สายการบินเจ็ทสตาร์ประกาศเป็นผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการให้แก่รายการ Asia’s Got Talent รายการแข่งขันยอดฮิตสำหรับผู้มีพรสวรรค์อันหลากหลาย ซึ่งในครั้งนี้จะเป็นการรวมตัวของเหล่าผู้มีพรสวรรค์ต่าง ๆ จากหลากหลายประเทศในภูมิภาคเอเชีย โดยจะการแข่งขันกันที่ประเทศสิงคโปร์

ด้วยเส้นทางการบินถึง 22 เส้นทางใน 13 ประเทศทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก สายการบินเจ็ทสตาร์จะเป็นช่วยอำนวยความสะดวกในการเดินทางให้กับนักล่าฝันในการแข่งขันเพื่อแสดงพรสรรค์ของตนออกมาได้อย่างเต็มที่

“เห็นได้ชัดว่าการแข่งขันทางด้านพรสวรรค์ต่าง ๆ กำลังได้รับความนิยมมากในภูมิภาคนี้ เราจึงมีความยินดีที่ได้เป็นสายการบินที่ให้การสนับสนุนอย่างเป็นทางการให้กับรายการนี้ ที่จัดขึ้นเป็นครั้งแรกในเอเชีย” นายบาราธาน ปาสุพัตธี ประธานกรรมการบริหารของเจ็ทสตาร์ เอเชียกล่าว

“ทางสายการบินมีความยินดีที่จะนำผู้เข้าแข่งขันผู้มากความสามารถที่ผ่านการออดิชั่นจากไทเป จาการ์ตา และ มะนิลามาทำการแสดงในรอบการแสดงสดสุดท้ายที่สิงคโปร์เป็นอย่างยิ่ง ส่วนเหล่าแฟนคลับก็สามารถบินลัดฟ้าตามไปให้กำลังใจและชมการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศในราคาที่สุดประหยัดจากเจ็ทสตาร์” นายบาราธานกล่าวเสริม

เพื่อเป็นการสนับสนุนนักล่าฝันให้ได้เป็นที่สุดของ Asia’s Got Talent ทางสายการบินเจ็ทสตาร์ได้สนับสนุนตั๋วเครื่องบินไปกลับฟรีให้กับผู้เข้าแข่งขันที่ได้รับการคัดเลือกจากคณะกรรมการให้ผ่านเข้าสู่รอบแกรนด์ไฟนอลที่จะจัดขึ้นที่ประเทศสิงคโปร์ โดยผู้ที่ผ่านเข้าสู่การแข่งขันรอบชิงชนะเลิศยังสามารถเลือกผู้ติดตามเพื่อร่วมเดินทางมาให้กำลังใจในการแข่งขันครั้งนี้ได้อีกด้วย

“รายการ Asia’s Got Talent เป็นภาคต่อของความสำเร็จอย่างท่วมท้นของสุดยอดรายการค้นหาผู้มีพรสวรรค์ในด้านต่างๆ ที่กำลังเป็นที่นิยมไปทั่วโลกอยู่ในขณะนี้ เรารู้สึกภูมิใจที่ได้ร่วมงานกับทางเจ็ทสตาร์ ในการอำนวยความสะดวกด้านการเดินทางของผู้เข้ารวมการแข่งขันในภูมิภาคเอเชีย และยังเป็นการกระตุ้นให้ประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคสนใจอยากเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว Got Talent กับเราอีกด้วย” นายพอล โอแฮนลอน กรรมการผู้จัดการบริษัทฟรีแมนเทิลมีเดีย เอเชียกล่าว

เครื่องบินรุ่น A 320 ของเจ็ทสตาร์จะได้รับการตกแต่งใหม่ เพื่อเป็นการฉลองการเป็นผู้สนับสนุนในรายการ Asia’s Got Talent ในครั้งนี้

“การตกแต่งเครื่องบินนี้ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของรายการ Got Talent ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในความตั้งใจของรายการนี้ที่จะรวบรวมบุคคลผู้ซึ่งเต็มเปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์จากทั่วเอเชียมารวมตัวกันในการแข่งขันที่ใหญ่ที่สุดและร้อนแรงที่สุดในโลกขณะนี้” นายโอแฮนลอนกล่าวเสริม

เครื่องบินลาย Asia’s Got Talent นี้จะเริ่มบินให้บริการไปสู่ที่หมายหลัก ๆ ของเจ็ทสตาร์เป็นเวลา 6 เดือน โดยเริ่มตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2558 เป็นต้นไป

เกี่ยวกับเจ็ทสตาร์ เอเชีย

เจ็ทตาร์ เอเชียเริ่มเปิดให้บริการมาตั้งแต่เดือนธันวาคม พ.ศ. 2547 และในปี พ.ศ. 2548ได้ร่วมเป็นสายการบินพันธมิตรกับแวรูแอร์ สิงคโปร์ (Valuair) โดยมุ่งเน้นเส้นทางบินภายในประเทศอินโดนีเซีย ณ ปัจจุบันสายการบินเจ็ทสตาร์ เอเชียและแวรูแอร์ ให้บริการเที่ยวบินมากกว่า 600 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ ครอบคลุม 22 จุดหมายปลายทางใน 13ประเทศ และในภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก

เกี่ยวกับฟรีแมนเทิลมีเดีย เอเชีย

มีสำนักงานในสิงคโปร์ ปักกิ่ง กรุงเทพ จาร์กาต้า และมุมไบ เป็นการให้การบริการอย่างครบถ้วน ครอบคลุมในทวีปเอเชีย ฟรีแมนเทิลมีเดีย เอเชียจึงนับเป็นบริษัทโปรดักชั่นที่ผลิตรายการต่างๆโดยมืออาชีพที่ดีที่สุดในภูมิภาคนี้ โดยได้ผลิตรายการระดับโลก ที่รวมถึงการแข่งขันแสดงความสามารถระดับสากลที่เป็นที่โด่งดังไปทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นรายการ Idol, X Factor, และ Got Talent ไปจนถึงรายการแข่งขันเกมส์ที่มีมายาวนานอย่าง Family Feud บริษัทฟรีแมนเทิลมีเดีย เอเชียยังมีความชำนาญในการปรับเปลี่ยนเพื่อความเหมาะสมให้รายการดังๆมากมาย เพื่อผลิตรายการในรูปแบบใหม่ที่เหมาะสมกับตลาดในภูมิภาคนี้ เป็นการสานต่อและต่อยอดความสำเร็จของรายการต้นแบบให้โด่งดังไปทั่วทุกมุมโลก  ฟรีแมนเทิลมีเดีย เอเชีย ยังได้ตอกย้ำการเป็นผู้เข้าใจในตลาด โดยล่าสุดยังได้ผลิตรายการ โดยปรับปรุงรูปแบบใหม่ให้เหมาะกับทวีปนี้ ด้วยการนำรายการThe Apprentice Asia ที่ประสบความสำเร็จไปทั่วโลก มาเป็นรายการ The Apprentice Asia อีกด้วย

