ภาพรวมตลาดเครื่องดื่มรวมในช่วงครึ่งปีแรก ติดลบ 7% หนักที่สุดในช่วงไตรมาส 2 (ตั้งเเต่เดือนมี.ค.) เนื่องจากช่องทางการจัดจำหน่ายที่สำคัญอย่าง ร้านอาหาร ภัตราคาร ธุรกิจฟาสต์ฟู้ด มีสัดส่วนเป็น 18-20% ของช่องทางจำหน่ายทั้งหมดต้องหยุดให้บริการในช่วงล็อกดาวน์ขณะเดียวกันผู้คนก็ออกจากบ้านน้อยลงเเละหลีกเลี่ยงการสังสรรค์
ในปัจจุบัน “ตลาดเครื่องดื่มรวม” (Liquid Refreshing Beverage : LRB) ของประเทศไทย ในปี 2562 มีมูลค่าประมาณ 1.55 เเสนล้านบาท เเบ่งสัดส่วนตลาดเป็น
สมชัย เกตุชัยโกศล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด บริษัท ซันโทรี่ เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ปีนี้เป็นปีที่ท้าทายของตลาดเครื่องดื่ม เมื่อเทียบกับในสถานการณ์ปกติที่ปีที่ผ่านมา มีอัตราการเติบโต 9% โดยคาดว่าเครื่องดื่มทุกประเภทจะติดลบเหมือนกันหมดในปีนี้
โดยสถานการณ์ COVID-19 ทำให้การเติบโตในช่วงครึ่งปีเเรก 2563 ของตลาดเครื่องดื่มโดยรวมติดลบ 7% ตลาดน้ำอัดลม ติดลบ 2.5% ตลาดน้ำดื่มบรรจุขวด ติดลบ 12% ตลาดกาแฟพร้อมดื่ม ติดลบ 7% ตลาดชาพร้อมดื่ม ติดลบ 13% ตลาดเครื่องดื่มชูกำลัง ติดลบ 6% เเละสปอร์ตดริ้งก์ ติดลบ 13%
เมื่อเจาะลึกไปยังกลุ่ม “น้ำอัดลม” พบว่ามีมูลค่าตลาดในปี 2019 อยู่ที่ 5.6 หมื่นล้านบาท (ปี 2018 อยู่ที่ราว 50.9 หมื่นล้านบาท) มีการเเข่งขันกันอย่างดุเดือด โดยเฉพาะ 3 เจ้าใหญ่อย่างโค้ก เป๊ปซี่ เเละเอส
ขณะที่ส่วนแบ่งของตลาดน้ำอัดลมไทยแยกตามประเภท ได้แก่ น้ำอัดลมสีดำ 71% น้ำอัดลมสี 23% และน้ำอัดลมไม่มีสี 6%
เป็นที่น่าสนใจว่า “ตลาดน้ำอัดลมสี” เติบโตขึ้น 10% ในช่วงที่ผ่านมา หลังเป๊ปซี่ปรับโฉม “มิรินด้า” ตีตลาดคนรุ่นใหม่ ด้วยการออก “มิรินด้ากลิ่นกรีนครีม” ออกมาในช่วงต้นปีนี้ มียอดขายเติบโตกว่า 15%
นี่จึงเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ “เป๊ปซี่” หันมารุกตลาดน้ำสีอย่างหนักในช่วงครึ่งปีหลังนี้ ตอบรับเศรษฐกิจที่ค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้น
“ที่ผ่านมาเราทุ่มให้กับตลาดน้ำดำมาโดยตลอด ถึงตอนนี้เเบรนด์เเข็งแกร่งเเล้ว จึงถึงเวลาที่จะมาบุกตลาดน้ำสีอย่างเต็มที่” ผู้บริหารซันโทรี่ เป๊ปซี่โคกล่าว
