนซี่ ตอนนี้มีพนักงานแล้ว 6 คน ส่วนลูกค้าหลักๆ ที่อยู่ในมือมี 4 กลุ่มหลัก ไฟแนนซ์ธนาคารอสังหาริมทรัพย์ และกลุ่มสินค้า FMCG

เรื่องที่ 2 วางแผนที่จะทำแพลตฟอร์มเป็นเว็บไซต์ของตัวเองขึ้นมาด้วย ให้เหมือนกับ ellentube.com ที่อเมริกา

ทุกวันนี้วู้ดดี้มีทั้ง Facebook และ  Youtube แต่คำถามคือ แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าระบบนิเวศเหล่านี้จะอยู่กับเราไปอีกนานเท่าไหร่ วู้ดดี้รักทุกแพลตฟอร์ม แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง ต้องเตรียมตัวสำหรับอนาคต

เว็บไซต์นี้ลงทุนไปกว่า 30 ล้านบาท ภายในจะมีทั้งการจับมือกับอินฟลูเอนเซอร์ในการทำรายการใหม่ คร่าวๆ ตอนนี้มีทั้งหมด 12 รายการ จะถ่ายทำในต้นปีหน้า ออกอากาศในช่วงไตรมาส 2 และในนี้ยังจะเป็น E-Marketplace สำหรับขายสินค้าอีกด้วย

นอกจากนี้วู้ดดี้ยังบอกอีกกว่า กำลังอยู่ในระหว่างการหา CEO เพื่อขึ้นมาบริหารแทนตัวเขาเอง

วู้ดดี้ไม่ได้เกิดมาเป็นผู้บริหาร แต่เกิดมาเป็น Talent ดังนั้นผู้บริหารที่จะมาต้องเป็นคนรุ่นใหม่ที่คิดเร็ว ทำเร็ว แต่ไม่ได้คิดเหมือนกับวู้ดดี้ไปซะทีเดียว ไม่อย่างนั้นก็จะไม่มีอะไรใหม่ๆ เกิดขึ้นเลยวู้ดดี้ว่าอย่างนั้น.

]]>
1187587
ของมันต้องมี 4 คนดัง วู้ดดี้-ชูวิทย์-ตือสนิท-สู่ขวัญ พีเพิ่ลแบรนด์เรียกแขก https://positioningmag.com/1157305 Sat, 17 Feb 2018 01:00:45 +0000 https://positioningmag.com/?p=1157305 สู่ขวัญ บุลกุล เจ้าของวลีฮิต #ของมันต้องมี – วู้ดดี้วุฒิธร มิลินทจินดา แห่งวู้ดดี้เวิลด์ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์, สมบัษร ถิระสาโรช เจ้าของคลิป ตือสนิท 4 คนดัง ต่างวิถี ต่างเส้นทาง แต่ทั้งหมดนี้คือนักสร้างคอนเทนต์ที่ได้รับความนิยามตามบทบาที่เลือกเดิน

วู้ดดี้กับจุดยืนของการกลับคืนจอทีวี

วู้ดดี้ วุฒิธร มิลินทจินดา เป็นข่าวใหญ่ต้นปี 2560 เมื่อประกาศเลิกทำรายการทีวีทั้งหมด ทั้งวู้ดดี้เกิดมาคุย ที่เรียกกระแสทำรายการให้เป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์อยู่บ่อยๆ กับรายการตื่นมาคุยซึ่งจัดชนกับรายข่าวเช้าของช่องต่างๆ โดยเป็นรายการที่เสนอประเด็นต่างๆ ในสังคม ไม่ใช่รายการข่าวแต่คุยกันสารพัดเรื่องราวที่กำลังเป็นกระแสในสังคม ให้เป็นอีกทางเลือกสำหรับคนที่ไม่อยากดูสารพัดข่าวลบในสังคมตั้งแต่ตื่นมาตอนเช้า

เหตุผลง่ายๆ ที่ออกมาบอกเลิกเพราะ หนึ่งคนสมัยนี้ไม่ดูทีวี สองช่วงที่ผ่านมาแม้รายการเป็นที่รู้จัก ผู้คนพูดถึงแต่บริษัท วู้ดดี้ เวิลด์ จำกัด บริษัทผู้ผลิตจากที่เคยมีกำไรนับ 10 ล้าน ก็เริ่มกลายเป็นตัวเลขขาดทุนเกือบ 30 ล้านบาท สามไม่เลิกตอนนั้นวันหนึ่งก็ต้องเลิก และบริษัทเองก็จัดรายการมานานแล้วถึง 9 ปี วู้ดดี้จึงตัดสินใจเลิกทำตอนที่ยังมีความสุขดีกว่า รวมทั้งเชื่อว่าการจบลงของสิ่งหนึ่งก็มักจะเป็นการเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ ดีๆ ต่อไป

บทบาทของวู้ดดี้ในจอทีวีก็เริ่มผันตัวเองไปตามยุคสมัย คอนเทนต์ของวู้ดดี้ทั้งหมดยังคงสร้างสรรค์โดยวู้ดดี้และทีมงาน แต่เปลี่ยนช่องทางในการสื่อสารใหม่มาอยู่บน Facebook Live ภายใต้เพจ Woody @ Woodytalkshow ที่เปลี่ยนมาเน้นการถ่ายทอดสดผ่านเฟซบุ๊ก ทำให้แบรนด์วู้ดดี้ไม่เคยหายไปจากกระแส แม้จะยุติบทบาทหน้าจอและหยุดการผลิตคอนเทนต์ในสื่อโทรทัศน์แล้วโดยสิ้นเชิง

ผ่านไปไม่ถึง 1 ปีเต็ม ต้นปีนี้มีรายการวู้ดดี้ในทีวีให้ดูถึง 2 รายการ ได้แก่ วู้ดดี้เวิลด์ (Woody World) ในช่อง 23 ของเวิร์คพอยท์ และการเป็นพิธีกรรายการ เดอะวอลล์ (The Wall) ทางช่องวัน 25 สองรายการนี้มาพร้อมกับคำถามซ้ำๆ ที่วู้ดดี้ต้องตอบให้เข้าใจว่าการหวนคืนจอทีวีครั้งนี้ไม่ใช่การกลืนน้ำลายตัวเองทั้งที่เพิ่งผ่านมาไม่ถึงปี จากที่ประกาศว่าจะไม่ทำรายการทีวี

วู้ดดี้กลับจอทีวีไม่ได้หวังเงิน แต่ทีวีวันนี้คือซับเซตของดิจิทัลคอนเทนต์

ทำทีวีอย่างเดียวผมก็ไม่ทำ แต่เพราะรายการออนโซเชียลมีเดียด้วย ไลฟ์ด้วยวู้ดดี้พูดถึงส่วนหนึ่งของเหตุผลสำคัญที่ทำไมวู้ดดี้ถึงคืนจอทีวีและย้ำด้วยว่าการกลับสู่จอทีวีไม่ได้มุ่งหวังรายได้เป็นตัวตั้งเพราะ

ทีวีวันนี้ได้ผู้ชม แต่ไม่ได้เงินโดยย้ำด้วยว่า

เอาจริง ๆ นะครับที่ผ่านมาทั้งปี เม็ดเงินของผมในโซเชียลมากกว่าทำทีวีด้วยซ้ำ และจนกระทั่งวันนี้ก็มากกว่า ทีวีก็เป็นแพลตฟอร์มที่กระจายคนดูได้ แต่ว่าเม็ดเงินสู้โซเชียลไม่ได้แล้วตอนนี้

