สภาธุรกิจตลาดทุนไทย แต่งตั้ง นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ นายกสมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย เป็นประธาน สภาฯ คนใหม่ แทน ดร. ก้องเกียรติ โอภาสวงการ ที่หมดวาระลง รวมทั้ง แต่งตั้ง ดร. อนุสรณ์ แสงนิ่มนวล นายไพบูลย์ นลินทรางกูร นายบุญชัย เกียรติธนาวิทย์ และ นายยงยศ วารีสุรหาญ เป็นกรรมการสภาฯ แทนกรรมการที่ครบวาระ เริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 30 สิงหาคม 2551 ถึงวันที่ 29 สิงหาคม 2553
นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทยคนใหม่ (สธท.) เปิดเผยภายหลังได้รับการแต่งตั้งจากคณะกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย ให้ดำรงตำแหน่งประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทยว่า นับจากนี้จะมุ่งเน้นสานต่อเจตนารมณ์ของ สธท. ในฐานะองค์กรหลักในตลาดทุน ที่มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาตลาดทุนและเศรษฐกิจของประเทศ ตลอดจนเสริมสร้างบทบาทการดำเนินงานของ สธท. ให้เป็นที่ยอมรับและมีความสำคัญทัดเทียมกับองค์กรลักษณะเดียวกันในภาคเศรษฐกิจอื่น อาทิ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เป็นต้น
“ สธท. ในฐานะองค์กรกลางพร้อมที่จะทำงานเชื่อมโยงกับหน่วยงานในตลาดทุนอย่างเข้มแข็ง โดยเฉพาะภายใต้สถานการณ์ตลาดทุนที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากในปัจจุบัน สธท. พร้อมที่จะประสานความร่วมมืออย่างเต็มที่กับภาครัฐ ในการเสนอแนะความคิดเห็นหรือแนวทางสำคัญที่จะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตลาดทุน รวมทั้ง มีส่วนร่วมสนับสนุนการกำหนดและการดำเนินนโยบายด้านเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุน เพื่อพัฒนาและสร้างความเข้มแข็งแก่ตลาดทุนไทย ให้สามารถช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศให้เติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป นอกจากนี้ จะให้ความสำคัญในการเสริมสร้างบทบาทการดำเนินงานของ สธท. ให้เป็นที่ยอมรับ และมีความสำคัญทัดเทียมกับองค์กรลักษณะเดียวกันในภาคเศรษฐกิจอื่นอีกด้วย ” นายประเสริฐ กล่าว
ด้าน ดร. ก้องเกียรติ โอภาสวงการ นายกสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวถึงการดำเนินงานที่ผ่านมาว่า สธท. ได้มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาตลาดทุนไทยมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการจัดทำแผนแม่บทพัฒนาตลาดทุนไทย (Capital Market Master Plan) ฉบับที่ 2 (2549-2553) รวมทั้งการประสานงานอย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานภาครัฐที่กำกับดูแลตลาดทุน และการจัดทำสมุดปกขาวเสนอแนะความคิดเห็นและข้อมูลที่สำคัญให้ภาครัฐตระหนักถึงความสำคัญของตลาดทุน ทำให้มีการออกนโยบายหรือมาตรการต่าง ๆ ที่เอื้อต่อการพัฒนาตลาดทุนและเพิ่มศักยภาพในการดำเนินธุรกรรมของตลาดทุนหลายประการ
