Cathay Pacific สายการบินรายใหญ่ของฮ่องกง ได้รายงานผลประกอบการของปี 2023 ที่ผ่านมา โดยสายการบินรายใหญ่นี้มีกำไรมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2010 เป็นต้นมา โดยสายการบินได้กล่าวว่า ในปีที่ผ่านมาเราได้ทิ้งการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ไว้ข้างหลังได้ในที่สุด

ในปี 2023 สายการบินจากฮ่องกงรายนี้มีรายได้รวม 94,485 ล้านเหรียญฮ่องกง หรือคิดเป็นเงินไทย 431,482 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นมากกว่าปี 2022 ถึง 85.1% ขณะที่กำไรอยู่ที่ 9,789 ล้านเหรียญฮ่องกง หรือคิดเป็นเงินไทย 44,705 ล้านบาท

สาเหตุที่ทำให้สายการบินมีกำไรทำสถิติสูงสุดคือปริมาณผู้โดยสารที่ฟื้นตัว โดยปลายปี 2023 นั้นปริมาณผู้โดยสารรวมของ Cathay Pacific คิดเป็น 70% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนการแพร่ระบาดของโควิด ขณะเดียวกันยังรวมถึงราคาตั๋วเครื่องบินที่เพิ่มสูงขึ้นด้วย ส่งผลทำให้สายการบินรายใหญ่รายนี้มีกำไรจากการดำเนินงานที่เพิ่มมากขึ้น

สายการบินยังคาดว่าปริมาณผู้โดยสารรวมคาดว่าจะเติบโตที่ 80% ได้ภายในไตรมาส 2 และจะกลับมาเติบโตเท่ากับช่วงก่อนการแพร่ระบาดของโควิดได้ภายในไตรมาส 1 ของปี 2025 ช้ากว่าที่บริษัทคาดไว้ในตอนแรกถึง 3 เดือน

การฟื้นตัวของสายการบินนั้นสอดคล้องกับการท่องเที่ยวของฮ่องกง เนื่องจาก Cathay Pacific เป็นสายการบินหลักประจำสนามบินฮ่องกง และยังเป็นสายการบินรายหลักที่พานักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเข้ามาฮ่องกง

อย่างไรก็ดี การฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการบินในประเทศจีนที่เป็นไปอย่างล่าช้ายังได้สร้างผลกระทบต่อ Cathay Pacific ไม่น้อย เนื่องจากเส้นทางการบินนั้นมุ่งตรงสู่หลายเมืองในประเทศจีน และธุรกิจสายการบินยังประสบปัญหาแรงงานขาดแคลนรวมถึงปัญหาเรื่อง Supply Chain

Ronald Lam Siu-por ซึ่งเป็น CEO ของ Cathay Pacific ได้กล่าวถึงการยกเลิกเที่ยวบินในช่วงที่ผ่านมาว่าบริษัทจะจดจำเป็นบทเรียน และปรับปรุงปัญหาที่เกิดขึ้น

โดยสายการบินยังกล่าวว่าจะมีการรับพนักงานเพิ่มขึ้นอีก 20% เพื่อตอบสนองกับจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นด้วย สายการบินยังได้กล่าวว่านักบินของสายการบินยังมีจำนวนที่ขาดแคลน และถ้าหากสายการบินจะกลับมาเติบโตเท่ากับช่วงก่อนการแพร่ระบาดของโควิดจะต้องมีการรับพนักงานเพิ่มเติม

นอกจากนี้กำไรที่แตะระดับสูงสุดของสายการบินยังสามารถทำให้มีการจ่ายโบนัสให้กับพนักงานได้มากถึง 7.2 อาทิตย์ หรือคิดเป็นเกือบ 2 เดือน เพื่อที่จะสร้างขวัญและกำลังใจให้กับพนักงาน

ที่มา – South China Morning Post, Reuters, HKFP

ในเดือนเมษายนและพฤษภาคม คาเธ่ย์ แปซิฟิค และคาเธ่ย์ ดรากอน มีความตั้งใจที่จะจัดตารางเที่ยวบินโดยสารเท่าที่จำเป็นเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตาม เที่ยวบินขนส่งสินค้าของเรายังคงเปิดให้บริการเท่าเดิม

