โดยภายในปี 2020 เตรียมจะปิดสาขา “เซี่ยงไฮ้” ที่เปิดมาตั้งแต่ปี 2012 บนพื้นที่ 40,000 ตารางเมตร เน้นขายแบรนด์เนมเพื่อกลับกลุ่มมีกำลังซื้อ นอกจากนี้ยังเตรียมยุติฝั่งการผลิตด้วย
เชื่อว่าการปิดสาขาในจีนจะทำให้ “ทาคาชิมายะ” หันมาให้ความสนใจกับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นภูมิภาคที่ถูกมองว่ามีแนวโน้มเติบโตมากขึ้น
หากจำกันได้เมื่อปลายปีที่แล้วห้างเก่าแก่ของญี่ปุ่นรายนี้เพิ่งเปิดตัวสาขาแรกในเมืองไทยโดยจับมือกับ “สยามพิวรรธน์” เปิดให้บริการในชื่อ “สยาม ทาคาชิมายะ” บนพื้นที่ 7 ชั้น กว่า 36,000 ตารางเมตร
โดยเป็นส่วนหนึ่งของ “ไอคอนสยาม” ห้างหรูริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ใช้เงินลงทุน 2,200 ล้านบาท เป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัท ทาคาชิมายะ สิงคโปร์ จำกัด 51% และบริษัท สยาม ริเวอร์ โฮลดิ้งส์ จำกัด
ในครั้งนั้น ชิเกรุ คิโมโตะ ประธานบริหาร บริษัท ทาคาชิมายะ จำกัด กล่าวว่า การที่สยาม ทาคาชิมายะ เป็นหนึ่งในพันธมิตรหลักรายใหญ่ของไอคอนสยาม ก็จะได้รับการสนับสนุนเป็นพิเศษในด้านต่างๆ จึงเป็นหนึ่งในเหตุผลที่จะทำให้สยาม ทาคาชิมายะ คาดว่าจะคืนทุนและได้กำไรในระยะเวลารวดเร็วกว่าสาขาที่เวียดนาม ซึ่งลงทุนตั้งแต่ปี 2016 แต่มีแนวโน้มที่จะคืนทุนภายในปี 2019
“เราได้ตั้งเป้าหมายยอดขายรวมในปีแรกไว้ที่ 13,000 ล้านเยน หรือประมาณ 3,800 ล้านบาท และหวังว่าในปีที่ 2 สามารถถึงจุดคุ้มทุนและมีกำไรได้ จะทำให้สยาม ทาคาชิมายะขึ้นแท่นเป็นสาขาในเอเชียที่ทำรายได้เป็นอันดับ 2 รองจากสิงคโปร์”
ปัจจุบัน “ทาคาชิมายะ” เปิดให้บริการในญี่ปุ่น 19 สาขา สยาม ทาคาชิมายะ ถือเป็นการขยายสาขาห้างสรรพสินค้าในเอเชียลำดับที่ 4 ต่อจากสิงคโปร์ เซี่ยงไฮ้ และโฮจิมินห์ หนึ่งในยุทธศาสตร์ของการเติบโตของทาคาชิมายะ ในการขยายสาขาในต่างประเทศ โดยมีประเทศกลุ่มอาเซียนเป็นศูนย์กลาง
]]>แต่สำหรับชาวจีนแล้วดูเหมือนว่าประเด็นนี้จะไม่จบลงง่ายๆ เพราะใน Social Media ชื่อดังของจีนอย่าง Weibo ได้เกิดแฮชแท็กที่มีผู้ชมกว่า 50 ล้านครั้ง คือ “ชิปของ Huawei ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาซัพพลายเชนของสหรัฐอเมริกา”
ขณะเดียวกันมีชาวจีนหลายรายได้ออกมาบอกว่า กำลังมองหาซื้อผลิตภัณฑ์ของ Huawei มากกว่าจะซื้อจาก Apple ทั้งสมาร์ทโฟน และ Smart Watch
เรื่องนี้นับว่าสร้างแรงกดกันให้กับ Apple อยู่ไม่น้อย เพราะจากผลประกอบการที่รายงานในไตรมาส 2/2019 ยอดขายจากจีนคิดเป็นสัดส่วน 17% จากยอดขายรวม 10.22 พันล้านดอลลาร์ โดยตัวเลขนี้ลดลง 21% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
สาเหตุเกิดจาก Apple ต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงจากทั้ง Huawei และผู้เล่นรายอื่นๆ เช่น Xiaomi ซึ่งเข้ามาแข่งด้านราคา จนก่อนหน้านี้ Apple จำต้องลดราคาสินค้าบางชนิดลง ไม่อย่างนั้นจะสู้ไม่ได้เลย