ล่าสุดได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ของมิรินด้า ประเดิมครึ่งปีหลัง ด้วยกลิ่นมิกซ์เบอร์รี่และแตงโม ชูจุดเด่นเป็นเครื่องดื่มน้ำอัดลมที่ผสาน 2 กลิ่นผลไม้ในขวดเดียว โดยรสชาติใหม่จะมีช่วงระยะห่างกันประมาณ 6-8 เดือนจนกว่าจะมีรสชาติที่ใหม่กว่าออกมาจำหน่าย
โดยการปรับภาพลักษณ์ครั้งใหญ่ของ “มิรินด้า” ในปีนี้ วางงบการตลาดไว้ที่ 200 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึงเท่าตัว จากเมื่อปีที่ผ่านมาใช้ราว 100 ล้านบาท เพื่อชิงขึ้นเป็น “เบอร์ 2” ในตลาดน้ำสี เเทนที่เอส ซึ่งขณะนี้มีส่วนแบ่งในตลาดห่างกันเเค่ 2.5%
“ในงบการตลาด 200 ล้านบาทนี้ จะใช้ในสื่อดิจิทัลถึง 60% เพื่อเข้าถึงคนรุ่นใหม่ Gen Z อย่างทั่วถึง”
อย่างไรก็ตาม การที่มิรินด้าเปิดตัวในไทยมานานตั้งเเต่ปี 2520 หรือกว่า 43 ปีที่เเล้ว เเละเริ่มมีการปรับโฉมในปี 2560 การที่จะเปลี่ยนเเบบทันทีทันใด…ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก
“เราต้องทำเเบบค่อยเป็นค่อยไป เป็นเรื่องของงบประมาณด้วย เพราะถ้าเปลี่ยนครั้งเดียวต้องใช้เงินเยอะ เเต่ถ้าค่อยๆ เปลี่ยนใช้งบน้อยกว่า เเละคนจดจำได้มากกว่า”
การที่จะครองใจกลุ่มคนรุ่นใหม่ Gen Z ที่มีอายุตั้งเเต่ 15-24 ปี เเละชื่นชอบการดื่มน้ำอัดลม “มากกว่าวัยอื่นๆ” มิรินด้าก็ต้องปรับตัวให้ “เด็กลง” ไปด้วย โดยจะชูมีลักษณ์ใหม่ของแบรนด์ที่สนุก สดใสมากยิ่งขึ้น
เพื่อให้เข้ากับจุดเด่นของ Gen Z ที่ชอบความหลากหลาย เปิดรับความแปลกใหม่ท้าทาย ไม่จำเจและสนุกกับการใช้ชีวิต รวมถึงการเเสดงตัวตนในโลกดิจิทัล
จากข้อมูลของ GroupM ระบุว่า ในปี 2019 วัยรุ่นไทยใช้สมาร์ทโฟนเพื่อเเชทถึง 87.7% ตามมาด้วยการอัพโหลดเเละเเชร์รูปภาพ 80.7% ดูทีวีเเละวิดีโอ 69.3% เสิร์ชหาข้อมูล 65.4% เเละเล่นเกม 64.8%
“มีการใช้โซเชียลมีเดียเฉลี่ย 3 ชั่วโมงต่อวัน เเละใช้เวลาดูวิดีโอราว 2 ชั่วโมงต่อวัน”
ดังนั้นแคมเปญการตลาดของมิรินด้าในปีนี้ จึงมาด้วยคอนเซ็ปต์ “Mirinda Mix Up Your World มิรินด้าสนุกทุกสี ซ่าไม่มีซ้ำ” ที่เจาะลึกถึงไลฟ์สไตล์และความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย ผ่านกิจกรรมหลากหลายรูปแบบ โดยเฉพาะ TikTok ที่มิรินด้าจับมือเป็นพันธมิตร