เจ็ทสตาร์ ก้าวขึ้นเป็นสายการบินต้นทุนต่ำรายใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น ทั้งยังเป็นสายการบินต้นทุนต่ำรายใหญ่ที่สุดที่ให้บริการเที่ยวบินจากท่าอากาศยานนาริตะในกรุงโตเกียว หลังจากเปิดให้บริการเที่ยวบินภายในประเทศญี่ปุ่นเพียง 1 ปี โดยเจ็ทสตาร์ เจแปนมีฝูงบินเพิ่มขึ้นจาก 2 ลำเป็น 12 ลำและรับส่งผู้โดยสารกว่า 1.6 ล้านคนในปีที่ผ่านมา

ปี 2555 นับเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของตลาดการบินในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีสายการบินต้นทุนต่ำเปิดให้บริการในเส้นทางบินภายในประเทศเป็นครั้งแรกรวมถึง 3 รายภายในระยะเวลาเพียง 6 เดือน ซึ่งหนึ่งในจำนวนนี้ คือ สายการบินเจ็ทสตาร์ เจแปนในเครือของเจ็ทสตาร์ กรุ๊ป นอกจากนี้ เจ็ทสตาร์ยังเป็นสายการบินต้นทุนต่ำรายแรกที่เปิดให้บริการเที่ยวบินระหว่างประเทศสู่ประเทศญี่ปุ่น โดยเริ่มจากบริการเที่ยวบินระยะไกลสู่เมืองโอซาก้าในปี 2550

เจน เฮอร์ดลิคกา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เจ็ทสตาร์ กรุ๊ป เผยว่า “การที่เจ็ทสตาร์ เจแปนมีผู้โดยสารเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่า ผู้บริโภคชาวญี่ปุ่นมีความต้องการเดินทางด้วยสายการบินค่าโดยสารราคาประหยัดกันมากขึ้น” และเสริมว่า “เมื่อ 6 ปีก่อน มีนักวิเคราะห์ในวงการอุตสาหกรรมการบินหลายรายให้ความเห็นว่า สายการบินต้นทุนต่ำคงจะได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคชาวญี่ปุ่นได้ยาก แต่หลังจากนั้นเป็นต้นมา การเดินทางกับสายการบินต้นทุนต่ำกลับเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น โดยผู้โดยสารชาวญี่ปุ่นชื่นชอบค่าโดยสารราคาประหยัดและต้องการเข้าถึงการเดินทางทางอากาศได้มากขึ้น”

“เจ็ทสตาร์เป็นผู้บุกเบิกเปิดเที่ยวบินค่าโดยสารราคาประหยัดระยะไกลจากออสเตรเลียสู่ญี่ปุ่น และในวันนี้ เราให้บริการรับส่งผู้โดยสารจำนวนสูงถึงเกือบ 2 ล้านคนในเครือข่ายเส้นทางบินภายในประเทศญี่ปุ่น การเติบโตอย่างรวดเร็วของตลาดสายการบินต้นทุนต่ำในญี่ปุ่นทำให้ดิฉันเชื่อมั่นในรูปแบบการเป็นสายการบินค่าโดยสารราคาประหยัดที่เจ็ทสตาร์เปิดดำเนินการใน 16 ประเทศทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกในขณะนี้ และทำให้เจ็ทสตาร์เป็นผู้นำในการปฏิวัติพลิกโฉมอุตสาหกรรมการเดินทางทางอากาศอย่างแท้จริง” เจน กล่าว

ที่ผ่านมา การเดินทางทางอากาศภายในประเทศญี่ปุ่นเป็นอีกหนึ่งตลาดการบินที่มีค่าใช้จ่ายแพงสุด แต่เจ็ทสตาร์ เจแปนได้ให้บริการรับส่งผู้โดยสารจำนวนเกือบ 500,000 คนด้วยค่าโดยสารราคาต่ำกว่า 5,000 เยน (ประมาณ 1,557 บาท) และกว่าครึ่งหนึ่งของอัตราค่าโดยสารทั้งหมดจะมีราคาต่ำกว่า 8,000 เยน (ประมาณ 2,490 บาท)

ตลอดสองปีที่ผ่านมา เจ็ทสตาร์ กรุ๊ป ได้ขยายจุดบินในเครือข่ายการบินระหว่างประเทศที่เชื่อมโยงสู่ญี่ปุ่น เพื่อรองรับการเปิดบริการเที่ยวบินภายในประเทศญี่ปุ่น ปัจจุบัน สายการบินในเครือของเจ็ทสตาร์กรุ๊ปเปิดให้บริการเที่ยวบินจากเมืองแคร์นส์ โกลด์โคสต์ สิงคโปร์ ไทเป และมนิลาสู่ญี่ปุ่น นอกจากนี้ เจ็ทสตาร์ยังเปิดบริการเที่ยวบินร่วมกับเจเอแอล และเปิดให้สมาชิกโครงการสะสมไมล์ของแควนตัสแลกไมล์สะสมเป็นตั๋วโดยสารสู่จุดบินต่างๆ ภายในเครือข่ายเส้นทางบินภายในประเทศของเจ็ทสตาร์ เจแปนได้อีกด้วย

“หนึ่งในจุดแข็งของเจ็ทสตาร์ กรุ๊ป คือ การมีสมรรถนะอันแข็งแกร่งในการขยายเครือข่ายการบินภายในประเทศที่เชื่อมโยงกับจุดบินในเครือข่ายการบินระหว่างประเทศของสายการบินในเครือเจ็ทสตาร์ กรุ๊ป และสายการบินอื่นๆ ภายใต้ข้อตกลงการให้บริการเที่ยวบินร่วมและตั๋วโดยสารร่วม และด้วยความโดดเด่นดังกล่าวทำให้เจ็ทสตาร์ กรุ๊ปสามารถให้บริการรับส่งผู้โดยสารมาอย่างต่อเนื่องนานถึง 10 ปี ด้วยค่าโดยสารราคาประหยัดเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้คนเดินทางได้มากขึ้นและบ่อยครั้งขึ้น และนี่คือ พันธกิจที่บริษัทได้ยึดถือและปฏิบัติตามนับตั้งแต่เปิดเที่ยวบินปฐมฤกษ์ในปี 2547 เป็นต้นมา” เจน กล่าวปิดท้าย