ตารางเที่ยวบินโดยสารที่เปิดให้บริการเท่าที่จำเป็นนี้ จะขึ้นอยู่กับว่าทางรัฐบาลทั่วโลกนั้นจะทำการออกข้อจำกัดการเดินทางเพิ่มเติมหรือไม่ ซึ่งจะเป็นการรองรับความต้องการของผู้โดยสารต่อไป

คาเธ่ย์ แปซิฟิค จะให้บริการเที่ยวบินโดยสารสามเที่ยวบินต่อสัปดาห์ไปยังจุดหมายปลายทางจำนวน 12 แห่ง ได้แก่ ลอนดอน (ฮีทโธรว์), ลอสแอนเจลิส, แวนคูเวอร์, โตเกียว (นาริตะ), ไทเป, นิวเดลี, กรุงเทพฯ, จาการ์ตา มะนิลา, นครโฮจิมินห์, สิงคโปร์ และซิดนีย์

สำหรับคาเธ่ย์ ดรากอนนั้น จะให้บริการเที่ยวบินโดยสารสามเที่ยวบินต่อสัปดาห์ไปยังจุดหมายปลายทางจำนวน 3 แห่ง ได้แก่ ปักกิ่ง, เซี่ยงไฮ้ (ผู่ตง) และกัวลาลัมเปอร์

โรนัลด์ แลม ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายลูกค้าและการค้าประจำคาเธ่ย์ แปซิฟิค กล่าวว่า

“ในฐานะสายการบินประจำฮ่องกง การให้บริการเที่ยวบินโดยสาร และการขนส่งสินค้าออกมายังฮ่องกงนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง ดังนั้นเราจึงพยายามที่จะคงไว้ซึ่งเที่ยวบินทั้งไปและกลับจากจุดหมายปลายทางต่างๆ ในเครือข่ายของเรา แม้จะเป็นจำนวนที่น้อย แต่ก็เพื่อเป็นการทำให้มั่นใจว่าเส้นทางการเดินทางที่สำคัญนี้ยังคงจะเปิดให้บริการอยู่เสมอ

เครือข่ายการขนส่งสินค้าของเรานั้นยังจะคงให้บริการเช่นเดิม นอกจากนี้ เรายังเพิ่มกำลังการขนส่งของเราด้วยการเปิดให้บริการแบบเช่าเหมาลำและนำเที่ยวบินผู้โดยสารที่ถูกระงับไปบางส่วนมาใช้เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่ต้องการจัดส่งสินค้าเพียงอย่างเดียว”

“เราจำเป็นต้องใช้มาตรการที่มีความยากลำบาก แต่แน่วแน่ เนื่องจากความท้าทายที่อุตสาหกรรมการบินทั่วโลกต้องเผชิญอยู่ขณะนี้นั้นอยู่ในระดับที่ใหญ่ และไม่เคยมีผู้ใดคาดคิดมาก่อน เราไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากต้องลดจำนวนที่นั่งผู้โดยสารลงอย่างมีนัยสำคัญ และเนื่องจากข้อจำกัดในการเดินทางนั้นทำให้เกิดความยากลำบากมากยิ่งขึ้นต่อลูกค้าของเรา อีกทั้งยังทำให้ความต้องการในการเดินทางลดลงอย่างมากอีกด้วย

คาเธ่ย์ แปซิฟิค และคาเธ่ย์ ดรากอน งดเว้นค่าบริการในกรณีที่ผู้โดยสารต้องการเปลี่ยนแปลงเที่ยวบิน จุดหมายปลายทาง หรือยกเลิกการเดินทาง