เมื่อจะจับตลาดวัยรุ่น ก็ต้องใช้พรีเซ็นเตอร์วัยรุ่น โดยเมื่อปี 2017 มิรินด้าเปิดตัวไอดอลเกิร์ลกรุ๊ปวง BNK48 เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ครั้งแรกของ “มิรินด้า มิกซ์-อิท” ส่วนในปีนี้จะมีการใช้พรีเซ็นเตอร์อีกหรือไม่นั้น ผู้บริหารซันโทรี่ เป๊ปซี่โค ตอบว่า “ปีนี้สถานการณ์เพราะยังไม่เเน่นอน เเต่ถ้าในอนาคตมิรินด้าจะมีพรีเซ็นเตอร์อีกครั้ง ก็จะยังคงมองหาในวงการเพลง”
ขณะที่การเป็นสปอนเซอร์ให้กับคอนเสิร์ตเเละเทศกาลดนตรีต่างๆ ซึ่งได้รับผลกระทบจากการระบาดของ COVID-19 ทางเป๊ปซี่บอกว่า “ต้องระงับไว้ก่อน” เเละจะกลับมาอีกครั้งเมื่อทำได้
การกลับมารุกหนักใน “ตลาดน้ำสี” ของมิรินด้าครั้งนี้ น่าจะกระตุ้นการเเข่งขันในตลาดเครื่องดื่มได้ไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง “ครึ่งปีหลัง” ที่หลายเเบรนด์เริ่มกลับมาทุ่มงบการตลาดอีกครั้ง ขณะเดียวกันการที่จะครองใจชาว Gen Z ดูเหมือนจะเข้าถึงง่าย เเต่ก็ “ไม่ง่าย” นัก เมื่อการทดลองสิ่งใหม่อยู่เสมอคือจุดเด่นของคนวัยนี้ เเละคู่เเข่งอย่าง “เอส” คงไม่ยอมปล่อยตำเเหน่งเบอร์ 2 ง่ายๆ ต้องรอดูว่าจะมีกลยุทธ์อะไรมางัดข้อกันบ้าง
]]>
เเม้เศรษฐกิจซบเซา เเต่ด้วยอากาศที่ร้อนระอุในปีนี้ก็ส่งผลให้ปริมาณการดื่มน้ำมากขึ้นตามไปด้วย โดยเฉพาะกลุ่ม “น้ำอัดลม” ที่มีสัดส่วนยอดขายในช่วงซัมเมอร์คิดเป็นกว่า 40% ของทั้งปีเลยทีเดียว
เหล่าผู้ผลิตน้ำอัดลมที่ทำตลาดในไทยเติบโตกันถ้วนหน้าทั้ง 3 เจ้าใหญ่อย่างเป๊ปซี่ โค้กเเละเอส ซึ่งมีมูลค่าตลาดรวมอยู่ที่ 56,000 ล้านบาท ในปี 2019 เพิ่มขึ้นเกือบ 12% จากที่ปีก่อนหน้าอยู่ที่ราว 50,900 ล้านบาท โดยส่วนแบ่งของตลาดน้ำอัดลมไทยแยกตามประเภท ได้แก่ น้ำอัดลมสีดำ 71% น้ำอัดลมสี 23% และน้ำอัดลมไม่มีสี 6%
ทั้งนี้ ข้อมูลจาก Nielson ระบุว่า ส่วนเเบ่งการตลาดน้ำอัดลมทั้งหมดในไทยของปี 2019 “โค้ก” ยังคงอยู่อันดับ 1 ที่ 35.7% ตามมาด้วยเป๊ปซี่ อยู่ที่ 25.4 % เเฟนต้าที่ 15.6% ส่วนเฉพาะประเภทไม่คืนขวด (PET, กระป๋อง) นั้นเป๊ปซี่ครองตลาดที่ 45%
ในแต่ละปีเราจะได้เห็นการ “งัดหมัดเด็ด” ชองเเบรนด์น้ำอัดลมต่างๆ มากระตุ้นยอดขายเเละก็จะมีการเเคมเปญมาประชันในเวลาใกล้เคียงกันกัน โดย “โค้ก” ยังคงมั่นใจในกลยุทธ์การเล่นในเชิงอีโมชันนอล นำแคมเปญเก่ามาใช้อีกครั้ง ซึ่งปีนี้เน้นให้เข้ากับยุค “ดิจิทัล” มากขึ้น โดยจะมีชื่อเล่นยอดฮิตและข้อความบอกความรู้สึกกว่า 400 แบบ หลากหลายมากเมื่อเทียบกับครั้งก่อนๆ
