ศึกโซดา – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Wed, 21 Dec 2016 10:21:57 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ศึกโซดาลดความซ่า “ลีโอ-ร็อค เมาเท็น” เขย่าตลาด 1.5 หมื่นล้าน https://positioningmag.com/1111608 Wed, 21 Dec 2016 23:55:20 +0000 http://positioningmag.com/?p=1111608 สองค่ายน้ำเมา เปิดศึก “โซดาลดความซ่า” ขยายเซ็กเมนต์ใหม่ในตลาดโซดา ค่ายสิงห์ส่ง “โซดาลีโอ” ไฟติ้งแบรนด์ออกสู่ตลาด เพื่อรับมือ “ร็อค เมาเท็น” แบรนด์โซดาปั้นใหม่จาก “ค่ายช้าง” เขย่าพอร์ตโซดา 15,000 ล้านบาท วางเป้า5 ปี แชร์ตลาด 30%

ถึงแม้จะเป็นตลาดใหม่ “โซดาลดความซ่า” แต่ทั้งสองค่ายคู่แข่งอย่างค่ายช้างและสิงห์ ก็ไม่ได้ลดดีกรีความเข้มข้นในการแข่งขันลงแม้แต่น้อย เมื่อทั้งสองค่ายช้างและสิงห์ต่างได้ซุ่มออกโซดาตัวใหม่พร้อมๆ กัน แถมยังเป็นการขยายสู่เซ็กเมนต์ใหม่ “โซดาลดความซ่า” ที่ทั้งคู่มองว่ายังเป็นช่องว่างอยู่ โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ และยังเป็นการขยายตลาดโซดาที่ไม่เติบโต

ที่ผ่านมาตลาดโซดาติดลบ 7% มีมูลค่า 15,000 ล้านบาท เช่นเดียวกับตลาดเหล้าสีที่มีการติดลบ 7% เช่นกัน เพราะเป็นสินค้าที่เกื้อกูลกันอยู่แล้ว ซึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตลาดติดลบเพราะด้วยเศรษฐกิจที่ไม่ค่อยดี ทำให้หลายคนหันไปดื่มเหล้าขาวแทนเหล้าสี ประกอบกับตลาดเบียร์มีการทำตลาดกันคึกคัก ดึงให้ผู้บริโภคหันไปดื่มเบียร์ด้วยเช่นกัน

การทำตลาดโซดาครั้งใหม่นี้ ทั้งสองแบรนด์ได้เลือกการปล่อยสินค้าใหม่ในช่วงใกล้เทศกาลปีใหม่ เป็นช่วงเวลาสำคัญของตลาดที่หลายคนจะเฉลิมฉลอง คาดว่าจะกระตุ้นให้ตลาดโซดากลับมาคึกคักได้อีกครั้ง

ปั้น โซดา “ลีโอ” จับกลุ่มคนรุ่นใหม่

ต้องนับว่าเป็นการขยับตัวครั้งยิ่งใหญ่ในรอบ 18 ปี ของแบรนด์ “ลีโอ” ด้วยการเปิดตัว “โซดาลีโอ” เจาะกลุ่มเป้าหมายที่ชื่นชอบเครื่องดื่มผสมโซดาน้ำ โดยดึง “ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์” เป็นพรีเซ็นเตอร์ ตั้งเป้ามาร์เก็ตแชร์ปีแรก 5%

1_soda_war_new

การส่งโซดาลีโอลงสู่ตลาดในครั้งนี้ ถือว่าเป็นการเติมพอร์ตสินค้าของลีโอให้มีความหลากหลายมากขึ้น โดยมองโอกาสจากผลการวิจัยพฤติกรรมผู้บริโภคพบว่า มากกว่า 36% ชื่นชอบการดื่มเครื่องดื่มแบบโซดาผสมน้ำ เป็นอันดับสองรองลงมาจากการดื่มเครื่องดื่มผสมโซดาเพียงอย่างเดียว

ภูริต  ภิรมย์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บุญรอดเทรดดิ้ง จำกัด กล่าวว่า ที่ผ่านมาแบรนด์ลีโอได้รับความนิยมในตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือเบียร์อยู่แล้ว จึงใช้โอกาสนี้แตกไลน์สินค้าใหม่ครั้งใหญ่บุกตลาดเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ เปิดตัวโซดาลีโอเข้าทำตลาดโซดาเป็นครั้งแรกในรอบ18ปี