คาเธ่ย์ แปซิฟิคเป็นอีกหนึ่งผู้เล่นในศึกสายการบินที่วางจุดยืนเป็นสายการบินฟูลเซอร์วิสระดับพรีเมี่ยม ที่มีจุดแข็งที่เส้นทางกรุงเทพฯ–ฮ่องกง เพราะฐานการบินหลักอยู่ที่ฮ่องกง ช่วงที่ผ่านมาคาเธ่ย์ แปซิฟิคก็ได้มีการปรับกลยุทธ์เรื่องราคาบ้าง ขึ้นอยู่กับช่วงฤดูการท่องเที่ยว เพื่อรับกับผู้บริโภค

แต่ในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ดูเหมือนว่าจะหนักสำหรับคาเธ่ย์ แปซิฟิคเพราะผลประกอบการติดลบ 9% หรือมีรายได้ 45,683 ล้านเหรียญฮ่องกง ทำให้ในช่วงครึ่งปีหลังต้องมีการปรับกลยุทธ์กันยกใหญ่

การปรับกลยุทธ์มีทั้งในเรื่องของเครื่องบินลำใหม่ บริการใหม่ และการรีแบรนด์ จะเป็นส่วนผสมสำคัญในการต่อสู้ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ 

เครื่องบินลำใหม่ คาเธ่ย์ แปซิฟิคได้ขยายฝูงบินด้วยเครื่องบินแอร์บัสรุ่น A350-900s จำนวน 22 ลำแรกในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา โดยระหว่างนี้จนถึงปี 2563 จะส่งมอบเครื่องบินแอร์บัสรุ่น A350XWB จำนวน 48 ลำ เครื่องบินแอร์บัส A350 รุ่นใหม่จะประหยัดพลังงาน และมีเทคโนโลนีใหม่ๆ 

บริการใหม่ บนเครื่องมีบริการไวไฟ และ Ground service มีแอปพลิเคชั่นเพื่ออำนวยความสะดวก เพิ่มน้ำหนักกระเป๋าอีก 10 กิโลกรัม และปรับปรุงเล้าจ์สำหรับรองรับผู้โดยสารใหม่ให้พรีเมี่ยมขึ้น 

และมีการรีแบรนด์สายการบินดราก้อนแอร์ สายการบินในเครือคาเธ่ย์ แปซิฟิค เปลี่ยนชื่อเป็นคาเธ่ย์ ดราก้อน เพื่อเป็นการผนึกกำลังของสองสายการบิน แต่ยังคงเป็นสายการบินฟูลเซอร์วิสทั้งคู่ เพียงแต่จุดแข็งเส้นทางการให้บริการต่างกัน

คาเธ่ย์ แปซิฟิค จะมีเส้นทางบินอินเตอร์มากกว่า ไปทางโซนยุโรป ส่วนคาเธ่ย์ ดราก้อนจะเน้นเส้นทางบินภูมิภาค รวมถึง 23 เมืองในประเทศจีน จะเจาะตามเมืองได้มากกว่าคาเธย์ แปซิฟิค 

อากาธ่า ลี ผู้จัดการประจำประเทศไทย สายการบิน คาเธ่ย์ แปซิฟิค กล่าวว่า ประเทศไทยถือว่าเป็นตลาดสำคัญของคาเธ่ย์ แปซิฟิค ยังคงแข็งแกร่งในเส้นทางกรุงเทพฯ–ฮ่องกง ในปีที่ผ่านมามีความ้ทาทายอย่างมาก ทำให้ต้องพัฒนาสินค้าและบริการต่อเนื่อง จากครึ่งปีแรกที่รายได้ติดลบ เป็นผลมาจากเศรษฐกิจ และการเดินทางในเชิงธุรกิจน้อยลง ทำให้ต้องมีการปรับแผนด้วย“ 

กลยุทธ์เรื่องราคาคาเธ่ย์ แปซิฟิค ไม่ได้ลงมาเล่นมากเท่าไหร่ จะมีการจัดโปรตามช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว แต่ในปีนี้จะเน้นในส่วนของการเดินทางเชิงธุรกิจที่มีลดลง โดยจัดโปรแกรม คอร์ปอเรท ทราเวล โซลูชั่นส์ สำหรับเดินทางติดต่อธุรกิจ