ขณะที่ “เป๊ปซี่” เน้นอัดยาเเรงจัดชิงโชคใต้ฝาครั้งใหญ่ ปรับโฉมใหม่มิรินด้าเเละฟื้นคืนชีพเซเว่น อัพ โดยจะทุ่มงบการตลาดกว่า 400 ล้าน (เพิ่มขึ้นจากปีที่เเล้วที่ใช้ราว 250 ล้านบาท)
ด้าน “เอส” ประกาศทุ่มงบกว่า 80 ล้านบาท เปิดตัวแคมเปญใหม่ “เอส โคล่า พระเอกของมื้ออร่อย” คว้า “เจมส์ จิรายุ” นักเเสดงหนุ่มชื่อดังมาร่วมโปรโมต พร้อมจับตลาดผู้บริโภครุ่นใหม่และกลุ่มคนรักสุขภาพด้วย “เอส เพลย์ ฮันนี่เลมอน”
เมื่อพูดถึงเเคมเปญ Share a Coke นับว่าเป็นเเคมเปญ “คู่บุญ” ของโค้กเลยทีเดียว เพราะมีการเริ่มต้นใช้มาตั้งเเต่ปี 2013 เเละมีการใช้ต่อเนื่องไปอีกถึง 5 ปี ก่อนจะถูกนำมากระตุ้นยอดขายอีกครั้งในปีนี้ โดยเป็นการเดินเกมการตลาดเชิงอีโมชันนอล เน้นเข้าถึงความรู้สีกของผู้บริโภค ซึ่งจะเป็นการนำชื่อเล่นเเละคำยอดฮิต มาพิมพ์ลงแพ็กเกจจิ้ง ได้รับความสนใจอย่างมากด้วยการเเชร์ให้กันทั้งออฟไลน์เเละออนไลน์
ปีนี้โคคา-โคล่าส่ง Share a Coke มากับสโลเเกน “ร้อนนี้ ส่งโค้กให้…” ด้วยชื่อเล่นยอดฮิตและข้อความบอกความรู้สึกโดนใจ “กว่า 400 แบบ” ถือว่าหลากหลายขึ้นเมื่อเทียบกับครั้งก่อน
มัณฑนา หล่อไกรเลิศ ผู้อำนวยการการตลาด บริษัท โคคา-โคล่า (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่าเพื่อสานต่อความสำเร็จในฐานะผู้นำตลาดน้ำอัดลม ปีนี้จึงได้นำแคมเปญระดับโลกที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของ “โค้ก” มาเสิร์ฟกลุ่มเป้าหมายชาวไทยอีกครั้ง โดยชวนผู้บริโภคชาวไทยส่งผลิตภัณฑ์โค้กสานความสัมพันธ์ทั้งในหมู่เพื่อน ครอบครัว และคนรักตลอดหน้าร้อน ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์ของโคล่ามีสัดส่วนมากที่สุด ด้วยอัตราการเติบโต12.9% ในปีที่ผ่านมา
“เราจะเน้นประสบการณ์ใหม่ๆ ให้ผู้บริโภคได้สร้างสรรค์กระป๋องโค้ก เพื่อส่งต่อความรู้สึกในแบบของตัวเองหรือมีความ Personalize ได้มากยิ่งขึ้น”
ยุคดิจิทัลมีอิทธิพลต่อไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคแคมเปญนี้จึงถูกออกแบบให้เข้ากับ “ดิจิทัล” มากขึ้น ด้วยกิจกรรมการตลาด เช่น การฉลอง Share A Coke Day เน้นการใช้เทคโนโลยีช่วยสร้างประสบการณ์ทำให้ผู้บริโภค