ที่สำคัญได้ชื่อว่าทำรายการทีวีก็จริง แต่ทีวีก็เป็นแค่แพลตฟอร์มเดียวของการกระจายคอนเทนต์ที่สามารถนำไปเผยแพร่ผ่านดิจิทัลแพลตฟอร์มอื่นๆ อีก ทั้งเฟซบุ๊กไลฟ์ที่ออกอากาศไปพร้อมกัน ไลน์ ทีวี ยูทูป ไลฟ์ รวมแล้วอย่างน้อย 4 แพลตฟอร์มหลักรวมถึงโซเชียลมีเดียและเว็บไซต์อื่นๆ ซึ่งเป็นช่องทางสำหรับการเผยแพร่คอนเทนต์ในปัจจุบัน ดังนั้นยิ่งย้ำให้เห็นว่าบทบาทของคำว่าทีวีที่เป็นแค่เพียงช่องทางหนึ่งของการเสพคอนเทนต์ และไม่ใช่สื่อหลักเหมือนในอดีตอีกแล้ว

เหตุผลแรกนี้ค่อนข้างหนักไปทางรายการวู้ดดี้เวิลด์ ซึ่งวู้ดดี้ร่วมกับเวิร์คพอยท์จัดทำรายการขึ้น และมีรายได้ในลักษณะของไทม์แชร์ริ่งซึ่งวู้ดดี้บอกว่า เป็นรายการที่รอและตัดสินใจอยู่นานว่าจะทำหรือไม่ทำดี

ความลงตัวระหว่าง วู้ดดี้ และเวิร์คพอยท์ สำหรับรายการนี้ เกิดจากทั้งสองฝ่ายต่างก็อยากให้มีรายการทอล์กโชว์ดี ๆ สักรายการ แบบไม่โหนกระแส ไม่เอาเร็วแบบข่าวรายวัน ไม่เน้นข่าวซุบซิบ ซึ่งตรงกันข้ามกับลักษณะของรายการเฟซบุ๊กไลฟ์ของเพจวู้ดดี้เองด้วย

มันหมดเวลาที่จะมาไล่ตามกระแสแล้ว ไม่อย่างนั้นผมก็ต้องไปตามไลฟ์ใครต่อใครเหมือนเดิม แต่รายการนี้ที่ใช้ชื่อว่า วู้ดดี้ เวิลด์ เพราะเราอยู่ในวันที่รู้สึกว่า ทุกอย่างมันน่าสนใจไปหมด อยากแชร์ ให้คนเห็นเบื้องหลังที่คนไม่เคยเห็น เพราะฉะนั้นรายการจริง ๆ ไม่ใช่ทอล์กโชว์ แต่จะเป็นแชร์ริ่งโชว์มากกว่า แชร์เรื่องราวรอบข้างที่คนสนใจ สงสัย อยากรู้ โดยนำเสนอแบบเจาะลึก

รายการนี้จะออกอากาศทุกคืนวันอาทิตย์ เวลา 4 ทุ่ม 15 ทางช่องเวิร์คพอยท์ โดยวู้ดดี้เป็นเจ้าของและผู้ผลิต

บอกเลยว่า รายการนี้ไม่แซ่บ ไม่แรง แต่ละมุน อยากให้คนดูดูแล้วมีความสุข ดูเสร็จแล้วนอน ตื่นมาแล้วรู้สึกว่าชีวิตอยากทำอะไรมากกว่านี้ ไม่แซ่บไม่แรงก็ถือเป็นเรื่องท้าทาย แต่แซ่บกับแรงอยู่ได้ชั่วคราว แต่เราอยากได้อินไซด์ที่ดูแล้วคนดูได้อะไรที่อยากทำให้ชีวิตดีขึ้น รวยขึ้น มีความกล้ามากขึ้น กล้าทำอะไรให้กับชีวิตตัวเอง

จะสังเกตได้ว่าสเต็ปการเติบโตของวู้ดดี้ในฐานะผู้สร้างคอนเทนต์ที่เลือกทำรายการจากความต้องการภายในตัวเอง ก็ไม่ต่างจากแบรนด์คนดังทั่วโลกโดยเฉพาะในวงการสื่อ เมื่อเติบโตเป็นที่รู้จักถึงจุดหนึ่งก็เลือกที่จะทำรายการแบบที่ตัวเองต้องการหรือชอบ ไม่ว่าจะเป็น โอปราห์ วินฟรีย์หรือ มาร์ธา สจ๊วต และทำให้คนติดตามดูรายการเพราะเชื่อในบุคคลหรือแบรนด์ของคนๆ นั้น

แต่โดยมากคนเหล่านี้เริ่มจากเป็นลูกจ้าง พิธีกร นักจัดรายการ ก่อนจะกลายมาเป็นเจ้าของกิจการและเป็นนายของตัวเอง ซึ่งไม่ใช่รูปแบบตายตัวสำหรับวู้ดดี้ที่เลือกที่จะย้อนศรกลับไปสู่บทบาทของการเป็นลูกจ้างอีกครั้ง พร้อมๆ กับการทำรายการของตัวเอง

อยากเป็นนักสร้างคอนเทนต์ที่ดี ต้องเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา

ดังนั้น เหตุผลที่ย้ำถึงบทบาททีวี ที่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของแพลตฟอร์มดิจิทัลที่คนใช้เสพคอนเทนต์ เพียงเท่านั้นอาจจะไม่เพียงพอสำหรับโปรดักต์แบรนด์อย่างวู้ดดี้ เพราะในอีกมุมหนึ่ง สำหรับการรับเป็นพิธีกรรายการ เดอะวอลล์ ให้กับ บอย ถกลเกียรติ วีรวรรณ ของช่องวัน ก็เป็นอีกบทบาทที่แตกต่างจากวู้ดดี้เวิลด์ และวู้ดดี้ก็มีเหตุผลที่ต่างออกไป

บทบาทนี้คนเป็นลูกจ้างต้องฟังให้ดี เพราะนี่คือประโยชน์ที่จะได้จากประสบการณ์ของการเป็นลูกจ้างโดยตรง

รายการเดอะวอลล์ ผมรับค่าตัวเป็นพิธีกรอย่างเดียว ทุกอย่างเป็นลิขสิทธิ์ของช่องวัน

ส่วนเหตุผลที่รับทำ ตอบในสไตล์วู้ดดี้แบบตรงไปตรงมาว่า

มันเป็นความคัน อยากรู้ว่าเป็นลูกน้องเป็นอย่างไร เพราะเราสั่งมาตลอดชีวิต อยากเป็นคนที่ถูกสั่งดูบ้าง เวลาเป็นนายไม่ได้ฟีดแบ็ก เพราะลูกน้องไม่บอก

แม้วู้ดดี้จะออกปากว่าเขาให้เกียรติเรามากแต่ก็เริ่มได้ฟีดแบ็กที่นำมาพัฒนาตัวเองได้บ้างแล้ว ถึงขั้นบอกพฤติกรรมของตนเองที่เป็นมานานแต่ไม่เคยรู้มาก่อนได้ว่าเป็นคนพูดเร็วมาก พูดเร็วจนเสียงแหบ ตั้งแต่ไหนแต่ไร แต่ก็เพิ่งค้นพบตัวเองจากรายการเดอะวอลล์