ด้านความเห็นนักวิเคราะห์จาก Goldman Sachs ระบุว่า สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน อาจทำให้เกิดผลเสียหายใหญ่หลวงกับ Apple โดยผลประกอบการของ Apple อาจลดลง 29% หากถูกแบนจริงในจีนแผ่นดินใหญ่
จากแรงกดดันสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ได้ทำให้หุ้นของ Apple ลดลง 7% แล้ว
]]>เหรินได้เปิดใจให้สัมภาษณ์กับสื่อทางการจีน หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ มีคำสั่งห้ามบริษัทอเมริกันทำธุรกิจกับบริษัทต่างชาติ ที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ ซึ่งเป็นที่ชัดเจนว่าหมายถึงหัวเว่ยเทคโนโลยี ในความพยายามล่าสุดของอเมริกา ที่จะขัดขวางไม่ให้หัวเว่ยก้าวขึ้นเป็นผู้นำเบอร์ 1 ของโลกในด้านเทคโนโลยี 5G
“สิ่งที่พวกนักการเมืองสหรัฐฯ ทำอยู่สะท้อนให้เห็นว่าพวกเขาประเมินความแข็งแกร่งของเราต่ำเกินไป” เหริน ให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ CCTV “ระบบ 5G ของหัวเว่ยจะไม่ได้รับผลกระทบ และในแง่ของเทคโนโลยี 5G ก็จะไม่มีบริษัทไหนไล่ตามหัวเว่ยได้ทันในอีก 2-3 ปีข้างหน้า”
สัปดาห์ที่แล้วทรัมป์ได้ประกาศ ‘สถานการณ์ฉุกเฉินแห่งชาติ’ ซึ่งเปิดทางให้เขาใช้อำนาจประธานาธิบดี สั่งขึ้นบัญชีดำบริษัทที่เห็นว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงของสหรัฐฯ ท่ามกลางความเห็นของนักวิเคราะห์ซึ่งมองว่า ทรัมป์ กำลังล็อกเป้าเล่นงานหัวเว่ยโดยตรง
ขณะเดียวกันกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ยังได้ออกคำสั่งห้ามบริษัทอเมริกันจำหน่ายหรือถ่ายโอนเทคโนโลยีต่างๆ ให้แก่หัวเว่ยด้วย
ล่าสุดยักษ์ใหญ่อินเทอร์เน็ต ‘กูเกิล’ ซึ่งเป็นเจ้าของระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ที่ใช้ในสมาร์ทโฟนทั่วโลกก็ได้สนองนโยบายของทรัมป์ โดยประกาศในสัปดาห์นี้ว่าจะเริ่มตัดความสัมพันธ์กับหัวเว่ย
ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ใช้อุปกรณ์หัวเว่ยไม่สามารถเข้าถึงบริการที่เป็นกรรมสิทธิ์เฉพาะของกูเกิล เช่น จีเมล, กูเกิล แมป และยูทูบได้อีกต่อไป และหัวเว่ยจะใช้แอนดรอยด์ได้เฉพาะเวอร์ชั่นโอเพนซอร์สเท่านั้น
แม้กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ จะประกาศชะลอคำสั่งแบนการถ่ายโอนเทคโนโลยีให้แก่หัวเว่ยเป็นเวลา 90 วัน เมื่อวานนี้ (20 พ.ค.) แต่ เหริน ยืนยันว่าถึงอย่างไรเสียก็ไม่มีผลกระทบ
“สหรัฐฯ จะต่อใบอนุญาตชั่วคราวออกไปอีก 90 วันหรือไม่ ก็ไม่มีผลกระทบต่อเรามากนัก เพราะเราเตรียมพร้อมอยู่แล้ว” เหริน ระบุ โดยหัวเว่ยพึ่งพาชิปที่ผลิตในสหรัฐฯ อเมริกาเพียงครึ่งหนึ่งส่วนอีกครึ่งหนึ่งผลิตในจีน