คนรุ่นใหม่ลองส่งโค้กให้กันผ่านวิดีโอ โดยโค้กส่งเพลง #ชื่อเราอยู่ไหน ผลงานของศิลปินฮิปฮอปอย่าง UrboyTJ ประกอบภาพยนตร์โฆษณา
นอกจากนี้ ยังร่วมมือกับแพลตฟอร์ม Tiktok จัด #ShareACokeChallenge ในวัน Share A Coke Day เมื่อวันที่ 14 มีนาคมที่ผ่านมา พร้อมด้วยการสื่อสารผ่านสื่อนอกบ้าน OOH ใจกลางกรุงเทพฯ และกิจกรรม Light and Sound Show ทุกวัน ที่ centralworld Connect เเละเปิดให้สั่งซื้อเซ็ต e-commerce limited edition ที่มาพร้อมเครื่องดื่มโค้กจำนวน 3 กระป๋อง ในชื่อและข้อความแบบของคุณได้ ในเคสรูปตู้เย็นโค้กสไตล์เรโทรตามช่องทางอีคอมเมิร์ซต่างๆ ตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคม เป็นต้นไป
ในปีผ่านๆ มา ซันโทรี่ เป๊ปซี่โคมีการจัดเเคมเปญชิงโชคอยู่บ้าง เเต่ปีนี้นับว่ามีมูลค่ารางวัลรวมสูงที่สุดกว่า 40 ล้าน กับ “เป๊ปซี่ ซัมเมอร์ซ่า” ตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ. – 24 เม.ย. 2020 โดยการส่งรหัสใต้ฝาหรือรหัสที่หูกระป๋องของเป๊ปซี่
มิรินด้า และเซเว่น-อัพ ขนาดใดก็ได้เข้าร่วมชิงรางวัล พร้อมนำ “เดอะทอยส์” นักร้องดังมาเป็นพรีเซ็นเตอร์
การทุ่มงบการตลาดกว่า 400 ล้านของเป๊ปซี่โคครั้งนี้ เป็นการรุกตลาดเพื่อสร้างสีสันกระตุ้นตลาดเครื่องดื่มในช่วงหน้าร้อนให้กลับมาคึกคัก รวมถึงปั้นยอดขายสินค้าที่จะออกมาใหม่อย่าง “มิรินด้า-เซเว่นอัพ” นั่นเอง เพื่อเอา “น้ำสีเเละน้ำใส” มาช่วยเสริมความเเกร่งของ “น้ำดำ” ที่เป็นตัวหลักอย่างเป๊ปซี่
ทั้งนี้ ในปี 2019 เป๊ปซี่โคเติบโตได้กว่า 15.5% นับว่าโตมากที่สุดในตลาดน้ำอัดลม โดยในส่วนเป๊ปซี่เติบโตราว 16% ตามมาด้วยมิรินด้า เติบโต 8% เเละเซเว่น-อัพ เติบโต 5 %
โดยช่วงกลางปีนี้เราจะได้เห็นมิรินด้าในภาพลักษณ์ใหม่ตามตลาดโลกที่ดูเด็กลงมาก มีความเป็นวัยรุ่นที่ดูสดใสมากขึ้น เพื่อเอาใจชาว Gen Z เเละจะขยายฐานลูกค้าด้วยสินค้าใหม่ “มิรินด้า กลิ่นกรีนครีม” เพราะเห็นว่าตลาดน้ำสี โดยเฉพาะ “น้ำเขียว” มีโอกาสเติบโตได้สูง
อ่านเพิ่มเติม : “เป๊ปซี่” เปิดศึก “หวยน้ำดำ” อัดยาเเรง “ชิงโชค” ใหญ่ คืนชีพเซเว่นอัพ