รวมถึงว่าถ้าการดำเนินรายการของเขาไม่โอเคก็มีการฟีดแบ็กตรงๆ ซึ่งวู้ดดี้บอกว่ารู้สึกดีขึ้นและได้พัฒนาตัวเอง และดีกว่าทำรายการแบบเป็นนายตัวเองที่ลูกน้องจะไม่บอกข้อเสียอะไรเลยโดยเฉพาะบุคลิกภาพที่ชอบกะพริบตาถี่ เกาจมูก ฯลฯ

การกลับคืนจอในฐานะลูกจ้างจึงเหมือนมีกระจกพูดได้ที่คอยสะท้อนสิ่งที่เห็นจริงให้ฟังตรงๆ

อีกทั้งการกลับคืนจอครั้งนี้ยังกลายเป็นกระแสที่ทำให้เห็นว่าวู้ดดี้แบรนด์ยังเป็นที่จับตาของผู้ชมรายการไทยอีกเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าเขาจะปรากฏให้เห็นในแพลตฟอร์มไหน


ชูวิทย์ สร้างเอ็กซ์คลูซีฟคอนเทนต์จากประสบการณ์ตรง

ฟาก ชูวิทย์ กมลวิศิษย์ หลังจากได้รับพระราชทานอภัยโทษ ได้รับการปล่อยตัวจากทัณฑสถาน ในช่วงเดือนธันวาคม 2559 จากการเป็นผู้ต้องขังคดีรื้อบาร์เบียร์ ก็ได้รับการทาบทามให้มาเป็นพิธีกร จัดรายการ ชูวิทย์ตีแสกหน้า ที่ช่อง 32 ไทยรัฐทีวี ทันที โดยเริ่มออกอากาศ 30 มกราคม 2560 เป็นวันแรก 

แม้ชูวิทย์จะไม่ได้โดดเด่นเรื่องการเล่าข่าว แต่ประสบการณ์จากเรือนจำ เคยเป็นนักการเมือง ประวัติการศึกษาด้านนิติศาสตร์ และรวมถึงบทบาทนักธุรกิจที่มีประสบการณ์หลากหลาย รวมถึงธุรกิจต่างๆ อาบอบนวด รวม ๆ กันแล้ว ชูวิทย์ จึงกลายเป็นผู้มีประสบการณ์ตรง ท่าช่องทีวีคาดหวังว่าจะมาถ่ายทอดเรื่องราวและให้แง่มุมที่น่าสนใจ โดยเฉพาะข่าวหน้าหนึ่งที่กลายเป็นกระแสที่คนในสังคมกำลังสนใจ

รายการชูวิทย์ตีแสกหน้า ที่จัดมาได้รับการตอบรับจากผู้ชมด้วยการเสนอมุมมองพร้อมให้ข้อมูลความรู้ที่แตกต่างไปจากการรายงานข่าวหรือเล่าข่าวทั่วไป ที่ทำให้คนดูรู้สึกว่ารู้ลึกไปถึงเบื้องหลังของข่าวและคดีความต่างๆ

ชูวิทย์เป็นโปรดักต์แบรนด์เรียกแขกอีกรายซึ่งเป็นรูปแบบรายการที่ส่งให้ชูวิทย์เป็นแบรนด์ที่ต้องการมากขึ้นของทีวีดิจิทัล

เมื่อช่อง 3 ปรับต้องปรับผังรายการข่าวเช้า ชื่อของชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ก็เด่นขึ้นมาเป็นแบรนด์หลักและถูกเลือก ด้วยสไตล์กล้าพูดกล้าลุย มีประสบการณ์โชกโชนหลายวงการ บวกพื้นฐานด้านฐานะและการเป็นที่รู้จักในวงการว่ามีความรู้ด้านกฎหมาย อีกทั้งมักจะมีข้อมูลอินไซด์ในวงการต่างๆ อยู่เสมอ จากเครือข่ายคนรู้จักและประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมาหลายรูปแบบ

แบรนด์ชูวิทย์มีจุดเริ่มต้นเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปหรือผู้ชมทีวี จากการถูกจับเป็นตัวประกันแล้วมาให้สัมภาษณ์เล่าเหตุการณ์กับสรยุทธ สุทัศนะจินดา นักเล่าข่าวคนดัง จนทำให้คนทั่วไปรู้จักแบรนด์ชูวิทย์ว่าเป็นใคร มาจากไหน ทำธุรกิจอะไร ก่อนจะต่อยอดไปเล่นการเมือง เป็นหัวหน้าพรรคการเมืองต้องโทษเข้าเรือนจำแล้วก็ออกมาจัดรายการทีวี รวมทั้งการประกาศเลิกเล่นการเมือง

ชูวิทย์ ถูกดึงไปเสริมทีมเรื่องเล่าเช้านี้ ซึ่งเป็นรายการที่ทำรายได้หลักให้กับช่อง 3 แต่เรตติ้งและรายได้จากโฆษณาก็ลดลงทั้งเหตุเพราะขาดแม่เหล็กสำคัญของรายการอย่างสรยุทธที่ต้องยุติบทบาทไป และจากการแข่งขันของรายการข่าวที่มีตัวเลือกให้ผู้บริโภคเลือกดูมากมายจากทีวีดิจิทัลนับสิบช่อง

รายการที่ชูวิทย์รับผิดชอบคือ ชูวิทย์มีเรื่องเล่า ทำหน้าที่สร้างสีสันในเบรกที่ 4 ของรายการเรื่องเล่าเช้านี้ รูปแบบรายการเป็นการส่งชูวิทย์ ไปลุยหาข่าวถึงแหล่งจากเรื่องเล่าในที่ต่าง ๆ ที่เป็นข่าว หรือมีประเด็นที่ต้องหาคำตอบ

ด้วยบารมีและความเป็นชูวิทย์ที่รู้ลึก รู้หลักการ รู้ช่องทาง ทำให้เขากลายเป็นสื่อที่มีชื่อเสียงเข้าถึงจุดเกิดเหตุ เข้าถึงต้นตอ และหาแหล่งข่าวได้ตรงตัว บวกกับความกล้าที่ยิงคำถามตรงๆ ในสิ่งที่คนทั่วไปในสังคมอยากรู้อยากถาม ด้วยสไตล์ถึงลูกถึงคนไม่กลัวใคร ซึ่งภาพลักษณ์เหล่านี้ที่มีอยู่ภายในแบรนด์ชูวิทย์ ล้วนถูกนำเสนอไว้ในการปรับโฉมรายการเรื่องเล่าเช้านี้ที่ปรับใหม่ตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา

แม้กระทั่งในโปสเตอร์รายการที่เผยแพร่ออกไป ยังมีรูปชูวิทย์ถือโทรโข่งด้วยท่าทางขึงขัง โดยเป็นพิธีกรคนเดียวในบรรดาพิธีกรทั้ง 6 ของรายการที่มีพร็อพอยู่ในมือและแอคชั่นที่แตกต่างจากคนอื่น