เจ็ทสตาร์ ประกาศเพิ่มเที่ยวบินในเส้นทางระหว่างสิงคโปร์ – กรุงเทพฯ อีกสัปดาห์ละ 8 เที่ยว เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจ โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 8 กรกฎาคม เป็นต้นไป ทั้งนี้ การขยายเที่ยวบินดังกล่าวทำให้เจ็ทสตาร์ เอเชียให้บริการเที่ยวบินระหว่าง สิงคโปร์ – กรุงเทพฯ สูงถึงวันละ 5 เที่ยว โดยมีสมรรถนะรองรับผู้โดยสารเพิ่มขึ้นกว่า 2,800 ที่นั่งต่อสัปดาห์

มร. บาราธาน พสุปะธิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เจ็ทสตาร์ เอเชีย กล่าวว่า “กรุงเทพฯ และประเทศไทยยังคงเป็นหนึ่งในตลาดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในเครือข่ายเส้นทางบินสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของเจ็ทสตาร์ เราพร้อมเดินหน้าขยายเที่ยวบินสู่กรุงเทพฯ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการตลาดท่องเที่ยวที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง และผู้โดยสารระดับนักธุรกิจที่ทวีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วยค่าโดยสารราคาคุ้มค่าและตารางการบินที่โดดเด่น”

“ในปีที่ผ่านมา เจ็ทสตาร์ เอเชียรับส่งผู้โดยสารในเส้นทางบินดังกล่าวจำนวนมากกว่า 2 ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 30 การให้บริการเที่ยวบินวันละ 5 เที่ยว ทำให้นักเดินทางเพื่อการท่องเที่ยวพักผ่อนมีทางเลือกเพิ่มขึ้นและเลือกเวลาในการเดินทางได้มากขึ้นทั้งการบินตรงจากสิงคโปร์หรือแวะเปลี่ยนเครื่องที่ศูนย์กลางการบินของเจ็ทสตาร์ในประเทศสิงคโปร์เพื่อต่อเครื่องไปยังเส้นทางบินอื่นๆ ของเจ็ทสตาร์ได้อย่างสะดวกและคล่องตัว” มร.พสุปะธิ กล่าวปิดท้าย

เมื่อรวมเที่ยวบินที่เพิ่มขึ้นดังกล่าว ทำให้เจ็ทสตาร์ กรุ๊ปให้บริการเที่ยวบินสู่ไทยรวมทั้งสิ้นสัปดาห์ละ 106 เที่ยวในเส้นทางบินจากสิงคโปร์และซิดนีย์สู่ภูเก็ต และเส้นทางบินจากเมลเบิร์นและสิงคโปร์สู่กรุงเทพฯ

สำหรับค่าโดยสารชั้นประหยัดในเส้นทางบินจากสิงคโปร์สู่กรุงเทพฯ มีราคาเริ่มต้นที่ 114 เหรียญสิงคโปร์ หรือ 2,699 บาทต่อเที่ยว

เที่ยวบินที่	เส้นทาง	วัน/ออกเดินทางเวลา/ถึงที่หมายเวลา (เวลาท้องถิ่น)
3K519	สิงคโปร์ – กรุงเทพฯ	15.20 น. – 16.50 น. (จันทร์/พุธ)
3K520	กรุงเทพฯ – สิงคโปร์	17.30 น. – 21.05 น. (จันทร์/พุธ)
3K519	สิงคโปร์ – กรุงเทพฯ	8.55 น. – 10.40 น. (อังคาร/พฤหัสบดี)
3K520	กรุงเทพฯ – สิงคโปร์	11.40 น. – 3.00 น. (อังคาร/พฤหัสบดี)

เจ็ทสตาร์ เฉลิมฉลองการมีเครื่องบินให้บริการครบหนึ่งร้อยลำ ถือเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญที่สะท้อนถึงศักยภาพการให้บริการครอบคลุมทั้งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและรองรับความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มมากขึ้น

นับจากเริ่มให้บริการในปี 2547 เจ็ทสตาร์ พัฒนาจากสายการบินในประเทศขนาดเล็กที่มีเครื่องบินเพียง 14 ลำ ให้บริการในแถบชายฝั่งตะวันออกของออสเตรเลีย จนกระทั่งกลายมาเป็นสายการบินแบรนด์เอเชียแปซิฟิกที่เติบโต
เร็วที่สุดในการมีเครื่องบินให้บริการครบหนึ่งร้อยลำ

เจย์น เฮอร์ดิคลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเจ็ทสตาร์ กรุ๊ป กล่าวว่า “ความสำเร็จครั้งนี้เกิดขึ้นได้ด้วยเพราะความอนุเคราะห์ของผู้โดยสาร 400,000 คนที่เลือกบินกับเจ็ทสตาร์ในแต่ละสัปดาห์ อีกทั้งการที่เราใช้เครื่องบินที่มีมาตรฐานเดียวกันหมด ทำให้สามารถบรรทุกผู้โดยสารได้มากขึ้น ทำการบินไปยังจุดหมายต่างๆ ได้หลายแห่งมากขึ้น และเดินทางได้บ่อยขึ้นกว่าเดิม” เจย์น กล่าว

สำหรับความสำเร็จในครั้งนี้ เจ็ทสตาร์ได้ตกแต่งเครื่องบินรุ่น A320 ลำล่าสุดที่ติดตั้งชาร์คเล็ต ให้มีลวดลายพิเศษแสดงการเฉลิมฉลองฝูงบินครบหนึ่งร้อยลำ ซึ่งลวดลายพิเศษนี้แสดงให้เห็นภาพคน 132 คน ทั้งผู้โดยสารและทูตจากประเทศต่างๆ ในเอเชียแปซิฟิก ทำท่า “เจ็ทสตาร์จั๊มพ์” และเป็นตัวแทนแบรนด์สายการบินในเครือเจ็ทสตาร์ทั้งห้าแบรนด์ โดยเครื่องบินลวดลายพิเศษฉลองครบร้อยลำ หมายเลขทะเบียน VH-VFN จะให้บริการในเส้นทางบินหลักในออสเตรเลีย และคาดว่าจะให้บริการข้ามไปยังนิวซีแลนด์ สิงคโปร์ และญี่ปุ่นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

“การส่งมอบเครื่องบินรุ่น A320 ลำใหม่ที่มาพร้อมกับนวัตกรรมการออกแบบปลายปีกแบบพิเศษ ทำให้เครื่องบินมีประสิทธิภาพการใช้พลังงานดีขึ้น และช่วยให้เรานำเสนอบริการแก่ลูกค้าได้อย่างต่อเนื่องทุกวัน ด้วยต้นทุนที่ประหยัดมากกว่าเดิม นอกจากนี้ยังสะท้อนถึงความมุ่งมั่นต่อพันธกิจอย่างต่อเนื่อง ด้วยการลงทุนในเครื่องบินที่ทันสมัย พร้อมด้วยนวัตกรรมใหม่ เพื่อยังประโยชน์สูงสุดแก่ลูกค้า” เจย์น กล่าวเสริม