โดยใช้จุดแข็งในความแข็งแกร่งของแบรนด์ลีโอ ซึ่งเป็นที่รู้จักกับผู้บริโภคในวงกว้าง ด้วยการวางคาแร็กเตอร์ของแบรนด์ที่สื่อถึงความสนุกสนาน วางตำแหน่งแบรนด์และสินค้าให้มีความเป็นวัยรุ่น ทันสมัย มีความซ่า สนุกสนาน และซ่อนความทะเล้นขี้เล่นเอาไว้ เพื่อตอบโจทย์และเจาะกลุ่มเป้าหมายวัยรุ่นหนุ่มสาวอายุ 20 ปีขึ้นไป ที่มีไลฟ์สไตล์รักสนุกสนาน มีชีวิตชีวา มีเสน่ห์ และชอบเข้าสังคม

พร้อมกับดึง “ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์” เป็นพรีเซ็นเตอร์คนแรกของแบรนด์ เพื่อสร้างการจดจำแก่ผู้บริโภค เพราะมีบุคลิกหรือคาแร็กเตอร์ขี้เล่น มาดกวน ตรงกับแบรนด์โซดาลีโอ ซึ่งจะช่วยให้แบรนด์เข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ยังใช้เครื่องมือในการทำตลาดแบบครบวงจร ทั้งโฆษณาประชาสัมพันธ์ (Above the line) ทั้งสื่อสิ่งพิมพ์และสื่อออนไลน์ ตลอดจนการจัดกิจกรรมการตลาด ณ จุดขาย และอีเวนต์ต่างๆ เป็นต้น (Below the line) การทำ Brand Action การโรดโชว์ไปทั่วประเทศ โดยทั้ง 2 แนวทางจะทำให้เข้าถึงผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายในวงกว้าง

โดยโซดาลีโอได้ตั้งเป้าส่วนแบ่งการตลาดในปีแรกที่ 5% จากปัจจุบันตลาดโซดามีมูลค่าประมาณ 15,000ล้านบาท ซึ่งโซดาสิงห์ในฐานะแบรนด์พี่ใหญ่ของโซดาลีโอเป็นผู้นำตลาดอยู่ ครองส่วนแบ่งตลาดกว่า90%

อย่างไรก็ตาม การขยายสู่ตลาดโซดาในครั้งนี้ ยังช่วยเรื่องการโปรโมตแบรนด์เบียร์ลีโอทางอ้อม เพราะด้วยข้อจำกัดทางกฎหมายที่ไม่สามารถโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ ดังนั้นค่ายลีโอจึงสามารถโฆษณา และสร้างการรับรู้แบรนด์ลีโอผ่านผลิตภัณฑ์โซดาที่ไม่ติดข้อจำกัดดังกล่าว แล้วยังเป็นการรับมือกับคู่แข่ง ค่ายไทยเบฟฯ ที่ได้ซุ่มออกโซดาภายใต้แบรนด์ใหม่ ในตลาดโซดาลดความซ่าเดียวกันด้วย

ช้างปั้น “ร็อค เมาเท็น” ชิงแชร์ 30% ใน 5 ปี

สำหรับค่ายไทยเบฟเวอเรจนั้น ได้ซุ่มออกโซดาตัวใหม่ เพื่อเปิดเกมรุกในตลาดโซดา ซึ่งเป็นตลาดที่ค่ายไทยเบฟฯ ยังช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดมาได้น้อย แม้ว่าจะพยายามปลุกปั้นโซดาช้างมาตลอดหลายปี ทั้งออกแบบแพ็กเกจ และรสชาติใหม่ แต่ก็สามารถช่วงส่วนแบ่งการตลาดมาได้เพียง 5-10% เท่านั้น ในขณะที่คู่แข่งยังครองส่วนแบ่งตลาดไปกว่า 90%

2_soda_war_new

ทำให้ไทยเบฟฯ ตัดสินใจเลือกที่จะปั้นแบรนด์ใหม่ ร็อค เมา เท็น เพื่อจาะลูกค้าเป้าหมายที่เป็นคนรุ่นใหม่ โดยตั้งชื่อให้สื่อความหมายถึงความสนุกในการดื่ม และสอดคล้องกับจุดยืนของสินค้าที่เป็นโซดาลดความซ่า เพื่อผสมเหล้าโดยเฉพาะ ในขณะที่โซดาช้างจะลดการทำตลาดลง แต่ยังคงวางขายตามช่องทางต่างๆ

word_icon

โซดาไม่ใช่สินค้าที่จะเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคได้ง่ายๆ และด้วยราคาสินค้าขวดละ 9 บาท ไม่คุ้มกับการที่จะมารีแบรนด์ใหม่ การสร้างแบรนด์ใหม่เลยง่ายกว่า สร้างพฤติกรรมใหม่ไปเลย จึงออกมาเป็นแบรนด์ ร็อค เมาเท็น

word_icon2

ประภากร ทองเทพไพโรจน์ กรรมการผู้อำนวยการ กลุ่มธุรกิจสุรา บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) เล่าถึงจุดเริ่มต้นในการปั้นแบรนด์ ร็อค เมาเท็น