“ ช่วงต้นปี 2551 ที่ผ่านมา สธท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในตลาดทุน ได้ร่วมกันผลักดันเรื่องการพัฒนาตลาดทุนให้เป็นวาระแห่งชาติ ซึ่งก็ได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากภาครัฐและผู้เกี่ยวข้อง ส่งผลให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการพัฒนาตลาดทุนไทยขึ้น เพื่อเสนอแนะนโยบายและทิศทางการพัฒนาตลาดทุนไทยอย่างเป็น องค์รวม รวมทั้งมีการจัดทำแผนพัฒนาตลาดทุนไทย ซึ่งมีกรอบและแนวทางการพัฒนาตลาดทุนที่ชัดเจนเป็นรูปธรรม ครอบคลุมทุกองค์ประกอบของตลาดทุน และสอดรับกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจมหภาคอื่น ๆ ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณปลายปี 2551 และเริ่มมีผลบังคับใช้ประมาณต้นปี 2552 ดังนั้น การเข้ารับตำแหน่งของนายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ในฐานะประธาน สธท. คนใหม่ จะมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการสนับสนุนและผลักดันการทำงานของ สธท. เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาตลาดทุนไทยอย่างต่อเนื่อง ตามแผนกลยุทธ์ต่าง ๆ ที่กำหนดไว้ในแผนพัฒนาตลาดทุนไทย ให้เห็นผลสำเร็จเป็นรูปธรรมต่อไป ” ดร.ก้องเกียรติ กล่าว
ส่วนนางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในฐานะกรรมการและเลขานุการ สธท. กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ พร้อมและยินดีให้การสนับสนุนการดำเนินงานของสภาธุรกิจตลาดทุนไทย การเสริมสร้างให้องค์กรหลักในตลาดทุนมีความแข็งแกร่ง และสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นเป้าหมายหลักอย่างหนึ่งของตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อทุกหน่วยในตลาดทุนสามารถทำงานขับเคลื่อนไปในทิศทางเดียวกันอย่างมีเป้าหมายและประสบผลสำเร็จ ตลาดทุนไทยจะพัฒนาอย่างมีเสถียรภาพและยั่งยืน พร้อมทำหน้าที่เป็นอีกหนึ่งเสาหลักทางเศรษฐกิจของประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ สธท. ยังได้แต่งตั้งตัวแทนจากองค์กรภาคตลาดทุนจำนวน 4 คน เป็นกรรมการใหม่ แทนกรรมการที่ครบวาระ ประกอบด้วย ดร.อนุสรณ์ แสงนิ่มนวล กรรมการ สมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย นายไพบูลย์ นลินทรางกูร อุปนายก สมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ นายบุญชัย เกียรติธนาวิทย์ กรรมการ สมาคมบริษัทจัดการลงทุน และ นายยงยศ วารีสุรหาญ อุปนายก สมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย โดยมีวาระการดำรงตำแหน่งตั้งแต่วันที่ 30 สิงหาคม 2551 ถึงวันที่ 29 สิงหาคม 2553 ทั้งนี้ ประธาน และกรรมการ สธท. ที่ได้รับแต่งตั้ง มีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละ 2 ปี และเมื่อพ้นจากตำแหน่งตามวาระอาจได้รับการแต่งตั้งใหม่ได้ แต่ไม่เกิน 2 วาระติดต่อกัน
สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (สธท.) ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2547 จากการรวมตัวกันขององค์กรตลาดทุนที่สำคัญ 6 องค์กร ได้แก่ สมาคมบริษัทหลักทรัพย์ สมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย สมาคมบริษัทจัดการลงทุน สมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ สมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย คณะกรรมการ สธท. มีจำนวนทั้งสิ้น 11 ท่าน ประกอบด้วย กรรมการโดยตำแหน่ง ซึ่งได้แก่ นายกสมาคมของแต่ละสมาคม รวม 5 ท่าน ดำรงตำแหน่งประธานและรองประธาน และกรรมการโดยการแต่งตั้งจากแต่ละสมาคมแห่งละ 1 ท่าน รวม 5 ท่าน โดยมีกรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ทำหน้าที่กรรมการและเลขานุการ
ตลาดหลักทรัพย์ฯ สำนักงาน ก.ล.ต. และสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เดินหน้าจัดโครงการ “ตลาดทุนเพื่อนักเรียน นักศึกษา” โดยมีหน่วยงานในตลาดทุนทั้ง บจ. บล. และบลจ. รวมทั้ง มูลนิธิ และองค์กรการกุศลเข้าร่วมโครงการ ต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 เผย 4 ปีที่ผ่านมา หน่วยงานในตลาดทุนรับเยาวชนฝึกงานประมาณ 25,000 คน เผยยังมีบริษัทจดทะเบียนอีกประมาณ 25 แห่งที่ยังเปิดรับนักศึกษาฝึกงาน พร้อมเชิญชวนนิสิต นักศึกษาที่สนใจ สมัครได้ที่ Booth@SET ชั้น 1 อาคารตลาดหลักทรัพย์ฯ และ www.set.or.th ตั้งแต่วันนี้ถึง 31 มี.ค. 2551
นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. กล่าวว่า
โครงการตลาดทุนเพื่อนักเรียน นักศึกษา เป็นโครงการหนึ่งที่มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือและดูแลสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการพัฒนาคุณภาพเยาวชน ด้วยการเปิดโอกาสให้นิสิตและนักศึกษาทั่วประเทศได้ใช้เวลาว่างในช่วงปิดภาคเรียน เข้ามาฝึกงานและเรียนรู้ประสบการณ์ การทำงานจริง เป็นการเตรียมความพร้อมเยาวชนให้สามารถก้าวสู่เส้นทางอาชีพในอนาคตได้อย่างมีคุณภาพ รวมทั้ง ได้มีโอกาสสัมผัสตลาดทุนผ่านการทำงานกับสถาบันต่าง ๆ ในตลาดทุน โดยได้รับความสนับสนุนอย่างดีจากบริษัทจดทะเบียน บริษัทหลักทรัพย์ และบริษัทจัดการลงทุน รวมถึง สมาคมที่เกี่ยวข้อง ที่เข้าร่วมโครงการอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเยาวชนที่ผ่านการฝึกงานในโครงการนี้ ต่างมีความภาคภูมิใจและประทับใจกับประสบการณ์ที่ได้รับ อีกทั้งยังมีความรู้สึกว่าตลาดทุนไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป
นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย กล่าวว่า โครงการตลาดทุนเพื่อนักเรียน นักศึกษา เป็นกิจกรรมสำคัญที่ภาคธุรกิจในตลาดทุนได้มีโอกาสแสดงพลังแห่งความรับผิดชอบต่อสังคมร่วมกัน โดยเฉพาะด้านการพัฒนาคุณภาพเยาวชนไทย การแสดงพลังครั้งนี้เห็นได้จากจำนวนบริษัทที่เข้าร่วมโครงการอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัท จดทะเบียนบางแห่งได้จัดกิจกรรมพิเศษขึ้นเป็นการเฉพาะสำหรับนิสิต นักศึกษาทุกปิดภาคเรียน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง ถือได้ว่าภาคธุรกิจยังคงให้ความสำคัญต่อการช่วยเหลือสังคมไทย โดยเชื่อมั่นว่าหน่วยงานในตลาดทุนจะให้การสนับสนุนโครงการดี ๆ เช่นนี้อย่างต่อเนื่อง