เจย์น เฮอร์ดิคลา กล่าวว่า “ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นับเป็นโอกาสการเติบโตที่ยิ่งใหญ่มากสำหรับแควนตัสกรุ๊ป เนื่องจากเจ็ทสตาร์มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องในการพัฒนาธุรกิจในตลาดที่ท้าทายที่สุดจากทั่วทุกมุมโลก นอกจากนี้ ด้วยความมุ่งมั่นของเจ็ทสตาร์ในด้านเทคโนโลยีและการส่งออกเผยแพร่ความเชี่ยวชาญไปยังตลาดต่างๆ แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและความสามารถของทีมงานต่างๆ ในกลุ่ม ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมาของเส้นทางธุรกิจในระยะสั้นๆ เจ็ทสตาร์ได้พัฒนาธุรกิจสายการบินราคาประหยัดให้ก้าวไปอีกขั้น ด้วยการขยายไปในตลาดที่ยังไม่เคยมีสายการบินราคาประหยัดรายใดเข้าไปให้บริการมาก่อน” เจย์น กล่าวปิดท้าย

ปัจจุบันกลุ่มเจ็ทสตาร์มีเครื่องบินสามลำที่ติดตั้งชาร์คเล็ต เพื่อช่วยประหยัดพลังงาน โดยลำหนึ่งเป็นของเจ็ทสตาร์ เอเชีย เจ็ทสตาร์ เจแปน และล่าสุดเป็นของเจ็ทสตาร์ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์

** เจ็ทสตาร์ กรุ๊ป ประกอบด้วย สายการบินเจ็ทสตาร์ ออสเตรเลีย และเจ็ทสตาร์ นิวซีแลนด์ (บริษัทย่อยของแควนตัส กรุ๊ป) เจ็ทสตาร์เอเชียในประเทศสิงคโปร์ เจ็ทสตาร์ แปซิฟิกในประเทศเวียดนาม และเจ็ทสตาร์ เจแปน ในประเทศญี่ปุ่น

** สำหรับเจ็ทสตาร์ ฮ่องกง เมื่อได้รับการอนุมัติตามระเบียบข้อบังคับทางการบิน จะทำการบินไปยังจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในช่วงปลายปีนี้

เจ็ทสตาร์ เอเชีย ได้รับการขึ้นทะเบียนรับรองให้เป็นสายการบินที่ผ่านการตรวจสอบมาตรฐานความปลอดภัยในการปฏิบัติการบิน (IOSA: IATA Operational Safety Audit) จากสมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (IATA: The International Air Transport Association) โดยมีการปฏิบัติตามมาตรฐานและข้อปฏิบัติด้านความปลอดภัยตามที่กำหนดไว้กว่า 900 รายการ

ทั้งนี้ ระบบตรวจสอบความปลอดภัยในการปฏิบัติการบิน คือ ระบบประเมินผลความปลอดภัยทางการบิน ที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลกว่ามีประสิทธิภาพในการวัดและประเมินผลการบริหารการดำเนินงานและการควบคุมมาตรฐานความปลอดภัยในการปฏิบัติการบิน เพื่อให้สายการบินต่างๆ พัฒนาและปรับปรุงการดำเนินงานให้มีความปลอดภัยสูงสุด ทั้งยังช่วยลดปริมาณการตรวจสอบ ดังนั้น การปฏิบัติตามมาตรฐาน IOSA และข้อปฏิบัติต่างๆ จึงช่วยให้สายการบินมีการดำเนินงานอย่างปลอดภัยในทุกด้าน

สำหรับการตรวจสอบความปลอดภัยในการปฏิบัติการบินตามมาตรฐาน IOSA ดังกล่าว มีองค์กรที่ได้รับแต่งตั้งจาก IATA เป็นผู้ดำเนินการ โดยได้ดำเนินการตรวจสอบความปลอดภัยทางด้านต่างๆ ได้แก่ ระบบจัดตั้งและบริหาร การปฏิบัติการบิน การควบคุมการดำเนินงาน ซึ่งได้แก่ การจัดการเที่ยวบิน การซ่อมบำรุงระบบวิศวกรรมของเครื่องบิน การบริหาร การปฏิบัติการขนส่งสินค้า การรักษาความปลอดภัย การบริหารห้องโดยสารและการบริหารส่วนภาคพื้นดิน

มร. บาราธาน (บารา) พสุปะธิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายการบินเจ็ทสตาร์ เอเชีย เปิดเผยว่า “เรามีความภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้รับการขึ้นทะเบียนรับรองจาก IATA ให้เป็นผู้ให้บริการการบินที่มีคุณภาพ ตรงตามมาตรฐานความปลอดภัย IOSA ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าเจ็ทสตาร์เป็นสายการบินที่ยึดถือและปฏิบัติตามมาตรฐานสากล ส่งผลให้นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เจ็ทสตาร์ไม่ต้องเข้ารับการตรวจสอบเพิ่มขึ้นอีกในกรณีที่มีการบรรลุข้อตกลงเชิงพาณิชย์ การให้บริการเที่ยวบินร่วมกับสายการบินพันธมิตรเดิมหรือรายใหม่ๆ การผ่านการตรววจสอบความปลอดภัยในการปฏิบัติงานตอกย้ำถึงปณิธานของเจ็ทสตาร์ที่มุ่งลงทุนพัฒนาการดำเนินงานเพื่อให้มีความปลอดภัยตรงตามมาตรฐานและข้อปฏิบัติชั้นนำของอุตสาหกรรมการบินมาโดยตลอด”

ด้าน มร.มานู วอน ลูเดอร์ส รองนายกระดับภูมิภาค สมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (IATA) กล่าวว่า “ความปลอดภัยเป็นเรื่องที่สำคัญสูงสุดในอุตสาหกรรมการบิน และการตรวจสอบ IOSA เป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ IATA จัดทำขึ้น เพื่อยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยในการปฏิบัติการบิน ในโอกาสนี้ ผมจึงใคร่ขอแสดงความยินดีต่อเจ็ทสตาร์ เอเชียที่ได้รับการขึ้นทะเบียนรับรองมาตรฐานความปลอดภัย IOSA ในครั้งนี้ และขอชื่นชมที่เจ็ทสตาร์ เอเชียได้มุ่งมั่นพัฒนาการปฏิบัติการบินให้มีความปลอดภัยสูงสุดตรงตามมาตรฐานสากลที่กำหนดไว้อย่างต่อเนื่อง”

 