ค่ายไทยเบฟฯ ใช้เวลาในพัฒนาสินค้าเป็นเวลาเกือบ 1 ปี โดยอินไซต์ของผู้บริโภคที่พบว่า 90% นิยมบริโภคโซดาคู่กับเหล้า ส่วนอีก 10% นำไปผสมกับน้ำหวาน แต่โดยส่วนใหญ่ที่ผสมกับเหล้ามักจะผสมน้ำเปล่าตามไปด้วย เพราะโซดามีความซ่าเกินไป ต้องเอาน้ำเปล่าไปตัด

โซดา ร็อค เมาเท็น จึงวางจุดยืนไว้ให้โซดามีไว้ผสมกับเหล้า เพราะฉะนั้นเมื่อผสมกับเหล้าแล้วรสชาติจะไม่เปลี่ยน ชงกับเหล้าแล้วอร่อย โดยไม่ต้องผสมน้ำเปล่าเพิ่ม ปรับรสชาติให้ซ่าน้อยลง ไม่ซ่าบาดลิ้น พร้อมกับวางภาพลักษณ์ให้พรีเมียมกว่าโซดาช้าง ทำแพ็กเกจจิ้งให้ทันสมัย จับกลุ่มวัยรุ่นคนรุ่นใหม่มากขึ้น แต่ราคา 9 บาท เท่ากับโซดาช้าง

ค่ายไทยเบฟฯ วางงบการตลาดรวม 250 ล้านบาท ในช่วง 6 เดือน พฤศจิกายน 2559 – เมษายน 2560 ครอบคลุมสื่อโฆษณาโทรทัศน์ สื่อออนไลน์ ทดลองชิม สื่อนอกบ้าน สื่อในร้าน โปรโมชันของพรีเมียม และมีการทำตลาดคู่กับสุราในเครือ

หลังจากนี้ทางค่ายไทยเบฟฯ จะให้น้ำหนักกับร็อค เมาเท็นมากกว่า แต่ก็ยังคงจำหน่ายโซดาช้างอยู่ แต่ไม่ทำตลาดมากนัก มีการจำหน่ายแต่แบบ One Way หรือไม่คืนขวด ขายตามช่องทางโมเดิร์นเทรด หรือร้านสะดวกซื้อ แต่ไม่มีจำหน่ายตามร้านเหล้าที่ขายแบบ Return คืนขวดแล้ว จะนำร็อค เมาเท็นเข้าไปแทน โดยตั้งเป้าที่จะมีส่วนแบ่งการตลาดในตลาดโซดา 20-30% ภายใน 3-5 ปี

ต้องดูว่าระหว่าง ศึก “โซดาลดความซ่า” ระหว่าง “ลีโอ” ไฟติ้งแบรนด์ค่ายบุญรอด ที่ใช้ความแข็งแรงของแบรนด์ลีโอมาช่วยในการทำตลาด และโซดา “ร็อค เมาเท็น” แบรนด์ปั้นใหม่ของค่ายไทยเบฟฯ ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องกลยุทธ์ขายพ่วง ที่รอบนี้ได้เตรียมสรรพกำลัง ทั้งงบการตลาด สร้างการรับรู้ และขยายตลาดโซดา ไปถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ในครั้งนี้ ใครจะเหนือกว่ากัน

info1_soda_wa

]]>
1111608
โซดาช้าง vs โซดาสิงห์ ศึกชิงความซ่า https://positioningmag.com/12515 Sun, 04 Apr 2010 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=12515

หลังรีแบรนด์เบียร์ช้างแบบขนานใหญ่เมื่อปลายปีที่ผ่านมา ประเดิมต้นปี 2553 ก็ถึงเวลาของโซดาช้างที่ออกมาโฆษณาสกัดจุดอ่อนของตัวเอง ด้วยการหยิบยก Consumer Insight เรื่อง “ความซ่า” ซึ่งผู้บริโภคเห็นว่าโซดาช้างไม่ซ่าเมื่อเทียบกับคู่แข่งเจ้าตลาดอย่างโซดาสิงห์