ด้านเซเว่น-อัพ เเม้จะมีวางขายอยู่ตลอด เเต่ก็ค่อนข้างเงียบเหงาไร้กิจกรรมทางการตลาด เมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่างสไปรท์ ปีนี้ถึงเวลาเป๊บซี่โคจะฟื้นคืนชีพให้เซเว่น-อัพ
โดยก่อนหน้านี้มีการทำวิจัยผู้บริโภค พบว่าพวกเขาชื่นชอบน้ำอัดลมน้ำใสเพราะรู้สึกมีความเป็นธรรมชาติและดูมีสุขภาพ จึงทำให้บริษัทอยากที่จะยกระดับ เซเว่น-อัพให้กลายเป็นเครื่องดื่มเพื่อคนรักสุขภาพ จึงต่อยอดออกสินค้าใหม่ “เซเว่น-อัพ ฟรี” ไม่มีน้ำตาล ไม่เจือสี ไม่กาเฟอีน ซึ่งจะเป็นการ “ลองตลาด” ทั่วโลก
โดยได้นำ “ไฟโด ดิโด” (Fido Dido) ตัวการ์ตูนที่เคยเป็นมาสคอตของเเบรนด์ เซเว่น-อัพ ในยุค 80-90 มาสร้างสีสันบนแพ็กเกจจิ้งใหม่ให้เเฟนๆ ได้เก็บสะสมกันซึ่งก็ได้รับผลตอบรับที่ดี
ขณะเดียวกันกิจกรรมการตลาดใหญ่อีกอย่างที่ทำมาทุกปีของเป๊ปซี่ นั่นคือการเป็นสปอนเซอร์ “จัดเทศกาลดนตรี” โดยเฉพาะในช่วงสงกรานต์ที่มีเคยวางเเผนว่าจะจัดงานใหญ่ใน 4 แลนด์มาร์คสำคัญ เเต่เมื่อต้องเจอการเเพร่ระบาดของไวรัส Covid-19 ที่นักท่องเที่ยวจะลดลงมากเเละมีความเสี่ยงจากการชุมนุมนั้น ล่าสุดงานคอนเสิร์ตใหญ่อย่าง S2O Songkran Music Festival ที่เป๊ปซี่สนับสนุนมาเป็นปีที่ 6 ก็เพิ่งประกาศ “เลื่อนไปจัดปีหน้า” เป็นที่เรียบร้อยเเล้ว
ด้าน “เอส” พยายามทำการตลาดฉีกออกจากสองเเบรนด์ใหญ่ โดยยังคงยึดกลยุทธ์การใช้ “พรีเซ็นเตอร์” กระตุ้นยอดขายอย่างเหนียวเเน่น หลังเคยนำ GOT7 บอยแบนด์สุดฮอตจากเกาหลีมาเอาใจกลุ่มคนรุ่นใหม่ ซึ่งได้รับเสียงตอบรับล้นหลาม
ล่าสุดในปีนี้ ประกาศจะทุ่มงบกว่า 80 ล้านบาท เพื่อกระตุ้นการบริโภคบรรจุภัณฑ์เเบบ “ขวดแก้ว” ด้วยแคมเปญ “เอส โคล่า พระเอกของมื้ออร่อย” ดึงนักเเสดงหนุ่ม “เจมส์ จิรายุ” มาเสริมทัพกับแก๊งพระเอกคนดังอย่างบอย ปกรณ์ , เกรท วรินทรและอาเล็ก ธีรเดช เพื่อต่อยอดแคมเปญที่สร้างโอกาสการดื่ม “เอส โคล่า” คู่ทุกมื้ออาหาร
โดยส่วนเเบ่งตลาดน้ำอัดลมของเอสตอนนี้อยู่ที่ 10.3% ขณะที่ช่องทางร้านอาหารที่มี เอส ขวดแก้ว บรรจุภัณฑ์รักษ์โลกที่ช่วยลดการใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกเป็น “ตัวขับเคลื่อนหลัก” ของเเบรนด์มีส่วนแบ่งทางการตลาดที่ 24.2% ด้วยการเติบโตสูงกว่า 17.8% ในช่วงที่มีแคมเปญ (ม.ค. – พ.ค. 62) สูงกว่าการเติบโตของตลาด