สายการบินเจ็ทสตาร์นำเครื่องบิน แอร์บัส เอ 320 มาให้บริการแก่สายการบินเจ็ทสตาร์ เอเชียเป็นลำที่17 เพื่อเพิ่มสมรรถนะการให้บริการในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเครื่องบินลำใหม่จะทำให้เจ็ทสตาร์ เอเชียขยายบริการในเส้นทางสิงคโปร์ สู่กัวลาลัมเปอร์ กรุงเทพฯ ภูเก็ต และย่างกุ้งได้เพิ่มขึ้น รองรับลูกค้าได้อีก 70,000 ที่นั่งต่อเดือน นับตั้งแต่วันที่ 28 ตุลาคม เป็นต้นไป 

มร. บารา พสุปะธิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการบินเจ็ทสตาร์ เอเชีย กล่าวว่า การเพิ่มศักยภาพการให้บริการดังกล่าว เป็นการให้ความสำคัญกับเส้นทางการบินของเจ็ทสตาร์ที่ได้รับความนิยมในภูมิภาค ช่วยให้ลูกค้าเข้าถึงบริการของเจ็ทสตาร์ได้ดีขึ้น

“ปัจจุบันมีชาวมาเลเซียเดินทางไปยังเมลเบิร์นและโอ๊คแลนด์โดยใช้บริการสายการบินราคาประหยัดของเราเพิ่มขึ้น การเพิ่มเที่ยวบินอีก 36 เที่ยวต่อสัปดาห์จากกัวลาลัมเปอร์ ไปยังศูนย์กลางการบินที่สิงคโปร์ จะทำให้ผู้โดยสารมีทางเลือกเพิ่มขึ้น สามารถเดินทางต่อไปยังจุดต่างๆ ในภูมิภาคได้ง่ายขึ้น” มร.บารากล่าว

สำหรับตารางการบินใหม่นี้ เจ็ทสตาร์จะให้บริการเที่ยวบินไปกลับระหว่างสิงคโปร์และกัวลาลัมเปอร์เพิ่มขึ้นสูงสุดเป็น 61 เที่ยวต่อสัปดาห์ ทำให้ผู้โดยสารสามารถเดินทางต่อจากสิงคโปร์ ไปยังมะนิลา เพิร์ธ และไทเป ได้ทันเวลาตามต้องการมากขึ้น

สำหรับเที่ยวบินตรงสู่ย่างกุ้ง จะเพิ่มเป็นการให้บริการทุกวัน จากเดิมที่ให้บริการเพียง 4 เที่ยวต่อสัปดาห์ 

“เจ็ทสตาร์เป็นสายการบินราคาประหยัดรายเดียวที่ให้บริการบินตรงจากสิงคโปร์ไปสู่พม่า จึงนับเป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นยินดีว่าเราจะสามารถให้บริการสู่จุดหมายปลายทางที่กำลังได้รับความสนใจมากในภูมิภาค” มร.บารา กล่าว

นอกจากนี้ เจ็ทสตาร์ยังจะเพิ่มเที่ยวบินไปยังประเทศไทย ในเส้นทางยอดนิยม ได้แก่ ภูเก็ตและกรุงเทพฯ เป็นสูงสุด 44 เที่ยวต่อสัปดาห์ ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ทำให้เจ็ทสตาร์เป็นสายการบินราคาประหยัดที่ให้บริการเดินทางสู่จุดหมายถึง 60 แห่งใน 17 ประเทศ นับเป็นสายการบินราคาประหยัดที่เติบโตเร็วที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยบริการที่เพิ่มขึ้นเป็นการขยายผลจากอัตราการเติบโตกว่าร้อยละ 38 ในปีการเงินที่ผ่านมา

 

กรุงเทพฯ 30 พฤศจิกายน 2554 – เจ็ทสตาร์ สายการบินค่าโดยสารราคาประหยัดชั้นนำของโลก เปิดให้ บริการเที่ยวบินระหว่างเมลเบิร์น – สิงคโปร์ – ปักกิ่งใหม่เป็นประจำทุกวัน ส่งผลให้กรุงปักกิ่งเป็นจุดหมายปลายทางเพื่อการท่องเที่ยวพักผ่อนที่มีค่าใช้จ่ายประหยัดสำหรับชาวออสเตรเลีย

มร. เดวิด ฮอลล์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เจ็ทสตาร์ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ กล่าวว่า “ปักกิ่ง คือ จุดหมายปลายทางล่าสุดสำหรับนักท่องเที่ยวชาวออสเตรเลีย โดยมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจหลายแห่ง อาทิ กำแพงเมืองจีน สุสานหุ่นทหารนักรบของจักรพรรดิ์จิ๋นซีฮ่องเต้ พระราชวังต้องห้าม เป็นต้น สำหรับเส้นทางบินระหว่างเมลเบิร์น – สิงคโปร์ – ปักกิ่งดังกล่าว ถือเป็นเส้นทางบินใหม่ที่คาดว่า จะมีจำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางมาเยือนประเทศออสเตรเลียมากขึ้น และด้วยค่าโดยสารราคาประหยัดทำให้นักท่องเที่ยวสามารถใช้เวลาในการท่องเที่ยวพักผ่อนได้นานขึ้น”

“ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของเที่ยวบินใหม่ระหว่างเมลเบร์น – สิงคโปร์ – ปักกิ่งดังกล่าว ได้แก่ นักท่องเที่ยวและผู้โดยสารแบบครอบครัวที่ต้องการสัมผัสประสบการณ์การเดินทางใหม่ตรงตามงบประมาณที่ตั้งไว้ จากข้อมูลในปีที่ผ่านมาระบุว่า มีจำนวนผู้โดยสารชาวจีนเดินทางมาถึงท่าอากาศยานเมลเบิร์นเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 27 จึงทำให้เราคาดหวังว่า เที่ยวบินใหม่ดังกล่าวจะทำให้มีนักท่องเที่ยวจากประเทศจีนเดินทางมาเยือนออสเตรเลียเป็นจำนวนมากขึ้น ทั้งยังสนับสนุนชาวจีนในออสเตรเลียให้สามารถเดินทางกลับไปเยี่ยมญาติมิตรสหายและครอบครัวในประเทศจีนด้วยค่าโดยสารราคาประหยัดได้บ่อยครั้งยิ่งขึ้น” มร. ฮอลล์ กล่าวเสริม