บทสู้รบแบบเดิมๆ กำลังกับมาอีกครั้ง ในอดีตโซดาสิงห์รบรุนแรงด้วย TVC ที่สื่อถึงเนื้อหา “ระวังของจงใจลอกเลียนแบบ” โดยเฉพาะในเรื่องของความซ่า เรื่อยไปจนถึงรูปแบบบรรจุภัณฑ์ตลอดจนสีแดง-ขาวที่โซดาช้างใช้ การต่อกรกันในช่วงนั้นดูรูนแรง ขณะที่ไทยเบฟเคยขายโซดาช้างในราคาขวดละ 1 บาทเท่านั้น

สงครามดูเหมือนจะสิ้นสุดเมื่อโซดาสิงห์ที่ยังคงสร้างแบรนด์อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการตอกย้ำจุดขายในเรื่องความซ่านั้นยังคงรักษาตำแหน่งผู้นำไว้ได้ด้วยส่วนแบ่งการตลาดมากกว่า 90% และทำให้สโลแกน “ทุกหยดซ่า โซดาสิงห์” ติดหูผู้บริโภคมาจนถึงทุกวันนี้

ครั้งนี้โซดาช้างใช้สงครามราคาห้ำหั่นคู่ต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายเช่นเคย

จุดอ่อนถูกหยิบยกมาเป็นประเด็นในการสื่อสารเพื่อให้ผู้บริโภคเกิดการเปลี่ยนความเชื่อและพฤติกรรม “โซดาช้าง ซ่าท้าให้ลอง” ขณะที่สิงห์ยังคงเกาะ Tagline “ทุกหยดซ่า โซดาสิงห์” ไว้อย่างเหนียวแน่น

Key Player ในตลาดนี้ยังน้อยอยู่มีเพียง โซดาสิงห์ โซดาช้าง และโซดาคริสตัล เท่านั้น ซึ่งก่อนหน้านี้มีเพียงโซดาสิงห์แบรนด์เดียวเท่านั้นที่แอคทีฟในตลาดอย่างจริงจัง และครองส่วนแบ่งเกือบ 100% มาอย่างยาวนาน ขณะที่อีก 2 แบรนด์ที่เหลือเพียงแค่แหย่ขาเข้ามาเล่นและเคลื่อนไหวบางครั้งบางคราวเท่านั้น แต่ครั้งนี้ช้างตื่นจากหลับใหลเพื่อชนสิงห์อย่างจริงจังเข้าแล้ว

ฝันของโซดาช้าง

บุษบา ศรีรัตนากร ผู้จัดการฝ่ายการตลาด แผนก Non-Alcohol บริษัท ไทย เบฟเวอเรจ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ให้รายละเอียดกับ POSITIONING ว่า

โซดาช้างหลังรีลอนช์เมื่อปลายปี 2552 และทำการสื่อสารการตลาดอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะหลังจากออกอากาศภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ พบว่ายอดขายเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจน โดยกราฟยอดขายพุ่งชัน 45 องศา

“ทำวิจัยกับผู้บริโภคแล้วพบจุดอ่อน แม้เราจะมีสมมติฐานอยู่แล้วก็ตามในเรื่องที่ว่าผู้บริโภคมีความกังขาในเรื่องความซ่าของโซดาช้าง แต่เราต้องไม่นั่งเทียน เมื่อสมมติฐานถูกต้อง เราก็แปรเปลี่ยนจุดอ่อนในมุมมองของผู้บริโภคหยิบยกมาเป็นจุดขาย และท้าให้ผู้บริโภคเกิดการทดลอง โดยกลุ่มเป้าหมายของโซดาช้างคือนักศึกษาถึงวัยทำงาน โดย 60-70% เป็นเพศชาย

“ความซ่าหรือไม่ซ่าเป็นเรื่องส่วนบุคคลมากกว่า และขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ว่าเปิดฝาขวดแล้วดื่มเลยหรือเปล่า หรือทิ้งไว้นานแค่ไหน เป็นต้น”