ความขึงขังช่างลุยและประสบการณ์ตรงรวมถึงความรู้เรื่องต่างๆ ที่มี คือข้อได้เปรียบของชูวิทย์ที่สร้างความแตกต่างให้กับคอนเทนต์ที่เขาเป็นพิธีกร และเป็นจังหวะที่ในเมืองไทยยังหานักเล่าข่าวที่มาแทนนักเล่าข่าวคนดังไม่ได้ แม้ทักษะด้านการเล่าข่าวและการตั้งคำถามอาจจะด้อยกว่ากรรมกรข่าวมืออาชีพอยู่บ้าง แต่องค์ประกอบต่างๆ ที่ชูวิทย์มีก็สามารถทดแทนข้อด้อยที่มี และเป็นจุดขายที่ดีให้กับทั้งตัวเขาเองและเจ้าของช่องผู้ผลิตรายการ

ที่สำคัญ คือแบรนด์ชูวิทย์เป็นตัวสร้างเอ็กซ์คลูซีฟคอนเทนต์เฉพาะตัวที่ทำให้เกิดความแตกต่างจากรายการของช่องอื่น ๆ ซึ่งการแข่งขันด้วยความแตกต่างที่โดดเด่นได้เปรียบเสมอ


ตือสนิท รายการขายของโต้ง เดินเรื่องด้วยคอนเทนต์โฆษณาสุดโต่ง

สมบัษร ถิระสาโรช เจ้าของบริษัท ตือ จำกัด ออกาไนเซอร์ชื่อดังของเมืองไทย เมื่อหันมาทำรายการบนโซเชียลมีเดียตือสนิท ในช่อง Spokedark.tv ก็เป็นอีกคนที่กลายเป็นแบรนด์เด่นของผู้สร้างสรรค์ดิจิทัลคอนเทนต์ที่ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วอีกราย

ตือสนิท เปิดตัวด้วยรูปแบบรายการและวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนว่าเป็นการทำคอนเทนต์แบบเงินมาผ้าหลุดหรือเข้าใจตรงได้เลยว่า ถ้าจ้างจะให้ทำอะไรก็ได้ และมีจุดขายที่ตัวผู้ดำเนินรายการอย่างตือที่ออกมาขายโฆษณาด้วยตัวเองทุกตอนยิ่งกว่าทีวีไดเร็ค

ดังนั้น ไม่ว่าคนจะดู ตือสนิท ด้วยเหตุผลอะไร แต่ทุกตอนคือโฆษณาขายของแบบโต้ง ๆ ในสไตล์ของรายการที่ผ่านการครีเอตมาแล้วให้มีคาแร็กเตอร์ที่ชัดเจน ซึ่งถ้าจะว่าไป นี่คือคอนเทนต์ที่แสดงให้เห็นว่า ต่อให้เป็นการขายของหรือโฆษณา ถ้าทำให้คนสนใจ หรือรู้อินไซต์ของกลุ่มเป้าหมาย ก็มีคนคลิกเข้ามาดูเองมากมาย

คำจำกัดความรายการ ตือสนิทเป็นรายการเมาส์มอยขำขำเกี่ยวกับแฟชั่น+บิวตี้+ไลฟ์สไตล์ พร้อมขายของตั้งแต่น้อยไปจนมหาศาล

“เงินมาผ้าหลุด นิยามรายการตั้งแต่เปิดตัวเพจ ตือสนิท ที่ ตือ เขียนชี้แจ้งไว้ชัดเจนพร้อมโพสต์ภาพที่เขียนข้อความนี้ด้วยมือไว้ในเฟซบุ๊ก ซึ่งหลังจากนั้นทุกตอน ตือ ก็ดำเนินรายการตามที่ชี้แจ้งไว้นี้

คอนเทนต์ในรายการคือการโฆษณาขายของโต้ง ๆ ที่ไม่กระมิดกระเมี้ยนแต่ฮาไปขายไปด้วยประโยคขายของโจ่งแจ้งและครบทุกแมสเสจของแต่ละแบรนด์

แถมยังได้แขกรับเชิญระดับท็อป ดารา เซเลบ มาร่วมรายการ เพราะด้วยการเป็นผู้ทรงอิทธิพลทั้งในวงการแฟชั่น ความงาม ไลฟ์สไตล์ อีกทั้งมีแบล็กกราวน์จากครีเอทีฟเอเยนซี่มาก่อนหน้าที่จะมีบริษัทออกาไนซ์ ที่รับทำงานไม่จำกัดเล็กใหญ่ ไม่จำกัดประเภท ทำให้ตือสามารถทำให้แขกรับเชิญมาเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยขายคู่ไปกับตัวเองได้ตลอดรายการ

ตือสนิท อาจจะเป็นรายการเดียวที่ผู้ดำเนินรายการอย่างตือ ไม่จำเป็นต้องปรับตัวเพื่อแขกรับเชิญ แต่แขกรับเชิญกลับต้องเป็นฝ่ายปรับคาแร็กเตอร์ให้เข้ากับรายการของเขา ด้วยรูปแบบการดำเนินรายการ และกลายเป็นอีกแรงดึงดูดให้กับคนตามชมว่า แขกรับเชิญ คนดังแต่ละคน จะปรับตัวและทำตัวให้กลมกลืนและฮาไปกับตืออย่างไร

แม้จะเป็นรายการขายของ แต่ตือสนิทในแต่ละตอนก็ได้รับควานนิยมกระทั่งมีแบรนด์สินค้า หรือแม้กระทั่งรายการทีวีอย่างเดอะวอยซ์ก็ยังต้องหันมาจอยคอนเทนต์กับตือสนิทเพื่อขายบีไฮด์เดอะซีนกระตุ้นรายการอีกทางหนึ่งด้วย ซึ่งเป็นการย้ำให้เห็นว่า ด้วยคาแร็กเตอร์ที่ชัดเจนของแบรนด์ตือ แม้จะขายของก็ยังมีความแตกต่างจนเป็นคอนเทนต์ที่น่าสนใจติดตามได้เหมือนกัน

ความสำเร็จของตือสนิทจึงมีส่วนประกอบมากมายที่ผ่านการคิดสร้างสรรค์ที่จะสร้างความชัดเจนให้กับรายการได้ตั้งแต่ต้น ตั้งแต่ตัวเจ้าของรายการที่มีความชัดเจนในตัวเอง ใช้ความเป็นตัวเองในการดำเนินรายการ

ขณะเดียวกันก็ได้บารมีของแขกรับเชิญตัวท็อป เป็นผู้ทรงอิทธิพลในวงการเซเลบ ดารา นักร้อง ได้มาเพิ่มแรงดึงดูดให้กับรายการแต่ละตอน ซึ่งจะไม่อยู่ในลุค” ที่เป็นตัวเอง แต่ต้องทำตัวกลมกลืนไปกับรายการ ถึงเวลากรี๊ดต้องกรี๊ด และพูดตามประโยคที่ตือกำหนด ตามการเดินเรื่องของตือ ที่ต้องยอมรับว่าเป็นธรรมชาติของตือมาก ๆ