ด้านมร. แอนดรู แมคอิวอย ผู้ว่าการท่องเที่ยวออสเตรเลียกล่าวต้อนรับเส้นทางบินใหม่ดังกล่าวของเจ็ทสตาร์ และระบุว่า “เส้นทางบินใหม่ดังกล่าวจะทำให้ธุรกิจต่างๆ ของออสเตรเลียมีลู่ทางขยายการลงทุนใหม่ๆ ในประเทศจีนและภูมิภาคเอเชียมากขึ้น ทั้งยังเสริมสร้างความแข็งแร่งให้แก่การเดินทางทางอากาศระหว่างประเทศออสเตรเลีย และสิงคโปร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในตลาดที่โดดเด่นในภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของเจ็ทสตาร์ โดยสิงคโปร์มีจำนวนผู้โดยสารขาเข้ามากกว่า 300,000 รายในปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ ภูมิภาคเอเชียยังมีการเติบโตอย่างรวดเร็วและมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวของออสเตรเลียให้บรรลุเป้าหมายภายในปี 2563 อย่างแน่นอน”

อนึ่ง ปักกิ่ง คือ จุดหมายปลายทางแห่งที่ 10 ในประเทศจีนของเจ็ทสตาร์ กรุ๊ป ปัจจุบัน เจ็ทสตาร์ให้บริการเที่ยวบินจากประเทศออสเตรเลียสู่จุดหมายปลายทางในประเทศต่างๆ รวม 15 แห่ง และให้บริการรับส่งผู้โดยสารสู่จุดหมายปลายทางต่างๆ ภายใต้เครือข่ายการบินทั่วภูมิภาคแพนเอเชียประมาณ 60 แห่ง

นอกจากนี้ เจ็ทสตาร์ยังเตรียมนำเครื่องบินแอร์บัส เอ330 ความจุ 303 ที่นั่งใน 2 ชั้นโดยสาร ได้แก่ ชั้นนักธุรกิจและชั้นประหยัด ออกให้บริการในเส้นทางบินระหว่างสิงคโปร์ – ปักกิ่งในเร็วๆ นี้ พร้อมขึ้นแท่นสายการบินต้นทุนต่ำรายแรกที่นำเครื่องบินโบอิ้ง 787 ดรีมไลเนอร์ออกให้บริการแทนฝูงบิน เอ330 โดยจะเริ่มตั้งแต่กลางปี 2556
เป็นต้นไป

มร. เลสลี่ อิง ผู้จัดการทั่วไปประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และกลุ่มประเทศจีน สายการบินเจ็ทสตาร์ เผยแผนการขยายเส้นทางบิน พร้อมด้วยผลิตภัณฑ์และบริการเพิ่มมูลค่าของเจ็ทสตาร์ในงาน Corporate Travel World Conference
ซึ่งจัดขึ้น ณ ห้องบางกอกคอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์เมื่อเร็วๆ นี้

เจ็ทสตาร์ สายการบินค่าโดยสารราคาประหยัดชั้นนำจัดแถลงแผนการขยายสมรรถนะการบินและประกาศความสำเร็จของการใช้กลยุทธ์สายการบินต้นทุนต่ำในงาน Corporate Travel World Conference ณ ห้องบางกอกคอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์เมื่อเร็วๆ นี้

ในปี 2554 เจ็ทสตาร์มีสมรรถนะการบินโดยรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 19 ประกอบด้วยการเติบโตของสมรรถนะการบิน ในเส้นทางบินภายในประเทศออสเตรเลียและนิวซีแลนด์คิดเป็นร้อยละ 23 สมรรถนะการบินในเส้นทางบินระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นร้อยละ 9 และสมรรถนะการบินของจ็ทสตาร์ เอเชียเพิ่มขึ้นร้อยละ 46 ทั้งยังมีจำนวนผู้โดยสารทั้งหมดเพิ่มขึ้นร้อยละ 14 จากปีที่ผ่านมา

เจ็ทสตาร์เดินหน้าขยายเครือข่ายการบินและช่องทางการให้บริการอย่างต่อเนื่องร่วมกับพันธมิตรเที่ยวบินร่วมและตั๋วโดยสารร่วม รวมทั้งผ่านแฟรนไชส์ทั้งในปัจจุบันและที่จะมีขึ้นในอนาคตทั่วภูมิภาคเอเชีย เจ็ทสตาร์มอบ ความสะดวกสบายและความคล่องตัวให้แก่ลูกค้าระดับองค์กรหรือผู้โดยสารเพื่อการท่องเที่ยวและพักผ่อน โดยเปิดให้จองซื้อตั๋วโดยสารทางระบบออนไลน์ด้วยบัตรเครดิต (ทั้งบัตรวีซ่าและมาสเตอร์การ์ด) ได้ที่เว็บไซด์ jetstar.com ผู้โดยสารของเจ็ทสตาร์ทุกรายจะได้รับสิทธิประโยชน์และสิทธิพิเศษอย่างครบถ้วนภายใต้มาตรการรับประกันค่าโดยสารราคาประหยัดสุด (Price Beat Guarantee)

นอกจากนี้ ผู้โดยสารที่ต้องการความยืดหยุ่นในการเปลี่ยนวันที่เดินทาง/ชื่อผู้เดินทางสามารถเลือกซื้อแพคเกจ “พลัสบันเดิล” (Plus Bundle) ซึ่งให้สิทธิ์ยกเว้นค่าธรรมเนียมในการเปลี่ยนชื่อผู้โดยสาร/วันเดินทาง และสำหรับผู้โดยสารที่ต้องการออปชั่นการคืนเงิน สามารถเลือกซื้อแพคเกจ “แม็กซ์บันเดิล” (Max Bundle) ซึ่งให้สิทธิ์ยกเว้นค่าธรรมเนียมการเปลี่ยนชื่อผู้โดยสาร/วันเดินทาง พร้อมด้วยบริการคืนเงิน ทั้งนี้ แพคเกจแบบผนวกดังกล่าว จะครอบคลุมถึงบริการอื่นๆ ที่น่าสนใจสำหรับลูกค้าระดับองค์กร อาทิ บริการอาหาร/เครื่องดื่ม บริการเลือกที่นั่งได้ฟรีโดยไม่คิดค่าบริการเพิ่ม และบริการโปรแกรมสะสมไมล์การเดินทางของแควนตัส นอกจากนี้ ผู้โดยสารสามารถเลือกซื้อแผนประกันอุบัติเหตุในราคาลดพิเศษในช่วงการจองซื้อตั๋วโดยสาร

สำหรับค่าโดยสารของเจ็ทสตาร์มีออปชั่นใหม่ๆ ที่มีราคาประหยัดยิ่งขึ้นให้ลูกค้าเลือกซื้อได้อย่างง่ายๆ และสะดวกรวดเร็ว โดยเปิดให้ลูกค้าเลือกซื้อเฉพาะสิ่งที่ต้องการทั้งค่าโดยสารชั้นประหยัดระดับเริ่มต้นแบบสตาร์ทเตอร์ (Starter) ซึ่งใช้แทนประเภทค่าโดยสารแบบเดิม อันได้แก่ เจ็ทเซฟเวอร์ ไลท์ (JetSaver Light) เจ็ทเซฟเวอร์ (JetSaver) เจ็ทเฟล็กซ์ (JetFlex) และเจ็ทพลัส (JetPlus) หรือซื้อเพิ่มออปชั่นบริการอื่นๆ ที่มีให้เลือกหลากหลายประเภท เพื่อสร้างสรรค์ประสบการณ์การเดินทางที่ตอบโจทย์ความต้องการของแต่ละบุคคล