สิ่งสำคัญคือทำอย่างไรให้ผู้บริโภคเกิดความเชื่อให้ได้ เราไม่ต้องการขายของครั้งเดียว ดังนั้นเมื่อเขาทดลองแล้วพบว่าโซดาช้างก็ซ่าเหมือนกัน เขาก็กลับมาซื้อซ้ำ กอปรกับราคาที่ดึงดูดใจเขา โดยในช่วงนี้จะออกอากาศภาพยนตร์โฆษณาอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างกระแสรับรู้ต่อไป ขณะที่กิจกรรมสำหรับผู้บริโภคจะเกิดขึ้นหลังจากนี้อีกราว 2 เดือน”

โดยเนื้อหาโฆษณานำเสนอถึงความรู้สึกนึกคิดของผู้บริโภคที่เคยเชื่อว่าโซดาช้างไม่ซ่า แต่จริงๆแล้วซ่า พร้อมกับปิดท้ายด้วยลูกเล่นช้างเต้นระบำเพื่อสื่อถึงความซ่าของผลิตภัณฑ์ และเสียงโฆษกที่ว่า “โซดาช้างก็ซ่า ทีหลังอย่าคิดไปเอง”

สำหรับเป้าหมายด้านส่วนแบ่งการตลาดโซดาช้างรู้ดีว่ายังไม่แข็งแกร่งเท่ากับผู้นำตลาดแต่การวางเป้าหมายเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดจาก 4%เป็นตัวเลข 2 หลักนั้น แสดงให้เห็นว่าโซดาช้าง “เอาจริง” เพียงใด

“เราจะใช้ทุกกลยุทธ์เพื่อแจ้งเกิดให้ได้ ต้องมีที่ยืนในตลาดให้ได้ ตอนนี้เราขอเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งของผู้บริโภค เหมือนไทยรัฐกับเดลินิวส์ ”

ดังนั้นเราจึงเห็นช้างทุ่มตลาดโดยใช้กลยุทธ์ราคาเข้าห้ำหั่นกับคู่แข่ง โดยราคาต่อแพ็กที่เทสโก้ โลตัส เมื่อเทียบกับคู่แข่งแล้วต้องยอมรับว่า ดึงดูดกลุ่มเป้าหมายได้มาก โดยโซดาช้างจำหน่ายในราคา 115 บาทต่อแพ็ก

ขณะที่โซดาสิงห์จำหน่ายในราคา 140 บาทต่อแพ็ก ขณะเดียวกันราคาขายปลีกโซดาช้างอยู่ที่ 6-7 บาทต่อขวด ส่วนโซดาสิงห์อยู่ที่ 7-8 บาทต่อขวด

“เราให้คู่ค้าเขามีความสุขกับกำไรในช่วงนี้ จากนั้นจะมีการพิจารณาปรับโครงสร้างราคาอีกครั้ง “

สำหรับแผนการแจ้งเกิดโซดาช้างในครั้งนี้ใช้สื่อทั้ง Above the line และ Below the line รวมถึงการให้ข้อมูล ณ จุดขายผ่าน Necktag ด้วย

โดยใช้งบการตลาดและงบโฆษณาประชาสัมพันธ์รวมกันในกลุ่ม Non-Alcohol มากกว่า 500 ล้านบาท และเป็นการส่งสัญญาณว่าไทยเบฟพร้อมบุกในตลาดนี้อย่างเต็มตัว ทั้งนี้โซดาช้างจัดเป็นพอร์ตอันดับ 2 ของแผนก Non-Alcohol ของไทยเบฟ

“ที่ผ่านมาไม่เคยใช้งบการตลาดกับแผนกนี้เลย แต่ครั้งนี้เรา Aggressive มาก เพราะเสี่ยสั่งลุย”

โดยมั่นใจว่าในแง่ของ Distribution Channel ของไทยเบฟนั้นแข็งแกร่งไม่เป็นสองรองใคร

อย่า “ซ่า” กับโซดาสิงห์

ในช่วงนี้โซดาสิงห์ยังคงใช้ TVC ชุด Butler เหมือนเดิม โดยใช้มาตั้งแต่ปี 2549 ที่มีเนื้อหานำเสนอถึงความซ่าของโซดาสิงห์ที่ทำให้พนักงานเสิร์ฟถือถาดสั่นไปมา ขณะเดียวกันโซดาสิงห์รับน้องอย่างเบาะๆ ด้วยการสวนกลับทันควัน กับการออกสปอตวิทยุ 2 ชุด ฝีมือของโอกิลวี่ แอนด์ เมเธอร์ แอดเวอร์ไทวิ่ง เพื่อตอกย้ำความเชื่อของผู้บริโภคที่ว่าโซดาช้างไม่ซ่า และยืนยันในจุดแข็งเรื่องของความซ่าของตนเองที่อยู่ในใจผู้บริโภคมานาน ทั้ง 2 ชุดนำธีม TVC ของโซดาช้างมาตีกลับแบบเจ็บแสบ หวังปิดโอกาสเกิดของโซดาช้างโดยตรง