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ตระหนักถึงความสำคัญของการทำหน้าที่ช่วยเหลือสังคม ซึ่งเป็นหนึ่งในพันธกิจขององค์กร จึงได้ร่วมกับหน่วยงานในตลาดทุน จัดโครงการตลาดทุนเพื่อนักเรียน นักศึกษา เป็นปีที่ 5 ต่อเนื่องมานับตั้งแต่ปี 2547 โดย 4 ปีที่ผ่านมาได้ทำหน้าที่เป็นแกนกลางรับสมัครนักเรียน นิสิต นักศึกษา ไปแล้วกว่า 25,000 คน ส่วนในปี 2551 นี้คาดว่าจะมีนักเรียน นักศึกษาไม่ต่ำกว่า 5,000 คนเข้าร่วมโครงการ นับเป็นการส่งเสริมให้หน่วยงานในตลาดทุนได้มีโอกาสช่วยเหลือสังคมกิจกรรมหนึ่ง โดยในแต่ละปีจะมีบริษัทและองค์กรที่สนใจรับนักเรียน นักศึกษาเข้าฝึกงานประมาณ 120 หน่วยงาน
“นอกจากการเป็นศูนย์กลางรับสมัคร และคัดเลือกนิสิต นักศึกษา เข้าฝึกงานให้กับบริษัทจดทะเบียน และหน่วยงานในตลาดทุนที่มีความต้องการรับนักศึกษาฝึกงานแล้ว ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังคงสนับสนุนเบี้ยเลี้ยงให้แก่เยาวชนที่เลือกเข้าฝึกงานกับมูลนิธิ และองค์กรการกุศลอีกไม่ต่ำกว่า 13 องค์กร จึงนับเป็นโอกาสที่ดีที่นิสิต นักศึกษา จะได้หาประสบการณ์จริง และได้ช่วยเหลือสังคมไปพร้อมกัน พร้อมทั้งมีรายได้ช่วงปิดภาคเรียนด้วย” นางภัทรียากล่าว
ตัวอย่างกิจกรรมที่จัดขึ้นในช่วงปิดเทอมโดยหน่วยงานในตลาดทุน ได้แก่ โครงการอบรมและแข่งขันหมากรุกไทย จัดโดยตลาดหลักทรัพย์ฯ และโครงการนักลงทุนรุ่นใหม่ หรือ New Investors Program (NIP) ซึ่งจัดโดยสมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย จัดเป็นรุ่นที่ 13 แล้ว โดยในแต่ละปีมีนักศึกษาเข้าร่วมประมาณ 300 คน สำหรับบริษัทจดทะเบียนชั้นนำที่จัดทำโครงการดีๆ เพื่อเปิดโอกาสให้นักเรียน นักศึกษาได้ฝึกฝนทักษะและประสบการณ์ในช่วงปิดภาคเรียน และเข้าร่วมโครงการตลาดทุนเพื่อนักเรียนนักศึกษาอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ บมจ.บัตรกรุงไทย เครือซิเมนต์ไทย บมจ.ธนาคารกรุงเทพ เป็นต้น ซึ่งบริษัทเหล่านี้ได้เริ่มโครงการไปแล้ว
สำหรับหน่วยงานที่ยังเปิดรับสมัครนักเรียนนักศึกษาเข้าฝึกงานในองค์กรอีกประมาณ 25 แห่ง ทั้งในกลุ่มสถาบันการเงินและกลุ่มธุรกิจพลังงาน อสังหาริมทรัพย์ เทคโนโลยี สินค้าอุปโภคบริโภค ยานยนต์ เป็นต้น โดยมีรายชื่อ ได้แก่ บมจ.ธนาคารทหารไทย บมจ.ธนาคารนครหลวงไทย บมจ.ธนาคารเกียรตินาคิน บง.สินอุสาหกรรม บล.ไซรัส บล.ซีไอเอ็มบี-จีเค บล.ฟินันซ่า บล.กิมเอ็ง บลจ.ไทยพาณิชย์ บมจ.เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ บมจ.บางจาก บมจ.เนเชอรัล พาร์ค บมจ.ยูนิค ไมนิ่ง เซอร์วิสเซส บมจ.โซลูชั่น คอนเนอร์ (1998) บมจ.เจนเนอรัล เอนจิเนียริ่ง บมจ.บ้านปู บมจ.จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก บมจ.สยามสหบริการ บมจ.เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น บมจ.สมบูรณ์ แอ็ดวานซ์ เทคโนโลยี บมจ.อินเตอร์ ฟาร์อีสท์ วิศวการ บมจ.ยูไนเต็ด แสตนดาร์ด เทอร์มินัล บมจ.รสา พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ บมจ.เอ็น.ซี.เฮาส์ซิ่ง และ บมจ.เอสทีพี แอนด์ ไอ เป็นต้น