เจ็ทสตาร์มีปณิธานมุ่งส่งเสริมและสนับสนุนการเดินทางทางอากาศของผู้บริโภคชาวไทยให้มีความสะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยมีอัตราที่นั่งโดยสาร (seat ratio) ในระดับสูงอย่างสม่ำเสมอ โดยยังคงมีสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 80 ในปัจจุบัน (อนึ่ง อัตราที่นั่งโดยสาร (seat Ratio) คือ อัตราส่วนร้อยละโดยเฉลี่ยของผู้โดยสารต่อจำนวนที่นั่งที่ให้บริการในแต่ละเที่ยวบิน)

ปัจจุบัน เจ็ทสตาร์ กรุ๊ปให้บริการเที่ยวบินไป-กลับระหว่างประเทศไทยและจุดหมายปลายทางต่างๆ วันละมากกว่า 10 เที่ยว ในเส้นทางบินและความถี่ในการบินดังนี้ เส้นทางบินระหว่างไทย – สิงคโปร์/ออสเตรเลียรวมทั้งสิ้นสัปดาห์ละ 82 เที่ยว ประกอบด้วยเที่ยวบินไป-กลับระหว่างกรุงเทพฯ – สิงคโปร์สัปดาห์ละ 21 เที่ยว เที่ยวบินไป-กลับระหว่างภูเก็ต – สิงคโปร์สัปดาห์ละ 14 เที่ยว เที่ยวบินไป-กลับระหว่างภูเก็ต – ซิดนีย์สัปดาห์ละ 3 เที่ยว และเที่ยวบินไป-กลับระหว่างกรุงเทพฯ – เมลเบิร์นสัปดาห์ละ 3 เที่ยว

เมื่อเร็วๆ นี้ เจ็ทสตาร์ สายการบินค่าโดยสารราคาประหยัดชั้นนำเปิดเที่ยวบินปฐมฤกษ์ระหว่างสิงคโปร์ – หนิงโป

ทั้งนี้ เจ็ทสตาร์เป็นสายการบินเพียงรายเดียวที่ให้บริการเที่ยวบินตรงระหว่างสิงคโปร์ – หนิงโป โดยในระยะแรก จะให้บริการ 3 เที่ยวต่อสัปดาห์ (ทุกวันอังคาร ศุกร์ และอาทิตย์) และจะขยายเพิ่มเป็น 4 เที่ยวต่อสัปดาห์ (ทุกวันอังคาร พฤหัสบดี ศุกร์ และอาทิตย์) ในเดือนพฤศจิกายน ศกนี้

ตลอดระยะเวลา 18 เดือนที่ผ่านมา เจ็ทสตาร์เดินหน้าขยายเครือข่ายเส้นทางบินสู่ประเทศจีนอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง นอกจากหนิงโปซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางแห่งที่ 8 แล้ว เจ็ทสตาร์ยังเตรียมเปิดเที่ยวบินระยะไกลระหว่างสิงคโปร์ – เมลเบิร์น – ปักกิ่งใหม่ตั้งแต่วันที่ 24 พฤศจิกายนนี้เป็นต้นไป* (*ขึ้นอยู่กับระเบียบและข้อบังคับทางการบิน)

มิสฉง พิด-เหลียน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายการบิน เจ็ทสตาร์ เอเชีย กล่าวว่า “เที่ยวบินระหว่างหนิงโป – สิงคโปร์เป็นเที่ยวบินที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคที่ต้องการเดินทางด้วยเที่ยวบินตรงสู่ประเทศสิงคโปร์ด้วยค่าโดยสารราคาประหยัดสุด โดยใช้เวลาในการเดินทางเพียง 5 ชั่วโมงเท่านั้น ทำให้นักท่องเที่ยวและนักธุรกิจมีทางเลือกในการเดินทางที่ประหยัดและง่ายดายมากขึ้น ทั้งยังต่อเที่ยวบินไปยังจุดหมายปลายทางอื่นๆ ภายใต้เครือข่ายเส้นทางบินของเจ็ทสตาร์ได้อย่างสะดวกและคล่องตัวยิ่งขึ้น

สำหรับค่าโดยสารของเที่ยวบินระหว่างสิงคโปร์ – หนิงโปจะมีราคาประหยัดกว่าเที่ยวบินที่แวะจอด 1 จุดของสายการบินคู่แข่งเฉลี่ยร้อยละ 40 ทั้งยังมีราคาโปรโมชั่นที่ประหยัดกว่าอีกด้วย”

มร. ลี โกะ เช็ง เลขาธิการ สมาคมหนิงโป เผยว่า “เที่ยวบินตรงระหว่างสิงคโปร์ – หนิงโปเป็นที่ต้องการของนักธุรกิจชาวหนิงโปที่พำนักอยู่ในประเทศสิงคโปร์มาเป็นระยะเวลานาน และในวันนี้ เราจึงรู้สึกยินดีอย่างยิ่งกับการเปิดให้บริการเที่ยวบินใหม่ดังกล่าว เรามั่นใจว่าเที่ยวบินใหม่นี้จะสร้างโอกาสเชิงพาณิชย์ใหม่ๆ ให้แก่ทั้งสิงคโปร์และหนิงโป”

มร.เอ็ดเวิร์ด โกะ ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมการท่องเที่ยวสิงคโปร์ประจำประเทศจีน กล่าวว่า “เราเชื่อมั่นว่า เที่ยวบินใหม่ระหว่างสิงคโปร์ – หนิงโปจะทำให้ชาวเมืองหนิงโปและเมืองใกล้เคียงเดินทางไปสิงคโปร์ได้อย่างสะดวกและคล่องตัวมากขึ้น” และเสริมว่า “ปีนี้ มีนักท่องเที่ยวชาวจีนเดินทางมาเยือนสิงคโปร์มากกว่า 1 ล้านราย ซึ่งตัวเลขที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวตอกย้ำถึงนโยบายของสิงคโปร์ที่มุ่งสร้างประสบการณ์การเดินทางใหม่ๆ ให้แก่ผู้โดยสาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักท่องเที่ยวชาวจีนทั้งขาประจำและรายใหม่”