สำหรับปีนี้ เอสยังรุกตลาดหนัก ด้วยการออกรสชาติใหม่ เจาะกลุ่มผู้บริโภครุ่นใหม่และกลุ่มคนรักสุขภาพ ด้วย “เอส เพลย์ ฮันนี่เลมอน” ที่มาพร้อมกับเครื่องหมาย “เครื่องดื่มทางเลือกสุขภาพ” จากมูลนิธิส่งเสริมโภชนาการ มากระตุ้นยอดขายต่อเนื่องในช่วงหน้าร้อน
น่าจับตามองว่า ด้วยสถานการณ์การระบาดหนักของไวรัส Covid-19 ที่ส่งผลกระทบทั่วโลกนั้นได้เกี่ยวเนื่องกับเเผนการตลาดของเหล่าบิ๊กน้ำอัดลม ไม่ว่าจะเป็นการจัดคอนเสิร์ตที่ต้องยกเลิก ร้านอาหารทั้งหลายต้องงดให้บริการทานที่ร้าน ซึ่งต้องมีส่งผลทบต่อน้ำอัดลมเเบบ “ขวดเเก้ว” อย่างเเน่นอน รวมไปถึงเเคมเปญการจัดอีเวนต์พบปะผู้บริโภคต่างๆ ที่ต้องหยุดชะงักลง…ต้องติดตามว่าใน “ศึกน้ำอัดลม” ปีนี้
เเบรนด์ต่างๆ จะงัดกลยุทธ์อะไรมาเเก้เกมต่อไปอีกบ้าง
โคคา-โคลา หรือโค้ก ที่ได้ทุ่มงบ 400 ล้านบาท จัดเทศกาลอาหารสตรีทฟู้ด ‘อร่อยซ่าด้วยกันกับโค้ก’ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการรับรู้และได้มีประสบการณ์ความอร่อยควบคู่ไปกับเครื่องดื่มโค้ก
คลาวเดีย นาวาร์โร ผู้อำนวยการการตลาด บริษัทโคคา-โคลา (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “งาน‘ อร่อยซ่าด้วยกันกับโค้ก’ จัดขึ้นเพื่อชูเรื่องความอร่อยซ่าของเครื่องดื่มโค้กที่เข้ากันได้กับอาหารทุกรูปแบบ โดยสร้างการรับรู้ และให้ผู้บริโภคได้รับประสบการณ์ ผ่านอีเวนต์เทศกาลอาหาร “อร่อยซ่าด้วยกันกับโค้ก” ระหว่างวันที่ 29 -30 กรกฎาคม และ5-6 สิงหาคม ในหาดใหญ่ และโคราช โดยร่วมกับร้านอาหารไทย สไตล์สตรีทฟู้ด 100 ร้านดังในไทย ที่ชื่นชอบร้านอาหารริมทางของคนไทย และเป็นรูปแบบการรับประทานอาหารของคนไทย ที่ไม่ว่าจะเดินทางไปที่ไหนก็มีอาหารอร่อยๆ ให้เลือกรับประทานทุกที่ทุกเวลา ในหลากหลายรูปแบบ ทั้งร้านอาหารหาบเร่หรือจะเป็นรูปแบบรถเข็นที่มีคนจากหลากหลายที่มาใช้เวลาดีๆ ร่วมกัน
ในประเทศไทยมีมูลค่าตลาดเครื่องดื่มน้ำอัดลมอยู่ที่ประมาณ 51,500 ล้านบาท กลุ่มธุรกิจโคคา-โคลายังมียอดขายเป็นอันดับหนึ่งด้วยส่วนแบ่งรวม 51% (ข้อมูลจากการวิจัยของบริษัท เดอะนีลเส็น คอมปะนี ประเทศไทยจำกัด) โค้กเล็งเห็นโอกาสและศักยภาพในการเติบโตจึงได้ทุ่มงบกว่า 400 ล้านบาท จัดแคมเปญในครั้งนี้