โดยบุคลิกของตัวรายการนั้น ยังถูกกำหนดให้เข้ากับคนเสพคอนเทนต์ในโซเชียลไว้ตั้งแต่ต้น ว่าต้องเดินเรื่องเร็ว ไม่ใช้เวลานานเกินไป จากปกติคลิปที่ลงในโซเชียลมีเดียที่คนจะคลิกดูส่วนมากจะอยู่ที่ 1-3 นาที ถ้าไม่สนุกถูกใจจริง คนก็ยังดูไม่จบ แต่ตือสนิทแต่ละตอนก็ยังทำได้นานกว่านั้นเกือบเท่าตัว ก็ยังได้รับความสนใจ รายการไม่ว่าจะเป็นเรื่องกินเที่ยว ช้อปปิ้ง เยี่ยมรายการ ก็ต้องเน้นขำนำเพื่อให้คนดูหัวเราะคลายเครียด แต่ก็เอาใจคนเสพคอนเทนต์ด้วยเทคนิคการตัดต่อเร็ว เดินเรื่องฉับไว ใส่กราฟิกเร้าใจตลอดรายการ

คาแร็กเตอร์ชัดเจน ขายของไม่กระมิดกระเมี้ยน เปิดเผยจริงใจต่อผู้ชม ใช้ความฮาเป็นตัวนำ ทำให้คนดูรับความเป็นตือสนิทและรู้จักได้เร็ว แต่ในแง่ของการทำตลาดคอนเทนต์ก็ต้องทำไปควบคู่กัน เพราะเนื้อหาดี แต่วางคอนเทนต์ผิดที่ ไม่บริหารการกระจายคอนเทนต์ให้ดี ก็อาจจะไปไม่ถึงกลุ่มผู้ชมในปริมาณมากเท่าที่ต้องการ

ตือสนิท นอกจากใช้ช่องทางเฟซบุ๊กเพจของตัวเองเป็นหลัก ซึ่งตอนนี้มีผู้ชื่นชอบอยู่ 446,054 ก็ยังแชร์ผ่านแฟนเพจของ SpokedarkTV ที่มีแฟนเพจอยู่ประมาณ 3.1 ล้านราย และยูทูบของทั้งสองแอคเคาต์ที่มีคนติดตามอยู่ 83,208 และ 860,176 ตามลำดับ

คอนเทนต์ แต่ละตอน นอกจากปล่อยแบบเต็ม ๆ ก็ยังมีการตัดทำ ทีเซอร์เรียกน้ำย่อย ตัดท่อนฮา ตัดขายเป็นคน ๆ เพื่อเรียกผู้ชมตามฐานแฟนคลับของคนที่มาร่วมรายการ ซึ่งมีทั้งรายการดังที่ยังต้องอาศัยตือสนิทในการช่วยขายช่วยเพิ่มช่องทางโปรโมต อย่างเดอะวอยซ์ ละครชายไม่จริงหญิงแท้ ผลิตภัณฑ์สินค้าต่าง ๆ ดาราที่กำลังมีข่าว หรืออยู่ในกระแส เรียกว่าสลับไปทั้งขายของ ขายกระแสสร้างรายการไปพร้อม ๆ กัน

ที่สำคัญที่สุด การจะทำให้รายการเป็นที่รู้จักดังนาน ต้องไม่ลืมความต่อเนื่อง ที่ต้องมีตอนใหม่ ๆ ออกมาอย่างสม่ำเสมอ โดยถึงตอนนี้ในยูทูปของตือสนิท มีวิดีโอที่อัพโหลดไปแล้วทั้งสิ้น 62 ตอน

ตัวอย่างขายของแบบโต้ง ๆ ที่เห็นได้ประจำในตือสนิท ใช้ดาราโปรโมตรายการตอนใหม่ แต่เนื้อหาในรายการโฆษณารถยนต์

กว่าจะได้รู้คำตอบตามชื่อตอนก็รู้จักเบื้องหลังรายการ The Voice เกือบทั้งรายการ

รายการโฆษณาของโฆษณาคอนเทนต์แบบนี้ก็ฮิตได้


สู่ขวัญ เซเลบมีของ

สู่ขวัญ บูลกุล หมดหน้าที่จากคนข่าวไปหลายปีแต่กระแสไม่เคยเงียบหายไปจากหน้าสื่อ เพราะจัดเป็นคนมีของ เป็นทั้งพรีเซ็นเตอร์ เซเลบริตี้ที่งานสังคมต้องการตัว เป็นคุณแม่ยังสาวและมีครอบครัวที่อบอุ่นมั่นคงมั่งคั่ง ล่าสุดบทบาทที่มาแรงของเธอคือการเป็นกูรูด้านการช้อปปิ้งสินค้าสำหรับแฟชั่น รวมไปถึงการแต่งหน้าที่ระดับบิวตี้บล็อกเกอร์ดังๆ ก็อาจจะต้องสะเทือนถ้าเธอคิดจะมาเอาดีทางนี้อย่างจริงจัง

สู่ขวัญรับหน้าที่เป็นบล็อกเกอร์ด้านแฟชั่น ในเซเลบบล็อกของเว็บไซต์นิตยสารแพรว (preaw.com) ที่ไม่ได้มีแค่เธอ แต่ที่ดังทะลุเว็บก็มีแต่เธอนี่ล่ะ นอกจากนี้ยังมีการทำคลิปร่วมกับนิตยสาร Vouge ด้วย

โดยปกติการทำคลิปของนิตยสารแฟชั่นมักจะนิยมเลือกดาราดังแถวหน้ามาทำคลิปวิดีโอ และโดยมากก็จะเป็นวิดีโอเบื้องหลังการถ่ายเซตแฟชั่นปกไม่ว่าจะเป็นนิตยสารในไทยหรือในต่างประเทศ หรือมากหน่อยก็จะมีการตัดบทสัมภาษณ์บางช่วงที่น่าสนใจเป็นคลิปออกมาโปรโมตก่อนหนังสือจะวางแผงด้วย

แต่ความน่าสนใจของคลิปของสู่ขวัญที่เป็นที่พูดถึงไม่ใช่แนวเดียวกับดาราดัง เพราะเสน่ห์ของเธออยู่ที่การพูดคุยไอเดียที่ผ่านประสบการณ์และสมองของคนมีสไตล์และไลฟ์สไตล์ของผู้หญิงที่มีครบทั้งความสวยในระดับที่สะดุดตาในรูปลักษณ์หนึ่ง ฐานะ ชื่อเสียง ความน่าสนใจของชีวิตส่วนตัวตั้งแต่สมัยเป็นนิสิตคณะนิเทศศาสตร์จุฬาฯ เรื่อยมาจนเป็นพิธีกรข่าวในโทรทัศน์

เพียงแค่เธอเอาความเป็นตัวเองมานำเสนอผ่านคลิปวิดีโอ เพียงเท่านี้ก็ทำให้เป็นคอนเทนต์ที่คนส่วนใหญ่พร้อมจะทดลองชม และเมื่อได้ชมแล้วถูกใจกระแสการบอกต่อแบบปากต่อปากก็ยิ่งทวีความฮิตให้วิดีโอคอนเทนต์ของเธอมีคนเข้ามาพิสูจน์มากขึ้นพร้อมเสียงชมที่เพิ่มขึ้น