ปัจจุบัน เจ็ทสตาร์ให้บริการเที่ยวบินจากสิงคโปร์สู่เมืองสำคัญต่างๆ ในประเทศจีน ได้แก่ กุ้ยหลิน ไหโขว่ ฮ่องกง หางโจว มาเก๊า ซัวเถา ไทเป และหนิงโป รวมทั้งสิ้นสัปดาห์ละเกือบ 100 เที่ยว เจ็ทสตาร์ คือ สายการบินค่าโดยสารราคาประหยัดที่เติบโตรวดเร็วที่สุดในภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก โดยมีเครือข่ายการบินสู่จุดหมายปลายทาง 56 แห่งใน 17 ประเทศ

เจ็ทสตาร์ สายการบินค่าโดยสารราคาประหยัด ประกาศเปิดบริการเช็คอินด้วยตนเองอย่างเต็มรูปแบบเป็นรายแรกของโลก ซึ่งประกอบด้วยบริการออกบัตรขึ้นเครื่องผ่านระบบเอสเอ็มเอส (SMS boarding pass) เคาน์เตอร์บริการตนเอง (Self Service Kiosks) ที่เปิดให้บริการ ณ สนามบินภายในประเทศทุกแห่งในประเทศออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ และบริการเช็คอินอัตโนมัติ (Automatic Check-in) เพื่อให้ผู้โดยสารหมดความกังวลเกี่ยวกับกระบวนการเช็คอิน

นวัตกรรมบริการด้วยตนเองดังกล่าวเป็นการวางมาตรฐานใหม่ในการให้บริการลูกค้าภายในสนามบิน เพื่อสร้างสรรค์สุดยอดประสบการณ์การเดินทางทางอากาศที่สะดวกและคล่องตัวมากกว่าที่เคยมีมา

ทั้งนี้ เจ็ทสตาร์คือสายการบินออสเตรเลียรายแรกที่เปิดให้ผู้โดยสารเช็คอินด้วยตนเองอย่างครบวงจรผ่านเครือข่ายศูนย์การบินภายในประเทศ ณ ท่าอากาศยานในประเทศออสเตรเลียและนิวซีแลนด์รวม 18 แห่ง ด้วยบริการตนเองที่โดดเด่น 3 ประเภท ได้แก่ บริการเช็คอินทางอินเทอร์เน็ต เคาน์เตอร์บริการตนเองที่สนามบิน (ปัจจุบันเปิดให้บริการในสนามบินทุกแห่ง) และการออกบัตรขึ้นเครื่องผ่านระบบเอสเอ็มเอส ลูกค้าที่เดินทางด้วยเที่ยวบินในประเทศออสเตรเลียและนิวซีแลนด์จะได้รับสิทธิเลือกใช้บริการด้วยตนเองใหม่ทั้ง 3 ประเภทดังกล่าว นอกเหนือจากบริการเช็คอินที่เคาน์เตอร์แบบดั้งเดิมของ
เจ็ทสตาร์ และเพื่อให้บริการเช็คอินสะดวกและง่ายดายยิ่งขึ้น เจ็ทสตาร์ยังเปิดบริการเช็คอินแบบอัตโนมัติ โดยลูกค้าสามารถลงทะเบียนเช็คอินล่วงหน้าและรับบัตรขึ้นเครื่องทางระบบเอสเอ็มเอสหรืออีเมล์ได้ตลอด 24 ชั่วโมงก่อนออกเดินทาง

มร. บรูซ บิวคานัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เจ็ทสตาร์ กรุ๊ป กล่าวว่า “เจ็ทสตาร์เดินหน้าลงทุนพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ และล้ำสมัยเพื่อสร้างสรรค์ระบบบริการด้วยตนเองที่มีความสะดวกและเป็นมิตรกับผู้ใช้งาน ทั้งยังช่วยยกระดับประสบการณ์การใช้บริการที่สนามบินให้มีความรวดเร็วและตรงเวลาและสนับสนุนการใช้ระบบโครงสร้างพื้นฐานที่สนามบินอย่างประหยัดและคุ้มค่า ส่งผลให้เจ็ทสตาร์สามารถให้บริการด้วยค่าโดยสารราคาประหยัดได้อย่างต่อเนื่อง”

ปัจจุบัน มีผู้โดยสารที่เดินทางด้วยเที่ยวบินภายในประเทศของเจ็ทสตาร์ประมาณร้อยละ 75 เลือกใช้บริการด้วยตนเอง อาทิ บริการเช็คอินทางอินเทอร์เน็ตที่เว็บไซด์ Jetstar.com นอกจากนี้ การทดลองเปิดบริการออกบัตรโดยสารผ่านระบบเอสเอ็มเอสส่งผลให้มีการใช้บริการดังกล่าวเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 10

“การเปิดบริการด้วยตนเองอย่างเต็มรูปแบบดังกล่าว คาดว่า จะทำให้มีผู้ใช้บริการดังกล่าวบนเครือข่ายการบินของเจ็ทสตาร์เกือบร้อยละ 100” มร. บิวคานัน กล่าว และเสริมว่า “สำหรับเทคโนโลยีที่นำมาใช้กับบริการเช็คอินด้วยตนเองดังกล่าวของเจ็ทสตาร์จะแตกต่างจากโซลูชั่นการสื่อสารเคลื่อนที่ที่ใช้โดยสายการบินอื่นๆ โดยจะสามารถทำงานได้กับโทรศัพท์มือถือเกือบทุกเครื่องเป็นรายแรกของโลก ไม่จำกัดเฉพาะอุปกรณ์สื่อสารที่รองรับระบบ WAP หรืออินเทอร์เน็ตเท่านั้น ทั้งยังไม่ต้องใช้บริการดาต้าโรมมิ่งซึ่งมีค่าบริการที่แพงมากอีกด้วย”

เจ็ทสตาร์ได้มอบหมายให้ซิสซิท กรุ๊ปแห่งเมืองเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลียเป็นผู้พัฒนาเทคโนโลยีเอสเอ็มเอสเพื่อรองรับบริการออกบัตรขึ้นเครื่องด้วยระบบเอสเอ็มเอส สำหรับเทคโนโลยีที่ใช้ในเคาน์เตอร์บริการตนเองที่สนามบินมีวิสวิท กรุ๊ปและไอบีเอ็มเป็นผู้พัฒนา

เพื่อมอบค่าโดยสารราคาที่ประหยัดยิ่งขึ้นให้แก่ผู้โดยสารที่เลือกใช้บริการด้วยตนเองใหม่ดังกล่าว เจ็ทสตาร์จึงเตรียมแยกค่าธรรมเนียมการใช้ระบบเช็คอินแบบดั้งเดิมออกจากค่าโดยสาร โดยผู้โดยสารที่เลือกใช้วิธีเช็คอินแบบดั้งเดิมจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อยที่ครอบคลุมต้นทุนในการให้บริการดังกล่าว ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2554 เป็นต้นไป