“พวกเขาไม่สามารถกีดกันเราออกจากตลาดโลกได้ เราเองก็สามารถผลิตชิปแบบที่อเมริกาทำ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ซื้อของพวกเขา” เหริน อธิบาย
การเผชิญหน้าระหว่างสหรัฐฯ กับหัวเว่ยเป็นปัญหาที่คุกรุ่นมานานหลายปี หลังจากบริษัทแห่งนี้สามารถพัฒนาเทคโนโลยี 5G จนล้ำหน้าแซงคู่แข่งไปไกล
หน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ เชื่อว่าหัวเว่ยได้รับการสนับสนุนจากกองทัพจีน และอุปกรณ์ของบริษัทแห่งนี้อาจจะกลายเป็นเครื่องมือที่ปักกิ่งใช้สอดแนมชาติคู่แข่ง
ด้วยเหตุนี้เองสหรัฐฯ จึงพยายามโน้มน้าวประเทศพันธมิตรของตน ให้ปฏิเสธเทคโนโลยีของหัวเว่ย ซึ่งก็เป็นเรื่องยากลำบาก เนื่องจากในปัจจุบันยังไม่มีผู้พัฒนาระบบ 5G รายอื่นๆ ให้เป็นตัวเลือกมากนัก
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าหัวเว่ยจะต้องเผชิญช่วงเวลาที่ยากลำบากเช่นนี้ไปอีกนานเท่าไหร่ เหรินก็ตอบเพียงสั้นๆว่า “คุณควรตั้งคำถามนี้กับทรัมป์ ไม่ใช่ผม”
]]>ข้อเรียกร้องนี้มีขึ้นหลังจากเมื่อสัปดาห์ที่แล้วทำเนียบขาว เปิดรายชื่อสินค้าขำเข้าจากจีนมูลค่ากว่า 300,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งอาจถูกภาษี 25% หากทรัมป์ตัดสินใจที่จะเดินหน้าทำสงครามภาษี
โดยในจำนวนนี้รวมไปถึงรองเท้า ที่ไล่ตั้งแต่รองเท้าผ้าใบ รองเท้าแตะ รองเท้ากอล์ฟ และรองเท้าสกี เป็นต้น
The Footwear Distributors and Retailers of America หรือ ผู้จัดจำหน่ายรองเท้าและผู้ค้าปลีกแห่งอเมริกา ประเมินว่า หากการขึ้นภาษีเป็นจริง ชาวอเมริกันจะต้องจ่ายค่ารองเท้าเพิ่มคิดเป็นเงินกว่า 7,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือกว่า 2.2 แสนล้านบาท จึงขอให้ “ถอดรองเท้าออกทันที” จากการถูกพิจารณาว่าต้องเสียภาษีเพิ่ม
“ขณะที่อัตราภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ สำหรับสินค้าอุปโภคบริโภคโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 1.9% แต่รองเท้าถูกคิดภาษีเฉลี่ย 11.3% ที่สำคัญรองเท้ามีอัตราเข้าถึงสูงกว่า 67.5% การขึ้นภาษีจะทำให้ครอบครัวชาวอเมริกันบางครอบครัว ต้องจ่ายเงินเพิ่มเกือบ 100% สำหรับสำหรับรองเท้าของพวกเขา” จดหมายกล่าว “นี่เป็นสิ่งที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้”
ปีที่แล้วสหรัฐอเมริกานำเข้ารองเท้ามูลค่า 11.4 พันล้านดอลลาร์จากประเทศจีน ข้อมูลนี้ชี้ให้เห็นว่า อุตสาหกรรมรองเท้าในสหรัฐฯ ต้องพึ่งจีนอยู่ ด้วยมีต้นทุนแรงานราคาถูก แต่มีฝีมือ
ก่อนหน้านี้ทั้ง Nike, Adidas และ Under Armour รวมไปถึงผู้ผลิตอื่นๆ ได้เริ่มย้ายฐานการผลิตไปที่เวียดนามบ้างแล้ว แต่รองเท้าเป็นอุตสาหกรรมที่ต้องใช้เงินลงทุนสูงมาก และต้องมีการวางล่วงหน้าหลายปี จึงไม่สามารถย้ายโรงงานได้ทันที
]]>วานนี้ (19 พฤษภาคม) แหล่งข่าวเปิดเผยกับ Reuters ว่า Alphabet Inc บริษัทแม่ของ Google บริษัทไอทีชั้นนำของโลก ได้สั่งห้ามการทำธุรกิจกับ Huawei ยักษ์ใหญ่ด้านโทรคมนาคมของจีน และผู้ผลิตสมาร์ทโฟนที่กำลังได้รับความนิยมทั่วโลก