ผู้สนใจสามารถสมัครเข้าร่วมโครงการได้ด้วยตนเองที่บริเวณ Booth@SET ชั้น 1 อาคารตลาดหลักทรัพย์ฯ ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2551 นี้ หรือสอบถามเพิ่มเติมที่ฝ่ายสื่อสารองค์กร โทร.0 22292225-6 และดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.set.or.th
โครงการตลาดทุนเพื่อนักเรียนนักศึกษา จัดโดยหน่วยงานในตลาดทุนประกอบด้วย สำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. และสภาธุรกิจตลาดทุนไทย โดยมีตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นผู้ดำเนินโครงการฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมค่านิยมที่ถูกต้องให้แก่เยาวชนในการใช้เวลาว่างในช่วงปิดภาคเรียนให้เป็นประโยชน์ และเปิดโอกาสให้เยาวชนได้เรียนรู้บทบาทหน้าที่การดำเนินงานของหน่วยงานต่าง ๆ ในตลาดทุนผ่านการปฏิบัติงานจริง รวมทั้ง การได้มีโอกาสทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อชุมชนและสังคมด้วยการเข้าฝึกงานกับองค์กรการกุศล
สภาธุรกิจตลาดทุนไทย เชิญ 6 พรรคการเมืองไทยร่วมแสดงวิสัยทัศน์ในการสัมมนาพิเศษ หัวข้อ “นโยบายพรรคในการบริหารตลาดทุน เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้ระบบเศรษฐกิจไทย” ร่วมสัมมนาโดย พรรคประชาธิปัตย์ พรรคพลังประชาชน พรรคประชาราช พรรคมัชฌิมาธิปไตย พรรคเพื่อแผ่นดิน และพรรครวมใจไทยชาติพัฒนา
ดำเนินรายการโดย ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย ในวันอังคารที่ 4 ธันวาคม 2550 เวลา 13.30 น – 17.00 น. ณ หอประชุมศาสตราจารย์สังเวียน อินทรชัย ชั้น 3 อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ติดตามชมการสัมมนาสดทางสถานีโทรทัศน์มันนี่แชนแนล ช่อง 80 True Visions และเคเบิ้ลทีวีท้องถิ่นทั่วประเทศช่อง 30
สภาธุรกิจตลาดทุนไทย ร่วมกับผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายในตลาดทุน ระดมความเห็นและข้อเสนอแนะต่าง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและกระตุ้นการลงทุนในตลาดทุน รวมทั้งเสนอภาครัฐให้การสนับสนุนและผลักดันมาตรการสำคัญๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตลาดทุนและเศรษฐกิจของประเทศ พร้อมเดินหน้าโครงการสร้างพื้นฐานความรู้อย่างต่อเนื่อง ทั้งอบรม สัมมนา ประชุมเชิงวิชาการ และการพัฒนานวัตกรรมทางการเงินใหม่ๆ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันและเสริมความแข็งแกร่งตลาดทุนไทย
การสัมมนาที่จัดโดยสภาธุรกิจตลาดทุนไทยเพื่อระดมความเห็นและข้อเสนอแนะเพื่อการพัฒนาตลาดทุนในวันนี้ (3 พ.ค.50) ณ หอประชุมศาสตราจารย์สังเวียน อินทรวิชัย อาคารตลาดหลักทรัพย์ฯ ประกอบด้วยการบรรยายพิเศษ “มุมมองจากตลาดทุน…ต่อเศรษฐกิจไทย” และการเสวนา “เศรษฐกิจและตลาดทุนไทยก่อนการเลือกตั้ง” ซึ่งประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคเอกชนและตลาดทุนมาร่วมให้ความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตลาดทุนอย่างยิ่ง