คลิปวิดีโอในเซเลบบล็อกของแพรวที่ทำมาร่วมปีบางคลิปเปรี้ยงปร้างไม่แพ้คลิปข่าวดาราดังที่สามารถมีผู้เข้าชมขึ้นหลักหลายแสนไปจนถึงกว่าครึ่งล้านวิวในเวลา 3 วัน 7 วัน บางคลิปที่จัดว่าไม่แรงมาก ก็มียอดสะสมเรื่อย ๆ จนขึ้นหลักแสนในเวลา 1 สัปดาห์ หรือ 1 เดือน นั่นแสดงว่านอกจากความดังของกระแสที่เกิดจากบางคลิปที่ทำให้ยอดวิวพุ่งสูงอย่างรวดเร็วแล้ว เธอยังมีแฟนคลับที่คอยติดตามชมอย่างต่อเนื่องในหลักแสนอีกด้วย

การมีผู้ติดตามชมระดับนี้ถือว่าไม่ธรรมดา จัดเข้าขั้นอินฟลูอินเซอร์ตัวท็อปที่นักการตลาดต้องจับตาเลยทีเดียว เพราะขนาดดาราดังก็ไม่ใช่ทุกคนจะสามารถสร้างแฟนคลับที่คอยติดตามหรือพร้อมจะสร้างยอดเอ็นเกจเมนต์ที่แท้จริงได้มากเท่านี้ โดยเฉพาะยุคนี้ที่แบรนด์และการตลาดเลือกที่จะวัดจากเอ็นเกจเมนต์มากกว่ายอดผู้ติดตาม เพราะต่อให้มีเป็นหลักล้านแต่ถ้าทำให้เอ็นเกจได้ไม่ถึง 10% ของผู้ติดตามที่มีก็อาจจะกลายเป็นอินฟลูเอ็นเซอร์เทียมที่ไม่ได้สร้างผลตอบลัพธ์ที่แท้จริงให้กับแบรนด์

 กระแสของสู่ขวัญ มาถึงจุดพีค ในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2561 ที่ผ่านมา จากคลิปวิดีโอที่ทำให้เซเลบบล็อกของแพรว ตอน สู่ขวัญ พาช้อปมาราธอน ซื้อจริงแจกจริง! รับปีใหม่ ที่มียอดผู้ชมเกินครึ่งล้านในเวลาไม่ถึง 1 เดือน ตามมาด้วยคลิป เจ้าแม่ป้ายยา สู่ขวัญ พาพุ่งชนของ Sale! มาเช็คของกัน มียอดชมเกิน 3 แสนวิวใน 3 วัน

สถิตินี้ชี้ให้เห็นพฤติกรรมการเสพคอนเทนต์ที่เปลี่ยนไปของผู้ติดตามนิตยสารแฟชั่น ที่เคยให้ความสนใจกับคลิปเบื้องหลังการถ่ายแฟชั่นของดาราขึ้นปกซึ่งเป็นไม้ตายของนิตยสารต่างๆ ที่หันมาทำวิดีโอคอนเทนต์เรียกแขกมาตลอด

เหมือนที่คลิปของสู่ขวัญที่ทำให้นิตยสารแพรวทำสถิติความนิยมขึ้นมาหลุดท็อป 5 ที่มีผู้ชมสูงสุดไปแค่อันดับเดียว แต่ก็เชื่อว่าถ้าปล่อยเวลานานไปอีกนิด ก็อาจจะแซงขึ้นมาติดท็อป 5 ได้แน่ ๆ เพราะคลิปที่ติดท็อป 5 ของนิตยสารแพรวนั้นใช้เวลาสะสมยอดวิวมา 3 ปีขึ้นไปแล้วทั้งนั้น

ด้วยความแรงขนาดนี้ เซเลบที่มีไลฟ์สไตล์และเรื่องราวที่คนในสังคมรู้จักติดตาม จากคนกลุ่มหนึ่งจึงถูกขยายตัวกลุ่มผู้ติดตามอย่างรวดเร็ว และส่งผลให้ชื่อของสู่ขวัญ กลายเป็นอินฟลูเอ็นเซอร์ตัวท็อปของวงการโดยไม่มีใครกังขา เพราะเพียงแค่แฮชแท็กว่า #ของมันต้องมี คำเดียว ก็สร้างปรากฏการณ์กลายเป็นคำฮิตติดปากนักช้อป รวมถึงวงการอื่น ๆ ไปเลย ทั้งที่โดยปกติ ศัพท์ฮิตใหม่ ๆ มักจะมาจากกลุ่มสาวประเภทสอง

รายการดังแต่นี่แค่พูดธรรมดาสไตล์สู่ขวัญ เท่านี้ก็โดนใจสาว ๆ เพราะเป็นคำที่ไปสะกิจต่อมลึก ๆ ที่อธิบายเหตุผลของสาว ๆ นักช้อปหลายคนที่ไม่เคยให้คำอธิบายกับตัวเองได้ว่ามันเพราะอะไร เห็นเดินห้างไหนตลาดไหน หรือแม้กระทั่งสกอร์เมาส์อยู่หน้าจอ ไถหน้าจอมือถือในหน้าเว็บช้อปปิ้งทีไรจะต้องซื้อโน้นซื้อนี่อยู่เรื่อยไป 

#ของมันต้องมี สั้น ๆ เลยโดนอินไซต์ขาช้อปจัง ๆ ไม่นับรวมลีลา ท่าทาง การเลือกสินค้า การลอง การให้เหตุผลว่าทำไมควรซื้อสินค้าแต่ละชิ้น ทั้งความชอบส่วนตัว เคล็ดลับการแต่งกาย หรือแม้แต่เพราะโปรโมชั่นที่มีอยู่

สไตล์การช้อปของสู่ขวัญยังมีการให้ข้อมูลและบอกเรื่องราวตัวตนของตัวเอง ซึ่งเป็นปัญหาเดียวกับนักช้อปส่วนใหญ่เคยเจอมาเหมือน ๆ กันทั้งนั้น อาทิ ปัญหาสินค้าที่ซื้อมาเพราะถูกใจแต่หาโอกาสใช้งานไม่ได้ ของบางอย่างยังไม่ได้ใช้แต่จะหาเหตุผลอะไรที่ต้องซื้อ ชอบแต่แบบแปลกจะใช้ยังไงให้ลงตัว

ปัญหาเหล่านี้ล้วนโดนใจสาว ๆ เพราะนักช้อปส่วนใหญ่ร้อยทั้งร้อยมักมีประสบการณ์แบบเธอมาแล้วทั้งนั้น เพียงแต่ไม่อยู่ในระดับที่สวยออกสื่อและอาจจะไม่สามารถสื่อสารได้โดนใจ รวมทั้งสื่อสารได้เป็นธรรมชาติน่าติดตามแบบสู่ขวัญ

เมื่อคลิปของเธอในเซเลบบล็อกของแพรวที่ทำออกมาอย่างต่อเนื่องจึงทำให้มีคนติดตามเพราะดูแล้วสนุก บางคนถึงกับบอกรู้สึกเหมือนได้ตามไปช้อปกับเธอโดยไม่รู้สึกเบื่อ ทั้งที่บางคนบอกว่าปกติไม่ใช่ขาช้อปด้วย