ชุดแรก “ฝัน” เป็นเรื่องราวของชายหนุ่มคนหนึ่งถูกเพื่อนปลุก ขณะที่เขากำลังได้ยินเสียงผู้หญิงหัวเราะอยู่รอบๆ ตัว แต่ก็จำใจต้องตื่นขึ้นมา พร้อมกับบ่นเพื่อนที่ปลุกเขาทั้งๆ ที่เขากำลังซ่าอยู่ แต่เพื่อนก็ตอกกลับว่า ก็เป็นความซ่าแค่ในฝัน หากอยากซ่าจริง ซ่านาน ไม่ใช่แค่ในฝัน ก็เอาโซดาสิงห์ไปดื่ม

ชุดที่ 2 “ลอง” ในวงสนทนากลุ่มเพื่อนนักดื่ม เพื่อนคนหนึ่งเอ่ยปากกับอีกคนว่า “ลองยัง ลองหน่อยมั้ย” แต่ได้รับการปฏิเสธ เพื่อนคนแรกก็ยังดึงดันเอ่ยปากชวนอีกครั้งให้ลอง แต่ครั้งนี้โดนสวนกลับทันทีว่า “เคยลองแล้วไง ไม่เข็ดเหรอ สุดท้ายก็เห็นด้วยและหันไปสั่งโซดาสิงห์ 2 ขวดกับพนักงาน ก่อนจะมีเสียงโฆษกสำทับว่า “ซ่าทุกหยด ซ่าโซดาสิงห์”

สันต์ ภิรมย์ภักดี ผู้จัดการกลุ่มการตลาดนอน-แอลกอฮอล์ บริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ POSITIONING ว่า โซดาสิงห์ทำการตลาดมาอย่างต่อเนื่องและด้วยคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ในเรื่องความซ่าทำให้โซดาสิงห์ครองตำแหน่งผู้นำได้ การออกสปอตวิทยุในครั้งนี้เป็นแผนเร่งด่วนในการยึด Positioning ที่โดดเด่นนี้ไว้ให้ได้ โดยยิงสปอตแบบถี่ยิบในคลื่นยอดนิยมต่างๆ เป็นเวลา 3-4 เดือน

“เราไม่ประมาทอยู่แล้ว คอยมอนิเตอร์ตลาดตลอดเวลา ถึงแม้เราจะมั่นใจว่าเรามี Product Differentiate ก็ตาม แต่ผู้ท้าชิงก็ต้องพยายามทำทุกวิถีทางนอกเหนือจากโฆษณา เพราะเขาถนัดเรื่องสงครามราคาอยู่แล้ว”

นอกจากนี้โซดาสิงห์เดินหน้าไปที่การสร้างพฤติกรรมการดื่มโซดาแบบใหม่ๆ ให้กับผู้บริโภค โดยการดื่มเป็นมิกเซอร์กับเครื่องดื่มอื่นๆ เช่น โซดามะนาว นอกเหนือจากการดื่มกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

“โซดาสิงห์สามารถเกาะติดกระแสสุขภาพได้ด้วยวิธีการดังกล่าว และจากผลสำรวจตลาดพบว่าตามร้านอาหารต่างๆ มีคนสั่งเครื่องดื่มผสมโซดามากขึ้นด้วย”

อีกทั้งยังมีกิจกรรม Soda Singha Battle of the Year เป็นอีเวนต์หลักที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายวัยรุ่นได้เป็นอย่างดีด้วย

ปัจจุบันโซดาสิงห์ครองส่วนแบ่งการตลาดกว่า 97% หากโซดาช้างต้องการเพิ่มส่วนแบ่งเป็นตัวเลข 2 หลัก นั่นหมายความว่าจะต้องแย่งชิงส่วนแบ่งจากผู้นำเป็นสำคัญ

ต้องติดตามกันว่าตลาดโซดาที่มีมูลค่าราว 4,000 ล้านบาท และมีอัตราการเติบโตเป็นตัวเลขหลักเดียวนั้นจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใดบ้าง แต่ที่แน่ๆ แค่โฆษณาก็ซัดกันแหลก แบบไม่มีใครยอมใครแล้ว

]]>
12515