โดยการสั่งห้ามดังกล่าวครอบคลุมถึงการถ่ายโอนฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์และบริการด้านเทคนิค ยกเว้นซอฟต์แวร์ที่สัญญาอนุญาตเปิดให้กับสาธารณชน โดยความเคลื่อนไหวของ Google ครั้งนี้ถือเป็นการขยายวงของสงครามการค้า หลังจากที่รัฐบาลสหรัฐฯ สั่งให้ให้บริษัท Huawei ถูกขึ้นบัญชีดำทั่วโลก
จากกรณีดังกล่าวโฆษกของ Google เปิดเผยเพียงว่า ทางบริษัทดำเนินการ “ตามคำสั่ง และกำลังประเมินถึงผลกระทบ” โดยไม่ได้ให้รายละเอียดแต่อย่างใด
คาดการณ์กันว่าคำสั่งดังกล่าวจะเป็นอุปสรรคต่อธุรกิจสมาร์ทโฟนของ Huawei นอกประเทศจีน เนื่องจากสมาร์ทโฟนของ Huawei จะไม่สามารถเข้าถึงการอัพเดตระบบปฏิบัติการ Android ของ Google
ขณะที่สมาร์ทโฟนในอนาคตของ Android ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Android ก็จะไม่สามารถเข้าถึงบริการยอดนิยมของ Google อย่างเช่น Google Play Store – Gmail และ Youtube
“Huawei จะสามารถใช้ระบบปฏิบัติการ Android แค่เวอร์ชั่นที่เปิดสาธารณะ และจะไม่สามารถเข้าถึงแอปพลิเคชั่น และบริการต่างๆ จาก Google ได้” แหล่งข่าวระบุ
รัฐบาลของนายโดนัลด์ทรัมป์ประกาศเมื่อวันพฤหัสบดี (16 พฤษภาคม) ที่ผ่านมาว่าชื่อ บ.หัวเว่ย เทคโนโลยี ถูกใส่ไว้ในบัญชีดำทางการค้าและมีผลทันที ซึ่งจะทำให้บริษัทประสบความยากลำบากอย่างมาก ในการทำธุรกิจกับคู่ค้าในสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม ในวันศุกร์กระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐฯ ออกมากล่าวว่า กำลังพิจารณาผ่อนคลายข้อจำกัดกับ Huawei เพื่อ “ป้องกันความขัดข้องของการดำเนินการของระบบเครือข่ายและอุปกรณ์” และเมื่อถึงวันอาทิตย์ก็ยังไม่มีความชัดเจนว่าการเข้าถึงซอฟต์แวร์มือถือของ Huawei จะได้รับผลกระทบมากน้อยเพียงใด
มูลค่าความเสียหายของ Huawei ต่อการขึ้นบัญชีดำของทางการสหรัฐฯ ยังไม่มีการประเมินออกมาแน่ชัด เพราะธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับห่วงโซ่การผลิตของ Huawei กำลังประเมินเรื่องผลกระทบอยู่ ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านชิปคอมพิวเตอร์ก็ตั้งข้อสงสัยว่า Huawei จะสามารถดำเนินการต่อไปได้โดยปราศจากความช่วยเหลือของบริษัทสหรัฐฯ หรือไม่
ขณะที่ภายในของ Google เองก็กำลังถกเถียงกันถึงเรื่องบริการที่จะได้รับผลกระทบจากการขึ้นบัญชีดำดังกล่าว ขณะที่เมื่อวันศุกร์โฆษกของ Huawei ก็เปิดเผยว่า ฝ่ายกฎหมายของกำลังศึกษาอย่างเร่งด่วนถึงผลกระทบต่อเรื่องดังกล่าว โดยล่าสุดก็ยังไม่มีแถลงการณ์ใดๆ เพิ่มเติม
ในส่วนของระบบปฏิบัติการ Android ซึ่งข้อมูลจากเว็บไซต์ statcounter.com ในเดือนเมษายน 2019 ได้รับความนิยมจากผู้ใช้สมาร์ทโฟนทั่วโลกเกือบร้อยละ 75 หรือสามในสี่เครื่อง