นายวิจิตร สุพินิจ ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้แสดงความเห็นในการบรรยายพิเศษ “มุมมองจากตลาดทุน…ต่อเศรษฐกิจไทย” ว่า ตัวเลขที่เป็นตัวชี้วัดเศรษฐกิจหลายตัวแสดงให้เห็นว่าภาวะเศรษฐกิจยังมีพื้นฐานที่ดี ไม่ว่าจะเป็นมูลค่าการส่งออกที่สูงเป็นประวัติการณ์ เกือบ 13,000 ล้านบาท สภาพคล่องที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก รอการกู้ อัตราการว่างงานแทบจะเป็นศูนย์ ดุลการค้า ดุลบัญชีเดินสะพัด เกินดุลต่อเนื่องตั้งแต่เดือนส.ค.2549 และในเดือนมี.ค.2550 เกินดุลถึง 2.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งหากสูงกว่านี้ก็ไม่เป็นผลดี เพราะไม่มีการใช้จ่าย
“เศรษฐกิจของเรากำลังอยู่ในภาวะที่เรียกว่า ตกท้องช้าง ซึ่งเป็นวัฎจักรขาขึ้นของเศรษฐกิจตามปกติ โดยสภาวะตกท้องช้างนั้น เป็นเรื่องของการขาดความเชื่อมั่นขาดการเติมเงินเข้าไปในเศรษฐกิจ การที่เศรษฐกิจจะขยายตัวนั้น ต้องอาศัย 3 ขา ทั้งขาการส่งออก ขาการใช้จ่ายภาครัฐ และขาการเงิน ในขาการส่งออกนั้นมีการขยายตัวดีที่ประมาณร้อยละ 20 ในขณะที่ขาการใช้จ่ายภาครัฐและขาการเงินนั้น ต้องรีบปรับตัว ภาครัฐต้องมีการใช้จ่ายมากขึ้น ภาคเอกชนก็จะมีการลงทุนตาม เศรษฐกิจก็จะขยายตัวเป็นทวีคูณ ทำให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยอย่างกว้างขวาง” นายวิจิตรกล่าว
ส่วนขาการเงิน ต้องรองรับกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ในระยะที่ผ่านมาการเติบโตของสินเชื่อมีเพียงร้อยละ 5 ซึ่งยังน้อยไป ในอนาคตเมื่อการส่งออกขยายตัวต่อ และมีการใช้จ่ายภาครัฐมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน แต่ภาคการเงินไม่ได้มีส่วนสนับสนุนก็จะขลุกขลัก
ในด้านของการลงทุนในตลท. ที่ผ่านมาก็ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว อย่างไรก็ตาม ยังเห็นว่านักลงทุนสถาบันยังคงลงทุนต่อเนื่อง เพราะราคาหุ้นยังต่ำมาก
นายวิจิตรกล่าวต่อว่า “รัฐเดินมาถูกทางแต่ต้องปฏิบัติให้ได้ เมื่อเศรษฐกิจตกท้องช้าง ก็ต้องรีบปรับ ถ้าภาคการเงินส่งเสริมด้วยก็จะทำให้ทุกอย่างเคลื่อนต่อไปได้ ทั้งนี้นักลงทุนต้องติดตามนโยบายเศรษฐกิจภาครัฐอย่างใกล้ชิดที่สุด เพื่อให้สามารถติดตามสัญญาณได้ทันที”
สำหรับดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย ซึ่งกล่าวในการเสวนาเรื่อง “เศรษฐกิจและตลาดทุนไทยก่อนการเลือกตั้ง” ได้ให้ความเห็นว่า จากภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันที่ชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับความไม่ชัดเจนของสถานการณ์ทางการเมือง ส่งผลให้ผู้ลงทุนและผู้ประกอบการต่างขาดความเชื่อมั่นต่อการลงทุน สถานการณ์การลงทุนในตลาดทุนจึงอยู่ในภาวะซบเซาลง การจัดงานในวันนี้ก็เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อการลงทุนในตลาดทุน และให้ผู้ที่เกี่ยวข้องในตลาดทุน รวมทั้งภาครัฐ ได้มีความเข้าใจในบทบาทหน้าที่และความสำคัญของตลาดทุนในการเป็นรากฐานสำคัญของระบบเศรษฐกิจของประเทศ และเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและการเมืองที่จะเกิดขึ้น