ที่สำคัญคลิปของสู่ขวัญไม่ใช่แค่เพลินแต่ได้เทคนิคการเลือกซื้อ รวมถึงไอเดียการแต่งตัวที่ดีติดตัวไว้ใช้งานในชีวิตได้จริง รวมถึงได้รู้จักจริตและความเป็นสู่ขวัญในมุมนักช้อป ซึ่งหลายคนคงรู้สึกว่า แหม งานแบบนี้ดี ๆ แค่ช้อปปิ้งออกสื่อ แต่ได้ทำทั้งกิจกรรมที่ชอบ แถมได้รายได้จากการเป็นอินฟลูเอนเซอร์ด้านแฟชั่นจากความเป็นตัวตนที่คนเห็นและเชื่อถือมานาน จนสินค้าแฟชั่นทุกห้าง ทุกแบรนด์ ต่างต่อคิวรอเธอไปช้อปไม่หยุด 

คำเด็ดของสู่ขวัญ

การแสดงความหมายด้วยการใช้คำพูดแสดงความรู้สึกของสินค้าที่พบเห็นกลายเป็นเสน่ห์ และความแตกต่างที่สู่ขวัญใช้สื่อกับผู้ชมคลิป ที่ผู้ชมรับรู้ได้จากความเป็นธรรมชาติของเธอ ที่เธอเองก็อาจจะไม่ได้ตั้งใจที่จะส่งสัญญาณให้ซื้อหรือไม่ซื้อ เพียงแต่บอกไปตามความรู้สึกที่เห็นโดยไม่เตรียมการ ลองมาดูตีความหมายจากตัวอย่างคำแต่ละคำของสู่ขวัญ ที่แต่ละคำสะท้อนความหมายความน่าสนใจในระดับที่ต่างกันไปดังนี้

น่าร๊ากกก!!”น่าสนใจมาก ต้องหันไปมอง พิจารณาได้ดี มีโอกาสที่คนจะซื้อตามสูง

อันนี้ก็น่ารักกก” น่าสนใจในระดับทั่ว ๆ ไป เป็นหนึ่งในตัวเลือกได้ แต่อาจจะยังไม่ทำให้ตัดสินใจซื้อในทันที

พี่ขวัญว่าอันนี้ก็น่ารักชอบแบบพี่ขวัญ ก็ซื้อเลยจ้า พี่ขวัญอาจจะไม่ได้ซื้อไม่ได้ใช้ แต่พี่ขวัญชอบ ถ้าน้องชอบพี่ขวัญ น้องจะใช้ น้องควรซื้อ

อันนี้พี่ขวัญชอบนะพิจารณาตามหน่อยถ้าคนดูชอบด้วยก็ตัดสินใจง่ายขึ้น หรือถ้าจะซื้อให้ใครก็มีรสนิยมระดับสู่ขวัญการันตีล่ะ

อยากจะบอกว่าอันนี้ดีผ่านประสบการณ์การใช้จริงของสู่ขวัญมาแล้ว

ขวัญเป็นคนที่ถูกใจกระเป๋ายากมากถ้าเธอใช้กระเป๋าแบบไหน มันจะต้องเป็นรุ่นที่ดูน่าสนใจขึ้นมาทันที

ได้แน่ พี่ขวัญต้องซื้อแน่ๆไม่ต้องสืบซื้อไปเลย แค่อยากรู้ต่อว่าบางชิ้นพี่ขวัญจะซื้อไปใช้อย่างไรหรือทำอะไร

พี่ขวัญชอบถ้าน้องชอบด้วยก็สบายใจที่จะซื้อนะคะ

เราต้องมีจะมีก็ต้องซื้อสิค่ะ

ของมันต้องมีหรือมันเป็นของต้องมีของจำเป็นในชีวิต ระดับปัจจัยสี่สำหรับสาว ๆ

พี่ขวัญอันนี้ได้ใส่ก็ซื้อไปเถอะไม่เสียเปล่าแน่ ๆ มีโอกาสได้ใช้

และไม่ว่าจะอย่างไรกับบทบาทเซเลบ บางคลิปก็ต้องจบด้วย หน้าที่แม่สำคัญนั่นคือความรับผิดชอบในชีวิตจริง ส่วนสำคัญที่ทำให้ชีวิตผู้หญิงคนนี้ประสบความสำเร็จ.

]]>
1157305
“วู้ดดี้” ลดความแซ่บ ! คัมแบ็กจอทีวี เงินไม่เท่าออนไลน์ แต่ได้คนดูแมส https://positioningmag.com/1152878 Sun, 07 Jan 2018 13:34:58 +0000 https://positioningmag.com/?p=1152878 พักงานหน้าจอไปลุยโซเชียลนานพอดู หลังเคยประกาศจะไม่ทำรายการทีวีอีก เพื่อลุยทำรายการเสนอผ่านโซเชียล แต่พอกลับมาอีกทีก็ควบ 2 รายการเลยทีเดียว สำหรับ “วู้ดดี้ วุฒิธร มิลินทจินดา” โดยเป็นพิธีกรให้รายการ “เดอะวอร์ กำแพงพลิกชีวิต” ทาง “ช่องวัน” และทำรายการของตัวเอง “วู้ดดี้เวิลด์” กับช่อง “เวิร์คพอยท์” ซึ่งเจ้าตัวก็ยอมรับว่าการได้ร่วมงานกับ “บอย ถกลเกียรติ วีรวรรณ” เป็นเพราะความคัน

รายการเดอะวอร์ ทางช่องวัน เป็นรายการเกมโชว์ ที่ซื้อแพลตฟอร์มาจากต่างประเทศ ออกอากาศเวลา 6 โมงเย็น วันเสาร์และอาทิตย์ เริมวันที่ 6 มกราคม เป็นวันแรก

สตูดิโอทำยากมาก ในเอเชียไม่มีสตูดิโอที่สูงพอที่จะรองรับกำแพงที่ใหญ่ขนาดนี้ มีสตูฯ ของทีวีธันเดอร์ที่เดียว พอไปเห็นกำแพงมันอลังการมาก แล้วก็คนเข้าแข่งขันที่เป็นคนดีแล้วก็คุณค่ากับเงินหลายล้านบาท ก็เลยตัดสินใจมาร่วมงาน เราแล้วความสนุกก็คือเราจะอยู่ฝั่งเดียวกับคนเข้าแข่งขัน ก็จะลุ้นอยู่ตลอดเวลา

ที่สำคัญ ด้วยความเป็นคอนเทนต์ที่สามารถออนแอร์ได้ทุกแพลตฟอร์ม ออนทั้งโซเชียลมีเดีย เฟซบุ๊กไลฟ์ จึงทำให้ตัดสินใจกลับมาทำรายการนี้ เพราะถ้าออนแค่ทีวีก็จะไม่ทำ

ภาพจาก : facebook.com/WOODYTALKSHOW

“รายการนี้ ผมรับจ้าง ได้ค่าตัวเป็นพิธีกรอย่างเดียว ทุกอย่างเป็นของช่องวัน เป็นลิขสิทธิ์ของช่องวัน ที่ทำเพราะความคันอยากรู้ว่าเป็นลูกน้องเขาแล้วโดนด่ามันเป็นยังไง เพราะเราทำมาตลอดชีวิตแล้วที่สั่งคน เรามาเป็นคนที่ถูกสั่งบ้างดีกว่า”

สิ่งที่ได้รับกลับมานอกจากความสนุกแล้ว ยังได้ประสบการณ์จากรับจ้างเป็น “พิธีกร” ที่ต้องทำงานกับคนภายนอก นำมาปรับปรุงในการทำงาน