Huawei จะยังเข้าถึงเวอร์ชั่นที่เปิดสาธารณะ หรือที่รู้จักกันในนาม Android Open Source Project (AOSP) โดยปัจจุบันทั่วโลกมีการใช้อุปกรณ์บนระบบปฏิบัติการ Android ที่ใช้งานเป็นประจำอยู่ราว 2,500 ล้านเครื่อง
ทั้งนี้นับจากนี้เป็นต้นไป Google จะต้องหยุดให้หัวเว่ยเข้าถึงบริการด้านเทคนิค และความร่วมมือใดๆ ที่เกี่ยวกับแอปพลิเคชั่น และบริการในเครือข่าย
คาดกันว่าแอปพลิเคชั่นที่จะได้รับผลกระทบจากกรณีดังกล่าวอย่างเช่น Gmail Youtube รวมถึงเบราว์เซอร์ Chrome ที่ถูกเปิดให้ดาวน์โหลดบน Google Play Store และจะหายไปบนมือถือ Huawei โดยแอปเหล่านี้ไม่ได้ถูกครอบคลุมอยู่ใน AOSP อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้สมาร์ทโฟน H uawei อยู่แล้วจะยังสามารถดาวน์โหลดอัพเดตจากกูเกิลได้อยู่
ขณะที่ทางด้าน Huawei ก็บอกว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา บริษัทมีการเตรียมแผนฉุกเฉินเพื่อรับมือเหตุดังกล่าวด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีกรณีที่ถูกบล็อกไม่ให้ใช้ระบบปฏิบัติการ Android โดยเทคโนโลยีบางอย่างนั้นมีการใช้งานและจำหน่ายในประเทศจีนแล้ว
]]>“ถ้าแอปเปิลอยากรักษากำไรให้เท่าเดิมต้องขึ้นราคาประมาณ 14% เพื่อรับผลกระทบที่เกิดจากการปรับขึ้นกำแพงภาษี 25%” J.P. Morgan ผู้ให้บริการด้านการเงินการธนาคาร การลงทุน และการบริหารทรัพย์สิน ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก กล่าวในบทวิเคราะห์เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา
ตัวอย่างเช่นราคาขายของ iPhone XS เมื่อบวกต้นทุนการผลิต การตลาด แต่ยังไม่รวมภาษีจะอยู่ที่ราว 1,000 เหรียญสหรัฐ หรือราว 32,000 บาท หากภาษีขึ้น 25% ราคาของสมาร์ทโฟนเครื่องนี้จะเพิ่มเป็น 1,142 เหรียญสหรัฐ หรือกว่า 36,400 บาท
แม้ว่าประธานาธิบดีทรัมป์ยังไม่ได้ตัดสินใจ ที่จะขึ้นอัตราภาษีจากสินค้าจีนมูลค่ากว่า 300,000 ล้านเหรียญ แต่สำนักงานตัวแทนการค้าสหรัฐฯ ได้เริ่มกระบวนการอนุมัติอย่างเป็นทางการในวันจันทร์ เร็วที่สุดที่จะเก็บภาษีศุลกากรใหม่คือวันที่ 24 มิถุนายน
Bank of America ประเมินว่า การย้ายการผลิต iPhone อาจเป็นหนึ่งในทางเลือกที่ Apple จะทำเพื่อรับมือกับเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม คาดการณ์ว่าราคาของ iPhone จะเพิ่มขึ้นอีก 20% หากผลิตในสหรัฐอเมริกา 100% จุดนี้มีผลแน่นอนต่อความต้องการของผู้บริโภค
นักวิเคราะห์ประเมินอีกว่า Apple มีแนวโน้มที่จะรับภาระต้นทุนทางภาษีไว้เอง มากกว่าที่จะขึ้นราคาสมาร์ทโฟน ซึ่งหากเป็นไปตามนั้นกำไรขั้นต้นของ Apple อาจลดลง 4%
ทั้งนี้สต็อกของ Apple ลดลงมากกว่า 11% ตั้งแต่เริ่มสงครามการค้าเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคมที่ผ่านมา
]]>