“ที่ผ่านมา สภาธุรกิจฯ ได้ดำเนินการต่างๆ อย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด เพื่อให้ตลาดทุนไทยสามารถทำหน้าที่เป็นเสาหลักที่สำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ในขณะเดียวกัน ก็ต้องการให้ภาครัฐให้การสนับสนุนการทำงานของหน่วยงานต่างๆ ในตลาดทุน ด้วยการดำเนินนโยบายที่มีส่วนช่วยส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน ซึ่งจะเป็นประโยชน์โดยตรงต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว” ดร.ก้องเกียรติ กล่าว
ทั้งนี้ สภาธุรกิจฯ ได้เข้าพบหารือและประสานงานกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องมาโดยตลอด รวมทั้งจัดทำความเห็นหรือข้อเสนอแนะต่างๆ เพื่อให้หน่วยงานภาครัฐพิจารณาสนับสนุนและผลักดันในเชิงนโยบายในมาตรการสำคัญที่จะช่วยกระตุ้นการลงทุนในตลาดทุน และเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตลาดทุนและเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ อาทิ การจัดตั้งกองทุนรวมวายุภักษ์ 2 การจัดตั้งกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ (กบช.) การจัดตั้งสถาบันประกันเงินฝาก มาตรการทางภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนในหลักทรัพย์ การแก้ไขร่าง พ.ร.บ. หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เป็นต้น
ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย กล่าวต่อว่า “หลังจากวิกฤตเศรษฐกิจที่ผ่านมา ตลาดทุนมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทยจนกลับมาเติบโตอีกครั้ง โดยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจต่างๆ มีการระดมทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ เพิ่มขึ้นถึง 1.7 ล้านล้านบาท มากกว่าสินเชื่อสุทธิที่ปล่อยกู้เพิ่มขึ้นจากธนาคารพาณิชย์ประมาณ 9 แสนล้านบาท หรือมากกว่ากันประมาณ 1.8 เท่า อีกทั้งปัจจุบันตลาดทุนมีจำนวนผู้ลงทุนทั้งทางตรงและทางอ้อม ทั้งผู้ที่เปิดบัญชีซื้อขาย ลงทุนผ่านกองทุน ผู้ถือหลักทรัพย์ รวมถึงสมาชิกกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และกองทุนประกันสังคม รวมแล้วกว่า 12.7 ล้านคน”
ดังนั้น สภาธุรกิจฯ จึงร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการสร้างพื้นฐานความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความสำคัญของตลาดทุน การออม และการลงทุน รวมทั้งเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ให้แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในตลาดทุนอย่างต่อเนื่อง ทั้งบริษัทจดทะเบียน บริษัทหลักทรัพย์ ผู้ลงทุน ผู้ทำหน้าที่กำกับดูแลตลาดทุน รวมถึงประชาชนทั่วไป อาทิ การจัดกิจกรรมอบรม สัมมนา และการประชุมเชิงวิชาการ การบรรจุความรู้ด้านตลาดทุน การออม และการลงทุน ในหลักสูตรการศึกษาทุกระดับ ตั้งแต่ประถมศึกษาถึงอุดมศึกษา การจัด Focus Group เฉพาะกลุ่ม เพื่อสร้างความเข้าใจถึงบทบาทความสำคัญและทัศนคติที่ดีเกี่ยวกับตลาดทุน รวมถึงการเผยแพร่ข้อมูลความรู้อย่างแพร่หลายผ่านสื่อแขนงต่างๆ เพื่อให้เข้าถึงประชาชนในวงกว้าง