พอทำแล้วสนุกมาก แล้วเขาให้เกียรติเรามาก แล้วบางอย่างที่พูดมันไม่โอเคนะ อยากได้วู้ดดี้ที่มันธรรมชาติกว่านี้ เวลามีคนมาพูดกับเราตรงๆ เรารู้สึกดีขึ้นมาก ได้พัฒนา ดีกว่าทำรายการเป็นนายเองแล้วก็ไม่ฟังฟีดแบ็ก บางทีลูกน้องผมเองก็ไม่บอกไง เวลาผมพูดเนี่ยตาจะกะพริบบ่อยมากนี่คือหนึ่งที่ผมเพิ่งรู้ตัวนะ ตั้งแต่เด็กเราจะชอบเกาจมูก เป็นสองบุคลิกที่เราไม่คิดว่าเราทำบ่อย แล้วเขาก็แนะนำ อีกเรื่องคือเราพูดเร็วมากจนเสียงแหบ ผมพูดเร็วมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ก็ได้ค้นพบตัวเองจากรายการเดอะวอร์”

ภาพจาก : facebook.com/WOODYTALKSHOW

วู้ดดี้เวิลด์ ไม่ใช่ทอล์กโชว์ เป็นแชริ่งโชว์

สำหรับรายการ “วู้ดดี้เวิลด์” เป็นรายการทอล์กโชว์ที่เหมือนหนัง มีความประณีต หมดเวลานั่งสัมภาษณ์ตามข่าวรายวัน ซึ่งวู้ดดี้เป็นผู้ผลิตรายการเอง โดยร่วมมือกับเวิร์คพอยท์ ในรูปแบบของไทม์แชริ่ง แบ่งรายได้คนละครึ่ง

“ผมคุยกับเวิร์คพอยท์มานานมากว่า ทำดีไม่ทำดี เวิร์คพอยท์เองเขาก็อยากได้รายการทอล์กโชว์ดีๆ เราก็บอกว่าถ้าจะทำทอล์กโชว์แบบวู้ดดี้เราจะไม่ทำข่าวซุบซิบแล้วนะ ไม่ทำแบบรายวัน เพราะทำกันแล้ว ซึ่งมันหมดเวลาที่เราจะมานั่งทำแบบนั้นแล้ว ไม่งั้นเราก็ต้องมาถือไลฟ์ตามทุกคน ซึ่งเราไม่มีเวลาก็กลายเป็นทอล์กโชว์ที่มีความประณีตมากขึ้น จะเหมือนหนังมากขึ้นชื่อว่าวู้ดดี้เวิลด์ เอาง่ายๆ เลยคือโลกของวู้ดดี้ ทุกอย่างที่อยู่รอบตัวเรา เรารู้สึกว่าเราอยู่ในวัยที่ทุกอย่างมันน่าสนใจหมด

รูปแบบถูกปรับใหม่ไม่ใช่ “ทอล์กโชว์” แต่เป็น แชริ่งโชว์” จะเน้นเรื่องราวรอบข้างชีวิตที่คนสนใจ คนสงสัยและคนอยากรู้แล้วอยากแชร์ต่อ เน้นเรื่องที่คนสนใจแล้วอยากแชร์ต่อ จะมีความละมุน ไม่แรง ไม่แซ่บ แต่เป็นแรงบันดาลใจ ตบหน้าให้คนดูลุกมาทำอะไรใหม่ๆ อย่างเราเที่ยวถ้ำนี้แล้วมันน่าสนใจเราอยากแชร์ หรือทำไมเราไปวิ่งกับตูนแล้วรู้สึกเขา inspire มาก แล้วก็มีเบื้องหลังที่คนไม่เคยเห็น ที่เราอยากแชร์ โดยจะออกอากาศ เวลา 22.15 น. ผ่านทางไลฟ์ เฟซบุ๊กไลฟ์ ยูทูปไลฟ์ ไลน์ไลฟ์

สิ่งเดียวที่ผมเกร็งคือว่ามันจะแซ่บมั้ย บอกเลยว่าไม่แซ่บ ถามว่าแรงมั้ย บอกเลยว่าไม่แรง พูดตรงๆ ถามว่าละมุนมั้ย ละมุน ผมการันตีว่าคุณดูวู้ดดี้เวิลด์เนี่ยคุณนอนหลับแบบอมยิ้ม คุณตื่นมาเช้าวันจันทร์คุณรู้สึกว่าชีวิตคุณอยากทำอะไรมากกว่านี้”

“ไม่ใช่ล้างมือว่าจะไม่แซ่บไม่แรงแล้ว เพราแซ่บกับแรงเนี่ยมันอยู่ได้ แต่มันก็อยู่ได้แค่ชั่วคราว ที่ผ่านมาผมพลาดอย่างเดียว คือ คนดูเขาจะได้อะไร คือสมัยก่อนเราได้แค่ซุบซิบไง แต่เรารู้สึกว่าอยากให้ชีวิตมันดีขึ้นไง ดังนั้นดูแล้วมันจะต้องละมุนขึ้นชีวิต รวยขึ้น มีความกล้ามากขึ้น กล้าคิดกล้าทำมากขึ้น ดูวู้ดดี้เวิลด์แล้วรู้สึกว่าชีวิตฉันไม่ต้องจบแค่นี้ ชั้นสามารถทำอะไรได้อีกมากมาย มันไม่ใช่แค่แรงบันดาลใจ มันคือตบหน้าแล้วให้คุณทำเลย”

วู้ดดี้บอกว่าการยอมกลืนน้ำลาย กลับทำรายการทีวีครั้งนี้ เนื่องจากช่องทางออนแอร์มากกว่าเดิม 4 เท่า ถ้าไม่ออนแอร์ผ่านโซเชียลก็จะไม่ทำแน่นอน 

“รายการออกอากาศในช่องเวิร์คพอยท์เป็นแค่คอนเทนต์หนึ่ง แต่สุดท้ายแล้วออนในเฟซบุ๊กไลฟ์ ยูทูปไลฟ์ ไลน์ไลฟ์ เป็นหลัก ซึ่งต่างจากที่ผมทำรายการในทีวีแล้วไม่มีโซเชียลเลย คราวนี้มีมากกว่าเดิมอีก 4 เท่าด้วยกัน นี่คือเหตุผลที่กลับมาเลือกทำคอนเทนต์แบบนี้ แต่ถ้ากลับมาทำรายการที่ไม่ได้ออนในโซเชียลเลยไม่ทำแน่นอนครับ”

รายได้จากโซเชียลได้มากกว่าทำทีวี

ส่วนที่ผ่านมารายได้ ครึ่งปี เม็ดเงินโซเชียลมากกว่าทำทีวีด้วยซ้ำ แล้วจนกระทั่งวันนี้ก็มากกว่าด้วยซ้ำ แต่ต้องยอมรับว่า “ทีวี” ยังเป็นแพลตฟอร์มหนึ่งที่จะสามารถกระจายในแง่ของคนดูได้ แต่ในแง่ของ “เม็ดเงิน” สู้โซเชียลไม่ได้ ซึ่งเวลานี้ทำรายได้สูงมาก

ที่มา : mgronline.com/entertainment/detail/9610000001457

]]>
1152878