นอกจากการจัดกิจกรรมในพื้นที่เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคแล้ว โค้กยังประชาสัมพันธ์และโฆษณาโดยใช้สื่อโฆษณาออนไลน์ผ่านรายการไลฟ์สไตล์ที่เผยแพร่ทางเว็บไซต์และโซเชี่ยลมีเดียต่างๆ เพื่อดึงดูดผู้บริโภคให้หันมาให้ความสนใจและสนุกกับกิจกรรมการรับประทานอาหารมากยิ่งขึ้น
ในขณะที่ฝั่งของ “เป็ปซี่” ก็ได้ส่งแคมเปญชิงโชค รหัสใต้ฝา “เป๊ปซี่ชวนซ่าล่ารถในฝัน” แจกสนั่น 60 วัน 6,000 รางวัล ออกมาเขย่าบัลลังก์ตลาดน้ำอัดลมด้วยเช่นกัน
สมชัย เกตุชัยโกศล ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด กลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มบริษัทเป๊ปซี่-โคล่า (ไทย) เทรดดิ้งจำกัด กล่าวว่า“สำหรับในไตรมาสสามของปีนี้เป๊ปซี่ในฐานะผู้นำตลาดน้ำดำอันดับหนึ่งในบรรจุภัณฑ์แบบไม่ต้องคืนขวด กลับมาสร้างสีสันและกระตุ้นตลาดเครื่องดื่มอีกครั้งด้วยการเปิดตัวโปรโมชั่นแคมเปญ ‘เป๊ปซี่ชวนซ่าล่ารถในฝัน’ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในวงการ FMCG ที่ให้ผู้บริโภคได้มีสิทธิ์ลุ้นรถ BMW 118i M Sport มูลค่า 1.999 ล้านบาท จำนวน 8 รางวัล และ Honda ZOOMER-X มูลค่า 55,700 บาทจำนวนถึง 300 รางวัล รวมทั้งบัตรเติมน้ำมันจาก ปตท. มูลค่า 1,000 บาทจำนวน 5,700 รางวัล รวมทั้งหมดกว่า 6,000 รางวัล มีมูลค่ารวม 38.4 ล้านบาท
เป๊ปซี่ ใช้งบการตลาด 200 ล้านบาทเพื่อสร้างการรับรู้ให้กับตัวแคมเปญผ่านสื่อและกิจกรรมการตลาดแบบครบวงจร เช่น ภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ที่นำแสดงโดย ‘เจมส์ มาร์’ และสื่อสนับสนุนต่างๆ ทั้งสื่อโฆษณากลางแจ้ง สื่อบนรถประจำทาง สื่อในโรงภาพยนตร์ สื่อดิจิทัล และกิจกรรมออนไลน์ รวมถึงสื่อในร้านค้าและ ณ จุดขาย
ในขณะเดียวกัน เป๊ปซี่ กระตุ้นยอดขายผ่านร้านค้าคู่ขนานกันไป ด้วยการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายผ่านกลุ่มร้านค้า เช่น กิจกรรม ‘ซ่าลุ้นโชคกับเป๊ปซี่’ สำหรับร้านค้าปลีกและร้านอาหาร เพื่อชิงรางวัลรถกระบะ Toyota Revo รถจักรยานยนต์ และอื่นๆ รวม 600 รางวัล และโปรโมชั่นร่วมกับห้างแม็คโครให้ลุ้นรางวัลสร้อยคอทองคำจำนวน 60 รางวัล เมื่อซื้อผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มในเครือเป๊ปซี่ครบ 750 บาท เป็นต้น ซึ่งเป็นกลยุทธ์ผสม (Push and Pull Strategy) เพื่อกระตุ้นตลาดในช่วงหน้าฝนด้วย
]]>