นอกจากนี้ สภาธุรกิจฯ ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาและเสริมสร้างความแข็งแกร่งของตลาดทุนในระยะยาว โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้จัดตั้งสถาบันวิจัยเพื่อตลาดทุน เพื่อวิจัยและวิเคราะห์ภาวะเศรษฐกิจและนโยบายที่มีผลต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ และตลาดทุนโดยรวม วางรากฐานงานวิจัยตลาดทุนให้มีความก้าวหน้าและทัดเทียมกับระดับสากล รวมทั้งการศึกษาและพัฒนาตราสารทางการเงินประเภทใหม่ๆ (New Product) เพื่อเป็นเครื่องมือในการระดมทุนของผู้ประกอบการ และเพิ่มทางเลือกให้แก่ผู้ลงทุน ทั้งตราสารทุน ตราสารหนี้ และตราสารอนุพันธ์ อาทิ Convertible Bonds, Private Equity, Venture Capital กองทุนอสังหาริมทรัพย์ (Property Funds) การจดทะเบียนข้ามชาติ (Dual Listing) การพัฒนาสินค้าอ้างอิงใหม่ๆ เช่น ทองคำ น้ำมัน สำหรับการออกตราสารอนุพันธ์มาซื้อขายกัน รวมทั้งโครงการศึกษาและสำรวจความคิดเห็นผู้บริหารถึงแนวทางการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของบริษัทจดทะเบียน และสถาบันตัวกลาง
สภาธุรกิจตลาดทุนไทย และสมาชิกทั้ง 6 องค์กร ประกอบด้วย สมาคมบริษัทจดทะเบียน สมาคมบริษัทหลักทรัพย์ สมาคมบริษัทจัดการลงทุน สมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ สมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จะประสานความร่วมมือกันอย่างเต็มที่เพื่อให้การดำเนินงานตามแผนงานต่างๆ สำเร็จตามเป้าหมาย โดยได้รับแรงสนับสนุนสำคัญจากนโยบายและมาตรการจากหน่วยงานภาครัฐ เพื่อมุ่งเสริมสร้างความแข็งแกร่งแก่ตลาดทุนไทยและเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ให้เติบโตอย่างยั่งยืนบนพื้นฐานของหลักเศรษฐกิจพอเพียง
“ที่สำคัญก็คือ การดำเนินนโยบายของภาครัฐมีส่วนสำคัญอย่างยิ่ง ในการช่วยสร้างความมั่นใจและกระตุ้นการลงทุนในตลาดทุน ขณะเดียวกัน ในส่วนของภาคธุรกิจเอกชนก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อมอยู่เสมอ เพราะเมื่อใดที่เศรษฐกิจไทยซึ่งทุกคนต่างมองว่ามีความสดใสและมีโอกาสจะฟื้นตัวในเวลาอันใกล้นี้ สามารถที่จะขยายตัวและเติบโตอย่างต่อเนื่องแล้ว เมื่อนั้น ทั้งผู้ประกอบการและผู้ลงทุนก็จะมีความพร้อมอย่างเต็มที่ที่จะขยายธุรกิจและการลงทุนไปพร้อมๆ กันได้อย่างทันการณ์” ดร.ก้องเกียรติ กล่าวสรุป
ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย – องค์กรผู้นำเอกชน 4 สถาบัน ประกอบด้วยหอการค้าไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย สภาธุรกิจตลาดทุนไทย ร่วมด้วยกลุ่มศิลปินบันเทิง นำโดย ดร.อาชว์ เตาลานนท์ (ที่ 5 จากขวา) ประธานคณะกรรมอำนวยการร่วมฯ แถลงข่าวเปิดตัวโครงการ “สานใจไทย สู่ใจใต้” เพื่อแสดงความห่วงใยต่อพี่น้องชาวไทยใน 3 จังหวัดชายแดนภาคโต้ ที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์ความไม่สงบในภาคใต้ และเชิญชวนให้คนไทยทุกคนมีส่วนร่วมในกิจกรรมของโครงการ เพื่อช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนของคนกลุ่มนี้